The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสร้างความเข้าใจ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by somaijing, 2022-11-23 06:47:57

การสร้างความเข้าใจ

การสร้างความเข้าใจ

การสร้างความเข้าใจ
ดร.อภิรัชศักดิ์ รัชนีวงศ์

ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หน่วยงานที่ปฏิบัติงานมักใช้คาว่า “การสร้างความเข้าใจ”
“การสร้างการรับรู้” การปฏิบัติงานมักตั้งเป็น “หน่วยเสริมสร้างความเข้าใจ” “ชุดปฏิบัติการ
เสริมสร้างความเข้าใจ” “แผนกสร้างความเข้าใจ” “แผนกเสริมสร้างการรับรู้” วิธีการปฏิบัติ
คือ การร่วมกิจกรรม การพูดคุย การมอบสิ่งของ การถ่ายภาพ แล้วรายงานผลการปฏิบัติ ถือว่า
จบภารกิจงาน นี่คือภาพการสร้างความเข้าใจ การสร้างการรับรู้ที่ได้พบเห็น พบเจอ
จากประสบการณ์ตรง

หนว่ ยเฉพาะกิจทหารพราน พบปะผูน้ าศาสนา สร้างความเขา้ ใจหารอื รบั ฟงั รว่ มแก้ไขปญั หา
และพัฒนาจงั หวัดชายแดนภาคใต้ให้เกดิ ความยงั่ ยืน

ท่มี า https://www.pandinthong.org/6643/

พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้อานวยการรักษาความม่ันคงภายในภาค 4
เป็นประธานการประชุมแถลงแผนเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ “แนวทางในการ
ดาเนินการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เกิดความมั่นคง ม่ังคั่ง ยั่งยืน
โดยได้จดั ทาแผนเสริมสร้างสันติสุขประจาปีข้ึนภายใต้กรอบและนโยบายให้สอดคล้องกับรัฐบาล
ขบั เคลอ่ื นงานแผนงานด้านความมัน่ คงควบคกู่ ับการพฒั นา โดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางในการ
แกไ้ ขปัญหา ขจัดความหวาดระแวงและปฏิบตั ติ ามแผนพัฒนายกระดับคณุ ภาพชีวิตของประชาชน
สร้างความสงบสันติที่ปราศจากเง่ือนไขท่ีเอื้อต่อการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่ายในพื้นที่ให้ดีข้ึน
สร้างความเชื่อม่ันศรัทธา สร้างความม่ันคง ป้องกันและสกัดก้ันสิ่งผิดกฎหมายในทุกรูปแบบ



โดยเฉพาะปัญหาของยาเสพติดท่ีเป็นทุกข์ของชาวบ้าน ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะต้องเร่ง
ดาเนนิ การแก้ไข แต่อย่างไรก็ตาม จะยังคงต้องประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ
ผู้นาชุมชนที่จะมาเป็นแกนกลาง เช่ือมระหว่างเจ้าหน้าท่ีรัฐกับคนในพื้นที่เข้าด้วยกันและร่วม
พัฒนาพ้ืนท่ี สนบั สนุนแนวทางการแก้ไขปญั หานามาสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตลอดจนการ
อยรู่ ว่ มกนั อย่างสนั ตสิ ขุ ที่แท้จริงภายใต้สังคมพหวุ ฒั นธรรมท่ีเข้มแขง็ ”

ท่ีมา https://army4.rta.mi.th/index.php/travel/85-entertainment/324-4-66-5

ในส่วน ศอ.บต.2 ซ่ึงเป็นหน่วยงานท่ีมีบทบาทหน้าท่ีในการกากับดูแลมิติด้านการพัฒนา
และยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกับหน่วยงาน
ด้านความมั่นคง และสว่ นราชการทเ่ี กี่ยวข้อง โดยมีแนวทางการดาเนินงานตามแผนงานบูรณาการ
ขบั เคล่อื นการแกไ้ ขปญั หาจังหวดั ชายแดนภาคใตป้ ระจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2566 ในมิตดิ ้านการ
พัฒนา 4 เป้าหมาย ได้แก่ (๑) กรอบแนวทางตามแผนงานอานวยความยุติธรรมและเยียวยา
ผไู้ ด้รบั ผลกระทบในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ (2) กรอบแนวทางการดาเนินงานตามแผนงาน
พัฒนาตามศักยภาพพ้ืนที่ (3) กรอบแนวทางการดาเนินงานตามแผนงานพัฒนาสังคม
พหุวัฒนธรรมท่ีเข้มแข็งและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (4) กรอบแนวทางการ
ดาเนินงานตามแผนงานเสริมสร้างความเข้าใจและประสานความร่วมมือ ในการสร้างความเข้าใจ
แก่ประชาชนทงั้ ในและนอกพ้นื ท่จี ังหวดั ชายแดนภาคใต้ และการสรา้ งความเขา้ ใจตอ่ นานาชาติ



ทม่ี า https://www.isranews.org/article/south-news/south-slide/112793-ltgenshanti.html

การสร้างความเข้าใจ (understanding) องค์ประกอบท่ีเก่ียวข้อง คือคน (คนต้องมี
ความรู้) วิธีการ และระบบงาน

ความเข้าใจ1 คือกระบวนการทางจิตวิทยาที่เก่ียวข้องกับส่ิงใดส่ิงหน่ึง ซ่ึงทาให้บุคคล
สามารถคร่นุ คดิ ถึงสิ่งนน้ั และสามารถใช้มโนทัศน์ (concept) เพือ่ จัดกบั กับส่ิงนัน้ ได้อย่างเพียงพอ
ส่ิงที่กล่าวถึงน้ีอาจจะมีลักษณะเป็นนามธรรม หรือเป็นสิ่งทางกายภาพก็ได้ เช่น บุคคล
สถานการณแ์ ละสาร

ทม่ี า https://www.khonatwork.com/post/



ความรูใ้ นเรื่องการสร้างความเขา้ ใจ
Bloom’s Taxonomy3 กล่าวถงึ การจาแนกการเรยี นรู้ตามทฤษฎขี องบลูม ซ่ึงแบ่งเป็น 3
ด้าน คือ ดา้ นพทุ ธพิ ิสยั ดา้ นจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย โดยในแต่ละด้านจะมีการจาแนกระดับ
ความสามารถจากต่าสุดไปถึงสูงสุด เช่น ด้านพุทธิพิสัย เริ่มจากความรู้ ความเข้าใจ การนาไปใช้
การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมิน ทฤษฎีของบลูม (Bloom’s Taxaonomy)4 โดย
เบนจามิน บลูม (Benjamin Bloom) นักจิตวิทยาการศึกษาชาวอเมริกา ได้ศึกษาพฤติกรรมการ
เรยี นรขู้ องมนษุ ย์ และกาหนดพฤติกรรมเกี่ยวกบั สติปัญญา (Cognitive Domain) ข้ึนในปี 2499
และได้ปรับแก้ไขในปี 2544 ซึ่งพฤติกรรมการเรียนรู้แบ่งเป็น 6 ระดับ นอกจากน้ียังนาเสนอ
ระดับความสามารถที่มีการปรับปรุงใหม่ตามแนวคิดของ Anderson and Krathwohl (2001)
เป็น การจา(Remembering) การเข้าใจ (Understanding) การประยุกต์ใช้ (Applying) การ
วเิ คราะห์ (Analysing) การประเมนิ ผล (Evaluating) และการสรา้ งสรรค์ (Creating) ด้านจิตพิสัย
จาแนกเปน็ การรบั รู้ การตอบสนอง การสร้างค่านิยม การจดั ระบบ และการสร้างคุณลักษณะจาก
ค่านิยม ด้านทักษะพิสัย จาแนกเป็นทักษะการเคล่ือนไหวของร่างกาย ทักษะการเคลื่อนไหว
อวัยวะสองส่วนหรือมากกว่าพร้อมๆ กัน ทักษะการส่ือสารโดยใช้ท่าทาง และทักษะการแสดง
พฤติกรรมทางการพูด

ทม่ี า https://www.youtube.com/watch?v=nn4w7g-Mtjw



การเรียนรู้ (Learning)3 คือ กระบวนการของประสบการณ์ท่ีทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
พฤตกิ รรมอย่างคอ่ นข้างถาวร ซ่ึงการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมนไี้ มไ่ ดม้ าจากภาวะชั่วคราว วุฒิภาวะ
หรอื สญั ชาตญาณ (Klein 1991:2)

การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร โดยเป็นผลจากการฝึกฝน
เมื่อได้รับการเสริมแรง มิใช่เป็นผลจากการตอบสนองตามธรรมชาติท่ีเรียกว่า ปฏิกิริยาสะท้อน
(Kimble and Garmezy) การเรียนรู้เป็นกระบวนการท่ีทาให้พฤติกรรมเปล่ียนแปลงไปจากเดิม
อันเป็นผลจากการฝึกฝนและประสบการณ์ แต่มิใช่ผลจากการตอบสนองที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติ
(Hilgard and Bower) การเรียนรู้เป็นการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง อันเป็น
ผลเน่ืองมาจากประสบการณ์ท่ีแต่ละคนได้ประสบมา (Cronbach) การเรียนรู้เป็นกระบวนการ
ท่ีบุคคลได้พยายามปรับพฤติกรรมของตน เพ่ือเข้ากับสภาพแวดล้อมตามสถานการณ์ต่าง ๆ
จนสามารถบรรลุถึงเป้าหมายตามที่แต่ละบุคคลได้ตั้งไว้ (Pressey, Robinson and Horrock,
1959)

พทุ ธพิ สิ ัย (Cognitive Domain)
พฤติกรรมด้านสมองเป็นพฤติกรรมเก่ียวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด ความเฉลียว
ฉลาด ความสามารถในการคิดเรื่องราวต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงเป็นความสามารถทาง
สติปญั ญา พฤตกิ รรมทางพุทธิพิสัย 6 ระดบั ได้แก่
1. ความรู้ความจา ความสามารถในการเก็บรักษามวลประสบการณ์ต่าง ๆ จากการที่
ได้รบั รไู้ วแ้ ละระลกึ ส่ิงน้ันได้เมื่อต้องการเปรียบดังเทปบันทึกเสียงหรือวิดีทัศน์ท่ีสามารถเก็บเสียง
และภาพของเรอ่ื งราวต่างๆไดส้ ามารถเปิดฟังหรือ ดภู าพเหล่านน้ั ได้เมื่อตอ้ งการ
2. ความเขา้ ใจ เป็นความสามารถในการจบั ใจความสาคญั ของสอ่ื และสามารถแสดง
ออกมาในรูปของการแปลความ ตีความ คาดคะเน ขยายความ หรอื การกระทาอื่น ๆ
3. การนาความรู้ไปใช้ เป็นข้ันที่ผู้เรียนสามารถนาความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ในการ
แกป้ ญั หาในสถานการณต์ า่ ง ๆ ได้ ซงึ่ จะตอ้ งอาศัยความรคู้ วามเข้าใจ จงึ จะสามารถนาไปใช้ได้
4. การวิเคราะห์ ผเู้ รยี นสามารถคิด หรือ แยกแยะเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย
เป็นองค์ประกอบที่สาคัญได้ และมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ความสามารถใน
การวิเคราะห์จะแตกต่างกนั ไปแลว้ แต่ความคิดของแต่ละคน
5. การสงั เคราะห์ ความสามารถในการที่ผสมผสานส่วนย่อย ๆ เข้าเป็นเรื่องราวเดียวกัน
อย่างมรี ะบบ เพื่อให้เกิดส่ิงใหม่ท่ีสมบูรณ์และดีกว่าเดิม อาจเป็นการถ่ายทอดความคิดออกมาให้
ผู้อืน่ เขา้ ใจได้ง่าย การกาหนดวางแผนวิธีการดาเนินงานข้ึนใหม่ หรือ อาจจะเกิดความคิดในอันท่ี
จะสร้างความสมั พนั ธ์ของสงิ่ ทีเ่ ป็นนามธรรมขน้ึ มาในรปู แบบ หรอื แนวคดิ ใหม่
6. การประเมนิ คา่ เปน็ ความสามารถในการตัดสิน ตรี าคา หรือ สรุปเก่ียวกับคุณค่าของ
สงิ่ ตา่ ง ๆ ออกมาในรูปของคณุ ธรรมอยา่ งมกี ฎเกณฑท์ เี่ หมาะสม ซ่ึงอาจเป็นไปตามเนื้อหาสาระใน
เร่อื งนนั้ ๆ หรอื อาจเปน็ กฎเกณฑท์ ่ีสงั คมยอมรับก็ได้


ที่มา https://sites.google.com/site/anansak2554/thvsdi-kar-reiyn-ru-khx-ngblum

ท่ีมา https://www.khonatwork.com/post/
ท่มี า https://suvaluck.wordpress.com/2015/05/31/



ทม่ี า https://sites.google.com/site/anansak2554/thvsdi-kar-reiyn-ru-khx-ngblum

จิตพิสยั (Affective Domain) พฤตกิ รรมดา้ นจิตใจ
ค่านยิ ม ความรู้สกึ ความซาบซ้ึง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจและคุณธรรม พฤติกรรม
ด้านนี้อาจไม่เกิดขึ้นทันที ดังน้ัน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดสภาพแวดล้อม
ท่ีเหมาะสมและสอดแทรกส่ิงท่ีดีงามอยู่ตลอดเวลา จะทาให้พฤติกรรมของผู้เรียนเปล่ียนไปใน
แนวทางท่ีพึงประสงคไ์ ด้ด้านจิตพิสยั ประกอบดว้ ย พฤตกิ รรมยอ่ ย ๆ 5 ระดับ ได้แก่

1. การรับรู้ เป็นความรู้สึกท่ีเกิดข้ึนต่อปรากฏการณ์ หรือส่ิงเร้าอย่างใดอย่างหน่ึง
ซ่งึ เป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของสิ่งเร้าน้ันว่าคืออะไร แล้วจะแสดงออกมาในรูป
ของความรูส้ กึ ทเี่ กิดข้ึน

2. การตอบสนอง เป็นการกระทาท่ีแสดงออกมาในรูปของความเต็มใจ ยินยอม และ
พอใจตอ่ สง่ิ เร้านนั้ ซ่ึงเปน็ การตอบสนองที่เกิดจากการเลอื กสรรแลว้

3. การเกิดค่านยิ ม การเลือกปฏิบัติในส่ิงที่เป็นท่ียอมรับกันในสังคม การยอมรับนับถือ
ในคณุ ค่านน้ั ๆ หรอื ปฏิบัติตามในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง จนกลายเป็นความเชื่อ แล้วจึงเกิดทัศนคติที่ดี
ในสิ่งนนั้

