เอกสารอ่านเพมิ่ เตมิ
ประกอบการเรียนวชิ า ศ32101 ดนตรี 1
ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5
รวบรวมโดย
นายพีรเดช เสนไสย
ตาแหนง่ ครู โรงเรียนเมืองพลพทิ ยาคม
ยคุ สมยั และววิ ัฒนาการของดนตรไี ทย
การดนตรีของไทยเป็นแหล่งกาเนิดของศิลปะการดนตรีที่สาคัญท่ีสุดแหล่งหนึ่งใน
ภูมิภาคตะวันออก ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้พบว่าในสมัย 4,230 ปีมาแล้ว ไทยมี
อาณาจักรอยู่ตอนใต้ของประเทศจีน ไทยมีความสามารถทางดนตรีมาก เครื่องดนตรีจีนใน
ปัจจุบันบางชิน้ ไดก้ าเนิดจากไทย ต่อมาไทยไดอ้ พยพลงมาทางใต้อีก และได้มีนักดนตรี ละคร
ฟ้อนรา นาเอาศิลปะการดนตรี ละคร ฟ้อนรา จากถิ่นฐานเดิมลงมาด้วยและเผยแพร่ให้คน
ไทยด้วยกัน และในสมัยเดียวกันน้ี ชนชาวไทยท่ีอพยพมาทางใต้ในแหลมอินโดจีนก็ได้ต้ัง
อาณาจักรข้นึ ทางใต้ เรียกวา่ กรงุ สุโขทัย
เคร่ืองดนตรใี นสมัยก่อนกรุงสุโขทัย ไทยเราคงมีเคร่ืองดนตรีอยู่หลายอย่างแล้ว เช่น
เกราะ โกร่ง กรับ ฉาบ ฉิ่ง ปี่ ขลุ่ย แคน ซอ ฆ้อง กลอง ระนาด พิณ กระจับป่ี ซึง
สะลอ้ แตก่ ารประสมวงยงั ไมม่ รี ปู แบบท่ีแน่นอน สาหรับระนาดเอกมีหลักฐานยืนยันว่าแถบ
เดียนเบียนฟู สบิ สองปันนา สิบสองจุไทย มีผู้ค้นพบรางระนาดรปู ร่างเหมือนรางระนาดเอกใน
ปจั จบุ ันฝังจมลึกอยู่ในดินมีอายุนับพัน ๆ ปี ซ่ึงเป็นเคร่ืองยืนยันว่าไทยเราประดิษฐ์ระนาดเอก
เปน็ ของเราเอง มิได้เอาแบบมาจากใคร นักประวัติศาสตร์โดยมากรับรองว่าอาณาจักร “ฌ้อ”
ในตอนล่างของแม่น้าแยงซีเกียงสมัยนั้นก็คืออาณาจักรไทย พระเจ้าฌ้อปาอ๋อง ซึ่งครองราชย์
ระหว่าง พ.ศ. 316-343 ก็คือกษัตริย์ไทยน่ันเอง ในสมัยน้ันจีนได้แบบอย่างเครื่องดนตรีไป
จากชนชาติทางใต้ หรือชาติไทยนี้หลายช่วง เช่น “กลองน่านตั้งกู๊” หรือนานต้ังโก๊ ซ่ึง
หมายถงึ กลองของชาวใต้ และมีรูปรา่ งเหมอื นกลองทดั ไม่มีผดิ
กลองทัดไทยทีจ่ ีนนาไปใชน้ ้ีไดแ้ พร่หลายเข้าไปถงึ ประเทศญีป่ นุ่ ดร.อทุ ิศ นาคสวัสด์ิ
เลา่ ไว้ในหนงั สอื “สส่ี บิ แปดปขี องข้าพเจ้า” วา่ ได้พบกลองใบนี้ในเมืองโตเกียวประเทศญีป่ ่นุ
ประวตั ศิ าสตร์จีนตามทีไ่ ดอ้ ้างถึงขา้ งตน้ นี้ ท่วี ่ากษัตริย์จีนและกษัตรยิ ์ไทยสมัยนา่ นเจา้ มี
ความสัมพันธอ์ นั ดีตอ่ กนั ในส่วนทีเ่ กยี่ วกบั การดนตรี ไทยเคยสง่ ดนตรไี ทยไปบรรเลงในราช
สานกั เมอื งจนี ดว้ ย ดังข้อความตอนหนึ่งในหนงั สอื ของ ดร.อทุ ิศ ที่กลา่ วแล้วมวี า่ “ใน พ.ศ.
