วชิ า การจัดการและอนุรักษท์ รัพยากรทางวัฒนธรรม
หวั ขอ้ การศึกษา “คริสตศ์ าสนากบั ชาวล้านนาใน
จังหวดั เชยี งใหม่”
นำเสนอโดย
นำยอศั วิน แสงเป็ ก
นักศึกษำระดบั ปริญญำโท
รหัสนักศึกษำ 650332008
พระเจ้ำในศำสนำคริสต์
ในควำมเป็ นพระเจ้ำ จะมีองค์ประกอบท่ีเรียกว่ำ ตรีเอกภำพ หรือ ตรีเอกำนุภำพ คือภาวะที่พระเป็ นเจา้ พระองค์เดียวเป็ น
เอกภาพ แต่ปรากฏเป็นสามพระบุคคล คือ พระบิดา พระบุตร และพระวญิ ญาณบริสุทธ์ิ ต้งั แต่คริสตศ์ ตวรรษท่ี 4 เทววทิ ยาศาสนาคริสตท์ ้งั
ทางตะวนั ออกและตะวนั ตกยอมรับวา่ “ในพระเจา้ เดียว มีสามพระบุคคล” สามสิ่งน้ีต่างบุคคลกนั แต่มีธรรมชาติเดียวคือความเป็นพระเจา้
รำชกจิ ของพระเจ้ำ : ตามบนั ทึกในพระคมั ภีร์ ไบเบิล ในหนงั สือปฐมกาล กล่าววา่ เมื่อเดิม พระเจา้ ไดท้ รงเนรมิตสร้างฟ้าและ
ดิน , ทรงให้มีตน้ ไมเ้ กิดผลต่าง ฯ เกิดข้ึน, พระองคส์ ร้างดวงสวา่ งไว้ 2 ดวง ดวงใหญ่รักษากลางวนั ดวงเลก็ รักษากลางคนื ,ทรงสร้างฝูง
สตั วใ์ หม้ ีอยใู่ นน้า , ทรงสร้างฝงู สตั วใ์ หเ้ กิดข้ึนท่ีแผน่ ดิน , ทรงสร้างมนุษยข์ ้ึนใหเ้ ป็นชายและหญิง และพระองคไ์ ดท้ รงสร้างสวนเอเดนให้
เป็นที่อยอู่ าศยั ของมนุษยค์ ู่แรก คืออาดมั และเอวา
ศำสดำในศำสนำคริสต์
พระเยซู พระเยซู (Jesus) หรือ เยซูแห่งนาซาเรธ (องั กฤษ: Jesus of Nazareth; 4 ปี ก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 30) เป็นชาวยวิ ซ่ึงเป็น
ศาสดาของคริสตศ์ าสนา ชาวคริสตเ์ รียกเยซูแห่งนาซาเร็ธวา่ พระเยซูคริสต์ และถือวา่ พระองคเ์ ป็นพระผชู้ ่วยใหร้ อด เป็นพระบุตรของพระผู้
เป็ นเจา้ เป็ นพระเจา้ เอง และเป็ นหน่ึงในพระตรีเอกานุภาพ คาว่า “เยซู” มาจากคาในภาษากรีกคือ “อิเอซูส” ซ่ึงมาจากการถ่ายอกั ษรชื่อ
Yeshua [เยชูวำ] ในภาษาอาราเมกหรือฮีบรูอีกทอดหน่ึง ซ่ึงเป็นคาแปลของคาภาษาฮีบรู Messiah อนั หมายถึง “ผไู้ ดร้ ับการเจิม” ชาวอาหรับ
เรียกว่า “มะซีฮฺ” ซ่ึงหมายถึงการแต่งต้งั ให้ทาหนา้ ท่ีสูงส่ง เช่น กษตั ริยม์ หาปุโรหิต ศาสดาประกาศ เป็ นตน้ เม่ืออาณาจกั รยดู าห์เสียแก่บาบิ
โลน ก็สิ้นกษตั ริยท์ ี่ไดร้ ับการเจิม ต่อจากน้นั ชาวยิวก็โหยหาพระเมสสิยาห์ท่ีจะมาสร้างอาณาจกั รใหม่ของพระเจา้ “คริสต์” จึงเป็ นชื่อ
ตาแหน่ง ไม่ใช่ช่ือตวั ผนู้ ิพนธ์พระวรสารชอบเรียกพระผไู้ ถ่วา่ “เยซู” และเพื่อใหแ้ ตกต่างจากคนอื่นๆท่ีชื่อเหมือนกนั กเ็ รียกเป็น “เยซูชาวนา
ซาเร็ธ” หรือ “เยซูบุตรของโยเซฟ” แต่นกั บุญเปาโลหรืออคั รทูตเปาโลชอบเรียกวา่ “พระคริสต”์ หรือ “พระเยซูคริสต์” ท่ีเรียกวา่ “พระคริสต์
เยซู” กม็ ีบา้ ง
กำรตรึงทกี่ ำงเขนและกำรเสดจ็ ขนึ้ สู่ฟ้ำสวรรค์
พระคริสตธรรมคมั ภีร์ ภาคพนั ธสัญญาใหม่ ระบุว่า พระเยซูถูกตรึงบนไมก้ างเขนต้งั แต่เชา้ “เม่ือเขาตรึงพระองคไ์ วน้ ้นั เป็นเวลา
เชา้ สามโมง” และสิ้นพระชนม์บนไมก้ างเขนในเวลาบ่าย “เวลาน้นั ประมาณเวลาเท่ียง ก็บงั เกิดมืดมวั ทวั่ แผ่นดิน จนถึงบ่ายสามโมง ดวง
