The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สมุนไพรไทยชนิดต่างที่รักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Jaaso Chanel, 2022-12-30 01:08:47

สมุนไพรรักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร

สมุนไพรไทยชนิดต่างที่รักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร

สสมุมนุ นไไพพรรไไททยยรัรกักษษาโาโรรคค

เกี่ยวกับทางเดิ นอาหาร

สมุนไพรที่รักษาโรคกระเพาะ

1. ขมิ้นชัน

น้ำมันหอมระเหยในขมิ้นชันมีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นจุกเสียด ขับลม จึงนิยม
นำขมิ้นมาใช้สมานแผลในกระเพาะอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ รักษาโรคกระเพาะอาหาร โดยคนที่ซื้อขมิ้นชัน
แบบผงมารับประทานเอง ให้ใช้ขมิ้นชันผง 1 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว (ไม่เต็ม) แล้วรับประทาน ขมิ้นชันที่ไหล
ผ่านอวัยวะภายในต่าง ๆ สามารถบำรุงอวัยวะส่วนนั้นได้ด้วย คือ ผ่านลำคอ จะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ, ผ่าน
ปอดจะช่วยดูแลปอดให้หายใจได้ดีขึ้น, ผ่านม้ามจะช่วยลดไขมัน ไม่ให้น้ำเหลืองเสีย, ผ่านกระเพาะอาหารจะ
ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร, ผ่านลำไส้จะช่วยสมานแผลในลำไส้ และผ่านตับก็จะช่วยบำรุงตับ ล้างไขมัน
ในตับ

2. ว่านหางจระเข้

วุ้นสดของว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ดี โดยวิธีใช้ให้เลือกใช้ใบ
ล่างสุดของต้นก่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออก ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด
เพราะอาจระคายเคืองผิวหนังและทำให้มีอาการแพ้ได้ จากนั้นขูดเอาวุ้นใสมารับประทานวันละ 2 ครั้ง

3.หัวปลี

หัวปลีไม่ได้เป็นแค่สมุนไพรบำรุงน้ำนมของแม่ลูกอ่อนเท่านั้น แต่ยางจากหัวปลียังมีฤทธิ์ช่วยสมานแผล
ในกระเพาะอาหารให้เราได้ด้วย โดยวิธีใช้ให้นำปลีกล้วยน้าว้ามาเผา แล้วบีบเอาแต่น้ำ กะให้ได้ประมาณ
ครึ่งแก้ว ดื่มก่อนอาหาร รสชาติอาจจะกินยากหน่อยแต่โบราณบอกว่า ถ้ากินติดต่อกันได้ 3 วันอาการ
ของโรคกระเพาะอาหารอาจหายขาดเลยเชียวล่ะ

4.มะขามป้อม

มะขามป้อมมีรสเปรี้ยว ฝาด ขม รสชาติคล้ายสมอไทย โดยมะขามป้อมเองก็มีสรรพคุณช่วยรักษา
แผลในกระเพาะอาหาร ลดกรดเกินในกระเพาะอาหาร และบำรุงอวัยวะในร่างกายได้หลายส่วนรวมทั้ง
กระเพาะอาหารด้วย ซึ่งวิธีกินมะขามป้อมรักษาโรคกระเพาะให้กินผงลูกมะขามป้อมวันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 1-2
ช้อนชา ก่อนอาหารและก่อนนอน

5.เปล้าน้อย

เปล้าน้อยเป็นสมุนไพรที่มีสาร Disterpene alcohol มีฤทธิ์สมานแผลในกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี และยัง
สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหารเนื่องจากสามารถกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อบุลำไส้ที่เสียไป ทำให้แผลใน
กระเพาะอาหารหายเร็วขึ้น รวมทั้งเปล้าน้อยยังมีสรรพคุณช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
นะคะ​โดยวิธีใช้ให้นำใบอ่อนไปตากแห้ง บดให้ละเอียด และนำมาต้มหรือชงน้ำดื่ม

