หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 แนวคิดและเทคนิคการจัดการ สมัยใหม่ จัดทำ โดย นายปิยวัฒน์ ชาวนาห้วยตะโก เลขที่ 7 นางสาววิชุตา ชื่นชมน้อย เลขที่ 4 นางสาวเมธาวี ดวงใจ เลขที่ 22 องค์การและการจัดการสมัยใหม่ เสนอ อาจารย์ขวัญนภา ปุณยานุเดช วิทยาลัยอาชีวศึกษานครปฐม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566
1. วิวัฒนาการของการจัดการองค์การ การจัดการอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่แทบจะเกิดขึ้นพร้อมกับอารยธรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะ สืบสาวเรื่องราวที่เก่าแก่ในอดีตเพียงใด จะพบว่าเมื่อมีกลุ่มก็จะต้องมีผู้นำ มี หัวหน้า ซึ่งจะต้องดำ เนิน บทบาทเป็นแกนนำ ของกลุ่ม เพื่อให้กลุ่มของตนดำ รงอยู่ได้ด้วย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย สามารถดำ รง ฐานะความเป็นกลุ่มให้คงอยู่เอาไว้อย่างเหนียว แน่น แต่การศึกษาเป็นทฤษฎีและหลักเกณฑ์ทางการจัดการ ที่มีรูปแบบเพิ่งจะเริ่มขึ้น เมื่อไม่นานมานี้ คือ ราวศตวรรษที่ 18 ภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่าง รวดเร็ว ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม โดยเปลี่ยนจากการผลิตในระบบช่างฝีมือมาเป็นการ ผลิตด้วยเครื่องจักร อันเป็นผลที่เกิดจากการที่มนุษย์สามารถคิดค้นพัฒนาเครื่องจักรต่าง ๆ ขึ้น ใช้แทนแรงงานคนและแรงงาน สัตว์ได้ ทำ ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิต ได้อย่างมหาศาล การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้น ครั้งแรกในยุโรปตะวันตกประมาณ ค.ศ. 1760-1830 มีการดัดแปลงเครื่องจักรมาใช้ในอุตสาหกรรมหลาย ประเภท เช่น อุตสาหกรรม ทอผ้า โดยใน ค.ศ. 1733 จอห์น เคย์ (John Kay) ได้ประดิษฐ์กระสวยบิน (Flying Shuttle) เป็นกระสวยที่ผูกติดไว้กับเชือกแล้วใช้วิธีกระตุกเชือกให้กระสวยพุ่งไปมาแทนการใช้คน ซึ่ง ทำ ให้การทอผ้ารวดเร็วขึ้น ได้ผ้าหน้ากว้างขึ้น ต่อมามีการพัฒนาประดิษฐ์เครื่องจักรและ อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทอผ้า เช่น เลวิส พอล (Lewis Paul) และจอห์น ยัตต์ (John Wyatt) ได้ประดิษฐ์เครื่องปั่นด้าย (Roll Spinning) ริชาร์ด อาร์กไรต์ (Richard Arkwright) ได้ ประดิษฐ์เครื่องปั่นด้ายโดยใช้พลังงานน้ำ ตก (Water Frame) เอ็ดมันด์ คาร์ตไรต์ (Edmund Cartwright) ประดิษฐ์เครื่องทอผ้าที่ใช้พลังงานไอน้ำ (Power Loom) โดยเป็นการนำ เอา เครื่องจักรไอน้ำ เข้ามาประกอบกับเครื่องทอผ้า จากการที่ได้มีการคิดค้น เครื่องจักรไอนได้ก่อน หน้านั้นราวใน ค.ศ. 1765 โดย เจมส์ วัตต์ (James Watt) ชาวสกอตแลนด์ ซึ่งเครื่องจักรไอ น้ำ ของเจมส์ วัตต์ ก็ถูกนำ มาดัดแปลงใช้ในอุตสาหกรรมอีกหลายด้าน ได้แก่ อุตสาหกรรม ถ่านหิน อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า อุตสาหกรรมยานยนต์ ส่วนอดัม สมิธ (Adam Smith) ได้นำ แนวคิดไปสู่การปฏิวัติทางเศรษฐกิจ ใช้หลักการแบ่งงานกันทำ (Division of labor) เพื่อก่อให้เกิด ความชำ นาญเฉพาะทาง (Specialization) การแบ่งงานกันทำ ได้ เปลี่ยนสภาพการผลิต จากการผลิตโดย ช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญหลายด้านไปเป็นการผลิต โดยคนงานที่เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง โดยอาศัย การทำ งานซ้ำ ๆ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำ ให้ ต้นทุนการผลิตต่ำ ราคาสินค้า และตลาดขยายตัวกว้างขึ้น จึงเป็น จุดเริ่มต้นที่ทำ ให้โลก เปลี่ยนแปลง วิธีการผลิตจากครัวเรือนเข้าสู่ยุคโรงงานและก่อให้เกิดความจำ เป็น ในด้านการ จัดการ ทั้งการสั่งงานและการประสานงานการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้ทำ ลายอาชีพของช่างฝีมือ เป็นจำ นวนมากและก่อให้เกิดกลุ่มแรงงานใหม่คือ คนงานที่ใช้แรงกายในภาคอุตสาหกรรม (Blue-Collar Industrial Worker)
นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา พัฒนาการของการจัดการได้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงจึงทำ ให้เกิดทฤษฎี ทางการบริหารจัดการตามยุคตามสมัย ดังนั้น ผู้บริหารจัดการองค์การจึงต้องสามารถ ประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางการบริหารจัดการให้เหมาะสมกับลักษณะขององค์การ เพื่อ ให้การดำ เนินงานประสบความสำ เร็จ การพัฒนาการของการบริหารจัดการได้เริ่มต้น ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา โดยแบ่งยุคสมัยออกเป็น 4 ยุค ตามช่วงระยะ เวลาโดยประมาณ (นิพนธ์ กินาวงศ์, 2554) ดังนี้ 2. การพัฒนาการของการจัดการองค์การ ระหว่าง ค.ศ. 1910-1935 มีลักษณะการบริหารแบบดั้งเดิมหรือแบบเก่า (Traditional Model) เป็นยุคของเฟรเดอริก เทย์เลอร์ (Frederick W. Taylor, 1998) ผู้ที่ถือว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหาร เชิงวิทยาศาสตร์ เทย์เลอร์ได้เสนอแนว ความคิดทางการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ว่าในการทำ งานใดก็ตาม จะสามารถใช้หลักทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับงาน นั้น ๆ ได้เสมอ โดยเฉพาะคนงานในระดับปฏิบัติ ซึ่งเทย์เลอร์เชื่อว่าการวิเคราะห์ ข้อมูลที่ได้จากสถานที่ปฏิบัติการ จะทำ ให้สามารถค้นหาวิธีการทำ งานที่ดีที่สุดเพียงวิธี เดียวได้ นอกจากนี้เทย์เลอร์ยังได้เสนอหลักการสำ คัญ ที่จะทำ ให้การปฏิบัติงานเกิด ประสิทธิภาพ ดังนี้ 2.1 ยุคการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) บุคคลสำ คัญที่ผลักดันให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม ภาพของอดัม สมิธ และเจมส์ วัตต์
2.2 ยุคการจัดการเชิงมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) ระหว่าง ค.ศ. 1930-1950 เป็นยุคแห่งการวิจัยที่มี ชื่อเสียง เรียกว่า Hawthorne Experiment โดยเอลตัน เมโย (Elton Mayo) และคณะได้ทําการทดลองระหว่าง ค.ศ. 1927-1932 โดยได้วิจัยความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะจิตใจ และร่างกายของคน ทำ งาน สภาพแวดล้อม ตลอดจนสถานที่ ทำ งานที่มีผลต่อผลผลิตและคุณภาพการผลิต โดยออกแบบ การวิจัยให้มีทั้งการสังเกต สัมภาษณ์ ทดลอง และการกำ หนด ตัวแปร ยุคนี้ให้ความสำ คัญกับคนปฏิบัติงาน เพราะคนเป็น ผู้มีชีวิตจิตใจ มีความคิด ต้องการ การยอมรับและต้องการ กําลังใจ 1. หาวิธีที่ดีที่สุด (One Best Way) 2. จัดคนให้เหมาะกับงาน (Put the Right Man to the Right Job) 3. งานเท่ากัน เงินเท่ากัน (Equal Work, Equal Pay) 4. เน้นความชำ นาญและการแบ่งงานกันทำ การเพิ่มผลผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพของ การทำ งาน นอกจากนี้การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ ยังมีส่วนประกอบสําคัญอีก 3 ลักษณะ คือ (Specification and Division of Work) โดยเน้น ไม่คำ นึงถึงคนที่ปฏิบัติงาน 1. มีแนวคิดที่ชัดเจน (Clear Concept) แนวความคิด ต้องชัดเจนแน่นอนในสิ่งที่จะ วิเคราะห์ 2. วิธีทางวิทยาศาสตร์ (Scientific) สามารถพิจารณา ข้อเท็จจริงได้ทางวิทยาศาสตร์หรือ สังเกตได้ แล้วนำ ข้อมูล ดังกล่าวมาทำ การทดสอบความถูกต้อง ถ้าเป็นจริงก็คือ หลักเกณฑ์ (Principles) 3. ทฤษฎี (Theory) หมายถึง การจัดระบบความคิด และหลักเกณฑ์มารวมกันเพื่อได้ ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ภาพของเฟรเดอริก เทย์เลอร์ บิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ ภาพของเอลตัน เมโย
2.3 ยุคการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science) ระหว่าง ค.ศ. 1950-1970 เป็นการขยายแนวคิดการ บริหารเชิงมนุษยสัมพันธ์ โดยเน้น พฤติกรรมการทำ งานในองค์การมีโครงสร้างแบบทางการและมีลักษณะเป็นพลวัตเน้นธรรมชาติของ แต่ละคนและกลุ่มคน เป็นแนวคิดที่ ผสมผสานการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์กับการบริหารเชิงมนุษยสัมพันธ์ไว้ด้วยกัน ยุคนี้มีผู้คิดค้น ทฤษฎีหลายท่าน ได้แก่ เชสเตอร์ ไอ. บาร์นาร์ด (Chester I. Barnard) ทฤษฎี ลำ ดับขั้นความ ต้องการของมาสโลว์ (Maslow-Hierarchy of Needs), ทฤษฎี X ทฤษฎี Y ของแมคเกรเกอร์ (Douglas McGregor) 2.4 ยุคการจัดการเชิงระบบ (Systems Approach) ระหว่าง ค.ศ. 1970-ปัจจุบัน องค์การขยายตัวอย่างรวดเร็ว สังคมสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เป็นการยากลำ บากในการพิจารณาพฤติกรรมองค์การทุกแง่ทุกมุมนักทฤษฎีองค์การสมัยใหม่ จึงสนใจที่จะศึกษาพฤติกรรมองค์การในแง่องค์การเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคมจึงจำ เป็น ต้องศึกษาความสัมพันธ์ระบบย่อยกับระบบใหญ่ มีนักทฤษฎีที่ เผยแพร่แนวคิดนี้ ได้แก่ ลุด วิก เบอร์ทาลันช์ฟ (Ludwig Bertalanffy), ทัลคอตต์ พาร์สันส์ (Talcott Parsons), เกตเซลและกบา (Jacob Getzel and Egon Guba) นอกจากแนวคิดและทฤษฎีดังกล่าวแล้ว ยังมีหลักการบริหารจัดการสมัยใหม่ที่เกิดขึ้น มากมาย สามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ เพียงแต่ต้องคำ นึงถึงความแตกต่าง ทางด้านปรัชญา การบริหารงาน กล่าวคือ การบริหารงานภาคธุรกิจมีความมุ่งหมายด้านผล ประโยชน์ส่วนบุคคล ขณะที่ภาครัฐ อยู่ที่ประโยชน์สาธารณะของประชาชนที่จะได้รับ ทำ นองเดียวกันมีภาคธุรกิจไม่น้อยที่หยิบยืมคุณค่า การบริหารงานภาครัฐไปใช้ในการ บริหารงาน โดยเฉพาะทางด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่มีเพิ่มมากขึ้น ภาพของ ดักลาส แมคเกรเกอร์
องค์การสมัยใหม่และองค์การสมัยเก่ามีลักษณะเหมือนกันที่ผู้บริหารองค์การส่วนใหญ่ ทั้งใน องค์การราชการและเอกชนต่างมีภารกิจมาก บุคลากรเลื่อนตำ แหน่งสับเปลี่ยนตัวตามวาระตลอด จนมีการเกษียณอายุ เป็นประจำ ทุกปี ยุคสมัยก่อนองค์การเผชิญกับสถานการณ์ที่คงเดิม ความ เปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ในเวลาอันสั้น บุคลากรทำ งานเชิงรับเพราะไม่ต้องรับมือกับ ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ทำ ให้มีการ บริหารงานแบบรวมศูนย์อำ นาจ มีโครงสร้างองค์การที่ ซับซ้อน บริหารจัดการแบบเคร่งครัดไม่ยืดหยุ่น เข้มงวดต่อกฎระเบียบ ผู้ปฏิบัติงานแต่ละคน รับผิดชอบงานเฉพาะด้าน ไม่ค่อยมีการสับเปลี่ยนหน้าที่ การให้ค่าตอบแทนขึ้นอยู่กับงานที่รับ ผิดชอบ ปฏิบัติงานโดยยึดติดกับเวลาและสถานที่ 3. องค์การสมัยใหม่สังคม สังคมแห่งยุคสมัยใหม่เป็นสังคมของการสร้างสรรค์และการเรียนรู้ปัญหาต่าง ๆ มีความซับ ซ้อน และสร้างผลกระทบมากขึ้น องค์การต้องมีบุคลากรที่มีความสามารถ ในการจัดการกับความ ไม่แน่นอน สามารถปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป รวมทั้งสร้างความได้เปรียบใน การแข่งขันเพื่อการประสบความสำ เร็จตามเป้าหมาย ภาวการณ์นำ องค์การสมัยใหม่ก็ต้องมีความ แตกต่างจากยุคสมัยก่อนโดยการเพิ่มศักยภาพของบุคลากรเพื่อการเรียนรู้และสามารถทำ งานที่ เกี่ยวข้องได้รอบด้าน เน้นการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว มีแนวทางที่ทันสมัย เป็นพลวัตเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