อาทิตยก์ ็มืดไป ม่านในพระวหิ ารก็ขาดตรงกลาง พระเยซูทรงร้องเสียงดงั ตรัสวา่ ‘พระบิดาเจา้ ขา้ ขา้ พระองคฝ์ ากวิญญาณจิตของขา้ พระองค์
ไวใ้ นพระหตั ถข์ องพระองค’์ ตรัสอยา่ งน้นั แลว้ กส็ ิ้นพระชนม”์ หลงั จากน้นั พระองคท์ รงเสดจ็ กลบั ฟ้ื นคืนพระชนมใ์ นวนั ที่ 3 “แต่เชา้ มืดในวนั
ตน้ สปั ดาห์ ผหู้ ญิงเหล่าน้นั จึงนาเคร่ืองหอมที่เขาไดจ้ ดั เตรียมไวม้ าถึงอุโมงค์ เขาเหล่าน้นั เห็นกอ้ นหินกลิ้งพน้ จากปากอุโมงคแ์ ลว้ และเม่ือเขา้
ไปมิไดเ้ ห็นพระศพของพระเยซูเจา้ ” “หญิงเหล่าน้นั กไ็ ปจากอุโมงคโ์ ดยเร็ว ท้งั กลวั ท้งั ยนิ ดีเป็นอนั มาก วิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์ ดู
เถิด พระเยซูไดเ้ สด็จพบเขาและตรัสว่า ‘จงจาเริญเถิด’ หญิงเหล่าน้นั ก็มากอดพระบาทนมสั การพระองค์ พระเยซูจึงตรัสกบั เขาวา่ ‘อยา่ กลวั
เลย จงไปบอกพวกพี่นอ้ งของเราใหไ้ ปยงั กาลิลี จะไดพ้ บเราท่ีนนั่ '” บุคคลท่ีพระเยซูทรงปรากฏใหเ้ ห็นก่อนที่จะเสด็จข้ึนสู่ฟ้าสวรรค์ ไดแ้ ก่
มารียช์ าวมกั ดาลา, เคลโอปัสและศิษยอ์ ีกคนหน่ึงซ่ึงในพระคมั ภีร์ไม่ไดร้ ะบุชื่อ, สาวกท้งั สิบเอด็ คน, สาวกเจด็ คน พระเยซูทรงประทบั อยกู่ บั
เหล่าสาวกราว40วนั และเสดจ็ ข้ึนสวรรคต์ ่อหนา้ พวกเขา “เม่ือพระองคต์ รัสเช่นน้นั แลว้ พระเจา้ กท็ รงรับพระองคข์ ้ึนไปต่อหนา้ ต่อตาเขา และ
มีเมฆคลุมพระองคใ์ หพ้ น้ สายตาของเขา”
“The Last Supper” เป็นภาพที่บอกเล่าเร่ืองราวของเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารค่าม้ือสุดทา้ ยที่พระเยซูทรงร่วมโต๊ะกบั เหล่าบรรดา
สาวกท้งั 12 คน โดยอาหารค่าม้ือสุดทา้ ยนน่ั พระเยซูไดป้ ระทานใหแ้ ก่สานุศิษยท์ ้งั 12 องค์ และหน่ึงในผรู้ ่วมโต๊ะอาหารกลบั ทรยศพระองค์
คือ ยดู าส วา่ กนั วา่ ยดู าสไปเขา้ กบั ฝ่ ายผนู้ าชาวยวิ และไดเ้ สนอตวั วา่ จะช่วยวางแผนจบั พระเยซูให้ เพราะยดู าสทราบดีวา่ หลงั อาหารม้ือค่าน้ี
พระเยซูจะเดินทางไปภาวนา ยงั สถานท่ี เกสเซมานี ณ.บริเวณเชิงเขาที่อยใู่ กลๆ้ กรุงเยรูซาเลม็ ซ่ึงบนโต๊ะอาหารพระองคท์ รงหยบิ ขนมปังบิ
ออกแลว้ ยน่ื ใหก้ บั เหล่าสานุศิษย์ พร้อมกบั ตรัสวา่ “รับเอาขนมปังชิ้นน้ีไปกินกนั ใหท้ ว่ั น้ีเป็นกายของเราที่มอบใหแ้ ด่ท่าน” หลงั จากน้นั ทรง
หยบิ ถว้ ยเหลา้ องุ่นยนื่ ใหก้ บั สานุศิษยแ์ ละตรัสวา่ “นี่คือโลหิตของเรา เป็นโลหิตแห่งพนั ธะสญั ญาใหม่อนั ยนื ยง โลหิตจะหลงั่ ออกมาเพื่ออภยั
ใหก้ บั บาปของพวกท่านท้งั หลายจงทาการน้ีแลว้ ระลึกถึงเราเถิด”ก่อนท่ีจะถูกนาไปตรึงบนไมก้ างเขน ซ่ึงภาพงานศิลปะชิ้นน้ีเป็นฝี มือการ
วาดของจิตรกรที่ทวั่ โลกรู้จกั เป็นอยา่ งดี คือลีโอนาโด ดาวนิ ชี ภาพน้ีถูกวาดเม่ือปี 1945 และใชเ้ วลามากกวา่ 3 ปี ดว้ ยกนั ถึงจะเสร็จสมบูรณ์
ด้ำนควำมเชื่อในศำสนำ
คริสตชนถือว่า "ความเชื่อในพระเยซูคริสต์" เป็ นเง่ือนไขเดียวที่พระเจ้าทรง
เรียกร้องสาหรับความรอด ความเช่ือไม่ใช่การกล่าวยอมรับพระคริสตเ์ ท่าน้นั แต่เป็นกิจ
