The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ข้อมูลสารสนเทศ ศศช.ห้วยปง 67

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jeabpy_dekdee, 2024-03-12 12:20:43

ข้อมูลสารสนเทศ ศศช.ห้วยปง 67

ข้อมูลสารสนเทศ ศศช.ห้วยปง 67

ข้อมูลสารสนเทศ ประจำปีงบประมาณ 2567 ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยปง หมู่ที่ 5 ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง”บ้านห้วยปง ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเชียงดาว สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเชียงใหม่ กระทรวงศึกษาธิการ


ก คำนำ เอกสารข้อมูลสารสนเทศพื้นฐาน ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยปง จัดทำขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลของชุมชนในการปฏิบัติงานของครูประจำศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง”บ้านห้วยปง โดยได้ปฏิบัติงานในด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต การศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ การศึกษา เพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน รวมถึงกิจกรรมงานการศึกษานอกโรงเรียนต่างๆ ที่ได้รับหมอบหมาย และการประสานงาน กับหน่วยงานอื่นๆในพื้นที่ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยปง ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเชียงดาว


ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข 1. ส่วนที่ 1ข้อมูลทั่วไป 1 2. ส่วนที่ 2 ข้อมูลพื้นฐานของสถานศึกษา 8 3. ส่วนที่ 3ข้อมูลสารสนเทศพื้นฐาน ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง”บ้านห้วยปง 14 1. ข้อมูลทั่วไป 14 2. ข้อมูลด้านประชากร 15 3. ข้อมูลด้านสังคม 15 4. ข้อมูลด้านการศึกษา 18 5. ข้อมูลด้านประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น 20 6. ข้อมูลด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 23 7. ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ 24 8. ข้อมูลด้านสุขภาพอนามัย 27 9.ข้อมูลด้านการปกครอง 28 การวิเคราะห์ชุมชน SWOT 29 ประวัติโดยย่อศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยปง 30 4. ส่วนที่ 4 แผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ 2567 45



1 ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ข้อมูลสภาพทั่วไปของอำเภอ เชียงดาว (คำเมือง: Lanna-Chiang Dao.png) เป็นหนึ่งในอำเภอของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้นกำเนิดของ แม่น้ำปิงซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของประเทศไทย และเป็นหนึ่งในสองของแม่น้ำที่บรรจบมาเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา และ อำเภอเชียงดาวมีอายุในการจัดตั้งเป็นอำเภอครบ 100 ปี ในปี พ.ศ. 2551 (ตั้งเป็นอำเภออย่างเป็นทางการในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2451) และในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564 ยูเนสโกได้ประกาศตั้งพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งใหม่ของ โลก คือ พื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว นับเป็นพื้นที่สงวน ชีวมณฑลลำดับที่ 5 ของประเทศไทย เดิมเมื่อครั้งนครเชียงใหม่ยังเป็นราชธานี ในเขตท้องที่อำเภอเชียงดาว เคยเป็นที่ตั้งของหัวเมือง น้อยใหญ่ ตามแนวชายแดนซึ่งขึ้นกับนครเชียงใหม่ คือ เมืองงาย เมืองแหง เมืองคอง และเมืองนะ จะมีประชาชนที่อาศัยอยู่ตาม แนวชายแดน คือ ชาวไทยส่วนใหญ่ ส่วนชาวพื้นเมืองจะอาศัยอยู่บริเวณเมืองคองและทางตอนใต้ของเมืองงายลงมา ต่อมาในปี พ.ศ. 2451 หัวเมืองเหล่านี้ได้ยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอเชียงดาว มีเจ้าราชบุตร ณ เชียงใหม่ ดำรง ตำแหน่งเป็นนายอำเภอคนแรกของอำเภอเชียงดาว อำเภอเชียงดาวเป็นอำเภอที่มีเมืองเก่าตั้งอยู่ในท้องที่หลายเมือง เท่าที่ทราบในปัจจุบันได้แก่ 1.เมือง เชียงดาว 2.เมืองงาย 3.เมืองนะ 4.เมืองคอง เมื่อ พ.ศ. 2525 เมืองเก่าทั้งสี่เมืองนี้ไม่ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า สร้างขึ้นในยุคสมัยใด แม้จะมีการกล่าวถึงในพงศาวดารบ้างก็เพียงแต่อ้างถึงเท่านั้น อ้างเพื่อประกอบเหตุการณ์จังหวัด เชียงใหม่บ้างประกอบเหตุการณ์สงครามระหว่างไทยกับพม่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาบ้างเท่านั้น ไม่มีรายละเอียดใด ๆ กล่าวถึงเมืองทั้งสี่นี้เลย การศึกษาเกี่ยวกับเมืองทั้งสี่เมืองนี้จึงต้องอาศัยค้าบอกกล่าวของผู้สูงอายุในรุ่นหลังประกอบกับ เหตุการณ์ของเมืองเชียงใหม่ เหตุการณ์สงครามระหว่างไทย–พม่า จากซากเมืองเก่า ซากเจดีย์ร้าง แล้วประมาณเอา ความน่าจะเป็นว่าสร้างอยู่ในยุคใดสมัยใด • วันที่ 30 มิถุนายน 2450 เปลี่ยนแปลงเขตแขวงปิงเหนือกับแขวงแม่แตง มณฑลพายัพ โดยโอนพื้นที่กิ่งแขวง เชียงดาว แขวงปิงเหนือ มาขึ้นกับแขวงแม่แตง ตั้งเป็นกิ่งแขวงเชียงดาว อำเภอแม่แตง • วันที่ 12 กรกฎาคม 2451 รวมกิ่งแขวงเชียงดาวและกิ่งแขวงเมืองแหง แขวงแม่แตง เป็น อำเภอเชียงดาว • วันที่ 10 มิถุนายน 2490 ตั้งตำบลแม่นะ แยกออกจากตำบลเชียงดาว • วันที่ 7 มกราคม 2500 จัดตั้งสุขาภิบาลเชียงดาว ในท้องที่หมู่ 4, 6 ตำบลเชียงดาว • วันที่ 24 สิงหาคม 2516 จัดตั้งตำบลเชียงดาว (เฉพาะเขตสุขาภิบาลเชียงดาว) ตำบลเมืองนะ ตำบลเมืองงาย และตำบลแม่นะ เป็น สภาตำบลเชียงดาว สภาตำบลเมืองนะ สภาตำบลเมืองงาย และสภาตำบลแม่นะ • วันที่ 26 กรกฎาคม 2520 ตั้งตำบลเปียงหลวง แยกออกจากตำบลเมืองแหง • วันที่ 16 สิงหาคม 2522 ตั้งตำบลปิงโค้ง แยกออกจากตำบลเมืองงาย • วันที่ 5 พฤษภาคม 2524 แยกพื้นที่ตำบลเมืองแหง และตำบลเปียงหลวง อำเภอเชียงดาว มาตั้งเป็น กิ่งอำเภอ เวียงแหง และกำหนดให้ขึ้นการปกครองกับอำเภอเชียงดาว • วันที่ 21 มิถุนายน 2526 ตั้งตำบลทุ่งข้าวพวง แยกออกจากตำบลเมืองงาย


2 • วันที่ 3 พฤศจิกายน 2536 ยกฐานะจากกิ่งอำเภอเวียงแหง อำเภอเชียงดาว เป็น อำเภอเวียงแหง • วันที่ 3 ธันวาคม 2536 ตั้งตำบลแสนไห แยกออกจากตำบลเปียงหลวง • วันที่ 7 ตุลาคม 2537 จัดตั้งสุขาภิบาลเมืองงาย ในท้องที่หมู่ 1–4, 9–10 ตำบลเมืองงาย • วันที่ 30 มกราคม 2539 ยกฐานะจากสภาตำบลเชียงดาว (เฉพาะเขตสุขาภิบาลเชียงดาว) สภาตำบลแม่นะ สภา ตำบลปิงโค้ง สภาตำบลเมืองงาย (เฉพาะนอกเขตสุขาภิบาลเมืองงาย) สภาตำบลทุ่งข้าวพวง และสภาตำบลเมือง นะ เป็น องค์การบริหารส่วนตำบลเชียงดาว องค์การบริหารส่วนตำบลแม่นะ องค์การบริหารส่วนตำบลปิงโค้ง องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองงาย องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งข้าวพวง และองค์การบริหารส่วนตำบลตำบล เมืองนะ • วันที่ 25 ธันวาคม 2539 ยกฐานะจากสภาตำบลเมืองคอง เป็น องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองคอง • วันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ยกฐานะจากสุขาภิบาลเชียงดาว และสุขาภิบาลเมืองงาย เป็น เทศบาลตำบลเชียง ดาว และเทศบาลตำบลเมืองงาย ตามลำดับ ด้วยผลของกฎหมาย • วันที่ 15 กรกฎาคม 2551 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองนะ เป็น เทศบาลตำบลเมืองนะ • วันที่ 18 กรกฎาคม 2551 เปลี่ยนแปลงชื่อองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองงาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นองค์การบริหารส่วนตำบลพระธาตุปู่ก่ำ และจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลพระธาตุปู่ก่ำ เป็น เทศบาล ตำบลพระธาตุปู่ก่ำจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลปิงโค้ง เป็น เทศบาลตำบลปิงโค้ง จัดตั้งองค์การบริหารส่วน ตำบลทุ่งข้าวพวง เป็น เทศบาลตำบลทุ่งข้าวพวง • วันที่ 24 สิงหาคม 2555 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลแม่นะ เป็น เทศบาลตำบลแม่นะ อาณาเขตติดต่อ อำเภอเชียงดาวมีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอและจังหวัดใกล้เคียงดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับรัฐฉาน (ประเทศพม่า) และอำเภอไชยปราการ ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอไชยปราการและอำเภอพร้าว ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอแม่แตง ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอปาย (จังหวัดแม่ฮ่องสอน) และอำเภอเวียงแหง


3 แผนที่พอสังเขปอำเภอเชียงดาว เขตการปกครอง อำเภอเชียงดาวแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 7 ตำบล 83 หมู่บ้าน ได้แก่ 1. เชียงดาว (Chiang Dao) 16 หมู่บ้าน 5. เมืองคอง (Mueang Khong) 6 หมู่บ้าน 2. เมืองนะ (Mueang Na) 14 หมู่บ้าน 6. ปิงโค้ง (Ping Khong) 16 หมู่บ้าน 3. เมืองงาย (Mueang Ngai) 11 หมู่บ้าน 7. ทุ่งข้าวพวง (Thung Khao Phuang) 7 หมู่บ้าน 4. แม่นะ (Mae Na) 13 หมู่บ้าน คำขวัญอำเภอเชียงดาว เชียงดาว ชายแดน ถ้ำสวย ดอยสูง พระสถูปเมืองงาย กำเนิดสายแม่ปิง ลักษณะภูมิประเทศ บริเวณอำเภอเชียงดาว ตั้งอยู่บริเวณที่ราบแคบ ๆ ของริมแม่น้ำปิง โดยมีทางหลวงสาย เชียงใหม่ – ฝาง หมายเลข 107 ตัดผ่านขนานตามแนวยาวเหนือใต้ บริเวณพื้นที่ราบมีความกว้างประมาณ 4 กิโลเมตร คิดเป็น พื้นที่ประมาณ 48 ตารางกิโลเมตร มีความแตกต่างของความสูง อยู่ในช่วง 300 ถึง 400 เมตร ของระดับน้ำทะเลปาน กลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของตำบลเชียงดาว ส่วนที่ตั้งของตำบลแม่นะ ตำบลเมืองงาย ตำบล ทุ่งข้าวพวง ตำบลปิงโค้ง ตำบล เมืองนะ และตำบลเมืองคอง เป็นบริเวณป่าไม้ภูเขาสูงเกือบทั้งหมดโดยเฉพาะตำบลเมืองคอง มีความสูงเฉลี่ยเกิน 1,000 เมตร ของระดับน้ำทะเลปานกลาง สำหรับเทือกเขาในเขตพื้นที่ อำเภอเชียงดาว มีหลายเทือกเขา เช่น ดอย หลวงเชียงดาวสูง 2,175 เมตร ของระดับน้ำทะเลปานกลาง ดอยสันคมพร้า สูง 1,443 เมตร ระดับน้ำทะเลปานกลาง