1345 ปรากฏตามประวตั ิศาสตรว์ า่ กษัตรยิ ไ์ ทยแหง่ อาณาจักรนา่ นเจา้ ได้ส่งวงดนตรีไทยไป
แสดงในราชสานักจนี ณ กรุงชีอานฟู เหมือนกนั ”
ข้อสันนษิ ฐานน้จี ะเป็นความจรงิ หรือไม่กต็ าม แต่เปน็ อนั แนใ่ จไดว้ า่ ในสมัยนา่ นเจ้า
ไทยเราจะตอ้ งมีเครอื่ งดนตรหี ลายชน้ิ จนเพยี งพอท่จี ะผสมวงดนตรีไทยได้เป็นอยา่ งดี
สมัยกรุงสโุ ขทัย
ตามหลกั ฐานหลักศิลาจารึกและหนังสือในสมัยนน้ั มเี ครื่องดนตรที ่กี ลา่ ว คอื กลอง
แตรงอน แตรสังข์ ตะโพน ฆอ้ ง กลองทัด ฉง่ิ บณั เฑาะว์ กรบั กังสดาล มโหระทึก
ระนาด ซอสามสาย ปี่ไฉน ส่วนเครื่องดนตรอี ืน่ ๆ ทีไ่ มไ่ ดก้ ล่าวถึงกน็ า่ จะมี เช่น แคน ซอ
ขลยุ่ ก่อนท่ีชนชาตไิ ทยจะอพยพเขา้ มาตัง้ หลักแหล่งนน้ั ดนิ แดนสวุ รรณภูมินเ้ี ป็นที่อยู่ของ
ชนชาตเิ ดิมหลายชาติ แตท่ ่ีสาคัญคือ พวกขอม มอญ และละวา้ หรือลัว้ ะ ขอมกบั มอญนนั้ มี
อานาจอยู่คนละดา้ นคอื ขอมทางตะวันออกและตอนเหนือ ส่วนทางตะวนั ตกเปน็ ของมอญ
และผลัดกันมีอานาจมากนอ้ ยตามเหตกุ ารณ์ ท้ังมอญและขอมต่างกม็ วี ฒั นธรรมของตนเอง
ขอมทิ้งรอ่ งรอยไว้ดว้ ยสถาปัตยกรรม แตม่ อญไม่เห็นเดน่ ชดั นัก แตเ่ ป็นทีเ่ ชือ่ กนั วา่ พวกมอญ
น้มี ีดนตรที ก่ี า้ วหนา้ มากแล้ว เชน่ มีระนาดและฆ้องวงใชแ้ ลว้
ชนชาตทิ ีเ่ จริญเหล่านี้ คงจะเป็นตน้ เคา้ ใหแ้ ก่ชนชาตใิ นดนิ แดนทก่ี ลายมาเปน็ พวก
ขอม มอญ ละว้า ดังกลา่ ว ในเม่ือมีความเจริญด้านอ่นื ๆ ก็น่าจะมีการดนตรีของตนเองดว้ ย
ตามสมควร และอาจจะกลา่ วโดยการสนั นิษฐานไดว้ ่า ชนชาตไิ ทยในช้ันหลงั เกดิ จากการผสม
เชือ้ สายของเผา่ ไทยเดิมทีอ่ พยพมาจากตอนกลางทวีปเอเชีย กับชนชาตเิ จ้าของถ่ินเดมิ
ศิลปวัฒนธรรมในระยะหลงั ก็ย่อมเกิดจากการผสมกลมกลนื กันของศิลปะท่ีมมี าแต่เดิม กบั
ศลิ ปะท่มี าพบใหม่ ตลอดจนมอี ิทธพิ ลของศิลปะจากชนชาติอื่นที่เขา้ มาติดตอ่ สัมพันธก์ ันด้วย
ไมว่ ่าจะโดยทางใดก็ตามจนทาใหเ้ กิดเป็นศิลปวฒั นธรรมแบบใหมข่ นึ้ รวมทงั้ ในด้านวัฒนธรรม
ดนตรดี ้วย
ทางโบราญคดีมีหลกั ฐานวา่ ก่อนท่จี ะถึงยุคสโุ ขทยั นน้ั ดินแดนสวุ รรณภมู นิ ้ีมี
ความเจริญมาเปน็ ลาดับ คอื ยุคทวาราวดี ศรีวชิ ัย ลพบรุ ี และเชียงแสน แล้วจงึ มาถงึ
สุโขทัย สมัยทวาราวดนี นั้ พวกมอญมคี วามเจริญรงุ่ เรืองมาก มีศนู ยก์ ลางอยู่แถบเมืองนครปฐม
สพุ รรณบรุ ี ดังได้กลา่ วแลว้ วา่ พวกนี้มศี ิลปะการดนตรีทีเ่ จรญิ ร่งุ เรอื งมาก สว่ นหนึ่งของการ
ดนตรพี วกนไ้ี ด้เข้ามามีอิทธพิ ลตอ่ ดนตรไี ทยด้วย
สมัยลพบรุ นี ้นั เปน็ สมยั ทพี่ วกขอมมอี านาจมากที่สดุ ตัง้ ศูนยก์ ลางแถบเมอื งลพบุรีและ