ซ่ึงแสดงออกจากจิตใจของผทู้ ี่เชื่อท่ีแสวงหาการติดตามของพระคริสตใ์ นฐานะองคพ์ ระ
ผูเ้ ป็ นเจา้ และพระผูไ้ ถ่ดว้ ยความหมายของความเช่ือมีปรากฏอยู่ในคมั ภีร์ไบเบิลภาค
พนั ธสัญญาใหม่ ในจดหมายถึงชาวฮีบรู ซ่ึงไม่เป็ นท่ีทราบแน่ชดั ว่าผูใ้ ดเป็ นผูเ้ ขียน
จดหมายฉบบั น้ี เป็ นท่ีเขา้ ใจวา่ ผเู้ ขียนตอ้ งการเขียนถึงชาวฮีบรูหรือชาวยิวท่ีกลบั ใจมา
เป็นคริสตชน ในบทท่ี 11 ผูเ้ ขียนไดอ้ ธิบายความเชื่อของคริสตชนโดยเริ่มต้งั แต่การที่
พระเจา้ ทรงสร้างจกั รวาล ความเชื่อของชาวยิวในยคุ สมยั ต่าง ๆ ตามท่ีปรากฏในพระ
คมั ภีร์ ความเช่ือในพระสัญญาของพระเจา้ และความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระ
บุตรของพระเจา้ โดยสรุปความหมายของความเชื่อไวว้ า่ "ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่ง
ท่ีหวังไว้เป็นความแ น่ใจในส่ิงท ี่มองไม่เห็น"แนวคิดเรื่องความเช่ือในพนั ธสัญญาใหม่
มีองค์ประกอบ 4 อยา่ ง ดงั ต่อไปน้ี เป็ นการเชื่อสุดใจ การยอมมอบเจตจานง และการ
อุทิศถวายตนเองท้งั หมดแด่พระเยซูคริสตผ์ ซู้ ่ึงพนั ธสญั ญาใหม่เปิ ดเผยไว้ ,มีการกลบั ใจ
ใหม่ คือการหนั จากบาป ดว้ ยความสานึกเสียใจอยา่ งแทจ้ ริง และหนั เขา้ หาพระเจา้ โดย
ทางพระคริสต์,เช่ือฟังพระเยซูคริสตแ์ ละพระวจนะของพระองคแ์ สดงออกโดยความ
ไว้ว างใจคว าม รักโดยค วามซาบซ้ึ ง และ คว ามจงรักภักดี ต่อ พระค ริ สต์
ศำสนำคริสต์ในประเทศไทย
ศำสนำคริสต์ เป็นหน่ึงใน 5 ศาสนาในประเทศไทยท่ีกรมการศาสนารับรอง โดยมิชชนั นารีชาวยโุ รปเป็นกลุ่มแรกท่ีนาเขา้ มาเผย
แผ่ ปัจจุบนั มีจานวนศาสนิกชนมากท่ีสุดเป็ นอนั ดบั สามผลสารวจโดยองค์กรของคริสต์ศาสนาในนิกายต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2558 พบว่า
คริสต์ศาสนิกชนในประเทศไทย มีจานวนท้งั หมด 814,508 คน คิดเป็ น 1.2712% ของประชากร 64,076,033 คน โดยแบ่งเป็ น นิกาย
โปรเตสแตนต์ 444,372 คน (0.6935%) นิกายโรมนั คาทอลิก 370,136 คน (0.5777%)
ศำสนำคริสต์นิกำยโรมันคำทอลิกที่เผยแพร่ในไทยเป็นคร้ังแรกตรงกบั สมยั อาณาจกั รอยธุ ยา ปรากฏหลกั ฐานว่าในปี พ.ศ. 2110
(ค.ศ. 1567) มีมิชชนั นารีคณะดอมินิกนั 2 คน เขา้ สอนศาสนาใหช้ าวโปรตุเกสรวมท้งั ชาวพ้ืนเมืองท่ีเป็นภรรยา ต่อมาจึงมีมิชชนั นารีคณะฟรัน
ซิสกนั และคณะเยสุอิตเขา้ มาดว้ ย ซ่ึงบาทหลวงส่วนมากที่เดินทางเขา้ มาส่วนใหญ่เป็นชาวโปรตุเกส
ศำสนำคริสต์นิกำยโปรเตสแตนต์
คณะเผยแพร่ของนิกายโปรเตสแตนต์กลุ่มแรกที่เขา้ มา
ประเทศไทยตามหลักฐานที่ปรากฏคือศิษยาภิบาล 2 ท่าน
ศาสนาจารย์ คาร์ล ออกสั ตสั เฟรดเดอริค กุตสลาฟ เอ็ม.ดี
(Rev.KarlFredrichAugustusGutzlaff)ชาวเยอรมนั จาก สมาคม
เนเธอร์แลนดม์ ิชชนั นารี (Netherlands Missionary Society)
และศาสนาจารย์ จาคอบทอมลิน (Rev. Jacob Tomlin) ชาว
องั กฤษ จากสมาคมลอนดอนมิชชนั นารี (London Missionary
Society) มาถึงประเทศไทยเม่ือ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2371 (ค.ศ.