6.กระเจี๊ยบเขียว

สรรพคุณเด่นของกระเจี๊ยบเขียวคือเป็นสมุนไพรช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยในปี 2547 มี
งานวิจัยที่พบว่า สารประกอบไกลโคไซเลต (Glycosylated compounds) ซึ่งประกอบด้วยโพลีแซกคาไรด์
(Polysaccharides) และไกลโคโปรตีน (Glycoproteins) ในกระเจี๊ยบเขียว มีฤทธิ์ยับยั้งความสามารถของ
เชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลริ (Helicobacter pylori) ในการเกาะเยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร
ซึ่งแบคทีเรียตัวนี้เองที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร แต่สารไกลโคไซเลต จะมี
ฤทธิ์ลดลงเมื่อถูกความร้อน ดังนั้นตำรับยาสำหรับรักษาโรคกระเพาะจึงให้ใช้ฝักอ่อนกระเจี๊ยบเขียว
หั่นตากแดด บดให้ละเอียด กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ โดยนำมาละลายในน้ำ นม น้ำผลไม้ หรืออาหารอ่อน
ๆ กินวันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหาร (เวลาละลายจะได้น้ำยาเหนียว ๆ)

7.กล้วย

ในเนื้อและเปลือกกล้วยมีเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารที่มีผลยับยั้งการหลั่งของน้ำย่อยของกระเพาะอาหาร และ
กระตุ้นให้ลำไส้เล็กบีบตัวมากขึ้น จึงช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยวิธีใช้ก็แค่นำกล้วยน้ำว้าดิบที่แก่
จัดทั้งลูก (ทั้งเปลือก) นำมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วหั่นขวางลูกเป็นชิ้นบาง ๆ เหมือนหั่นแตงกวาใส่ข้าวผัด เสร็จ
แล้วนำไปเกลี่ยใส่ถาด อย่าให้ชิ้นกล้วยซ้อนกันมากนัก ตากแดดจัด ๆ สักสามแดด แล้วจึงนำมาใส่ครกตำให้
ละเอียด โดยนำมาตำในขณะเก็บจากแดใหม่ ๆ เพราะกล้วยยังกรอบอยู่จะทำให้ตำละเอียดง่าย จากนั้นเก็บใส่
ขวดปากกว้างที่มีฝาปิดได้สนิท ใช้ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำค่อนแก้วกินหลังอาหารทุกมื้อ ก็จะช่วยให้อาการ
ดีขึ้น

8.ฝรั่ง มีสารแทนนินอยู่มาก สารนี้มีฤทธิ์ฝาดสมาน และสารแทนนินในฝรั่ง
ยังยับยั้งการลุกลามของเชื้อโรค ช่วยสมานท้องและลำไส้ โดยช่วยลด
อาการอักเสบของกระเพาะลำไส้ และช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ทั้งยัง
ช่วยอาการเกร็งตัวของลำไส้ ทำให้อาการปวดท้องบรรเทาลงได้ ดังนั้นใคร
เป็นโรคกระเพาะอาหารก็กินฝรั่งบรรเทาอาการได้เลยค่ะ

9. กะหล่ำปลี

ผักอย่างกะหล่ำปลีมีวิตามินซีสูง อีกทั้งในกะหล่ำปลียังมีสารอาหารกลูตามีนช่วยกระตุ้น
ให้กระเพาะอาหารสร้างเยื่อบุผนังกระเพาะได้รวดเร็ว ทำให้แผลในกระเพาะอาหารและ
ลำไส้หายได้เร็ว จึงใช้เป็นอาหารในการรักษาโรคกระเพาะได้ดี โดยวิธีกินแนะนำให้กินสด
หรือคั้นเป็นน้ำกะหล่ำปลีแล้วดื่ม ซึ่งจะคงคุณค่าสารอาหารได้ดีกว่านำไปปรุงสุก

จบสมุนไพรที่รักษาโรคกระเพาะ

สมุนไพรรักษากรดไหลย้อน

1.มะละกอ

มะละกอมีสรรพคุณลดกรดในกระเพาะอาหารและช่วยย่อยอาหาร
รักษาอาการกรดไหลย้อนที่เกิดจากการย่อยไม่หมด

2.แก้วมังกร

แก้วมังกรเป็นผลไม้ฤทธิ์เย็นมีฤทธิ์ลดการอักสบและช่วยเคลือบ
หลอดอาหารรักษาอาการแสบร้อนกลางอก โดยการนํามากินแซ่บแซ่บ