4 ดอยสามเส้า สูง 1,045 เมตร ดอยผาเอื้อง สูง 1,242 เมตร ดอยขุนแม่ระงอ สูง 1,193 เมตร ดอยจอมหด สูง 1,154 เมตร ระดับน้ำทะเลปานกลาง โดยทั่วไปสภาพพื้นที่อำเภอเชียงดาวเป็นภูเขา ที่ราบลุ่มแม่น้ำ และที่ราบเชิงเขา ส่วนที่ตั้ง ที่ว่าการอำเภอเชียง ดาว เป็นชุมชนหนาแน่นของอำเภอตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มของแม่น้ำปิง โดยมีทาง หลวงสายเชียงใหม่ - ฝาง หมายเลข 107 ผ่านขนานยาวเหนือ-ใต้ความยาวประมาณ 38 กิโลเมตร บริเวณที่ราบกว้างประมาณ 4 กม. คิดเป็นพื้นที่ ประมาณ 48 ตร.กม. ความแตกต่างความสูงอยู่ ในช่วงประมาณ 300-400 เมตร ของระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งของตำบลเชียง ดาวส่วนที่ตั้งของตำบลของตำบลแม่นะ ตำบลเมืองงาย ตำบลทุ่งข้าวพวง ตำบลปิงโค้ง ตำบลเมือง นะ และตำบลเมืองคอง เป็นบริเวณป่าไม้ภูเขาสูงเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะตำบลเมืองคอง มี ความสูง เฉลี่ยเกิน 1,000 เมตร ของระดับทะเลปานกลาง ในพื้นที่อำเภอเชียงดาวมีภูเขาที่สำคัญหลายแห่ง เช่น ดอย หลวงเชียงดาวสูง 2,175 เมตร ของระดับน้ำทะเลปานกลาง ดอยสันคมพร้าสูง 1,443 เมตร ดอยผาสามเส้าสูง 1,045 เมตร ดอยผา เอื้อง สูง 1,242 เมตร ดอยขุนแม่ระงอสูง 1,193 เมตร ลำน้ำที่สำคัญมีดังนี้ แม่น้ำปิง มีต้นกำเนิดจากดอยถ้วยบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาร์ในท้องที่ตำบลเมืองนะ ไหลผ่าน ตำบลเมืองงาย ตำบลเชียงดาว ตำบลปิงโค้ง และตำบลแม่นะ เข้าสู่อำเภอแม่แตง จังหวัด เชียงใหม่ รวมความยาวที่ ไหลผ่านอำเภอเชียงดาว ประมาณ 97 กิโลเมตร แม่น้ำแตง มีต้นกำเนิดบริเวณดอยถ้ำป่อง และดอยหลักแต่งชายแดนไทย-เมียนมาร์ใน ท้องที่ อำเภอเวียงแหง ไหลผ่านตำบลเมืองคอง ไปสู่อำเภอแม่แตง รวมความยาวที่ไหนผ่านอำเภอ เชียงดาว ประมาณ 35 กิโลเมตร ห้วยแม่ก๊ะ มีต้นกำเนิดในตำบลเชียงดาว แล้วไหลลงสู่แม่น้ำปิง มีพื้นที่ได้รับประโยชน์คือ หมู่ ที่ 4,6,7,8 ตำบลเชียงดาว และหมู่ที่ 1 ตำบลแม่นะ ห้วยแม่งาย มีต้นกำเนิดในท้องที่ตำบลเมืองงาย แล้วไหลลงสู่แม่น้ำปิง มีพื้นที่ได้รับ ประโยชน์ คือ หมู่ที่ 5,7 ตำบลเมืองงาย ห้วยแม่แมะ มีต้นกำเนิดในท้องที่ตำบลแม่นะ แล้วไหลสู่แม่น้ำปิง มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ คือ หมู่ที่ 1,2,3 ตำบลแม่นะ ห้วยน้ำซุ้ม มีต้นกำเนิดในตำบลแม่นะ แล้วไหลสู่แม่น้ำปิง มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ คือ หมู่ที่ 3,4 ตำบลแม่นะ ลักษณะภูมิอากาศ พื้นที่ของอำเภอเชียงดาว มีลักษณะพื้นที่ที่แตกต่างกัน ภาวะอากาศจึง แบ่งเป็น 3 ฤดู คือ 1. ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคม พื้นที่ราบอากาศจะร้อนจัดในตำบลพื้นราบ พื้นที่สูงจะเย็นสบาย เนื่องจากสภาพป่าไม้ยังมีความอุดมสมบูรณ์ และระดับความสูงของพื้นที่ 2. ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึง เดือน กันยายน จะมีฝนตกชุกในพื้นที่สูงและภูเขา ทำให้เกิดน้ำ ไหลหลาก ดินถล่มและเกิดอุทกภัยบ่อยครั้ง 3. ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึง เดือน กุมภาพันธ์ จะมีอากาศเย็น และหนาวจัดในพื้นที่สูง เนื่องจากสภาพพื้นที่มีภูเขาสูง และได้รับอิทธิพลจากภูมิอากาศในเทือกเขาถนนธงชัยหรือทิวเขาดอยอินทนนท์


5 ข้อมูลด้านประชากร อำเภอเชียงดาว มีจำนวนประชากร ทั้งหมดจำนวน 92,316 คน แยกเป็น ชาย 46,131 คน หญิง 46,185 คน จำนวนครัวเรือน 31,351 ครัวเรือน มีประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวน 9 เผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ การปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่อำเภอเชียงดาวประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 9 แห่ง ได้แก่ • เทศบาลตำบลเชียงดาว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเชียงดาว เฉพาะบางส่วนของหมู่ที่ 4, 6–8, 13 • เทศบาลตำบลเมืองงาย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเมืองงาย เฉพาะหมู่ที่ 2 และบางส่วนของหมู่ที่ 1, 3–4, 9–11 • เทศบาลตำบลเมืองนะ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเมืองนะทั้งตำบล • เทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเมืองงาย เฉพาะหมู่ที่ 5–8 และบางส่วนของหมู่ที่ 1, 3–4, 9–11 • เทศบาลตำบลปิงโค้ง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลปิงโค้งทั้งตำบล • เทศบาลตำบลทุ่งข้าวพวง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลทุ่งข้าวพวงทั้งตำบล • เทศบาลตำบลแม่นะ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแม่นะทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลเชียงดาว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเชียงดาว เฉพาะหมู่ที่ 1–3, 5, 9–12, 14–16 และ บางส่วนของหมู่ที่ 4, 6–8, 13 • องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองคอง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเมืองคองทั้งตำบล ศาสนา วัฒนธรรม และสภาพปัจจุบัน ศาสนา ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนา พุทธ คิดเป็นร้อยละ 82.59 ศาสนาอื่น ๆ ประกอบด้วย นับถือ ศาสนาคริสต์ คิดเป็นร้อยละ 6.72 นับถือศาสนาอิสลาม คิดเป็นร้อยละ 1 ด้านการท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สูง ยังมีสภาพป่าไม้ที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์และคงสภาพเดิมไว้ให้ นักท่องเที่ยวได้ชมความงามของธรรมชาติ และได้รับการบรรจุไว้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ของการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทยอีกด้วย แหล่งธรรมชาติที่มีความงามและนักท่องเที่ยวให้ความสนใจ มีดังนี้


6 ดอยหลวงเชียงดาว ดอยแม่ตะมาน สันป่าเกี๊ยะ ดอยค้ำฟ้า Doi Kham Fah วัดถ้ำเชียงดาว สกายวอล์คม่อนแจ่ม เมืองคอง น้ำตกศรีสังวาลย์ บ่อน้ำร้อนโป่งอาง จุดชมวิวเด่นทีวี เชียงดาว สวนนา หน้าวัด สวนบัวชมพู ณ จอมคีรี บ้านนาเหล่า เชียงดาว สวนสตรอเบอร์รี่กลางทุ่ง ด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย 1. สถานีตำรวจภูธร จำนวน 2 แห่ง ดังนี้ - สถานีตำรวจภูธรเชียงดาว - สถานีตำรวจภูธรนาหวาย 2. ค่ายพิชิตปรีชากร 3. หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 32 4. กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 335 ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ ประชาชนประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ได้แก่ การปลูกข้าว มันฝรั่ง ข้าวโพด ถั่วเหลือง พริก กระเทียม มะม่วง เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจและเป็นรายได้หลักของครอบครัว ด้านการเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่จะ เลี้ยงเพื่อจำหน่ายและเพื่อบริโภค ได้แก่ โค กระบือ หมู ไก่ ปลาดุก ปลานิล ปลาไน ปลาตะเพียน เป็นต้น รายได้ของประชากร - รายได้ของประชากรในเขตเทศบาล เฉลี่ย 35,000 บาท / ครัวเรือน / ปี - รายได้ของประชากรนอกเขตเทศบาล เฉลี่ย 15,500 บาท/ครัวเรือน / ปี (ต่ำกว่า 20,000 อยู่ในเกณฑ์ ยากจน) - ผลผลิตทางการเกษตรที่มีมากที่สุดในอำเภอ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ผลไม้เมืองหนาว - สัตว์เศรษฐกิจได้แก่ โค สุกร ไก่ ฯลฯ


7 ข้อมูลด้านการศึกษา การศึกษาของประชากรส่วนใหญ่ มีพื้นฐานความรู้ระดับประถมศึกษา อำเภอเชียงดาวมีการจัดการศึกษา ดังนี้ โครงสร้างสถานศึกษา การบริหารงาน ของ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเชียงดาว มีการแบ่งงานออกเป็น 3 กลุ่มงาน ได้แก่ กลุ่ม อำนวยการ กลุ่มจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กลุ่มภาคีเครือข่ายและกิจการพิเศษ


8 ส่วนที่ 2 ข้อมูลพื้นฐานของสถานศึกษา ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเชียงดาว ได้กำหนดทิศทางการดำเนินงาน ตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา และ แผนปฏิบัติการประจำปี โดยมีรายละเอียด ดังนี้ สภาพทั่วไปของสถานศึกษา ในปี พ.ศ. 2528 อำเภอเชียงดาวโดยการประสานของสำนักงานศึกษาธิการอำเภอเชียงดาว และการร่วมสนับสนุนงบประมาณจากภาคเอกชนและกรมการศึกษานอกโรงเรียน ได้จัดตั้งห้องสมุดประชาชนอำเภอ เชียงดาวขึ้น และศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอเชียงดาวได้จัดตั้งขึ้นตามประกาศกระทรวง ศึกษาธิการ ณ ว ั น ท ี ่ 2 7 ส ิ ง ห า ค ม 2 5 3 6 โ ด ย ฯ พ ณ ฯ ร ั ฐ ม น ต ร ี ช ่ ว ย ว ่ า ก า ร ก ร ะ ท ร ว ง ศ ึ ก ษ า ธ ิ ก า ร นายปราโมทย์ สุขุม เป็นผู้ลงนาม โดยประกาศจัดตั้งพร้อมกันทั่วประเทศ จำนวน 789 แห่ง ศูนย์บริการการศึกษา นอกโรงเรียนอำเภอเชียงดาว เริ่มดำเนินการโดยอาศัยอาคารห้องสมุดประชาชนอำเภอเชียงดาว เป็นสถานที่ทำการ มี ผู้บริหารคือ นางสาววิเลขา ลีสุวรรณ์ เป็นหัวหน้าสถานศึกษาดำรงตำแหน่งในปี พ.ศ. 2536 จนถึงในปี พ.ศ. 2548 ต่อมาได้เปลี่ยนผู้บริหารเป็น นางสาวเรณู ลีสุวรรณ์ ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวย ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียน ในปี พ.ศ. 2548 ถึง พ.ศ. 2553 โดยในช่วงเวลาดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อสถานศึกษาจาก ศูนย์บริการการศึกษานอก โรงเรียนอำเภอเชียงดาว เป็น “ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเชียงดาว”ตามพระราชบัญญัติการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย พุทธศักราช 2551 จนถึงปัจจุบัน และในปัจจุบันมี นางศิรพัชร์ ขันทสีมา ดำรงตำแหน่ง ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเชียงดาว ตั้งแต่วันที่ 18 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 จนถึงปัจจุบัน ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเชียงดาว มีหน้าที่ในการให้บริการการศึกษานอกโรงเรียนในเขตอำเภอเชียงดาว การประสานส่งเสริมการจัดการศึกษานอกโรงเรียนทั้งภาครัฐ และเอกชนสนับสนุนการจัดการศึกษาทั้งในและนอก ระบบสถานศึกษา จัดบริการการศึกษาแก่ประชาชนทั่วไปที่อายุพ้นเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับสายสามัญ การจัดการ ศึกษาตามอัธยาศัย ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา และพึ่งพาตนเองในสังคม ตลอดจนสนับสนุนให้คนในท้องถิ่นได้พัฒนา ตนเองทั้งระบบเครือข่ายและตนเอง ทำเนียบผู้บริหาร ลำดับ ชื่อ- สกุล ผู้บริหาร ตำแหน่ง ระยะเวลาการดำรง ตำแหน่ง 1 นางสาววิเลขา ลีสุวรรณ์ หัวหน้าศูนย์บริการการศึกษานอก โรงเรียนอำเภอเชียงดาว พ.ศ. 2536 ถึง พ.ศ. 2548 2 นางสาวเรณู ลีสุวรรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการการศึกษา นอกโรงเรียนอำเภอเชียงดาว พ.ศ. 2548 ถึง พ.ศ. 2553