4. การจัดระบบ การสรา้ งแนวคดิ จดั ระบบของค่านิยมท่ีเกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์
ถ้าเข้ากันได้ก็จะยึดถือต่อไปแต่ถ้าขัดกันอาจไม่ยอมรับอาจจะยอมรับค่านิยมใหม่โดยยกเลิก
คา่ นยิ มเกา่

5. บุคลิกภาพ การนาค่านิยมที่ยึดถือมาแสดงพฤติกรรมท่ีเป็นนิสัยประจาตัว
ใหป้ ระพฤติปฏบิ ัติแต่ส่ิงที่ถกู ต้องดีงามพฤตกิ รรมด้านนี้ จะเกี่ยวกับความรู้สึกและจิตใจ ซ่ึงจะเร่ิม
จากการได้รับรู้จากส่ิงแวดล้อม แล้วจึงเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ ขยายกลายเป็นความรู้สึกด้านต่างๆ



จนกลายเปน็ คา่ นยิ ม และยังพัฒนาต่อไปเป็นความคิดอุดมคติซึ่งจะเป็นควบคุมทิศทางพฤติกรรม
ของคนคนจะรูด้ ีร้ชู ่ัวอยา่ งไรนนั้ กเ็ ป็นผลของพฤติกรรมดา้ นน้ี

ท่มี า https://sites.google.com/site/anansak2554/thvsdi-kar-reiyn-ru-khx-ngblum

ทกั ษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) (พฤติกรรมดา้ นกลา้ มเน้อื ประสาท)
พฤติกรรมทีบ่ ่งถึงความสามารถในการปฏิบัตงิ านได้อย่างคล่องแคล่วชานิชานาญ ซ่ึงแสดง
ออกมาได้โดยตรงโดยมีเวลาและคุณภาพของงานเป็นตัวช้ีระดับของทักษะพฤติกรรมด้านทักษะ
พสิ ัย ประกอบด้วย พฤติกรรมยอ่ ย ๆ 5 ขั้น ดงั นี้

1. การรับรู้ เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้หลักการปฏิบัติท่ีถูกต้อง หรือ เป็นการเลือกหา
ตวั แบบทส่ี นใจ

2. กระทาตามแบบ หรือเครื่องช้ีแนะ เป็นพฤติกรรมท่ีผู้เรียนพยายามฝึกตามแบบที่
ตนสนใจและพยายามทาซ้า เพื่อท่ีจะให้เกิดทักษะตามแบบที่ตนสนใจให้ได้ หรือ สามารถ
ปฏิบตั ิงานไดต้ ามขอ้ แนะนา

3. การหาความถูกต้อง พฤติกรรมสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัย
เครื่องชแี้ นะ เมอื่ ไดก้ ระทาซ้าแล้วกพ็ ยายามหาความถกู ตอ้ งในการปฏบิ ตั ิ

4. การกระทาอยา่ งตอ่ เนื่อง หลังจากตัดสินใจเลือกรูปแบบที่เป็นของตัวเองจะกระทา
ตามรูปแบบน้นั อย่างต่อเน่ือง จนปฏิบัติงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง คล่องแคล่ว
การที่ผูเ้ รยี นเกดิ ทักษะได้ตอ้ งอาศยั การฝกึ ฝนและกระทาอย่างสมา่ เสมอ



5. การกระทาไดอ้ ยา่ งเป็นธรรมชาติ พฤตกิ รรมที่ไดจ้ ากการฝึกอยา่ งต่อเน่ืองจนสามารถ
ปฏิบัติ ได้คล่องแคล่วว่องไวโดยอัตโนมัติ เป็นไปอย่างธรรมชาติซ่ึงถือเป็นความสามารถของการ
ปฏบิ ัตใิ นระดบั สูง

ทีม่ า https://sites.google.com/site/anansak2554/thvsdi-kar-reiyn-ru-khx-ngblum

เม่ือบุคคลเกิดการเรยี นรู้ จะเกดิ การเปลีย่ นแปลงดังนี้ (Bloom, 1959)
1. การเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้ ความเข้าใจ และความคิด (Cognitive Domain)
หมายถงึ การเรียนรู้เก่ียวกบั เน้ือหาสาระใหม่ ก็จะทาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจส่ิงแวดล้อม
ตา่ ง ๆ ได้มากขน้ึ เปน็ การเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดขน้ึ ในสมอง
2. การเปลย่ี นแปลงทางด้านอารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติ ค่านิยม (Affective Domain)
หมายถึง เมื่อบุคคลได้เรียนรู้ส่ิงใหม่ ก็ทาให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกทางด้านจิตใจ ความเชื่อ ความ
สนใจ
3. ความเปลีย่ นแปลงทางด้านความชานาญ (Psychomotor Domain) หมายถึง การท่ี
บุคคลได้เกิดการเรียนรู้ทั้งในด้านความคิด ความเข้าใจ และเกิดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ความ
สมใจดว้ ยแล้ว ได้นาเอาสิง่ ท่ไี ดเ้ รียนรู้ไปปฏบิ ัติ จึงทาใหเ้ กิดความชานาญมากขน้ึ เชน่ การใชม้ อื

๑๐

ทม่ี า https://sirikanya926.wordpress.com/2014/01/18/

สรุป การสร้างความเข้าใจ (understanding) จากทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม โดยเร่ิมจากด้าน
พุทธิพสิ ยั (Cognitive Domain) หรือ การเรียนรู้ทางด้านสติปัญญา อันเป็นพฤติกรรมด้านสมอง
เป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด ความเฉลียวฉลาด ความสามารถในการคิด
เรื่องราวต่างๆ ได้แก่ ข้ันท่ี 1 ความรู้ (ความจา) หมายถึง ความสามารถในการจาแนกเน้ือหา
ความรู้ และระลึกได้เมอ่ื ต้องการนามาใช้ ข้นั ที่ 2 ความเขา้ ใจ หมายถึง การเข้าใจความหมายของ
เน้ือหาสาระ นนั่ คือ พทุ ธิพิสัย ข้นั ท่ี 3 การนาไปใช้ ขน้ั ท่ี 4 การวิเคราะห์ ขั้นท่ี 5 การสังเคราะห์
และขัน้ ที่ 6 การประเมนิ คา่ ยังไม่ตอ้ งดาเนินการใหถ้ ึงขั้นท่ี 3-6 หรือ ดาเนินการเพียง 2 ข้ันตอน
เทา่ น้นั (ข้ันท่ี 1 ความรู้ และข้นั ท่ี 2 ความเขา้ ใจ

ความรู้เรอ่ื งการใหค้ วามรู้-ความเข้าใจ
ความรู้6 คอื สารสนเทศท่นี าไปส่กู ารปฏิบตั ิ เปน็ เนอ้ื หาข้อมลู ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง
ความคิดเห็น ทฤษฎี หลักการ รูปแบบ กรอบความคิด หรือข้อมูลอื่นๆ ท่ีมีความจาเป็น และ
เป็นกรอบของการผสมผสานระหว่างประสบการณ์ ค่านิยม ความรอบรู้ในบริบท สาหรับการ
ประเมนิ ค่า และการนาเอาประสบการณก์ บั สารสนเทศใหม่ ๆ มาผสมรวมเขา้ ด้วยกนั
ความรู้ คือส่ิงท่ีส่ังสมมาจากการศึกษา ค้นคว้า เรียนรู้ และประสบการณ์ รวมท้ัง
ความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะความเข้าใจ หรือสารสนเทศท่ีได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง
การคดิ หรือการปฏิบตั ิ องค์วิชาในแตล่ ะสาขา (พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน) แยกได้เป็น 2
ประเภท คือ5

๑๑

1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวบุคคล (Tacit Knowledge) เป็นความรู้แบบนามธรรม คือ
ความรู้ที่ไดจ้ ากพรสวรรค์ สญั ชาตญิ าณ หรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ในการทาความเข้าใจ
ในส่งิ ตา่ งๆ เปน็ ความรทู้ ่ีไมส่ ามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคาพูดหรือลายลกั ษณอ์ ักษรได้โดยง่าย เช่น
ทักษะในการทางานดา้ นตา่ งๆ งานฝมี ือ ประสบการณ์ แนวการคิดวิเคราะห์ การเข้าถึงและเข้าใจ
ตวั บคุ คล

2. ความรู้ท่ีชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้แบบรูปธรรม คือ สามารถเก็บ
รวบรวมและนาไปถ่ายทอดได้ดว้ ยวธิ กี ารต่าง ๆ เช่น การบันทึกเปน็ ลายลักษณ์อักษร เช่น หนังสือ
คู่มอื ทฤษฎี หลักปฏิบัติ ข้ันตอน หรือวิธีการปฏิบัติงาน สื่อต่างๆ เช่น เทป VDOเทป VCD DVD
Internet

ท้งั นี้ ความรทู้ ้ัง 2 ประเภทน้ี สามารถสลับปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ เช่น บางครั้ง
Tacit Knowledge ก็เปลี่ยนมาจาก Explicit Knowledge และบางครั้ง Explicit Knowledge
ก็เปลี่ยนไปเปน็ Tacit Knowledge

ชั้นของความรู้6
1. ข้อมลู (Data) เป็นข้อมลู ดบิ ทย่ี ังไมไ่ ดผ้ ่านกระบวนการประมวลผล หรือเป็นกลุ่มของ
ขอ้ มูลดิบทเี่ กิดขน้ึ จากการปฏิบัติงาน
2. สารสนเทศ (Information) เป็น ข้อมูลท่ีผ่านกระบวนการประมวลผลโดยรวบรวม
และสงั เคราะหเ์ อาเฉพาะข้อมลู ทีม่ ีความหมายและเปน็ ประโยชน์ตอ่ งานที่ทา
3. ความรู้ (Knowledge) เป็นผลจากการขัดเกลาและเลือกใช้สารสนเทศ โดยมีการ
จัดระบบความคดิ เสยี ใหม่ใหเ้ ป็น “ความร้แู ละความเช่ียวชาญเฉพาะเร่ือง”
4. ความเฉลยี วฉลาด (Wisdom) เป็นการนาเอาความรู้ต่าง ๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกัน
เพ่ือใช้ให้เกิดเปน็ ประโยชน์ต่อการทางานในสาขาวิชาชีพตา่ ง ๆ
5. เชาวนป์ ญั ญา (Intelligence) เปน็ ผลจากการปรงุ แต่งและจดจาความรู้และใช้ความ
เฉลียวฉลาดต่าง ๆในสมอง ทาให้เกิดความคิดท่ีรวดเร็วและฉับไว สามารถใช้ความรู้และความ
เฉลียวฉลาดโดยใช้ช่วงเวลาสั้นกว่า หากนาเอามาจัดลาดับเป็นขั้นตอนของการเรียนรู้สาหรับ
มนษุ ยแ์ ตล่ ะบุคคลจะได้ภายใต้ประเภทของความรู้

1) ความรู้ในตัวของมนษุ ย์หรือความรู้โดยนัย (Tacit Knowledge) หมายถึง ความรู้
เฉพาะตัวท่ีเกิดจากประสบการณ์ การศึกษา การสนทนา การฝึกอบรม เจตคติของแต่ละบุคคล
เปน็ ความรบู้ วกกบั สติปญั ญาและประสบการณ์

2) ความรู้เชิงประจักษ์ท่ีปรากฏชัดเจน (Explicit Knowledge) หมายถึง ความรู้
ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบุคคลออกมาในรูปของการบันทึกตามรูปแบบต่างๆ ซ่ึงเป็นสารสนเทศ
น่นั เอง

3) ความรู้ท่ีเกิดจากวัฒนธรรม (Culture Knowledge) หมายถึง ความรู้ที่เกิดจาก
ความเช่ือ ความศรทั ธา ซ่ึงเกดิ จากผลสะท้อนกลบั ของความรแู้ ละสภาพแวดล้อมทว่ั ไปขององคก์ ร

๑๒

ประเภทความรู้ในตัวคน ความรู้ในตัวคนเป็นความรู้ท่ีฝังลึกอยู่ในแต่ละบุคคล การที่
ความรู้จากใครคนหนึ่งจะถูกถ่ายทอดไปยังบุคคลอ่ืนได้นั้นเป็นเร่ืองที่ยาก หากเจ้าตัวไม่ยินยอม
การขอรับการถ่ายทอดความรู้จากบุคคลผ้รู ้เู หล่าน้ี จะทาไดด้ งั น้ี

1. การสนทนา (Face-to-face Conversation)
2. การนาทีมและฝกึ อบรม (Mentoring & Training)
3.อบรมเข้มข้น (Coaching) ประมวลผล Intelligence Data Information
Knowledge Wisdom ขัดเกลา/เลือกใช้ บรู ณาการ ปรบั แตง่ /จดจา

ประเภทของรูปแบบการเรียนการสอน7 หรอื การให้ความรู้
จอยสแ์ ละวลี (Joyce & Weil, 1996: 12-22) แบ่งรูปแบบการสอนออกเป็น 4 กลมุ่
ตามจดุ มุ่งหมายและวิธกี ารเรียนรขู้ องมนุษย์ ได้แก่
1. รูปแบบการสอนในกลุ่มที่ใช้การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (social family) เป็นรูปแบบ
การสอนที่ใชป้ ระโยชน์จากการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ โดยเห็นว่าการจัดการห้องเรียนจะช่วย
ส่งเสริมความสัมพันธ์แบบร่วมมือในห้องเรียน ซ่ึงมีผลต่อกระบวนการเรียนรู้ จุดมุ่งหมายของ
รปู แบบการสอนในกล่มุ นมี้ ดี ังนี้

