การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 1
โดยการจดั การเรยี นรูแ้ บบเพื่อนช่วยเพ่อื น วชิ าภูมิศาสตร์
เรือ่ ง เครื่องมือทางภูมศิ าสตร์
อณาวลิ ลมิ้ สกลุ บริสทุ ธ์ิ
โครงการเสนอบัณฑติ นิพนธ์น้เี ป็นส่วนหนง่ึ ของการศึกษาตามหลกั สตู รครุศาสตร์บณั ฑิต
สาขาสังคมศกึ ษา
ปีการศึกษา 2565
มหาวิทยาลยั ราชภัฏบ้านสมเด็จเจา้ พระยา
โครงการเสนอบัณฑติ นิพนธ์
หัวขอ้ เรือ่ ง การพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1
โดยการจดั การเรียนรู้แบบเพือ่ นชว่ ยเพอ่ื น วิชาภมู ศิ าสตร์
เรอื่ งเครื่องมอื ทางภมู ศิ าสตร์
อาจารย์นิเทศ อาจารย์ อาทติ ย์ อนิ ธาระ
อาจารยท์ ่ีปรึกษา รศ.ดร.วิทยา วสิ ูตรเรืองเดช
เสนอโดย นายอณาวิล ลม้ิ สกลุ บรสิ ทุ ธ์ิ
รหสั ประจำตัว 6321126048
หลกั สตู ร ครุศาสตรบ์ ณั ฑิต
สาขา สงั คมศกึ ษา
ปีการศกึ ษา 2565
สารบญั หนา้
บทที่ 1-5
1
1. บทนำ 3
ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา 3
วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย 3
สมมุติฐานของการวจิ ยั 4
ขอบเขตของการวจิ ัย 4
นิยามศัพท์เฉพาะ 4
กรอบแนวคิดของการวจิ ัย 6-39
ประโยชนท์ ีไ่ ดร้ บั จากการวิจัย 7
16
2. เอกสารและงานวิจัยท่เี กยี่ วขอ้ ง 27
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 37
เทคนิคการสอนแบบเพ่ือนชว่ ยเพ่ือน 40-44
ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น 40
งานวิจยั ท่เี ก่ยี วขอ้ ง 41
42
3. วิธีการดำเนนิ การวจิ ยั 42
กรอบแสดงขั้นตอนการดำเนนิ การวิจยั
แบบแผนการวิจัย
ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั
สารบญั (ตอ่ ) หนา้
บทที่
43
การเก็บรวบรวมข้อมูล 44
สถติ ิท่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู 44
สรุปผลการวจิ ยั 45
บรรณานกุ รม
บทท่ี 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา
รายวิชาการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม เป็นวิซาในหมวดวิชาศึกษาทั่วไป แผนกสังคมศาสตร์และ
มนษุ ยศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายของรายวชิ า เพื่อเสรมิ สร้างแนวความคิดเจตคติทถี่ กู ตอ้ งในการดำรงชวี ติ การอยู่ร่วมกัน
ในสังคม ตลอดจนวิธีการทำงานกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเอาหลักเกณฑ์เทคนิควิธีไปประยุกต์ใช้ใน
การดำรงชวี ติ และการประกอบสัมมาชีพ เพอื่ พัฒนาพฤตกิ รรมและลักษณะนิสัยในการทำงานของนกั ศึกษาให้เป็น
ผู้นำ ผู้ตามท่ีดี ให้เป็นผู้มีคุณสมบัติด้านคุณธรรม จริยธรรม จรรยาวิชาชีพ ตลอดจนมีระเบียบวินัยในชีวิตและ
สังคม จากการสังเกตพฤติกรรมและวัตผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่ผา่ นมา พบว่านักศึกษามีปญั หาใน
เร่อื งของความแตกต่างในการเรียนรู้ การแสดงความคิดเห็น การไมส่ นใจเรียนเทา่ ที่ควร อันจะส่งผลให้เกดิ ข้อจำกัด
ในการเรียน อาทิเช่น ผลการเรียนไมด่ ีเท่าที่ควร ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นในการเรียนการสอน ซึ่งสอดคล้องกบั
การปฏิรูปการศึกษาท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญนั้น ได้ส่งเสริมให้ผู้เรยี นได้มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างเตม็
ศกั ยภาพ
สำหรับบุคคลโดยทั่วไปแล้ว เมื่อถูกถามถึงเนื้อหาของวิชาภูมิศาสตร์ที่ศึกษากันอยู่มีน้อยคนนักที่ไม่
สามารถตอบ ได้ว่า เนื้อหาที่เป็นส่วนประกอบของวิชาภูมิศาสตร์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร แต่เมื่อถูกถามถึง
เนื้อหาส่วนประกอบที่เป็นศูนย์กลางและเป็นเป้าหมายสำคัญที่นักภูมิศาสตร์ต้องการบรรลุถึงแล้ว มีน้อยคนอีก
เชน่ เดียวกนั ที่สามารถตอบคำถามนี้ได้ แม้นักศกึ ษาที่เลอื กเรียนวิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาเอกในระดับปริญญาตรีข้ึน
ไปในมหาวิทยาลยั ท่ีมีการสอนวชิ าภูมศิ าสตรข์ องประเทศไทย กม็ ีอยเู่ ป็นจำนวนไมน่ อ้ ยที่ถูกขัดรวมอยู่ในกลุ่มคน
ประเภทหลงั น้ดี ว้ ย
ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาของวิชากูมิศาสตร์ของคนทั่วไปมีความไม่สอดคล้องกันกับเนื้อแท้ของวิชา
ภูมศิ าสตร์ ภาพของวชิ าภูมิศาสตรต์ ามความนึกคิดของคนส่วนมากเปน็ ภาพที่เช่ือมโยงกับความทรงจำเก่ียวกับการ
สอนวิชาภูมศิ าสตร์ในโรงเรียนระดบั ชัน้ ประถมศึกษาและมธั ยมศึกษา ในช้นั เรยี นในระตบั การศกึ ษาเหล่าน้ี มิได้มี
การกำหนดหลักสูตรการสอนวิชาภูมิศาสตร์จากคำถามที่เป็นจุดศูนย์กลางของศาสตร์ ที่นักวิชาการในศาสตร์น้ี
พยายามพัฒนาแนววิธที ี่จะนำไปสู่คำตอบ หลกั สตู รวชิ าภูมศิ าสตรใ์ นระบบการศกึ ษาระดับก่อนอุดมศกึ ษาเป็นการ
กำหนดข้ึนจากครูท่ีเชยี่ วชาญดา้ นการสอนวชิ าสังคมศกึ ษา มากกว่าทจ่ี ะดำเนนิ การโดยครทู ีไ่ ด้รบั การฝึกฝน
2
ตามแนววิธีของภมู ิศาสตร์รว่ มสมัยโดยตรง ดงั นน้ั การจตั หาความรดู้ า้ นภมู ิศาสตรใ์ หแ้ กน่ ักเรยี นจึงมองไปที่เนื้อหา
และทรัพยากรทมี่ ีและใช้อยู่ในวชิ าภูมิศาสตร์ ทง้ั นี้ โดยไมใ่ หค้ วามสำคญั แก่การฝกึ ฝน การสงั เกตภูมิทัศน์และแนว
วธิ ีเฉพาะของวชิ าภูมิศาสตร์ อย่างนกั ภูมิศาสตร์กระทำ
ในโรงเรียนมัธยม เนื้อหาของวิชาภูมิศาสตร์ทับซ้อนอยู่กับเนื้อหาที่ศึกษาโดยวิชาอื่น ๆ อีกหลายวิชา
ชั้นเรียนในโรงเรียนจงึ ไม่ได้แยกเนือ้ หาวิชาภมู ิศาสตร์ออกจากวชิ าทางสงั คมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เนื้อหาของ
วิชาภูมิศาสตร์ถูกแบ่งแยกกระจัดกระจายเข้าไปผสมกลมกลืนอยู่กบั วชิ าการด้านอื่น เช่น วิทยาศาสตร์กายภาพ
และชีวภาพ สิ่งแวดล้อมศึกษาภูมิภาคศึกษา หรือท้องที่ศึกษา ประวัติศาสตร์ ประชากรศาสตร์ และ
ระบบการปกครอง เป็นตน้ นอกเหนือจากน้แี ลว้ การถ่ายทอดความรโู้ ดยวิธกี ารบอกเลา่ รวมทัง้ สร้างกรอบความรู้ที่
งา่ ยต่อการให้นักเรียนจดจำเป็นส่วนประกอบทส่ี ำคัญอกี อย่างหนง่ึ ของวธิ กี ารสอนวิชาภูมิศาสตร์หรอื สังคมศกึ ษาใน
โรงเรียน
เนือ่ งจากการทกี่ ารถ่ายทอดความรู้ในรูปแบบสารานุกรมเหล่าน้ีในช้ันเรียนมักสะดวกท่จี ะดำเนินการโดย
อาศัยอุปกรณภ์ าพ แผนผังและแผนที่ โดยอุปกรณ์เหล่านี้สามารถช่วยชีก้ ำหนดตำแหน่งทีต่ ั้ง รวมทั้งสามารถช่วย
พิจารณาลักษณะของภมู ิประเทศ และลกั ษณะการตง้ั ถน่ิ ฐานของมนุษย์ จงึ เปน็ ท่ีเข้าใจกนั อกี ด้วยว่า ภมู ิศาสตร์เป็น
วชิ าเก่ยี วกับการทำแผนท่ี ในเร่ืองนเี้ ห็นกนั ว่านักภูมิศาสตร์มภี ารกิจในการแสดงลักษณะของฟ้ืนผิวโลกแต่ละส่วน
