The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระราชกรณียกิจิย์ ของ พระมหากษัตริย์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jewelry25482548, 2022-02-09 10:35:03

พระราชกรณียกิจ

พระราชกรณียกิจิย์ ของ พระมหากษัตริย์

พระราชกรณียกิจ
ของ

พระมหากษัตริย์

สมัยก่อนและในรัตนโกสินทร์

สมัยก่อนรัตนโกสินทร์

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

พระราชประวัติ :

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๕ ขึ้น
๑๕ ค่ำ ปีขาล ฉศก จุลศักราช ๑๐๙๖ ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๒๗๗ ใน
แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา มี


พระนามเดิมว่า สิน พระราชบิดาเป็นชาวจีนชื่อนายไหฮองหรือ หยง แซ่แต้ เป็น

นายอากรบ่อนเบี้ย มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์ พระราชชนนีชื่อนางนกเอี้ยง
(ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระเทพามาตย์) ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กับ
จวนเจ้าพระยาจักรีที่สมุหนายก เมื่อยังทรง พระเยาว์เจ้าพระยาจักรีได้ขอสมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราชไปเลี้ยงเป็น บุตรบุญธรรม และได้ตั้งชื่อพระองค์ท่านว่า
สิน พอนายสินอายุได้ ๙ ขวบ เจ้าพระยาจักรีก็นำไปฝากให้เล่าเรียนหนังสืออยู่ใน
สำนักของพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส ครั้นอายุได้ ๑๓ ปี เจ้าพระยาจักรีได้นำ
นายสินเข้าถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวบรมโกศ
ตามประเพณีของการรับราชการในสมัยนั้น ในระหว่างรับราชการเป็นมหาดเล็ก
นายสินได้พยายามศึกษาหาความรู้ทางด้านภาษาต่าง ประเทศหลายภาษา มี
ภาษาจีน ภาษาญวน และภาษาแขก จนสามารถพูดได้สามภาษาอย่างชำนิ
ชำนาญ ครั้นนายสินอายุได้ ๒๑ ปี เจ้าพระยาจักรีได้ประกอบการอุปสมบทนาย
สินเป็นพระภิกษุสงฆ์อยู่ในสำนักอาจารย์ทองดี ณ วัดโกษาวาส(ปัจจุบันคือวัด
เชิงท่า ) นายสินอุปสมบทอยู่ ๓ พรรษา แล้วก็ลาสิกขาบทกลับมาเข้ารับราชการ
ตามเดิม เนื่องจากนายสินเป็นผู้ฉลาดรอบรู้ขนบธรรมเนียมราชกิจต่าง ๆ โดย
มาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายสินเป็นมหาดเล็ก
รายงานด้วยราชการทั้งหลายในกรมมหาดไทย และกรมวังศาลหลวง พ.ศ.
๒๓๐๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร
เสด็จเสวยราชสมบัติได้ ๓ เดือนเศษ ก็ถวายสิริราชสมบัติแก่สมเด็จพระบรม
ราชาที่ ๓ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้นายสินมหาดเล็กรายงานเป็น
ข้าหลวงเชิญท้องตราพระราชสีห์ขึ้นไปชำระความหัวเมืองฝ่ายเหนือ

ซึ่งนายสินได้ปฏิบัติราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะและมีความดีความชอบมาก
จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตากช่วยราชการ
อยู่กับพระยาตาก ครั้นเมื่อพระยาตากถึงแก่กรรมลงก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อน
หลวงยกกระบัตร(สิน)เป็นพระยาตากปกครองเมืองตากแทน พ.ศ.๒๓๐๘
พระยาตาก(สิน) ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้ามาช่วยราชการสงครามเพื่อ
ป้องกันพม่าในกรุงศรีอยุธยา พระยาตาก (สิน) มีฝีมือการรบป้องกัน พระนคร
อย่างเข้มแข็งมีความดีความชอบมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อน
ตำแหน่งขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการสำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้า
เมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในเดือนเมษายน
พระยาตาก ก็สามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนได้ แล้วก็คิดจะปฏิสังขรณ์
กรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีใหม่ แต่เมื่อได้ตรวจความเสียหายแล้วเห็นว่ากรุง
ศรีอยุธยาได้รับความเสียหายเป็นอันมาก ยากที่จะบูรณะให้เหมือนดังเดิมได้
และประกอบกับรี้พลของเจ้าตากมีไม่พอที่จะรักษากรุงศรีอยุธยาที่เป็นเมือง
ใหญ่ได้ จึงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานี และได้อพยพผู้คนลงมาตั้งมั่นที่เมือง
ธนบุรี เจ้าตากทรงทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี เมื่อวันพุธ
เดือนอ้าย แรม ๔ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๓๐ ปีชวด สัมฤทธิศก ตรงกับวันที่ ๒๘ เดือน
ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๑๑ ขณะมีพระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา ทรงนามว่า สมเด็จพระ
ศรีสรรเพชญ์ หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ แต่ประชาชนทั่วไปยังนิยมขนาน
พระนามพระองค์ว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดากับ
สมเด็จพระอัครมเหษี กรมหลวงบาทบริจา และกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ รวม
ทั้งพระสนมต่าง ๆ รวมทั้งสิน ๒๙ พระองค์