1) ส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นทางานร่วมกนั ในการแกป้ ัญหาทางวิชาการและปญั หาของสงั คม
2) พฒั นาทกั ษะทางดา้ นปฏสิ มั พนั ธ์ทางสงั คมของผู้เรยี น
3) สร้างความตระหนกั ในดา้ นคา่ นยิ มของตนและสงั คม
ตวั อยา่ งรูปแบบการสอนในกลมุ่ นี้ ได้แก่ เพือ่ นเรียน (partners in learning model)
กล่มุ สืบสอบ (group investigation model) รูปแบบการสอนโดยการซักค้าน (jurisprudential
inquiry model) และรูปแบบการสอนบทบาทสมมติ (role playing model)
2. รูปแบบการสอนในกลุ่มกระบวนการประมวลผลสารสนเทศ ( information-
processing family) เป็นรูปแบบการสอนท่ีส่งเสริมกระบวนการสร้างความเข้าใจและจดจา
สารสนเทศของผูเ้ รยี น และการพฒั นาความคดิ สติปัญญาของผู้เรียน จุดมุ่งหมายของรูปแบบการ
สอนในกลมุ่ นี้มดี ังนี้
1) ส่งเสริมการสร้างความคดิ รวบยอดและหลักการ
2) พัฒนาความสามารถทางสตปิ ัญญา ไดแ้ ก่ ทักษะการคิดและกระบวนการคิดต่าง ๆ
เช่น การคิดวิเคราะห์ การคดิ เชงิ เหตผุ ล การคดิ สร้างสรรค์ เปน็ ต้น
3) พัฒนาทักษะกระบวนการแก้ปัญหาและกระบวนการสบื สอบ
ตัวอย่างของรูปแบบการสอนในกลุ่มน้ี ได้แก่ รูปแบบการสอนมโนทัศน์ (concept
attainment model) รูปแบบการสอนโดยการนาเสนอมโนทัศน์กว้างล่วงหน้า (advance
organizer model) รูปแบบการสอนท่เี น้นความจา (memory assists model) รูปแบบการสอน
แบบสบื สอบทางวิทยาศาสตร์ (scientific inquiry model)

๑๓

3. รปู แบบการสอนในกลุม่ ทเ่ี กีย่ วกบั การพัฒนาตน (personal family) รูปแบบการสอน
ในกลุ่มนม้ี จี ุดมงุ่ หมาย ดงั น้ี

1) สรา้ งความสานึกในคุณค่าของตนเองและความเข้าใจตนเอง
2) ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนทาหน้าที่เป็นผู้แนะแนว
ช่วยเหลือผู้เรียนให้มีความเข้าใจบทบาทในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง สามารถกา หนด
จดุ มงุ่ หมายในการเรียนรู้ และวางแผนเพ่อื พฒั นาสมรรถภาพของตนเองได้
3) ทาให้ผู้เรยี นเปดิ ใจกวา้ งตอ่ ประสบการณ์ใหม่
ตัวอย่างรูปแบบการสอนในกลุ่มนี้ ได้แก่ รูปแบบการสอนทางอ้อม (nondirective
teaching) รปู แบบการสอนเพื่อส่งเสรมิ ความตระหนักแห่งตน (enhancing self-esteem)
4. รูปแบบการสอนในกลุ่มทเ่ี กีย่ วกับการปรับพฤตกิ รรม (behavioral systems family)
จุดมงุ่ หมายหลกั ของรปู แบบการสอนในกลมุ่ นี้คือ การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ข้อเท็จจริง ความคิดรวบ
ยอดตลอดจนการฝกึ ทักษะและพฒั นาพฤติกรรมทางสงั คม โดยมอบหมายงานให้ผ้เู รียนปฏบิ ัติและ
ไดร้ บั ขอ้ มูลยอ้ นกลบั เกี่ยวกบั ผลการปฏิบัติ ซึ่งนกั เรียนจะปฏบิ ตั ิงานจนไดผ้ ลเป็นท่นี า่ พอใจ เม่ือได้
รบั ทราบข้อมูลย้อนกลับและได้รับผลจากการปฏบิ ัตินัน้
ตัวอย่างของรูปแบบการสอนในกลุ่มนี้ ได้แก่ รูปแบบการเรียนแบบรอบรู้ (mastery
learning) รูปแบบการสอนตรง (direct instruction) รูปแบบการเรียนรู้ทางสังคม (social
learning) รปู แบบการสอนแบบโปรแกรม (programmed schedule)

ทิศนา แขมมณี (2555 : 224) แบ่งประเภทของรูปแบบการเรียนการสอนตาม
ลักษณะและวัตถปุ ระสงคเ์ ฉพาะหรอื เจตนารมณข์ องรูปแบบ ออกเป็น 5 หมวด ได้แก่

1. รปู แบบการเรยี นการสอนท่ีเนน้ การพฒั นาดา้ นพุทธพิ สิ ัย (cognitive domain)
2. รูปแบบการเรยี นการสอนท่เี นน้ การพฒั นาด้านจิตพสิ ยั (affective domain)
3. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย ( psycho-motor
domain)
4. รปู แบบการเรยี นการสอนที่เน้นการพฒั นาด้านทกั ษะกระบวนการ (process skills)
5. รปู แบบการเรียนการสอนทเ่ี นน้ การบรู ณาการ (integration)

อาเรนด์ (Arends, 2001 ; 25) ได้แบ่งรูปแบบการเรียนการสอนออกเป็น 2 กลุ่ม โดย
พิจารณาจากบทบาทของผูส้ อนและผเู้ รยี น ดังนี้

1. รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นครูเป็นศูนย์กลาง (teacher-centered model)
หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนที่ครูเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการเตรียมเนื้อหาและเป็น
ผู้ควบคุมกากับข้ันตอนของการเรียนการสอน ชื่อที่ใช้เรียกรูปแบบการเรียนการสอนในกลุ่มนี้
มกั เรียกวา่ รปู แบบการสอน เช่น รูปแบบการสอนตรง (direct instruction model) รูปแบบการ
สอนความคดิ รวบยอด (concept teaching model)

๑๔

2. รูปแบบการเรยี นการสอนทีเ่ น้นผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลาง (student-centered model)
หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นผู้ที่มีบทบาทสาคัญในการเรียนรู้ หรือ
เป็นผสู้ รา้ งความรู้บทบาทของครูทาหน้าท่ีอานวยความสะดวก และเป็นท่ีปรึกษาการทางานของ
ผ้เู รียน ช่อื ของรปู แบบ การเรยี นการสอนในกลุม่ น้นี ิยมเรยี กว่า รูปแบบการเรียนรู้มากกว่ารูปแบบ
การสอน เช่น รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ (cooperative learning) รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้
ปัญหาเป็นฐาน (problem-based learning) รูปแบบการเรียนรู้ตามแนววัฏจักรการเรียนรู้
(4 MAT: the circle of learning model)

รูปแบบการเรยี นการสอนตรง (direct instruction model)
รปู แบบการเรียนการสอนตรง7 เป็นรูปแบบท่ีอยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่าก่อนที่ผู้เรียน
จะสามารถสร้างความคดิ รวบยอด พัฒนาความคดิ สร้างสรรค์และแก้ปัญหาได้นั้น ผู้เรียนจะต้องมี
ทักษะพื้นฐาน และสารสนเทศท่ีจะนาไปใช้ในการพัฒนาความคิดในระดับท่ีสูงขึ้น รูปแบบการ
เรียนการสอนตรงมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามผู้ที่พัฒนารูปแบบ แต่มีลักษณะสาคัญหรือพื้นฐาน
เหมือนกัน เชน่ จอยส์และวี (Joyce & Weil, 1996) เรยี กรปู แบบนว้ี ่า รปู แบบการฝึกอบรม (a
training model) ฮันเตอร์ (Hunter, 1994) เรียกรูปแบบนี้ว่า รูปแบบการสอนเพ่ือความรอบรู้
(the mastering teaching model) และโรเซ็นไชน์และสตีเฟนส์ (Rosenshine & Stephens,
1986) เรียกรปู แบบน้วี ่า การสอนอย่างแจง้ ชัด (explicit instruction)
1. วตั ถุประสงค์ของรูปแบบ เพ่อื พฒั นาผลการเรยี นรู้ดา้ นความร้แู ละด้านทักษะ รวมถึง
การพฒั นาวธิ ีการเรยี นร้ใู ห้กับผ้เู รียน
2. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคิดของรูปแบบ ทฤษฎกี ารเรยี นร้ทู ่เี ปน็ พื้นฐานของรปู แบบการ
เรียนการสอนตรง คือทฤษฎีการเรยี นรกู้ ลมุ่ พฤติกรรมนิยม (behaviorism) และทฤษฎีการเรียนรู้
สังคม (social learning) (Arends, 2001, pp. 266-267)
รปู แบบการเรียนการสอนตรงเป็นรูปแบบพ้ืนฐานท่ีสุด จัดอยู่ในกลุ่มรูปแบบการเรียน
การสอนท่ีครูเป็นศูนย์กลาง เป็นรูปแบบที่สามารถประยุกต์ไปใช้กับการสอนท่ีมีจุดประสงค์การ
เรยี นรทู้ ั้งดา้ นความรแู้ ละทกั ษะ และนาไปใช้กบั การสอนเนอ้ื หาไดห้ ลากหลายสาระ จงึ เป็นรปู แบบ
ทีม่ กี ารนาไปใช้อย่างแพรห่ ลายมากท่สี ุดมาอยา่ งต่อเนอื่ งยาวนาน

รปู แบบการเรียนรแู้ บบรว่ มมอื (cooperative learning)
รูปแบบการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื เปน็ รูปแบบทีเ่ นน้ การเรยี นร้ขู องผู้เรียนในด้านเน้ือหาสาระ
ต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยอาศัยความร่วมมือช่วยเหลือจากเพ่ือน ๆ ในกลุ่ม นอกจากนี้ผู้เรียนยังได้
พัฒนาทักษะทางสังคมท่ีเน้นทักษะการทางานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการส่ือสาร ทักษะการสร้าง
ปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล และการยอมรับความแตกต่างของบคุ คล นอกจากนั้นผู้เรยี นยงั ได้พัฒนา
ทักษะการคิดและการแก้ปญั หาลกั ษณะสาคัญของรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เน้นการทางาน
แบบร่วมมือกัน โดยออกแบบงาน (cooperative task) ซ่ึงต้องอาศัยการทางานแบบร่วมมือของ

๑๕

สมาชิกทุกคนในกลุ่ม งานนั้นจึงจะสาเร็จได้ และการจัดโครงสร้างของการให้รางวัล (reward
structure) กับกลมุ่ จากการที่สมาชิกทกุ คนในกลมุ่ มสี ่วนช่วยกนั ให้ประสบความสาเร็จ หรือรางวัล
ท่ใี หส้ าหรับผลการพฒั นาของสมาชกิ ทกุ คนในกล่มุ รวมกนั

รูปแบบการสอนจิกซอ ซึ่งพัฒนาจากจิกซอแบบเดิมนั้น มีความแตกต่างตรงท่ีการให้
กลุม่ เชี่ยวชาญต้องศกึ ษาเพ่มิ เตมิ จนมีความเขา้ ใจในประเดน็ ของตนอย่างลึกซ้ึงมากขึ้น จากปัญหา
ท่ีครูให้เแนวทางไว้และการให้รางวัลแก่กลุ่ม เพื่อเป็นแรงเสริมให้สมาชิกในกลุ่มรับผิดชอบและ
ชว่ ยเหลือซ่งึ กนั และกนั มากข้นึ

รูปแบบทีมแข่งขัน (teams-games tournaments -TGT) รูปแบบน้ีได้รับการพัฒนา
โดยเดฟรีส์และเอดวาร์ด (Devries & Edwards, cited in Gunter, Estes, & Schwab, 1995:
231) รูปแบบ TGT มคี วามเหมาะสมกับจุดประสงค์การเรยี นรู้และเนือ้ หาทีม่ ีคาตอบทีถ่ ูกต้องเพียง
คาตอบเดียว เช่น การคานวณและการแก้ปัญหาในวิชาคณิตศาสตร์ หลักการใช้ภาษา ความคิด
รวบยอดทางวิทยาศาสตร์และข้อเท็จจริงในวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โดยภายหลังจาก
ที่ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกัน ครูจะจัดให้มีการแข่งขันทางวิชาการเป็นทีม และ
ประกาศผลเปน็ ชยั ชนะของทมี แขง่ ขัน ไม่ใชช่ ัยชนะของบุคคลใดบคุ คลหน่ึง

รูปแบบการสอน8

1. การจัดการเรียนรู้แบบใชค้ าถาม 10. การพัฒนาทกั ษะ/กระบวนการสื่อสาร
(Questioning Method) การสอื่ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และ
การนาเสนอ
2. วธิ สี อนแบบโมเดลซิปปา (CIPPA)
3. วธิ สี อนแบบโครงงาน(Project Method) 11. การคน้ หารูปแบบ (Pattern Seeking)
12. การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการ
4. การจัดการเรียนร้แู บบใช้ปัญหาเป็นฐาน
5. การจดั การเรยี นรู้แบบค้นพบ (Discovery สืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process)
13. วธิ ีสอนแบบอุปนยั (Inductive Method)
Method) 14. วิธสี อนแบบนริ นัย (Deductive Method)
6. การจดั การเรียนรูแ้ บบนริ นัย (Deductive
15. วิธสี อนแบบอภิปราย (Discussion
Method) Method)
7. การจัดการเรียนรแู้ บบอุปนยั (Induction
16. วิธสี อนแบบสืบสวนสอบสวน
Method)
8. การพฒั นาทกั ษะ/กระบวนการแก้ปญั หา 17. วิธีสอนแบบแบง่ กลุม่ ทางาน (Committee
Work Method)

๑๖

รปู แบบการสอน (ต่อ)

18. การพัฒนาทักษะ/กระบวนการใหเ้ หตุผล 33. วธิ สี อนแบบหนว่ ย (Unit Teaching

Method)

19. วิธีสอนแบบแสดงบทบาท (Role Playing 34. วิธสี อนแบบใช้โสตทัศนวสั ดุ (Audio-

Method) Visual Meterial of Instruction Method)

20. วธิ ีสอนแบบวทิ ยาศาสตร์ (Scientific 35.วิธสี อนแบบทมี (Team Teaching

Method) Method)

21. วธิ สี อนแบบบรรยาย (Lecture Method) 36. วธิ สี อนแบบจลุ ภาค (Micro-Teaching

Method)

22. วธิ ีสอนแบบปฏบิ ัติการหรือการทดลอง 37. วิธีสอนแบบอริยสจั

(Laboratory Method)

23. วิธสี อนแบบศกึ ษาดว้ ยตนเอง (Self Study 38. วธิ สี อนแบบแบง่ กลุ่มระดมพลังสมอง

Method)

24. วธิ สี อนตามคาดหวงั (Expectation 39. วิธีสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท (Explicit

Method) Teaching Method)

25. วิธีสอนแบบโซเครตสิ (Socretis Method) 40. วิธสี อนแบบสาธติ

26. วิธีสอนแบบประสาทสัมผสั (Method of 41. วิธีการสอนแบบทดลอง

Sense Realism)

27. วิธีสอนด้วยสิง่ ของหรอื วัตถุ 42. การสอนแบบบูรณาการ (Integration

Instruction)

28. วิธสี อนแบบแฮรบ์ าร์ต 43. การสอนใหเ้ กิดความคิดสรา้ งสรรค์

29. วิธีสอนแบบกิจกรรม (Self-Activity 44. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ

Method) แอล.ที. (Learning Together, L.T )

30. วธิ สี อนแบบแกป้ ญั หา (Problem-Solving 45. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ

Method) จ.ี ไอ. (Group Investigation: G.I.)

