หนังสือเรียน รายวิชาพน้ื ฐาน วิชาวิทยาศาสตร์
ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชวี้ ัด กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
ตามหลักสตู รแกนกลางข้ันพนื้ ฐานพุทธศกั ราช 2551
การจาแนกประเภทสิง่ มชี ีวิต
4.ชน้ั ประถมศึกษาปีที่
คณะผเู้ รยี บเรียง 99.
นางสาวปาริฉัตร รตั นโคน้
นางสาวพรสดุ า โลมา
นางสาวศุภลกั ษณ์ ใบสนธ์ิ
นายอนุพงศ์ พมิ แสน
หนงั สือเรียนรายวิชาพน้ื ฐาน วิชาวทิ ยาศาสตร์
การจาแนกประเภทส่ิงมชี ีวติ
ตามมาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ชว้ี ัด กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
ตามหลกั สูตรแกนกลางขนั้ พน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4
คณะผูเ้ รยี บเรียง
นางสาวปาริฉัตร รัตนโคน้ รหสั นกั ศกึ ษา 62031050114
นางสาวพรสุดา โลมา รหสั นกั ศึกษา 62031050115
นางสาวศุภลักษณ์ ใบสนธ์ิ รหัสนกั ศกึ ษา 62031050125
นายอนุพงศ์ พิมแสน รหสั นักศึกษา 62031050130
คานา
หนังสอื เรียน รายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 การจาแนกประเภทสงิ่ มีชวี ิต
จดั ทาขน้ึ สาหรบั ใช้ประกอบการเรียนการสอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยดาเนินการจัดทาให้สอดคล้อง
ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 โดยส่งเสริมทักษะท่ีจาเป็นสาหรับการเรียนรู้
ในศตวรรษท่ี 21 ท้ังทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดแก้ปัญหา การคิด
สร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยี การส่ือสาร และการร่วมมือ รวมท้ังส่งเสริมให้ผู้เรียนมีจิตวิทยาศาสตร์คุณธรรม
และค่านิยมท่ีถูกต้องเหมาะสมกับการดารงชีวิตในสังคมไทยซ่ึงมีความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์
อย่างต่อเนื่องคณะผู้เรียบเรียง หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 การจาแนก
ประเภทส่ิงมีชีวิต มีความตระหนักและเล็งเห็นถึงคุณค่าของการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ท่มี ่งุ หวงั ให้ผู้เรียนไดเ้ รียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ทเี่ นน้ การเชอ่ื มโยงความรกู้ บั กระบวนการ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้า
และสรา้ งองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ซ่ึงผู้เรียนจะต้องมี
ส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน ด้วยเหตุผลน้ีคณะผู้เรียบเรียงจึงได้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีลักษณะ
ดงั น้ี
1. เนน้ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ เพื่อพัฒนาการใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
2. เน้นการลงมอื ปฏิบตั จิ ริงทกุ ขั้นตอน เพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นสร้างองคค์ วามรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง
3. เนน้ การนาความร้ไู ปใช้อย่างสร้างสรรค์บนพื้นฐานเจตคติทด่ี ีต่อการเรียนวิทยาศาสตร์
4. เน้นกจิ กรรมที่ชว่ ยส่งเสริมและพัฒนาทกั ษะการคดิ วิเคราะหแ์ ละการคิดแกป้ ญั หา
5. ส่งเสริมการประยกุ ต์ใช้ความรู้และฝึกทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 เพอ่ื สรา้ งสรรค์ผลงาน
หนังสอื เรียน รายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 การจาแนกประเภทสิ่งมีชีวิต นาเสนอ
รปู แบบการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนในชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยเป็นการศึกษาส่ิงที่เก่ียวข้องกับ
การดาเนินชีวิตประจาวันของผู้เรียน ซึ่งใช้ภาพ แผนภูมิ ตารางข้อมูล มาช่วยในการนาเสนอสาระต่าง ๆ จึง
ช่วยใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การเรยี นร้ไู ด้ง่ายข้ึน คณะผูเ้ รียบเรียงมัน่ ใจอย่างย่ิงว่า การนาเสนอเนื้อหาสาระ กิจกรรมการ
เรียนรู้ ที่เลือกสรรมาให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะและระดับช้ันของผู้เรียน จะเป็นเครื่องมือท่ีช่วยให้ครูผู้สอน
สามารถจดั กระบวนการเรยี นรใู้ หบ้ รรลุมาตรฐานและตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ตามท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ทุกประการโดยครอบคลุมท้ังด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะของผู้เรียนอันเป็นผลสัมฤทธ์ิ
ทพี่ งึ ประสงคอ์ ยา่ งแท้จริง
คณะผูเ้ รียบเรยี ง
สาระสาคัญ
- การจาแนกส่ิงมีชีวิตสามารถจาแนกได้เป็น 3 กลุ่ม ใหญ่ ๆ คือ กลุ่มพืช กลุ่มสัตว์
และกลุ่มที่ไม่ใช่พืชและสัตว์ โดยเกณฑ์ที่ใช้ในการจาแนกคือ การสร้างอาหารและ
การเคล่ือนที่ ซึ่งแต่ละกลุ่มสามารถจาแนกกลุ่มย่อยได้หลายกลุ่ม โดยใช้โครงสร้าง
ลักษณะ และสว่ นประกอบของส่งิ มีชวี ติ ทเี่ ปน็ เกณฑ์ในการจาแนก
- การจาแนกพืช สามารถใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ในการจาแนก ได้เป็นพืชดอกและ
พชื ไมม่ ีดอก
- การจาแนกสัตว์ สามารถใช้การมีกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ในการจาแนก ได้เป็น
สัตวม์ กี ระดกู สนั หลงั และไม่มีกระดูกสนั หลงั
- สัตวม์ ีกระดกู สันหลงั มีอยหู่ ลายกลมุ่ ไดแ้ ก่ กลุ่มปลา กล่มุ สัตว์สะเทนิ น้าสะเทินบก
กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม ซ่ึงแต่ละกลุ่มจะมี
ลักษณะเฉพาะทส่ี ังเกตได้
ผังสาระการเรียนรู้
จาแนกกลมุ่ พชื จาแนกล่มุ สตั ว์
การจาแนกประเภทสงิ่ มชี ีวิต
การจาแนกสิง่ มีชีวิตโดยใช้
ความเหมือนและ
ความแตกตา่ ง
สารบัญ หน่วยการเรียนรู้ การจาแนกประเภทส่งิ มีชวี ติ
บทท่ี 1 การจาแนกสิง่ มชี ีวิตโดยใช้ความเหมอื นและความแตกตา่ ง หนา้
1
1. ส่งิ มชี วี ติ กลุ่มพชื และสัตว์ 4
1.1 เกณฑท์ ่ีใชใ้ นการจาแนกกลมุ่ พชื และสตั ว์ 7
2. ส่งิ มีชวี ิตกล่มุ ทีไ่ ม่ใช่พืชและสตั ว์ 10
สรปุ สาระสาคัญ บทที่ 1 12
แบบฝึกหัดทา้ ยบทท่ี 1 13
บทท่ี 2 การจาแนกกลุ่มพชื 15
1. การจาแนกพืช 17
2. สว่ นประกอบของพืช 21
สรุปสาระสาคัญ บทท่ี 2 25
แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทที่ 2 26
บทท่ี 2 การจาแนกกลมุ่ สตั ว์ 29
1. การจาแนกกล่มุ สัตว์ 31
1.1 สัตวไ์ ม่มกี ระดูกสนั หลัง 31
1.2 สตั วม์ กี ระดูกสันหลงั 34
42
สรุปสาระสาคญั บทท่ี 3 44
แบบฝกึ หัดท้ายบทที่ 3
47
บรรณานกุ รม
บทที่ การจาแนกสง่ิ มชี ีวติ โดยใช้
1บทท่ี1 ความเหมือนและความแตกตา่ ง
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรมท่ีมีผล
ต่อส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิตรวมทั้ง
นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
ตัวชี้วัด ป.4/1 จาแนกส่ิงมีชีวิตโดยใช้ความเหมือน และความแตกต่าง
ของลักษณะของส่ิงมชี วี ิต ออกเปน็ กลุม่ พืช กล่มุ สตั ว์ และกลุม่ ทไี่ มใ่ ช่พืชและสัตว์
บทที่ 1 การจาแนกสิง่ มชี ีวิตโดยใช้ความเหมือนและความแตกต่าง 2
การจาแนกส่ิงมชี ีวิตโดยใช้ จดุ ประสงค์
ความเหมือนและความแตกต่าง การเรยี นรู้
(K) บอกความแตกตา่ งของลกั ษณะของสง่ิ มีชีวติ ออกเปน็ กลุ่มพืช กลมุ่ สัตว์ และ
กลมุ่ ท่ไี มใ่ ช่พืชและสตั ว์
(P) จาแนกส่ิงมีชีวิตโดยใช้ความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะของ
สง่ิ มีชีวิตออกเปน็ กล่มุ พืช กล่มุ สตั ว์ และกลมุ่ ทไ่ี มใ่ ชพ่ ืชและสัตว์
กลมุ่ พชื กลุ่มสตั ว์
การจาแนก
กลุม่ สิ่งมชี วี ติ
กลุ่มทีไ่ มใ่ ชพ่ ืชและ
ไมใ่ ชส่ ัตว์
3 บทท่ี 1 การจาแนกส่งิ มีชวี ิตโดยใช้ความเหมือนและความแตกตา่ ง
การจาแนกสงิ่ มีชีวติ รอบตัวเรา ส่งิ มชี วี ติ คอื อะไร ?