ใหป้ รากฏและภารกิจน้เี ป็นส่วนประกอบที่สำคญั ในเนอื้ หาของวชิ าภมู ศิ าสตร์
จากสภาพปัญหาการเรียนการสอนที่ผ่านมา และหลักการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้วิจัยในฐานะผู้ที่ได้รับ
มอบหมายให้สอนในรายวิชาดังกล่าว มีแนวคิดว่าหากใช้การจัตการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ซึ่งเป็น
กระบวนการจัดการเรียนการสอนท่ีใหน้ กั ศกึ ษาท่มี ีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสงู จบั กล่มุ ทำกิจกรรม และส่งเสริมเป็น
ที่ปรึกษา การเรียนให้กับนักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ทวงการเรียนปานกลางและต่ำ อันจะส่งผลให้นักศึกษาที่มีผส
สัมฤทธ์ิทางการเรยี นปานกลางและตำ่ สามารถเข้าใจและเรียนรใู้ นเน้อื หาไดด้ ีขนึ้ แก้ไขปัญหาความแตกตา่ งในการ
เรียนรู้ เนื่องจากการเรียนรู้จากเพ่ือนนักศึกษาด้วยกันอาจทำใหน้ ักศึกษามีความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นหรือ
สอบถามได้มากยง่ิ ขึ้น พรอ้ มทั้งสง่ ผลใหน้ ักศึกษาได้เรียนรูแ้ ละแสดงศกั ยภาพของตนเอง รวมถึงสร้างสัมพันธภาพที่
ดรี ะหว่างผู้เรียนดว้ ยกนั ท อันจะเปน็ การส่งเสริมใหบ้ รรยากาศในการเรียนการสอนเป็นไปอย่างมปี ระสิทธิภาพมาก
ยิ่งข้นึ กวา่ การจัดการเรียนการสอนแบบปกติ
3
วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั
1.เพือ่ พัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนภูมิศาสตร์ เรือ่ ง เคร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1
2.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภูมิศาสตร์ โดยอาศัยแบบทดสอบก่อนเรียน
และแบบทดสอบหลังเรยี น
สมมตุ ิฐานของการวจิ ยั
1.นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดกิจกรรมรูปแบบการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน
มีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น เร่ืองเครื่องมอื ทางภูมศิ าสตร์ หลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรียน
ขอบเขตของการวิจัย
ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
ประชากรเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566
โรงเรยี นเตรียมอุดมศึกษาพฒั นาการ รัชดา จำนวน 12 หอ้ ง รวมทงั้ สนิ้ 586 คน
กลุ่มตวั อย่างเปน็ นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 กำลงั ศกึ ษาในภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2566
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ห้อง 1/10 จำนวน 46 คน และวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบ Cluster
Sampling
ตัวแปรท่ศี กึ ษา
ตวั แปรอิสระ ไดแ้ ก่ เทคนคิ การสอนแบบเพ่อื นชว่ ยเพอื่ น
ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
เนื้อหา
1.งานวิจัยเรื่องนี้ใช้เนื้อหาตามหลักสูตรแกนกลางในรายวิชา สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 เรือ่ งเครอ่ื งมอื ทางภูมศิ าสตร์ ของนกั เรียนระดับมัธยมศึกษาปที ่ี 1
2. โดยใชว้ ธิ กี ารสอนแบบเพอื่ นช่วยเพอื่ น เพอ่ื วดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนให้ดขี ้ึน
4
ระยะเวลา
ระยะเวลาดำเนินการในภาคเรียนท่ี 2 ตั้งแตว่ ันท่ี 4 มกราคม 2566 ถึง วนั ที่ 30 มกราคม 2566
ประโยชน์ทไี่ ดร้ ับจากการวจิ ยั
1.แนวทางจดั การเรียนรู้ของนักเรียนเพ่อื พฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการศกึ ษาใหด้ ีขึน้ และสงู ขนึ้
2.นำไปพัฒนาแผนการจดั การเรยี นรใู้ นกลุ่มสาระการเรยี นสังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
ในแขนงวิชาภมู ศิ าสตร์ ในระดบั ช้นั อ่นื ๆ
นยิ ามศัพท์เฉพาะ
การสอนโดยวิธีการเรยี นรแู้ บบเพ่อื นชว่ ยเพอ่ื น หมายถงึ วธิ ีการสอนท่มี ุ่งเน้นให้ผู้เรยี นเกิดแรงจงู ใจต่อการ
เรียนมากขึ้น โดยท่ีผู้เรียนไม่ได้เรียนจากอาจารย์ผู้สอนอย่างเดียว แต่เรียนรู้จากเพื่อนด้วยกันเอง
การช่วยเหลอื กันภายในชน้ั เรียน สร้างบรรยากาศภายในช้ันเรียนใหเ้ กิดการเรียนรู้
ผลสัมฤทธิ์การเรียน หมายถึง การทผ่ี ้เู รียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในรายวิชาที่เรยี น วัดได้จากแบบทดสอบ
วัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมอุดมศกึ ษาพัฒนาการ รัชดา จากการเรยี นรแู้ บบเพอ่ื นช่วยเพื่อน
การจดั การเรยี นรูแ้ บบเพือ่ นช่วยเพอื่ นเป็นวิธีการจัดการเรยี นร้ทู ่ียดึ แนวคิดของจอห์น ดิวอี้ (John Dewey)
ทว่ี ่าเรียนรูด้ ว้ ยก การกระทำ (learning by doing) โดยเน้นทตี่ วั ผ้เู รยี นเปน็ สำคญั ใหผ้ ูเ้ รยี นมบึ ทบาทในกิจกรรมการ
เรียนการสอน การเรียนรู้ของนักเรียนมีได้มาจากครูแต่ฝ่ายเตียว แค่สามารถเรียนรูจ้ ากเพื่อนนักเรียนด้วยกันได้
โดยการรวมกลุ่มแบบคละความสามารถปฏิบัติกิจกรรม การเรียนการสอนจะช่วยให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์จาก
เพ่ือนนักเรียนทเ่ี รยี นเกง่ เป็นผูช้ ว่ ยเหลือเพอื่ นนกั เรยี นท่ีเรยี นออ่ นได้เปน็ อย่างดี ทำให้เกดิ ทศั นคตแิ ละแรงจูงใจท่ีดี
ต่อการเรียน จะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข ส่งผลให้เกิดการพัฒนาการทางวิชาการและสังคม ดังท่ี
เฮอเรย์ (Hurley,1983. P.694) กล่าวว่าการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นวิธีการสอนที่สับเปลี่ยนบทบาท
ของครูและนักเรยี น เป็นการพฒั นาการเรียนรูข้ องนักเรียน ประโยชน์ท่ีได้รับคือการเรียนรู้ซึ่งเกิดจากการกระต้นุ
ภายในตัวนักเรียนผู้สอนขณะทำการสอนและในนักเรียนผู้เรียนโดยมีส่วนร่วมในกิจกรรมมากขึ้นและ
5
จนิ ดา อยู่เปน็ สุข (2545, หนา้ 15-28) สรปุ ว่าวธิ ีการจดั การเรียนรู้แบบ เพื่อนสอนเพ่อื นโดยแบ่งนักเรียนออกเป็น
กลุ่มคละความสามารถ เป็นวิธฝี ึกทักษะทางวิชาการและด้านสงั คมควบคู่กันไป ทำใหน้ ักเรียนมองเห็นคุณค่าและ
ประโยชน์ในการเรียน จะส่งผลให้นักเรียนเป็นคนเก่ง ดี และมีความสุข ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้นำรูปแบบการจัดการ
เรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนมาใช้ ในการศึกษาเรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ของระดับชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 1
เสนอเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัยดงั นี้
ตวั แปรอสิ ระ ตัวแปรตาม
