กลยุทธ์การตลาด 10P สำหรับนักธุรกิจยุคใหม่ กลยุทธ์การตลาด แบบ 10P นี้ได้มีการต่อยอดมาจาก 4P ที่เราคุ้นเคยกันของ ฟิลลิป คอตเลอร์ (Philip Kotler) ปรมาจารย์ด้านการตลาดที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก โดย 4P ถูกนำไปใช้ไปอย่างแพร่หลายในอดีต แต่มาถึงยุคปัจจุบัน เนื่องด้วยหลายๆ ปัจจัย ที่เปลี่ยนไป ทำให้กลยุทธ์ 4P นั้นไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานอีก ต่อไป จึงเป็นเหตุผลให้นักวิชาการทางด้านการตลาดได้คิดค้น พัฒนาต่อยอด 4P ให้สามารถตอบสนองต่อ ธุรกิจในโลกปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น โดยวันนี้ iGITAL GEEK ขอนำท่านมารู้จักกับกลยุทธ์การตลาดแบบ 10P ที่มี การพัฒนาจาก 4P อันเดิม สำหรับในส่วนของ P ทั้ง 4 ตัวก่อนหน้านี้ ท่านสามารถย้อนกลับไปอ่านได้ที่ ลิงค์ นี้ครับ กลยุทธ์ธุรกิจแบบ 4P
1.Product Strategy กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ หรือ Product Strategy คือ การวิเคราะห์สินค้า/บริการของธุรกิจว่ามีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร อะไรคือจุดขายของสินค้าของเรา แล้วจะออกแบบโปรดักต์หรือผลิตภัณฑ์อย่างไรเพื่อให้ตอบ โจทย์กลุ่มเป้าหมายและโดดเด่นจากผลิตภัณฑ์ของแบรนด์อื่น คำถาม คือ สินค้า/บริการ หรือโปรดักต์ ของเราจะชนะใจลูกค้าและชนะคู่แข่งได้อย่างไร? สิ่งที่แบรนด์และนักการตลาดจะใช้เป็นฐานในการคิด เช่น • ความต้องการของลูกค้า (Satisfying Needs) และปัญหาของลูกค้า (Pain Points) • จุดขายของสินค้า (Unique selling point) • คุณภาพของสินค้า (Product Quality) • ภาพลักษณ์หรือ Branding ของสินค้า บรรจุภัณฑ์ • การให้บริการและบริการหลังการขาย(Services) • การรับประกัน (Warranties)
2.Price Strategy กลยุทธ์ราคา กลยุทธ์การตั้งราคา (Price Strategy) คือ กลยุทธ์การตลาดที่ใช้การตั้งราคาสินค้าและกลยุทธ์ด้าน ราคาในการดึงดูดลูกค้า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อของจากเรา คำถามสำคัญ คือ กลยุทธ์ด้านราคาและการตั้งราคาแบบไหนจะทำให้ลูกค้าอยากซื้อหรือซื้อมากขึ้น? โดยสิ่งที่สามารถใช้เป็นกลยุทธ์ราคาให้กับแบรนด์ได้ ได้แก่ • กลยุทธ์ด้านราคา (Price Strategy) เช่น การมีสินค้าหลายราคาให้เลือกซื้อ การตั้งราคาไดนามิกหรือ มีการปรับขึ้น-ลง (Dynamic Pricing) การทำระบบจ่ายแบบ Subscription หรือ Membership ฯลฯ • การตั้งราคาสินค้า (Pricing) เช่น การตั้งราคาตามต้นทุน การตั้งราคาตามคุณค่า การตั้งราคาเป็นเลข กลมอ่านง่าย (Price Skimming) การตั้งราคาตามคู่แข่ง ตั้งราคาถูกแต่มีค่าใช้จ่ายแฝง การตั้งราคา เป็นลำดับขั้น ฯลฯ • ข้อเสนอยอมให้ (Allowances) เช่น นำเก่ามาแลกใหม่ ให้ค่าตอบแทน/ส่วนลดเมื่อบอกต่อสินค้า ช่วยค่าส่ง ฯลฯ • ส่วนลด (Discount) • เงื่อนไขการชำระเงิน (Payment Term) เช่น สามารถแบ่งชำระได้ ใช้เครดิตได้ ฯลฯ กลยุทธ์การตั้งราคา (Price Strategy) สัมพันธ์กับเรื่องของ Product Positioning และภาพลักษณ์ ของแบรนด์ เมื่อจะใช้กลยุทธ์ด้านราคาในการเข้าถึงลูกค้า ต้องไม่ลืมว่า แบรนด์กำลังยืนอยู่ในตำแหน่งใด เพราะหากใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่ไม่สัมพันธ์ Product Positioning ของแบรนด์ ภาพลักษณ์ที่ลูกค้ามองมาจะ เปลี่ยนไป อาจมองว่าแบรนด์เข้าถึงยากขึ้น หรือดูหรูหราน้อยลง