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน ๕ แรม
๙ ค่ำ จ.ศ. ๑๑๔๔ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๒๕ พระชนมายุ ๔๘ พรรษา
รวมสิริราชสมบัติ ๑๕ ปี

พระราชกรณียกิจ :

ด้านการปกครอง

ยังคงใช้ระบบการปกครองแบบกรุงศรีอยุธยา ส่วนด้านกฎหมาย เมื่อครั้ง
กรุงแตกกฎหมายบ้านเมืองกระจัดกระจายหายสูญไปมาก จึงโปรดให้ทำการสืบ
เสาะค้นหามารวบรวมไว้ได้ประมาณ ๑ ใน ๑๐ และโปรดให้ชำระกฎหมายเหล่านั้น
ฉบับใดยังเหมาะแก่กาลสมัยก็โปรดให้คงไว้และเป็นการแก้ไขเพื่อให้ราษฎรได้รับ
ผลประโยชน์มากขึ้น เช่น โปรดให้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยการพนันให้อำนาจการ
ตัดสินลงโทษขึ้นแก่ศาลแทนนายตราสิทธิขาด และยังห้ามนายตรา นายบ่อน
ออกเงินทดรองให้ผู้เล่นเกาะกุม ผูกมัด จำจอง เร่งรัดผู้เล่น กฎหมายพิกัดภาษี
อากรเกือบไม่มี เพราะผลประโยชน์แผ่นดินได้จากการค้าสำเภามากพอแล้ว
กฎหมายว่าด้วยการจุกช่องล้อมวงก็ยังไม่ตราขึ้น เปิดโอกาสให้ราษฎรได้เฝ้า
ตามรายทางโดยไม่ต้องมีพนักงานตำรวจแม่นปืนคอยยิงราษฎร ซึ่งแม้แต่ชาว
ต่างประเทศก็ยังชื่นชมในพระราชอัธยาศัยนี้ ในชั้นศาลก็ไม่โปรดให้อรรถคดีคั่ง
ค้าง แม้ยามศึก หากคู่ความไม่ได้เข้ากองทัพหรือประจำราชการต่างเมือง ก็
โปรดให้ดำเนินการพิจารณาคดีไปตามปกติ ทั้งในการฟ้องร้อง ยังโปรดให้โจทย์
หาหมอความแต่งฟ้องได้เช่นเดียวกับปัจจุบันอีกด้วย วิธีพิจารณาคดีในสมัยนั้น
สะท้อนให้เห็นได้แจ่มชัด ในบทละครรามเกียรติ์ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษาความ
พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี

ด้านการทหาร

ทรงรวบรวมคนไทยที่แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า ๕ ก๊ก และปราบปรามก๊กต่าง ๆ
ทำสงครามกับพม่า ขยายพระราชอาณาเขตไปยังหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และ
กัมพูชา

ด้านเศรษฐกิจ

เนื่องในสมัยกรุงธนบุรีเป็นระยะเวลาที่สร้างบ้านเมืองกันใหม่ การค้าเจริญ
รุ่งเรืองทั้งของหลวงและของราษฎร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทำนุ
บำรุงการค้าขายทางเรืออย่างเต็มที่ ทรงแต่งสำเภาหลวงออกไปค้าขายทางด้าน
ตะวันออกไปถึงเมืองจีนทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือถึงอินเดียตอนใต้ ผล
ประโยชน์ที่ได้รับจากการค้าของหลวงช่วยบรรเทาภาระภาษีของราษฎรไปได้มาก
สมเด็จ พระเจ้าตากสิน ฯ ทรงส่งเสริมการนำสินค้าพื้นเมืองไปขายทางเรือ ซึ่ง
อำนวยผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่องานสร้างชาติ ทำให้ราษฎรมีงานทำมีราย
ได้ ทั้งยังฝึกให้คนไทยเชี่ยวชาญการค้าขาย ป้องกันมิให้การค้าตกไปอยู่ในมือ
ต่างชาติ