การจัดการเรียนรู้ 1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง
แบบเพอื่ นชว่ ยเพอ่ื น
เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ จากการ
จดั การเรยี นรู้แบบเพือ่ นชว่ ยเพอ่ื น
(K,P,A)
ภาพประกอบท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กย่ี วข้อง
ในการวิจยั เรอ่ื ง การพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าภูมิศาสตร์ เรือ่ งเครอ่ื งมือทาง
ภมู ิศาสตร์ โดยใชว้ ิธีการเรยี นรูแ้ บบเพ่ือนชว่ ยเพ่อื นของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรยี นเตรียม
อุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ในคร้ังนผี้ ้วู จิ ัยไดศ้ กึ ษาเอกสารตำราและงานวิจัย ที่เก่ยี วขอ้ งเพอ่ื เปน็
แนวทางในการวจิ ัยดงั นี้
2.1 หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551
2.1.1 วิสยั ทศั น์
2.1.2 หลักการ
2.1.3 จุดหมาย
2.1.4 สมรรถนะของสำคญั ของผู้เรียน
2.1.5 คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
2.1.6 กล่มุ สาระการเรยี นรู้
2.1.7 กลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม (ภมู ิศาสตร์)
2.2 เทคนิคการสอนแบบเพอ่ื นช่วยเพอ่ื น
2.3.1 ความหมายของเทคนิคการสอนแบบเพอื่ นชว่ ยเพื่อน
2.3.2 หลกั การและวัตถุประสงค์ของเทคนคิ การสอนแบบเพอื่ นชว่ ยเพอื่ น
2.3.3 ข้นั ตอนและกระบวนการจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนชว่ ยเพอ่ื น
2.3.4 ตัวอย่างและวิธีการในการสอนโดยใช้เทคนิคการสอนแบบเพือ่ นช่วยเพื่อน
7
2.3 ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
2.4.1 ความหมายของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน
2.4.2 ลักษณะของผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
2.4.3 องค์ประกอบของผลสมั ฤทธิ์
2.4.4 วธิ กี ารวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน
2.4 งานวิจัยท่เี กี่ยวข้อง
2.5.1 งานวจิ ยั ภายในประเทศ
2.5.2 งานวิจยั ต่างประเทศ
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551
เอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ จัดทำขึ้นสำหรับท้องถิ่นและ
สถานศึกษาไดน้ ำไปใชเ้ ปน็ กรอบและทิศทางในการจดั ทำหลักสตู รสถานศกึ ษาและจดั การเรียนการสอน เพื่อพัฒนา
เด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดบั การศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะที่จำเป็นสำหรับการ
ดำรงชีวิตในสงั คมท่มี ีการเปล่ยี นแปลงและแสวงหาความรเู้ พ่อื พัฒนาตนเองอยา่ งต่อเนือ่ งตลอดชีวิต
มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวัดท่ีกำหนดไว้ในเอกสารนี้ ช่วยทำให้หน่วยงานที่เกีย่ วข้องในทุกระดับเห็น
ผลดาดหวังที่ต้องการในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ชัดเจนตลอดแนวซึ่งจะสามารถช่วยให้หน่วยงานท่ี
เกีย่ วข้องในระดับท้องถน่ิ และสถานศึกษา ร่วมกันพัฒนาหลกั สูตรไดอ้ ย่างมั่นใจ ทำให้การจัดทำหลักสูตรในระดับ
สถานศึกษามีคุณภาพและมีความเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เกดิ ความชัดเจนเรื่องการวัดและประเมินผล
การเรยี นร้แู ละ
ชว่ ยแกป้ ัญหาการเทียบโอนระหว่างสถานศกึ ษา ดังน้นั ในการพัฒนาหลกั สูตรในทุกระดบั ตัง้ แดร่ ะดับชาติ
จนกระทั่งถึงสถานศึกษาจะต้องสะท้อนคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในหลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งเปน็ กรอบทิศทางในการจดั การศึกษาทุกรปู แบบ และครอบคลุมผูเ้ รียนทุก
กลุ่มเป้าหมายในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานการจัดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจะประสบความสำเร็จตาม
เป้าหมายที่ดาดหวังได้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบการจัด
8
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังได้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งระดับชาติ
ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบโดยร่วมกันทำงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องในการวางแผน
ดำเนินการ ส่งเสริมสนับสนุนตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนาเยาวชนของชาติไปสู่คุณภาพตาม
มาตรฐานการเรียนร้ทู ่กี ำหนดไว้
วสิ ยั ทัศน์
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน มงุ่ พฒั นาผ้เู รยี นทุกคนซึง่ เปน็ กำลังของชาติให้เปน็ มนษุ ย์ท่ีมี
ความสมดุลทัง้ ด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มจี ิตสำนกึ ในความเป็นพลเมืองไทยและเปน็ พลโลก ยึดมัน่ ในการ
ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมขุ มีความรู้และทักษะพนื้ ฐาน รวมทั้ง เจตคติ
ที่จำเป็นต่อการศึกษาตอ่ การประกอบอาชีพและการศกึ ษาตลอดชวี ติ โดยมุ่งเนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญบนพน้ื ฐานความ
เช่ือว่า ทุกคนสามารถเรยี นรแู้ ละพัฒนาตนเองไดเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ
หลักการ
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน มีหลักการท่ีสำคญั ดงั นี้
1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อดวามเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็น
เป้าหมายสำหรบั พัฒนาเด็กและเยาวชนใหม้ คี วามรู้ ทกั ษ: เจตคติ และคุณธรรมบนพ้ืนฐานของความเปน็ ไทยควบคู่
กบั ความเปน็ สากล
2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและมี
คณุ ภาพ
3. เป็นหลกั สตู รการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สงั คมมีสว่ นรว่ มในการจัดการศกึ ษาให้สอดคล้อง
กับสภาพและดวามตอ้ งการของท้องถิน่
4. เปน็ หลกั สตู รการศึกษาที่มีโดรงสรา้ งยดื หยนุ่ ทง้ั ด้านสาระการเรยี นรู้ เวลาและการจัดการเรียนรู้
5. เป็นหลักสตู รการศึกษาท่ีเน้นผ้เู รียนเปน็ สำคญั
6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยครอบคลุมทุก
กลมุ่ เปา้ หมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์
9
จดุ หมาย
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน มุ่งพฒั นาผู้เรยี นใหเ้ ป็นคนดี มีปญั ญา มคี วามสุขมีศักยภาพใน
การศกึ ษาตอ่ และประกอบอาชพี จงึ กำหนดเปน็ จุดหมาย เพอ่ื ให้เกดิ กับผู้เรียนเมอื่ จบการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน ดงั นี้