1828) ท้งั สองท่านช่วยกนั เผยแพร่ศาสนาดว้ ยความเขม้ แข็ง
ศำสนำคริสต์นิกำยโรมนั คำทอลกิ
ชาวคาทอลิกเช่ือวา่ พระเยซูมีพระมหาบญั ชาต้งั ศาสนจกั รข้ึนใหเ้ ป็นหน่ึงเดียว ศกั ด์ิสิทธ์ิ สากล และสืบมาจากอคั รทูตโดยมีมุขนายก
สืบทอดหนา้ ท่ีจากอคั รทูต และพระสันตะปาปาสืบตาแหน่งต่อจากนกั บุญเปโตร ซ่ึงพระเยซูทรงยกเป็นเอกในบรรดาอคั รทูตศาสนจกั ร
คาทอลิกใหค้ วามสาคญั กบั ศีลมหาสนิทที่สุดในบรรดาศีลศกั ด์ิสิทธ์ิท้งั หมด และฉลองศีลน้ีในพิธีมิสซา โดยเชื่อว่าแผน่ ขนมปังและเหลา้
องุ่นท่ีบาทหลวงเสกในพธิ ีน้ีจะเปล่ียนสารเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซู และมีหลกั คาสอนใหเ้ คารพพระนางมารียพ์ รหมจารีใน
ฐานะที่เป็นพระมารดาพระเจา้ และราชินีแห่งสวรรค์ และเคารพบรรดานกั บุญต่างๆ ในฐานะที่เป็ นแบบอยา่ งในการดาเนินชีวิตความเชื่อ
นอกจากน้ียงั เชื่อในพระเมตตา การชาระใหบ้ ริสุทธ์ิโดยความเช่ือ การประกาศพระวรสาร และทางานเพื่อสังคม ศาสนจกั รคาทอลิกจึงเป็น
องคก์ รเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกท่ีจดั การศึกษาและบริการสุขภาพในประเทศไทยเรียกคริสตศ์ าสนิกชนนิกายโรมนั คาทอลิกวา่ "คริสตงั "
ซ่ึงมีที่มาจากภาษาโปรตุเกส คาวา่ Cristão โดยศาสนิกชนนิกายโรมนั คาทอลิคในไทยน้นั อยภู่ ายใตก้ ารดูแลของสภาประมุขแห่งบาทหลวง
โรมนั คาทอลิกแห่งประเทศไทย
คริสตจักรโรมันคาทอลิกในประเทศ
ไทย หรอื ท่ีชาวคาทอลิกเรยี กโดยย่อว่า พระศาสนจักร
ในประเทศไทย เป็นประชาคมของคริสตศ์ าสนิกชน
นิกายโรมันคาทอลิก มีการปกครองตนเองภายใตก้ าร
ควบคมุ ของสนั ตะสานกั [1] ตามสถิติคาทอลิกในประเทศ
ไทย พ.ศ. 2565 มีชาวคาทอลิกอยู่ราว 411,166 คน
และมีโบสถค์ าทอลกิ 532 แห่ง
ศำสนำคริสต์นิกำยโปรเตสแตนต์
นิกายโปรเตสแตนต์มีกาเนิดมาจากความคิดเห็นท่ีแตกแยกกันในเร่ืองความเชื่อและการใช้ชีวิตของคริสตชน โดยคาว่า
"โปรเตสแตนต์" (Protestant)แปลว่า "ผูป้ ระทว้ ง" หรือ "ผูค้ ดั คา้ น" แยกตวั ออกมาจากคริสตจกั รโรมนั คาทอลิกในปี ค.ศ. 1529 โดย
มาร์ติน ลูเทอร์ และผสู้ นบั สนุน ในช่วงที่คริสตจกั รคาทอลิกเกิดปัญหาข้ึนมากมาย เช่น ความเล่ือมล้า ความไม่เหมาะสมในวิถีปฏิบตั ิ
ของสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอท่ี 10 และการกระทาท่ีเหลวแหลกอื่น ๆ โดยแนวความคิดของลูเทอร์ผซู้ ่ึงมาจากครอบครัวยากจนได้
รับการสนบั สนุนจากมหาชนเยอรมนั เป็ นจานวนมาก แลว้ แพร่หลายออกไปทว่ั ทวีปยโุ รป ซ่ึงนบั เป็นจุดเริ่มตน้ ของนิกายโปเตสแตนต์
นิกำยโปรเตสแตนต์ (องั กฤษ: Protestantism) เป็นนิกาย
หน่ึงในศาสนาคริสต์ ใช้หมายถึงคริสต์ศาสนิกชนใด ๆ ที่ไม่ใช่
โรมนั คาทอลิกและออร์ทอดอกซ์ โปรเตสแตนตเ์ ป็นขบวนการศาสนา
ท่ีมีจุดเร่ิมตน้ ที่ประเทศเยอรมนีช่วงตน้ คริสตศ์ ตวรรษท่ี 16 เพื่อคดั คา้ น