3.Place Strategy กลยุทธ์การจัดจำหน่าย กลยุทธ์ช่องทางการจัดจําหน่าย คือ การเลือกช่องทางในการนำเสนอสินค้าให้ลูกค้ารู้จัก ซึ่ง “Place” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงสถานที่ทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงช่องทางที่ลูกค้าใช้เวลาทำกิจกรรมในนั้น เช่น โซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ, Google, สมาร์ตโฟน คำถามสำคัญ คือ แบรนด์จะเลือกใช้ช่องทางใดเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเจาะจง? ช่องทางทำการตลาดและการขายในปัจจุบันก็มีหลากหลาย ซึ่งการเลือกช่องทางหรือ Place ในการ ทำการตลาดที่ดีที่สุดก็คือ การเลือกช่องทางที่กลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) ของเราอยู่ ลูกค้าอยู่หาเราก็ ตามไปทำการตลาดและขายถึงที่ แน่นอนว่า เราจะรู้ข้อมูลเหล่านั้นได้ ก็จากการทำ Segmentation ศึกษา พฤติกรรมของผู้บริโภคมาแล้ว ตัวอย่างช่องทางออนไลน์ • เว็บไซต์และหน้า Google (ทั้ง SEO และ Google My Business) • E-commerce /Marketplace เช่น Shopee, Lazada • Social Media Marketing / Social-commerce เช่น Facebook, LINE, Twitter, YouTube, TikTok • Metaverse พื้นที่โฆษณาและร้านค้าบนโลกเสมือน • Gaming Marketing พื้นที่โฆษณาในเกมและร้านค้าในเกม • Chatbot / Chat-commerce ตัวอย่างสถานที่จริง • ตลาด • ร้านสะดวกซื้อ • ห้างสรรพสินค้า • ฝากขายตัวแทนจำหน่าย
4.Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด (Promotion Strategy) คือ สิ่งที่แบรนด์หรือธุรกิจจะทำเพื่อดึงดูด ลูกค้าให้เข้ามาสนใจแบรนด์และตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ โดยกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดและกลยุทธ์การ ขายก็มีอยู่หลากหลายวิธีด้วยกัน ขอยกตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดและการขายเบื้องต้น เช่น • กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) • กลยุทธ์การตลาดผ่านสื่อโซเชียล (Social Marketing) • กลยุทธ์การใช้ผู้มีอิทธิพล (Influencer Marketing) • กลยุทธ์การตลาดแบบบอกต่อ หรือ Word-of-Mouth Marketing • CRM: Customer Relationship Management เช่น การสะสมแต้ม • กลยุทธ์การขาย เช่น ลด แลก แจก แถม ฯลฯ • และอีกมากมาย คำถามสำคัญ คือ แบรนด์จะเลือกใช้โปรโมชันหรือกลยุทธ์ไหนเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้จริง? แน่นอนว่า ในการทำการตลาดจริงไม่ใช่แค่เลือกกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่งมาใช้ แต่เพื่อการทำการตลาดที่ ได้ผลแบรนด์/ธุรกิจต้องทำโปรโมชัน ส่งเสริมการตลาดและการขายแบบประสม ที่เรียกว่า “ส่วนประสมการ ส่งเสริมการตลาด” (Promotional Mix) ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด (Promotional Mix) คือ การใช้ทำโปรโมชันและใช้กลยุทธ์ การตลาดหลาย ๆ กลยุทธ์ร่วมกัน เช่น การใช้โฆษณา (Advertising) การทำโปรโมชันส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) การประชาสัมพันธ์ (PR) ฯลฯ ซึ่งอาจคิดกลยุทธ์ออกแบบเป็นรายแคมเปญ กลยุทธ์การตลาดที่ โฟกัสของทั้งปี หรือการทำโปรโมชันแบบเรียลไทม์ ฯลฯ การคิดกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดควรจะเป็นสิ่งที่ออกแบบ วางแผน และมีผลลัพธ์ที่คาดการณ์มาแล้ว ซึ่งต้องผ่านการทำ STP Marketing และประยุกต์ใช้ Marketing Mix 4Ps ร่วมกัน รวมไปถึงการวางกลยุทธ์ การตลาดตาม Sales Funnel สอดคล้องไปกับขั้นตอนการตัดสินใจของลูกค้า เพื่อเข้าถึงลูกค้าและกระตุ้น การตัดสินใจของเขาได้ตรงจุด (Customer Touch Points)
5.Public Relation Strategy กลยุทธ์การให้ข่าวสาร การให้ข้อมูลข่าวสารเป็นกลยุทธ์ที่มีความสำคัญ และเหมาะกับยุคสมัยนี้ที่สามารถติดต่อสื่อสารถึงกัน ได้อย่างไร้พรมแดน ทำให้การรับส่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการขายสินค้าออนไลน์ การให้ข่าวสาร ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะการให้ข่าวสารนั้นนับเป็นช่องทางหนึ่งในการติดต่อกับ ลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังเป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างภาพลักษณ์ เพิ่มทัศนคติในเชิงบวก สร้างความ เข้าใจในการใช้สินค้า บริการ ให้กับ แบรนด์ได้อีกทางหนึ่งด้วย
6.Personal Strategy กลยุทธ์ด้านการใช้พนักงานขาย เป็นกลยุทธ์ที่ต่อยอดมาจาก Promotion Strategy หรือ กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การขายโดย การใช้พนักงานขายมีความสำคัญมาก สำหรับผลิตภัณฑ์ บางประเภท เพราะผลิตภัณฑ์นั้นอาจต้องอาศัยการ อธิบาย เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อได้ เช่น สินค้าประเภท ยา หรือ อาหารเสริม เป็นต้น การเป็นพนักงานขายที่ดี ต้องมีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ ในการใช้สินค้า และมีเทคนิคใน การนำเสนอสินค้า สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้า ทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจในผลิตภัณฑ์ เพื่อนำไปสู่ การตัดสินใจซื้อ ในที่สุด ส่วนกลยุทธ์สำหรับเพิ่มความสามารถให้กับ พนักงานมีดังนี้ การฝึกอบรม เพื่อเพิ่มความรู้เกี่ยวกับตัว สินค้าและผลิตภัณฑ์ ให้กับพนักงาน รวมถึงการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีในการให้บริการลูกค้าด้วย การรับมือ กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ เช่น เมื่อมีลูกค้าต่างชาติเข้ามาติดต่อ หรือกรณีมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเยอะเกินไป ควรมีมาตรการรองรับ หรือกรณีที่ลูกค้ามาใช้บริการน้อย ควรดำเนินการแก้ไขอย่างไร