1. มีคุณธรรม จริยธรรม และคู่นยิ มท่พี ึงประสงค์ เห็นคุณคา่ ของตนเอง มีวนิ ัยและปฏิบัติตนตาม
หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนบั ถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. มคี วามร้อู นั เปน็ สากลและมคี วามสามารถในการสอ่ื สาร การคิด การแก้ปญั หาการใชเ้ ทคโนโลยี และมี
ทกั ษะชวี ิต
3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตทด่ี ี มสี ขุ นิสัย และรกั การออกกำลังกาย
4. มีความรักชาติ มจี ติ สำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่นั ในวิถชี ีวติ และการปกครองตาม
ระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมขุ
5. มจี ิตสำนึกในการอนรุ กั ษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาไทย การอนุรักษแ์ ละพฒั นาสิ่งแวดล้อม มจี ิต
สาธารณะท่ีมุ่งทำประโยชนแ์ ละสรา้ งส่ิงท่ีดีงามในสังคม และอยู่รว่ มกันในสงั คมอยา่ งมคี วามสุข
สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการ
พฒั นาผู้เรียนให้บรรลุ มาตรฐานการเรียนรทู้ ่ีกำหนดน้ัน จะชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นเกดิ สมรรถนะสำคญั ๕ ประการ ตงั นี้
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความติดความรู้ตวามเข้าไจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และ
ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ตอ่ การพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหา
ความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับขอ้ มูลข่าวสารด้วยหลกั เหตผุ ล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้
วธิ กี ารสอ่ื สารทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มตี ่อตนเองและสงั คม
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการติตวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมวี ิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพ่ือนำไปส่กู ารสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพ่ือ
การตดั สินใจเก่ียวกบั ตนเองและสงั คมไดอ้ ย่างเหมาะสม
10
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญไต้อย่าง
ถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจดวามสัมพันธ์และการ
เปลี่ยนแปลงของเหตกุ ารณต์ ่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา
และมกี ารตัดสินใจที่มปี ระสทิ ธภิ าพโดยคำนึงถงึ ผลกระทบทเี่ กิดขนึ้ ตอ่ ตนเอง สังคมและสง่ิ แวดลอ้ ม
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการดำเนนิ
ชีวติ ประจำวนั การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรยี นรูอ้ ย่างต่อเนอ่ื ง การทำงาน และการอยูร่ ว่ มกนั ในสงั คมดว้ ยการสร้าง
เสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัตการปัญหาและความขดั แย้งต่างๆ อย่างเหมาะสมการปรับตัวใหท้ ัน
กับการเปลี่ยนแปลงของสังดมและสภาพแวดล้อมและการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พงึ ประสงค์ที่ส่งผลกระทบ
ต่อตนเองและผอู้ น่ื
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นตวามสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีต้านต่างๆ และมี
ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้การสื่อสาร การทำงาน
การแกป้ ญั หาอยา่ งสร้างสรรค์ ถกู ต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผูเ้ รยี นให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถ
อยู่ร่วมกับผ้อู ื่นในสงั คมได้อย่างมคี วามสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดงั นี้
1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. ซอ่ื สตั ย์สุจริต
3. มีวินยั
4. ใฝเ่ รียนรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง
6. มุ่งมน่ั ในการทำงาน
7. รักความเป็นไทย
8. มจี ิตสาธารณะ
11
กลุม่ สาระการเรยี นรู้
สาระการเรยี นรู้ ประกอบตวั ย องค์ดวามรู้ ทักษะหรอื กระบวนการเรียนรู้ และคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ซ่งึ
กำหนดใหผ้ ้เู รยี นทุกดนในระตับการศึกษาขัน้ พน้ื ฐานจำเป็นต้องเรยี นรู้ โดยแบ่งเป็น ๘ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ตังน้ี
คณิตศาสตร์ : การนำความรู้ ทักษะ และกระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหาการดำเนินชีวิต
และศกึ ษาตอ่ การมีเหตุมผี ล มีเจตตติท่ีดีต่อคณติ ศาสตร์ พัฒนาการคดิ อยา่ งเปน็ ระบบ และสร้างสรรค์
วิทยาศาสตร์ :การนำความรู้ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ และ
แกป้ ญั หาอย่างเป็นระบบการติตอยา่ งเปน็ เหตเุ ปน็ ผลติดวิเคราะหค์ ดิ สรา้ งสรรคแ์ ละจติ วิทยาศาสตร์
ภาษาไทย :ความรู้ ทกั ษะและวฒั นธรรมการใชภ้ าษาเพื่อการส่ือสาร ความชืน่ ชมการเห็นคุณค่า ภมู ปิ ญั ญาไทย
และภูมิใจในภาษาประจำชาติ
สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม :การอยรู่ ่วมกนั ในสังคมไทยและสงั คมโลกอย่างสันติสขุ การเป็นพลเมืองดี
ศรัทธาในหลักธรรมของศาสนา การเหน็ คณุ ค่าของทรพั ยากรและส่ิงแวดลอ้ ม และภมู ใิ จในความเป็นไทย
ศิลปะ :ความรู้และทกั ษะในการตดิ รเิ ริม่ จินตนาการ สร้างสรรค์งานศิลปะ สุนทรยี ภาพและคุณค่าทางศลิ ปะ
การงานอาชีพและเทคโนโลยี :ความรู้ ทักษะ และเจตคติในการทำงาน การจัดการการดำรงชวี ิตการประกอบ
อาชีพและการใชเ้ ทคโนโลยี
ภาษาต่างประเทศ :ความรู้ ทักษะ เจตคติและวัฒนธรรมการใช้ภาษาต่างประเทศ ในการสื่อสารการแสวงหา
ความรู้และการประกอบอาชีพ
สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา :ความรู้ ทกั ษะและเจตคติในการสร้างเสริมสุขภาพ พลานามัยของตนเอง และผอู้ นื่ การ
ปอ้ งกนั และปฏิบตั ติ อ่ สิง่ ต่างๆทมี่ ผี ลต่อสุขภาพอยา่ งถูกวิธแี ละทักษะในการดำเนนิ ชีวติ
12
กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม(ภูมศิ าสตร์)
สาระท่ี ๕ ภูมศิ าสตร์
มาตรฐาน ส ๕.๑ เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสัมพันธข์ องสรรพสง่ิ ซ่ึงมผี ลต่อกันและกัน
ในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ในการคันหา วิเ คราะห์สรุป
และใช้ขอ้ มูลภมู ิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
มาตรฐาน ส ๕.๒ เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้เกิดการ
สร้างสรรค์วัฒนธรรม มีจิตสำนึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการพัฒนาทยี่ ่งั ยืน