สง่ิ มชี วี ติ คือ ส่งิ ทีม่ ตี ัวตน มีการเจริญเติบโต ต้องการ
อาหารและพลังงาน ต้องการที่อยู่และสามารถสืบพันธ์ุได้ มีการเคล่ือนที่
เคล่ือนไหวโดยตอบสนองต่อส่ิงเร้า ส่ิงมีชีวิตบนโลกมีหลากหลายชนิด
ทง้ั ท่ีมขี นาดใหญจ่ นถงึ ขนาดเล็กจนมองไม่เหน็ ด้วยตาเปล่า
เราสามารถจาแนกกลุ่มของสิ่งมีชีวิตได้ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มพืช กลุ่มสัตว์ และ
กลุ่มที่ไม่ใช่พืชและสัตว์ ท่ีเรียกว่า จุลินทรีย์ โดยใช้เกณฑ์ในการจาแนก คือ
ไม่สามารถเคลื่อนท่ีได้แต่สามารถสร้างอาหารเองได้ และ สามารถเคลื่อนที่เองได้
แตส่ ร้างอาหารเองไม่ได้
กลุ่มพชื กลุ่มสัตว์
กลมุ่ ทไี่ มใ่ ชพ่ ชื และสัตว์
บทท่ี 1 การจาแนกสิง่ มชี วี ติ โดยใช้ความเหมอื นและความแตกต่าง 4
1 สิง่ มีชีวติ กลมุ่ พืชและสัตว์
กลุ่มพืช พืช เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสามารถเคล่ือนไหวได้ แต่ไม่สามารถ
เคลื่อนท่ีได้ พืชสามารถสร้างอาหารเองได้โดยการสังเคราะห์
ด้วยแสง จึงจัดเป็น ผู้ผลิต พืชเป็นส่ิงมีชีวิตท่ีมีประโยชน์มาก
เพราะสามารถเป็นอาหาร ยารักษาโรค และยังให้ออกซิเจน
กับสิ่งมชี วี ิตอน่ื อกี ด้วย
เฟิร์น ชบา ข้าว
กลมุ่ สตั ว์ เรามารูจ้ ักสัตวก์ นั ดกี ว่า
สัตว์ เป็นสิง่ มีชีวติ ที่มกี ารเจริญเติบโต ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้
ต้องการหาอาหารเพ่ือดารงชีวิต สามารถกินพืชและสิ่งมีชีวิตอ่ืน
เป็นอาหารได้ มีความรู้สึก มีการเคล่ือนท่ี ตอบสนองต่อส่ิงเร้า
เป็นสง่ิ มีชีวติ ที่มมี ากมายหลายชนดิ มที ้ังอาศยั อยบู่ นบกและในน้า
หอยทาก ชา้ ง ต๊ักแตน
5 บทท่ี 1 การจาแนกส่ิงมีชีวิตโดยใช้ความเหมือนและความแตกตา่ ง
กิจกรรมที่ 1 สารวจส่ิงมีชีวิต
วิธีการ
1. สังเกตส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ท่ีอาศัยอยู่บริเวณรอบบ้าน โรงเรียน
หรอื ในชมุ ชน ของนักเรียน
2. เก็บรวบรวมข้อมูลลักษณะและการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต
จานวน 5 ชนิด
3. วาดภาพ เขียนช่ือ และเขียนอธิบายลักษณะและการดารงชีวิต
ท่สี ังเกตไดจ้ รงิ ลงในตารางการบันทกึ ผลการสารวจ
บทท่ี 1 การจาแนกส่ิงมีชีวิตโดยใช้ความเหมอื นและความแตกต่าง 6
ตารางบนั ทึกผลการสารวจ
ภาพ ลกั ษณะและการดารงชีวิต
ชือ่ ส่งิ มชี ีวิต....................................................................... ....................................................................................................
...................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
...................................................................................................
ชอ่ื สิง่ มชี วี ติ ....................................................................... ....................................................................................................
...................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
...................................................................................................
ชือ่ สง่ิ มชี วี ิต....................................................................... ....................................................................................................
...................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
...................................................................................................
ชอื่ สงิ่ มีชีวิต....................................................................... ....................................................................................................
...................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
...................................................................................................
ชอ่ื สิ่งมีชวี ติ ....................................................................... ....................................................................................................
...................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
....................................................................................................
...................................................................................................