30. กระบวนการแก้ปญั หาตามหลักอริยสัจ 4 46. การเรียนการสอนของรูปแบบ เอส.ท.ี เอ.ด.ี

โดยสาโรช บัวศรี (Student Teams Achievement

Division :STAD )

31. วิธสี อนแบบโครงการ (Project Method) 47. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ

จิก๊ ซอร์ (Jigsaw)

32. วิธสี อนแบบดัลตัน (Dalton Laboratory 48. รูปแบบการเรยี นการสอนของการเรียนรู้

Plan) แบบร่วมมือ (Instructional Models of

Cooperative Learning)

๑๗

รูปแบบการสอน (ต่อ)

49. วิธีสอนแบบวนิ เนทกา้ (The Winnetka 52. การสอนแบบเอกตั ภาพ (Individualized
Plan) Instruction )

50. วธิ สี อนแบบนเิ ทศ (Supervised Plan) 53. การสอนภาษาโดยใช้เนอ้ื หาเพอื่ นาไปสู่
การเรยี นร้ภู าษา(Content–Based
51. วธิ สี อนแบบใชค้ รูพ่ีเลี้ยง (Tutorial Instruction)
Method)
54. การสอนแบบวธิ ีธรรมชาติ ( Natural
Method )

วิธีสอนของเจ้าหน้าท่ีของรัฐในจังหวัดชายแดนภาคใต้มักใช้วิธีสอนแบบบรรยาย
(Lecture Method)

กอ.รมน.ภาค 4 สน. พบโฆษกชาวบ้าน 3 จชต.เสรมิ สร้างความเข้าใจ

ที่มา https://www.dailynews.co.th/news/1125934/

๑๘

ทฤษฎีการเรียนรู้สาหรับผใู้ หญ่
แนวความคิดของลินเดอร์แมน9 ได้รับอิทธิพลค่อนข้างมากจากนักปรัชญาการศึกษา
ผทู้ ีม่ ชี ่ือเสียง คือ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) โดยได้เน้นอย่างมากเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้ใหญ่
ควรเริ่มต้นจากสถานการณ์ต่างๆ (Situations) มากกว่าเร่ิมจากเน้ือหาวิชา ซึ่งวิธีการเรียน
การสอนโดยท่ัวๆ ไป มักจะเร่ิมต้นจากครูและเนื้อหาวิชาเป็นอันดับแรก และมองดูผู้เรียนเป็น
ส่วนท่ีสอง แหล่งความรู้ท่ีมีคุณค่าสูงสุดในการศึกษาผู้ใหญ่ คือประสบการณ์ของผู้เรียนเอง และ
มีข้อคิดที่สาคัญว่า "ถ้าหากการศึกษาคือชีวิตแล้ว ชีวิตก็คือการศึกษา" (If Education is Life,
then Life is Education) สรุปได้ว่า ประสบการณ์นั้นคือตาราท่ีมีชีวิตจิตใจสาหรับนักศึกษา
ผู้ใหญ่ ซ่ึง โนลส์ (M.S.Knowles. 1954) ได้สรุปเป็นพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้สาหรับผู้ใหญ่
สมยั ใหม่ (Modern Adult Learning Theory) ซึ่งมสี าระสาคญั ดังน้ี9

ทม่ี า https://www.entraining.net/article/

1. ความต้องการและความสนใจ ผู้ใหญ่จะถูกชักจูงให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี ถ้าหากว่าตรง
กับความต้องการ และความสนใจ ในประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาก็จะเกิดความพึงพอใจ
เพราะฉะนั้นควรจะมีการเริ่มต้นในสิ่งเหล่านี้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมท้ังหลาย
เพ่อื ใหผ้ ้ใู หญ่เกิดการเรียนรูน้ ้ันจะต้องคานงึ ถึงสิ่งนด้ี ้วยเสมอ

2. สถานการณ์ที่เกีย่ วข้องกับชีวิตผู้ใหญ่ การเรียนรู้ของผู้ใหญ่จะได้ผลดี ถ้าหากถือเอา
ตัวผู้ใหญ่เป็นศูนย์กลาง ในการเรียนการสอน ดังน้ันการจัดหน่วยการเรียนท่ีเหมาะสมเพ่ือการ
เรียนรู้ของผู้ใหญ่ ควรจะยึดถือสถานการณ์ท้ังหลายที่เก่ียวข้องกับชีวิตผู้ใหญ่เป็นหลักสาคัญ มิใช่
ตัวเน้อื หาวิชาทง้ั หลาย

๑๙

3. การวิเคราะห์ประสบการณ์ เนื่องจากประสบการณ์เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีคุณค่า
มากท่ีสุดสาหรับผู้ใหญ่ ดังนั้นวิธีการหลักสาหรับการศึกษาผู้ใหญ่ ก็คือการวิเคราะห์ถึง
ประสบการณ์ของผู้ใหญ่แต่ละคนอย่างละเอียด ว่ามีส่วนไหนของประสบการณ์ที่จะนามาใช้ใน
การเรยี นการสอนได้บา้ ง แล้วจงึ หาทางนามาใช้ให้เกิดประโยชนต์ ่อไป

4. ผู้ใหญ่ต้องการเป็นผู้นาตนเอง ความต้องการที่อยู่ในส่วนลึกของผู้ใหญ่ก็คือ การมี
ความรสู้ ึกตอ้ งการทจี่ ะสามารถนาตนเองได้ เพราะฉะน้ันบทบาทของครูจึงควรอยู่ในกระบวนการ
สืบหา หรือค้นหาคาตอบร่วมกับผู้เรียนมากกว่าการทาหน้าท่ีส่งผ่านหรือเป็นส่ือสาหรับความรู้
แล้วทาหน้าทปี่ ระเมนิ ผลว่าเขาคลอ้ ยตามหรือไมเ่ พียงเทา่ นนั้

5. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความแตกต่างระหว่างบุคคลจะมีเพ่ิมมากข้ึนเร่ือยๆ
ในแต่ละบุคคล เม่ือมีอายุเพิ่มมากข้ึน เพราะฉะนั้นการสอนผู้ใหญ่จะต้องจัดเตรียมการในด้านน้ี
อยา่ งดพี อ เช่น รปู แบบของการเรียนการสอน เวลาที่ใชท้ าการสอน สถานที่สอน

แนวคิดในการสอนผใู้ หญ่
แนวทางความคิดเกี่ยวกับการสอนแบบผู้ใหญ่11 เราให้ความสาคัญกับบทบาทของครู
ที่สอนผูใ้ หญว่ ่าควรจะเป็นผอู้ านวยความสะดวกเพอ่ื การเรียนรู้ บทบาทและความสัมพันธ์ระหว่าง
ผู้อานวยความสะดวกกับผู้เรียนว่าข้ึนอยู่กับทัศนคติของผู้อานวยความสะดวกรวม 3 ประการ
ท่เี ปน็ คณุ สมบัติสาคัญ คือ (๑) การให้ความไว้วางใจและความนับถือยกย่องแก่ผู้เรียน (๒) การมี
ความจรงิ ใจต่อผเู้ รยี น (๓) การมคี วามเขา้ ใจและเห็นอกเห็นใจ รวมทง้ั การต้งั ใจฟงั ผเู้ รยี นพดู

แนวทางเพอ่ื การอานวยความสะดวกในการเรยี นรู้ 10 ประการ ดังน้ี
1. ต้องเรมิ่ ตน้ ในการสรา้ งบรรยากาศภายในกลุ่มเพ่ือใหเ้ กดิ ประสบการณท์ ดี่ ีในชั้นเรยี น
2. ควรชว่ ยให้เกิดจุดมุ่งหมายท่ีชัดเจนของแต่ละบุคคลในช้ันเรียน รวมทั้งจุดมุ่งหมาย
ของกลมุ่ ด้วย
3. ควรจะดาเนนิ การเรียนการสอนไปตามความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน เพราะว่า
มีความหมายสาหรับนักศึกษาอย่างมากและถือว่าเป็นพลังจูงใจท่ีจะก่อให้เกิดผลสาเร็จทาง
การเรยี นอันสาคญั ย่งิ
4. จะต้องพยายามจัดการเกี่ยวกับแหล่งการเรียนรู้ (Resource for Learning)
ใหเ้ ปน็ ไปได้อย่างกวา้ งขวางและแลดเู ป็นเร่อื งง่ายๆ สาหรบั ผู้เรยี นดว้ ย
5. ควรจะต้องมีความเข้าใจตนเองในฐานะเป็น "แหล่งความรู้ท่ีมีความคล่องตัวและ
ยืดหยุน่ ได"้ ในการที่สมาชกิ ในกลมุ่ อาจจะสามารถนามาใชใ้ หเ้ กิดคุณประโยชน์ต่อการเรยี นรู้
6. ในการแสดงออกต่อสมาชิกในกลุ่มผู้เรียนเขาจะต้องยอมรับทั้งทางด้านเนื้อหา
วิชาการและด้านทัศนคติหรืออารมณ์ของผู้เรียน คือพยายามท่ีจะก่อให้เกิดความพอดีกัน
ทั้งสองด้านสาหรบั สมาชิกแตล่ ะคนและรวมท้ังกลุ่ม

๒๐

7. เพอ่ื ท่ีจะให้บรรยากาศในห้องเรยี นดาเนินไปด้วยดี ผู้อานวยความสะดวกสามารถช่วย
ใหเ้ กิดขนึ้ ได้ ดว้ ยการเปลี่ยนฐานะตนเองเป็นเสมือนหนึ่งผู้เรียน เช่น มีฐานะเป็นสมาชิกของกลุ่ม
โดยการรว่ มแสดงความคดิ เหน็ ไดเ้ ช่นเดียวกับผู้เรียนแต่ละคน

8. ควรจะไดเ้ ร่ิมต้นแสดงความรสู้ กึ ให้เกิดขึ้นในกลุ่มเมื่อมีความคิดเห็นแต่ไม่ใช่โดยการ
บงั คบั หรือวธิ กี ารขม่ ขูซ่ ่ึงความคดิ ที่แสดงออกมานัน้ สมาชกิ อื่นๆ อาจจะยอมรับฟงั หรือไม่รับฟังกไ็ ด้

9. ตลอดเวลาของการมีประสบการณร์ ว่ มกนั ในห้องเรยี น ผ้อู านวยความสะดวกจะต้องมี
ความว่องไวอยู่ตลอดเวลาในการแสดงออกเพือ่ การรับรู้อารมณ์ตา่ งๆ อยา่ งลึกซึ้ง

10. จะต้องพยายามรับรู้และยอมรับว่าตัวเองก็ย่อมจะมีข้อจากัดอยู่หลายประการ
ด้วยกนั

บทบาทท่ีสาคญั ของผสู้ อน
การเรียนรขู้ องผ้ใู หญจ่ าเปน็ ที่ผรู้ บั ผดิ ชอบจัดการฝกึ อบรมจะต้องเข้าใจและพยายามที่จะ
ดาเนินการต่างๆ ในการฝึกอบรมใหส้ อดคล้องกัน สรปุ ไดด้ งั นี้11
1. ผสู้ อนจะตอ้ งยอมรบั ว่าผเู้ รยี นแตล่ ะคนมคี ณุ ค่าและจะต้องเคารพในความรู้สึกนึกคิด
และความเห็น ตลอดจนประสบการณ์ของเขาด้วย
2. ผู้สอนควรพยายามทาให้ผู้เรียนตระหนักด้วยตนเองว่ามีความจาเป็นที่เขาจะต้อง
เปล่ียนพฤตกิ รรม (ทงั้ ดา้ นความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ และทศั นคต)ิ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการ
เรียนเก่ียวกับเร่ืองใดเรื่องหน่ึงและอาจประสบปัญหาอย่างใดบ้างอันเน่ืองมาจากการขาด
พฤติกรรมท่ีมุ่งหวังดังกลา่ ว
3. ควรจดั สง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพให้สะดวกสบาย (เช่น ท่ีน่ัง อุณหภูมิ แสงสว่าง การ
ถา่ ยเทอากาศ) รวมท้ังเอ้อื ตอ่ การปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างผ้เู รียนด้วยกันเองด้วย
4. ผู้สอนจะต้องแสวงหาวิธีการท่ีจะแสวงหาความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้เรียนด้วยกัน
เพอ่ื สรา้ งความร้สู กึ ไวเ้ นอื้ เช่ือใจและความชว่ ยเหลือเกือ้ กลู ซึ่งกันและกันควรพยายามหลีกเล่ียงการ
แข่งขัน
5. หากเปน็ ไปได้ผสู้ อนควรเปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รยี นมีส่วนร่วมในเร่ืองดงั นี้

1) การพิจารณาวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ ตามความต้องการของผู้เรียน
โดยสอดคล้องกับเนอ้ื หาวชิ าด้วย

2) การพิจารณาทางเลอื กในการกาหนดกจิ กรรมเพือ่ การเรยี นการสอนและวิธีการ
เรยี นการสอน

3) การพิจารณากาหนดมาตรการหรือเกณฑ์การเรียนการสอน ซึ่งเป็นท่ียอมรับ
ร่วมกันรวมทั้งร่วมกาหนดเครื่องมือและวิธีการวัดผลความก้าวหน้าเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
ทก่ี าหนดไว้ตั้งแต่แรกดว้ ย

6. ผูส้ อนจะต้องช่วยผู้เรียนให้รู้จักพัฒนาขั้นตอนและวิธีการในการประเมินตนเองตาม
เกณฑ์ที่ไดก้ าหนดไวแ้ ล้ว