3. มะตูมอ่อน

มะตูมอ่อน เป็นสมุนไพรรักษากรดไหลย้อน ออกฤทธิ์ต่อกระเพาะ และ ลำไส้ มีประสิทธิภาพใน
การบำรุงระบบทางเดินอาหาร ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ขับลมในกระเพาะ รักษา
แผลทางเดินอาหารให้ดีขึ้นได้ อีกทั้งยังช่วยรักษาอาการหลอดลม และ หลอดอาหารอักเสบ จาก
อาการกรดไหลย้อนขึ้นคอได้อีกด้วย

4. กะเพราแดง

ใบ และ ยอดของกะเพราแดง มีรสชาติเผ็ดร้อน และ มีกลิ่นหอม ซึ่งใบและยอดกะเพราแดง มี
ฤทธิ์เป็นยา สามารถแก้อาการกรดไหลย้อน แสบกลางอก ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับ
ลม แก้อาการจุก เสียดได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อ
แบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุ ลดอาการปวดได้อีกเช่นกัน

5. อบเชยญวน

อบเชยญวน เป็นสมุนไพรแก้กรดไหลย้อน ที่มีกลิ่นหอม นอกจากจะนิยมเอามาทำ

เครื่องแกง ทำไส้กะหรี่ปั๊ป ต้มพะโล้เนื้อตุ๋น หรือใส่ในขนมหวานแล้ว ยังถูกนำมาสกัด

เป็นยาสมุนไพรกรดไหลย้อนอีกด้วย เพราะมีประสิทธิภาพในการแก้แสบกลางอก

ท้องอืด จุก เสียด แน่น เสริมสร้างกระเพาะให้แข็งแรง ด้วยการกระตุ้นการสร้างเมือก

มาหุ้มกระเพาะ ทำให้ระบบภายในเป็นปกตินั่นเอง

6. สมอพิเภก

สมอพิเภก เป็นอีกหนึ่งสมุนไพร ที่นิยมนำมาใช้ในการรักษาอาการกรดไหลย้อน โดย
เฉพาะลูกสมอพิเภก ที่มักถูกนำมาสกัดเป็นยาสมุนไพรแก้กรดไหลย้อน เนื่องจาก
ออกฤทธิ์ในการขับลม ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย กระตุ้นการขับน้ำดี ทำให้การย่อยดีขึ้น
เป็นผลให้อาการจุกเสียด จากกรดไหลย้อนบรรเทาลงได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกัน
หลอดเลือดอุดตัน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันเบาหวาน ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นสุด
ยอดสมุนไพรที่สรรพคุณมากจริงๆ

7. มะเขือพวง

มะเขือพวง ที่นิยมนำมาทำน้ำพริก แกงเขียวหวาน หรือ ผัดอาหาร ที่เราเห็นกัน
เป็นประจำนี้ มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการกรดไหลย้อนได้ด้วย เพราะผล
ของมะเขือพวง มีสารที่ทำให้ลำไส้ และ กระเพาะ มีแบคทีเรียที่ดี ไปช่วยปกป้อง
และ เสริมสร้างระบบทางเดินอาหารให้แข็งแรง และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอีก
ด้วย ดังนั้นหากเห็นมะเขือพวงอยู่ในเมนูอาหาร ก็อย่าหลีกเลี่ยงที่จะกินมันล่ะ

สุดยอดสมุนไพรไทยช่วยป้องกันลำไส้แปรปรวน

1.แมงลัก
เป็นพืชตระกูลเดียวกันกับกะเพราและโหระพา ใบจะมีฤทธิ์ร้อน หากนำมาต้มน้ำ
ดื่มจะมีสรรพคุณใช้ขับลมในลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดอาการอึดอัด แน่น
ท้อง รวมทั้งแก้โรคที่เกี่ยวข้องกับลำไส้และทางเดินอาหารได้
หากนำมารับประทานเป็นใบสด จะช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ รวมทั้งช่วย
บรรเทาอาการท้องร่วงหรือท้องเสียอันเนื่องมาจากอาหารเป็นพิษได้ดี
ส่วนเมล็ดจะมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ เมื่อนำมาแช่น้ำจนพองตัวเต็มที่
แล้วนำมารับประทาน จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งยังมีสรรพคุณช่วยล้างลำไส้ และขับล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้อันเนื่องมา
จากการมีอุจจาระตกค้าง การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด การรับประทานอาหารที่มีกาก
น้อย มีพยาธิในลำไส้ รวมทั้งพิษที่เกิดจากการขับถ่ายไม่เป็นเวลาอีกด้วย