7 บทที่ 1 การจาแนกสง่ิ มชี วี ติ โดยใชค้ วามเหมอื นและความแตกตา่ ง
1.1 เกณฑท์ ่ีใช้ในการจาแนกกลุ่มพืชและสัตว์
นักวิทยาศาสตร์จัดจาแนกส่ิงมีชีวิตไว้เป็นกลุ่ม เพ่ือให้ง่ายต่อการศึกษา
เรื่องราวเก่ียวกับส่ิงมีชีวิต การจัดจาแนกส่ิงมีชีวิตเป็นกลุ่มทาได้โดย
การจัดส่ิงมีชีวิตท่ีมีลักษณะและกระบวนการดารงชีวิตเหมือนกันให้อยู่
ในกลุ่มเดียวกัน และจัดส่ิงมีชีวิตท่ีมีลักษณะและการดารงชีวิตแตกต่าง
กันใหอ้ ยูค่ นละกลุ่ม เกณฑ์ที่ใช้ในการจัดจาแนกส่ิงมีชีวิตกลุ่มพืชและสัตว์
มีดงั น้ี
1) เกณฑ์ลกั ษณะภายนอกของสงิ่ มีชีวติ
กลุม่ พชื
ประกอบดว้ ย ราก ลาต้น ใบ ดอกและผล
ใบ
ดอก
ผล
ลาตน้
มะพรา้ ว บวั
จากภาพ มะพร้าวและบัว เพ่อื น ๆ จะสังเกตวา่ พชื แตล่ ะชนิดจะมี
ส่วนประกอบทคี่ ลา้ ยกนั เพ่ือน ๆ ลองยกตัวอยา่ งของพชื แล้วบอกเรา
หนอ่ ยว่าแตล่ ะชนดิ มสี ่วนประกอบอะไรบ้าง
บทท่ี 1 การจาแนกสิง่ มีชีวติ โดยใชค้ วามเหมอื นและความแตกต่าง 8
กลุ่มสตั ว์
ประกอบด้วย อวัยวะต่าง ๆ เช่น ตา หู จมกู
ปาก ขาและเท้า ปีก หาง ครบี
ตา หู ตา ปาก
จมูก
ลิน้ ปีก
ขา ปาก ขา เท้า
ตา นกแก้ว
สุนขั ครีบ
เกลด็ กระดอง
ตา ครีบ
หาง
ปลาทอง เตา่
จากภาพ สตั ว์แตล่ ะชนิดเพอื่ น ๆ จะสังเกตวา่ สัตวแ์ ต่ละชนดิ จะมี
อวัยวะภายนอกที่คล้ายกัน เพื่อนช่วยกนั ลองยกตัวอย่างของสตั ว์
แตล่ ะชนิดท่เี พ่อื นร้จู ัก แล้วบอกเราหน่อยว่าแตล่ ะชนดิ มีอวัยวะ
ภายนอกอะไรบา้ ง
9 บทท่ี 1 การจาแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ความเหมือนและความแตกตา่ ง
2) เกณฑก์ ารดารงชีวติ ของสิ่งมชี ีวิต
กลุ่มพืช ใช้ใบสีเขียวแผ่กว้าง ที่มีคลอโรฟิลล์ช่วยรับแสงจาก
ดวงอาทิตย์มาใช้ในการสร้างอาหารและกลุ่มพืช
ไม่สามารถเคลอื่ นที่เปลีย่ นตาแหนง่ ด้วยตวั เองได้
พืชสังเคราะห์แสงเพอื่ สรา้ งอาหาร
กลุ่มสัตว์
ไม่มีคลอโรฟิลล์จึงไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ต้องกินพืช
และสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหารและสามารถเคลื่อนที่เพื่อ
ไปหาอาหาร หรอื หลบหลกี ศตั รูได้
เสอื ดาวล่ากวางเพือ่ เปน็ อาหาร แพนดา้ กนิ ไผเ่ ป็นอาหาร
บทท่ี 1 การจาแนกสงิ่ มชี ีวติ โดยใชค้ วามเหมือนและความแตกตา่ ง 10
2. กลุ่มท่ีไม่ใชพ่ ืชและสตั ว์
การจาแนกกลุ่มของส่ิงมีชีวิต นอกจากกลุ่มพืชและสัตว์แล้ว ยังสามารถ
จาแนกกลุ่มของสิง่ มชี วี ิตเปน็ กลุ่มทไ่ี มใ่ ชพ่ ชื และสัตว์ไดอ้ กี ดว้ ย
กลมุ่ สิ่งมีชีวิตทไี่ ม่ใช่พืชและสัตว์
เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถเคล่ือนที่ได้ บางชนิดสามารถสร้างอาหารเองได้
บางชนิดไมส่ มารถสร้างอาหารเองได้ ทาหนา้ ทยี่ อ่ ยสลายสง่ิ มีชวี ิตชนิดอนื่
จาแนกได้เปน็ เห็ด รา ยีสต์ แบคทีเรีย
เหด็ นางฟา้ เหด็ พษิ
เหด็ เป็นส่งิ มีชวี ติ ประเภทรา เปน็ ราท่มี ีวิวฒั นาการสูงกวา่ รา ชนิดอื่น ๆ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ
คือ เห็ดกินได้ และ เห็ดพษิ
11 บทท่ี 1 การจาแนกสง่ิ มีชีวติ โดยใชค้ วามเหมอื นและความแตกต่าง
ส่ิงมชี วี ิตบางชนดิ ในกลุ่มน้อี าจก่อให้เกิดโรคกบั คน สตั ว์ หรอื พืชได้
รา คือ จุลินทรียช์ นดิ หนงึ่ พบบริเวณผิวหนา้ ของ
อาหาร อาศยั อยู่ในส่ิงมีชวี ติ อื่น หรอื ชากสงิ่ มชี ีวิต
ยีสต์ คือ ราชนิดหน่ึง มีรูปร่างหลายแบบ เช่น กลมรี
สามเหล่ียม รูปร่างแบบมะนาวฝรั่ง ส่วนใหญ่มีการสืบพันธ์ุ
แบบไม่อาศัยเพศ
แบคทีเรีย เป็นสิ่งมีชีวิตท่ีมีจานวนมากและมีอยู่แทบทุกท่ี
ทั้งในบ้าน บนท้องถนน ในห้องทางาน ในอาหาร หรือ
ในร่างกายของเราเอง แบคทีเรียบางชนิดอาจมีประโยชน์ต่อ
รา่ งกาย และบางชนดิ ก็อาจทาให้เกดิ อันตรายถงึ แกช่ ีวิต
เพอ่ื น ๆ ทราบหรือไมว่ า่ จุลนิ ทรยี ์ไม่สามารถมองเหน็ ได้ดว้ ย
ตาเปลา่ นักวทิ ยาศาสตรจ์ ึงตอ้ งประดิษฐก์ ลอ้ งจลุ ทรรศน์
เพื่อศกึ ษารปู ร่าง ลักษณะ การดารงชวี ิต และยงั ศกึ ษา
ประโยชน์และโทษของจุลนิ ทรยี ต์ ่าง ๆ ดว้ ย
กลอ้ งจลุ ทรรศน์
บทท่ี 1 การจาแนกส่งิ มชี วี ติ โดยใช้ความเหมอื นและความแตกตา่ ง 12
สรปุ สาระสาคญั
การจาแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้
ความเหมือนและความแตกต่าง
1 สงิ่ มีชีวติ กลุ่มพชื 2ส่ิงมีชีวติ กลุ่มสตั ว์
ลักษณะภายนอกประกอบด้วย ราก การมีอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตา หู
ลาต้น ใบ ดอกและผล ซ่ึงแต่ละส่วนมีหน้าท่ี จมูก ปาก ขาและเท้า ปีก หาง ครีบ และ
แตกต่างกัน และกลุ่มพืชไม่สามารถเคลื่อนท่ี สามารถเคลื่อนที่เพื่อไปหาอาหาร หรือ
เปลยี่ นตาแหนง่ ด้วยตวั เองได้ เช่น หลบหลกี ศตั รไู ด้ เช่น
ดอกบวั ตะขาบ
พรกิ
ชบา ลิง
3 ส่งิ มชี ีวติ กลุม่ ทไี่ ม่ใชพ่ ืชและสตั ว์
การจัดจาแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ลักษณะ Scan QR Code
ภายนอกและการดารงชีวิตเป็นเกณฑ์ ช่วยให้ ทดสอบความร้กู นั หน่อย
เราจาแนกส่ิงมีชีวิตได้ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่ม
พืชและกลุ่มสัตว์ แต่ส่ิงมีชีวิตท่ีอาศัยอยู่ใน
ธรรมชาติยังมีอีกมากมายท่ีเรายังไม่รู้จัก และ
ไม่สามารถจดั เขา้ กลุ่มพืชหรือกลมุ่ สัตว์ได้ เช่น
เห็ด
รา
จุลนิ ทรยี ์
แบบฝึกหดั ทา้ ยบทท่ี 1
13
การจดั กลุ่มส่ิงมีชวี ิต
คาชแ้ี จง ดูภาพ แล้วจดั กลุ่มสิ่งมชี ีวิตตามเกณฑ์ทีก่ าหนด
นก พริก ไผ่ ชา้ ง ตก๊ั แตน
มะพรา้ ว กบ ต้นหอม ราขนมปัง กหุ ลาบ
ราดา จิงโจ้ เหด็ นางฟา้ เตา่ ทอง ยสี ต์
กลุ่มพืช ไดแ้ ก่ ..................................................................................................................................................