ส่วนองค์การสมัยใหม่ (Modern Organization) ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมภายใน และภายนอก ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา เป็นผลมาจากการพัฒนาทาง เทคโนโลยีและทำ ให้มีข้อมูลข่าวสาร ไหลเวียนอยู่ตลอด องค์การสมัยใหม่จึงมีการบริหาร แบบกระจายอำ นาจมากขึ้น มีโครงสร้างองค์การที่ เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ผู้ปฏิบัติงานมีการ สับเปลี่ยนตำ แหน่งหน้าที่อยู่เสมอ การให้ค่าตอบแทนขึ้นอยู่กับ ทักษะในการปฏิบัติงาน ทำ งานโดยไม่ยึดติดกับเวลาและสถานที่เพราะใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องช่วย ในการทำ งาน ได้ ในยุคสมัยเช่นนี้บุคลากรต้องทำ งานเชิงรุก จะปฏิบัติงานเชิงรับเหมือนในอดีตไม่ได้ การแก้ปัญหาหรือการปรับตัวที่ล่าช้าอาจทำ ให้องค์การไม่สามารถอยู่รอด การปฏิบัติงานใน ยุคสมัยใหม่ต้องมีการวางแผนโดยอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องเพียงพอซึ่งจะนำ ไปสู่การคาดการณ์ที่ แม่นยำ และถูกต้องดังนั้นองค์การทุกองค์การจำ เป็นต้องมีการจัดการที่ดี การจัดการที่ดีเป็นจุด เริ่มต้นของการดำ เนินงาน ขององค์การ การเติบโตและการดำ รงอยู่ต่อไปขององค์การ โดย เฉพาะอย่างยิ่งองค์การในยุตศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องเผชิญกับปัจจัยแวดล้อมที่มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ โลกาภิวัตน์และเทคโนโลยี ทำ ให้องค์การต้องมีแนวทางในการจัดการที่ทันสมัยเพื่อรับมือกับ การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยทั่วไปองค์การทุกองค์การจะมีลักษณะร่วมกันอยู่ 3 ประการ คือ 1. ทุกองค์การต้องมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของตนเอง 2. ทุกองค์การต้องมีคนร่วมกันทำ งาน 3. องค์การต้องมีการจัดโครงสร้างงาน แบ่งงานหน้าที่รับผิดชอบของคนในองค์การ 3.1 ลักษณะทั่วไปขององค์การ ลักษณะขององค์การจะแสดงให้เห็นภาพรวมขององค์การ ซึ่งจะบ่งบอกถึงสภาพแวดล้อม ด้านการปฏิบัติการ หน้าที่ของการจัดการ โครงสร้างองค์การ ความสัมพันธ์ภายในและ ภายนอกองค์การ ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นถึงระบบขององค์การที่เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่ม บุคคลเพื่อจัดตั้งเป็นองค์การตั้งแต่จุดกำ เนิดของการรวมตัวกันเพื่อให้เป็นองค์การ ลักษณะ ขององค์การจึงเป็นพื้นฐานของพฤติกรรม ของบุคคลโดยรวม ดังนั้นในภาพรวมองค์การจึงมี ลักษณะทั่วไปดังนี้ ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี, 2556
1. เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ แนวคิดนี้มององค์การโดยพิจารณาในรูปกรอบ (Framework) ของความรับผิดชอบระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน มีการกำ หนด ขอบเขตหน้าที่ ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานย่อยภายในองค์การในรูปของโครงสร้าง โดยมีลักษณะที่สำ คัญคือ 1) กำ หนดงานชัดเจน มีการแบ่งงานกันทำ สมาชิกในองค์การจะได้รับมอบหมายงานให้ ทำ งาน ตามความรู้ ความสามารถและความถนัดของแต่ละบุคคล 2) มีสายบังคับบัญชาเป็นชั้น ๆ ลดหลั่นกันลงมา ตั้งแต่ระดับสูงสุดลงมาถึงระดับล่างสุด ของ องค์การบร 3) มีวัตถุประสงค์ องค์การต้องมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน เพื่อสมาชิกขององค์การจะได้ยึดถือ เป็นแนวทางในการทำ งาน 2. เป็นกลุ่มบุคคล แนวคิดนี้มององค์การว่าเป็นกลุ่มของบุคคลที่มีเป้าหมายร่วมกัน โดยมี รากฐาน ความเชื่อว่าบุคคลลำ พังคนเดียวไม่สามารถที่จะทำ สิ่งต่าง ๆ ให้ตอบสนองความต้องการ ของตนได้ ทั้งนี้ เพราะการดำ เนินการบุคคลเพียงคนเดียวจะขาดพลัง (Strength) ความสามารถ (Ability) เวลา (Time) และศักยภาพ (Potentials) ที่จะลงมือปฏิบัติให้กิจกรรมนั้นสำ เร็จลุล่วง ไป ดังนั้นบุคคลจึงมุ่งแสวงหา ความร่วมมือร่วมใจเพื่อให้เป้าหมายที่วางไว้สัมฤทธิผลด้วยกลุ่ม บุคคลเกิดจากการรวมกลุ่มที่ถาวรเพื่อทำ กิจกรรมต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน ขนาดของกลุ่ม เท่าใดขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจการที่ทำ 3. เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการ แนวคิดนี้มององค์การเป็นหน้าที่สำ คัญอย่างหนึ่งของการจัดการ ที่ผู้บริหารต้องจัดทำ เพื่อนำ ปัจจัยต่าง ๆ ขององค์การมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะก่อให้เกิด ประสิทธิผล สูงสุด เช่น เงิน วัสดุอุปกรณ์ และบุคคล ดังนั้นเพื่อให้มีการใช้ปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว ให้มีประสิทธิภาพ จึงต้องมีความชัดเจนในการจัดองค์การ 4. เป็นกระบวนการ การจัดองค์การเป็นกระบวนการของกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติ หน้าที่ ในการทำ ให้องค์การประสบความสำ เร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ และดำ เนินไปใน แนวทางที่บรรลุผลสำ เร็จ ตามวัตถุประสงค์ที่กำ หนดไว้ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้นตอน (ตุลา มหาพสุธานนท์, 2557) ดังนี้ 1) การวางแผน (Planning) การวางแผนเป็นงานที่สําคัญและจําเป็นต่อการบริหารของ องค์การ เป็นภารกิจที่ผู้บริหารต้องกระทำ เป็นลำ ดับแรกของกระบวนการบริหาร การดำ เนินการ ใด ๆ ถ้ามีการ วางแผนที่ดี มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน ก็เชื่อได้ว่างานนั้นย่อมประสบผลสำ เร็จ และบรรลุเป้าหมายดังนั้นองค์การจึงต้องมีการวางแผนเพื่อให้กระบวนการปฏิบัติงานเป็นไปอย่าง มีประสิทธิภาพ การวางแผน จึงเป็นกระบวนการที่ต้องดำ เนินการอย่างต่อเนื่องและสามารถ ปรับปรุงแก้ไขได้อยู่เสมอ 2) การจัดการองค์การ (Organizing) เป็นกระบวนการกำ หนดความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากร และกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ เพื่อก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลสูงสุด เป็นการจัดระเบียบกิจกรรมต่าง ๆ ในองค์การและมอบหมายให้คน ปฏิบัติงานเพื่อให้ บรรลุผลสำ เร็จตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย ธุรกิจที่มีการจัดองค์การที่ดีจะ สามารถประสบความสำ เร็จ ในการแข่งขันและสามารถเอาชนะคู่แข่งขันได้