ด้านการคมนาคม

ในยามว่างจากสงครามจะโปรดให้ตัดถนนและขุดคลองมากขึ้นเพื่อ ประโยชน์
ในทางค้าขาย ทรงยกเลิกความคิดแนวเก่าที่ว่าหากถนนหนทาง การคมนาคมมี
มากแล้วจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ข้าศึกศัตรู และพวกก่อการจลาจล แต่
กลับทรงเห็นประโยชน์ในทางค้าขายมากกว่า ดังนั้นในฤดูหนาวหากว่างจากศึก
สงครามก็จะโปรดให้ตัดถนนและขุดคลอง จะเห็นได้จากแนวถนนเก่าๆในเขต
ธนบุรีซึ่งมีอยู่มากสาย ส่วนการขุดชำระคลองมักมีวัตถุประสงค์เบื้องต้นเพื่อ
ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ เช่น คลองท่าขามจากนครศรีธรรมราชไปออกทะเล
เป็นต้น

ด้านศิลปกรรม

แม้สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีจะมีการงานศึกสงครามแทบจะมิได้ว่าง

เว้นก็ตามแต่ก็ทรงหาโอกาสฟื้ นฟู และบำรุงศิลปกรรมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ทางด้านนาฏดุริยางค์ และวรรณกรรม ด้านนาฏดุริยางค์โปรดให้ฟื้ นฟูอย่างเต็ม

ที่เพื่อสร้างบรรยากาศที่รื่นเริงครึกครื้นเหมือนครั้งกรุงเก่านับเป็นวิธี บำรุงขวัญ

ที่ใกล้ตัวราษฎรที่สุด พระราชทานโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเปิดการสอนและ

ออกโรงเล่นได้โดยอิสระ เครื่องแต่งกายไม่ว่าจะเป็นเครื่องต้นเครื่องทรงก็แต่ง

กันได้ตามลักษณะเรื่อง แม้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเองก็คงจะทรงสนพระทัยใน

กิจการด้านนี้มิใช่น้อย ด้วยมักจะโปรดให้มีละครและการละเล่นอย่างมโหฬารใน

งานสมโภชอยู่เนือง

สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี ทรงพระราชนิพนธ์บทละครรามเกียรติ์ไว้๔
เล่ม สมุดไทยแบ่งเป็นตอนไว้ ๔ ตอน คือ

เล่ม ๑ ตอนพระมงกุฎ
เล่ม ๒ ตอนหนุมานเกี้ยววานรินจนท้าวมาลีวราชมา
เล่ม ๓ ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษา จนทศกรรฐ์เข้าเมือง
เล่ม ๔ ตอนทศกรรฐ์ตั้งพิธีทรายกรด, พระลักษณ์ต้องหอกกบิลพัสตร์ จนผูก
ผมทศกรรฐ์กับนางมณโฑ

ด้านการช่าง

โปรดให้รวบรวมช่างฝีมือ และให้ฝึกงานช่างทุกแผนกเท่าที่มีครูสอน เช่น ช่าง
ต่อเรือ ช่างก่อสร้าง ช่างรัก ช่างประดับ ช่างเขียน เป็นต้น สำหรับงานช่างต่อเรือ
ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเป็นยุคที่มีการต่อเรือรบและเรือสำเภาค้าขายเป็น
จำนวนมากมาย ช่างสมัยกรุงธนบุรีนี้อาจจะไม่มีเวลาทันสร้างผลงานดีเด่นเฉพาะ
สมัย แต่ก็ได้เป็นผู้สืบทอดศิลปกรรมแบบอยุธยาไปสู่แบบรัตนโกสินทร์ ด้านการ
ศึกษาในสมัยนั้นวัดเป็นแหล่งที่ให้การศึกษา จึงโปรดให้บำรุงการศึกษาตามวัด
ต่างๆ และโปรดให้ตั้งหอหนังสือหลวงขึ้นเช่นเดียวกันกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่ง
คงจะเทียบได้กับหอพระสมุดในระยะหลัง ส่วนตำรับตำราที่กระจัดกระจายไปเมื่อ
คราวกรุงแตก ก็โปรดให้สืบเสาะหามาจำลองไว้เป็นแบบฉบับ สำหรับผู้สนใจอาศัย
คัดลอกกันต่อ ๆ ไป และที่แต่งใหม่ก็มี

ด้านการศาสนา

โปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆ ที่รกร้างปรักหักพังตั้งแต่ครั้งพม่าเข้า

เผาผลาญทำลายและกวาดต้อนทรัพย์สินไปพม่า แล้วโปรดให้อาราธนาพระภิกษุ

สงฆ์เข้าจำวัดต่างๆ ส่วนพระไตรปิฎกยังเหลือตกค้างอยู่ที่ใดก็โปรดให้คัดลอก

สร้างเป็นฉบับหลวง แล้วส่งคืนกลับไปที่เดิม เรื่องสังฆมณฑล โปรดให้ดำเนิน

ตามธรรมเนียมการปกครองคณะสงฆ์ที่มีมาแต่ก่อน โดยแยกเป็นฝ่ายคันถธุระ

และฝ่ายวิปัสสนาธุระ ฝ่ายคันถธุระดำเนินการศึกษาพระปริยัติธรรมให้เจริญ ส่ง

เสริมการสอนภาษาบาลี เพื่อช่วยการอ่านพระไตรปิฎก ฝ่ายวิปัสนาธุระ โปรดให้

กวดขันการปฏิบัติพระธรรมวินัยเป็นขั้น ๆ ไปตามภูมิปฏิบัติส่วน ลัทธิอื่น ๆ ใน

ชั้นต้นสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี พระราชทานเสรีภาพในการนับถือศาสนา

แต่ต่อมาข้าหลวงที่เข้ารีต ได้พยายามห้ามปรามชาวไทยปฏิบัติพิธีการทางศาสนา

เช่น พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ความขัดแย้งมีมากขึ้นเรื่อยถึงกับจับพวกบาท

หลวงกุมขังก็มี ในที่สุดพระองค์จำต้องขอให้บาทหลวงไปจากพระราชอาณาเขต

แล้วห้ามชาวไทยนับถือศาสนาคริสต์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๒๒

ด้านการศึกสงคราม


ขณะที่พระยาตากได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นพระ

ยาวชิรปราการ สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม

แต่ก็ยังมิได้ไปครองเมืองกำแพงเพชร เพราะต้องต่อสู้กับข้าศึกในการป้องกัน

พระนคร เมื่อพระยาวชิรปราการเล็งเห็นว่าถึงแม้จะอยู่ช่วยรักษาพระนครต่อไป ก็

คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด พม่าก็ตั้งล้อมพระนครกระชั้นเข้ามาทุกขณะจนถึง

คูพระนครแล้ว กรุงศรีอยุธยาคงไม่พ้นเงื้อมมือพม่าเป็นแน่แท้ ไพร่ฟ้าข้าทหารใน

พระนครก็อิดโรยลงมาก เนื่องจากขัดสนเสบียงอาหาร ทหารไม่มีกำลังใจจะสู้รบ

ดังนั้นพระยาวชิรปราการจึงตัดสินใจร่วมกับพระยาพิชัยอาสา พระเชียงเงิน

หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี และพรรคพวก รวม ๕๐๐ คน

ยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัย ตีฝ่าพม่าไปทางทิศตะวันออก เวลาค่ำในวันเสาร์

เดือนยี่ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ ตรงกับวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๐๙ ทัพพม่า

ได้ส่งทหารไล่ติดตามพระยาวชิรปราการและพรรคพวกมาทันกันในวันรุ่งขึ้นที่

บ้านโพธิ์สังหาร พระยาวชิรปราการได้นำพลทหารไทยจีนเข้ารบกับทหารพม่าเป็น

สามารถจนทหารพม่าแตกพ่ายไป และยังได้ยึดเครื่องศาสตราวุธอีกเป็นจำนวน

มาก แล้วออกเดินทางไปตั้งพักที่บ้านพรานนกเพื่อหาเสบียงอาหาร ระหว่างที่

ทหารพระยาวชิรปราการหาเสบียงอาหารอยู่นั้น ได้พบทัพพม่าจำนวนพลขี่ม้า

ประมาณ ๓๐ ม้า พลเดินเท้าประมาณ ๒,๐๐๐ คน ยกทัพมาจากบางคาง แขวง

เมืองปราจีนบุรี เพื่อเข้ารวมพลเข้าตีกรุงศรีอยุธยาในโอกาสต่อไป ทหารพระยา

วชิรปราการ(สิน)จึงหนีกลับมาที่บ้านพรานนก โดยมีทหารพม่าไล่ติดตามมาอย่าง

กระชั้นชิดและชะล่าใจ พระยาวชิรปราการจึงให้ทหารซึ่งเป็นพลเดินเท้าแยกออก

เป็นปีกกาเข้าตีโอบพวกพม่าทั้งสองข้าง ส่วนพระยาวชิรปราการกับทหารอีก ๔

คนก็ขี่ม้าตรงเข้าไล่ฟันทหารม้าพม่าซึ่งนำทัพมาอย่างไม่ทันรู้ตัวก็แตกร่นไป ถึง

พลเดินเท้าพวกทหารพระยาวชิรปราการได้ทีเข้ารุกไล่ฆ่าฟันทหารพม่าจนแตก

พ่ายไป การชนะในครั้งนี้ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ทหารพระยาวชิร

ปราการ(สิน)เป็นอย่างมากในโอกาสสู้รบกับพม่าในโอกาสต่อไป

การสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง

๑. การปราบปรามก๊กต่าง ๆ
พ.ศ.๒๓๑๑ ยกกองทัพไปปราบกรมหมื่นเทพพิพิธได้สำเร็จ แล้วสำเร็จโทษกรม
หมื่นเทพพิพิธด้วยท่อนจันทน์ ตามประเพณี

พ.ศ.๒๓๑๒ ยกทัพบกและทัพเรือไปปราบเจ้านครศรีธรรมราชได้สำเร็จ เมือง
ตานี และไทรบุรี ขอยอมเข้ารวมเป็นขัณฑสีมาด้วยกัน