สุโขทัย พวกนี้ทิง้ รอ่ งรอยทางสถาปัตยกรรมไว้หลายแห่ง แตไ่ มม่ ีหลักฐานในด้านการดนตรีของ
พวกขอม อยา่ งไรกต็ ามคาดว่าจะมอี ะไรบางอยา่ งคล้ายอินเดยี เพราะพวกนีไ้ ด้อิทธิพลมาจาก
อินเดียมาก
ในปัจจบุ ันไม่มบี นั ทกึ ทางประวัตศิ าสตรท์ ่ีกลา่ วถึงการดนตรใี นสมัยโบราณเลย คงมแี ต่
ภาพปนู ปน้ั สมยั ทวาราวดี ซึ่งทาเปน็ รปู หญิงบรรเลงดนตรี ซึ่งแสดงให้เหน็ วา่ สมัยทวาราวดี
มกี ารบรรเลงดนตรีกนั แล้ว แตน่ ่าสงั เกตว่าในรปู ป้ันไม่มีรปู ระนาด หรือฆอ้ งวงเลย เคร่ืองดนตรี
อาจจะยงั ถูกคดิ ค้นข้ึนก็เป็นได้
ในสมยั น้ีมกี ารประสมวงดนตรีไทย 3 ประเภท คือ
1. วงขับไม้ เป็นวงดนตรีทใ่ี ช้บรรเลงประกอบพระราชพิธสี าคัญ เชน่ สมโภชพระมหา
เศวตฉัตร พธิ ีข้นึ พระอู่ เป็นตน้ นยิ มบรรเลงมาจนถงึ ปจั จุบนั
2. วงป่ีพาทยเ์ ครือ่ งหา้ เป็นวงดนตรที ีใ่ ช้บรรเลงประกอบการแสดง
3. วงเครื่องประโคม เปน็ วงดนตรที ่ีใช้สาหรบั งานพระราชพธิ ี สันนษิ ฐานวา่ มีจดุ ประสงค์เพ่อื
แสดง
พระบรมเดชานุภาพ และพระเกียรติยศแหง่ องคพ์ ระมหากษตั รยิ ์วงเครือ่ งประโคมแบง่ เป็น
วงประโคมแตรมโหระทึก วงประโคมแตรสังขก์ ลองชนะ เป็นต้น
สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา
การดนตรีสมัยกรุงศรอี ยุธยาเจริญขนึ้ กวา่ แตก่ ่อนมาก ประชาชนนยิ มเล่นดนตรีกัน
มากขนึ้ จนบางคร้งั เกินขอบเขต กระทัง่ สมยั พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2131) ต้องมี
กฎมณเทยี รบาล กาหนดไวว้ า่ “....หา้ มรอ้ งเพลงเรือ เปา่ ขลุ่ย เปา่ ป่ี สีซอ ดดี กระจบั ปี่ ดีด
จะเข้ ตโี ทนทบั ในเขตพระราชฐาน....”
แสดงใหเ้ ห็นเป็นหลกั ฐานเดน่ ชัดชาวพระนครศรอี ยธุ ยาครัง้ นนั้ มคี วามใฝใ่ จในศิลปะ
การดนตรอี ย่างมาก และนิยมเล่ากันแพร่หลาย ขนาดในเขตพระราชฐานกย็ ังไม่วายที่จะเปา่
ป่ี เปา่ ขลุ่ย ดีดจะเขเ้ พ่ือซ้อมมอื จึงเกิดกฎมณเทียรบาลดังกล่าวขน้ึ เพอ่ื ยับยง้ั ให้ทเุ ลา
เบามือในเขต หวงห้าม
เคร่อื งดนตรสี มยั อยุธยาก็คอื เคร่อื งดนตรที เ่ี ล่นกันมาคร้ังกรงุ สุโขทัยน่ันเอง แต่มวี ิวัฒนาการดขี ึ้น
ทั้งในด้านรปู ร่างและการประสมวงดนตรี วิธบี รรเลงก็คงประณีตขน้ึ กวา่ แต่กอ่ นกับมีเครอื่ งดนตรี
บางชนิดเพ่ิมข้นึ เครอ่ื งดนตรที ่มี ีหลักฐานวา่ บรรเลงกนั ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ไดแ้ ก่ ขลุ่ย จะเข้
โทน ทบั ซออู้ ซอด้วง และซอสามสาย เครือ่ งดนตรีทเ่ี พิ่มเข้ามานเ้ี ชื่อกันว่า มีอยแู่ ลว้ แตส่ มัย
สุโขทัยแตไ่ มไ่ ด้กลา่ วถึง เพ่ิงจะมกี ารกลา่ วเป็นลายลักษณอ์ ักษรในสมัยน้ี เช่น ขลุ่ย ท่ไี ด้
สนั นษิ ฐานไวแ้ ลว้ ว่า มกี ารบรรเลงกนั มาต้ังแต่สมยั ก่อนทจี่ ะเข้ามาตง้ั หลักแหลง่ ในสวุ รรณภูมิน้ดี ว้ ย