3) การนำ หรือการสั่งการ (Leading/Directing) เป็นการใช้อิทธิพลเพื่อจูงใจพนักงาน ให้ ปฏิบัติงานตามและนำ ไปสู่ความสำ เร็จหรือเป็นกระบวนการจัดการให้สมาชิกในองค์การ ทำ งานร่วมกันได้ ด้วยวิธีการต่าง ๆ เพราะทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่ซับซ้อนและเข้าใจ ถ่องแท้ได้ยาก การนำ หรือการสั่งการ จึงต้องใช้ความสามารถที่หลากหลายควบคู่กันไป อาทิ ภาวะความเป็นผู้นำ ของผู้บริหาร การจูงใจการติดต่อสื่อสารในองค์การ และการทำ งานเป็น ทีม 4) การประสานงาน (Coordinating) เป็นการเชื่อมโยงงานของทุกฝ่ายให้เข้ากันได้ และ กำ กับให้ไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน หรือเป็นการที่บุคคลหรือหน่วยงานในองค์การทำ งาน ร่วมกับบุคคลและ หน่วยงานอื่นเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกัน มีลักษณะเป็นกระบวนการที่ ต้องกระทำ ต่อเนื่องสอดคล้อง กันไปเพื่อให้งานสำ เร็จอย่างมีประสิทธิภาพ 5) การควบคุม (Controlling) เป็นการตรวจสอบการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามเป้า หมาย หรือวัตถุประสงค์ที่กำ หนดไว้หรือไม่ และการปฏิบัติงานนั้นมีมาตรฐานในการทำ งาน หรือไม่ การควบคุมจึงเป็นการตรวจสอบผลการปฏิบัติงานโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายและ ดำ เนินการเพื่อให้มั่นใจว่าจะบรรลุผลลัพธ์ตามต้องการ 5. เป็นระบบ แนวคิดนี้มององค์การเป็นระบบ ประกอบด้วย ระบบย่อย ๆ โดยการ พิจารณา ลำ ดับการทำ งานในองค์การในลักษณะเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ประกอบด้วย ปัจจัยนำ เข้า (Input) กระบวนการเปลี่ยนแปลง (Transformation Process) และผลผลิต (Output) รวมถึงข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) และสิ่งแวดล้อม (Environment) จะเห็นได้ ว่า ระบบเป็นการรวมสิ่งต่าง ๆ ในองค์การที่มี ลักษณะซับซ้อนให้เข้าลำ ดับ ประสานกันเป็น อันเดียว
3.2 ลักษณะขององค์การสมัยใหม่ องค์การถือเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องและมีความสำ คัญต่อการดำ รงชีวิตของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นองค์การขนาดเล็กหรือองค์การขนาดใหญ่ ย่อมต้องการให้องค์การดำ เนิน กิจกรรมบรรลุเป้าหมาย อย่างมีประสิทธิผล การออกแบบองค์การ จึงเป็นสิ่งสำ คัญสำ หรับ บุคคลทุกคนในองค์การ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งบุคคลในระดับบริหาร ซึ่งหากมีความรู้ความ เข้าใจถึงลักษณะองค์การสมัยใหม่แล้ว เชื่อว่าจะ สามารถบริหารและจัดการให้องค์การ สมัยใหม่ มีผลการดำ เนินงานตามวัตถุประสงค์ที่กำ หนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น องค์การสมัยใหม่ควรมีลักษณะดังนี้ 1. มีโครงสร้างองค์การที่ยืดหยุ่น องค์การสมัยใหม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บุคลากรต้อง ทำ งาน เชิงรับ เพราะต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้าน เศรษฐกิจ การตลาด ความต้องการของลูกค้า วิถีชีวิตของบุคคล (Life Style) เป็นต้น จึง ทำ ให้องค์การต้องมีการปรับตัวตาม สถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อม โดยจัดโครงสร้างองค์การ แบบยืดหยุ่น เรียบง่ายไม่ซับซ้อน และมีการบริหารงาน แบบกระจายอำ นาจ 2. ข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยีทันสมัย องค์การสมัยใหม่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว ตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีและทำ ให้มีข้อมูลข่าวสาร ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา องค์การสมัยใหม่จึงมีการบริหารแบบกระจายอำ นาจมากขึ้น ผู้ปฏิบัติงานมีการสับเปลี่ยน ตำ แหน่งหน้าที่ อยู่เสมอ การให้ค่าตอบแทนขึ้นอยู่กับทักษะในการปฏิบัติงาน ทำ งานโดย ไม่ยึดติดกับเวลาและสถานที่ เพราะสามารถใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องช่วยในการทำ งาน ได้ มีการทำ งานเชิงรุกซึ่งต้องวางแผนโดยอาศัย ข้อมูลที่ถูกต้องเพียงพออันจะนำ ไปสู่การ คาดการณ์ที่แม่นยำ 3. พัฒนาศักยภาพของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง สังคมแห่งยุคสมัยใหม่เป็นการสร้างสรรค์และการเรียนรู้ปัญหาต่าง ๆ ที่มีความซับ ซ้อนและสร้างผลกระทบมากขึ้น องค์การต้องมีบุคลากรที่มีความสามารถในการจัดการกับ ความ สังคมแห่งยุคสมัยใหม่เป็นสังคมของการสร้างสรรค์และการเรียนรู้ปัญหาต่าง ๆ มี ความ ไม่แน่นอน สามารถปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป รวมทั้งสร้างความได้ เปรียบในการแข่งขัน เพื่อให้ประสบความสำ เร็จตามเป้าหมาย ภาวการณ์นำ องค์การสมัย ใหม่ก็ต้องมีความแตกต่างจากยุคสมัยก่อนโดยการเพิ่มศักยภาพของบุคลากรเพื่อการเรียนรู้ และสามารถทำ งานที่เกี่ยวข้องได้อย่างรอบด้านเน้นการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อย่าง รวดเร็ว มีแนวทางที่ทันสมัยเป็นพลวัตเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งวิธีการหนึ่งที่ องค์การสามารถทำ ได้คือ การพัฒนาบุคลากรที่มีภาวะผู้นำ ให้มีจำ นวนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการ เพิ่มสมรรถนะของบุคลากรเพื่อให้รับมือได้ทุกสถานการณ์