ทำไมต้องเรียนสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้
ความเข้าใจ มีทกั ษะพนื้ ฐานที่จำเป็นต่อการดำงชวี ติ และร้เู ท่าทันการเปลีย่ นแปลงเก่ยี วกับสภาพอากาศและสภาพ
ภูมิประเทศ การใช้ชีวิตประจำวัน สามารถนำความรู้ไปใช้ในการดำรงชีวิต วิชาภูมิศาสตร์ มาใช้ประโยชน์ในการ
ทำงานและดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างดแี ละมคี วามคิดสร้างสรรค์ ไม่วา่ จะเป็นการเดนิ ทางไปทำงาน ไปเทย่ี ว หรอื
ใช้ในการทหาร และยังมีการจัดแข่งขันในสังคมไทยและสากล เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ เช่น
นักภูมิศาสตร์ นักทำแผนที่ นักท่องเที่ยว และมีเจตคติที่ดีต่อการทำงาน สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่าง
พอเพยี ง และมีความสขุ
เรยี นรู้อะไรในสังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มุ่งพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม เพื่อให้มีความรู้
ความสามารถ มีทักษะในการทำงาน เห็นแนวทางในการศึกษาต่อในอนาคต ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี
สาระสำคญั (สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. 2551: 1-5) ตงั นี้
1. การดำรงชวี ิตและครอบครวั เปน็ สาระเก่ียวกับการทำงานในชวี ิตประจำวันและสภาพแวดล้อมภายใน
สังคม ช่วยเหลือตนเอง ครอบครัว และสังคมไตใ้ นสภาพเศรษฐกิจทีพ่ อเพียง ไมท่ ำลายสง่ิ แวดล้อม เนน้ การปฏิบัติ
จริงจนเกิดความมั่นใจและภูมิใจในผลสำเร็จของงาน เพื่อให้ค้นพบความสามารถ ความถนัดและความสนใจของ
ตนเอง
13
2. การใช้เทคโนโลยีในการสำรวจพื้นท่ีตา่ งๆ เป็นสาระการเรียนรู้ท่ีเกี่ยวกับการพัฒนาความสามารถของ
มนุษย์อย่างสร้างสรรค์ โดยนำความรู้มาใช้กับกระบวนการเทคโนโลยี สร้างสิ่งของเครื่องใช้ วิธีการ หรือเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการดำรงชวี ติ
3. ภูมิศาสตร์ด้านตัวตนความเป็นตัวเอง เป็นสาระที่เกี่ยวข้องกับทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ
เห็นความสำคัญของคุณธรรม จริยธรรม และเจตคติที่ดีต่ออาชพี ของตนเอง ใช้เทคโนโลยีไดเ้ หมาะสม เป็นคุณค่า
ของอาชีพสุจริต และเหน็ แนวทางในการประกอบอาชพี
ความสำคญั ของกลุ่มสาระการเรยี นร้ทู างสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
กระทรวงศึกษาธิการ (2554 : 1-2) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของกลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและ
วัฒนธรรมไว้ว่า สาระการเรียนรู้นี้เป็นสาระการเรียนรู้ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันบนโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง
รวดเร็วตลอดเวลา และเชื่อมโยงท ทางเศรษฐกิจ ซึ่งแตกต่างกันอย่างหลากหลายการปรับตนเองกับบริบท
สภาพแวดล้อม ทำให้เป็นพลเมืองทีร่ ับผิดชอบ มีความสามารถทางสังคมมคี วามรู้ ทักษะ คุณธรรมและค่านิยมท่ี
เหมาะสมโดยใหผ้ ู้เรยี นเกิดความเจริญงอกงามในแต่ละดา้ นดงั น้ี
1.ด้านความรู้ กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จะให้ความรู้แต่ ผู้เรียนในเนื้อหาลาระ
ความคิดรวบยอดและหลกั การสำคัญ ๆ ในสาขาต่าง ๆ ทางสงั คมศาสตรไ์ ด้แต่ภมู ศิ าสตร์ ประวัติศาสตร์ รฐั ศาสตร์
จริยธรรม สังคมวิทยา เศรษรูศาสตร์ กฎหมาย ประชาการศึกษาและ สิ่งแวดล้อมศึกษาตาม ขอบเขตที่กำหนดไว้
ในแต่ละระดบั ชน้ั โดยจัดการเรียนรู้ในลกั ษณะบูรณาการ หรอื สหวทิ ยาการ
2. ด้านทักษะและกระบวนการ ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาให้เกิดทักษะและกระบวนการ ต่าง ๆ
ประกอบด้วย 1) ทักษะการคิด เช่น การสรุปความคิด การแปลความ การวิเคราะห์หลักการสังคม กระบวนการ
สืบสวน เช่น ความสามารถในการและการนำไปใช้ คลอดจนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 2) ทักษะการแก้ปัญหา
ตามกระบวนการทางสังคมและการตัง้ สมมติฐานอย่างมรี ะบบและการวิเคราะห์ขอ้ มูล การทดสอบสมมติฐาน และ
สรุปเป็นหลักการ 3) ทักษะการเรยี นรู้ เช่น ความสามารถในการแสวงหาข้อมูลความรู้ โดยการอ่านการฟัง และ
การสังเกตความสามารถในการสื่อสารโดยการพูด การเขียน และการนำเสนอ ความสามารถในการศึกความการ
สร้างแผนภมู ิ แผนท่ี ตารางเวลา และการจดบนั ทกึ รวมทงั้ การใชเ้ ทคโนโลยสี อ่ื สารสนเทศตา่ ง ๆ ให้เป็นประโยชน์
ในกรแสวงหาความรู้ 4) ทกั ษะกระบวนการกลุ่ม เช่น ความสามารถในการเป็นผู้นำและผู้ตามในการทำงานกลุ่ม มี
ส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายการทำงานของกลุ่มปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายด้วยความรับผิดชอบ
สร้างสรรค์ผล ชว่ ยลดข้อขดั แยง้ และแก้ปัญหาของกลุ่มได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
14
3. ด้านเจตคติและค่านิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษาจะช่วยพัฒนาเจตคติ และคำนิยมเก่ียวกับ
ประชาธิปไตย และความเป็นมนษุ ย์ เช่น รู้จักตนเองพ่ึงตนเอง ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย มีความกตัญญู รักเกียรติภมู ิ
แหง่ คน มนี ิสยั ในการเป็นผผู้ ลิตท่ีดี มคี วามพอดีในการบริโภคเหน็ คุณค่าของการทำงาน รู้จกั คดิ วเิ คราะห์ รู้จักการ
ทำงานเป็นกลุ่ม เคารพสิทธิของผู้อื่น และเห็นแค่ประโยซน์ส่วนร่วม มีความผูกพันกับกลุ่มรักท้องถิ่น รัก
ประเทศชาติเห็นคุณค่าอนรุ ักษ์และพัฒนาศิลปะวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม อันล้ำค่าตามศรัทธาในหลักธรรมของ
ศาสนา และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์เปน็ ประมุข
4. ด้านการจัดการและการปฏิบัติ กิจกรรมการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม จะช่วยให้ผู้เรียนเกดิ ทักษะในการทำงานเป็นกลุม่ สามารถนำความรู้ทักษะคำนิยมและเจตคติทีไ่ หร้ บั
การอบรมบม่ นสิ ยั มาใช้ในการแก้ปญั หาดา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขึ้น ในชีวติ ประจำวันของผเู้ รยี นได้
กล่มุ สาระการเรียนรู้ สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม เช่อื มโยงไดด้ กี ับการเรียนภาษา ผเู้ รยี นกลุ่มสาระ
การเรียนรู้สังคม ภูมิศาสตร์ ต้องใช้ภาษาที่สื่อสารได้เป็นอย่างดี ใช้ภาษาในการให้เหตุผลและแก้ปัญหา ปกป้อง
รักษาวัฒนธรรมให้คงไว้การพัฒนาทักษะทางภาษาในการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม ไดแ้ ค่ การอา่ นการเขียน การพดู การฟังวรรณกรรมตา่ ง ๆ จะชว่ ยเปิดโลกทัศน์ให้ผู้เรยี นได้เข้าใจ โลก