7.People Strategy กลยุทธ์เพื่อสร้างการสนับสนุนจากผู้คน คนคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจ “ผู้คน” (People) ซึ่งประกอบไปด้วย พนักงาน ลูกค้า คู่ค้าหรือพาร์ตเนอร์ รวมถึงคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ – People เป็นอีกหนึ่งปัจจัยและ กลยุทธ์ที่นับรวมเข้ามาอยู่ใน Marketing Mix ด้วยเช่นกัน กลยุทธ์ด้านผู้คน (People Strategy) คือ การบริหารจัดการผู้คนตั้งแต่พนักงาน พาร์ตเนอร์ และผู้ ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลูกค้าสามารถสัมผัส ประสบการณ์จากแบรนด์ผ่านพนักงานขาย ตัวแทนจำหน่าย และทีมให้ความช่วยเหลือ ฯลฯ รวมไปถึงการ บริหารความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า กลยุทธ์ด้านผู้คนจะครอบคลุมปัจจัยในหลายเรื่องด้วยกัน เช่น • การคัดเลือกและจ้างพนักงานเข้ามาทำงาน • การวางโครงสร้างองค์กรและลำดับพนักงาน • ชุดยูนิฟอร์ม การเทรนพนักงาน • การสื่อสารกับลูกค้า เช่น แนวทางการสื่อสาร การให้คำแนะนำ น้ำเสียงของแบรนด์ ฯลฯ • การรับมือกับข้อคิดเห็น ข้อตำหนิ การบริหารชื่อเสียงแบรนด์ (Brand Reputation) • การบริการ การให้ความช่วยเหลือลูกค้า • การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) • การดูแลคนในองค์กร • การบริหารความสัมพันธ์กับคู่ค้า (Partner)
8.Packaging Strategy กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ สิ่งที่สำคัญของกลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ คือ การออกแบบที่สวยงาม มีความน่าเชื่อถือ โดดเด่นกว่า ผลิตภัณฑ์ ของคู่แข่ง เมื่อนำไปวางขายสามารถดึงดูดความความสนใจ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ได้ ส่วนในด้านของร้านค้าออนไลน์นั้น กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ยังรวมไปถึงเรื่องความปลอดภัยของสินค้าในส่วนของ การจัดส่งรวมอยู่ด้วย เพราะการส่งสินค้าในระยะทางไกลนั้นอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรจัดการ ห่อสินค้าเป็นอย่างดี เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สิ่งเหล่านี้สามารถสร้างความประทับใจ และ ทำให้ลูกค้า มีทัศนคติที่ดีต่อร้านค้าออนไลน์ของเรา
9.Partners Strategy กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน การมีคู่ค้าหรือหุ้นส่วน นั้นสามารถช่วยให้เราดำเนินธุรกิจได้ราบรื่นยิ่งขึ้น เพราะหุ้นส่วนนอกจากจะ ช่วยในการลงทุนของเราแล้ว ยังช่วยให้คำปรึกษาช่วยคิดในเรื่องต่างๆ ได้อีกด้วย ยิ่งหากเราทำธุรกิจข้ามชาติ หรือธุรกิจระหว่างประเทศ ยิ่งต้องให้ความสำคัญ กับ Partners Strategy ด้วย เนื่องจากกฎหมายในบาง ประเทศนั้น มีข้อจำกัดอยู่ ซึ่งหากมีหุ้นส่วนอยู่ในประเทศนั้นๆ ก็จะสามารถได้สิทธิต่างๆ ตามที่กฎหมายใน ประเทศนั้นๆ ได้เปิดช่องไว้อีกด้วย
10.Perception Strategy กลยุทธ์ความเข้าใจ เป็นกลยุทธ์ที่จะต้องเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ แล้วนำหลักการตลาด มาประยุกต์เพื่อให้เท่าทันต่อ สถานการณ์ในขณะนั้น เพราะโลกยุคปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ข่าวสาร การไหลเวียนของวัตถุดิบ การไหลเวียนของสินค้า และบริการ กระจายไปทั่วทุกมุมโลก เราจะเห็นได้ ว่า สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ที่วางขายกันในประเทศไทย นั้น เราก็สามารถนำเข้าจากประเทศอื่นๆ มาวางขายได้ อย่างเสรี ด้วยเหตุนี้เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ ที่มีความเข้าใจและ ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา จึงประสบความสำเร็จในการทำการตลาดยุคนี้ กล่าวโดยสรุป 10P คืออีกหนึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีการต่อยอดมาจาก 4P เพื่อให้สามารถ ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของธุรกิจในปัจจุบันนี้นั่นเอง