9 3 นางสาวสุทธินี จับใจนาย ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ เชียงดาว พ.ศ. 2553 ถึง พ.ศ2563 4 นางศิรพัชร์ ขันทสีมา ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ เชียงดาว 18 พ.ย. 2563 ถึง ปัจจุบัน อาณาเขต ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ และ ชายแดนประเทศสหภาพพม่า ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน สภาพชุมชน ด้านการศึกษา ระดับการศึกษา จำนวนเพศชาย จำนวนเพศหญิง รวม ไม่เคยศึกษา 2,621 3,018 5,639 อนุบาล/ศูนย์เด็กเล็ก 1,058 1,143 2,201 ต่ำกว่าชั้นประถมศึกษา 2,689 2,753 5,442 จบชั้นประถมศึกษา 8,301 8,473 16,774 มัธยมศึกษาตอนต้น 3,168 2,798 5,966 มัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า 2,318 2,239 4,557 อนุปริญญา หรือเทียบเท่า 521 401 922 ปริญญาตรี หรือเทียบเท่า 1,062 1,406 2,468 สูงกว่าปริญญาตรี 59 74 133 อื่นๆหรือไม่ระบุ 17,557 17,842 35,399 รวม 39,354 40,147 79,501


10 ด้านการปกครอง อำเภอเชียงดาว แบ่งการปกครองออกเป็น 7 ตำบล, 83 หมู่บ้าน, เทศบาล 7 แห่ง และ อบต. 2 แห่ง ซึ่งแยกออกเป็นตำบล ดังนี้ ด้านประชากร ที่ ชื่อตำบล จำนวนประชากร (คน) ประชากรทั้งหมด เพศชาย เพศหญิง (คน) 1 เชียงดาว 5,536 5,754 11,290 2 เมืองคอง 1,966 1,924 3,890 3 เมืองงาย 2,669 4,132 6,801 4 เมืองนะ 14,013 13,955 27,968 5 แม่นะ 4581 4737 9318 6 ปิงโค้ง 6,258 5,233 11,491 7 ทุ่งข้าวพวง 4,331 4,412 8,943 รวมประชากร 39,354 40,147 79,501 • ด้านเศรษฐกิจ/การประกอบอาชีพ 1. การเกษตรกรรม สภาพทางเศรษฐกิจโดยส่วนรวมของอำเภอเชียงดาว ขึ้นอยู่กับภาวะทางการ เกษตร ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านเกษตร เศรษฐกิจของอำเภอจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับผลผลิตและราคา ผลผลิตทางการเกษตรเป็นสำคัญ ผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญได้แก่ ข้าวโพด ข้าว ถั่วเหลือง กระเทียม ยาสูบและ ถั่วลิสง เป็นต้น 2. การพาณิชยกรรม มีการประกอบอาชีพทางพาณิชยกรรม ได้แก่ การค้าผลผลิตทางการเกษตร มีร้านจำหน่ายสินค้า ประเภทอุตสาหกรรมและสินค้าอุปโภค บริโภค ร้านค้า และร้านขายของชำ แหล่งการค้า ที่สำคัญคือบริเวณตลาดสดในเขตสุขาภิบาลเชียงดาว บริเวณตลาดสุขาภิบาลเมืองงายและบริเวณตลาดแม่นะ ส่วนการ ซื้อสินค้าทางด้านเกษตรกรรม มีแหล่งรับซื้อในบริเวณตลาดสด สุขาภิบาลเชียงดาว บริเวณตลาดสด บ้านวังจ๊อมและ บริเวณตลาดสดบ้านเมืองนะ โดยมีพ่อค้าจากจังหวัดเชียงใหม่มารับซื้อเป็นครั้งเป็นคราว 3. การบริการและการท่องเที่ยว และสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ อำเภอเชียงดาวมี สถานที่น่าท่องเที่ยวอยู่หลายแห่ง ดังนี้ (1) พระสถูปเจดีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชราชานุสรณ์ ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ตำบล เมือง งาย หมู่ 2 ห่างจากที่ว่าการอำเภอเชียงดาวไปทางทิศเหนือ ประมาณ 12 กิโลเมตร ซึ่งสร้างจำลองจาก พระ สถูปเจดีย์เดิมที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองหาง รัฐฉานของประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า โดยได้อัญเชิญชิ้นส่วน ขององค์พระสถูปเดิมมาบรรจุเข้าในพระสถูปองค์นี้ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จมากระทำพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2508


11 (2) พระพุทธรูปหินอ่อน และพระพุทธมหามงคลชัย เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ ประดิษฐานบริเวณหน้าถ้ำเชียงดาว ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญยิ่งของอำเภอ เชียงดาว เจ้าหลวงคำแดง สถิตอยู่หน้าถ้ำเชียงดาว เชื่อกันว่าเป็นเจ้าพ่อที่ศักดิ์สิทธิ์ควบคุมทั่วภาคเหนือ (3) ดอยหลวงเชียงดาว ตั้งอยู่บริเวณเขตติดต่อระหว่างตำบลเชียงดาว ตำบลแม่นะ และตำบลเมือง คอง มีความสูงกว่า 2,175 เมตร มีความสูงเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศไทย (4) ถ้ำเชียงดาว สถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ อยู่ที่ดอยหลวงเชียงดาว หมู่ที่ 5 ตำบลเชียงดาว ในบริเวณยังมีถ้ำย่อยอีก 4 ถ้ำ คือ ถ้ำม้า ถ้ำน้ำ ถ้ำแก้วและถ้ำพระนอน ซึ่งห่างจาก ที่ว่าการอำเภอเชียงดาวประมาณ 5 กิโลเมตร (5) น้ำตกศรีสังวาลย์ เป็นน้ำตกหินปูนที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ ห่างจากที่ว่าการอำเภอ เชียงดาวประมาณ 30กิโลเมตร ตั้งอยู่บ้านนาหวาย หมู่ที่ 3 ตำบลเมืองนะ (6) น้ำตกทุ่งแก้ว เป็นน้ำตกหินอีกแห่งหนึ่งที่มีความสวยงามอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ 8 กิโลเมตรอยู่บริเวณน้ำรูหมู่6 ตำบลเมืองนะ (7) น้ำตกห้วยลึก เป็นน้ำตกอีกแห่งหนึ่งอยู่ติดกับถนนสายเชียงใหม่-ฝาง ห่างจากที่ว่าการอำเภอเชียง ดาวประมาณ 24 กิโลเมตร อยู่บริเวณ บ้านห้วยลึก หมู่ 7 ตำบลปิงโค้ง (8) น้ำตกแม่แมะน้ำตกธรรมชาติ 10 แห่ง และหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ วิถีชีวิตคนอยู่กับป่าและ ธรรมชาติตั้งอยู่ บ้านแม่แมะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ (9) บ่อน้ำร้อนโป่งอางบ่อน้ำร้อนธรรมชาติ กลางป่าเขา มีสถานที่ให้อาบน้ำแร่ แช่น้ำแร่ ท่ามกลาง บรรยากาศธรรมชาติ บ้านโป่งอาง ตำบลเมืองนะ (10) สันป่าเกี๊ยะหรือแม่ตะมาน เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นดอยเชียงดาวและทะเลหมอกยามเช้า มีแปลงดอกไม้และแปลงทดลองปลูกกาแฟ ตั้งอยู่ บ้านแม่นะ (11) ห้วยน้ำรูหรือดอยสามหมื่น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มี หมู่บ้านชาวเขาเผ่าลีซอ จุดชมทัศนียภาพ ที่สวยงามและจุดชมการปลูกกาแฟและผลไม้เมืองหนาว ตั้งอยู่ตำบลเมืองคอง (12) วันพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่มีเกจิอาจารย์ศิษย์หลวงปู่ดู่ วัด สะแก เป็นผู้นำคำสอนและแนวทางการปฏิบัติของหลวงปู่ทวด คือพระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า) เน้น การสวดมนต์ปฏิบัติและภาวนาบทสวดพระมหาจักรพรรดิเป็นหลัก ตั้งอยู่บ้านเมืองนะ ตำบลเมืองนะ (13) วัดถ้ำผาปล่อง เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมท่ามกลางธรรมชาติ เป็นสถานที่สงบเหมาะแก่การภาวนา จิต ภายในถ้ำจะมีรูปหล่อเหมือนองค์หลวงปู่สิมประดิษฐานอยู่ในท่าขัดสมาธิเพชร และมีเจดีย์แห่งความกตัญญูที่บรรจุ พระสารีริกธาตุและเป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องอัฐบริขารของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร • ด้านศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม ความเชื่อ 1. วัฒนธรรม วัฒนธรรม ชาวอำเภอเชียงดาว ได้รักษาวัฒนธรรมประเพณีของภาคเหนือไว้เช่นเดียวกับ อำเภออื่นๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือ เช่นการรับประทานข้าวเหนียว การพูดภาษาพื้นเมือง เหนือ การให้ความเคารพนับถือผู้สูงอายุ ใช้อักษรพื้นบ้านล้านนาเป็นสื่อในการเรียนที่วัดมีดนตรีพื้นเมือง เป็นเอกลักษณ์ ของตนเอง เป็นต้น


12 2. ประเพณีสำคัญ 1. ประเพณีสงกรานต์ รดน้ำดำหัว ซึ่งจะมีในเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 12 – 15 เมษายนของทุกปีเป็นประเพณีอันดีงามของชาวเหนือที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมา มีการรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุหรือผู้ ที่เคารพนับถือ โดยถือว่าเป็นการขออภัย(อโหสิกรรม) การได้ล่วงเกินในรอบปีที่ผ่านมาซึ่งกันและกัน 2. ประเพณีเดือนยี่เป็ง หรือประเพณีลอยกระทง ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ของทุกปี ประชาชนจะไปทำบุญตักบาตรที่วัดในตอนเช้า เวลากลางคืนจะมีการลอยกระทงตามแม่น้ำลำคลองใกล้บ้าน และ บางครั้งชาวบ้านจะรวมตัวกันจัดทำกระทงใหญ่ประดับประดาอย่างสวยงาม แห่ประกวด แล้วนำไปลอยน้ำ 3. ประเพณีเปตพลี(เป๋ตะพลี) หรือประเพณีเดือน 12 เหนือ ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 10 ของ ทุกปี ประชาชนที่มีญาติพี่น้องของตนเสียชีวิต จะไปทำบุญถวายอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องของตน โดยจะทำบุญถวายเครื่องไทยธรรมและฟังเทศน์ 1 กัณฑ์ เรียกว่า “กัณฑ์เปรตพลี” ซึ่งมีจุดประสงค์ว่า ในวันเพ็ญ เดือน 10 เป็นช่วงที่พระเจ้าเปิดโลกให้สัตว์ทั้งหลาย ได้ไปใช้ชีวิตของตนตามอัธยาศัย 4. ประเพณีตานก๋วยสลาก (สลากภัติ) นิยมถวายทานในช่วงใกล้ระยะออกพรรษา ประมาณ เดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม ของทุกปี นิยมถวายกันเกือบทุกหมู่บ้าน เพราะถือว่าได้อานิสงส์ในการ ถวายทานมาก จัดเป็นสังฆทานที่ไม่เจาะจงแก่พระภิกษุ-สามเณร รูปใด 5. ประเพณีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จะกระทำกัน ในวันที่ 25 มกราคมและวันที่ 15 เมษายน ของทุกปี ที่พระสถูปเจดีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชานุสรณ์ บ้านเมืองงาย ตำบลเมืองงาย 6. ประเพณีของสรวงเจ้าพ่อหลวงคำแดง ซึ่งเป็นที่สถิตของประธานใหญ่ของผีเมืองเชียงใหม่ ซึ่งจะมีพิธีบวงสรวง ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี 3. ค่านิยมและความเชื่อถือ ประชาชนร้อยละ 81 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 18 นับถือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 1 นับถือศาสนาอิสลาม นอกนั้นนับถือผีบรรพบุรุษ ตามจารีตประเพณีของแต่ละครอบครัวและแต่ละชุมชน ประชาชน ส่วนใหญ่มีจิตใจรักสงบ ชอบสันโดษตามอัตภาวะ