ด้วยการศึกษาวรรณกรรมเหล่านี้ในเชิงประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม วรรณกรรมจากสิ่งพิมพ์ที่ปรากฎอยู่ใน
ชีวิตประจำวันของผู้เขียนมีมากมาย ที่พัฒนาทักษะทางภาษาได้ มิใช้แต่เฉพาะจากหนังสือเรียนทั้งนี้เพื่อขยาย
ประสบการณ์ทางสังคมที่เป็นจรงิ ของผู้เรยี นให้กวา้ งขวางข้นึ ส่ือเทคโนโลยีต่างๆและคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมืออีก
ทางหนึ่ง ทที่ ำให้ผเู้ รยี นพัฒนาภาษาเพือ่ การสื่อสารได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ
สาระการเรียนรู้นี้เชื่อมโยงได้กับการเรียนศิลปะ ช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจมุมมองต่าง ๆเกี่ยวกับโลก งาน
ศิลปะสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของสังคมการเมือง เศรษฐกิจในยุคสมัยต่างๆได้ ศิลปะ สะท้อนความคิดจิต
วิญญาณความหวังของมนุษยชาติ ศิลปะเปน็ เสมือนบันทึกหลักฐานวา่ มนุษย์เรามีชีวิต มคี วามคิดอยา่ งไร ด้วยการ
นำเสนอมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้สร้างงานศิลปะนั้น ศิลปะจึงช่วยให้ผู้เรียนรู้โลกกว้างที่เขาอาศัยอยู่
การศกึ ษาสงั คมจากงานศิลปะยังทำใหผ้ ้เู รียนไดพ้ ัฒนาความคดิ สร้างสรรคอ์ ีกดว้ ย
การเรยี นคณิตศาสตร์ คณติ ศาสตรเ์ ป็นเครือ่ งมอื ทชี่ ว่ ยให้ผู้เรียนไดต้ รวจสอบ และแกป้ ัญหาต่าง ๆ ผู้เขียน
ไดใ้ ชแ้ นวคดิ ทางคณิตศาสตร์ในคารจัดระบบวิเคราะหแ์ ละนำเสนอขอ้ มลู ตา่ งๆ ท่ีสัมพนั ธก์ ับเหตุการณ์หรือประเด็น
ปัญหาในสงั คมได้ ท้ังยังเช่ือมโยงให้ผเู้ รียนได้นำวิธีแก้ปัญหามาใชเ้ พอื่ ประเมินความสัมพนั ธ์ของเหตุการในอดีตกับ
เงือ่ นไขในปัจจุบันและผลทเี่ กิดขึ้นในอนาคตดว้ ย
15
การเรียนสุขศึกษาและพลศึกษา ช่วยให้ผู้เรียนได้พฒั นาเจดคดี คำนิยม จริยธรรม และวิธกี ารตา่ ง ๆ ที่มี
อทิ ธพิ ลตอ่ กระบวนการแก้ปญั หา และการตดั สนิ ใจในเรอ่ื งราวต่างๆ ได้ ผู้เรยี นสามารถใช้ทกั ษะและการปฏิบัติตน
ทาง สุขศึกษาและพลศึกษามาดำรงชีวติ เพื่อพัฒนารา่ งกายอารมณ์ และจิตใจให้มีคุณภพได้จึงเป็นการเชื่อมโยง
ระหวา่ งคุณค่าทางร่างกายและสติปัญญาเพอ่ื การส่งเสริมการดำรงชีวิตท่ีดีตอ่ คุณภาพ
ทักษะการดำเนินชีวิตซึ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์กับการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรม ทีเ่ น้นการดำรงชวี ิตในสังคมบนพืน้ ฐานของจริยธรรมและคุณธรรม สามารถทำงานรว่ มกับผอู้ ื่น โดยถือ
ว่าการพัฒนาความเป็นพลเมืองดี ส่วนหนึ่งต้องประกอบอาชีพที่สุจริต และเป็นประโยชน์ต่อองค์กรและสังคม
ส่วนรวมด้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมเชื่อมโยงได้กับการเรียนการงานอาชีพและ
เทคโนโลยี การเรยี นการงานอาชีพและเทคโนโลยี มงุ่ ใหผ้ ้เู รยี นมีความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ในงานที่เป็น
พื้นฐานของวิชาอาชีพ มีทักษะในการทำงาน มีเจตคติที่ดีต่องานอาชีพ มีจริยธรรมคุณธรรมในการทำงานและ
สามารถนำความรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จึงไม่ใช่การเรียนแต่เนื้อหาความรู้ แต่
ต้องการให้ผู้เรียนเป็นนักวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหา นำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้ จัดโอกาสให้ผู้เรียนได้
สำรวจความเป็นไปในสังคมและโลก พิจารณาว่ามนุษย์พูด เขียน ประเมิน คำนวณ วิเคราะห์ สร้างจินตนาการ
ต่อสู้และพากเพียรพยายามในเรื่องต่างๆกันอย่างไร สังคมศึกษาเชื่อมโยงกิจกรรมที่มนุษย์ทำ โดยเน้นทั้งเรื่อง
วรรณกรรม ศิลปะ เทคโนโลยี วทิ ยาศาสตร์ ทัง้ ในอดตี และปจั จบุ นั และอนาคตเขา้ ดว้ ยกัน
สรุป
มาตรฐานการเรยี นรู้กล่มุ สาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ในรายวชิ ภมู ศิ าสตร์ นอกจาก
จะใช้เป็นทิศทางในการจัดทำหลักสูตร และการจัดการเรียนการของสถานศกึ ษา เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบตั ิ
ตามมาตรฐาน แล้วยังใช้เป็นกรอบในการวัดผลประเมินผลเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีพัฒนาการ มีความสามารถ
และมีความสำเร็จทางการเรียนในระดับใด เพอื่ นำผลมาใช้ในการสง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนเกดิ การพัฒนาและเรียนรู้อย่าง
เต็มตามศักยภาพ ซึ่งสถานศึกษา จะต้องมีผลการเรียนของ นักเรียนทั้งในระดับชั้น ระดับเขดพื้นที่การศึกษา
ระดับชาติ รวมทัง้ การประเมินภายนอกอีกด้วย
16
เทคนคิ การสอนแบบเพือ่ นช่วยเพื่อน
ความหมายของวธิ กี ารจดั การเรียนรแู้ บบเพ่อื นชว่ ยเพ่ือน
การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer group) เป็นการสอนที่มีพื้นฐานมาจากแนวคิด
เกี่ยวกับการกระจายบทบาทในการสอน และแนวคิดเกี่ยวกับการให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการจัดการ
เรียนรูท้ ีเ่ น้นผูเ้ รียนเป็นสำคัญ การให้เพื่อนช่วยเพือ่ นนั้นไม่ได้หมายถึงการให้นักเรียนมายืนหน้าชั้นและทำหนา้ ท่ี
แทนครู แต่หมายถึงการให้นักเรียนสอนเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ และให้นักเรียนเรียนรู้จากกันและกัน โดยมุ่งเนน้
เพื่อนช่วยเหลือ ผู้เรียนที่เรียนช้ามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ มีปัญหา ในต้านความประพฤติ และมีปัญหาอื่นๆ
โดยมีความเชือ่ ว่าวิธีการให้ผู้เรียนสอนกันเองน้ัน ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ได้จากกนั และกัน และการเรียนรูเ้ ช่นนีท้ ำให้
ผู้เรียนช้าเกดิ การเรียนรไู้ ด้ เนอ่ื งจากภาษาทีผ่ เู้ รยี นใช้พูดจากการส่ือสารกันนน้ั สามารถสอ่ื ความหมายกนั และกันได้
เปน็ อย่างดี (กรมวชิ าการ. 2545: 61)
อรศิริ เลิศกติ ติสุข และดวงกมล ลมิ โกมทุ (2552: 5) ให้ความหมายการจัดการเรยี นร้แู บบเพอื่ นช่วยเพื่อน
ว่าเปน็ การจัดการความรกู้ อ่ นลงมือทำกิจกรรม (Learning before doing) เพ่อื แสวงหาผ้ชู ว่ ยท่ีมีความแตกต่าง มา
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ เพื่อขยายกรอบความคิดให้กวา้ งและมปี ระสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยอาศัย "คน"
เป็นธงนำ (People driven) เปิดมุมมองความคิดที่หลากหลายจากการแลกเปลี่ยนระหว่างทีมที่มีทักษะ
ความสามารถ และประสบการณ์ที่แตกตา่ งกนั ทำให้ไม่มองอะไรเพียงด้านเดยี ว