ซ้าไป ดนตรีไทยในสมยั อยธุ ยาส่วนใหญย่ งั คงได้รบั อิทธพิ ลมาแต่ครงั้ สุโขทัยและมกี ารเพมิ่ เติมบางสิง่
เข้ามา กลา่ วคอื วงดนตรไี ทยในสมยั อยุธยา มที ัง้ การบรรเลงพณิ วงขบั ไม้ วงปีพ่ าทย์ มโหรี
เคร่อื งสาย เคร่อื งประโคม เปน็ ต้น
วงปพี่ าทยใ์ นสมัยอยุธยา ยงั คงเป็นวงปพ่ี าทยเ์ ครอ่ื งหา้ อย่างเบาสาหรบั ละครมโนราหห์ รือละคร
ชาตรขี องชาวใต้ และวงปีพ่ าทย์เคร่ืองหา้ อย่างหนักสาหรบั บรรเลงประกอบการแสดงละครนอกและ
ละครใน ซง่ึ เดมิ นนั้ นยิ มใชว้ งปพ่ี าทยเ์ คร่ืองห้าอย่างเบา ตอ่ มาละครนอกและละครในนต้ี อ้ งบรรเลง
เพลงหน้าพาทย์และเพลงร้องทที่ านองรวดเร็วขน้ึ ตามเรื่องราว จงึ เปล่ียนจากป่พี าทย์อย่างเบาเป็นวง
ป่ีพาทย์เคร่อื งห้าอย่างหนัก เคร่อื งดนตรีในวงป่ีพาทยเ์ ครื่องหา้ อยา่ งหนักจงึ เพมิ่ ระนาดเอก เขา้
มาเพื่อสะดวกกบั การบรรเลงเพลงประกอบละครนอกและละครใน เครื่องกากบั จงั หวะในวงปีพ่ าทย์
น้นั นอกจากตะโพนและกลองทดั แลว้ ได้นาเอากลองแขก มาตแี ทน โทน ทบั และรามะนา
เม่ือละครมที ่าร่ายราเฉพาะ เช่น ราเพลงแขก ดังนั้นวงปี่พาทยเ์ ครื่องห้าในยคุ นี้จึงมีระนาดเอก
และกลองแขกเพิม่ เข้ามา
วงมโหรี เดมิ ใช้ผ้ชู ายบรรเลงลว้ น 4 คน สาหรับดีดพณิ หรอื กระจับป่ี สซี อสาม
สาย ตีโทน(ทบั ) และนกั รอ้ งพร้อมตีกรบั พวงเปน็ วงมโหรีเคร่ืองสี่ ตอ่ มาในสมยั อยธุ ยามีผู้หญิง
นิยมเลน่ กนั มาก และกว้างขวางกวา่ ผู้ชาย โดยนาเอารามะนา มาตีคู่กบั โทนหรอื ทบั ใช้ขลยุ่ เปา่
ดาเนินทานองเพลงพร้อมกับเครอื่ งดีดและเครอื่ งสี จึงเรียกเป็น มโหรเี ครื่องหก
คนไทยในสมัยอยธุ ยาโดยทัว่ ไปมอี ปุ นสิ ัยรักและนยิ มการฟงั ดนตรีเล่นดนตรียามมี
เวลาว่างเสรจ็ ธรุ การงานมกั จะนาเครอ่ื งดนตรีทห่ี างา่ ยและสะดวก นาติดตวั มารวมวงกนั ขับรอ้ ง
พรอ้ มเลน่ เพื่อผ่อนคลายให้อารมณ์เพลดิ เพลนิ ซ่งึ นกั ดนตรีเหล่านีจ้ ะนาเครื่องสาย เชน่ ซอดว้ ง
ซออู้ จะเข้ มาดดี และสีใหเ้ ป็นเสยี งดนตรีรวมกนั เปน็ วงดนตรปี ระเภท เครอ่ื งสาย อยา่ ง
แพรห่ ลายในสงั คมและชมุ ชนสมยั อยุธยา
บทเพลงสาหรับบรรเลงดนตรใี นสมยั นี้ จึงมหี ลายประเภทตามการแสดงมหรสพ
นานาชนิดในยุคนี้ ท้งั เพลงโหมโรง เพลงหน้าพาทย์ เพลงสองช้ัน และเพลงชั้นเดียว ในช่วง
ปลายสมยั อยธุ ยา มีการนาเอาเพลงมาแตง่ ขยายเปน็ อัตราสามชน้ั สาหรบั เพลงตระโหมโรง เช่น
“ตระจอมศรี” “ตระหญา้ ปากคอก” “ตระมารละม่อม” “ตระเชิงกระแชง” ซง่ึ ปรากฏอยใู่ นตารา
โบราณ สานวน สมัยอยธุ ยา ส่วนเพลงขับรอ้ งในสมยั อยุธยานยิ มเกี่ยวกับเพลงขบั กลอ่ มการขับไม้