๒๑

กรวยประสบการณ์ (Cone of Experience)
เอ็ดการ์ เดล (Edgar Dale 1900-1985)10 เช่ือว่าประสบการณ์ท่ีเป็นรูปธรรม จะทาให้
เกิดการเรียนรู้แตกต่างจากประสบการณ์ที่เป็นนามธรรม ดังนั้น จึงจาแนกสื่อการสอนโดยยึด
ประสบการณ์เป็นหลัก เรียงตามลาดับจากประสบการณ์ท่ีง่ายไปยาก 10 ขั้น เรียกว่า กรวย
ประสบการณ์ (Cone of Experience)
ข้ันที่ 1 ประสบการณ์ตรง (Direct Purposeful Experience) เป็นประสบการณ์ที่
เป็นรูปธรรมมากที่สุด ทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เช่น เล่นกีฬา ทาอาหาร
ปลูกพืชผกั หรอื เลีย้ งสัตว์
ขั้นท่ี 2 ประสบการณ์จาลอง (Contrived Simulation Experience) เป็นกรณีที่
ประสบการณ์หรือของจริงมีข้อจากัดจาเป็นต้องจาลองส่ิงต่างๆ เหล่าน้ันมาศึกษาแทน เช่น
หุน่ จาลอง ของตัวอย่าง การแสดงเหตุการณ์จาลองทางดาราศาสตร์
ขั้นท่ี 3 ประสบการณ์นาฏการ (Dramatized Experience) เป็นประสบการณ์ที่จัด
ขึ้นแทนประสบการณ์ตรงหรือเหตุการณ์จริงท่ีเกิดข้ึนในอดีตหรืออาจเป็นความคิด ความฝัน
สามารถเรียนด้วยประสบการณ์ ตรงหรือประสบการณ์จาลองได้ เช่น การแสดงละคร บทบาท
สมมตุ ิ
ข้ันท่ี 4 การสาธิต (Demonstration) เป็นการอธิบายข้อเท็จจริงลาดับความคิดหรือ
กระบวนการเหมาะสมกับเน้ือหาท่ีต้องการความ เข้าใจ ความชานาญหรือทักษะ เช่น การสาธิต
การผายปอด การสาธิตการเลน่ ของครูพละ
ขั้นที่ 5 การศึกษานอกสถานท่ี (Field Trip) เป็นประสบการณ์เรียนรู้ท่ีได้จากแหล่ง
ความรู้ภายนอกห้องเรียนในสภาพจริง เพ่ือเปิดโอกาสให้นักเรียนรู้หลายด้าน ได้แก่ การศึกษา
ความรจู้ ากสถานที่สาคญั เช่น โบราณสถาน โรงงานอุตสาหกรรม
ขน้ั ท่ี 6 นทิ รรศการ (Exhibition) เป็นการจดั ประสบการณใ์ ห้ผูเ้ รยี นได้รับด้วยการดูเป็น
สว่ นใหญอ่ าจจัดแสดงส่งิ ต่างๆ เช่น ของจริง หุน่ จาลอง วัสดสุ าธติ แผนภมู ิ ภาพยนตร์
ข้ันท่ี 7 ภาพยนตร์/โทรทัศน์ (Motion Picture/Television) เป็นประสบการณ์ที่ให้
ท้ังภาพเคลื่อนไหวและเสียงประกอบ แต่โทรทัศน์มีความเป็นรูปธรรมมากกว่าภาพยนตร์
เนื่องจากโทรทัศน์สามารถนาเหตุการณ์ท่ีกาลังเกิดขึ้น ในขณะน้ันมาให้ชมได้ในเวลาเดียวกันที่
เรียกว่า “การถา่ ยทอดสด” ในขณะท่ีภาพยนตร์เป็น การบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน และต้องผ่าน
กระบวนการลา้ งและตดั ตอ่ ฟิล์มกอ่ นจึงจะนามาฉายใหช้ มได้
ขนั้ ที่ 8 ภาพน่ิง/การบันทึกเสียง (Picture/Recording) เป็นประสบการณ์ท่ีรับรู้ได้ทาง
ใดทางหน่ึงระหว่างการฟังและการพูด ซึ่งนับเป็นนามธรรมมากข้ึน ได้แก่ เทปบันทึกเสียง
แผ่นเสียง ซึ่งต้องอาศัยเรื่องการขยายเสียง ส่วนภาพนิ่ง ได้แก่ รูปภาพท้ังชนิดโปร่งแสงท่ีใช้กับ
เครอื่ งฉายภาพข้ามศีรษะ สไลด์ภาพนิ่งจากคอมพิวเตอร์และภาพบันทึกเสียง ที่ใช้กับเคร่ืองฉาย
ภาพทบึ แสง

๒๒

ข้ันท่ี 9 ทัศนสัญลักษณ์ (Visual Symbol) เป็นสัญลักษณ์ที่สามารถรับรู้ได้ด้วยระบบ
ประสาทสัมผัสทางตา มีความเป็นนามธรรมมากข้ึน จาเป็นที่จะต้องคานึงถึงประสบการณ์ของ
ผเู้ รียนเป็นพ้นื ฐาน คอื แผนภูมิ ภาพโฆษณา การต์ นู แผนท่ีและสญั ลักษณต์ ่างๆ

ข้ันที่ 10 วจนสัญลักษณ์ (Verbal Symbol) เป็นสัญลักษณ์ทางภาษา เป็น
ประสบการณ์ข้ันสุดท้าย ซ่ึงเป็นนามธรรมมากท่ีสุด ได้แก่ การใช้ตัวหนังสือแทนคาพูด ได้แก่
คาพดู คาอธบิ าย หนังสือ เอกสาร แผ่นปลิว แผ่นพับ ที่ใช้ตัวอักษร ตัวเลข แทนความหมายของ
สงิ่ ต่าง ๆ นบั เปน็ ประสบการณท์ เี่ ปน็ นามธรรมมากทส่ี ุด

ทีม่ า http://aontodsaaon.blogspot.com/ ทม่ี า https://quizizz.com/admin/quiz/6084ee

2015/11/blog-post.html 855b83b4001bb1158f/-4-1-2562-120

๒๓

ทีม่ า https://sirikanya926.wordpress.com/2014/01/27cone-of-experience/

ความแตกตา่ งระหว่างความร้แู ละความเข้าใจ14
คาที่เก่ียวข้องกับความเข้าใจ เช่น ความรู้ ปัญญา ความเข้าใจ และความเข้าใจเชิงลึก
ซ่ึงทั้ง 4 คา หรอื ความเข้าใจทั้ง 4 ระดับนี้ต่างก็สาคัญกับชีวิตเรา ความหมายของความเข้าใจใน
ภาษาอังกฤษ (Understanding) การจะเข้าใจเราต้องยืนอยู่ใต้สิ่งท่ีเรากาลังทาความเข้าใจ
ช่างเป็นวิธีการทาความเข้าใจที่ดี If you want to understand something, learn to stand
under it. If you stand over it, you are over-standing. “Stand under something”
นา่ จะเปน็ คาอธบิ าย เปน็ แนวทางในการทาความเขา้ ใจทีน่ ่าสนใจ เม่ือเรายืนอยู่ใต้ส่ิงท่ีเราอยากทา
ความเข้าใจ มนั จะบงั คับให้เราต้องมองขน้ึ ไปขา้ งบน และมันจะบังคบั ใหเ้ ราหยุดสนใจสิ่งอื่นๆ และ
ใส่ใจเฉพาะสิง่ ท่อี ยขู่ ้างบนเท่านน้ั
1. ความรู้ (Knowledge) การบอกเล่า ความรู้คือส่ิงที่เราได้มาจากการอ่านหนังสือ จาก
ครูสอนในโรงเรียน ดูสื่อการสอนใน Internet เราสามารถแบ่งความรู้ออกเป็น 2 ส่วน ความรู้ท่ี
เรียกว่า Knowing-that ซ่ึงเป็นคนละอย่างกับ Knowing-how ช่องว่างหรือความแตกต่างของ
ทัง้ สองนั้นอยทู่ ่ีประสบการณ์ “Knowing-that” คอื การทร่ี วู้ า่ อะไรจรงิ และส่ิงน้ันต้องเป็นจริง เช่น
เราไมส่ ามารถบอกไดว้ ่าเรารวู้ ่า 1+1 เท่ากับ 3 เราไมส่ ามารถบอกได้ว่าเรารู้ว่าโลกน้ีแบน เพราะ

๒๔

มันไม่เป็นจริง และถ้าเรารู้ น่ันหมายถึงเราก็ต้องเช่ือสิ่งนั้นด้วย เช่น เป็นไปได้ว่าคนติดเช้ือ
Covid-19 สามารถแพรเ่ ชื้อใหค้ นอ่ืนได้มากกว่า 2 คน แตถ่ า้ เราไม่เช่อื กไ็ ม่สามารถอ้างว่ารู้เรื่องนี้
ได้ แต่ลาพังความเช่ือก็ไม่สามารถอ้างได้ว่ารู้ แต่จะต้องมีเหตุผลสนับสนุน มีหลักฐานยืนยันด้วย
“Knowing-how” คือการที่รู้ว่าทายังไง นั่นคือสามารถทาสิ่งน้ันได้ภายใต้สถานการณ์ปกติ
หากเรารู้ว่าจะสตาร์ทรถยนต์ยังไง ถ้าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น เช่น แบตเตอรี่รถยนต์หมด
เราก็คงสตาร์ทรถยนต์ได้ แต่การที่รู้ว่าทายังไงนั้น จะต้องเข้าใจความสัมพันธ์ของส่ิงที่ทากับ
ผลลัพธ์ที่เกิดข้ึนด้วย หากมีเด็กอยู่ในรถเผลอกดปุ่มสตาร์ทขณะท่ีพ่อแม่กาลังเหยียบเบรคแล้ว
เคร่ืองยนต์ทางานก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กคนนั้นรู้จักการสตาร์ทรถยนต์ การศึกษาในระบบ
โรงเรียนมักจะเนน้ ไปที่ความรูท้ ่เี รียกว่า Knowing-that อาจสอนใหเ้ ดก็ รู้เกยี่ วกบั สงิ่ ต่างๆ แต่ไม่ได้
ทาให้เด็กเข้าใจจริงๆ ดังนั้น ระบบโรงเรียนจึงสอนให้เด็กได้รู้เพียงแค่บางส่วนของความรู้เท่านั้น
Knowledge of the future grants power over the present. ในปัจจุบัน Internet ทาให้เรา
เขา้ ถงึ ขอ้ มูลต่างๆ ได้ง่ายดาย แต่การจะได้ความรู้มานั้น เราจะต้องใช้เวลาและความพยายามใน
การเรียนรจู้ ากการอ่าน การสังเกต เข้าเรียน ทาความคุ้นเคยกับหัวข้อต่างๆ หากไม่มีความสนใจ
และขาดแรงจูงใจก็ยากที่จะได้ความรมู้ า

ที่มา https://apatsarakm.blogspot.com/

2. ปัญญา (Wisdom) คนทมี่ ีปัญญาคอื คนที่มองเห็นความจรงิ ของชีวิต เห็นความท้าทาย
ความยากลาบากของการใช้ชีวิต แต่คนท่ีมีปัญญาก็ไม่ละท้ิงความหวัง ถึงแม้ส่ิงต่างๆ มันยุ่งยาก
ซับซ้อน แต่ก็ยังเดินหน้าต่อเนื่องไปด้วยใจสงบ ไม่ตื่นตระหนกกับปัญหาหรือกังวลจากความ
ไม่แน่นอน คนท่ีมีปัญญาคือคนที่รู้ว่ามันอาจเกิดเร่ืองร้ายขึ้นได้ แต่ก็ยังสงบใจ ยังใช้ชีวิตต่อไปได้

๒๕

แม้จะอยูใ่ นสภาวะไม่ปกติ ก็ยังคงรู้สึกดีในวันที่แดดออก ยังชื่นชมดอกไม้ที่แทรกตัวผ่านรอยแตก
ของกาแพงหรือต้นไม้ท่ียังคงงอกกิ่งอ่อนใหม่ขึ้นมาจากตอ คนท่ีมีปัญญารู้ว่าจะต้องพบกันวันที่
ยากลาบาก แต่ยังคงมองเห็นคุณค่าความงามได้ในทุกที่ คนท่ีมีปัญญาคือคนที่รู้ว่ามนุษย์คือลิง
ที่เพ่ิงผ่านวิวัฒนาการมาไม่นาน ก็ยังคงมีความไร้เหตุผลอยู่บ้าง บางครั้งก็ทาตัวไร้สาระ
เกิดอารมณ์แปรปรวน เกิดความต้องการท่ีขดั แยง้ กันภายใน คนท่มี ปี ัญญามสี ตริ ู้ว่าบางคร้ังเราก็ทา
ตัวไร้สาระบ้าบอไม่มีแหตุผล แต่ก็พยายามลดความบ้าน้ันลง คนท่ีมีปัญญาคือคนท่ีไม่ซีเรียส
จนเกินไป สามารถหัวเราะให้กบั เรือ่ งเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวเองทาผิดพลาด คนมีปัญญารู้ดีว่าบางครั้ง
สง่ิ ที่เราคิดว่ามนั จะเกิดขึน้ แต่สุดทา้ ยมันก็เปน็ อีกอย่าง คนที่มีปัญญาคือคนท่ีรู้ว่าไม่อาจเปล่ียนใจ
คนได้ง่าย คือคนที่มองเห็นความแตกต่างระหว่างบุคคล แต่ก็ยังมองเห็นความเหมือนร่วมกันได้
คนที่มปี ญั ญาสามารถอยรู่ ว่ มกนั กับคนอน่ื ๆ ไดท้ ้งั ที่มคี วามคิดเห็นแตกต่างกัน คนท่ีมีปัญญาคือคน
ทไ่ี ม่ด่วนตดั สนิ คนอืน่ รู้ดีว่าแต่ละคนน้ันต่างก็เครียดและพยายามทาเพื่อสนองความต้องการของ
ตัวเอง มันจงึ ดเู หมือนว่าแตล่ ะคนน้ันเห็นแก่ตัว คนท่ีมีปัญญารู้ว่าความขัดแย้งท่ีเกิดข้ึนนั้นมันเป็น
เพียงผลลัพธ์จากอีโก้ของแตล่ ะคนท่พี ยายามแยง่ ชงิ ทรพั ยากรที่ต่างเข้าใจว่ามีจากัด ไม่ได้เกิดจาก
ความตั้งใจท่ีจะเป็นคนเลว คนที่มีปัญญาสามารถให้อภัย เห็นใจคนเหล่าน้ันที่อาจพบกับความ
ยากลาบากในชวี ิตทตี่ อ้ งพบกับความผดิ หวัง คนท่ีมีปญั ญาเข้าใจและใหอ้ ภัยในความไม่รู้ของคนอ่ืน
เข้าใจว่าทาไมบางคนถึงไร้น้าใจ ทาไมบางคนไร้เหตุผล ทาไมบางคนถึงใจร้าย คนมีปัญญารู้ว่า
มีท่ีมาคนเหลา่ นน้ั อาจมีอดตี ทเี่ จบ็ ปวด คนท่ีมปี ัญญาเข้าใจคุณค่าของความม่ังคั่ง ชื่อเสียงเงินทอง
หน้าตาดีภาพลักษณ์ดีในสังคม การมีสุขภาพมีครอบครัวที่ดี มีที่อยู่อาศัยมั่นคงปลอดภัยในชีวิต
คนท่ีมีปัญญารู้ดีว่าสุดท้ายแล้วปัจจัยที่จาเป็นจริงๆ น้ันมีเพียงแค่ไม่ก่ีอย่าง เช่น อาหาร น้าด่ืม
และท่ีอยู่อาศัย หากความรู้คือพลัง ปัญญาก็จะเป็นการใช้พลังนั้นในการตัดสินใจ ใช้ความรู้นั้น
สรา้ งสรรค์หรือใชเ้ พื่อทาลาย ใช้ความรู้เปล่ียนแปลงส่ิงต่างๆ ให้เป็นไปตามความต้องการของเรา
“ปญั ญาคอื ความสามารถในการตดั สินใจโดยใช้ความรู้ท่มี ี” หากไมม่ คี วามรู้ ก็ไมเ่ กิดปัญญา เพราะ
เราจะไม่มีตวั เลอื กไมม่ พี ลงั ทีจ่ ะใชเ้ ปลย่ี นแปลงสิ่งต่างๆ หากไม่มีความรู้ ความคิดเราก็เป็นได้เพียง
ความคดิ ไม่มีทางท่จี ะทาให้เกดิ ข้นึ ได้จรงิ จะมีปัญญา เราจะตอ้ งมีความรูก้ ่อน และใช้ความรู้นั้นใน
การตัดสินใจ และต้องใช้ความกล้า ความมั่นใจในการตัดสินใจ คนจะไม่มีปัญญาหากไม่สามารถ
แยกแยะได้ว่าสิ่งไหนดีส่งิ ไหนไมด่ ี ปญั ญาชว่ ยใหเ้ ราเลอื กใช้ความรู้เพือ่ ทาสงิ่ ที่ดีและถูกตอ้