การตลาดเบื้องต้น – คู่มือง่ายๆ สำหรับมือใหม่ โดยเบื้องต้นแล้ว การตลาดก็คือหัวใจสำคัญของธุรกิจทุกชนิด อาจจะเป็นการทำโฆษณาแบบที่ทกคน รู้จักกัน หรือเป็นการวิเคราะห์วิธีตั้งราคาให้ได้กำไรที่สุด นั่นก็เป็นเพราะว่าการตลาดนั้นครอบคลุมของทุกส่วน ของธุรกิจ บทความนี้จะเป็นคู่มือการตลาดเบื้องต้น เหมาะสำหรับมือใหม่ ซึ่งในบทความจะพูดถึงพื้นฐานต่างๆ นะครับ หากใครสนใจส่วนไหนเป็นพิเศษสามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดในแต่ละส่วนอีกที การตลาดเบื้องต้น คืออะไร? มีอะไรบ้าง? การตลาดเบื้องต้นรวมถึงการศึกษาและวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า ทำความเข้าใจว่าลูกค้าคือใคร และ ลูกค้าซื้อเพราะอะไร โดยเป้าหมายหลักของการตลาดก็คือการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือ บริการของธุรกิจ ผ่านการตลาดในระยะสั้นและระยะยาว ‘พื้นฐานของการตลาดก็คือการโน้มน้าวให้ลูกค้าทำการกระทำอะไรสักอย่าง เพื่อสร้างกำไรให้กับ องค์กร’ นิยามนี้ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนก็ยังคงความหมายเดิมอยู่ คำถามก็คือนักการตลาดจะต้องทำยังไงเพื่อให้เกิดผลลัพธ์เหล่านี้? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ การตลาด เบื้องต้นจะต้องตอบคำถามเพิ่มเติมดังนี้ ลูกค้าคือใคร – หมายถึงการใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ลูกค้า และทำการวิจัยตลาดเพื่อหากลุ่ม ลูกค้าที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่สุด ซึ่งขั้นตอนนี้คือกระบวนการจุดเริ่มต้นของการตลาดทุกชนิด ลูกค้าซื้อเพราะอะไร – ในสมัยก่อนนักการตลาดนัดบอกว่า การตลาดคือการแก้ปัญหาของลูกค้า แต่ ละยุคสมัยนี้ที่วิธีแก้ปัญหาให้ลูกค้ามีหลากหลาย (ลูกค้าที่หิวสามารถเลือกกินอาหาร ญี่ปุ่น จีน ไทย ยูโรป) ทำ ให้หัวใจของการตลาดกลายเป็นการทำความเข้าใจพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าแทน ทำยังไงให้ลูกค้าซื้อ – นอกจากการทำความเข้าใจในเชิงทฤษฎีแล้ว หลักการปฏิบัติเพื่อโน้มน้าวลูกค้า ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เช่นการทำโปรโมชั่น การทำประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนลูกค้า นักการตลาดหลายคนอาจจะแย้งว่าการตลาดคือการตอบคำถามว่า ‘ลูกค้ามีปัญหาอะไร’ (Painpoint) เพื่อที่องค์กรจะได้หาทางแก้ไขได้ (ทำการขาย) ซึ่งก็เป็นนิยามที่ถูกตามหลักการ อย่างไรก็ตามใน องค์กรส่วนมาก นักการตลาดมักจะไม่ได้ควบคุมการจัดหาและผลิตสินค้า ซึ่งทำให้กระบวนการ ‘เปลี่ยนสินค้า ให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า’ ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านักการตลาดจะทำอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่เราจะเห็น ได้บ่อยมากกว่าก็คือการเปลี่ยนมุมมองลูกค้า (Positioning) ซึ่งจะอยู่ในการควบคุมของนักการตลาดมากกว่า