พ.ศ.๒๓๑๓ ยกกองทัพไปตีเมืองสวางคบุรี ขณะที่เจ้าพระฝางตีได้เมือง
พิษณุโลกแล้วจึงยกกองทัพเข้าล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระฝางฝ่าแนวล้อมหนี
รอดไปได้

๒. การทำสงครามกับพม่า
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทำศึกกับพม่า ถึง ๙ ครั้ง แต่ละครั้งแสดงให้
เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ทางด้านยุทธศาสตร์อย่างดี เยี่ยม พร้อม
ด้วยน้ำพระทัยที่เด็ดเดี่ยวฉับไวการทำสงครามกับพม่าดังกล่าว ได้แก่

สงครามครั้งที่ ๑ รบพม่าที่บางกุ้ง พ.ศ.๒๓๑๐
สงครามครั้งที่ ๒ พม่าตีเมืองสวรรคโลก พ.ศ.๒๓๑๓
สงครามครั้งที่ ๓ ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก พ.ศ.๒๓๑๓ - ๒๓๑๔
สงครามครั้งที่ ๔ พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๓๑๕
สงครามครั้งที่ ๕ พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๖
สงครามครั้งที่ ๖ ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๗
สงครามครั้งที่ ๗ รบพม่าที่บางแก้วเมืองราชบุรี พ.ศ.๒๓๑๗
สงครามครั้งที่ ๘ อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ พ.ศ.๒๓๑๘
สงครามครั้งที่ ๙ พม่าตีเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๓๑๙

๓. การขยายพระราชอาณาเขตไปยังหลวงพระบางและเวียงจันทน์

พ.ศ.๒๓๒๑ พระเจ้านครหลวงพระบางขอสวามิภักดิ์เข้ารวมในพระราชอาณาจักร

ส่วนนครเวียงจันทน์ซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นพม่าตั้งแต่พ.ศ.๒๓๑๗ ได้กระทำการ

หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเดินทัพเข้ามาในพระราชอาณาเขต เพื่อกำจัดพระ

วอเสนาบดีเมืองเวียงจันทน์ซึ่งได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จ

พระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีจึงโปรดให้กองทัพไทยยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ ได้เมื่อ

พ.ศ.๒๓๒๒โปรดให้พระยาสุโภอยู่รักษาเมือง เมื่อเสร็จสงคราม สมเด็จเจ้าพระยา

มหากษัตริย์ศึก ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางจากเวียงจันทน์มา

ประดิษฐาน ณ กรุงธนบุรีด้วย

๔. การขยายพระราชอาณาเขตไปยังกัมพูชา
พ.ศ.๒๓๑๒ ทรงโปรดให้ยกกองทัพไปตีกรุงกัมพูชา เนื่องจากเจ้าเมืองกัมพูชา
ไม่ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ตามราชประเพณีที่เคย
ปฏิบัติมาทัพไทยตีได้เมืองเสียมราฐและพระตะบอง พ.ศ.๒๓๑๔ สมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกกองทัพไปตีกัมพูชาได้สำเร็จ สมเด็จพระนารายณ์
ราชากษัตริย์กรุงกัมพูชาได้ถือโอกาสมาตีเมืองตราดและเมืองจันทบุรี เมื่อตี
กัมพูชาได้แล้วทรงมอบให้นักองค์นนท์ปกครองต่อไป

สมัยรัตนโกสินทร์

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

พระราชประวัติ :

มีพระนามเดิมว่าด้วงหรือทองด้วง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ เดือน ๔ แรม

๔ ค่ำปีมะโรงจุลศักราช ๑๐๙๘ หรือวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙ ในรัชสมัย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเป็นบุตรของพระอักษรสุนทร ( ทองดี )

ข้าราชการกรมอาลักษณ์ กับท่านหยกธิดาเศรษฐี สืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยา

โกษาธิบดี ( ปาน ) เสนาบดีกรมพระคลัง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนารายณ์

มหาราช ท่านเข้ารับราชการครั้งแรกโดยถวายตัวเข้าเป็นมหาดเล็กในสมเด็จเจ้า

ฟ้าอุทุมพรกรมขุนพรพินิต เมื่อพระชนมายุ ๑๒ พรรษา ทรงผนวช ณ วัดมหา

ทลาย เป็นเวลา ๑ พรรษา ทรงกลับเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงและได้รับ

บรรดาศักดิ์เป็นหลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี เมื่อพระชนมายุ ๒๕ พรรษา

หลังเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าได้ ๑ ปี พระองค์ ได้เข้ามารับราชการในกรุงธนบุรี