3. ความเข้าใจ (Understanding) ซีรีเบลลัม (Cerebellum) หรือ สมองน้อยท่ีอยู่
ด้านหลงั ที่คอยทาหน้าทีป่ ระสานงาน รักษาสมดุล และอกี หลายอย่างท่ีเราคาดไม่ถึง เราอาจเรียก
สมองส่วนน้ีว่าเป็น สมองส่วนสัญชาติญาณ (Intuitive brain) ในขณะท่ีความจาเพ่ือใช้งาน
(Working memory) และการเคล่ือนไหวที่เรารู้ตัวน้ันอยู่ในส่วนของสมองที่เรียกว่าซีรีบรัม
(Cerebrum) หรือ สมองใหญ่, ซีรีบรมั อยูด่ ้านหน้าของสมองและทาหน้าท่ีเก่ียวกับการเคล่ือนไหว
ท่ีเรารู้ตัวเป็นสมองส่วนท่ีทาให้แสดงออกทางความคิดและลงมือทา ในขณะท่ีเรากาลังพิมพ์
บทความน้ี สมองสว่ นซีรบี รมั ก็จะคิดถงึ คาทจี่ ะพิมพ์ ส่วนสมองซีรีเบลลัมก็จะคอยสั่งการให้นิ้วมือ
เคล่ือนท่ีไปยังตาแหน่งบนคีย์บอร์ด หากเราเกิดเปลี่ยนคีย์บอร์ดใหม่หรือย้ายตาแหน่งของคีย์

๒๖

ก็จะทาให้สมดุลถูกทาลายลง สมองส่วนซีรีเบลลัมเกิดความสับสน ถึงแม้ว่าสมองส่วนซีรีบรัม
จะรู้ดีว่าตาแหน่งใหม่น้ันอยู่ตรงไหน แต่ก็อาจต้องใช้เวลานานว่าท่ีสมองท้ังสองส่วนจะเข้าใจ
ตรงกันและประสานงานกันได้ลงตัวอีกครั้ง แม้ว่าเราจะรู้เร่ือง คิดว่าเข้าใจข้อมูลใหม่ดีแค่ไหน
แต่สญั ชาตญาณ อารมณ์และความรู้สึก สิ่งเหล่าน้ีจะไม่ได้เปล่ียนได้ภายในวันสองวัน ถึงแม้สมอง
ส่วนที่ใช้คิดจะรู้ว่าอะไรไม่ดีสาหรับเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสัญชาตญาณจะเข้าใจตรงกัน
ในการทาความเขา้ ใจนน้ั เราตอ้ งทาให้สมองสว่ นซรี ีเบลลมั และซีรีบรมั เข้าใจตรงกัน หากเราเข้าใจ
เพียงแค่ระดับของซีรีบรัม ตอนที่เราลงมือทาจริงสมองส่วนซีรีเบลลัมจะยังไม่เข้าใจ และยังทา
แบบเดิมอยู่ มนั ก็จะเกิดความขัดแยง้ ข้นึ เราคิดว่าจะทาอยา่ งหน่งึ แต่ระบบอัตโนมัติของเราดันทา
อีกอย่าง ความเข้าใจเกิดจากการลงมือทา ทาเพ่ือให้ร่างกายเราได้เรียนรู้ ให้สมองทั้งสองส่วน
เข้าใจตรงกัน หลังจากได้ลงมือทาเท่าน้ัน เราจึงจะเกิดความเข้าใจที่แท้จริงได้ เช่น ในห้องเรียน
ที่เราฟังครูสอน ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด ทฤษฏี อะไรก็ตามท่ีเราฟังแล้วรู้เร่ือง แต่เราจะยังไม่เข้าใจ
จนกวา่ จะได้เอาทฤษฏีน้ันไปปฏิบตั ิ เอาแนวคดิ วิธีการนั้นไปลองทาจริงๆ การจะเข้าใจน้ัน เราต้อง
มีทั้งความรู้และปัญญา และนาเอาท้ังสองอย่างมาลงมือทา จะต้องรู้ ต้องตัดสินใจและฝึกฝน
ทางเลอื กนัน้ หากไม่ฝกึ ฝนหรอื ลงมือทาจริงก็จะไม่เขา้ ใจจรงิ ๆ

ทม่ี า https://www.caf.co.th/article/understandingisimportant.html?PageSpeed=noscript#gref

4. ความเขา้ ใจเชงิ ลกึ (Insight) ความเข้าใจเชงิ ลกึ คือความเข้าใจในเหตุและผลท่ีมาท่ีไป
ของข้อมูล ลาพังเพียงแค่การสังเกต แค่มีความรู้ยังไม่พอท่ีจะเรียกว่ามีความเข้าใจเชิงลึก
แต่จะต้องเพียรพยายาม ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ใช้ความอดทน ในการคิดวิเคราะห์เชิงลึก
เพ่ือแปลงข้อมูลให้กลายเป็นความเข้าใจเชิงลึก ความเข้าใจเชิงลึกคือการที่เรามีความรู้ เราใช้
ปัญญาเลือกที่จะเอาความรู้มาใช้ เราลงมือทาจริง ความเข้าใจเชิงลึกเกิดจากการลงมือทาซ้าๆ

๒๗

จนเชี่ยวชาญ จนกระทั่งเราได้แง่คิดบางอย่างที่ผุดข้ึนมา ความเข้าใจเชิงลึกช่วยให้เรานาเอา
ประสบการณ์จากการลงมอื ทาไปใชใ้ นการพลกิ แพลง ทาให้เราเกดิ ความมั่นใจ เกิดความได้เปรียบ
ในอนาคต ลองนึกถงึ ตอนทเ่ี ราเรยี นรู้ทจ่ี ะว่ิง เราศึกษาวิธกี ารวิ่งทถี่ ูกต้อง เช่น ฟอรม์ การวิ่ง จังหวะ
การหายใจ เทคนิคการดริล การฝึกแบบ Polarized training ล้วนเป็นความรู้ท่ีเราศึกษาได้
เราใช้ปัญญาในการเลือกว่าจะใช้วิธีไหนในการพัฒนาการว่ิงของเราให้ดีขึ้น จากน้ันจึงเร่ิมต้น
ลงมือทา ทดลองเอาไปใช้งานจริง จากนั้นเม่ือเราลงมือทาบ่อยๆ จนเกิดความเชี่ยวชาญ
จนร่างกายเราซึมซับเอาความรู้น้ัน สมองท้ังสองส่วน ซีรีเบลลัมและซีรีบรัม ต่างก็เข้าใจตรงกัน
หลังจากนั้นเราก็จะเกิดความมั่นใจ และสามารถนาไปประยุกต์กับการทากิจกรรมอื่นๆ หรือ
แม้กระท่งั คดิ รปู แบบไดเ้ อง คิดคน้ เทคนิคและทดลองได้เอง นั่นคือความกา้ วหน้าของเราจะเพ่ิมขึ้น
แบบก้าวกระโดด “ความเข้าใจเชิงลึกคือความสามารถในการนาเอาความรู้ ปัญญา และความ
เขา้ ใจมาลงมือทาจนเกดิ เปน็ นสิ ัยหรือเกิดเปน็ ไลฟ์สไตล์ หากความรู้คอื พลัง ปัญญาคือการเลือกใช้
พลัง ความเข้าใจคือการลงมือทา สุดท้าย ความเข้าใจเชิงลึกจะเกิดขึ้นจากการทาส่ิงน้ันต่อเนื่อง
ทาให้เกิดความมั่นใจ” ดังน้ัน ก่อนจะเกิดความเข้าใจเชิงลึกนั้น จะต้องมีท้ังความรู้ มีปัญญา
มีความเข้าใจ โดยการฝึกฝนและยอ้ นกลบั ไปทบทวน ทาให้เกิดความเข้าใจเชิงลึก ทาให้เกิดความ
ต่อเน่ืองและแน่นอน หากไม่ฝกึ ฝน ไม่อดทน ไมค่ วบคมุ ตัวเอง ไม่มีวินัย ก็ยากที่จะเกิดความเข้าใจ
เชิงลึก ความเขา้ ใจเชงิ ลกึ ทาใหเ้ รามคี วามสขุ และมีความม่ันใจมากขึ้น เพราะมันคือความสามารถ
ในการฝกึ ฝนการใช้ความรู้และปญั ญาอย่างตอ่ เนื่อง มนั จะทาใหอ้ นาคตของเรามีความแน่นอนและ
เป็นไปตามที่เราตอ้ งการ ทาให้เราไมก่ ลวั ไมก่ ังวล

ท่ีมา https://sites.google.com/site/katsirinsukkthroan/katsirin

๒๘

หลักและทฤษฏกี ารส่ือสาร12
ความหมายของการสื่อสาร (๑) จอร์จ เอ มลิ เลอร์ : การสอ่ื สารเป็นการถ่ายทอดข่าวสาร
จากทห่ี นง่ึ ไปยังอีกทหี่ น่ึง (๒) จอรจ์ เกริ บ์ เนอร์ : การสื่อสารเป็นการแสดงกริยาสัมพันธ์ทางสังคม
โดยใช้สญั ลักษณ์และระบบสาร (๓) วิลเบอร์ ชแรมส์ : การสือ่ สารเป็นการมีความเข้าใจร่วมกันต่อ
เคร่ืองหมายท่ีแสดงข่าวสาร สรุปได้ว่า การถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารจากบุคคลฝ่ายหน่ึงที่เรียกว่า
“ผู้ส่งสาร (Sender)” ส่ง “สาร(Message)” ไปยังบุคคลอีกฝ่ายหน่ึงท่ีเรียกว่า “ผู้รับสาร
(Reciever)” โดยผา่ น “ช่องทางการส่ือสาร (Channel)” โดยเรยี กส้ันๆว่า SMCR

วตั ถปุ ระสงค์ของการส่ือสาร : การส่ือสารในชีวิตของแต่ละบุคคลนั้นล้วนมีวัตถุประสงค์
ท่ีแตกต่างกันออกไป และส่งผลต่อการดาเนินชีวิตได้คือ ทาให้ไม่รู้สึกโดดเด่ียว ทาให้ทราบการ
เปลยี่ นแปลงทีเ่ กดิ ข้ึนและสรา้ งความสัมพนั ธท์ างสังคม ทาใหเ้ กิดการแสดงออก ทาให้การพักผ่อน
หย่อนใจ ทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ ทาให้เกิดกาลังใจ

ประเภทของการสอ่ื สาร แบ่งออกเปน็ 7 ประเภท คอื
1. การสื่อสารภายในบุคคล (Intrapersonal Communication) การคิดหรือ
จินตนาการกับตัวเอง เป็นการคิดไตร่ตรองกับตัวเองก่อนที่จะมีการสื่อสาร ประเภทอื่นต่อไป
(การฝัน การนึกคดิ คานงึ )
2. การส่อื สารระหว่างบคุ คล (Interpersonal Communication) การที่บคุ คลต้ังแต่ 2
คนข้ึนไป มาทาการสื่อสารกันอยา่ งมวี ตั ถปุ ระสงค์ เชน่ การพดู คุย ปรึกษาหารือในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง
(พูดคุยท่ัวๆไประหว่างบุคคล 2 คน)
3. การส่ือสารภายในกลุ่มย่อย ((Small-group) Communication) การสื่อสารที่มี
บคุ คลรว่ มกันทาการส่อื สารเพอื่ ทากิจกรรมรว่ มกันแตจ่ านวนไมเ่ กนิ 25 คนเช่นช้ันเรียนขนาดเล็ก
ห้องประชุมขนาดเลก็ (การสื่อสารภายในห้องเรียน ในกลุ่มเพื่อน ท่ีทางาน!พดู งา่ ยๆ วา่ ตัง้ วง)
4. การสื่อสารกลุ่มใหญ่ (Large-group Communication) การส่ือสารระหว่าง
คนจานวนมาก (เช่น ภายในห้องประชมุ ใหญ่ โรงภาพยนตร์โรงละคร ชน้ั เรียนขนาดใหญ)่
การส่อื สารภายในองคก์ ร (Organization Communication)
5. การส่ือสารระหว่างสมาชิกภายในหน่วยงาน เพื่อปฏิบัติงานให้สาเร็จลุล่วง (การ
พูดคุยกบั เพอ่ื นรว่ มงาน การประสานงานรว่ มกัน การประชุมงาน)
6. การสื่อสารมวลชน (Mass Communication) การสอื่ สารกับคนจานวนมากในหลาย
พื้นท่ีพร้อมกัน โดยใช้สื่อมวลชน เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์
เป็นส่ือกลาง (ปัจจุบันมีส่ือโซเช่ียลมีเดีย) เหมาะสาหรับการส่งข่าวสารไปยังผู้คนจานวนมากๆ
ในเวลาเดียวกัน