13 นางศิรพัชร์ ขันทสีมา ผู้อ านวยการ คณะกรรมการ สถานศึกษา กลุ่มอำนวยการและบริหารทั่วไป นางศิรพัชร์ ขันทสีมา กลุ่มจัดและส่งเสริมการศึกษานอกระบบ น.ส.ณภาภัช วงค์ประดิษฐ กลุ่มประสานภาคีเครือข่ายและ กิจการพิเศษ งานบุคลากร น.ส.ณภาภัช วงค์ประดิษฐ งานการศึกษาขั้นพื้นฐาน/เจ้าหน้าที่ ทะเบียน งานส่งเสริมสนับสนุนภาคี เครือข่าย งานการเงิน นางศิริกุล พยางาย เทียบระดับการศึกษา น.ส.จินดา ไชยมหา งานโครงการพระราชดำริ นายธรรมรัตน์ กันทะ งานบัญชี/เงินรายได้ สถานศึกษา งานการศึกษาต่อเนื่อง นางเกศดา ใจหอม งานป้องกันและแก้ไขปัญหา ยาเสพติดน.ส.ณภาภัช วงค์ งานพัสดุ น.ส.เจนจิรา ทาเขียว งานส่งเสริมการรู้หนังสือ น.ส.นิคาร ไชยมหา นโยบายและแผนงาน น.ส.ณภาภัช วงค์ประดิษฐ งานกิจกรรมลูกเสือ น.ส.จินดา ไชยมหา งานทะเบียนวัดผล น.ส.ณภาภัช วงค์ประดิษฐ งานประกันคุณภาพ สถานศึกษา งานธุรการและสารบรรณ น.ส.อริสรา ยอดทะนันชัย งานพัฒนาสื่อและหลักสูตร น.ส.ณภาภัช วงค์ประดิษฐ งานกิจการนักศึกษา นายสมคิด ไชยมงคล งานยานพาหนะ น.ส.ณภาภัข วงค์ประดิษฐ งานการจัดการศึกษาบนพื้นที่สูง นายธรรมรัตน์ กันทะ งานข้อมูลสารสนเทศและการ รายงานน.ส.ณภาภัช วงค์ งานนิเทศภายใน นางสาวณภาภัช วงค์ งานบุคลากร น.ส.ณภาภัช วงค์ประดิษฐ งานอาคารสถานที่ นายธรรมรัตน์ กันทะ งานประเมินผลการควบคุม ภายในนางศิรพัชร์ ขันทสีมา งานศูนย์บริการให้คำปึกษาแนะนำ น.ส.จินดา ไชยมหา งานกิจกรรมยุวกาชาด น.ส.จินดา ไชยมหา งานองค์กรคุณธรรม นางศิริกุล พยางาย งานศูนย์ส่งเสริมพัฒนา ประชาธิปไตยนางปรียาพร กลุ่มจัดและส่งเสริม การศึกษาตามอัธยาศัย น.ส.กฤตยา ธรรม งานห้องสมุด งานแหล่งเรียนรู้ ภูมิ ปัญญาท้องถิ่น ศูนย์ บ้านหนังสือชุมชน ห้องสมุดชาวตลาด งานส่งเสริมการอ่าน งานสถานศึกษาปลอดภัย น.ส.นิคาร ไชยมหา โครงสร้างสถานศึกษา โครงสร้างศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเชียงดาว


14 ส่วนที่ 3 ข้อมูลสารสนเทศพื้นฐาน ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง”บ้านห้วยปง 1. ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ ชื่อบ้าน...บ้านห้วยปง...หมู่ที่..5...ตำบล..แม่นะ..อำเภอ..เชียงดาว จังหวัด..เชียงใหม่ 1.1 การคมนาคม ระยะทางห่างจากอำเภอ...........10......กิโลเมตร 1.2 อาณาเขตติดต่อ ทิศเหนือ ติดต่อกับ หมู่บ้านปางแดง ทิศใต้ ติดต่อกับ หมู่บ้านแม่อ้อใน ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อุทยานแห่งชาติ ทิศตะวันตก ติดต่อ กับชุมชนบ้านแม่ยะ 1.3 จำนวนประชากร....546….......คน 1.4 พื้นที่ทั้งหมด 4,500 ไร่ เป็นพื้นที่ทำกิน 1,700 ไร่ พื้นที่อยู่อาศัย 800 ไร่ พื้นที่ป่า 2,000 ไร่ 1.5 อายุชุมชน.......35.....ปี ความเป็นมาของหมู่บ้าน บ้านห้วยปงจากเดิมทีเคยมีป่าอุดมสมบูรณ์ หลังจากการสัมปทานไม้จนสภาพป่าโล่ง จึงเริ่มมีชาวบ้านจากพื้นที่ ราบได้เข้ามาจับจองพื้นที่ดิน เพื่อทำไร่ข้าวโพดและข้าวไร่ ในปี พ.ศ.2541-2552 ครอบครัวของลุงปัน จาคำ ลุงบุญ ฐานที่และลุงโก๋ ได้เข้ามาตั้งรกรากเป็นกลุ่มแรก 3 หลังคาเรือน ระหว่างปี 2522-2532 เริ่มมีชาวไทยภูเขาเผ่ามูเซอ (ลา หู่) เข้ามาอาศัยอยู่ ย้ายมาจากอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ปี พ.ศ.2530 มีชาวปะหล่องย้ายเข้ามาจากอำเภอฝาง มาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านแม่จอน ห้วยหก ปางแดง และห้วยปงบางส่วน กลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่คือ นายเทย ปูหงส์ และ นายพัน 12 ครอบครัวย้ายมาจากเขตบ้านแม่จอน มาตั้งถิ่นฐานรวมตัวอยู่กับคนเมือง หรือคนพื้นที่ราบและในปีเดียวกัน ครอบครัวของนายแดง ปูยี่ ย้ายมาจากบ้านแกน้อย บ้านห้วยปง หมู่ 5 ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีสภาพเป็นหย่อมบ้านขึ้นกับหมู่บ้านหลัก คือ บ้านแม่ยะ ชาวบ้านห้วยปงประกอบด้วยมูเซอ (ลาหู่) ที่ย้ายมาจากอำเภอแม่อาย และชาวปะหล่องส่วนหนึ่งที่ย้าย มาจากอำเภอฝางและปางแดงใน มาตั้งหมู่บ้านอยู่ตามเชิงเขาในอุทยานแห่งชาติศรีลานนา มีลำห้วย 2 สายไหลผ่าน หมู่บ้านได้แก่ ห้วยปง อยู่ทางทิศเหนือ และห้วยคา อยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน ลักษณะการปลูกสร้างบ้าน ส่วนใหญ่เป็น บ้านยกพื้นเตี้ยๆ สร้างด้วยไม้ หลังคามุงด้วยคาและกระเบื้อง ปลูกสร้างรวมกันเป็นกลุ่ม ชาวปะหล่องเรียกตัวเองว่า ดาราอั้ง เป็นชาวไทยภูเขาที่หนีอพยพมาจากประเทศพม่าเพื่อหลบหนีสงคราม ภายในประเทศ ได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 14 ปี ที่ผ่านมาโดยอาศัยตามสันเขา บริเวณดอยอ่างขาง อำเภอ ฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนแยกย้ายอยู่บ้านปางแดง ถูกจับกุมข้อหาบุกรุกป่าสงวนหลายคน บางคนได้หลบหนีเข้าไปใน บริเวณป่าลึก บ้านแม่ออนและโรงชา ในขณะนั้นชาวปะหล่อง ประมาณ 6-7ครอบครัว ได้อพยพและขอซื้อที่อยู่อาศัย บริเวณป่าพื้นที่คนพื้นราบเข้ามาแผ้วถางทำไร่ข้าว ปลูกสร้างบ้านเรือนบริเวณหมู่บ้านห้วยปงในปัจจุบัน


15 หมู่บ้านห้วยปง หมู่ 5 ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ชันสูง ชุมชนบ้านห้วยปง ประกอบด้วยชาติพันธุ์ ปะหล่องหรือที่พวกเขาเรียกตัวเองว่า ดาราอั้ง กับมูเซอหรือลาหู่ เป็นกลุ่มใหญ่ ชาวมูเซอกับปะ หล่อง ตั้งบ้านเรือนระหว่างแนวลำห้วยปง มีบริเวณพื้นที่ของชุมชนอาศัยอยู่ประมาณ 800 ไร่ พื้นที่ทำกิน 700 ไร่ ถัดออกไปจากพื้นที่ทำกินจะเป็นเขตพื้นที่ป่าจะเป็นภูเขาสลับซับซ้อนมีความสูงตั้งแต่ 480-900 เมตร จาก ระดับน้ำทะเลปานกลาง ชุมชนบ้านห้วยปงเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ระหว่างแนวเขต ป่าสงวนแห่งชาติป่าเชียงดาว กับเขต อุทยานแห่งชาติ ศรีลานนา พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ เป็นป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ 2. ข้อมูลด้านประชากร 2.1 ข้อมูลประชากรจำแนกตามเพศ จำนวนประชากร 546 คน -แยกเป็นชนเผ่าลาหู่ (มูเซอ) 322 คน ชาย จำนวน 168 คน หญิง 154 คน -ชนเผ่าดาราอั้ง (ปะหล่อง) 224 คน ชาย จำนวน 132 คน หญิง 92 คน จำนวนหลังคาเรือน มีจำนวน 151 หลังคาเรือน - แยกเป็นลาหู่ (มูเซอ) 97 หลังคาเรือน - แยกเป็นดาราอั้ง (ปะหล่อง) 54 หลังคาเรือน ข้อมูลประชากรจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ ชนเผ่า ครัวเรือน ประชากร(คน) ผู้ใหญ่(คน) เด็ก(คน) ลาหู่ 97 322 233 89 ดาราอั้ง 54 224 180 44 รวม 151 546 413 133 2.2 ข้อมูลประชากรจำแนกตามช่วงอายุ ช่วงอายุ จำนวน (คน) ร้อยละ 0 –6 ปี 53 9.80 7 – 14 ปี 80 14.65 15 – 25 ปี 99 18.13 26 - 59 ปี 239 43.77 60 ปีขึ้นไป 75 13.73 รวม 546 100


16 2.3 การนับถือศาสนา ศาสนา จำนวน (คน) ร้อยละ พุทธ 455 83.33 คริสต์ 91 16.66 อิสลาม ไม่มี ไม่มี นับถือผี ไม่มี ไม่มี อื่น ๆ (ระบุ)............. ไม่มี ไม่มี จำนวนคนเกิดในรอบปีที่ผ่านมา...........5.........คน จำนวนคนตายในรอบปีที่ผ่านมา.....6.....คน สาเหตุของการตาย จำนวน(คน) ชราภาพ 4 เจ็บป่วย 2 อุบัติเหตุ - อื่น ๆ (ระบุ).............. - รวม 6 จำนวนผู้พิการจำแนกตามประเภท ประเภท จำนวน (คน) พิการทางสมอง 2 พิการทางสายตา 1 พิการทางร่างกาย 1 พิการซ้ำซ้อน - รวม 5 2.4 ปัญหาด้านประชากร ได้แก่ - ปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ปัญหาการเจ็บป่วยทั่วไป - ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน / ไม่มีสัญชาติไทย 3. ข้อมูลด้านสังคม 3.1 ศาสนสถานในชุมชน ได้แก่ -โบสถ์ จำนวน 2 แห่ง - วัด จำนวน 1 แห่ง - หอแหย่ จำนวน 1 แห่ง


17 3.2 การปกครองชุมชน แบบเป็นทางการ ลำดับ ชื่อ – สกุล ตำแหน่ง 1 นายชาญชัย กาเหล็ก ผู้ใหญ่บ้านแม่ยะ หมูที่ 5 2 นายแดง ปูยี่ ผู้นำหมู่บ้าน (เผ่าลาหู่) 3 นายสิริธญพล ธรรมชัยยะ ผู้นำหมู่บ้าน (เผ่าดาราอั้ง) 4 นายจะแฮ จะกอ กรรมการหมู่บ้าน 5 นายจะหวะ จะโหล กรรมการหมู่บ้าน 6 นายจะอือ จะแตะ กรรมการหมู่บ้าน 7 นายจรินทร์ ปูยี่ กรรมการหมู่บ้าน 8 นายจะโบ จะกอ กรรมการหมู่บ้าน 9 นายจะแล จะคา กรรมการหมู่บ้าน 10 นายจะกุ่ย ปูลา กรรมการหมู่บ้าน 11 นายจะนุ จะหยี กรรมการหมู่บ้าน 12 นายจะกอ แสฮอ กรรมการหมู่บ้าน 13 นายถนอม จองคำ กรรมการหมู่บ้าน 14 นายสมชาย กรแสง กรรมการหมู่บ้าน 15 นายอุ๋ย มหาอินทร์ กรรมการหมู่บ้าน 16 นายปัน เซียมราย กรรมการหมู่บ้าน 17 นายปอย นายอ่อง กรรมการหมู่บ้าน 18 นายโผ่ง หมอกใส กรรมการหมู่บ้าน 3.3 การจัดตั้งกลุ่มในชุมชน รายการ จำนวน(กลุ่ม) จำนวนสมาชิก (คน) กรรมการหมู่บ้าน 2กลุ่ม 17 คน อสม. 1 กลุ่ม 6 คน กองทุนน้ำ 1 กลุ่ม 70 คน กลุ่มกองทุนแพลน 1 กลุ่ม 70คน กลุ่มออมทรัพย์ 1 กลุ่ม 70 คน กลุ่มกองทุนไทยเบฟ 2 กลุ่ม 70 คน 3.3 องค์กร หน่วยงาน สถานศึกษาในชุมชน มี 2 แห่ง - ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยปง - โรงเรียนบ้านปางแดง - โครงการขยายผลโครงการหลวงปางแดงใน