ในตำแหน่งพระราชวรินทร์ ในกรมพระตำรวจหลวง ทรงเป็นกำลังสำคัญในการก

อบกู้บ้านเมืองและทำศึกสงครามมากมาย ในปี พ.ศ.๒๓๑๑ พระองค์ได้ตามเสด็จ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปปราบเจ้าพิมาย ภายหลังสงครามครั้งนี้ทรงได้

รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๑๒ ทรง

เป็นแม่ทัพไปตีเมืองเขมร (กัมพูชา) ตีได้เมืองพระตะบองและเสียมราฐ ด้วยพระ

ปรีชาสามารถในการทำสงครามอย่างมากมาย จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

จากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเลื่อนยศเป็นพระยายมราช เจ้าพระยาจักรี และ

สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ตามลำดับ เมื่อถึงปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้า

ตากสินมหาราชปีพ.ศ.๒๓๒๔ ขณะสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกำลังไป

ราชการทัพอยู่ที่เขมร ได้เกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี เกิดความขัดแย้ง

กันอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายกบฏที่ต้องการควบคุมองค์สมเด็จพระเจ้าตากสิน

มหาราช แล้วออกว่าราชการแทนกับฝ่ายต่อต้านกบฏก่อความเดือดร้อนให้แก่

ประชาชนอย่างมากสมเด็จ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงยกทัพกลับกรุงธนบุรี

ทันที และปราบปราม

ฝ่ายกบฏได้สำเร็จ เมื่อปราบปรามฝ่ายกบฏได้สำเร็จแล้ว ราษฎรและข้าราชการจึง

ได้อัญเชิญพระองค์ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า

พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินธร มหาจักรีบรมนาถพระพุทธยอดฟ้าจุฬา

โลก เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๕ นับเป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า สมเด็จ
พระอมรินทราพระบรมราชินี เป็นพระบรมราชินีองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
มีพระนามเดิมว่านาค มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้น ๔๒ พระองค์
โดยพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติในพระอัครมเหสีมี ๙ พระองค์ ได้แก่

๑.สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง (สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์)
๒. สมเด็จเจ้าฟ้าชาย (สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์)
๓. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงฉิมใหญ่
๔.สมเด็จเจ้าฟ้าชายฉิม
๕. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงแจ่ม
๖. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง (สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์)
๗. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุ้ย
๘. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง (สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์)
๙. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเอี้ยง

พพรระะรราาชชกกรรณณีียยกกิิจจ::

ด้านการปกครอง

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ทรง
ทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองที่สำคัญ ๒ ส่วน ได้แก่

๑. การปกครองส่วนกลาง (ราชธานี)
๒. การปกครองส่วนภูมิภาค (หัวเมือง)
การปกครองส่วนกลาง ประกอบด้วย
อัครมหาเสนาบดี มี ๒ ตำแหน่ง คือ
สมุหนายก เป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือน
สมุหกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหาร
เสนาบดีจตุสดมภ์ มี ๔ ตำแหน่ง คือเสนาบดีกรมเมือง,เสนาบดีกรมวัง,เสนาบดี
กรมพระคลัง และเสนาบดีกรมนา
การปกครองส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย
1.หัวเมืองฝ่ายเหนือ มีสมุหนายกเป็นผู้ดูแล
2.หัวเมืองฝ่ายใต้ มีสมุหกลาโหมเป็นผู้ดูแล
3.หัวเมืองชั้นเอก มีเจ้าเมืองบรรดาศักดิ์ชั้นเจ้าพระยาเป็นผู้ดูแล
4.หัวเมืองชั้นโท มีนักกรมการเมือง เช่น เจ้าเมืองแพ่ง และศุภมาตราเป็นผู้ดูแล
5.หัวเมืองประเทศราช เป็นหัวเมืองที่อยู่ห่างไกลถึงชายแดน มีอิสระปกครองตน
เอง แต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามกำหนดปกติ ๓ ปีต่อ ๑ ครั้ง
การปกครองภายในเมือง
หมู่บ้าน อยู่เป็นเจ้าเมือง (ผู้รั้ง) ทำหน้าที่เลือกผู้ใหญ่บ้านมาดูแล
ตำบล มีกำนันเป็นหัวหน้ามีบรรดาศักดิ์เป็นพัน
แขวง มีหมื่นแขวงเป็นผู้ปกครอง
เมือง มีท่านเจ้าเมืองหรือผู้รั้งเป็นผู้ปกครองดูแล