การตลาดพื้นฐานมีองค์ประกอบอะไรบ้าง องค์ประกอบของการตลาดพื้นฐานได้แก่ ราคา ผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการขาย และ ช่องทางจัด จำหน่าย ซึ่งทั้งสี่ปัจจัยนี้เป็นส่วนผสมการตลาดที่ต้องถูกออกแบบมาให้สอดคล้องเกื้อหนุนกัน และถูก สร้างให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า โดยเป้าหมายของส่วนผสมการตลาดก็คือการใช้เพื่อพิจารณาวางแผนกล ยุทธ์การตลาด ซึ่งนักการตลาดสามารถควบคุมปัจจัยต่างๆเพื่อส่งเสริมแผนการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการทำให้แตกต่าง จากคู่แข่ง หรือการโน้มน้าวให้ลูกค้าอยากซื้อ ราคา – รวมถึงกลยุทธ์การตั้งราคาต่างๆ เช่นการตั้งราคาถูกเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ หรือการตั้งราคาแพง เพื่อเพิ่มคุณค่าทางมองลูกค้า ผลิตภัณฑ์– การสร้างและหาวิธีสื่อสารจุดขายของผลิตภัณฑ์ (unique selling point) รวมถึงการ วางภาพลักษณ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการปรับวิธีการใช้งานให้เหมาะกับลูกค้า ช่องทางการขาย – หมายถึงการพิจารณาช่องทางการขายให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้า เช่นช่องทางไหนที่ ลูกค้าเยอะช่องทางไหนที่ขายแล้วกำไรดี การส่งเสริมการขาย – หมายถึงการจัดโปรโมชั่น ทำโฆษณา หรือทำการประชาสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้น ให้กลุ่มลูกค้ามีความอยากซื้อมากขึ้น ข้อแนะนำก็คือปัจจัยทั้ง 4 นี้ควรถูกออกแบบมาให้มีความสอดคล้องกันและเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า หลักของเรา ในส่วนนี้หากใครสนใจผมแนะนำให้ศึกษาบทความเรื่อง ส่วนผสมตลาด 4P ของผมเพิ่มเติม
หน้าที่ของการตลาด หน้าที่ของการตลาดก็คือการช่วยเหลือการขาย ผ่านการสร้างกลยุทธ์และเครื่องมือการตลาดต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การพิจารณาการแบ่งส่วนตลาด การเลือกกลุ่มเป้าหมาย และ การจัดตำแหน่งสินค้า โดยเบื้องต้นแล้ว การตลาดก็มีหน้าดีที่ตรงไปตรงมา โดยเฉพาะการช่วยการขาย อย่างไรก็ตามหน้าที่นี้ ก็สามารถถูกแบ่งออกมาเป็นรายละเอียดปลีกย่อยได้เช่นกัน Segmentation การแบ่งตลาด – คือการวิเคราะห์หาข้อมูลเพื่อแบ่งตลาดออกมาเป็นส่วนย่อยๆ โดยนักการตลาดสามารถแบ่งข้อมูลตลาดออกมาได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นตาม ประชากรศาสตร์ จิตวิทยา และ ภูมิศาสตร์ โดยการแบ่งตลาดที่ดี Targeting การเลือกกลุ่มเป้าหมาย – เป้าหมายของการเลือกกลุ่มเป้าหมาย ก็คือการเลือกตลาดที่ อาจจะเล็กลงมาหน่อยแต่มีความชอบในผลิตภัณฑ์มากกว่าตลาดโดยรวม ทำให้ประสิทธิภาพของแคมเปญ การตลาดในตลาดย่อยมีมากกว่า Positioning การจัดวางตำแหน่งตลาด – คือการวางจุดขายของสินค้าให้เหมาะกับความต้องการ ลูกค้า และวางแผนวิธีการสื่อสารจุดขายนี้ให้กับลูกค้าตามช่องทางต่างๆ ในการทำงานทุกอย่าง