กลุ่มสัตว์ ไดแ้ ก่ ................................................................................................................................................
กลุ่มที่ไมใ่ ช่พชื และสตั ว์ ไดแ้ ก่ ..........................................................................................................................
เกณฑ์ทใี่ ช้ในการจดั กลุม่ สง่ิ มีชีวติ เปน็ กลุม่ พืช กลุ่มสัตว์ และกลมุ่ ทไี่ ม่ใช่พืชและสัตว์ คือ ................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทท่ี 1 14
เกณฑท์ ี่ใชก้ ารจาแนกกลุ่มของส่ิงมชี วี ิต
คาช้ีแจง : ให้นกั เรียนเลอื กใช้เกณฑ์ทีก่ าหนดให้ ในจดั กลุม่ ของส่ิงมชี วี ติ
A มีการเจริญเตบิ โต B มีการหายใจ C ทาหนา้ ท่เี ป็นผยู้ ่อยสลาย
D ไมส่ ามารถเคล่อื นท่ไี ด้ E สบื พนั ธุเ์ พมิ่ จานวนได้ F สามารถเคลือ่ นทไี่ ด้
G มคี ลอโรฟลิ ล์ H สรา้ งอาหารได้ I กินสิง่ มชี วี ิตอื่นเปน็ อาหาร
กล่มุ พชื กล่มุ สัตว์ กลุ่มที่ไม่ใชพ่ ืชและสตั ว์
คาช้แี จง : ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามต่อไปนใ้ี ห้ถูกตอ้ ง
1. จากการระบเุ กณฑ์จาแนกกลุ่มส่ิงมีชวี ิต นักเรยี นพบวา่ กลุม่ ส่ิงมชี ีวติ มลี กั ษณะเหมือนกนั หรือไม่อย่างไร
ตอบ.........................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................................
2. กลุ่มสง่ิ มีชีวติ ใดท่ีสามารถสรา้ งอาหารเองไดห้ รอื เรียกว่าผผู้ ลติ ยกตัวอยา่ งมา 3 ชนิด
ตอบ.........................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................................................
3. กล่มุ ส่ิงมีชวี ิตใดทีไ่ มส่ ามารถสร้างอาหารเองไดก้ นิ สิง่ มีชวี ติ อื่นเปน็ อาหาร ยกตวั อย่างมา 3 ชนิด
ตอบ........................................................................................................................................................................................
4. กลุ่มส่งิ มชี ีวติ ใดไม่สามารถสรา้ งอาหารเองได้ ได้รบั อาหารจากการยอ่ ยสลายซากสิง่ มีชีวติ อื่น ยกตัวอย่างมา 3 ชนิด
ตอบ........................................................................................................................................................................................
5. ยกตัวอยา่ งสิง่ มีชวี ิตทีท่ าให้เกดิ โรคและอาหารเนา่ เสยี มา 3 ชนดิ
ตอบ.........................................................................................................................................................................................
บทที่ การจาแนกกลุ่มพชื
2บทท่ี1
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผล
ต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิตรวมท้ัง
นาความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวชีว้ ดั ป.4/2 จาแนกพืชออกเป็นพืชดอกและพชื ไม่มีดอก โดยใช้การ
มดี อกเปน็ เกณฑ์ โดยใช้ข้อมลู ท่รี วบรวมได้
การจาแนก บทท่ี 2 การจาแนกกลุ่มพืช 16
กลุม่ พืช
จดุ ประสงค์
การเรียนรู้
(K) สังเกตและอธบิ ายลกั ษณะของพืชดอกและพชื ไม่มีดอก
(P) จาแนกพืชออกเปน็ พืชดอกและพืชไม่มีดอกโดยใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์
โดยใชข้ ้อมลู ทรี่ วบรวมไดจ้ าการสารวจ
กล่มุ พืชมดี อก การจาแนก กลุม่ พชื ไม่มดี อก
กลมุ่ พชื
17 บทที่ 2 การจาแนกกลมุ่ พืช
1 การจาแนกพชื
พืชท่ีอยู่บนโลกมีหลากหลายชนิด เป็นส่ิงมีชีวิตที่สามารถสร้าง
อาหารเองได้ มีท้ังดารงชีวิตอยู่ในน้าและบนบก พืชแต่ละชนิดมี
โครงสร้างและลักษณะเฉพาะตัวท่ีเหมาะสมตามสภาพแวดล้อม
หรอื แหลง่ ท่อี ยู่อาศยั
การจาแนกพืชสามารถใช้เกณฑ์ต่าง ๆ
ได้หลายเกณฑ์ เช่น แหล่งที่อยู่ รูปร่างและ
ลักษณะโครงสร้าง การจัดกลุ่มพืชโดยใช้ดอก
เป็นเกณฑ์สามารถจาแนกได้ 2 กลุ่ม คือ
พืชไมม่ ดี อก และ พชื มีดอก
พชื ไมม่ ีดอก
ใบ(Leaf)
ลาต้น(Stem) ราก(Root)
รปู โครงสรา้ งพืชไม่มีดอก (เฟริ ์น)
พืชไม่มีดอก เป็นพืชช้ันต่า ขยายพันธ์ุด้วยสปอร์ สามารถสร้าง
อาหารได้เหมือนพืชมีดอก เป็นพืชท่ีเจริญเติบโตเต็มท่ีแล้ว
จะไมม่ ดี อก มีสว่ นประกอบคือ ราก ลาตน้ และ ใบ
บทท่ี 2 การจาแนกกลมุ่ พชื 18
ตัวอย่างพืชไม่มีดอก เช่น มอส เฟิร์น สน ปรง ผักแว่น
สาหร่าย ตะไครน้า เปน็ ต้น
มอส เฟิร์น
ปรง ผักแวน่
ตะไครน่ ้า สาหรา่ ย
19 บทที่ 2 การจาแนกกลุม่ พืช
พชื มดี อก เป็นพืชช้ันสูง มีดอกเพ่ือใช้ในการสืบพันธุ์ เป็นพืชที่
เจริญเติบโตเต็มท่ีแล้วจะมีส่วนประกอบต่าง ๆ ครบถ้วน คือ
ดอก ราก ลาตน้ และ ใบ
พชื มีดอก
ดอก (Flower)
ใบ (Leaf)
ลาต้น (Stem)
ราก (Root)
โครงสรา้ งพืชมดี อก (ทานตะวัน)
ทานตะวนั กุหลาบ
ตัวอยา่ งพชื มดี อก เชน่ ต้อยติ่ง กหุ ลาบ ชบา ทานตะวัน
บวั มะลมิ ะมว่ ง ลาไย ถ่วั พริก ข้าว เป็นต้น
บทท่ี 2 การจาแนกกล่มุ พชื 20
กจิ กรรมท่ี 2
เร่อื ง การจาแนกพืช
คาช้แี จง : ใหน้ ักเรียนสารวจพชื ดอกและไมม่ ดี อกในโรงเรียนแลว้ เขยี นชอื่ พืชลงในช่องวา่ ง
พืชดอก พชื ไมม่ ดี อก
1. 6.