2.กะเพรา
ใบกระเพรา ป้องกันลำไส้แปรปรวน
พืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาสารพัด โดยเฉพาะใบของกะเพราแดงซึ่งจะมี
ฤทธิ์ในการรักษาที่ดีกว่ากะเพราขาว มีสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร แก้
ลมซาง แก้ท้องขึ้น รวมทั้งช่วยลดอาการปวดท้องอุจจาระ เพราะช่วยลดการบีบตัว
ของลำไส้ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร รวมทั้งช่วยขับน้ำดีในกระเพราะจึง
ช่วยย่อยอาหารและไขมัน ที่เป็นสาเหตุของอาการจุกเสียดแน่นท้องได้

3.ตะไคร้
ตะไคร้ ป้องกันลำไส้แปรปรวน
สมุนไพรอีกชนิดที่นิยมนำมาประกอบอาหารและใช้เป็นยารักษาโรค หากนำมา
ซอยให้ละเอียดเป็นส่วนผสมในอาหาร หรือนำมาคั้นเป็นน้ำตะไคร้พร้อมดื่ม จะ
มีสรรพคุณช่วยขับน้ำดีเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แก้อาการปวดท้อง ท้องอืด
ท้องเฟ้อ และท้องเสีย รวมทั้งช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ และมีส่วนช่วย
ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย

4.พริก
พริก ป้องกันลำไส้แปรปรวน
นอกจากจะเป็นสมุนไพรที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอการเกิดริ้ว
รอยแห่งวัยได้แล้ว ใครที่ชอบรับประทานพริกเพราะติดใจในรสชาติที่เผ็ดร้อนก็มัก
จะเจริญอาหาร และรู้สึกอารมณ์ดี เพราะมีส่วนช่วยกระตุ้นสารแห่งความสุขหรือ
ฮอร์โมนเอ็นโดร์ฟิน (Endorphin) ให้กับร่างกายนอกจากนี้ ยังมีสารแคปไซซินที่ช่วย
ขยายเส้นเลือดในลำไส้และกระเพาะอาหารจึงช่วยให้การดูดซึมสารอาหารดีขึ้น ทั้งยัง
มีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและขับแก๊สในกระเพาะอาหาร ช่วยบรรเทาอาการ
อาหารไม่ย่อย รวมทั้งช่วยในการขับถ่ายของเสียให้สะดวกขึ้น เพราะมีฤทธิ์เป็นยา
ระบายอ่อน ๆ

5.หอมแดงและกระเทียม
หอมแดงและกระเทียม ป้องกันลำไส้แปรปรวน
สมุนไพรคู่ครัวไทยที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเผาผลาญสารอาหาร และยับยั้งไม่ให้น้ำ
ย่อยออกมาย่อยกระเพาะอาหารจนเกิดแผล จึงช่วยป้องกันโรคกระเพาะได้ ทั้งยังมี
สารสำคัญที่ช่วยยับยั้งการเกิดแบคทีเรียต่าง ๆ เมื่อนำมารับประทานสด หรือปรุงเป็น
ส่วนประกอบหนึ่งในเมนูอาหาร จะมีสรรพคุณช่วยย่อย และมีฤทธิ์ช่วยขับลมในลำไส้
แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องเสีย ทั้งยังนำมาใช้เป็นยาถ่าย
ได้ด้วย จึงช่วยป้องอาการท้องผูกได้อีกวิธีหนึ่งจะเห็นได้ว่าอาการลำไส้แปรปรวนไม่ได้
เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้องเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสาเหตุมาจาก
ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอด้วย

สมาชิ กกลุ่ม

นายยศวิ ชญ์ จ้ายหนองบั ว ม.5/1 เลขที่ 11
นายชยกร ปิ ติ ธนวุ ฒิ ม.5/1 เลขที่23
ม.5/1 เลขที่26
นายน้ำพัฒภู มิ อุทุ ม ม.5/1 เลขที่ 27

นายวาทิ ตย์ รสหอม
นางสาวมนต์ นภา เคนคำ ม.5/1 เลขที่ 35
นางสาวนฐา วรปั ญญพร ม.5/1 เลขที่ 36

ขอบคุ ณที่รับชมครับ


Click to View FlipBook Version