ด้านการเมือง

ในปี พ.ศ. ๒๓๒๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรด
เกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายขึ้นใหม่แล้วเขียนลงในสมุด ๓ ชุด โดยหน้าแรกของแต่ละ
ชุดได้ประทับตรา ๓ ดวง อันได้แก่ ตราราชสีห์ ตราคชสีห์และตราบัวแก้ว
กฎหมายนี้เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินและชำระคดีความจึงเรียกกันภาย
หลังว่า 'กฎหมายตราสามดวง' ลักษณะของกฎหมายนี้เป็นวรรณคดีมีการเรียบ
เรียงถ้อยคeอย่างสละสลวย เกลี้ยงเกลา อ่านง่าย เนื้อหาประกอบไปด้วย
กฎหมายลักษณะทั่วไป กฎหมายมณเฑียรบาล กฎหมายลักษณะการปกครอง
กฎหมายว่า ธรรมนูญศาลและพิจารณาคดี กฎหมายเอกชน กฎหมายอาญา
เป็นต้น กฎหมายตราสามดวงนี้ได้เป็นแบบฉบับใช้กัน ต่อมาจวบจนถึงรัชสมัย
ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ซึ่งมีการปฏิรูปกฎหมายและการศาล
ครั้งใหญ่ กฎหมายนี้จึงถูกยกเลิกไป

ด้านเศรษฐกิจ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเถลิงถวัลยราชสมบัติ
แล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ย้ายพระนครมาฝั่ งตะวันออก
ของแม่น้ำเจ้าพระยา เยื้องกับกรุงธนบุรีพระนครแห่งเดิม มีพระราชดำริว่า ฝั่ ง
ตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีลักษณะภูมิประเทศเป็นชัยภูมิดีกว่าฝั่ งตะวันตก

ในการทะนุบำรุงประเทศได้มาจากภาษีอากร ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ประการ คือ
จังกอบ อากร ส่วย และฤชา การค้าในสมัยนั้นได้ติดต่อค้าขายกับประเทศจีน
สินค้าคือ ข้าว ฝ้าย และผลิตผลต่างๆ บางลำก็ขายแต่สินค้าบางลำก็ขายทั้ง
สินค้าและเรือด้วยกัน ซึ่งรายได้นี้คือพระราชทรัพย์ที่นำมาบำรุงประเทศ

*ในรัชกาลที่ ๑ นี้เงินใช้เป็นเงินพดด้วง หรือเงินกรม*

ด้านการสังคม
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงห่วงใยสวัสดิภาพความ

ปลอดภัยของบรรดาพสกนิกรไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กเป็นอย่างมาก ทรงได้
ตราพระราชกำหนดใหม่ให้มีความยุติธรรมในด้านการฟ้องร้อง และการพิจารณา
คดีความแพ่งโดยได้ทรงออกกฎหมายหลายฉบับ เช่น กฎหมายห้ามไม่ให้ตกแต่ง
เครื่องประดับแก่เด็กๆ หากไม่มีแม่นมหรือพี่เลี้ยงคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อ
ความปลอดภัยมิให้ใครมาทำร้ายทำอันตราย ซึ่งแสดงให้ทราบว่าพระองค์ทรงมี
ความห่วงใย และทรงมองการณ์ไกลมาตั้งแต่แรก แม้ปัจจุบันมีให้เห็นอยู่เสมอใน
ความปลอดภัยของสภาพความเป็นอยู่ของสังคม

ด้านการศาสนา

พระพุทธศาสนาเสื่อมทรุดเศร้าหมองมาตั้งแต่ปลายรัชสมัยของสมเด็จพระ
เจ้ากรุงธนบุรี เมื่อมาถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้น
ครองราชสมบัติ พระองค์ให้ความสำคัญกับเรื่องศาสนาเป็นอย่างมาก คือ

๑. โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายคณะสงฆ์ ออกใช้ในปีแรก ๒ ฉบับ และต่อมา
ได้ทรงตราเพิ่มอีก รวมทั้งสิ้น ๑๐ ฉบับ ด้วยพระองค์ทรงมีความมุ่งหมาย เพื่อ
บังคับพระภิกษุสงฆ์ที่ไม่ประพฤติอยู่ในธรรมวินัย เช่น ห้ามเทศน์ตลกคะนอง
ห้ามมิให้หากินจุกจิกกับฆราวาส เป็นต้น

๒. โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอารามหลวง ในพระบรมมหาราชวัง ได้สร้างพระ
อุโบสถ พระเจดีย์ วิหาร และศาลาราย รวม ๑๒ หลัง และได้พระราชทานนามว่า
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้วนั่นเอง นอกจากนั้นยังทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ วัดอีกมากมาย

๓. ปี พ.ศ. ๒๓๓๑ การสังคายนาพระไตรปิฎก เมื่อว่างเว้นจากการสงคราม
บ้านเมืองสุขสงบ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงมีพระ
ราช ดำรัสว่า “พระไตรปิฎกธรรม อันเป็นของพุทธบริษัท ผิดเพี้ยนวิปลาสอยู่
มากควรจะตกแต่งดัดแปลงเสียให้ ถูกต้องบริบูรณ์เป็นหลักของศาสนาต่อไป”
หลังจาก ที่ได้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกแล้วเสร็จทรง โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง
พระไตรปิฎกขึ้นอีก ๒ ฉบับ เรียกว่า ฉบับรองทรง (หรือฉบับข้างลาย) และฉบับ
ทองชุบ เขียน เป็นอักษรขอมย่อความแบบโบราณ