ขับรอ้ งเพลงสองช้ันเปน็ เพลงมโหรี เพลงสักวา เพลงภาษาตา่ ง ๆ เข้ามาผสมอยูบ่ ้างแลว้ ตาม
เครอื่ งดนตรีที่นามาใช้ตามวงดนตรีตา่ ง ๆ
สว่ นวงเครอื่ งประโคมสาหรับพระราชพิธมี พี รอ้ มท้ังบัณเฑาะว์ สังข์ แตร ป่ีไฉน
ปช่ี วา กลองชนะ และมโหระทกึ ตามท่มี กี ลา่ วในกฎมณเฑียรบาล วา่ ด้วยพระราชพธิ ีตลุ าภาร ว่า
“...พลเทพถอื พณิ วงั ถอื ดอกหมาก พระยมราชถอื แพนไชย ขนุ ศรีสังกรเป่าสงั ข์ พระอนิ ทโรตี
อินทเภรี พระนนทิเกษตีฆอ้ งไชย ขุนดนตรีตโี หรทกึ …”
ในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา การดนตรเี จรญิ รุ่งเรืองอย่างมาก ประชาชนมีความนยิ ม
และความสามารถในการบรรเลงดนตรอี ยา่ งย่งิ มีการปรับปรงุ เคร่อื งดนตรปี ระเภทต่าง ๆ และ
คดิ ค้นเพิม่ เติม จนเกดิ การประสมวงดนตรแี บบใหม่ ดงั นี้
1. วงมโหรีเครอ่ื งส่ี เปน็ การปรับปรงุ วงขบั ไม้ของเดมิ ในสมัยกรุงสุโขทยั คอื รวมเอาการบรรเลง
พณิ เข้ามาไวด้ ้วยกัน แล้วเปลี่ยนจากการไกวบัณเฑาะว์มาเป็นการตีโทน เน่ืองจากโทนสามารถ
ควบคุม และทาจงั หวะได้ดกี วา่
2. วงเคร่อื งสาย สันนษิ ฐานว่าอาจมกี ารบรรเลงรวมกนั เป็นวงทุกเครื่องมือ หรือไม่ครบก็ได้
3. วงมโหรเี ครื่องหก มีวิวฒั นาการมาจากวงมโหรีเครอื่ งสี่ โดยเพิม่ เครือ่ งดนตรีเขา้ ไปอีก 2
ชนิด คือ ขลยุ่ รามะนา
4. วงป่พี าทย์เครื่องหา้ อย่างเบา มวี ิวัฒนาการมาจากวงป่ีพาทย์เครอ่ื งหา้ สมัยกรุงสุโขทัย นิยม
ใชบ้ รรเลงสาหรับประกอบการแสดงโนรา หรือหนังตะลงุ ของภาคใต้
5. วงปพี่ าทย์เคร่ืองห้าอยา่ งหนกั มวี ิวัฒนาการมาจากวงป่ีพาทย์เครอื่ งห้าสมยั กรุงสโุ ขทยั
เชน่ เดยี วกนั นิยมใช้บรรเลงสาหรบั ประกอบการแสดง หรือประกอบพิธกี รรมตา่ ง ๆ
6. วงปี่พาทยน์ างหงส์ เปน็ การนาวงป่ีพาทย์เครือ่ งหา้ มาเปลี่ยนแปลงเครื่องดนตรี 2 ชนดิ คือ
ป่แี ละกลอง
7. วงกลองแขก แบ่งตามลักษณะการบรรเลงในโอกาสตา่ ง ๆ ดงั น้ี
7.1 บรรเลงในขบวนแหพ่ ระบรมศพของพระศพเจา้ นายในราชสานักเครอื่ งดนตรี
ประกอบดว้ ย กลองมอญ ปี่ชวา ฆ้องโหมง่
7.2 บรรเลงในการนาขบวนพยุหยาตรา เครื่องดนตรปี ระกอบด้วย กลองแขก ป่ชี วา ฆ้อง
โหม่ง
7.3 บรรเลงในงานพธิ ีศพท่วั ไป เครอ่ื งดนตรีประกอบด้วย กลองมอญ ป่ีชวา ฆ้องโหมง่
สมยั กรุงรัตนโกสนิ ทร์
สมยั นมี้ ีการเพ่ิมเคร่ืองดนตรีข้ึนในวงดนตรีบ้างบางชนิด โดยนาเอาเคร่ืองท่ีมีอยู่แล้ว
มาประสมเข้ากม็ ีสร้างเครื่องดนตรเี พมิ่ เติมขึ้นใหม่กม็ ี เชน่ ในสมยั รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช ครูดนตรีได้เพ่ิมกลองทัดขน้ึ ในวงปี่พาทยอ์ ีกลูกหนงึ่ เดิมทีเดียววงปี่พาทย์