เราจะเห็นได้ว่าไม่มีองค์กรหรือพนักงานคนไหนที่สามารถทำทุกอย่างพร้อมกัน ได้ ทุกบริษัทมีข้อจำกัดทั้งในเรื่องเวลา พนักงาน และเงิน ทำให้ ‘การจัดความสำคัญ’ เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ของ นักการตลาด หมายความว่าเราต้องเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม เลือกวิธีการตลาดที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นเราก็ จะไม่ได้ใช้ทรัพยากรในบริษัทอย่างคุ้มค่า นอกจากนั้นแล้ว หลักจากที่เราได้กลุ่มลูกค้าและการจัดตำแหน่งตลาดที่เหมาะสม เราก็สามารถนำ เครื่องมือในหัวข้อที่แล้วเช่น เครื่องมือส่วนผสมตลาด 4P มาใช้ควบคู่กับการวางแผนการตลาดได้
ความสำคัญของการตลาด ในส่วนที่แล้ว เราดูไปแล้วว่าหน้าที่ของการตลาดมีอะไรบ้าง ซึ่งหากจะพูดให้เรียบง่าย การตลาดก็มี หน้าที่ในการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายให้กับบริษัท หรือก็คือการสร้างกรรมใดนั้นเอง อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบของการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายก็มีอยู่หลายอย่าง โดยนักการตลาด ส่วนมากก็จะดูปัจจัยเหล่านี้ การสื่อสาร – เป็นหัวใจที่พื้นฐานที่สุดของการตลาด เพราะการที่จะเริ่มทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับลูกค้า แล้วผู้บริโภค นักการตลาดก็ต้องเริ่มจากการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวก่อน โดยเฉพาะการสื่อสารจุดขายของสินค้า นอกเหนือจากนั้นการตลาดยังเป็นเครื่องมือในการสอนและให้ความรู้ลูกค้าได้ด้วย การขาย – การส่งเสริมการขาย เช่น การทำโฆษณา ซึ่งทำได้ผ่านการสื่อสารวิธีต่างๆอย่างสื่อพิมพ์ ภาพ และ วิดีโอ แต่เดิมทีนั้น สินค้าที่ดีก็จะขายตัวเองได้ผ่านการโฆษณาปากต่อปากของลูกค้า อย่างไรก็ตาม ในกรณีส่วนมาก หากองค์กรไม่ได้ทำการตลาดอะไรเลย โอกาสที่สินค้าจะขายได้ก็มีน้อยมาก การเติบโต – หมายถึงการทำโฆษณาเพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้น เช่น การเพิ่มยอดขาย การเปิดตลาด ใหม่ การเปิดตัวสินค้าใหม่ ซี่งการตลาดที่ดีต้องคำนึงถึงการสร้างลูกค้าใหม่และการรักษาลูกค้าเก่าให้กลับมา ซื้อซ้ำด้วย ในแง่ของการขาย ทุกสินค้า ทุกผลิตภัณฑ์นั้นมีอายุของตัวเองอยู่ หมายความว่าหากเวลาผ่านไประยะ หนึ่งแล้ว บางสินค้าก็จะอยู่ในสภาพ ‘ตกเทรนด์’ หรือ ‘ไม่มีความต้องการตลาด’ ยกตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือรุ่นเก่า หรือของเล่นเด็กที่ฮิตแค่ไม่กี่ปี ในกรณี การทำการตลาดก็เป็นการยืดอายุสินค้าได้อย่าง หนึ่ง ซึ่งเราจะเห็นได้จากแบรนด์ใหญ่ๆอย่าง Coke Pepsi ที่อยู่มานานเป็นร้อยปีด้วยผลิตภัณฑ์แค่ไม่กี่อย่าง นอกจากปัจจัยด้านบนนี้ การตลาดก็ยังเป็นเครื่องมือในการ ‘สนทนากับลูกค้า’ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ เหนือกว่าการสื่อสารข้างเดียวแบบโฆษณาต่างๆ นักการตลาดสมัยนี้สามารถติดต่อลูกค้าผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่น Social Media อย่าง Facebook Twitter Line เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น