18 4. ข้อมูลด้านการศึกษา 4.1ระดับการศึกษาของประชาขนทุกคนในหมู่บ้านห้วยปง ระดับการศึกษา ชาย หญิง รวม ผู้ไม่รู้หนังสือ 98 87 185 ต่ำกว่าระดับประถมศึกษา 25 17 42 ระดับประถมศึกษา 78 60 138 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 18 32 50 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 14 21 35 อนุปริญญา 3 5 8 ปริญญาตรี 4 1 5 ปริญญาโท - - - ปริญญาเอก - - - 4.2 จำนวนผู้เรียนในระบบโรงเรียนในปัจจุบัน 4.3 จำนวนผู้เรียน สกร.ในปัจจุบัน ระดับ จำนวน ผู้ไม่รู้หนังสือ 20 เด็กก่อนวัยเรียน 5 ประถมศึกษา (ศศช.) 12 ประถมศึกษา 2 มัธยมศึกษาตอนต้น 7 มัธยมศึกษาตอนปลาย 11 รวม 57 ระดับ จำนวน ระดับก่อนประถมศึกษา 48 ระดับประถมศึกษา 36 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 43 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 31 อนุปริญญา - ปริญญาตรี - ปริญญาโท - ปริญญาเอก -


19 4.4การเรียนต่อของคนในชุมชน 1) ผู้จบระดับประถมศึกษา ในระบบโรงเรียน - คน - เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในระบบโรงเรียน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 100 2) ผู้จบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (การศึกษาภาคบังคับ) ในระบบโรงเรียน 1 คน - เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในระบบโรงเรียน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 100 - เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน. 3 คน คิดเป็นร้อยละ 100 4.5 ปัญหา 1. ปัญหาด้านการศึกษา ได้แก่ ผู้เรียนงานส่งเสริมการรู้หนังสือ มีทักษะในการเรียนต่างกัน ดังนี้ 1. พูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ ฟังภาษาไทยเข้าใจ รู้ความหมาย แต่พูดโต้ตอบกลับมาเป็นภาษาไทยไม่ ค่อยได้ 2. เขียนได้ แต่อ่านไม่ได้ไม่เข้าใจความหมาย 3. อ่านไม่ได้ เขียนไม่ได้ ไม่เข้าใจภาษาไทยเลย จากปัญหาดังกล่าวทำให้การจัดการเรียนการสอนต้องสอนอย่างช้าๆ และมีการเรียนที่ต่างกัน การ เรียนต้องเรียนซ้ำไปมา 2. ปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่าย 3. ปัญหายาเสพติด 4. ปัญหาด้านวัฒนธรรม ได้แก่ ปัญหากระแสวัฒนธรรมข้างนอกเข้ามาในพื้นที่เนื่องจากได้รับจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ สื่ออินเตอร์เน็ตต่างๆ 4.6.แหล่งเรียนรู้ในชุมชน 1. ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง”บ้านห้วยปง กศน. เชียงดาว ให้มาจัดกิจกรรมในการให้ความรู้แก่ชาวบ้านใน ปี พ.ศ. 2542 ได้จัดตั้งอาคาร เรียน และครูได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับชุมชนโดยใช้หลักสูตรเบ็ดเสร็จขั้นพื้นฐานให้เฉพาะกลุ่มผู้เรียนที่เป็น ผู้ใหญ่ ต่อมาในปี 2543 ได้มีคณะนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะเศรษฐศาสตร์ชมรมอาสาพัฒนา ได้เข้า มาช่วยเหลือ สร้างอาคารเรียนหลังใหม่ให้ เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับชุมชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่อมาในปี 2546 ประสานงานขอรับการสนับสนุน งบประมาณการจัดสร้างอาคารเรียนเพิ่มอีก 1 อาคารเรียน เนื่องจากมีจำนวน นักเรียนมากทำให้มีพื้นที่ในอาคารเรียนคับแคบจึงทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นไปไม่ค่อยสะดวก โดย ขอรับการอนุเคราะห์จากมูลนิธิเพื่อพัฒนาและสงเคราะห์เด็ก (แห่งประเทศไทย) มาจัดสร้างอาคารเรียนให้ และใช้ชื่อ อาคารเรียนว่า อาคารสายธารรัก และในปี พ.ศ.2556 ได้รับการซ่อมแซมอาคารเรียนหลังเก่า โดยการติดต่อ ประสานงานจากรายการโรงเรียนของหนู เป็นผู้ติดต่อประสานงานกับบริษัท ING BANK เข้ามาซ่อมแซมอาคารเรียน หลังเก่าที่มีความชำรุด และได้มอบอุปกรณ์การเรียนให้กับนักเรียน และได้มอบอาคารเรียนให้กับศศช.เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2556


20 2. โครงการขยายผลโครงการหลวงปางแดงใน เมื่อปี พ.ศ. 2549 มูลนิธิโครงการหลวงได้สนับสนุนให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ดำเนินการ ฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการปลูกหญ้าแฝกร่วมกับชุมชนในท้องถิ่นตามโครงการปลูกหญ้าแฝกเพื่อเฉลิมพระ เกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาส ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และได้มอบหมายให้สถาบันวิจัย และพัฒนาพื้นที่สูงดำเนินงานพัฒนาการเกษตรควบคู่กับการปลูกหญ้าแฝกเพื่อสนับสนุนให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ปิงตอนบนครอบคลุมหมู่บ้านในอำเภอเชียงดาว ต่อมาสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงได้หารือร่วมกับ ชุมชนและโครงการจัดการลุ่มน้ำแม่ปิงตอนบน ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่รับผิดชอบในการดำเนินโครงการปลูกหญ้าแฝก ร่วมกับ ปตท. โดยได้คัดเลือกหมู่บ้านปางแดงในซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเขตพื้นที่ดอนอาศัยน้ำฝน เกษตรกรมีความ ยากจน และผลผลิตทางการเกษตรต่ำ โดยได้ตกลงที่จะร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น รวมถึงชุมชนในท้องถิ่น ในการดำเนินงานการพัฒนาโดยนำองค์ความรู้จากโครงการหลวงไปถ่ายทอดและ ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิสังคมในพื้นที่ดังกล่าว 3. หอแหย่ มีไว้เพื่อประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาของลาหู่ ชาวลาหู่นับถือบรรพบุรุษ วิญญาณ และเทพเจ้ากือซา จึงทำให้ไม่เหมือนกับศาสนาพุทธทั่วไปในประเทศไทย “หอแหย่” เปรียบเสมือนโบสถ์หรือวัด ตามความเชื่อ ของศาสนา นั้นๆ สถานที่ประกอบพิธีกรรม หรือหอแหย่ของชาวลาหู่ จะสร้างอยู่ที่สูงและใกล้ๆ กับบ้านของ ผู้นำศาสนา (โตโบ) จึงสังเกตได้ว่าถ้ามีหอเเหย่อยู่ที่ไหนก็มีบ้านของโตโบที่ตรงนั้น 4.โบสถ์ 5. ข้อมูลด้านประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น 1. ความเชื่อ ลาหู่เป็นชนเผ่าที่มีความเข้มแข็ง และมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ มีประชากรประมาณ 60,000 คน ในประเทศไทย โดยจะมีพื้นเพอยู่ใน จ.เชียงใหม่ และเชียงราย แต่ก็สามารถพบได้ในบริเวณตอนใต้ของ จ.ตาก การ อพยพมักเกี่ยวเนื่องกับถนนและเมือง เนื่องจาการยึดมั่นในการทำนุบำรุงวิถีชีวิตของลาหู่ ลาหู่เป็นชนเผ่าที่มีความ หลากหลายในประเทศไทย มีไม่น้อยกว่า 6 เผ่า ทางภาษาไม่มีการเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน เผ่าลาหู่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ไทย คือลาหู่แดง การนับถือผีโดยโตโบ ผู้นำทางศาสนา และยังมีจำนวนมากในลาหู่ดำ ลาหู่เหลือง และลาหู่เชเละ มีเป็น จำนวนมากที่เป็นคริสเตียน ถึง 100 ปีมาแล้ว ลาหู่มีประชากรมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้รับการ พิจารณาเป็นภาษาท้องถิ่นที่เป็นมาตรฐาน ถึงแม้ว่าจะยังชีพด้วยการเป็นชาวนา ปลูกข้าว และข้าวโพด เพื่อการบริโภค ในครัวเรือน ลาหู่ ยังภูมิใจกับการเป็นนักล่าสัตว์ เขาจะเคร่งครัดกับกฎระเบียบของความถูกและผิด ทุกๆ คนจะตอบ คำถามในพื้นฐานเดียวกับคนรุ่นเก่า โดยที่ให้ความสำคัญกับการเป็นครอบครัวขยายน้อยกว่าเผ่าอื่นๆ ชาวลาหู่ยัง เข้มแข็งต่อการยึดมั่นต่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และทำงานด้วยกันเพื่อยังชีพ ลาหู่อาจเป็นกลุ่มคน ที่มีความเท่า เทียมทางด้านเพศมากที่สุดในโลก


21 ➢ ประเพณีท้องถิ่น (ระบุ) 1. ประเพณีกินวอ ประเพณีกินวอ คือประเพณีปีใหม่ของชาวลาหู่ ซึ่งจะตรงกับเดือนมกราคมของทุก ๆ ปี ซึ่งประเพณีกิน วอนี้ จะมีการทำขนม คือ ข้าวปุก และมีการนำต้นสน 4 ต้นมาปลูกกลางลานของหมู่บ้านให้ได้เป็น 4 เหลี่ยม และมีการ สานตระแกรงโดยใช้ไม้สานแล้วนำมาไว้ตรงกลางระหว่างต้นสนทั้ง 4 ต้น แล้วนำเอาอาหารที่ชาวบ้านถือว่าเป็นอาหาร บวงสรวงมาไว้ที่ตะแกรงนั้น ซึ่งจะได้แก่ หัวหมู ข้าวปุก อาหารและดอกไม้ต่างๆ ซึ่งในประเพณีกินวอนี้ชาวบ้านคนไหนที่ มีหมูก็จะฆ่าหมู เพื่อนำมาเลี้ยงแขกที่จะมาร่วมประเพณีกินวอนี้ และจะมีการเต้นจะคึ ซึ่งเป็นการเต้นของชาวบ้านเผ่าลา หู่ ซึ่งในการเต้นจะคึจะเต้นทุกวันระหว่างการกินวอ และการเต้นจะคึนั้นจะมีหลายจังหวะมาก จะเต้นจังหวะไหนแล้วแต่ คนตีกลองจะเป็นคนตีและคนที่เป่าแคนลาหู่ เป็นคนเริ่มต้นจังหวะ และจะเต้นเป็นวงกลม รอบต้นสนที่ปลูกไว้กลางลาน ของหมู่บ้าน ประเพณีกินวอนี้จะมีทั้งหมด 8 วัน 7 คืน โดยจะมีการจัดประเพณีกินวอของแต่ละหมู่บ้านให้ใกล้เคียงกับ หมู่บ้านอื่นที่ใกล้เคียงกัน เพราะว่าเพื่อให้หมู่บ้านอื่น ๆ มาร่วมกันซึ่งจะเวียนกันไปแต่ละหมู่บ้านเริ่มพร้อมกันและสิ้นสุด พร้อมกัน ในตอนกลางวันในวันที่มีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน จะมีการทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน ก็จะเป็น กับข้าวแบบพื้นบ้าน เช่นการแกงมันฝรั่ง การผัดผักต่างๆ ในประเพณีกินวอนี้จำมีการจุดประทัดด้วยในตอนกลางคืน พร้อม ๆ ไปกับการเต้นจะคึ และมีการแข่งลูกข่างการละเล่นตามชนเผ่าลาหู่ด้วย ในวันถัดไปจากวันสิ้นสุดการกินวอชาว ลาหู่จะไม่ออกบ้านไปไหน พิธีฉลองปีใหม่ ภาษาลาหู่ (มูเซอ) เรียกว่าประเพณี เขาะเจ๊าเว มีความหมายในภาษาไทยแปลว่า ปีใหม่การกิน วอ พีธีฉลองปีใหม่ของลาหู่ ไม่มีการกำหนดการเฉพาะเจาะจงแน่นอน จะเลือกเวลาที่สมาชิกส่วนใหญ่อยู่ และเสร็จสิ้น ภาระกิจการทำงานทำไร่ ทำสวน จากการเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว อาจเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม หรือเมษายน ของแต่ละปีก็ได้อีกทั้งทุกหมู่บ้านก็ไม่จำเป็นต้องจัดฉลองปีใหม่พร้อมกัน เพราะแต่ละหมู่บ้านจะมีความพร้อมไม่ตรงกัน เมื่อถึงช่วงฉลองปีใหม่ สมาชิกของหมู่บ้านที่ไปทำงานอยู่ห่างไกลจะเดินทางกลับมาร่วมงานฉลองปีใหม่ มีการฆ่าหมูดำ เพื่อนำเนื้อหมู และหัวหมูสังเวยต่อเทพเจ้า อื่อชา ลาหู่นับถือมาก ต่อจากนั้น ก็จะนำเนื้อหมูมาปรุงเป็นอาหารเลี้ยงกัน อย่างสมบูรณ์ ในเทศกาลปีใหม่นี้ ชาวลาหู่ (มูเซอ) จะนำข้าวเหนียวนึ่งมาตำเสร็จ แล้วจะปั้นเป็นก้อนกลม เรียกว่า “อ่อผุ” หรือข้าวปุ๊ก จะนำไปใช้เป็นเครื่องถวายต่อเทพเจ้าอื่อชา พิธีฉลองปีใหม่ของชาวลาหู่ (มูเซอ) มีเวลาปีใหม่นาน ถึง 12 วัน โดยจะแบ่งการฉลองปีใหม่ออกเป็นสองช่วง ช่วงแรก เป็นการฉลองปีใหม่ของผู้หญิง เรียกว่า “เขาะหลวง” หรือ “ปีใหญ่”มีระยะเวลา 6 วัน ช่วงที่สอง เป็นการฉลองปีใหม่ของผู้ชาย เรียกว่า “เขาะน้อย” หรือ “ปีเล็ก”มี ระยะเวลา 6 วัน ระหว่างช่วงแรกกับช่วงที่สองจะมีหยุดพัก 1-2 วัน ในหลังจากสองวันนี้แล้วกลางคืนจะมีการเต้นรำทุก ๆ คืน ลาหู่รียกว่า “ก่าเคาะเว”ตั้งแต่หัวค่ำไปจนกระทั้งรุ่งสางไก่ขัน กลางวันชาย – หญิงลาหู่ (มูเซอ) จะมีการละเล่นที่ แตกต่างกัน โดยผู้ชายจะเล่นขว้างลูกข่าง ส่วนผู้หญิงจะเล่นลูกสะบ้ากัน และการเล่นโยนลูกบอลกลมขนาดเท่ากำปั้นมือ ลูกบอลนี้ ทำโดยใช้ผ้าเย็บห่อข้างในก็จะเป็นแกลบ หรือรำข้าว สาเหตุที่ต้องมีการฉลองปีใหม่แยกกันระหว่างชายและ หญิงนั้น มีผู้เฒ่าอธิบายว่าสมัยก่อนนานมาแล้ว พวกผู้ชายชาวลาหู่ (มูเซอ) ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจนอกหมู่บ้านเป็น เวลานาน เช่น ไปสงคราม ไปค้าขาย ไปล่าสัตว์ในป่า จึงทำให้กลับมาร่วมฉลองปีใหม่ไม่ทัน บรรดาผู้หญิงที่อยู่ในหมู่บ้าน จึงจัดงานฉลองปีใหม่กันก่อน เมื่อพวกผู้ชายกลับมาถึง ปีใหม่ก็เสร็จพอดี เลยบรรดาผู้ชายจัดงานฉลองปีใหม่กันอีกที หลังเทศกาลฉลองปีใหม่นี้ จะมีการจุดเทียนขี้ผึ้งสวดอ้อนวอนเทพเจ้าที่นับถือ เพื่อให้เกิดความสงบสุข พร้อมทั้งความ อุดมสมบูรณ์แก่สมาชิกในแต่ละครอบครัวของชุมชน และถ้ามีลาหู่(มูเซอ) หมู่บ้านใกล้เคียงกันจัดงานพร้อมกัน พวกลา หู่จะมีพิธีหนึ่งที่เรียกว่า “อ่อรี้เตดะเว” คือ การเดินทางไปเยือนหมู่บ้านอื่นพร้อมกับห่อเนื้อหมู และเอาข้าวปุ๊ก หรือ