มกี ลองทัดเพียงลูกเดียว ลูกท่ีเพ่ิมขึ้นจะมีเสียงต่างกันออกไปทาให้เกิดเป็นเสียงสองเสียงข้ึน คือ
เสียงสูงตีดัง “ตูม” กับเสียงต่าตดี งั “ตอ้ ม” เรียกลูกทีม่ ีเสียงสูงวา่ ตวั ผู้ เรียกลูกท่ีมีเสียงต่าว่า
ตวั เมยี กลองทดั ทเี่ พิ่มเป็นสองลูกนยี้ ังนยิ มใช้กันมาจนปัจจุบนั นี้
สมยั พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั มีการใช้ “กลองสองหน้า” เพม่ิ ข้ึนใน
วงปี่พาทย์ เพราะได้มีการบรรเลงปี่พาทย์ประกอบเสภาข้ึน แต่เดิมขั้นการขับเสภาไม่มีสิ่งใด
ประกอบนอกจากกรับเสภา ต่อมาเห็นว่าการขับเสภาน้ันเหนื่อยมากไม่มีเวลาพัก จึงทรงพระ
กรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้นาวงปพี่ าทยเ์ ข้ามาประกอบในการขับเสภา
ในรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจา้ อยู่หัว ได้มกี ารประดิษฐร์ ะนาดทมุ้ ข้ึนเพื่อให้
เป็นคู่กับระนาดเอก โดยทาตามแบบระนาดเอกของเดิม แต่ในลูกระนาดบางกว่าแต่ใหญ่กว่า
เพื่อใหเ้ กดิ เสียงทมุ้ ตา่ แลว้ บรรเลงระนาดท้มุ นี้ให้มลี ีลาผิดแปลกไปจากระนาดของเดิม ซ่ึงเปลี่ยน
มาเรียกเป็นระนาดเอก ลีลาการบรรเลงระนาดทุ้มนั้นให้มีลีลาที่หยอกล้อไปกับระนาดเอก
บางคร้งั ตีลา้ หน้า บางครง้ั เยือ้ งไปหลังมีทานองทเี่ หมอื นเป็นตัวตลกประจาวงปพ่ี าทย์
ในรัชสมยั ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การดนตรีเจริญแพร่หลายข้ึน
กวา่ แต่กอ่ นมาก มีวงป่ีพาทย์ และวงมโหรี เกิดขึ้นมากมาย เพลงสามชั้นได้รับความนิยมมาก
ข้นึ มีการดัดแปลงเพลงสองช้ันของเก่ามาทาเปน็ สามชั้นมากข้นึ ท่ีแต่งขึ้นใหม่เป็นเพลงสามช้ันก็
มี การนาเพลงสองชั้นของเก่ามาทาเป็นสามชั้นน้ัน โดยมากครูจะยักเย้ืองลูกเล่นกลเม็ดพราย
ซุกซ้อนซ่อนเง่ือนงาเอาไว้ไม่ให้รู้ว่าเอามาจากเพลงใด เพื่อผลในการประชันวง ดังเพลงสามชั้น
บางเพลงจงึ ไมท่ ราบว่ามาจากเพลงอะไร
สมัยรัชกาลท่ี 5 ไดม้ ีการคดิ วิธปี ระสมวงดนตรขี นึ้ ใหมอ่ กี แบบหน่ึง คือ “ปี่พาทย์ดึก
ดาบรรพ์” ซ่ึงเปน็ พระดาหริของ สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟา้ กรมพระยานรศิ รานุวดั ติวงศ์
ได้ทรงปรับปรุงขึ้นเพื่อประกอบการแสดงท่ีท่านเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน
กุญชร) ได้ประดษิ ฐ์ขนึ้ คือ ละครดกึ ดาบรรพ์ ซึ่งดูจะไดค้ วามคดิ มาจากโอเปร่า (Opera) ของ
ฝรง่ั
สมยั รัชกาลท่ี 6 การบรรเลงดนตรนี ยิ มร้องรับเปน็ เพลง
“เถา” กนั อย่างแพร่หลาย ก่อนหนา้ นอี้ าจมีบรรเลงกนั บา้ งแลว้ ก็ได้
แต่มานยิ มกันมากในสมัยนี้ เพลงเถานัน้ อาจต่อดว้ ยลกู บทท้ายเพลง
หรอื ไม่กไ็ ด้ เคร่อื งดนตรที ่ปี ระดิษฐ์ขนึ้ ใหม่ในสมยั นี้ก็คือ “อังกะลุง”