๒๙

7. การสือ่ สารระหวา่ งประเทศ (International Communication) การสื่อสารระหว่าง
บุคคลท่ีมีความแตกต่างกันใน เช้ือชาติ ภาษา วัฒนธรรมการเมืองและสังคม เช่น การสื่อสาร
ทางการทูต การสื่อสารเจรจาต่อรองเพ่ือการทาธุรกิจ (การเจรจาธุรกิจ การเจรจาระหว่าง
การเมือง)

ประสทิ ธภิ าพของการสอ่ื สาร (SMCR)12
ผู้ส่งสารและผู้รับสาร (Sender and Receiver) ในตัวผู้ส่งสารและผู้รับสารเองก็มี
องค์ประกอบท่ีสามารถช่วยให้การส่ือสารประสบความสาเร็จได้ อันได้แก่ ทักษะในการสื่อสาร
(Communication skill)อันประกอบด้วยการพูด การฟัง การอ่าน การเขียนและยังรวมถึง
การแสดงออกทางทา่ ทางและกรยิ าตา่ งเช่นการใช้สายตา การยิ้ม ท่าทางประกอบ และสัญลักษณ์
ต่างการฝกึ ฝนทักษะการสื่อสาร และรู้จักเลอื กใชท้ ักษะจะช่วยส่งผลให้ประสบความสาเร็จในการ
สือ่ สารไดท้ างหน่ึง ถัดมากค็ ือทัศนคต(ิ Attitude)การมที ดี่ ที ัศนคติทด่ี ตี ่อการส่ือสาร ไมว่ ่าจะเป็นต่อ
ตนเองต่อเร่ืองท่ีทาการสื่อสาร หรือแม้กระท่ังต่อช่องทางและตัวผู้รับสารและในทางกลับกัน
ทัศนคติของผรู้ บั สารที่มีต่อองค์ประกอบต่างๆก็สามารทาให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพได้ ในทาง
ตรงกันขา้ มหากวา่ มีทศั นคติท่ีไม่ดีแล้วก็ย่อมทาให้เกิดความล้มเหลวได้เช่นกัน นอกจากน้ี ความรู้
(Knowledge) ของตัวผู้ส่งสารและผู้รับสารเองก็มีผลต่อการส่ือสาร ทั้งความรู้ในเน้ือหา
ท่ีจะสื่อสารถ้าไม่รู้จริงก็ไม่สามารถสื่อสารให้ชัดเจนหรือทาให้ผู้รับสารเข้าใจได้ ผู้รับสารเอง
หากขาดความรู้ก็ไม่สามารถทาความเข้าใจตัวสารได้ อีกด้านหน่ึงก็คือ ความรู้ในกระบวนการ
สื่อสาร ถ้าไม่รู้ในส่วนน้ีก็ไม่สามารถวางแผนทาการสื่อสารให้สาเร็จได้เช่นกัน ในด้านสุดท้ายคือ
สถานภาพทางสังคมและวัฒนธรรม (Social and Culture) สถานภาพของตัวเองในสังคม เช่น
ตาแหน่งหรือหน้าที่การงานจะมามีส่วนกาหนดเนื้อหาและวิธีการในการส่ือสาร ด้านวัฒนธรรม
ความเชือ่ คา่ นยิ ม วถิ ีทางในการดาเนนิ ชวี ติ ก็จะมีสว่ นในการกาหนดทศั นคติ ระบบความคิด ภาษา
การแสดงออกในการสื่อสารด้วยเช่นกัน เช่นสังคมและวัฒนธรรมของเอเชียและยุโรป ทาให้มี
รปู แบบการสอ่ื สารท่ีต่างกัน หรอื แมก้ ระท่งั สงั คมเมืองกับสังคมชนบทกม็ คี วามแตกตา่ งกนั
สาร (Message) ตัวสารก็คือเนื้อหา ข้อมูล หรือความคิดที่ถูกถ่ายทอดไปยังผู้รับสาร
ซึ่งจะมีองค์ประกอบอยู่ คือการเข้ารหัส (Code) จะเป็นกลุ่มของสัญลักษณ์ท่ีถูกสร้างข้ึน
เพ่ือใช้สื่อความหมาย เน้ือหา (Content) คือเน้ือหาสาระท่ีถูกถ่ายทอดไปยังผู้รับสารและ
อกี สว่ นหน่ึงก็คือ การจัดสาร (Treatment) เปน็ การเรยี บเรียงรหัส และเนอื้ หาให้ถกู ต้องเหมาะสม
ไดใ้ จความ
ชอ่ งทาง (Channel) ช่องทางและส่อื จะเปน็ ตัวเช่ือมผูส้ ่งสารและผรู้ ับสารเขา้ ด้วยกันการ
เลอื กใช้สื่อสามารถเป็นตัวลดหรืเพิ่มประสิทธิภาพการส่ือสารได้ ในการเลือกสื่อต้องพิจารณาถึง
ความสามารของสื่อในการนาสารไปสู่ประสาทสัมผัสหรือช่องทางในการรับสาร ได้แก่ การเห็น
การไดย้ นิ การสมั ผสั การได้กลิ่น การลิม้ รส

๓๐

ที่มา https://bsci2.com/

ทฤษฎกี ารส่อื สาร (Communication Theory)
การสอ่ื สารมวลชน12 เปน็ กระบวนการส่งข่าวสาร ความรู้สึกนึกคิด ไปยังคนจานวนมาก
ตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า Mass Communication, Mass หมายถึง มวลชน หรือประชาชน
ผู้รับสารทั่วไป ซึ่งมีจานวนมาก ส่วนคาว่า Communication หมายถึง การสื่อสารหรือการ
สอ่ื ความหมาย ดังนั้นความหมายโดยทั่วไปของการสื่อสารมวลชน จึงหมายถึงการส่ือสารหรือการ
ส่ือความหมายระหว่างกลุ่มบุคคล หรือองค์กรหน่ึง กับ ประชาชนท่ัวไป เป็นกระบวนการส่ือสาร
ที่มีความซับซ้อน เน่ืองจากมีองค์ประกอบที่เก่ียวข้องหลายอย่าง มีปริมาณของข่าวสารมาก
จาเป็นตอ้ งใช้เครอ่ื งมอื บุคลากร หรอื สือ่ (Media) ทม่ี ปี ระสิทธิภาพสูงเพยี งพอ ท่จี ะนาข่าวสารไป
ถึงผู้รับจานวนมาก ส่ือท่ีใช้เป็นตัวกลางในการส่งข่าวสารของการส่ือสารมวลชน จึงเรียกว่า
ส่ือมวลชน (Mass Media) สรุปว่า การส่ือสารมวลชน เป็นแบบหน่ึงของการสื่อสาร สามารถ
กระจายเรื่องราวความรู้ เปิดเผยไปสู่คนส่วนใหญ่ ซ่ึงมีลักษณะไม่เหมือนกัน และไปถึงผู้รับพร้อม
กัน มบี ทบาทสาคัญในการกาหนดแนวโนม้ ทางวฒั นธรรมของมวลชน คาว่า ” การสือ่ สารมวลชน”
และคาวา่ ” สื่อมวลชน” มคี วามหมายท่แี ตกต่างกนั คอื การส่อื สารมวลชน เป็นกระบวนการหรือ
วิธขี องการสื่อสาร ท่รี วมองคป์ ระกอบของการสอ่ื สารท้งั หมด สว่ นสื่อมวลชนนั้น หมายถึง ส่ือหรือ
ช่องทาง ทีใ่ ช้ในการส่ือสารมวลชน อันได้แก่ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร ฯลฯ
ซ่ึงเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของการสื่อสาร (ปรมะ สตะเวทิน 2526 : 126 – 127 ) การใช้
คาสองคาน้ีบางคร้งั คนทั่วไปใชใ้ นความหมายอยา่ งเดยี วกนั โดยถอื ว่า ส่ือสารมวลชนน้ัน มิใช่เพียง
สื่อหรือช่องทางในการสื่อสารเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงระบบของสื่อท้ังหมด เช่น บุคลากร

๓๑

อันไดแ้ ก่ นกั จัดรายการ ผู้สื่อข่าว นักหนังสือพิมพ์ รวมไปถึง ช่องทางของการส่ือสาร ได้แก่ วิทยุ
โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ด้วย คณะกรรมการราชบัณฑิตยสถาน ได้อนุโลมให้ใช้คาสองคานี้
แทนกันได้ (อนันต์ธนา องั กนิ ันทน์ และ เกื้อกลู คุปรตั น์ 2532 : 7)

ประเภทของสอ่ื มวลชน12
สื่อที่ใช้ในการสื่อสารมวลชน หรือที่เรียกว่า สื่อมวลชน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์
วิทยุ โทรทัศน์ และส่ิงพิมพ์ต่างๆ (ปรมะ สตะเวทิน 2526 : 127 ) ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์
พรหมวงศ์ จาแนกสือ่ มวลชนไวค้ รอบคลมุ สื่อ 6 ประเภท คอื (ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ 2525 : 270)
1. ส่ิงพิมพ์ ไดแ้ ก่ หนังสอื พมิ พ์ วารสาร นิตยสาร หนงั สือ และสิ่งตีพิมพป์ ระเภทอืน่ ๆ
2. ภาพยนตร์ ทั้งภาพยนตร์เร่ือง ภาพยนตร์สารคดี และภาพยนตร์ทางการศึกษา
บางประเภท
3. วทิ ยกุ ระจายเสียง ได้แก่วิทยุท่ีส่งรายการออกอากาศ ท้ังระบบ AM และ FM รวมไป
ถึงระบบเสียงตามสาย
4. วทิ ยุโทรทัศน์ เปน็ สอื่ ทางภาพและทางเสียงท่ีเผยแพร่ออกไป ท้ังประเภทออกอากาศ
และสง่ ตามสาย
5. สือ่ สารโทรคมนาคม เปน็ ผลจากความกา้ วหนา้ ดา้ นเทคโนโลยี มกี ารสง่ ข้อความ เสียง
ภาพ ตัวพิมพ์ สัญลักษณ์ต่างๆ ได้หลากหลาย ครอบคลุมกิจการส่ือสารผ่านดาวเทียม โทรภาพ
โทรพิมพ์
6. ส่ือวัสดุบันทึก ได้แก่เทปบันทึกเสียง เทปบันทึกภาพ แผ่นบันทึกเสียง
แผ่นบันทึกภาพ ซึ่งกลายเป็นส่ือมวลชน เพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทาให้สามารถผลิตเผยแพร่
ไดม้ ากและรวดเรว็

การพจิ ารณาวา่ การส่อื สารรปู แบบใดเปน็ การสอ่ื สารมวลหรือไม่ คอื
๑. เปน็ การสื่อสารกับมวลชน ผู้รับสารในการส่ือสารมวลชน หมายถึงประชาชนท่ัวไป
ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับการศึกษาอาชีพ ซึ่งเป็นมวลผู้รับขนาดใหญ่ มีความแตกต่างกัน และ
ไม่เปน็ ทรี่ ูจ้ กั กนั ระหว่างผูส้ ง่ กับผรู้ ับ ครอบคลุมพ้นื ท่ไี ม่จากดั ผ้รู ับขา่ วสารไม่มลี กั ษณะที่กาหนดให้
เฉพาะเจาะจงได้ว่า เปน็ คนกล่มุ ใดกลมุ่ หนึง่
2. ส่ือสารโดยผ่านทางส่ือ ข่าวสารทุกอย่างจะถูกส่งไปยังผู้รับ โดยผ่านทางสื่อหรือ
เคร่ืองมือส่ือสารที่มีลักษณะเป็นสื่อสาธารณะ คือเป็นการส่ือสารท่ีไม่เป็นส่วนตัว และมีความ
รวดเร็ว
3. ขา่ วสารเนอื้ หาหลากหลาย ต้องจัดทาให้หลากหลาย ใช้ได้สาหรับคนทุกเพศ ทุกวัย
ทุกระดบั การศึกษา และอาชพี
4. องค์กรหรอื สถาบัน งานของส่ือมวลชน เปน็ งานทีม่ ีความซบั ชอ้ น ใชบ้ ุคลาการจานวน
มาก และเกยี่ วข้องกับบคุ คลภายนอกหลายฝ่าย จึงต้องมอี งค์กรหรือหน่วยปฏิบตั ิงานทเ่ี ป็นระบบ

๓๒

บทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชน12 (๑) การเสนอข่าว (๒) การเสนอความคิดเห็น
(๓) ให้ความบันเทิง (๔) ให้การศึกษา (๕) การประชาสัมพันธ์และโฆษณา แบ่งเป็น การโฆษณา
สนิ ค้า (Advertising) การโฆษณาเผยแพร่ (Publiccity) การโฆษณาชวนเชอ่ื (Propaganda)

การส่ือสารมวลชน เป็นการส่ือสารระหว่างองค์กรท่ีทาหน้าที่เป็นส่ือมวลชน ทาการ
ส่ือสาร หรือเผยแพร่ข่าวสารไปสู่ประชาชนจานวนมาก โดยอาศัยเคร่ืองมือสื่อสารต่างๆ เช่น
ส่ิงพิมพ์ ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ ส่ือมวลชน มีบทบาทหน้าที่ในการให้ข่าวสาร เสนอความ
คิดเห็น ให้ความบันเทิง ให้การศึกษาแก่ประชาชน และเป็นช่องทางสาหรับการโฆษณา
ประชาสัมพันธ์ ส่ือมวลชนแต่ละประเภท มีคุณสมบัติแตกต่างกันในด้านต่างๆ คือ ด้านความ
รวดเร็ว ความน่าเช่ือถือ โอกาสในการให้ประชาชนได้รับข่าวสาร ช่องทางรับรู้ ปริมาณความ
สมบูรณ์ของเนื้อหา ความคงทนถาวร และการมีส่วนร่วมของประชาชน องค์ประกอบของการ
สื่อสารมวลชน ได้แก่ องค์กรสื่อมวลชน นักสื่อสารมวลชน ข่าวสาร สื่อ ผู้รับข่าวสาร สถาบัน
ควบคุม และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการสื่อสารมวลชน ทฤษฎีการสื่อสารมวลชนมีผู้ศึกษาและ
กาหนดไว้หลายทฤษฎีที่สาคัญ ได้แก่ ทฤษฎีเข็มฉีดยา ทฤษฎีการส่ือสารสองจังหวะ และทฤษฎี
กาหนดระเบียบวาระ