22 เรียกอ่อผุ (ข้าวเหนียวนึ่งตำเป็นก้อน) ไปทำบุญเพื่อนบ้าน รดน้ำให้ผู้อาวุโส ทำการเต้นรำรอบลานพิธีของหมู่บ้านนั้น ก่อนกลับมาหมู่บ้านตน และอีกไม่กี่วันเพื่อนบ้านจากมาหมู่บ้านเรานั้น ก็จะยกขบวนกันมาประกอบพิธี “อ่อรี้เตดะเว” เป็นการตอบแทนเช่นกัน 2. ประเพณีกินข้าวใหม่ ประเพณีกินข้าวใหม่นี้ จะทำประมาณช่วงเดือนตุลาคมของทุก ๆ ปี ปีละ 1 ครั้ง ประเพณีกินข้าวใหม่นี้ จะเป็นประเพณีหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวเสร็จแล้วและมีการนำข้าวใหม่ที่ได้นี้มารับประทานร่วมกัน โดยชาวลาหู่ทุก หลังคาเรือนจะมีการทำกับข้าวและมากินข้าวด้วยกัน ณ ที่ใดที่หนึ่งแล้วแต่ตกลงกัน เช่น ศาลากลางหมู่บ้าน และ หลังจากการรับประทานอาหารร่วมกันเสร็จแล้วก็จะมีการมัดมือให้พรของผู้ใหญ่ 3. ประเพณีทำบุญศาลา ประเพณีทางศาลานี้ จะทำกันในช่วงเดือน เมษายนของทุก ๆ ปี ซึ่งประเพณีนี้ชาวบ้านช่วยกัน สร้างศาลาเล็ก ๆ กลางหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านจะทำกับข้าวและนำมารับประทานร่วมกันในศาลาที่สร้างนั้น และหลังจาก รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ก็จะมีการมัดมือของผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน 4. ประเพณีวันศีลใหญ่ ประเพณีวันศีลใหญ่ จะกระทำกันในช่วงเดือนกรกฎาคม ของทุก ๆ ปี หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต คือ หลังจากการปลูกพืชไร่ ต่าง ๆ เช่น ข้าวโพด ถั่วแดง และได้มีการนำเอาผลผลิตหลังจากเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยวแล้วเอา เพียงเล็กน้อยไปไว้ที่วัดทุกหลังคาเรือน และมีการทำพิธีทางชาวบ้าน และที่เหลือจากการเก็บไว้ที่วัดก็จะนำไปไว้ที่บ้านผู้ เฒ่าผู้แก่ด้วยชุมชนในแต่ละพื้นที่แต่ละแห่งวิถีการดำรงชีวิตและความเชื่อที่แตกต่างกันไปเพราะมาจากการสืบทอดจาก บรรพบุรุษที่ไม่เหมือนกัน การกระทำใด ๆ ในความเชื่อที่ในสิ่งต่าง ๆ หรือที่เรียกว่าพิธีกรรม 5. วันศีล ในทุก ๆ วันศีล 15 ค่ำ หรือ 8 ค่ำ ไม่ว่าจะข้างขึ้นหรือข้างแรม ชาวบ้านจะไปวัดในวันศีล และชาวลา หู่ผู้ที่ถือเคร่ง จะไม่ออกบ้านไปไหน เพราะถือว่าจะไม่ดี และในตอนเช้าชาวลาหู่จะไปที่วัด และมีการทำพิธีทางศาสนา และมีการเอาน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่รดน้ำดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่และผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะรดน้ำให้พรแก่ผู้น้อยและในตอนกลางคืนจะมี การเต้นจะคึอีกด้วย ชาวบ้านจะหยุดงานทำไร่ ทำนา ทำสวน และพักผ่อนอยู่ที่บ้าน เพื่อจะทำพิธีกรรมที่หอแหย่ในวัน ศีลตอนเย็น นำน้ำมาเพื่อล้างมือให้แก่ผู้เฒ่า ผู้แก่ และผู้นำศาสนาการรดน้ำล้างมือนั้น ชาวบ้านถือว่าเป็นการล้างบาป ไปในตัว เพื่อเป็นการล้างบาปในสิ่งต่าง ๆ ที่มือได้ทำลงไป และก็มีการเต้นรำในหอแหย่กันสนุกสนานการปฏิบัติตนใน วันศีล ชาวลาหู่ถือว่าวันศีลเป็นที่สำคัญวันหนึ่ง เพราะฉะนั้นชาวลาหู่จะพร้อมใจกันเพื่อหยุดงานต่าง ๆ อยู่แต่กับ บ้าน พร้อมที่จะรับศีล การปฏิบัติตนของชาวลาหู่ที่บ้านจะแลในวันศีลมีข้อห้ามและข้อปฏิบัติดังนี้ -จะไม่ไปทำงานนอกหมู่บ้าน -ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิดในวันศีล -ไม่ควรพูดถึงเรื่องที่ไม่ดีและไม่เป็นมงคล -จะไม่กินอาหารเนื้อสัตว์ในวันศีล ถ้ากินอาจจะเกิดการ


23 ➢ การทำบุญสะเดาะเคราะห์ ในการทำบุญสะเดาะเคราะห์ เมื่อชาวลาหู่ได้รับเคราะห์ หรือมีการเจ็บป่วยไม่สบายกายและใจ ก็จะได้ จัดเตรียม สิ่งของเพื่อไปให้ผู้นำทางศาสนา ทำพิธี ซึ่งชาวลาหู่ เรียกว่า “ค๊อตาเตเว่” โดยเครื่องมือเหล่านี้ จะมีผู้บอก วิธีการทำ คือ ลาซ่อ ลาซ่อเป็นผู้เชี่ยวชาญการเครื่องมือ ในการประกอบ พิธีกรรมเพื่อนำ ไปไห้ผู้นำทางศาสนา หรือที่ เรียกว่าโตโบ เพื่อสวดขอพรให้หายจากเคราะห์ร้ายต่าง ๆ หรือเคราะห์ที่จะมาถึง นอกจากนี้ ยังมีสิ่งของที่จะต้องเตรียม เพื่อนำไปประกอบการทำพิธีกรรม คือ 1. เทียน ถือว่าให้นำไปจุดเพื่อ แสงสว่าง ในการประกอบพิธีกรรม 2.สำลี หรือ ฝ้าย สำลีต้องเป็นสีขาว ชาวลาหู่ถือว่า สำลีหรือฝ้ายนี้ จะไป รับคำพูดที่เคยพูดไม่ดี หรือผู้ให้ร้ายแก่ผู้อื่น 3.ผ้าขาว เจ็บป่วยได้ง่ายเพื่อความสะอาดและความบริสุทธิ์ ผ้าจึงต้องเป็นผ้าสีขาว 4. น้ำเพื่อนำไปล้างมือผู้นำศาสนาหรือโตโบ 5. ด้าย การพิธีจะต้องเป็นด้ายขาวเหมือนกัน สำหรับด้ายนี้ เมื่อโตโบทำพิธีเสร็จก็เอาผูกข้อมือหรือห้อยคอ เพื่อป้องกัน อันตรายสิ่งต่างๆเหล่านี้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์ที่นำไปทำประกอบกับเครื่องมือ ในการประกอบพิธีกรรมนั้นจะต้อง เป็นสีขาว ชาวลาหู่ หรือแม้แต่ศาสนาใดก็ตาม จะใช้สีขาวเป็นสื่อ ➢ การละเล่นพื้นบ้าน (ระบุ) 1) การเต้นจะคึ 2) การแข่งลูกข่าง ➢ ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านต่างๆ ในชุมชน 1) การตีมีด 2) ดนตรีพื้นบ้าน 3) การจักสาน 4) การทอผ้า,ปักผ้า 5) ผู้นำศาสนาและวัฒนธรรมชุมชน/หมอสมุนไพร 6. ข้อมูลด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 6.1 ชุมชนมีทรัพยากรธรรมชาติ ที่ใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิต -ป่าไม้ ประโยชน์ที่ใช้ ได้แก่ การหาของป่า เช่น เห็ด หน่อไม้ เป็นต้นฯ -ที่ดิน ประโยชน์ที่ใช้ ได้แก่ การทำเกษตรกรรม เช่น การทำข้าวไร่ ไร่ข้าวโพด -ของป่า ประโยชน์ที่ใช้ ได้แก่ การนำมาประกอบอาหารเพื่อยังชีพ และ ขายบ้างตามฤดูกาล -สมุนไพรในชุมชนและในป่าธรรมชาติประโยชน์ที่ใช้ เช่น ขมิ้น ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร ป้องกันโรคมะเร็ง รักษาผิวหนัง บำรุงผิวพรรณ ว่านรางจืด ใช้ชะล้างสารเคมีตกค้างในร่างกายและสำหรับจุดไล่ยุงได้ 6.2 ปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ - บุกรุกที่ดินทำกินเข้าไปในเขตป่าสงวนอุทยานแห่งชาติศรีลานนา


24 7. ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ 7.1 การประกอบอาชีพ อาชีพ เป็นอาชีพหลัก เป็นอาชีพรอง จำนวน ร้อยละ จำนวน ร้อยละ ทำสวน 400 100 - - ทำไร่ 400 100 - - เลี้ยงสัตว์ - - 10 100 ปลูกผัก - - 10 100 ค้าขาย 10 100 - - รับจ้าง (ด้านการเกษตร) - - - - รับจ้าง (งานอิสระ) - - 21 100 7.2 ข้อมูลระดับรายได้ รายการ ชาย หญิง รวม ไม่มีรายได้ - - - มีรายได้ต่อเฉลี่ยต่อวัน 10 8 18 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30 15 45 มีรายได้เฉลี่ยต่อปี 300 183 483 7.3 รายได้เฉลี่ยต่อครอบครัวต่อปี30,000-60,000 บาท 7.4 รายได้เฉลี่ยของชุมชนต่อปี 3,000,000 บาท 7.5 แหล่งประกอบการ ประเภท แห่ง ร้านค้า 4 ร้านซ่อมจักรยาน - อื่น ๆ (ระบุ)…………………………................ 7.6 สถาบันการเงิน ประเภท จำนวนเงิน ฝาก (บาท) จำนวนเงินกู้ (บาท) จำนวน ลูกหนี้(ราย) กองทุนไทยเปฟ 60,000 60,000 70 กลุ่มกองทุนแพลน 1,100,000 - 76 กลุ่มออมทรัพย์ 1,200,000 1,200,000 59 กองทุนน้ำ 40,000 - 76 อื่น ๆ (ระบุ)....................................