กด้าารนบูกราณรปต่ฏาิงสังปขรระณเท์สศร้างวัดขึ้นมาใหม่ การสังคายนาพระไตรปิฎกของพระบาท
สมเดใ็นจรพัชรกะพาุลททีธ่ ย๑อกดลฟ่้าาวจไุดฬ้วา่โาลอกาณมหาาเขรตาชของไททำยใไหด้้กแาผร่ขศยาสายนอาใอนกบ้ไาปนอเยม่ืาองงไมี่คเควยามมี
คเจรัร้ิงญใดรุเ่งสเมรือเงหปมรือะชนามชานก่ตอ่านงโสดนยใจในพระพุทธศาสนาทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่
ยั่ทงิศยืนเหแนพือร่ตหลาอยดสเืขบตต่แอดมนาตลรานาบนทาุไกทวัยนไนปี้จจนึงดิแนสแดดงนใหจ้ีเนห็นถึงความดำรงมั่นในพระ
ปทณิิศธใตา้นตขลอองดพแรหะอลงมค์มอลย่าายงู แท้จริง
ทิศตะวันออก ตลอดหัวเมืองลาวจนถึงเขตแดนเขมร
ทิศตะวันตก ตลอดมะริด ตะนาวศรี และทวาย ดินแดนของพม่า

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับ
ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง คือ เขมร ญวน มลายู จีน ลาว นอกจากนี้ยังได้
มีการติดต่อกับประเทศทางตะวันตกคือ โปรตุเกสซึ่งถือเป็นชาติแรกที่มาติดต่อ
กับไทยในสมัยอยุธยาและต่อมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ที่สำคัญอีกประเทศหนึ่ง คือ
อังกฤษ ซึ่งเมื่อได้มาเข้าเฝ้าฯก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย ดาบประดับพลอย ๑ เล่ม กับ
ปืนด้ามเงิน ๑ กระบอก จึงทรงตั้งให้เป็นพระยาราชกัปตันและมีสัมพันธไมตรี
ตั้งแต่นั้นมา

ด้านการทหาร

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจะมีความสำคัญ
เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ชาติไทย และพระองค์จะเสด็จออกบัญชาการทหารด้วย
พระองค์เองในการสงครามดังนี้

สงครามครั้งที่ ๑ สงครามเก้าทัพ (พ.ศ. ๒๓๒๘)
พระเจ้าปดุงได้แต่งตั้งกองทัพมาตีเมืองไทยเป็นทัพใหญ่ถึง ๙ ทัพ จึงเรียกว่า
สงครามเก้าทัพรวมไพร่พลได้ถึง ๑๔๔,๐๐๐ คน แยกย้ายเข้าโจมตีตั้งแต่ทิศ
เหนือ คือเมืองลำปาง และหัวเมืองริมแม่น้ำแควใหญ่ แม่น้ำยม ถัดมาเข้าทาง
ด่านแม่ละเมาตีหัวเมืองริมแม่น้ำปิง ตั้งแต่เมืองตากเมืองกำแพงเพชรลงมา
ทัพหลวงซึ่งสำคัญที่สุดเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์เข้าตีกรุงเทพฯ ทางใต้ก็เข้า
มาทางด่านบ้องตี้ตีเมืองราชบุรีเมืองเพชรบุรีลงไปสมทบกับทัพบกทัพเรือจาก
เมืองมะริดเข้าตีหัวเมืองทางใต้

สงครามครั้งที่ ๒ ศึกท่าดินแดง (พ.ศ. ๒๓๒๙)
เป็นสงครามที่ต่อเนื่องมาจากสงครามเก้าทัพที่พม่าไม่สามารถจะเอาชนะ
กองทัพไทยได้จึงได้รวบรวมพล และเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ตั้งค่าย
รายทางตลอดจนถึงตำบลท่าสบ ท่าดินแดง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่ไทยอีกครั้ง
จนพม่าไม่คิดจะยกทัพมาตีเมืองหลวงของไทยอีกเลย

สงครามครั้งที่ ๓ ที่ลำปาง และป่าซาง (พ.ศ. ๒๓๓๐)
สงครามครั้งที่๔ ไทยตีเมืองทะวาย (พ.ศ. ๒๓๓๐)
สงครามครั้งที่ ๕ การรบที่เมืองทะวาย (พ.ศ. ๒๓๓๖)
สงครามครั้งที่ ๖ พม่าตีเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๓๔๐)
สงครามครั้งที่ ๗ ขับไล่พม่าออกจากเขต ลานนา (พ.ศ. ๒๓๔๕)


Click to View FlipBook Version