2. 7.
3. 8.
4. 9.
5. 10.
คาชแี้ จง : วาดภาพพืชดอกและไมม่ ีดอกที่พบเจอในโรงเรยี นพร้อมท้ังเขียนชื่อพืชประกอบ
21 บทที่ 2 การจาแนกกลมุ่ พืช
2 ส่วนประกอบของพชื
พชื ประกอบไปดว้ ย ราก ลาต้น ใบ ดอก ผลและเมล็ด ซึ่งแต่ละ
สว่ นประกอบของแตล่ ะสว่ นมหี น้าท่ีต่างกัน
ราก
ราก เป็นส่วนของพืชที่อยใู่ นดนิ หรอื นา้ รากมหี น้าท่ีดูดน้าและแร่
ธาตุในดินและยึดลาต้นให้ตั้งอยู่ได้ รากพืชบางชนิดจะมีหน้าท่ี
หน้าทพี่ เิ ศษ เช่นรากยดึ เกาะของกลว้ ยไม้
บทที่ 2 การจาแนกกลมุ่ พชื 22
ลาต้น
ลาตน้ เปน็ แกนชว่ ยพยุงอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ กิ่ง ใบ ดอก ผล และเมลด็
ช่วยให้ใบกางออก รับแสงแดดเพอ่ื ประโยชน์ในการสร้างอาหาร โดย
วิธีการสังเคราะห์ดว้ ยแสง
ใบ
ใบ อวัยวะของพืชทเ่ี จรญิ ออกมาจากขอ้ ของลาต้นและกิ่ง ใบส่วนใหญ่จะมี
สารสีเขียวเรียกว่า คลอโรฟิลล์และมีหน้าท่ีสร้างอาหารใบของพืชจะดูด
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เพ่ือนาไปสร้างอาหาร เรียกกระบวนการสร้าง
อาหารของพชื ว่า การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงและพืชจะคายนา้ ทางปากใบ
23 บทที่ 2 การจาแนกกลมุ่ พชื
ดอก
ดอก อวัยวะส่วนสาคัญท่ีทาหน้าท่ีในการสืบพันธ์ุของพืชดอก
เป็นส่วนโครงสร้างของพืชท่ีพัฒนามาจากกิ่งและใบ ดอกไม้แต่ละ
ดอกมักมีขนาด รปู ร่าง และสีสันแตกตา่ งกนั ไปตามชนิดของพนั ธ์พุ ืช
ผลและเมลด็
ผลและเมล็ด เป็นส่วนของพชื ทม่ี ีหน้าทขี่ ยายพันธุ์ เมื่อนาเมลด็ ของพชื
ไปเพาะจะงอกเปน็ ตน้ ใหม่ได้
บทที่ 2 การจาแนกกลุ่มพืช 24
ใบงานที่ 2.1
เร่ือง สว่ นประกอบพืช
คาช้แี จง : ให้นักเรียนเขียนส่วนประกอบของพืชและบอกหนา้ ที่
1...................................... 3.......................................
........................................ .........................................
........................................
........................................ ........................................
2.................................. 4.....................................
.................................... .......................................
.................................... .......................................
.......................................
5......................................
........................................
........................................
.......................................
25 บทที่ 2 การจาแนกกลมุ่ พืช
สรปุ สาระสาคญั
การจาแนกกล่มุ สัตว์
พืชดอก
• การจาแนกพชื สามารถใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ในการจาแนกได้เปน็
พืชดอกและพชื ไม่มีดอก
• พืชประกอบดว้ ยอวัยวะท่ีสาคญั ต่อการดารงชวี ติ ไดแ้ ก่ ราก ลาตน้
ใบ ดอก ผล และเมล็ด ซึ่งอวยั วะแต่ละส่วนของพืชนน้ั มหี น้าท่ีและ
สว่ นประกอบแตกตา่ งกนั แตท่ างานเกย่ี วข้องและสัมพนั ธก์ ันหาก
ขาดอวยั วะสว่ นใดส่วนหนึง่ ไป อาจทาให้พชื น้นั ผดิ ปกตหิ รือตายได้
และยังมีปจั จยั บางประการที่จาเปน็ ตอ่ การเจริญเตบิ โตของพืช
พชื ไมม่ ดี อก
• ไมม่ ีดอกตลอดการดารงชวี ิตถงึ แมม้ ีการ
เจรญิ เตบิ โตเต็มทีแ่ ล้วกต็ าม
• สว่ นใหญส่ บื พนั ธ์ด้วยสปอร์
• มสี ว่ นประกอบ คือ ราก ลาต้นและใบ
แต่ไม่มดี อก
Scan QR Code
ทดสอบความรกู้ นั หน่อย
แบบฝกึ หัดทา้ ยบทที่ 2 26
เกณฑก์ ารจาแนกกลมุ่ พืช
คาชแ้ี จง้ : ใหน้ กั เรียนจาแนกพชื ออกเป็น 2 กลุ่ม ดงั รปู เกณฑ์ท่ีใช้ในการ
จาแนกพืชนีค้ ืออะไรเพราะเหตุใด
พชื กลุ่ม 1
เฟริ ์น ปรง มอส
พชื กลุม่ 2
ชบา ทานตะวัน ลลี าวดี
แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทท่ี 2
27
สว่ นประกอบของพชื
คาชี้แจ้ง : ให้นักเรียนโยงเส้นชีส้ ่วนประกอบตา่ ง ๆ ของพชื และหน้าท่ี
ของสว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของพืชไปยังรปู ทก่ี าหนดให้
ช่ือสว่ นประกอบ หนา้ ท่ีสว่ นต่างๆ
ต่างๆของพชื ของพืช
ดอก สืบพนั ธุ์
ผล สร้างอาหาร
ใบ อ ชกู ่ิงกา้ น ใบ และ
ดอก
ลาตน้ ดูดนา้ และยดึ ลา
ตน้ กบั ดิน
ราก หอ่ หมุ้ เมลด็ และช่วย
ในการขยายพันธุ์
แบบฝึกหัดท้ายบทท่ี 2 28
การจาแนกกลุ่มพืช
คาชีแ้ จง :
จงเขยี นเครือ่ งหมาย ✓ หนา้ ขอ้ ความท่ีถกู ต้องหรือเขียนเครื่องหมาย × หน้าข้อความทผี่ ดิ
...........................1. พืช หมายถงึ สงิ่ มชี วี ิตชน้ั สงู ที่สามารถสงั เคราะหอ์ าหารเองได้
..........................2. เป็นส่วนของพืชท่ีเจริญข้ึนโดยส่วนใหญ่จะเป็นทิศตรงข้ามกับแรงดึงดูดของ
โลกและมสี ว่ นประกอบ ขอ้ ,ปล้อง,ตา
.........................3. เปล่ียนใบเป็นหนามเพอ่ื ลดการคายน้า และป้องกันอันตรายจากสตั วท์ ี่มากัด
กนิ และเก็บสะสมอาหารเปลย่ี นเป็นถุงดักจบั แมลง
......................4. เป็นส่วนท่ีงอกออกจากกิ่งก้านของพืช ส่วนมากใบมีสีเขียวและมีรูปร่าง
ลกั ษณะแตกตา่ งกันไปตามชนิดของพืช ใบมีหนา้ ทีห่ ายใจ คายนา้ และสรา้ งอาหาร
.........................5. กลุม่ ของพืชดอก เชน่ กหุ ลาบ มอส เฟริ น์
.........................6. มีหนา้ ท่ีแพรพ่ ันธ์ุ เรานาเมล็ดไปปลกู เป็นตน้ ใหม่ได้
.........................7. มีขนาด รปู รา่ ง และสีสนั ตา่ งๆ กันไป มีหนา้ ทลี่ ่อแมลงใหม้ าผสมเกสร
.........................8. โครงสรา้ งของพชื ประกอบด้วย ใบ ดอก เมล็ด ผล ราก
.........................9. ดดู และลาเลียงน้า และแร่ธาตคุ ้าจุนส่วนตา่ งๆของพชื ให้ทรงตัวได้
........................10. พืชสามารถแบ่งออกได้ 2 พวกใหญ่ๆ คอื พืชมดี อกและพชื ไมม่ ดี อก
บทที่ การจาแนกกลมุ่ สตั ว์
3บทที่1
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผล
ต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตรวมทั้ง
นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
ตัวชี้วัด ป.4/3 จาแนกสัตว์ออกเป็น สัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มี
กระดูกสันหลัง โดยใชก้ ารมีกระดูกสนั หลงั เปน็ เกณฑ์ โดยใช้ขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้
ตัวช้ีวัด ป.4/4 บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
ในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก กลุ่มสัตว์เล้ือยคลาน กลุ่มนก และ
กลมุ่ สัตวเ์ ลยี้ งลกู ด้วยนา้ นม และยกตวั อย่างสิ่งมชี ีวติ ใน
การจาแนก บทที่ 3 การจาแนกกล่มุ สัตว์ 30
กลมุ่ สัตว์
จุดประสงค์
การเรียนรู้
(K) สงั เกตและบรรยายลักษณะของสตั วม์ กี ระดูกสนั หลังและไม่มีกระดกู สนั หลัง
(K) บรรยายลักษณะของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มของปลา สัตว์สะเทินน้า
สะเทินบก สัตว์เล้ือยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม และยกตัวอย่าง
ส่งิ มีชวี ติ ในแต่ละกล่มุ
(P) จาแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังโดยใช้
การมกี ระดูกสันหลังเปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ ้อมลู ท่ีรวบรวมได้
การจาแนกกลุม่ สตั ว์
สัตว์ไม่มกี ระดกู สนั หลงั กลุ่มมกี ระดกู สนั หลงั
31 บทท่ี 3 การจาแนกกลมุ่ สัตว์
1. การจาแนกกลมุ่ สัตว์
สตั ว์ท่อี ยูบ่ นโลกมีหลายชนดิ แตล่ ะชนิดจะมโี ครงสรา้ ง อวัยวะ
และลักษณะเฉพาะตวั ทีเ่ หมาะสมกับสภาวะแวดล้อม สามารถ
จาแนกสัตวโ์ ดยใชเ้ กณฑโ์ ครงสรา้ งของรา่ งกายได้เปน็ 2 กลมุ่
คือ สตั ว์มีกระดกู สนั หลงั และ สตั วไ์ ม่มกี ระดกู สันหลงั
สัตว์ไมม่ ีกระดกู สันหลัง 1.1 สตั วไ์ มม่ กี ระดูกสันหลัง
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง คือกลุ่มสัตว์ที่ไม่
มีกระดกู เป็นแกนกลางภายในร่างกายไม่มี
ไขสันหลัง มีโครงสร้างทางร่างกาย
ที่หลากหลายสามารถแบ่งออกเป็นหลาย
ประเภทได้ ดังน้ี
ㆍ สตั วจ์ าพวกฟองนา้ มีลักษณะคลา้ ยพืช สว่ นใหญอ่ ย่ใู น
นา้ เค็ม เกาะติดอยู่กบั ท่ี ลาตัวเป็นโพรง มีรูพรุน สืบพันธุ์
แบบอาศัยเพศและไมอ่ าศยั เพศ เชน่ ฟองน้า
ฟองน้า
ㆍ สัตวจ์ าพวกลาตัวเป็นปลอ้ ง มีลาตัวยาวเปน็ ปล้องคล้าย
วงแหวนเรยี งตอ่ กนั มีผิวหนงั เปยี กชื้นเพอื่ การแลกเปลีย่ น
กา๊ ซในการหายใจ เช่น ไสเ้ ดอื นดิน ปลิง
ไส้เดือนดนิ
บทท่ี 3 การจาแนกกลมุ่ สัตว์ 32
ㆍ สัตว์จาพวกลาตวั กลม มีลาตัวน่มิ กลมยาว ไม่มีขา
ผิวเรียบ เปน็ ปล้อง ดารงชีวิตเปน็ ปรสิตในรา่ งกายคน
และสตั ว์ สบื พนั ธุ์แบบอาศยั เพศ เช่น พยาธไิ ส้เดอื น
ㆍ สัตว์จาพวกลาตวั แบน ลาตัวน่มิ แบนยาว มปี าก แตไ่ ม่
มีทวารหนัก สืบพนั ธไ์ุ ด้ท้ังแบบอาศยั เพศ และไม่อาศยั เพศ
ดารงชวี ติ แบบปรสิต เชน่ พยาธติ วั ตดื พยาธิใบไม้ในตบั
พยาธิต่าง ๆ เขา้ สรู่ า่ งกายของเราไดโ้ ดยการกนิ อาหาร
ดบิ หรอื อาหารทีไ่ มผ่ ่านการปรุงสกุ ดังน้ันเราควร
รับประทานอาหารท่ผี ่านความร้อน หรือปรงุ สุกใหมๆ่
ㆍ สัตว์จาพวกหอยและหมึก อาศัยทง้ั บนบกและในนา้
มลี าตวั นิม่ บางชนิดมเี ปลอื กแข็งหอ่ ห้มุ ลาตัว มีการ
สบื พันธ์ุแบบอาศยั เพศ เช่น หอยตา่ ง ๆ และหมกึ
ㆍ สตั วจ์ าพวกผวิ ขรขุ ระ มลี าตัวหยาบ และขรุขระ มีการ
สบื พนั ธุ์แบบอาศัยเพศและไม่อาศยั เพศ ไมม่ ีสว่ นหัว ใต้
ลาตวั มีท่อขนาดเล็กจานวนมากท่ใี ช้สาหรบั การเคล่ือนที่
เช่น ดาวทะเล เม่นทะเล
33 บทที่ 3 การจาแนกกลุ่มสตั ว์
ㆍ สตั วจ์ าพวกลาตัวกลวงหรอื ลาตวั มโี พรง สว่ นใหญ่
อาศยั อยู่ในนา้ เค็ม ลาตวั ใสคลา้ ยว้นุ มรี ปู ร่างคลา้ ย
ทรงกระบอก ลาตัวเปน็ โพรง สืบพนั ธุแ์ บบอาศัยเพศและ
ไมอ่ าศยั เพศ เชน่ ไฮดรา แมงกะพรนุ และปะการัง
ㆍ สัตว์ที่มขี าเปน็ ข้อ มีขาเปน็ ขอ้ ๆ ลาตัวแบ่งออกเป็น 3 สว่ น
คอื สว่ นหัว สว่ นอก และส่วนทอ้ ง มเี ปลือกแขง็ หุม้ ลาตัวสืบพันธ์ุ
แบบอาศัยเพศ ออกลกู เป็นไข่ เช่น มด ผีเสอื้ กุง้ และ ปู
ตอ่ ไปเราไปรจู้ กั สัตว์มกี ระดูกสนั หลงั กนั ตอ่ เลย...