25 7.7 กลุ่มทางเศรษฐกิจ ประเภท แห่ง จำนวนสมาชิก กลุ่มออมทรัพย์ 1แห่ง 70 คน สหกรณ์การเกษตร 1 แห่ง 70 คน อื่นๆ (ระบุ)..................... - - 7.8 สาธารณูปโภค 1) จำนวนผู้ใช้ไฟฟ้า ประเภท ครัวเรือน ไฟฟ้า กฟภ. 140 โซล่าเซลล์ 11 ไฟฟ้าพลังน้ำ - อื่นๆ (ระบุ)....ตะเกียงเชิงเทียน - 2) จำนวนผู้ใช้น้ำ ประเภท ครัวเรือน น้ำประชาภูเขา 151 น้ำบาดาล 151 อื่นๆ(ระบุ)..................... - 7.9 จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์ โทรศัพท์มือถือ.....451.............คน / โทรศัพท์บ้าน..........ครัวเรือน 7.10 สิ่งอำนวยความสะดวก รายการ จำนวน วิทยุ 50 โทรทัศน์ 151 รถยนต์ 50 รถจักรยานยนต์ 456 รถจักรยาน 20 เครื่องคอมพิวเตอร์ 1 อื่น ๆ(ระบุ)……………


26 7.11 เครื่องมือที่ใช้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม รายการ จำนวนครัวเรือนที่มี จำนวน (หน่วย) รถไถ - - เครื่องสีข้าว - - เครื่องพ่นยา 80 80 เครื่องสูบน้ำ 5 5 อื่น ๆ (ระบุ)…………………………………… 7.12 พืชเศรษฐกิจหลัก 3 อันดับแรกของชุมชน 1) ข้าวโพด จำนวน 1,700 ไร่ 2) ถั่วลิสง จำนวน 10 ไร่ 3) ถั่วแดง จำนวน 1,700 ไร่ 4) ลำไย จำนวน 160 ไร่ 5) มะม่วง จำนวน 160 ไร่ 7.13 แหล่งท่องเที่ยวในชุมชน -สำนักสงฆ์ธรรมจาริกบ้านห้วยปง - หอแหย่หมู่บ้าน - โบสถ์ - ศศช.บ้านห้วยปง -ศูนย์ขยายผลโครงการหลวงบ้านปางแดง 7.14 แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ประเภท จำนวน หน่วย สภาพการใช้ประโยชน์ ใช้ทั้งปี ใช้ชั่วคราว น้ำประปาภูเขา 2 2 √ น้ำบ่อ 2 2 √ บ่อน้ำทางการเกษตร 1 1 √ อื่น ๆ (ระบุ)…………………………. 7.15 ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ - พืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ


27 8. ข้อมูลด้านสุขภาพอนามัย 8.1 สถานพยาบาล ประเภทสถานพยาบาล แห่ง โรงพยาบาลเชียงดาว 1 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสบอ้อ 1 8.2 บุคลากรที่ทำหน้าที่ส่งเสริมบริการด้านอนามัยชุมชน 8.3 โรคที่เป็นกันมาก จำแนกตามชื่อโรค (เฉพาะ 5 อันดับแรก) ชื่อโรค จำนวนผู้ป่วย กลุ่มอายุ เด็ก ผู้ใหญ่ 1 ไข้หวัด 10 6 4 2 ไข้มาลาเรีย - - - 3 โรคความดันสูง 10 - 10 4 โรคพยาธิ 20 5 15 5 โรคเบาหวาน 3 - 3 8.4 บริการสาธารณสุขชุมชนแยกตามประเภท 8.5 ปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ได้แก่ - โรคไข้หวัด -โรคกระเพาะ - โรคท้องร่วง - โรคพยาธิ - โรคในช่องปากและฟัน - โรคตาแดง ประเภท จำนวน (คน) อสม. 8 หมอสมุนไพร 4 ประเภท จำนวน บัตรประกันสุขภาพ 350 อื่น ๆ (ระบุ) สิทธิพิเศษ อสม. 7 รวม 357


28 9. ข้อมูลด้านการปกครอง 9.1 เทศบาลตำบลแม่นะ นายรุ่งโรจน์ ดวงดี นายกเทศมนตรีตำบลแม่นะ นายเรวัต สมบูรณ์ รองนายกเทศมนตรีตำบลแม่นะ นายธวัชชัย ศรีบุญเรือง รองนายกเทศมนตรีตำบลแม่นะ 9.2 กำนันผู้ใหญ่บ้าน นายธัญญา กุลีแก้ว กำนันตำบลแม่นะ นายไพศาล ศรีนวล ผู้ช่วยกำนันตำบลแม่นะ นายอุดม บุญมี ผู้ช่วยกำนันตำบลแม่นะ นายชาญชัย กาเหล็ก ผู้ใหญ่บ้านแม่ยะ เครือข่ายงาน 1. เทศบาลตำบลแม่นะ 2. ศูนย์ขยายผลโครงการหลวงปางแดง 3. อุทยานแห่งชาติศรีลานนา 4. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสบอ้อ 5. ผู้ใหญ่บ้านแม่ยะ 6. องค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล 7. สำนักสงฆ์ธรรมจาริกบ้านห้วยปง 8. สถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงดาว 9. สถานปฏิบัติธรรมมงคลเทพนิมิต ปราชญ์ชาวบ้าน/ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ ชื่อ-สกุล ให้ความรู้เรื่อง 1 นายแดง ปู่ยี่ ด้านการปกครอง/หมอสมุนไพร/หมอผี 2 นายจะชี จะแตะ ด้านพิธีกรรม 3 นางอินา จะโหล เต้นรำ 4 นายอาหมื่อ ตาก่อ ด้านเครื่องดนตรี 5 นางนาสือ แสฮอ งานหัตถกรรมเย็บผ้า 6 นางนิรมล ใจรักวัฒนานนท์ การนวด 7 นายดำ ปู่ลี่ หมอสมุนไพร 8 นายจะแฮ จะกอ ศิลปกรรม เครื่องดนตรีชนเผ่า


29 การวิเคราะห์ชุมชน SWOT จุดแข็ง(Strengths) วัฒนธรรมชนเผ่าที่หลากหลายของสามวัฒนธรรมชนเผ่าในชุมชน การอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีชนเผ่า ประชากรในหมู่บ้านมีความเข้าใจ และให้ความร่วมมือ สนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ในหมู่บ้านให้ความสำคัญ และมีความ กระตือรือร้นในการร่วมกิจกรรม รู้รักสามัคคี ใช้วิถีชีวิตอยู่กันอย่างพี่อย่างน้องแบบพอเพียงและให้ความช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน อยู่ใกล้ชุมชนเมือง มีไฟฟ้า ติดต่อสื่อสารได้ง่าย เส้นทางคมนาคมสะดวกสบาย มีช่องทางการตลาดที่รองรับ หลากหลาย จากการที่ชาวบ้านมีความสามัคคี เนื่องจากหมู่บ้านห้วยปง มีผู้นำที่มีความเข็มแข็ง เสียสละ ติดต่อประสานงาน กับหน่วยงานภายนอก และกรรมการหมู่บ้าน ชาวบ้าน มีเวลาพร้อมที่จะเสียเวลาเพื่อส่วนรวม ทำหน้าที่ร่วมกับ ประชาชนในหมู่บ้าน และชุมชน ในการบริหารจัดการโครงการต่างๆ เป็นตัวแทนของหมู่บ้าน ในการติดต่อประสานงาน กับหน่วยงานต่างๆ และภาครัฐและเอกชน เพื่อขอรับการสนับสนุนด้านต่างๆ เพื่อที่พัฒนาหมู่บ้านให้ชาวบ้านมีรายได้ เพิ่มขึ้น จุดอ่อน( Weaknesses) ประชากรหมู่บ้านห้วยปงเป็นบุคคลบนพื้นที่สูง อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากยังมีคนส่วนใหญ่ไม่มีบัตรประชาชน มีพื้นที่ทำมาหากินน้อยลง เกิดการบุกรุกพื้นที่ในเขตอุทยานศรีลานนา แหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และเพื่อ การเกษตรไม่เพียงพอต้องอาศัยน้ำฝน ทำให้พืชทางเลือกมีน้อย ปัญหาด้านการจัดการขยะในชุมชนและประชากรมี ฐานะยากจน มีรายได้เป็นรายปี ขาดอาชีพเสริม โอกาส(Opportunities) มีหน่วยงานของภาครัฐและเอกชนเข้ามาให้ความช่วยเหลือสนับสนุน มีการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนด้าน การเกษตรจากโครงการหลวงขยายผลโครงการหลวงปางแดง และการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและ เอกชน มีช่องทางการตลาดที่รองรับหลากหลาย อยู่ใกล้ชุมชนเมือง และเส้นทางคมนาคมสะดวก อุปสรรค(Threats) ปัจจุบันค่าครองชีพสูง สินค้ามีราคาแพง ประชากรประสบปัญหาเรื่องหนี้สินจำนวนมาก ผลผลิตทางการเกษตร มีราคาตกต่ำ การดำเนินชีวิตไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ขาดแคลนแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร และพื้นที่ ทำกินส่วนใหญ่อยู่ในเขตอุทยานแหงชาติและป่าสงวนแห่งชาติป่าเชียงดาว


30 ประวัติโดยย่อศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยปง ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยปง ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ลองจิจูด 502674 ละติจูด 2137009 สังกัดศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอเชียงดาว สำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดเชียงใหม่ ได้ดำเนินการจัดกิจกรรม การส่งเสริมการรู้หนังสือ การศึกษาบนพื้นที่สูงสำหรับเด็ก และการศึกษาในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยปง จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 ได้จัดตั้งอาคาร เรียน และครูได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับชุมชนโดยใช้หลักสูตรเบ็ดเสร็จขั้นพื้นฐานให้เฉพาะกลุ่มผู้เรียนที่เป็น ผู้ใหญ่ต่อมาในปี 2543 ได้มีคณะนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะเศรษฐศาสตร์ชมรมอาสาพัฒนา ได้เข้า มาช่วยเหลือ สร้างอาคารเรียนหลังใหม่ให้ เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับชุมชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่อมาในปี 2546 ประสานงานขอรับการสนับสนุน งบประมาณการจัดสร้างอาคารเรียนเพิ่มอีก 1 อาคารเรียน เนื่องจากมีจำนวน นักเรียนมากทำให้มีพื้นที่ในอาคารเรียนคับแคบจึงทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นไปไม่ค่อยสะดวก โดย ขอรับการอนุเคราะห์จากมูลนิธิเพื่อพัฒนาและสงเคราะห์เด็ก (แห่งประเทศไทย) มาจัดสร้างอาคารเรียนให้ และใช้ชื่อ อาคารเรียนว่า อาคารสายธารรัก โดยใช้ชื่อว่า ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยปง โดย ทาง ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอเชียงดาว ได้จัดส่งครูอาสาสมัคร เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่ เพื่อจัด กิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนทุกรูปแบบ ให้กับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวไทยภูเขาบน พื้นที่สูง ตามหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียน และในปี พ.ศ.2556 ได้รับการซ่อมแซมอาคารเรียนหลังเก่า โดยการ ติดต่อประสานงานจากรายการโรงเรียนของหนู เป็นผู้ติดต่อประสานงานกับบริษัท ING BANK เข้ามาซ่อมแซมอาคาร เรียนหลังเก่าที่มีความชำรุด และมอบอุปกรณ์การเรียนให้กับนักเรียน และได้มอบอาคารเรียนให้กับศศช.เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2556 และในปี 2560 ได้รับสนับสนุนการสร้างอาคารโครงอาหาร จำนวน 1 หลัง และศาลานั่งเล่น จำนวน 2 หลัง ข้อมูลบุคลากร ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านห้วยปง บุคลาการปฏิบัติงานในพื้นที่ จำนวน 1 อัตรา ได้แก่ นางสาวณัฏฐนันท์ สุภาธง ตำแหน่งครูอาสาสมัคร (พนักงานราชการ) -ระดับปริญญาตรี สาขาการศึกษาวิชาเอกการพัฒนาการท่องเที่ยว จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ -ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู สาขาประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครูจากมหาวิทยาลัย ราชภัฏเชียงใหม่ ประวัติการทำงาน ปี 2554 - ปัจจุบัน ปฏิบัติงานตำแหน่งครูอาสาสมัคร (ศศช.)