4. มีบุคลากรที่มีภาวะผู้นำ จำ นวนมาก องค์การที่มีบุคลากรที่มีภาวะผู้นำ จำ นวนมากเป็นปัจจัยสำ คัญที่ช่วยสร้างและรักษา ประสิทธิผลขององค์การ ผู้ตามที่มีภาวะผู้นำ จะมีความคิดเชิงระบบ ทำ งานแบบป้องกันเชิง รุกไม่ใช่การแก้ปัญหาเชิงรับ ตลอดจนมีความสามารถในการทำ งานเป็นเครือข่าย ผู้ บริหารองค์การต้องพยายามใช้กระบวนการต่าง ๆ ที่จะสามารถกระตุ้นภาวะผู้นำ ในตัวผู้ ตามให้นำ ออกมาใช้เพื่อให้ผู้ตามมีภาวะผู้นำ ที่หลากหลาย บุคคลใด แม้จะไม่ได้เป็นผู้นำ แต่หากบุคคลนั้นมีภาวะผู้นำ ย่อมเป็นบุคคลที่ประสบความสำ เร็จใน การทำ งานและสามารถประสานงานกับบุคคลรอบข้างได้ดี 5. เปิดโอกาสให้มีความคิดเห็นอย่างอิสระ แนวคิดสมัยใหม่มองว่าองค์การเป็นสิ่งมีชีวิตสามารถพัฒนาและมีความคิดของตัวเอง การที่ องค์การจะคิดได้เองเกิดจากการมีกระบวนการที่ทำ ให้บุคคลทุกคนได้คิดอย่างอิสระ มีการสื่อสารที่นำ ไป สู่การเรียนรู้จนกลายเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) องค์การแต่ละแห่งมีความ แตกต่างกัน การบริหารองค์การที่ดีจึงเป็นเรื่อง ที่ต้องทำ ให้องค์การมีความยืดหยุ่น คล่องตัว ปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมได้มากที่สุด การปรับเปลี่ยนองค์การให้เหมาะสมจะทำ ให้องค์การสร้างประสิทธิผลที่สูงขึ้น 6. ผู้บริหารองค์การมีภาวะผู้นำ สูง ผู้บริหารองค์การควรพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพและพัฒนาคุณลักษณะที่สอดคล้องกับ บทบาทตลอดจนเรียนรู้ที่จะสลับบทบาทการเป็นผู้นำ และผู้ตาม ควรเป็นผู้ใช้การนำ ควบคู่ ไปกับการจัดการอย่าง เหมาะสมตามสภาพการณ์ แม้ผู้นำ กับผู้ตามในยุคสมัยใหม่จะมี ความแตกต่างกันในบทบาทหน้าที่แต่คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้นำ ที่ดีที่จะทำ ให้เกิด ประสิทธิผลองค์การกลับเป็นคุณลักษณะเดียวกันกับ ที่พบในผู้ตามที่มีประสิทธิผล (Effective Follower) เช่น คุณลักษณะด้านการริเริ่ม ความสามารถในการ พึ่งพา ตนเอง ความผูกพันต่อเป้าหมายร่วม ความกล้าตัดสินใจ ความมีน้ำ ใจ ความสามารถใน การสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับองค์การ เป็นต้น
เมื่อโลกย่างก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 กระแสโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ก่อให้ เกิดความ เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในทุก ๆ ด้าน เป็นผลให้องค์การทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างต้องปฏิรูปตนเอง เพื่อความอยู่รอดกันอย่างเต็มที่ องค์การที่มีความเฉลียวฉลาด สามารถ เรียนรู้และปรับตัวเข้ากับ ความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเท่านั้นที่จะสามารถดำ รงอยู่ได้ การพัฒนาองค์การ (Organization Development) ให้เป็นองค์การสมัยใหม่ (Modern Organization) ในปัจจุบันจึงได้รับความสนใจอย่างยิ่ง จากนักบริหารและนักพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ ดังนั้นผู้บริหารองค์การจึงได้มีการนำ แนวความคิดทางการ จัดการสมัยใหม่ มาใช้กันอย่างหลากหลาย ซึ่งพอจะสรุปได้ 3 แนวความคิด (Boydell, T., 1985) ดังนี้ 4. แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการสมัยใหม่ แนวความคิดการจัดการเชิงปริมาณมีจุดกำ เนิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้นำ นัก วิทยาศาสตร์ ของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษมาให้ทำ งานร่วมกันเป็นทีมเรียกว่า (Operation Research Group) เพื่อให้คำ ปรึกษาแก้ปัญหาในการรบ ทีมนัก วิทยาศาสตร์ดังกล่าวได้รับปัญหา เช่น จะวางปืนใหญ่ตำ แหน่งใดที่จะ ดีที่สุด จึงได้มีการ ใช้ประสบการณ์และความรู้ในการแก้สมการของปัญหาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ การสังเกตอย่างเป็นระบบของพฤติกรรมที่ทำ การศึกษา การสร้างตัวแบบจำ ลองโดยนำ ข้อ เสนอที่จะได้รับ มาสร้างตัวแบบจำ ลอง เพื่อประโยชน์ของการพยากรณ์การเปลี่ยนแปลง จากนั้นจึงทำ การอนุมานจาก ตัวแบบจำ ลองว่าจะมีพฤติกรรมอย่างไร และทำ การทดสอบตัว แบบจำ ลองเพื่อศึกษาพฤติกรรมที่ เปลี่ยนแปลงไปตามการพยากรณ์ในตัวแบบจำ ลอง หรือไม่ หลังจากนั้นแนวคิดการจัดการเชิงปริมาณจึงได้มีการนำ มาใช้กันในบริษัทต่าง ๆ จน ได้รับความ นิยมมาก และได้มีการนำ มาใช้ในการแก้ปัญหาของระบบการผลิตในโรงงาน อุตสาหกรรมมากขึ้น โดยมี การนำ มาใช้ในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจด้านต่าง ๆ ของ องค์การ เช่น การแก้ปัญหาเกี่ยวกับตาราง การปฏิบัติงาน การกำ หนดตำ แหน่งทำ เลที่ตั้ง ตัวแบบการขนส่ง ตัวแบบการควบคุมสินค้าคงเหลือ ตัวแบบโครงข่ายปฏิบัติงาน (PERT/CPM) ตัวแบบการจัดลำ ดับงาน และตัวแบบความน่าจะเป็น 4.1 แนวความคิดการจัดการเชิงปริมาณ
4.2 แนวความคิดการจัดการเชิงระบบ แนวความคิดการจัดการเชิงระบบเป็นการวิเคราะห์ถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ในระบบหรือ องค์การ ที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงวิเคราะห์ส่วนต่าง ๆ ในลักษณะองค์รวมของ องค์การ ผลที่ได้ จากการวิเคราะห์ปัญหาถึงส่วนประกอบของระบบในลักษณะองค์รวม จะให้ ผลดีมากกว่าการวิเคราะห์ปัญหาในระบบโดยการแยกส่วน นอกจากนี้ยังพบว่าระบบเปิดจะมี ความสัมพันธ์กับสภาวะแวดล้อมส่วนองค์การในระบบปิดนั้นจะไม่เปิดรับสิ่งใด ๆ นำ เข้ามา ในระบบ ดังนั้นองค์การคือระบบที่ประกอบ ไปด้วยส่วนต่าง ๆ ขององค์การซึ่งมีความสัมพันธ์ ซึ่งกันและกัน แนวคิดเชิงระบบนี้จำ เป็นจะต้องพิจารณา สภาวะแวดล้อมทั้งภายนอกและ ภายในขององค์การ มิใช่จะพิจารณาแต่เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบๆขององค์การ หรือจะ พิจารณาแต่เฉพาะระบบขององค์การโดยไม่พิจารณาสภาวะแวดล้อมภายนอกของ องค์การ ด้วย จากแนวความคิดการจัดการเชิงระบบสามารถสรุปหลักการที่สำ คัญได้ดังนี้ 1) ระบบทุกระบบประกอบไปด้วยระบบย่อย ในทุกระบบจะมีระบบย่อยหรือส่วน ประกอบ อย่างน้อยสองส่วนขึ้นไป และส่วนต่าง