ท่มี า http://www.coachtawatchai.org/2015/10/pencils.html

๓๓

ความรู้เกย่ี วกบั การประชาสัมพันธ์13
ความหมายของการประชาสัมพันธ์ (๑) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
2542 (2546, 657) ได้ให้ความหมาย "การประชาสัมพันธ์ว่า "การติดต่อส่ือสารเพื่อส่งเสริม
ความเข้าใจอันถูกต้องต่อกัน" (๒) โบว่ีและทิว (Bovee and Thill, 1992 : 524) ให้นิยามการ
ประชาสมั พนั ธ์ วา่ เป็นความพยายามท่มี กี ารวางแผนล่วงหนา้ เพ่อื สร้างอิทธพิ ลต่อความคิดเห็นของ
ประชาชน โดยอาศัยหลักการที่ดีและการกระทาอย่างมีความรับผิดชอบ ด้วยวิธีการสื่อสารสอง
ทางในอันที่จะสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน (๓) มาร์สตัน (Marston, 1979 : 3)
การประชาสัมพันธ์เป็นการส่ือสารท่ีโน้มน้าวใจ โดยมีการวางแผนเพ่ือให้เกิดอิทธิพลต่อกลุ่ม
ประชาชนที่สาคัญ (๔) เบอร์เนย์ (Bernays, 1952: 3) นักประชาสัมพันธ์ท่ีนาผลงาน
ประชาสัมพนั ธเ์ ข้าสูส่ ถาบนั การศกึ ษาในสหรัฐอเมริกาเมือ่ ปี ค.ศ. 1923/2466 แสดงความคดิ ว่า
การประชาสัมพันธ์ หมายถงึ การเผยแพร่ชี้แจงใหป้ ระชาชนทราบ และชักชวนให้ประชาชนมีส่วน
ร่วม หรอื เห็นด้วยกบั วตั ถุประสงค์และวิธีการดาเนนิ งานของสถาบนั รวมท้ังเปน็ การประสานความ
คิดเห็นของกลุ่มประชาชนที่เกี่ยวข้องให้เข้ากับจุดมุ่งหมายและวิธีการดาเนินงานของสถาบัน
จากคาจากัดความท่ียกมากล่าวไว้ท้ังหมดข้างต้น สรุปความหมายของการประชาสัมพันธ์ได้ว่า
เก่ียวข้องกับคา 4 คา คอื (๑) คาว่า “สถาบัน (Institution or Organization)” หมายถึง กิจการ
ท่ีบุคคลหรือคณะบคุ คลได้จดั ทาขน้ึ โดยประสงคท์ จี่ ะดาเนินการใด ๆ ในสังคมให้ลุล่วงไปตามความ
ปรารถนาของบุคคลหรือคณะบุคคลนั้น (๒) คาว่า “กลุ่มประชาชน (The Public)” หมายถึง
กลุ่มประชาชนที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน กลุ่มประชาชน อาจแบ่งตามลักษณะต่าง ๆ (๓) คาว่า
“ความสมั พนั ธอ์ นั ดี (Good Relationship)” คอื ความเก่ียวข้องสัมพนั ธร์ ะหว่างหน่วยงาน องค์กร
และสถาบันกับกลุ่มประชาชนเป้าหมายของสถาบัน กิจการใด ๆ ของสถาบันท่ีได้จัดทาขึ้น
นับตั้งแต่เริ่มจัดต้ังสถาบัน จนกระทั่งได้ดาเนินงานใด ๆ ของสถาบัน (๔) คาว่า “ประชามติ
(Public Opinion)” เป็นความคิดเห็นของกลุ่มประชาชนท่ีมีต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึง ซึ่งมีความสาคัญต่อ
การประชาสัมพันธ์ ในแง่ของการให้ความร่วมมือ สนับสนุน เนื่องจากความรู้สึกนึกคิดของแต่ละ
บุคคลอาจจะแตกต่างกนั หรือเหมือนกันกไ็ ด้

ความสาคัญของการประชาสัมพันธ์ต่อหน่วยงาน องค์กรและสถาบัน (วิมลพรรณ
ต้ังจิตเพ่ิมความดี, 2543: 8) ดังนี้13 (1) การประชาสัมพันธ์ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้าง
ค่านิยม (2) การประชาสัมพันธ์ช่วยป้องกันรักษาช่ือเสียงของหน่วยงาน องค์กรและสถาบัน
(๓) การประชาสัมพันธ์ช่วยสร้างความเข้าใจท่ีถูกต้อง (๔) การประชาสัมพันธ์ช่วยการขายและ
การตลาด

๓๔

ประเภทของการประชาสัมพันธ์ แบ่งตามลักษณะงานกว้าง ๆ ได้ 2 ประเภท (Bly, 1993
: 15)13 คือ (๑) การประชาสัมพันธ์ภายใน (internal public relations) เป็นการสร้างความ
เข้าใจและความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มบุคคลภายในหน่วยงาน องค์กรและสถาบัน (๒) การ
ประชาสัมพันธ์ภายนอก (external public relations) เป็นการสร้างความเข้าใจและ
ความสมั พนั ธ์อนั ดีกบั ประชาชนภายนอกกลุ่มต่าง ๆ

องค์ประกอบของการประชาสมั พนั ธ์
งานประชาสัมพันธ์เป็นกระบวนการส่ือสารรูปแบบหนึ่งท่ีมีองค์ประกอบครบถ้วนตาม
องค์ประกอบของการส่ือสาร 5 ประการ ได้แก่ ผู้ส่งสาร สาร ช่องทางการส่ือสาร ผู้รับสารและ
ปฏิกริ ยิ าตอบสนอง ดงั น1ี้ 3
1. หน่วยงาน องค์กรและสถาบัน เปรียบเทียบกับองค์ประกอบของการสื่อสารก็คือ
ผู้ส่งสาร (sender) นั่นเองนักประชาสัมพันธ์จึงเป็นเสมือนผู้ส่งสารของหน่วยงาน องค์กร และ
สถาบนั
2. ข่าวสารในการประชาสัมพันธ์ ประเภทของข่าวประชาสัมพันธ์: ข่าวแจ้งให้ทราบ
(announcement release) ข่าวประกอบกิจกรรมพิเศษทางการประชาสัมพันธ์ (created news
release) ขา่ วเหตุการณ์เร่งด่วน (spot news release) ข่าวโต้ตอบเหตุการณ์ (response news
release)
3. ส่ือท่ีใช้ในการประชาสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือส่ือบุคคล
(personal media) สื่อมวลชน (mass communication media) และสื่อสมัยใหม่ (modern
media)
4. กลมุ่ ประชาชนเป้าหมายในการประชาสัมพันธ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท (วิมลพรรณ์
ต้ังจิตเพิ่มความดี, 2543 : 59) ดังนี้ (1) กลุ่มประชาชนภายใน (internal publics) คือกลุ่ม
บุคคลท่ีเป็นพนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ที่ทางานในหน่วยงาน องค์กรและสถาบันน้ัน ๆ (๒) กลุ่ม
ประชาชนภายนอก (external publics) คือกลุ่มประชาชนท่ีอยู่ภายนอกหน่วยงาน องค์กรและ
สถาบนั แบ่งออกได้อีก 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มประชาชนท่ีเก่ียวข้องกับองค์กรโดยตรง (2) กลุ่ม
ประชาชนในท้องถ่ิน คือกลุ่มประชาชนที่อยู่ในละแวกเดียวกันหรือท้องถิ่นเดียวกันกับหน่วยงาน
องค์กรและสถาบัน ต้ังดาเนินกิจการอยู่ กลุ่มประชาชนในท้องถิ่นน้ี จึงมีลักษณะเป็นชุมชนใน
ท้องถิ่น (community public) หรือชุมชนในละแวกใกล้เคียง (๓) กลุ่มประชาชนท่ัวไป คือกลุ่ม
ประชาชนอน่ื ๆ นอกเหนอื จากท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น กลุ่มประชาชนท่ัวไปน้ีจะไม่มีส่วนเก่ียวข้อง
หรอื ผูกพันกบั หน่วยงาน องค์กร และสถาบนั เหมอื นอย่างกลุ่มประชาชนภายใน

๓๕

ที่มา https://www.online-news.biz/?p=441

การสร้างความเข้าใจ
(ข้นั ที่ ๑ ความสามารถในการจาความรู้ต่างๆ ทไ่ี ด้เรียนรู้มา และ
ข้ันท่ี 2 ความสามารถในการแปลความ ขยายความในสิ่งทไ่ี ดเ้ รยี นรู้)
ผู้สร้างความเข้าใจตอ้ งมคี วามรู้ทฤษฎกี ารเรียนรู้ของบลูม ทฤษฎีการเรยี นรู้สาหรบั ผู้ใหญ่
ทฤษฎีการสอ่ื สาร และหลักการประชาสัมพนั ธ์ รวมถึงความรู้เฉพาะเรอ่ื งนัน้ ๆ

จึงจะเป็นการสรา้ งความเขา้ ใจทีเ่ กดิ ประโยชนส์ ูงสดุ

๓๖

อ้างองิ

1 วิกพิ เี ดีย สารานกุ รมเสรี. 2563. ความเข้าใจ. เข้าถึงขอ้ มูลได้จาก https://th.wikipedia.org/
wiki/ วนั ทสี่ ืบค้นข้อมูล 23 พฤศจกิ ายน 2565.
2 ธัญญารัตน์ ธีรหิรญั วัฒน์. 2565. ปตั ตานี-แม่ทัพภาค 4 ประชุมหน่วยแผนเสรมิ สรา้ งสนั ตสิ ขุ
จชต. ปี 66 เน้นกฎหมายนา และมุ่งแกป้ ัญหายาเสพตดิ ขณะท่ี ศอ.บต.เตรียมขบั เคลอ่ื นงาน
พฒั นา มุ่งเนน้ 4 เปา้ หมาย 4 โครงการ ยกระดบั คุณภาพชีวติ ประชาชนภายใต้วิถีสังคม-
พหุวฒั นธรรม. เขา้ ถึงขอ้ มลู ไดจ้ ากสานักขา่ ว กรมประชาสัมพนั ธ์ https://thainews.prd.go.th/
th/news/detail/TCATG221013125309609 วันท่สี บื ค้นขอ้ มูล 23 พฤศจกิ ายน 2565.
3 รศ.มัณฑรา ธรรมบศุ ย์. ม.ป.พ. “ทฤษฎีการเรยี นรู้ของบลูม” จิตวทิ ยาสาหรบั ครู. เข้าถงึ ข้อมลู
ได้จาก https://sites.google.com/site/psychologybkf1/home/citwithya-kar-reiyn-
ru/thvsdi-kar-reiyn-ru-khx-ngb-lum วนั ท่สี บื ค้นข้อมลู 23 พฤศจิกายน 2565.
4 นพพร โสวรรณะ. 2564. การเรียนออนไลนก์ าลงั บูม ทฤษฎขี องบลมู (bloom’s taxonomy)
ชว่ ยได้. เข้าถงึ ขอ้ มลู ได้จาก https://www.khonatwork.com/post/ วันที่สืบค้นขอ้ มลู
23 พฤศจิกายน 2565.
5 อุรชั ชา สวุ พานชิ . 2560. การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) คอื อะไร.
เข้าถงึ ขอ้ มลู ได้จากมหาวทิ ยาลัยแม่โจ้ https://erp.mju.ac.th/acticleDetail.aspx?qid=669
วันท่ีสืบค้นข้อมูล 23 พฤศจกิ ายน 2565.
6 มานัส ปันหล้า. ม.ป.พ. ความหมายของความรู้. เข้าถงึ ขอ้ มลู ได้จาก https://www.gotoknow.
org/posts/396638 วนั ที่สืบค้นข้อมูล 23 พฤศจิกายน 2565.
7 กุลวัฒน์ วโิ รจนะ. ม.ป.พ. “หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 10 รปู แบบการเรียนการสอน” การออกแบบ
ระบบการจัดการเรยี นรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต. เขา้ ถึงขอ้ มูลได้จาก https://sites.google.
com/site/networkbike3477/hnwy-kar-reiyn-ru-thi-10 วันทีส่ บื คน้ ขอ้ มลู 23 พฤศจิกายน
2565.
8 Thai School. ม.ป.พ. 54 รูปแบบการสอนสาหรบั ผสู้ อนมืออาชพี . เขา้ ถงึ ข้อมูลได้จาก
http://www.thaischool.in.th/_files_school/84101600/workteacher/84101600_
1_20210404-212903.pdf วนั ทสี่ บื ค้นขอ้ มูล 23 พฤศจิกายน 2565.
9 สวุ ฒั น์ ธรรมสุนทร. 2561. ทฤษฎกี ารเรยี นรสู้ าหรบั ผูใ้ หญ่. เข้าถึงขอ้ มูลได้จากสถาบัน กศน.
ภาคเหนอื https://northnfe.blogspot.com/2018/03/blog-post_28.html วนั ท่สี ืบค้น
ข้อมลู 23 พฤศจิกายน 2565.
10 sirikanya926. 2557. กรวยประสบการณ์ (Cone of Experience). เข้าถึงขอ้ มูลไดจ้ าก
https://sirikanya926.wordpress.com/2014/01/27C-cone-of-experience/
วนั ทสี่ ืบคน้ ข้อมูล 23 พฤศจิกายน 2565.

๓๗

11 Wisdom Max. ม.ป.พ. การเรียนรแู้ บบผ้ใู หญ่ (Adult learning) คืออะไร มหี ลกั การอยา่ งไร.
เข้าถงึ ข้อมลู ได้จาก https://www.wisdommaxcenter.com/detail.php?WP= GA3ZRjko
H9axUF5nrO4Ljo7o3Qo7o3Q วนั ทสี่ บื คน้ ขอ้ มูล 23 พฤศจิกายน 2565.

12 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลสุวรรณภูมิ. 2564. หลกั และทฤษฏีการสื่อสาร [หลักนิเทศ].
เขา้ ถึงข้อมูลได้จาก https://bsci2.com/ วันท่ีสบื คน้ ข้อมูล 23 พฤศจกิ ายน 2565.

13 บุศรนิ ทร์ หนนุ ภกั ดี (โอเล่พ้ิงค์). ม.ป.พ. “ทบทวนเรื่องประชาสมั พันธเ์ บอ้ื งต้นแบบส้ันทีส่ ุด”
ความรูเ้ กี่ยวกบั การประชาสมั พันธ์. เขา้ ถึงขอ้ มูลไดจ้ าก https://www.gotoknow.org/
posts/188676 วันทีส่ บื ค้นขอ้ มลู 23 พฤศจกิ ายน 2565.

14 Nicetofit.com. 2563. ความแตกตา่ งระหวา่ งความรู้และความเขา้ ใจ. เข้าถึงข้อมูลได้จาก
https://www.nicetofit.com/knowledge-vs-understanding/#:~:text= วันทสี่ ืบค้น
ข้อมูล 23 พฤศจกิ ายน 2565.


Click to View FlipBook Version