31 ศศช.ผาลาย ศศช.แม่จอน ศศช.ห้วยปง ทางแยกไปบ้านม่วงฆ้อง ทางแยกไปบ้านแม่ยะ แม่น้า ปิง วัดอินทาราม ธนาคารกรุงไทย โรงพยาบาลเชียงดาว ห้องสมุดประชาชน ที่ว่าการอ าเภอเชียงดาว กศน. เชียงดาว


32


33 ข้อมูลพื้นฐานชุมชน


34


35


36 แผนผังของศศช


37 1.ข้อมูลด้านผู้เรียน/ผู้รับบริการ จำนวนผู้เรียนในเขตพื้นที่บริการทั้งหมด 212 คน จำนวนผู้เรียน จำแนกตามระดับชั้นที่เปิดสอน ระดับชั้น เพศ ชาย หญิง การจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ระดับปฐมวัย 2 1 ระดับประถมศึกษา เด็กศศช. 7 4 ระดับประถมศึกษา - 1 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 6 3 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 2 5 รวม 17 14 กิจกรรมการส่งเสริมการรู้หนังสือ 2 8 งานการศึกษาต่อเนื่อง 80 80 การศึกษาตามอัธยาศัย 30 30 รวม 99 132 รวมทั้งสิ้น 231 -จำนวนผู้จบ ในปี 2567 จำแนกตามระดับชั้นที่เปิดสอน ระดับชั้น เพศ ชาย หญิง การจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ระดับประถมศึกษา เด็กศศช. 2 2 ระดับประถมศึกษา - - ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2 1 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย - 4 รวม 4 7 กิจกรรมการส่งเสริมการรู้หนังสือ - - งานการศึกษาต่อเนื่อง 80 80 การศึกษาตามอัธยาศัย 30 30 รวม 114 117 รวมทั้งสิ้น 231


38 2) จำนวนผู้เรียนจำแนกตามระดับชั้นที่เปิดสอน -การจัดการศึกษาหลักสูตรสำหรับชาวไทยภูเขา (ศศช) กลุ่มเป้าหมายผู้เรียนเด็ก จำนวน 14 คน ระดับชั้น เพศ รวม ชาย หญิง เตรียมความพร้อม 2 1 3 ประถมศึกษาปีที่ 1 - - - ประถมศึกษาปีที่ 2 1 - 1 ประถมศึกษาปีที่ 3 2 1 3 ประถมศึกษาปีที่ 4 1 - 2 ประถมศึกษาปีที่ 5 1 1 2 ประถมศึกษาปีที่ 6 2 2 4 รวม 9 5 14 -การจัดการศึกษาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ระดับชั้น เพศ รวม ชาย หญิง ประถมศึกษา - 1 1 มัธยมศึกษาตอนต้น 6 3 9 มัธยมศึกษาตอนปลาย 2 5 7 รวม 8 9 17 -กิจกรรมส่งเสริมการรู้หนังสือ จำนวนผู้เรียน 10 คน 2. ข้อมูลบุคลากร ลำดับ ที่ ชื่อ – สกุล ตำแหน่ง เพศ อายุ วุฒิ การศึกษา สาขา/ วิชาเอก ประสบการณ์ สอน 1 นางสาวณัฏฐนันท์ สุภาธง ครูอาสาพื้นที่สูง หญิง 37 ป. ตรี. พัฒนาการ ท่องเที่ยว 13 (บรรจุ 1 มีค. 54))


การวิเคราะ1. การวิเคราะห์ปัญหา ศักยภาพ และแนวทางการพัฒนาด้านศักยภาพ ความสำคัญ ปัญหา อุปสรรค 1 น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ขาดความต่อเนื่องในการใช้น้ำ 1. ระ2. ไม2. การวิเคราะห์ปัญหา ศักยภาพ และแนวทางการพัฒนาด้านสังคมประเพณีและวัความสำคัญ ปัญหา อุปสรรค 1 ความสะอาดภายในครัวเรือน และหมู่บ้าน 1. ไมภายใ2. กาสะอา2 ยาเสพติด


39 ะห์แนวทางการพัฒนา สาเหตุ ศักยภาพ / โอกาส แนวทางการพัฒนา ะบบน้ำไม่เพียงพอ ม่มีแหล่งน้ำต้นทุนที่เพียงพอ - 1. จัดทำฝายชะลอน้ำเพื่อกักเก็บน้ำ 2. จัดทำบ่อดักน้ำและระบบกระจาย น้ำที่เหมาะสม 3. ขุดเจาะระบบน้ำบาดาลและมี ระบบกระจายน้ำที่เหมาะสม ัฒนธรรม สาเหตุ ศักยภาพ / โอกาส แนวทางการพัฒนา ม่มีการรณรงค์ทำความสะอาด ในหมู่บ้าน ารขาดจิตสำนึกในการทำความ าดจัดการภายในชุมชน ชุมชนมีความสนใจที่ จะพัฒนา 1. จัดกิจกรรมพัฒนาหมู่บ้าน 1. จัดอบรมให้ความรู้เรื่องโทษของยาเสพ ติดให้กับเยาวชน 2.สนับสนุนการรวมกลุ่มให้กับเยาวชนเพื่อ ร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆที่เป็นประโยชน์


3. การวิเคราะห์ปัญหา ศักยภาพ และแนวทางการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ความสำคัญ ปัญหา อุปสรรค 1 ราคาผลผลิตทางการเกษตร ตกต่ำ 1. ผล2.ถูก2 หนี้สิน การลงทุนในการทำการเกษตร ไม่มีแนอก4. การวิเคราะห์ปัญหา ศักยภาพ และแนวทางการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม ความสำคัญ ปัญหา อุปสรรค 1 การจัดการขยะ คนใน


40 สาเหตุ ศักยภาพ / โอกาส แนวทางการพัฒนา ลผลิตในท้องตลาดมีเยอะ กพ่อค้าเอาเปรียบ ชุมชนมีความสนใจที่ จะเปลี่ยนพืช 1. ส่งเสริมการรวมกลุ่มทาง การเกษตร เพื่อใช้อำนาจของกลุ่มใน การต่อรองราคาสินค้ากับพ่อค้าคน กลาง 2. หาตลาดรองรับผลผลิตทาง การเกษตร 3. แปรรูปผลผลิตทางการเกษตร 4. หาพืชทางเลือกใหม่เข้ามาทดแทน แหล่งทุนในชุมชน แหล่งทุน ระบบ มีดอกเบี้ยสูง จัดหาแหล่งทุนมา เป็นกองทุนในชุมชน 1. จัดตั้งกลุ่มพัฒนาอาชีพและจัดหา แหล่งทุน สาเหตุ ศักยภาพ / โอกาส แนวทางการพัฒนา นชุมชนทิ้งขยะไม่ถูกที่ 1. ดำเนินการสรรหาผู้รับผิดชอบและดูแล ความเรียบร้อยของบ่อขยะ 2. อบรมและชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจ ให้กับคนในชุมชน เรื่องการคัดแยกขยะ 3. กำหนดมาตรการที่เข้มงวดในการ จัดการขยะ


ความสำคัญ ปัญหา อุปสรรค 2 ไฟป่า มีหลายชุมชนร่วมกันใช้ทำให้ ควบคุมทำได้ยาก คนที่3 น้ำเพื่อการบริโภค อุปโภค ขาดความต่อเนื่องในการใช้น้ำ 1. ระ2. ไม


41 สาเหตุ ศักยภาพ / โอกาส แนวทางการพัฒนา ที่เข้าไปหาของป่า มักง่าย 1. จัดชุดลาดตระเวนป่า 2. ขอสนับสนุนอุปกรณ์ดับไฟป่า 3. จัดทำแนวกันไฟ ะบบน้ำไม่เพียงพอ ม่มีแหล่งน้ำต้นทุนที่เพียงพอ 1. จัดทำฝายชะลอน้ำเพื่อกักเก็บน้ำ 2. จัดทำบ่อดักน้ำและระบบกระจาย น้ำที่เหมาะสม 3. ขุดเจาะระบบน้ำบาดาลและมี ระบบกระจายน้ำที่เหมาะสม


42 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลชุมชน บ้านห้วยปง หมู่ที่ 5 ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ สภาพปัญหา สาเหตุของปัญหา แนวทางแก้ไข ด้านสังคม 1 ปัญหายาเสพติด - ชาวบ้านไม่มีความรู้เกี่ยวกับพิษภัย ยาเสพติด - เด็กเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีในชุมชนใน การยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด - ความคึกคะนองอยากลองของ วัยรุ่นในชุมชน - การมั่วสุมของกลุ่มวัยรุ่น - ความเชื่อในทางที่ผิด ในการใช้ รักษาโรค - ประเพณีค่านิยม - การอยากรวยทางลัด - ปัญหาความยากจน - ให้ความรู้เกี่ยวกับพิษภัยยา เสพติด โดยการอบรมให้ความรู้ - การส่งเสริมให้ทำกิจกรรมโครงการ กีฬาในชุมชน - ให้ความรู้ทำความเข้าใจระหว่าง ประเพณีกับยาเสพติด - ตั้งกฎหมู่บ้านเกี่ยวกับการป้องกัน ยาเสพติด ด้านการศึกษา 1 มีคนสื่อสารด้วยการพูดและ เขียนภาษาไทยไม่ได้ในหมู่บ้าน 2 เด็กไม่เห็นความสำคัญของการ เรียนหนังสือ - ผู้ปกครองในชุมชนไม่มีความรู้เรื่อง การศึกษาจึงทำให้ไม่เห็นความสำคัญของ การศึกษา - การออกเรียนกลางคันของนักเรียนทำให้ เรียนไม่จบตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ - การเสพสิ่งเสพติด - การคบเพื่อน - ปัญหาความยากจน - ขาดคนแนะนำและให้ความรู้ในการ ส่งเสริมให้เด็กได้ศึกษาต่อ - สร้างความเข้าใจและให้ความรู้เรื่อง การศึกษาแก่ผู้ปกครอง - จัดป้ายนิทรรศการและให้คนใน ชุมชนได้เห็นตัวอย่างของคนที่ ประสบความสำเร็จ ในเรื่องการเรียน จบแล้วมีงานทำที่ดี - ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนใช้เวลา ว่างให้เกิดประโยชน์ - คนในชุมชนร่วมวางกฎกติกาของ ชุมชนเพื่อให้มีข้อบังคับใช้ในเรื่องยา เสพติด -จัดกิจกรรมการส่งเสริมการรู้หนังสือ -จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน ด้านวัฒนธรรม - คนในชุมชนรับเอาค่านิยมของคนใน เมืองมาใช้ทำให้ประเพณีที่มีอยู่ในชุมชน หายไป เช่น การแต่งกาย การทำกิจกรรม วันศีล ประเพณีกินวอ ประเพณีกินข้าว ใหม่ - รวมกลุ่มเยาวชนและเด็กให้ ความสำคัญของการแต่งกาย - การเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน เช่น ประเพณีกินวอ ประเพณีกินข้าวใหม่


43 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลชุมชน บ้านห้วยปง หมู่ที่ 5 ตำบลแม่นะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ สภาพปัญหา สาเหตุของปัญหา แนวทางแก้ไข ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า - ปัญหาการบุกรุกที่ดินทำกิน - น้ำไม่เพียงพอกับการเกษตร ในฤดูแล้ง -ปัญหาขยะและการจัดการ ขยะในชุมชน - ส่งเสริมให้ชุมชนมีจิตสำนึกในการ อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ช่วยกันรักษาป่า - จัดอบรมให้ชุมชนเห็นความสำคัญ และประโยชน์จากป่าไม้ - มีการจัดที่ทำกินให้เพียงพอต่อการ ทำการเกษตรของแต่ละครัวเรือน เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่เพิ่มเติม - มีการร่วมกันปลูกป่าในบริเวณต้น น้ำ เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ลำห้วยและ ต้นน้ำ -จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการ จัดการขยะและการคัดแยกขยะใน ชุมชน ด้านเศรษฐกิจ 1. ปัญหาที่ดินทำกินในชุมชนมีอย่าง จำกัด 2. ปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่าย - สภาพพื้นที่อยู่ติดกับเขต อุทยานไม่สามารถขยายพื้นที่ ได้ - สภาพพื้นที่เป็นภูเขาลาดชัน ไม่เหมาะกับการเพาะปลูก - แต่ละครอบครัวมีหนี้สินที่เกิด จากการกู้เงินและผ่อนรถ - การใช้จ่ายเกินความจำเป็น - ปัญหาการพนันในชุมชน -ราคาผลผลิตทางการเกษตรต่ำ - อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ พื้นที่ที่มีอยู่จำกัดให้ได้ผลผลิตที่ เพิ่มขึ้น เช่น การปลูกพืชหมุนเวียน การบำรุงดิน - การไปศึกษาดูงานที่สามารถสร้าง อาชีพที่ไม่ต้องใช้พื้นที่มาก เช่น การ ปลูกผัก การเพาะเห็ด - การทำบัญชีครัวเรือนเพื่อรู้รายรับ รายจ่ายเพื่อนำไปปรับใช้ในการรับ จ่ายเงินในครอบครัว - การตั้งกฎของชุมชนในเรื่องการทำ ผิดกฎหมายและการเล่นการพนันให้ ชัดเจน -จัดการอบรมการแปรรูปทางการ เกษตร


Click to View FlipBook Version