ชูศรี วงศ์รัตนะ และคณะ (2555: 29) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน
(Peer Assisted Learning) เป็นการเรียนรู้โดยให้นักเรียนช่วยเพ่ือนซึ่งกันและกันแทนท่ีครูจะเป็นผู้สอนโดยตรง
เป็นการสอนกันตัวตอ่ ตัว ทีเ่ พอ่ื นอาจช่วยเหลือแนะนำเพ่ือนโดยตรง หรือใชส้ อื่ การเรยี นรอู้ ่ืนมาประกอบ
สคุ นธ์ สินธพานนท์ และคณะ (2554: 10) กลา่ วว่า กลวิธีการเรียนรแู้ บบเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นวิธีการสอน
วธิ หี นง่ึ ทีส่ ืบทอดเจตนารมณข์ องปรัชญาการศกึ ษาท่ีว่า Learning by Doing
Topping (2001: 156) กล่าวว่า กลวิธกี ารเรียนร้แู บบเพ่อื นช่วยเพ่ือน หมายถึง การจัดกจิ กรรม การสอน
เพื่อให้ใด้มาซึ่งความรู้และทักษะโดยการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนจากเพื่อนร่วมชั้นที่ได้จากการจับคู่กัน โดย
ผู้เรียนท้ังคู่ชว่ ยเหลอื กนั เรียนและไดเ้ รยี นรู้ซึง่ กันและกนั โดยอาศัยการกระทำ ผเู้ รยี นมีสว่ นรว่ มในการเรียน
17
Kohn: & Vajda (1975: 379-390) ด้งกล่าวสนับสนุนว่าวิธีสอนแบบใช้เพื่อนช่วยหมายถึงวธิ ีสอนที่เปิด
โอกาสให้ผู้เรยี นไดท้ ำกิจกรรมการเรียนเปน็ คู่หรอื กลุม่ ย่อยโดยร่วมกันทำกจิ กรรมทกุ ทกั ษะเปน็ การเปดิ โอกาสให้
ผู้เรียนไดช้ ่วยเหลือกนั และมีปฏิสัมพนั ธ์กันได้ใชภ้ าษาในการสอื่ สารเพือ่ เจรจาหาความหมายด้วยตนเองครูเป็นเพียง
ผู้ทำหนา้ ที่ให้ความชว่ ยเหลอื ให้คำแนะนำและช่วยจัดกระบวนการเรยี นการสอนในชน้ั เรียนโดยให้ผเู้ รียนรับผิดชอบ
กระบวนการเรียนเอง
มารแ์ ฮดี และคณะ (Maheady, et al (1994: 271) กลา่ วถงึ วิธกี ารเรยี นรแู้ บบใช้เพ่อื นชว่ ยว่าเป็นวธิ สี อน
อีกวิธีทางเลือกหน่ึงทีม่ ีประสิทธิภาพในการส่งเสรมิ ความรูค้ วามสามารถทางวิชาการ(Academic Performance)
แก่ผู้เรียนที่มคี วามบกพร่องทางการเรียนรู้เนื่องจากเป็นวธิ สี อนทีม่ กี ารจัดกจิ กรรมเพื่อกระตุน้ ให้ผู้เรยี นมบี ทบาท
และมสี ่วนร่วมในการทำกิจกรรมและส่งผลใหเ้ กิดความกระตี่อรีอร้นในการเรียน
จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า เป็นการสอนที่เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้เรียนด้วยกัน ให้
ผู้เรียนที่เก่งกว่าได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนที่อ่อนกว่า ภายในกลุ่มเดียวกัน ความคุ้นเคยและ
ความรู้สึกนึกคิดและประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกัน ทำให้การถ่ายทอดและการสื่อสารระหว่างเพื่อนด้วยกนั มคี วาม
เข้าใจและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ถ้านักเรียนไม่เช้าใจหรือสงสัยเนื้อหาใดก็สามารถซักถามได้ทันที ครูผู้สอนพยายาม
เข้าถึงความด้องการของนักเรยี นแต่ละคน เป็นการจัดการเรียนรูท้ ี่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และสงเสริมโน้มนา้ วให้
นกั เรียนเกดิ ทัศนคตทิ ่ดี ีตอ่ สมาชกิ ในกลุ่ม
หลักการและวตั ถุประสงค์ของเทคนคิ การสอนแบบเพ่ือนช่วยเพื่อน
เบนเดอร์ (Bender. 2002: 1 15-139) กล่าวถึง หลักการใช้กลวิธีการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพือ่ นการให้
เพอ่ื นช่วยเพื่อนจะมปี ระสิทธิภาพสงู สุดน้นั ควรดำเนินไปตามหลกั เกณฑ์ ดังนี้
1. เพื่อนผู้สอนจะต้องมีทักษะที่จำเป็น เช่น ความเข้าใจในจุดประสงค์ของการสอนจำแนกได้ว่าคำตอบ
ท่ผี ดิ และคำตอบที่ถกู ตา่ งกันอย่างไรรู้จักการให้แรงเสรมิ แก่เพื่อนผู้เรยี นรู้จกั บันทึกความก้าวหน้าในการเรียนของ
เพื่อนผ้เู รยี นและมนษุ ย์สัมพันธท์ ่ดี ีกบั เพ่ือนผู้เรยี น
2. กำหนดจดุ ประสงค์ขน้ั พฤติกรรมให้ชัดเจนท้ังนเี้ พอื่ ใหบ้ ุคคลทง้ั สองช่วยกนั บรรลเุ ปา้ หมายในการเรียน
3. ครเู ปน็ ผ้กู ำหนดชนั้ ตอนในการสอนให้ชดั เจนและให้เพอ่ื นผ้เู รยี นดำเนินการตามขัน้ ตอนเหลา่ น้นั
4. สอนทลี ะชัน้ หรอื ทลี ะแนวคดิ จนกว่าเพือ่ นผู้เรียนเข้าใจดแี ลว้ จึงสอนข้นั ตอ่ ไป
18
5. ฝึกให้เพื่อนผู้สอนเข้าใจพฤติกรรมการแสดงออกของเพื่อนผู้เรียนด้วยว่าพฤติกรรมใดแสดงว่าเพื่อน
ผเู้ รียนไมเ่ ขา้ ใจท้ังนจี้ ะได้แกไ้ ขถูกต้อง
6. เพื่อนผู้สอนควรบันทึกความก้าวหน้าในการเรียนของเพื่อนผู้เรียนตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ี
กำหนดไว้
7. ครูผู้ดูแลรับผิดชอบจะต้องติดตามผลการสอนของเพื่อนผู้สอนและการเรียนของเพื่อนผู้เรียนด้วยว่า
ดำเนนิ การไปในลกั ษณะใดมปี ัญหาหรอื ไม่
8. ครูให้แรงเสรมิ แกท่ ัง้ 2 คนอยา่ งสมำ่ เสมอ
9. ช่วงเวลาในการให้เพ่อื นชว่ ยเพื่อนไม่ควรใช้เวลานานเกินไปงานวจิ ัยระบวุ ่าระยะเวลาที่มีประสิทธิภาพ
ในการให้เพือ่ นชว่ ยเพ่ือนในระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาอยรู่ ะหวา่ ง 15-30 นาที
10.เพ่ือนผู้สอนมกี ารยกตวั อยา่ งประกอบการสอนจงึ จะช่วยใหเ้ พ่อื นผเู้ รยี นเรียนเข้าใจเนื้อหาไดด้ ยี ่ิงขึ้น
วัตถุประสงคข์ องวิธกี ารจัดการเรยี นรแู้ บบเพ่ือนช่วยเพ่อื น
การสอนแบบกลมุ่ เพ่ือนช่วยเพือ่ น เป็นวิธกี ารทม่ี ุ่งใหน้ ักเรียน เกิดแรงจูงใจตอ่ การเรียนมากข้ึน เน่ืองจาก
นักเรียนทุกคนมีบทบาทในกิจกรรการเรยี นการสอนวิธีการสอนดังกล่าวมีจดุ ประสงค์(พิทักษ์ ปีนามา. 2543: 29,
อ้างถงึ ใน วนั วฐิ สรณารักษ.์ 2554: 42) ดังน้ี
1. เพื่อเป็นการส่งเสริมในเรื่องกระบวนการกลุ่มของนักเรียนให้ช่วยเหลือกันตลอดจนเห็นคุณค่าของ
การศกึ ษาหาความรดู้ ว้ ยตนเอง
2. เพ่ือให้นกั เรียนมรี ะดบั ความสามารถทีแ่ ตกต่างกนั สามารถเรยี นประสบการณ์อย่างเดยี วกนั ได้
3. เพ่ือให้นักเรียนสมารถเรียนรู้จากแหล่งต่างๆ มากขึน้ เช่น จากเพ่อื นนกั เรยี นด้วยกนั หรืออุปกรณ์การ
เรียนทีใ่ ชร้ ่วมกนั
4. เพอ่ื สร้างทัศนคตทิ ่ดี ี รวมท้ังแรงจงู ใจในการเรียนเน่อื งจากนักเรียนผสู้ อน จะรู้สกึ ภาคภมู ใิ จ หรอื รู้สกึ ว่า
ตนเองไดร้ บั ความสำเร็จในการเรยี น ก็ลดความกังวลในเรอื่ งขอ้ บกพรอ่ งของตนเอง
5. เพื่อใหก้ ารเรียนการสอนมีลักษณะเป็นการสื่อสารมากขึน้ ลักษณะดังกล่วจะทำใหป้ ฏิสัมพันธ์ระหว่าง
นักเรียนมมี ากขึน้ เนอ่ื งจากบรรยากาศในชัน้ เรยี นมคี วามเป็นกนั เอง
19
6. ครจู ะเป็นแต่เพียงผ้ใู ห้คำแนะนำ ใหค้ ำปรกึ ษา และคอยสังเกต ตลอดจนทำการแก้ไขปัญหาทเ่ี กิดข้ึนใน
การเรียนการสอนของนักเรียนแตล่ ะกลุ่ม
ข้อดขี องการเรียนแบบเพ่ือนช่วยเพอ่ื น
ข้อดีของการใช้เพื่อนช่วยเพื่อน การใช้เพ่ือนชว่ ยเพื่อนเป็นพฤติกรรมการใหค้ วามช่วยเหลือประเภทหนึ่ง