บทท่ี 3 การจาแนกกลุม่ สัตว์ 34
1.2 สตั ว์มกี ระดูกสันหลงั
สตั วม์ ีกระดูกสนั หลัง
สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั คือสตั วท์ ี่มีกระดูกเป็นขอ้ ๆ อย่ภู ายในร่างกาย และทาหนา้ ที่
เปน็ แกนกลางของลาตัว ช่วยใหร้ ่างกายคงรูปที่แน่นอนอย่ไู ด้ ส่วนมากมขี นาดใหญ่
อาศยั อย่ทู ้งั ในน้าและบนบก
35 บทที่ 3 การจาแนกกล่มุ สตั ว์
กจิ กรรม ที่ 3 จาแนกประสตั ว์มีกระดกู สนั หลังและ
ไมม่ ีกระดูกสนั หลัง
จุดประสงค์
1. จาแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังโดยใช้
การมีกระดูกสนั หลงั เปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ ้อมูลทรี่ วบรวมได้
วธิ กี าร
1. สารวจสัตว์ชนิดต่าง ๆ ในบริเวณโรงเรียน บ้านหรือชุมชน จากน้ันวาดภาพสัตว์และ
อธบิ ายลักษณะสาคัญท่สี ังเกตได้
2. จัดประเภทของสัตว์โดยใชก้ ารมกี ระดูกสันหลงั เปน็ เกณฑ์
บทที่ 3 การจาแนกกล่มุ สตั ว์ 36
ตาราง บันทึกผลการทากิจกรรม
ภาพวาด ลกั ษณะสาคญั จัดอยใู่ นประเภท
......................................... สัตวม์ กี ระดูก สตั ว์ไม่มกี ระดูก
......................................... สนั หลัง สนั หลัง
.........................................
.........................................
…………………………………
…………………………………
…………………………………
…………………………………
………………………………….
…………………………………
…………………………………
…………………………………
…………………………………
……………………………….....
..…………………………………
…………………………………
…………………………………
…………………………………
…………………………………
…………………………………..
37 บทท่ี 3 การจาแนกกลุ่มสตั ว์
ใบงานท่ี 3.1 จาแนกสตั ว์มีกระดูก
สันหลงั และไม่มกี ระดกู สนั หลงั
คาชแี้ จง : สังเกตภาพ แล้วจาแนกว่าสัตว์ชนิดใด เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและ
ไม่มีกระดูกสันหลัง พรอ้ มใหเ้ หตุผลประกอบ
หอยทาก ปลา ไสเ้ ดอื น
นก ดาวทะเล กบ
1. สตั วม์ กี ระดกู สนั หลัง ได้แก่ .....................................................................................................
เพราะ ............................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
2. สัตวไ์ มม่ ีกระดกู สนั หลงั ไดแ้ ก่ .................................................................................................
เพราะ ...........................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
บทท่ี 3 การจาแนกกลุ่มสัตว์ 38
สตั ว์มกี ระดูกสนั หลังสามารถแบง่ ออกเป็นหลายประเภท ดังนี้
ㆍ กล่มุ ปลา เป็นสัตว์เลือดเย็น อาศัยอยู่ในน้าจืด และ น้าเค็ม หายใจโดยใช้เหงือกมี
ครีบช่วยในการเคล่ือนที่ วางไข่จานวนมากในน้า เช่น ปลากัด ม้าน้า ปลาตะเพียน
ปลาการต์ นู เป็นต้น
ปลากดั ปลาตะเพยี น ม้าน้า
ㆍกลุ่มสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก เป็นสัตว์เลือดเย็น ผิวหนังเปียกช้ืน ตัวอ่อน
จะหายใจโดยใช้เหงือก อาศัยอยู่ในน้า ไม่มีขา เมื่อโตเต็มวัยแล้วจะหายใจโดยใช้ปอด
และผิวหนงั อาศัยอยู่บนบก มี 4 ขา วางไข่ในน้า เชน่ กบ เขียด คางคก เป็นต้น
กบ เขียด คางคก
ㆍ กลุ่มสตั วเ์ ลอื้ ยคลาน เปน็ สัตว์เลือดเยน็ หายใจโดยใช้ปอด ผิวหนังแห้ง ลาตัวมี
เกลด็ ปกคลมุ มี 4 ขาหรือไม่มีขา อาศัยได้ท้ังบนบกและในน้า วางไข่บนบกและไข่มี
เปลือกแขง็ หุ้ม บางชนิดออกลูกเปน็ ตัว เช่น เตา่ จระเข้ งู จง้ิ จก เปน็ ตน้
เต่า จระเข้ งู
39 บทท่ี 3 การจาแนกกล่มุ สตั ว์
ㆍ กลุ่มสัตว์ปีก เป็นสัตว์เลือดอุ่น หายใจโดยใช้ปอด มีจะงอยปากแข็ง ขนเป็นแผง
มีขา 1 คู่ มีปีก 1 คู่ วางไข่บนบกและไข่มีเปลือกแข็งหุ้ม บางชนิดบินไม่ได้ และ
บางชนดิ ว่ายน้าได้ เชน่ นก ไก่ เป็ด หา่ น นกยงู เป็นตน้
นกแกว้ ไก่ เป็ด
ㆍกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม เป็นสัตว์เลือดอุ่น หายใจโดยใช้ปอด มีขนเป็นเส้น
สว่ นใหญอ่ าศยั อยู่บนบก และมี 4 ขา ตัวอ่อนเติบโตในมดลูกของเพศเมีย มีต่อมน้านม
ใชเ้ ล้ยี งลกู อ่อน สว่ นใหญอ่ อกลกู เป็นตวั เช่น โลมา วาฬ สนุ ัข ลงิ คน เป็นต้น
โลมา สุนัข สิง
ตอนน้เี ราทราบแล้วว่า การจาแนกสตั วโ์ ดยใช้
เกณฑ์โครงสรา้ งของรา่ งกาย เราสามารถจาแนก
สัตวไ์ ด้เปน็ 2 กลุ่ม คือ สตั วม์ กี ระดูกสนั หลงั
และสตั วไ์ มม่ กี ระดกู สันหลงั
เพื่อน ๆ เขา้ ใจความแตกต่างของสัตวแ์ ล้วใช่
ไหมเราลองไปทดสอบความรู้กนั ดีกว่า ...
บทท่ี 3 การจาแนกกลมุ่ สตั ว์ 40
ใบงานท่ี 3.2
เรื่อง จาแนกประเภทของสัตว์มกี ระดูกสนั หลงั
คาชี้แจง : สงั เกตภาพแลว้ บอกชื่อสัตว์ จากนนั้ จาแนกวา่ เป็นสตั ว์มีกระดกู สันหลงั ประเภทใด
1. สัตวช์ นิดนค้ี ือ .................................. 2. สัตว์ชนดิ นคี้ ือ .................................. 3. สตั วช์ นดิ นค้ี อื ..................................
เปน็ สัตวม์ ีกระดกู สันหลังประเภท เป็นสตั วม์ ีกระดกู สันหลังประเภท
เป็นสตั วม์ ีกระดกู สันหลังประเภท
.................................................... .................................................... ....................................................
4. สัตวช์ นิดนค้ี อื .................................. 5. สตั ว์ชนิดนค้ี ือ .................................. 6. สตั ว์ชนดิ นค้ี ือ ..................................