ๆ จะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน 2) เน้นที่องค์รวมของทุกระบบ การเน้นที่องค์รวมของทุกระบบจะให้ผลรวมที่มากกว่าการ เน้นที่ แต่ละส่วนประกอบของระบบแล้วนํามารวมกัน 3)การเป็นทั้งระบบปิดและระบบเปิด การมององค์การว่าเป็นระบบเปิดเป็นสิ่งสำ คัญ เพราะจะ ทำ ให้องค์การสามารถที่จะสนองตอบให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อม ส่วนระบบปิด ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็น ระบบที่ทำ หน้าที่ด้านใดด้านหนึ่งและไม่เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อม โดยตรง 4) ขอบเขตสิ้นสุดของระบบ ระบบทุกระบบจะสามารถแบ่งแยกประเภทของระบบว่า เป็นระบบ เปิดหรือระบบปิด เส้นกั้นแบ่งขอบเขตของระบบนี้ถ้าเป็นของระบบเปิดจะเปิด รับปัจจัยจากสภาวะแวดล้อม ภายนอกเข้ามา และนำ ปัจจัยภายในออกสู่สภาวะแวดล้อมภายนอกได้ 5) ความล้มเหลวของระบบปิด การเป็นระบบปิดนั้นมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวได้ง่ายกว่า ระบบเปิด เนื่องจากปิดตัวเองจากสภาวะแวดล้อมภายนอก สำ หรับระบบเปิดนั้นมีแนวโน้มที่ จะอยู่รอดได้ดีกว่า เนื่องจากการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา 6) การใช้ข้อมูลป้อนกลับ ระบบเปิดนั้นต้องการข้อมูลป้อนกลับเข้าสู่ระบบเพื่อนำ ข้อมูล นั้นมาใช้ เพื่อปรับตัวให้ดำ เนินต่อไปได้ การส่งข้อมูลป้อนกลับเข้าสู่ระบบ เช่น ข้อมูล เกี่ยวกับกระบวนการต่าง ๆ ของระบบ หรือข้อมูลที่เกี่ยวกับปัจจัยที่นำ ออกจากระบบ
7) มีการจัดลำ ดับขั้นของระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ตามจะมีลำ ดับขั้นที่ประกอบไป ด้วยระบบ ย่อย ๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกัน ในขณะที่องค์การจะประกอบไปด้วยระบบย่อย นั้น ๆ ก็จะเป็นระบบย่อย ของระบบที่ใหญ่กว่าด้วย เช่น หน่วยงานต่าง ๆ เป็นระบบย่อย ขององค์การนั่นเอง ตัวอย่างเช่น แผนก โฆษณาเป็นหน่วยงานย่อยของฝ่ายการตลาด ฝ่าย การตลาดเป็นหน่วยงานย่อยของบริษัทซึ่งเป็นองค์การเป็นต้น 4.3 แนวความคิดการจัดการเชิงสถานการณ์ ความสำ คัญของสภาวะแวดล้อมในฐานะที่เป็นปัจจัยนำ เข้า ที่ผู้บริหารจะต้องพิจารณาใน การแก้ปัญหาของความซับซ้อน ซึ่งตัวแปรเกี่ยวกับปัจจัยของสภาวะแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อ องค์การในปัจจุบัน ทำ ให้เกิดแนวความคิดเชิงสถานการณ์ขึ้นมา โดยแนวความคิดเชิง สถานการณ์นั้น จะยึดปรัชญาของ แนวความคิดเชิงระบบมาเป็นพื้นฐาน แต่จะมีความ ก้าวหน้ากว่าแนวความคิดเชิงระบบอีกขั้นหนึ่ง คือแนวความคิดเชิงสถานการณ์พยายามที่จะ ทำ ให้เกิดความสอดคล้องเข้ากันได้ระหว่างสภาวะแวดล้อมกับ โครงสร้างขององค์การนัก ทฤษฎีตามแนวความคิดเชิงสถานการณ์กล่าวว่าโครงสร้างขององค์การที่ดีที่สุด จะขึ้นอยู่กับ สภาวะแวดล้อมขององค์การ กล่าวคือ จะไม่มีโครงสร้างองค์การใดจะสามารถนำ มาใช้ได้กับ องค์การในทุกสถานการณ์ ตามแนวความคิดนี้เห็นว่าในบางกรณีโครงสร้างองค์การใน ลักษณะที่เป็น ระบบเปิด หรือโครงสร้างองค์การที่ไม่เป็นพิธีการจะมีความยืดหยุ่น ก็อาจ ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ได้ จากหลักการตามแนวความคิดเชิงระบบดังกล่าวข้างต้นนี้จะช่วยให้ผู้บริหารสามาร วิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆจะช่วยให้ผู้บริหารสามารถวิเคราะห์ถึงความ สัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆภายในระบบที่มีปฏิสัมพันธ์กันและกันได้อย่างทั่วถึงและมีความ ชัดเจน นอกจากนี้แนวความคิดเชิงระบบ ยังช่วยให้ผู้บริหารไม่ต้องมองหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะนำ มาใช้ในการจัดองค์การเสมอไป เนื่องจากหลักการ ของแนวความคิดนี้จะเน้นการปรับตัวให้ เข้ากับสภาวะแวดล้อมดังนั้นในด้านของโครงสร้างองค์การก็จะมีลักษณะที่เป็นเพียงปัจจัยใน การมุ่งเน้นเพื่อการแสวงหาโครงสร้างองค์การที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะ แวดล้อมเท่านั้น จากการศึกษาและวิเคราะห์องค์การแบบแยกส่วนซึ่งเป็นแนวความคิด การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์มาเป็นการวิเคราะห์เชิงระบบ นักทฤษฎีเชิงระบบอาจไม่เห็น ด้วยกับแนวความคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์และทำ ความเข้าใจกับ ส่วนย่อยในระบบก่อน แล้วจึงจะสามารถเข้าใจในส่วนรวมได้
แต่ในบางกรณีโครงสร้างองค์การที่เป็นระบบปิดหรือโครงสร้างองค์การที่เป็นพิธีการ และไม่ยืดหยุ่นก็สามารถนำ มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เช่นกัน นอกจากนี้ในองค์การ หนึ่งองค์การใด อาจจะกำ หนดโครงสร้างองค์การแบบหนึ่งมาใช้กับหน่วยงานหนึ่งหน่วยงาน ใด และกำ หนดโครงสร้าง อีกแบบหนึ่งมาใช้กับหน่วยงานอื่น ๆ ในองค์การเดียวกันนั้นก็ได้ เช่น อาจกำ หนดโครงสร้างองค์การแบบ เป็นพิธีการมาใช้กับหน่วยการผลิต และโครงสร้าง องค์การแบบไม่เป็นพิธีการมาใช้กับหน่วยงานที่ทำ หน้าที่ด้านการวิจัยและพัฒนา ดังนั้นจะ เห็นได้ว่าประสิทธิผลขององค์การตามแนวความคิดของนักทฤษฎี เชิงสถานการณ์นั้น จะขึ้น อยู่กับความสอดคล้องและความเข้ากันได้ระหว่างโครงสร้างองค์การกับสภาวะแวดล้อมภายนอก องค์การนั่นเอง 5. เทคนิคการจัดการสมัยใหม่ การจัดการสมัยใหม่หรือการจัดการยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization Management) เป็นการจัดการที่องค์การต้องเผชิญกับสภาวะแวดล้อมการแข่งขันที่รุนแรง เช่น การ เปลี่ยนแปลงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของ ลูกค้า การเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำ เนินธุรกิจผู้บริหารขององค์การจำ เป็นต้องให้ความ สำ คัญต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งพยายามในการกำ หนดกลยุทธ์ให้ กับองค์การเพื่อให้ดำ รงอยู่ได้ และให้มีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน รวมทั้งสามารถ สร้างผลกำ ไรและความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน จากแนวความคิดการจัดการสมัยใหม่หรือการจัดการยุคโลกาภิวัตน์นี้มุ่งให้ความสำ คัญ กับการดำ เนินงานและปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อนำ ไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันจากการ สร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ ในขณะที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและราคาลงได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำ คัญคือ การพัฒนา ความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน จึงเป็นเป้าหมายที่สำ คัญของแนวความคิด การจัดการยุคนี้ แนวความคิดการจัดการยุคโลกาภิวัตน์จะสามารถสร้างความได้เปรียบ ทางการแข่งขันโดยมีวิธีการต่าง ๆ หลายวิธี ได้แก่ Strategic Management,Balanced Scorecard, Six Sigma, Competency, Knowledge Management และ LearningOrganization ดังนั้นจึงมีความจำ เป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารองค์การและผู้ที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนาองค์การจะต้องเลือกใช้เครื่องมือต่าง 1 เหล่านี้อย่างเหมาะสม โดยต้องมีการ ศึกษาเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริงในแนวคิดและปรัชญาของทฤษฎี องค์การ พฤติกรรมองค์การและเครื่องมือทางด้านการบริหารและการพัฒนาองค์การนั้น ๆ ว่า เครื่องมือใดเหมาะสมกับองค์การของตนเองและสามารถนำ มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริงต่อองค์การ
5.1 การควบคุมคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management) ตามแนวความคิดของการควบคุมคุณภาพโดยรวมเป็นการดำ เนินงานที่เน้นการควบคุม คุณภาพทั่วทั้งองค์การ เพื่อให้บุคลากรทุกระดับ เกิดการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการ ทำ งานทุกด้านอย่างต่อเนื่องและสม่ำ เสมอ รวมทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการเชื่อมโยงการปฏิบัติการต่าง ๆ ที่เป็นกระบวนการที่ขนานกัน ไว้ จะทำ ให้สามารถทราบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนที่จะสายเกินแก้ไข (วิฑูรย์ สิมะโชค ดี, 2550) 5.2 การรื้อปรับระบบ (Re-Engineering) ผลจากการปรับปรุงคุณภาพหรือวิธีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยวิธีการควบคุมคุณภาพ โดยรวม(Total Quality Management) ตามวิธีการของญี่ปุ่นเป็นการปรับปรุงแบบค่อย เป็นค่อยไปทีละขั้นตอนอย่างไรก็ตาม แนวความคิดการจัดกรรื้อปรับระบบจะเป็นการ ปรับปรุงคุณภาพแบบทำ ทั้งระบบในครั้งเดียวดังนั้นการปรับปรุงที่เห็นผลสำ เร็จได้องค์การ จะต้องดึงแนวคิดและวิธีปฏิบัติออกมาจากกฎเกณฑ์และข้อสมมติฐานที่เก่าแก่และล้าสมัย รวมทั้งทำ การกำ หนดแนวคิดใหม่ทุกกระบวนการและทั้งระบบ ตั้งแต่การแสวงหาข้อมูล การ วางแผน การพัฒนาบุคลากร การควบคุม การประเมินผลงาน เป็นต้น 5.3 การวิเศราะห์สถานการณ์ (SWOT Analysis) เป็นการวิเคราะห์สภาพองค์การ เพื่อคันหาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค หรือสิ่งที่ อาจเป็นปัญหาสำ คัญในการดำ เนินงานสู่สภาพที่ต้องการในอนาคต หลักการสำ คัญของ SWOT ก็คือ การวิเคราะห์สภาพการณ์ 2 ด้าน คือ สภาพการณ์ภายในและสภาพการณ์ ภายนอก ตังนั้นการวิเคราะห์ SWOT จึงเรียกได้ว่าเป็น การวิเคราะห์สถานการณ์ (Sttuation Analysis) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน เพื่อให้รู้ตนเอง (รู้เรา) รู้จัก สภาพแวดล้อม (รู้เขา) ชัดเจน และวิเคราะห์โอกาสและอุปสรรค (Albert Humphery,2005) การวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในองค์การ จะช่วยให้ผู้บริหารขององค์การ ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกองค์การ ทั้งสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วและแนว โน้มการเปลี่ยนเปลงในอนาคต รวมทั้งผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ที่มีต่อองค์การ ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน ความสามารถด้านต่าง ๆ ที่องค์การมีอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ อย่างมากต่อการกำ หนดวิสัยทัศน์กำ หนดกลยุทธ์และการดำ เนินตามกลยุทธ์ขององค์การนั้น
5.4 การจัดการความรู้ (Knowledge Management) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า KM คือ เครื่องมือเพื่อใช้ในการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 3 ประการ ไปพร้อม ๆ กันได้แก่ บรรลุเป้าหมายของงาน เป้าหมายการพัฒนาคน และเป้าหมายการ พัฒนาองค์การไปสู่การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้โดยการจัดการให้มีการค้นพบความรู้ ความชำ นาญที่แฝงเร้นในตัวคน หาทางนำ ออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตกแต่งให้ง่ายต่อการ ใช้สอยและมีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีการต่อยอดพัฒนาและใช้ได้เหมาะสมกับสภาพความเป็น จริงและกาลเทศะยิ่งขึ้น มีความรู้ใหม่หรือนวัตกรรมเกิดขึ้นจากการเอาความรู้ที่ไม่เหมือนกัน มาเจอกัน หลักสำ คัญของการจัดการความรู้ คือ กระบวนการจัดการความสัมพันธ์ระหว่าง คนในการดำ เนินการจัดการความรู้โดยมีบุคคลสำ คัญในหลากหลายบทบาทหลากหลายรูป แบบที่ต่างคนต่างทำ หน้าที่ในบทบาทของตนเองให้ดีที่สุด แต่ต้องมีการทำ งานร่วมกัน มีการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาการทำ งานที่ดีและเหมาะสมที่สุด เพื่อให้องค์การสามารถขับ เคลื่อนไปได้อย่างสวยงามกลายเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งการเรียนรู้ในที่สุด (วิจารณ์ พานิช, 2555)โดยมีเป้าหมายการจัดการความรู้เพื่อพัฒนา 3 ประเด็น คือ พัฒนา งาน พัฒนาคน และเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) 5.5 องค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization: LO) เป็นองค์การที่มีการสร้างช่องทางให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันภายในระหว่าง บุคลากรควบคู่ไปกับการรับความรู้จากภายนอก เป้าประสงค์สำ คัญคือ เอื้อให้เกิดโอกาสใน การหาแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) เพื่อนำ ไปสู่การพัฒนาและสร้างเป็นฐานความ รู้ที่เข้มแข็ง (Core Competenceขององค์การ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา (Peter Senge, 1990ใน ค.ศ. 1990 ปีเตอร์ เชงกี้ (Peter M. Senge Ph.D.) ศาสตราจารย์แห่ง MIT Sloan Schoo of Management ได้เขียน "The Fifth Discipline: The Art and The Learning Organization"หรือ "วินัย 5 ประการ" เป็นแนวคิดเพื่อนำ องค์การไปสู่การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization: LO) ได้รับความนิยมและปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบันมีองค์การที่ได้ นำ เอาแนวคิดเรื่ององค์การแห่งการเรียนรู้มาปฏิบัติในต่างประเทศและได้รับความสำ เร็จใน การเป็นบริษัทระดับโลก
5.6 การวัดเปรียบเทียบสมรรถนะ (Benchmarking) การวัดเปรียบเทียบสมรรถนะเป็นการทำ งานอย่างเป็นระบบ เป็นกระบวนการในการ ดำ เนินธุรกิจที่ทำ ให้เรารู้จักตัวของเราเอง พิจารณาวิเคราะห์ว่าตัวของเราเป็นอย่างไร อยู่ที่ ใด เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ดีที่สุดในธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมหรือในโลกว่าเรากับเขาต่าง กันตรงไหน แล้วจึงนำ มากำ หนดวิธีที่จะปรับสภาพกระบวนการต่าง ๆ ทางธุรกิจ เพื่อที่จะไป ให้ถึงดีเทียบเท่า หรือดีกว่าเขาที่เคยเก่งที่สุดในปัจจุบันวิธีการคิดของ Benchmarking นั้น คือ ศึกษาดูงานของผู้อื่น แล้วนำ วิธีการมาเปรียบเทียบเพื่อหาวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ที่ดีที่สุด (Best Practices) และนำ มาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการและวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ใน องค์การ ให้เทียบเท่าหรือดีกว่าคู่แข่งขัน โดย Benchmarking ได้แบ่งการเปรียบเทียบ เป็น 2 ประเภท ได้แก่ การเปรียบเทียบในด้านอะไร และการเปรียบเทียบกับใคร 5.7 การวัดผลงานเชิงดุลยภาพ (Balanced Scorecard) เป็นเครื่องมือทางการบริหารจัดการสมัยใหม่ที่ใช้สำ หรับการบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) ซึ่งองค์การที่มีการจัดการแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน นิยม นำ มาใช้ในการควบคุมและประเมินผลการดำ เนินงานเพื่อให้องค์การบรรลุเป้าหมายต่อ ความสำ เร็จขององค์การ Balanced Scorecard เป็นผลงานของเคปแลนและนอร์ตัน (Kaplan and Norton, 2001) ซึ่งได้ นำ เสนอแนวคิดนี้ครั้งแรกในวารสาร Harvard Business Review เมื่อ ค.ศ. 1992 โดยมีแนวคิดว่าความสำ เร็จด้านการเงินเพียงอย่างเดียว ไม่น่าจะทำ ให้องค์การธุรกิจที่หวังผลกำ ไรประสบผลสำ เร็จได้อย่างยั่งยืน การที่องค์การจะ ประสบผลสำ เร็จได้อย่างยั่งยืนจะต้องประสบผลสำ เร็จในปัจจัยหลัก 4 ด้าน คือ 1) ด้านการเงิน 2) ด้านลูกค้า 3) ด้านกระบวนการภายใน และ 4) ด้านการเรียนรู้และ การพัฒนา ปัจจัยหลักทั้ง 4 ด้านจะต้องสัมพันธ์กันคือ ถ้าคนขององค์การเก่งคิด เก่งงาน มีการเรียนรู้ และมีความคิดสร้างสรรค์ จะส่งผลให้มีการพัฒนากระบวนการทำ งานสร้างผลงานที่เป็นเลิศ ทำ ให้ลูกค้าพึงพอใจและมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นทำ ให้ได้กำ ไรเพิ่มขึ้น
การนำ แนวคิดของการปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิต หรือ Best Practices มาใช้มิได้ จำ กัดขอบเขตอยู่เฉพาะในภาคธุรกิจเอกชนเท่านั้น ในส่วนของภาครัฐก็มีการนำ มาใช้เช่น เดียวกัน ซึ่งทำ ให้เกิดการจัดการภาครัฐสมัยใหม่ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศหรือ Best Practices ขึ้น การปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ (Best Practice) หมายถึง วิธีปฏิบัติหรือขั้นตอน การปฏิบัติที่ทำ ให้องค์การประสบความสำ เร็จหรือนำ ไปสู่ความเป็นเลิศตามเป้าหมาย เป็นที่ ยอมรับในวงวิชาการหรือวิชาชีพนั้น ๆ และมีหลักฐานความสำ เร็จปรากฎชัดเจน โดยมีการ สรุปวิธีปฏิบัติหรือขั้นตอนการปฏิบัติ ตลอดจนความรู้และประสบการณ์ ที่ได้บันทึกเป็น เอกสารและเผยแพรให้หน่วยงานภายในหรือภายนอกสามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้ 5.8 การจัดการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management) เป็นการบริหารอย่างมีระบบที่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ของผู้นำ องค์การเป็นส่วนประกอบและ อาศัยการวางแผนอย่างมีขั้นตอน เนื่องจากการบริหารกลยุทธ์เป็นการบริหารองค์รวม ผู้นำ ที่ มีความสามารถจะต้องอาศัยกลยุทธ์ในการจัดการองค์การที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับองค์การ และสามารถนำ ไปปฏิบัติได้จริงไม่ล้มเหลว เนื่องจากกลยุทธ์ที่ดีแต่ล้มเหลวจะไม่สามารถนำ ความสำ เร็จมาสู่องค์การได้ ดังนั้น ทั้งกลยุทธ์และนักบริหารที่เป็นผู้ตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์ และนำ กลยุทธ์ไปปฏิบัติจึงมีความสำ คัญเท่าเทียมกัน 5.9 การปฏิบัติเพื่อมงสุความเป็นเลิศ (Best placticed)