หลักความเชื่อและการปฏิบัติแบบโรมันคาทอลิก โดยเฉพาะใน
ประเด็นท่ีเกี่ยวกับความรอด การทาให้ชอบธรรม และคริสตจักร
วทิ ยา โปรเตสแตนตแ์ บ่งออกเป็นหลายคริสตจกั รยอ่ ย ซ่ึงยดึ หลกั ความ
เช่ือแตกต่างกนั ไป แต่โดยทวั่ ไปจะยอมรับหลกั การเหมือนกนั วา่ มนุษย์
จะเป็ นคนชอบธรรมไดก้ ็โดยอาศยั พระคุณจากพระเจา้ ผ่านทางความ
เชื่อเท่าน้นั (เรียกวา่ หลกั โซลากราเซียและโซลาฟี เด) เชื่อวา่ ผเู้ ชื่อทุกคน
เป็นปุโรหิต และคมั ภีร์ไบเบิลมีอานาจสูงสุดในการกาหนดหลกั ความ
เช่ือและศีลธรรม (เรียกวา่ หลกั โซลาสกริปตูรา)
“คริสต์ศำสนำในเชียงใหม่ ”
ในปี ค .ศ.1863ศาสนาจารยแ์ มคกิลวารีและศาสนาจารยโ์ จนาธานวิลสัน(สหายร่วมช้นั เรียนของศาสนา
จารยแ์ มคกิลวารีที่วิทยาลยั ศาสนศาสตร์ปร๊ินสตนั และเป็ นมิชชนั นารีมายงั สยามพร้อมกนั เมื่อค.ศ.1858)ได้
เดินทางมาสารวจท่ีเชียงใหม่คร้ังแรก เพ่ือหาลู่ทางในการต้งั ศูนยม์ ิชชนั เผยแผ่คริสต์ศาสนา และเห็นว่าเป็ น
แหล่งท่ีควรจดั ต้งั ศูนยม์ ิชชนั ข้ึนเน่ืองจากมีความเหมาะสมหลายประการจนกระทงั่ ถึง ค.ศ.1867 ครอบครัวของ
ศาสนาจารยแ์ ดเนียลและนางโซเฟี ย แมคกิลวารี พร้อมดว้ ยบุตรสองคนได้เดินทางมาต้งั งานเผยแพร่คริสต์
ศาสนาในเชียงใหม่ โดยออกเดินทางจากกรุงเทพฯเม่ือวนั ที่3 มกราคม ค.ศ.1867 ถึงเชียงใหม่เมื่อวนั ท่ี 3
เมษายน ปี เดียวกนั ครอบครัวแมคกิลวารีพกั อาศยั ท่ีศาลา"ยา่ แสงคามา" อยฝู่ ั่งตะวนั ตกแม่น้าปิ ง (เขา้ ใจวา่ เป็น
บริเวณตลาดวโรรสในปัจจุบนั ) ซ่ึงเป็นศาลาท่ีขา้ ราชการชาวเมืองระแหงผหู้ น่ึงสร้างไวเ้ ป็นท่ีพกั แรมของคน
เดินทางผา่ นไปมา ศาสนาจารยแ์ มคกิลวารีไดน้ ายาควินินหรือ "ยาขาว" แกไ้ ขม้ าลาเรียมาแจกพร้อมท้งั เล่าเรื่อง
คริสตศ์ าสนาแก่ผทู้ ่ีมามุงดู "กลุ วาเผอื ก" (ฝร่ังผวิ ขาว)
ระหว่ ำงที่ครอบครัวศำสนำจำรย์ แมคกิลวำรีได้ ต้ังมั่นประกำศคริสต์ ศำสนำท่ี
เชียงใหม่ นับต้ังแต่ปี ค.ศ.1867 เป็ นต้นมำ นอกจำกคนเมืองจะให้ควำมสนใจยำรักษำ
ของมชิ ชันนำรีแล้วกย็ งั มคี นทส่ี นใจคริสต์ศำสนำด้วย ศำสนำจำรย์แมคกิลวำรีกล่ำวว่ำ
คนเมืองคนแรกที่รับเช่ือคริสต์ศำสนำคือแสนยำวิชัย เป็ นข้ำรับใช้ของเจ้ำหลวงเมือง
ลำพูน แต่ท่ำนยงั ไม่รับบพั ตสิ มำเป็ นคริสเตียนตำมพธิ ีกรรมของคริสต์ศำสนำ ส่วนคน
เมืองที่รับเชื่อและรับบพั ติสมาเป็นคริสเตียนคนแรกคือหนานอินต๊ะ ชาวบา้ นปากกอง
อาเภอสารภี โดยท่านรับบพั ติสมาในวนั ที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1869 และยงั มีคนที่รับเช่ือ
เป็ นคริสเตียนต่อมาจนถึงต้นเดือนสิงหาคมค.ศ. 1869 รวม 7 คน แต่ในวนั ท่ี 14
กนั ยายน ค.ศ. 1869 คริสเตียนสองคนคือนอ้ ยสุยะกบั หนานชยั ถูกฆ่าตายโดยคาสงั่ ของ
พระเจา้ กาวิโลรส บรรดาคริสเตียนและคนรับใชข้ องมิชชนั นารีคนอ่ืนๆ ต่างหลบหนี
ภยั ท่ีกลวั ว่าจะมาถึงตวั เกิดความตึงเครียดระหว่างมิชชนั นารีกบั เจา้ หลวงเชียงใหม่
โดยมิชชนั นารีไดร้ ้องเรียนเร่ืองน้ีไปยงั ราชสานัก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้
เจ้าอยู่หัว ผ่านกงสุลอเมริ กันท่ีกรุ งเทพฯ และราชสานักพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัวได้ส่งขา้ หลวงข้ึนมาพร้อมกบั ผูแ้ ทนมิชชันสยามเพื่อจดั การ
ปัญหาดงั กล่าว แต่ยงั ไม่มีการแกไ้ ขในทางท่ีดีข้ึน ในช่วงน้นั พระเจา้ กาวิโลรสพร้อม
ด้วยข้าราชบริ พารได้เสด็จลงมาร่ วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวรัชกาลที่ 4 ท่ีกรุงเทพฯ โดยยงั ทิ้งปัญหาไว้
เบ้ืองหลงั
ควำมตึงเครียดได้คล่ีคลำยลงเม่ือพระเจ้ำกำวโิ ลรสถึงแก่พริ ำลัยในวันท่ี 29 มิถุนำยน ค.ศ.1870 ขณะเสด็จกลบั เชียงใหม่ นบั เป็นความ
โล่งใจท้งั ฝ่ายรัฐบาลสยามและมิชชนั นารีที่เจา้ ผคู้ รองนครเชียงใหม่ (ซ่ึงถูกมองวา่ มีพระนิสัยแขง็ กร้าว ) ไดจ้ บพระชนมช์ ีพลง ทาใหค้ วามอึด
อดั ใจของรัฐบาลสยามที่หวน่ั เกรงวา่ พระเจา้ กาวโิ ลรสจะเป็นชนวนก่อปัญหากระทบกระทงั่ ระหวา่ งสยามกบั มหาอ านาจองั กฤษคลายลงไป
และมิชชนั นารีมองวา่ ไม่มีผขู้ ดั ขวางงานประกาศศาสนาอยา่ งที่เคยประสบมาก่อนหนา้ น้ีอีก
ประวัติศำสตร์กำรเผยแพร่คริสต์ศำสนำในเชียงใหม่จึงต้งั ตน้ ข้ึนใหม่
ในช่วงหลงั ของปี ค.ศ. 1870โดยเริ่มมีคนเมืองสนใจรับเชื่อคริสตศ์ าสนาอีก ในปี
ค.ศ.1872 ศาสนาจารย์แมคกิลวารี และนายแพทย์ชาร์ล วรูแมน นายแพทย์
มิชชนั นารีคนแรกท่ีมาประจายงั มิชชนั ลาว ไดเ้ ดินทางออกสารวจหวั เมืองต่าง ๆใน
ลา้ นนา ผ่านเชียงราย หลวงพระบาง น่าน และแพร่ เพ่ือหาทางขยายการประกาศ
ออกไปทวั่ ดินแดนน้ีในปี ค.ศ. 1876 นางคามูล ภรรยาหมา้ ยของน้อยสุยะรับบพั ติ
สมาเป็ นสตรีคริสเตียนคนเมืองคนแรก มีจานวนคริสเตียนคนเมืองเพ่ิมข้ึนเรื่อย ๆ
แต่เมื่อถึงปี ค.ศ. 1878 ได้เกิดความขดั แยง้ ทางขนบประเพณีระหว่างมิชชันนารี
อเมริกนั กบั ผมู้ ีอานาจปกครองในเชียงใหม่ เน่ืองจากในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1878 จะ
มีพิธีแต่งงานแบบคริสเตียนคร้ังแรกระหว่างนางสาวคาต๊ิบ (บุตรสาวของหนาน
อินต๊ะ) กบั น้อย อินทจกั ร ศิษยข์ องศาสนาจารยแ์ มคกิลวารีที่กาลงั รับการฝึ กอบรม
เพ่อื เป็นศาสนาจารยห์ รือนกั บวชของคริสตศ์ าสนาโปรเตสแตนต์ เจา้ เทพวงศ์ซ่ึงเป็น
มูลนายสูงสุดของครอบครัวฝ่ ายเจา้ สาวไม่ยินยอมให้มีการแต่งงานจนกว่าจะมีการ
เสียผีตามประเพณีความเช่ือของคนเมืองเสียก่อน มิชชนั นารีเองไม่ยอมอ่อนขอ้ ใน
เร่ืองน้ี ในท่ีสุดมี การฟ้องร้องไปยงั ราชสานกั รัชกาลที่ 5 ท่ีกรุงเทพฯ อีกคร้ังหน่ึง
ต่อมาในต้นเดือนตุลาคม ค.ศ.1878 ได้มีการประกาศเรื่องอนุญาตให้ชาวเมือง
เชียงใหม่ ลาพูน และลาปาง มีเสรีภาพในการนบั ถือศาสนาตามใจชอบได้ ประกาศ