เป็นสัตวม์ กี ระดกู สนั หลังประเภท เปน็ สัตว์มกี ระดกู สนั หลังประเภท เป็นสัตว์มกี ระดกู สันหลงั ประเภท
.................................................... ............................................................. .............................................................
7. สัตว์ชนิดนคี้ อื ........................ 8. สตั ว์ชนดิ นคี้ ือ .................................. 9. สตั วช์ นดิ นค้ี ือ ..................................
เป็นสัตวม์ ีกระดูกสนั หลังประเภท เปน็ สตั ว์มีกระดูกสันหลังประเภท เปน็ สัตว์มีกระดกู สนั หลงั ประเภท
.................................................... ........................................................... .............................................................
41 บทท่ี 3 การจาแนกกล่มุ สัตว์
ใบงานท่ี 3.3
เรอื่ ง ลกั ษณะของสตั ว์มกี ระดูกสันหลงั
คาช้ีแจง : สงั เกตภาพและบอกลกั ษณะของสตั ว์ และจาแนกวา่ เปน็ สัตว์มีกระดูกสันหลงั กล่มุ ใด
ภาพ ลักษณะของสตั ว์ กลมุ่
ลักษณะผวิ หนงั .......................................................... ❑ ปลา
สว่ นทใ่ี ช้เคล่ือนท.่ี ...................................................... ❑ นก
การออกลูกวา่ งไข.่ ..................................................... ❑ สะเทินน้าสะเทนิ บก
การเลี้ยงลูก............................................................... ❑ เลย้ี งลูกดว้ ยน้านม
❑ เล้อื ยคลาน
ลกั ษณะผิวหนัง.......................................................... ❑ ปลา
ส่วนที่ใชเ้ คล่ือนท.ี่ ...................................................... ❑ นก
การออกลกู ว่างไข.่ ..................................................... ❑ สะเทนิ นา้ สะเทนิ บก
การเลย้ี งลกู ............................................................... ❑ เลี้ยงลูกดว้ ยน้านม
❑ เลอ้ื ยคลาน
ลกั ษณะผิวหนงั .......................................................... ❑ ปลา
ส่วนท่ีใช้เคลอ่ื นท.ี่ ...................................................... ❑ นก
การออกลกู ว่างไข.่ ..................................................... ❑ สะเทนิ นา้ สะเทนิ บก
การเลีย้ งลูก............................................................... ❑ เลย้ี งลกู ด้วยนา้ นม
❑ เลื้อยคลาน
ลักษณะผวิ หนงั .......................................................... ❑ ปลา
สว่ นทใ่ี ชเ้ คลอื่ นท.ี่ ...................................................... ❑ นก
การออกลกู ว่างไข.่ ..................................................... ❑ สะเทนิ นา้ สะเทนิ บก
การเล้ียงลกู ............................................................... ❑ เลยี้ งลูกดว้ ยน้านม
❑ เล้อื ยคลาน
ลกั ษณะผิวหนัง.......................................................... ❑ ปลา
ส่วนทใี่ ชเ้ คลอ่ื นท.่ี ...................................................... ❑ นก
การออกลกู วา่ งไข.่ ..................................................... ❑ สะเทินน้าสะเทินบก
การเลี้ยงลกู ............................................................... ❑ เลี้ยงลูกด้วยน้านม
❑ เลื้อยคลาน
บทที่ 3 การจาแนกกลุ่มสัตว์ 42
สรุป สาระสาคญั
การจาแนกกลุ่มสัตว์
สตั วไ์ ม่มกี ระดกู สันหลงั ฟองนา้ 1
แบ่งได้ 8 ประเภท • มลี กั ษณะคลา้ ยพืช เกาะตดิ อยกู่ ับที่
• ลาตวั เป็นโพรง มชี ่องเปดิ ดา้ นบน
2
สัตวท์ มี่ ลี าตัวเปน็ ปลอ้ ง มรี ูพรุนโดยรอบ
• ลาตวั กลมยาว เปน็ ปล้อง พวกลาตัวกลม 3
คล้ายวงแหวนต่อกนั
• มลี าตัวนิ่ม กลมยาว ไมม่ ีขา ผวิ เรียบ
• ผิวหนงั เปยี กชน้ื เป็นปลอ้ ง
4 • ดารงชวี ิตเป็นปรสติ ในรา่ งกายคน
สัตวจ์ าพวกลาตัวแบน และสตั ว์ สืบพันธ์แุ บบอาศัยเพศ
• ลาตวั นม่ิ แบนยาว มีปาก แต่ไม่มี 5
ทวารหนัก ไมม่ ีสว่ นหัว ลาตัวแยก หอยและหมึกทะเล
เปน็ แฉก
• อาศยั ทงั้ บนบกและในนา้ มีลาตวั นม่ิ
• ดารงชวี ติ แบบปรสติ • บางชนิดมีเปลือกแขง็ หอ่ หุ้มลาตวั
6 มกี ารสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศ
สตั ว์ทะเลผิวขรุขระ
7
• ตามผวิ ลาตวั หยาบ ขรุขระ สตั ว์ท่มี ลี าตัวกลวง
มีสารหินปนู เปน็ องคป์ ระกอบ
• ลาตัวใสคล้ายวนุ้ มีรปู รา่ งคลา้ ย
• ไมม่ สี ่วนหวั ลาตวั แยกเปน็ แฉก ทรงกระบอก
8 • ตรงกลางลาตวั เปน็ โพรง
สตั ว์มีขาเปน็ ขอ้
• มขี าต่อกันเป็นขอ้ ๆ
• มเี ปลือกแขง็ หุ้มลาตัว
43 บทท่ี 3 การจาแนกกลุม่ สัตว์
สรปุ สาระสาคญั
การจาแนกกลมุ่ สตั ว์
สัตว์มีกระดกู สนั หลัง 1 กลุ่มปลา
แบ่งได้ 5 ประเภท เป็นสัตว์เลือดเย็น มีรูปร่าง
เรียวยาว ลาตัวค่อนข้างแบน
2 กลมุ่ สตั วส์ ะเทนิ นา้ สะเทินบก เพื่อให้มีลักษณะที่เหมาะสม
กับการเคล่อื นทใี่ นนา้
เป็นสัตว์เลือดเย็น มีขา 2 คู่ ไม่มี
ขน ไม่มีคอผิวหนังบางและไม่มี 3 กลุม่ สัตว์เล้ือยคลาน
เกล็ด ตาโปนและกลม มีหูแต่ไม่มี
รูหู มีรู จมูกอยู่ด้านบนของปาก เป็นสัตว์เลือดเย็น ผิวหนังหนา
มีฟนั ซเี่ ล็ก มีเกล็ดแข็งแห้งปกคลุมลาตัว
หรอื มีกระดองแข็งหุม้ ลาตัว
4 กลุ่มนก
5 กลมุ่ สตั ว์เลี้ยงลูกดว้ ยนม
เป็นสัตว์เลือดอุ่น หายใจโดยใช้
ปอด มีจะงอยปากแข็ง ขนเป็น เป็นสัตว์เลือดอุ่น มีลักษณะ
แผง มีขา 1 คู่ มีปีก 1 คู่ วางไข่ พิเศษ คือ ตัวเมียจะมีต่อมน้านม
บนบกและไข่มีเปลือกแข็งหุ้ม ไว้สาหรบั เล้ียงลูกอ่อน มีขนแบบ
บางชนิดบินไม่ได้ และ บางชนิด เส้นผมปกคลุมตามร่างกาย มีหู
วา่ ยน้าได้ และใบหู
Scan QR Code
ทดสอบความร้กู นั หนอ่ ย