ซง่ึ ประดิษฐ์ข้นึ โดยครดู นตรีทม่ี คี วามสามรถยอดเยย่ี มผู้หน่ึง คอื
“หลวงประดษิ ฐ์ไพเราะ” (ศร ศลิ ปะบรรเลง) โดยได้แบบอยา่ งมาจาก
ชวาแตไ่ ดด้ ดั แปลงให้มี 7 เสยี ง (ของเดิมมี 5) และได้จัดให้เขยา่ คนละ
2 เสยี ง (โดยเขยา่ 2 มอื มือละเสยี ง) แทนคนละเสยี งของเดมิ ซง่ึ เขยา่
อนั เดยี ว 2 มือ นอกจากนน้ั ยงั ไดน้ าเพลงจากชวามาดัดแปลงเป็นเพลงไทย
ดว้ ย เชน่ เพลงยะวา เพลงโหมโรงบูเซน็ ซอร์ค และสะมารงั เปน็ ต้น
ในสมยั นีม้ กี ารประสมวงดนตรปี ระเภทต่าง ๆ ดังนี้
1. วงป่พี าทย์เครอ่ื งห้า มกี ารเพ่ิมกลองทัดเข้าไปอีก 1 ลูก ในสมัยรัชกาลที่ 1 แล้วยึดถือแบบ
แผนจนถึงปัจจบุ ัน
2. วงปี่พาทยเ์ สภา เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลท่ี 2 เป็นวงปี่พาทย์ที่ใช้กลองสองหน้ามากากับจังหวะ
หนา้ ทบั แทนตะโพน และกลองทดั มจี ุดประสงคเ์ พอื่ นามาบรรเลงร่วมกับการเล่นเสภา
3. วงป่ีพาทยเ์ ครื่องคู่ เน่อื งดว้ ยในสมัยรัชกาลท่ี 3 มีผู้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีเพ่ิมข้ึนอีก 2 ชนิด
คือ ระนาดทมุ้ และฆอ้ งวงเล็ก จดุ ประสงคเ์ พ่อื นาไปบรรเลงให้เขา้ คู่กับเครอื่ งดาเนินทานองใน
วงป่ีพาทยเ์ คร่อื งหา้ ที่มอี ยู่เดิม
4. วงปีพ่ าทยเ์ ครื่องใหญ่ เป็นวงทีเ่ กิดจากวงปีพ่ าทย์เครอื่ งคู่ โดยการเพม่ิ ระนาดเอกเหลก็ และ
ระนาดทุ้มเหลก็ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระป่ินเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมัยรัชกาลท่ี 4) ทรงประดิษฐ์
ข้นึ นอกจากน้ี บางวงยงั ได้เพ่ิมกลองทัดเป็น 3 ใบบ้าง 4 ใบบ้าง ส่วนฉาบใหญ่ นาเข้ามาใช้
ในวงปพี่ าทยใ์ นสมัยรัชกาลที่ 5
5. วงป่ีพาทยม์ อญ เปน็ วงดนตรีไทยที่ไดร้ บั อิทธิพลทางด้านเครอ่ื งดนตรมี าจากชนชาตมิ อญ
แบ่งออกได้เปน็ 3 ประเภท ดงั น้ี
5.1 วงป่พี าทย์มอญเคร่อื งห้า
5.2 วงปพ่ี าทยม์ อญเครื่องคู่
5.3 วงป่ีพาทย์มอญเครอื่ งใหญ่ เปน็ วงทเ่ี กดิ จากวงป่พี าทย์มอญเครื่องคู่ โดยการเพิ่ม
ระนาดเอกเหลก็ และระนาดทุ้มเหลก็ เขา้ ไปในวง
6. วงป่ีพาทย์ไมน้ วม เป็นวงปี่พาทย์ทใ่ี ชไ้ มต้ ีระนาดและฆอ้ งวงเปลี่ยนจากไม้แข็งเป็นไมน้ วม คือ
หวั ไม้ที่ใชต้ ีจะพันดว้ ยผ้าและดา้ ยรอ้ ยหลายๆ รอบใหแ้ นน่ เม่อื ใช้ตีจะมเี สียงนุม่ นวล
ประกอบ ด้วย เครอ่ื งดนตรเี ช่นเดยี วกบั วงปพี่ าทย์ (ไมแ้ ข็ง) เครื่องหา้ เคร่อื งคู่ และเครอื่ งใหญ่
เพยี งแตเ่ พิ่มซออู้ 1 คนั ใชข้ ลุ่ยเพยี งออแทนปีแ่ ละใชก้ ลองแขก 1 คู่ แทนตะโพนและกลองทัด
7. วงป่ีพาทยด์ ึกดาบรรพ์ เปน็ วงปพ่ี าทยท์ ่ไี ดร้ ับอทิ ธพิ ลมาจากวฒั นธรรมตะวันตกมีต้นเคา้ สืบ