ฉบบั น้ีเป็ นที่รู้จกั ในแวดวงคริสเตียนว่า พระบรมราชโองการเสรีภาพทางศาสนา
ศูนย์มชิ ชันรีเชียงใหม่
การเร่ิมงานของมิชชนั นารีในเชียงใหม่ ถือเป็ นจุดเร่ิมตน้ และเป็นแม่แบบของการจดั ต้งั ศูนยม์ ิชชนั นารีในหัวเมืองอื่น ๆ ในลา้ นนา
หลงั จากศาสนาจารยแ์ มคกิลวารีข้ึนมาต้งั มน่ั ประกาศคริสตศ์ าสนาเม่ือปี ค.ศ. 1867 และภายหลงั ที่ผา่ นเหตุการณ์ประหารชีวติ คริสเตียนคนเมือง
สองคนโดยคาสงั่ ของเจา้ กาวิโลรสในปี ค.ศ. 1869 แลว้ งานของมิชชนั นารีไดพ้ ฒั นาและขยายมากข้ึน มีการจดั ต้งั คริสตจกั รตามชนบทนบั ต้งั แต่
ปี ค.ศ. 1880-1920 จานวน 20 คริสตจกั ร และก่อนการต้งั คริสตจกั รในประเทศสยาม ค.ศ. 1934 มีคริสตจกั รในเชียงใหม่ -ลาพูน ราว 23
คริสตจกั รในการปฏิบตั ิงานดา้ นน้ี มิชชนั นารีไดจ้ ดั เตรียมคริสเตียนคนเมืองเพ่ือเป็ นผูช้ ่วยงานดา้ นการประกาศและดูแลคริสตจกั ร โดยเปิ ด
โรงเรียนฝึกอบรมทางศาสนศาสตร์(Theology Training School)
พันธกิจดา้ นหน่ึงท่ีมิชชนั นารีนาเขา้ มาพร้อมกบั การประกาศ
คริสตศ์ าสนา นนั่ คือการแพทยโ์ ดยศาสนาจารยแ์ มคกิลวรี ไดท้ าหนา้ ที่น้ีใน
สมยั เริ่มแรกท้งั ท่ีท่านไม่ใช่หมอ จนถึงปี ค.ศ. 1872 นายแพทยช์ าร์ล วรู
แมน เป็นแพทยม์ ิชชนั นารีคนแรกท่ีมาปฏิบตั ิงานในมิชชนั ลาว นบั เป็นการ
เร่ิมงานด้านการแพทย์แบบตะวนั ตกอย่างแท้จริง แต่ท่านอยู่ไม่นานก็
กลบั ไปสหรัฐอเมริกา ต่อมานายแพทยแ์ มเรียน เอ. ชีค (หมอชิก) เขา้ มารับ
งานดา้ นน้ีในปี ค.ศ. 1875 จนถึงปี ค.ศ. 1885 จึงลาออกไปทากิจการป่ าไม้
โดยท่านยงั คงช่วยงานการแพทยเ์ ป็นบางคร้ัง งานการแพทยข์ องมิชชนั นารี
ในระยะน้ียงั เป็นแบบออกไปใหก้ ารรักษาที่บา้ นผปู้ ่ วยตามการร้องขอ และ
จดั บริการแบบโอสถศาลา (dispensary) จนกระทงั่ ถึงปี ค.ศ. 1886 ไดจ้ ดั ต้งั
โรงพยาบาลชวั่ คราวโดยความรับผิดชอบของนายแพทย์ เอ. เอม็ แครี่ ที่เขา้
มาปฏิบตั ิหนา้ ที่แทนหมอชิกโรงพยาบาลของมิชชนั นารีท่ีเชียงใหม่ไดร้ ับ
การจดั ต้งั และพฒั นาให้มีความก้าวหน้าอย่างมากจนมีความมน่ั คงเม่ือ
นายแพทยเ์ จมส์ ดบั บลิว แมคเคน เขา้ มารับผดิ ชอบในปี ค.ศ.1890 เมื่อถึงปี
ค.ศ. 1908 ท่านไดจ้ ดั ต้งั สถานรักษาผูป้ ่ วยโรคเร้ือนที่เกาะกลางแม่น้าปิ ง
เชียงใหม่ ซ่ึงเป็ นท่ีรู้จกั ในช่ือ "โรงพยาบาลโรคเร้ือนแมคเคน" ขณะท่ี
โรงพยาบาลเดิมของมิชชันนารีนายแพทย์ เอ็ดวิน ซี . คอร์ท เข้ามา
รับผดิ ชอบแทนต้งั แต่ปี ค.ศ. 1913 เป็นตน้ มา
นำยแพทย์คอร์ทได้พฒั นำโรงพยำบำลของมชิ ชันนำรีที่เชียงใหม่ ใหม้ ีความเจริญเป็นท่ียอมรับมากยง่ิ ข้ึน
ทา้ ใหโ้ รงพยาบาลเดิมซ่ึงอยทู่ างฝ่ังตะวนั ตกของแม่น้าปิ งคบั แคบลง ท่านจึงไดด้ าเนินการสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่
ในปี ค.ศ. 1920 ท่ีตา้ บลหนองเส้งทางฝั่งตะวนั ออกของแม่น้าปิ ง การก่อสร้างสาเร็จในปี ค.ศ.1925 และไดต้ ้งั ชื่อว่า
"โรงพยาบาลแมคคอร์มิค " ตามชื่อของผบู้ ริจาคเงินทุนในการก่อสร้างสมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ามหิดลอดุลย
เดช กรมหลวง สงขลานครินทร์ (สมเดจ็ พระราชบิดา) เสดจ็ เป็นองคป์ ระธานเปิ ดโรงพยาบาลแมคคอร์มิคเม่ือวนั ท่ี 13
มกราคม ค.ศ. 1928 และในปี ค.ศ. 1929 พระองคย์ งั เสด็จมาเป็ นแพทยฝ์ ึ กหัดท่ีโรงพยาบาลแห่งน้ีจนกระทงั่ เสด็จ
ทิวงคตในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1929
ด้ำนกำรศึกษำ
เม่ือมิชชนั นารีเขา้ มาต้งั ศูนยม์ ิชชนั ท่ีเชียงใหม่มีกิจกรรมหลกั อยา่ งหน่ึงที่จดั ต้งั ข้ึนในช่วงเดียวกบั การต้งั คริสตจกั รคือการจดั
การศึกษาแบบตะวนั ตก มีการริเร่ิมจดั ต้งั โรงเรียนสาหรับเด็กหญิงคร้ังแรกโดยนางโซเฟี ย แมคกิลวารีไดน้ าเด็กหญิงคนเมืองมาเรียน
หนงั สือและสอนเยบ็ ปักถกั ร้อยที่ระเบียงบา้ นเมื่อปี ค.ศ.1873 ต่อมาในปี ค.ศ. 1879 ทางคณะกรรมการมิชชนั ฝ่ ายต่างประเทศไดส้ ่ง
มิชชนั นารี 2ท่าน คือนางสาวแมร่ี แคมป์ เบล และนางสาวเอดน่า โคล์ มารับผิดชอบจดั ต้งั โรงเรียนสตรีอยา่ งเป็นระบบข้ึน โรงเรียนแห่งน้ี
ไดร้ ับการพฒั นาเป็นโรงเรียนดาราวทิ ยาลยั ในปัจจุบนั การจดั การศึกษาทดั เทียมกบั ผชู้ าย ในสมยั แรก ๆ มีเดก็ หญิงคนหน่ึงชื่อยอดจากบา้ น
ป่ าป้อง อาเภอดอยสะเก็ด ไดต้ ิดตามครอบครัวศาสนาจารยแ์ มคกิลวารี มาเรียนหนงั สือกบั มิชชนั นารีที่ เชียงใหม่ ภายหลงั จบการศึกษา
แลว้ ไดเ้ ป็นครูสอนที่โรงเรียนน้ี และเป็นคนเมืองคนแรกท่ีเป็นหวั หนา้ ครู (ครูใหญ่) ของโรงเรียน
ในปี ค.ศ.1888 มิชชันนำรีได้จัดต้ังโรงเรียนสมัยใหม่สำหรับเด็กชำยท่ี
บริเวณวงั สิงห์คา เรียกวา่ "Chiangmai Boys' School" หรือโรงเรียนชายวงั สิงห์คา
โดยศาสนาจารยเ์ ดวดิ จี คอลลินส์ เป็นผรู้ ับผดิ ชอบ ต่อมาในปี ค.ศ. 1906 ซ่ึงเป็นช่วง
ที่ศาสนาจารยว์ ิลเล่ียม แฮริส รับผิดชอบ ไดย้ า้ ยโรงเรียนมาต้งั ทางฝั่งตะวนั ออกของ
แม่น้าปิ ง เนื่องจากบริเวณท่ีต้งั โรงเรียนเดิมค่อนขา้ งคบั แคบไม่อาจขยบั ขยายไดเ้ ม่ือ
ยา้ ยโรงเรียนมาต้งั ในที่แห่งใหม่ไดใ้ ชช้ ่ือว่า "โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลยั "
ตามนามที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (ขณะดารงตาแหน่งสยาม
มงกุฏราชกุมาร) ทรงพระราชทานให้เม่ือคราวเสด็จวางศิลาฤกษอ์ าคารเรียนหลัง
แรกเมื่อวนั ที่ 2 เดือนมกราคม ค.ศ.1906 เดิมทีโรงเรียนชายแห่งน้ีมีการสอนภาษา
ลา้ นนา (คาเมือง)ดว้ ย แต่หลงั จากปี ค.ศ. 1912 เป็ นตน้ มาไดจ้ ดั การเรียนการสอน
ภาษาไทยเป็นหลกั ซ่ึงเป็นการสนองต่อกระแสทางสงั คมและการเมืองที่มีการปฏิรูป
การเมืองการปกครองหวั เมืองลา้ นนาเขา้ กบั รัฐไทยกรุงเทพฯ ในสมยั น้นั
Thank
You