เนื่องมาจากละครดึกดาบรรพ์ ซึ่งเจา้ พระยาเทเวศรว์ งศว์ วิ ฒั น์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร) และ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ รว่ มกันปรับปรงุ ขน้ึ โดยอาศัย
แนวละครอปุ รากร (Opera) ของตะวนั ตกเขา้ มาประกอบ วงปพี่ าทย์นไ้ี ดช้ ือ่ ตามโรงละครซึ่ง
เจา้ พระยาเทเวศรว์ งศ์วิวฒั นต์ งั้ ชอ่ื ว่า “โรงละครดกึ ดาบรรพ์” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจา้ ฟ้า
กรมพระยานรศิ รานวุ ัดติวงศ์ ไดท้ รงคัดเลอื กเคร่ืองดนตรีที่มเี สยี งนุม่ นวลประสมเข้าดว้ ยกนั
8. วงเครอื่ งสาย เป็นวงดนตรที ป่ี ระกอบดว้ ยเคร่อื งดนตรที ใี่ ช้สายเป็นต้นกาเนิดของเสยี งเป็น
หลกั คอื เครอ่ื งดีด และเครอื่ งสี มจี ดุ ประสงค์เพ่อื การขับกล่อมเปน็ หลกั สามารถแบ่งประเภท
เพลงได้ดังนี้
8.1 วงเครอื่ งสายเครอื่ งเดียว
8.2 วงเครอ่ื งสายเครอื่ งคู่
8.3 วงเครื่องสายผสม เปน็ วงเคร่ืองสายที่นาเอาเคร่อื งดนตรีตา่ งชาติหรือที่
นอกเหนือไปจากวงเคร่อื งสายเข้ามาร่วมบรรเลงด้วย การเรียนชอื่ วงนนั้ นยิ มเรยี กชื่อตามเคร่ือง
ดนตรีที่เขา้ มารว่ มบรรเลง เช่น นาเอาขมิ เขา้ มารว่ มบรรเลงก็เรยี กวา่ วงเครือ่ งสายผสมขมิ
นาเอาออรแ์ กนเขา้ มาร่วมบรรเลงก็เรียกวา่ วงเคร่ืองสายผสมออรแ์ กน เป็นตน้
8.4 วงเคร่อื งสายปชี่ วา เป็นวงท่ีเกดิ จากการประสมวงระหว่างวงเคร่อื งสายกับวงกลองแขก
ในสมยั รัชกาลที่ 4 โดยเพิ่มปชี่ วา 1 เลา เปลย่ี นจากขล่ยุ เพียงออเป็นขลยุ่ หลบิ และเปลย่ี น
โทน-รามะนา เปน็ กลองแขก
9. วงมโหรี เป็นวงดนตรีทเ่ี กิดจากการประสมระหว่างเคร่ืองดนตรีประเภทดีด สี ตี เปา่
นยิ มนามา บรรเลงเพอ่ื การขบั กล่อมมากกวา่ การแสดง นอกจากวงมโหรีเครอ่ื งสี่ และเคร่อื งหก
ทม่ี ีในสมัยกรุงศรีอยุธยาแลว้ วงมโหรียังได้มีการพัฒนาวงขึน้ มาเปน็ ลาดบั ดงั น้ี
9.1 วงมโหรเี ครอ่ื งเด่ยี ว
9.2 วงมโหรีเครือ่ งคู่
9.3 วงมโหรเี คร่อื งใหญ่ เป็นวงท่เี กิดจากวงมโหรเี ครอ่ื งคู่ โดยการเพม่ิ ระนาดเอกเหล็ก และ
ระนาดท้มุ เหล็กเข้าไปในวง
10. วงเคร่ืองประโคม การประโคมแตรและมโหระทกึ ยังยดึ รูปแบบและแบบแผนท่ีได้สบื ทอด
มาต้ังแต่ครง้ั สมยั กรุงสุโขทัย สว่ นการประโคมแตรสงั ขแ์ ละกลองชนะในปจั จบุ ัน ไดม้ ีการพฒั นา
รูปแบบการประสมวง โดยเพม่ิ จานวนเคร่อื งดนตรีในวง ดังนี้
สังข์ 4 ตัว
แตรงอน 32 ตวั
แตรสังข์ 20 ตวั
ป่ี 1 ตัว
กลองสองหน้า 2 ตวั
กลองชนะเงิน 20 ตวั
กลองชนะทอง 20 ตัว
กลองชนะเขียวลายเงิน 20 ตัว
20 ตวั 1
กลองชนะแดงลายทอง
ทมี่ า : http://www.siam-eminent.th.
http://www.culture.go.th
2 2551