บุคคลทท่ี ำหน้าที่ในการให้ความชว่ ยเหลือเปน็ อาสาสมัครทีเ่ ข้ารับบทบาทในการชว่ ยเหลือผู้อ่ืน เพื่อนช่วยเพื่อนมี
ความหมายกว้างขวาง รวมไปถึงการสรา้ งสัมพันธภาพระหว่างบุคคล การฝึก การเป็นผู้นำการสอนพิเศษหรือการ
ชว่ ยเหลือในรูปแบบอ่นื วธิ ีน้ีสมารถช่วยเหลอื เพือ่ นเปน็ รายบุคคล ไดอ้ ย่างทั่วถึงภาษาทใี่ ช้เป็นภาษาเดียวกันทำให้
เพอื่ นกล้ำาชกั ถาม เน่ืองจากเพ่ือนมคี วามใกล้ชิดมากกว่าครู เพื่อนจะสามารถชว่ ยแก้ปญั หาให้กล่มุ ได้อย่างตรงจุด
นอกจากนี้เพื่อนผู้ทำหน้าที่ช่วยเพ่ือนยังมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต้องหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ
กลา่ วโดยสรุปถงึ ขอ้ ดีของการใช้เพอ่ื นช่วยเพอื่ นมดี งั ตอ่ ไปนี้
1. เป็นการสนองความต้องการและความแตกต่ำงระหวา่ งบคุ คลไตเ้ ป็นอยา่ งดี
2. เป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนได้อย่างมาก เช่น ปัญหาช่องว่างระหว่างครูกับนักเรียน
ปญั หาขาดแคลนครู
3. ส่งเสรมิ การทำงานร่วมกนั เปน็ หมคู่ ณะและการใช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์
4. เพอื่ นผ้รู ับการช่วยเหลือจากเพ่อื นมีโอกาสพัฒนาตนเองจากการปฏิสมั พันธ์ในกลุ่มทำให้เกดิ ความมั่นใจ
ในตนเองมากขึ้น
5. เพ่อื นผใู้ ห้การชว่ ยเหลือเพือ่ นสามารถตรวจสอบความรู้และมีโอกาสพัฒนา
6. เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในหลายสถานะ แทนที่เพื่อนจะเรียนรู้กบั ครูฝ่ายเดียวกไ็ ด้เรียนรู้จากแหลง่ อื่นๆ
ดว้ ยเช่นกันจากเพอื่ นด้วยกันเอง
7. เพื่อสร้างแรงจูงใจและทัศนคติในการเรยี นโดยเฉพาะอย่างยิง่ เพื่อนท่ีมีความกงั วลในเรือ่ งข้อบกพร่อง
ของตนเองจากการสนทนากับเพื่อนวัยเดียวกัน อาจทำให้เพื่อนผู้รับการช่วยเหลือเข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้ง่ายข้ึน
ขณะเดียวกนั เพื่อนผใู้ ห้การชว่ ยเหลอื จะรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สกึ วา่ คนไดร้ ับความสำเร็จในการชว่ ยเหลอื เพื่อน
20
ขน้ั ตอนและกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใชเ้ ทคนิคการสอนแบบเพอ่ื นชว่ ยเพอ่ื น
1. ชี้แนะและกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญ และเกิดความเชื่อมั่นว่าการเรียนแบบกลุ่มเพื่อนช่วย
เพอื่ น นกั เรียนจะได้รับประโยชนส์ ูงสดุ
2. ชแี้ นะให้นักเรยี นเข้าใจบทบาทของตัวเองและให้เกดิ การยอมรับเพ่อื นในกล่มุ
3. ครูต้องคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลอื นกั เรยี น เมื่อนักเรียนประสบปัญหาการเรียนรู้
4. ประเมนิ ความกา้ วหน้าในการเรยี นของแตล่ ะกล่มุ เปน็ ระยะๆและใช้กจิ กรรมกระตนุ้
ใหน้ กั เรียนเกดิ แรงจงู ใจในการเรียน เชน่ แข่งขนั การเรียนระหว่างกลุ่ม
5. ครูต้องเตรียมสื่อการเรียน แหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ให้เพียงพอ ที่จะให้นักเรียนได้ค้นคว้าและแสวงหา
ความรู้อยู่เสมอ
6. กระจายเนอ้ื หาออกเปน็ ส่วนย่อย ๆ แล้วจัดเรียงลำดบั ความสำคญั ตามความเหมาะสม
7. เรียมแบบฝึกหดั และแบบทดสอบประกอบการเรียนให้พร้อมท่จี ะใช้อยูเ่ สมอ
8. คัดเลอื กนักเรียนผู้นำเรยี น (Tutors) โดยใหม้ ีคุณสมบตั ิ ดงั น้ี
8.1 เป็นผมู้ ผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนสูง
8.2 เปน็ ผ้มู คี วามเสยี สละ และสมัครใจทจี่ ะทำหน้าที่น้ี
8.3 เปน็ ผู้มคี วามประพฤตติ ี เป็นที่ยอมรบั ของเพอ่ื นในกลุ่ม
9. คัดเลือกผู้เรยี น (Tutees) โดยมีหลกั เกณฑก์ ารคัตเลือก ดงั นี้
9.1 เปน็ ผมู้ ผี ลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นต่ำ
9.2 เป็นผมู้ ีปัญหาทางด้านการเรยี นด้านอ่นื เช่น ขาดเรียนบอ่ ย
21
กระบวนการจดั การเรยี นการสอนโดยใชเ้ ทคนิคการสอนแบบเพือ่ นชว่ ยเพือ่ น
รูปแบบการสอนแบบกลุ่มเพื่อนชว่ ยเพื่อน
1. การสอนโดยเพ่อื นร่วมชั้น (Class-wide Peer Tutoring) เปน็ การสอนท่ีเปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นท้ังสองคน
ท่ีจบั คู่กนั มีสว่ นร่วมในการเรียนการสอน ใดยใหผ้ เู้ รียนท้ังสองไดส้ ลับบทบาทเป็นท้ังนักเรยี นผู้สอนท่ีคอยถ่ายทอด
ความรูใ้ ห้แกน่ กั เรียนผู้เรยี น และนกั เรยี นผูเ้ รียนซึ่งเปน็ ผทู้ ีไ่ ด้รับการสอน
2. การสอนโดยเพ่ือนตางระดบั ชั้น (Class-Age Peer Tutoring) เป็นการสอนที่มีการจับคู่ระหว่างผู้เรียน
ที่มีระดับอายุแตกต่างกัน แต่ไม่เกิน 2 ปี โดยให้ผู้เรียนท่ีมรี ะดับอายุสงู กว่าทำหน้าทีเ่ ป็นผูส้ อนและใหค้ วามรู้ ซ่ึง
ผเู้ รียนท้งั สองคนไม่จำเป็นต้องมีความสามารถทางการเรียนทแ่ี ตกตา่ งกันมาก
3. การสอนโดยการจบั คู่ (One-0-One Tutoring) เปน็ ภารสอนทใ่ี ห้ผู้เรยี นท่ีมคี วามสามารถทางการเรียน
สูงกว่าเลือกจบั ค่กู บั ผ้เู รียนทีม่ คี วามสามารถทางการเรียนตำ่ กว่าด้วยความสมคั รใจของตนเอง แล้วทำหนา้ ทีส่ อนใน
เรอื่ งท่ีตนเองมคี วามสนใจ มีความถนดั และมีทกั ษะทดี่ ี
4. การสอนโดยบุคคลทางบ้าน (Home-Based Tutoring) เปน็ การสอนท่ใี หบ้ คุ คลท่บี ้านของผู้เรียนมีส่วน
รว่ มในการสอนใหค้ วามช่วยเหลอื ในการพฒั นาความรู้ ความสามารถแกบ่ ุตรหลานของตนระหวา่ งทบ่ี ตุ รหลานอยู่ท่ี
บา้ น
มาร์แฮดี และคณะ (Maheady: et al. 1994: 269-289) ไดร้ วบรวมวิธกี ารสอนโดยระบบเพื่อนช่วยเพื่อน
ดงั นี้
1. การสอนโดยเพือ่ นตา่ งระดับชนั้ (Cross-Age Tutoring)เป็นการสอนที่มกี ารจับคู่กนั ระหว่างผู้เรียนที่มี
ระดับอายุแตกต่างกัน โดยใหผ้ ้เู รียนทีอ่ ยู่ในระดับชน้ั สงู กว่าหรอื ผู้เรียนท่ีมีอายุมากกว่า ซ่ึงอยู่ภายใด้การดูแลและ
การควบคุมของครูผูส้ อนเป็นผูร้ บั ผิดชอบ ช่วยเหลือและถ่ายทอดความรูแ้ ก่ผูเ้ รียนท่ีมีความสามารถทางการเรียน
น้อยกวา่
2. การสอนโดยสลับบทบาท (Reverse-Role-Tutoring) เป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนจับคู่การทำกิจกรรม
โดยเปน็ การจับคูร่ ะหว่างผเู้ รียนทมี่ ีระดับอายุมากกว่าแต่เปน็ ผู้ทมี่ ีความสามารถทางการเรยี นต่ำกว่า หรือเป็นผู้ที่มี
ความบกพร่องในการเรยี นรู้ กับผเู้ รยี นที่มีอายุนอ้ ยกว่าแต่มรี ะดับสตปิ ญั ญาอยู่ในระดับปกติ ผเู้ รียนทั้งสองจะสลับ
บทบาทกนั เป็นทง้ั นกั เรียนผู้สอนซงึ่ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และนักเรียนผู้เรียนซึง่ เป็นผู้ใดร้ ับการสอน การสอนนี้ยัง
เปน็ การสอนท่สี ่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนเกิดความรสู้ กึ มองเห็นคุณค่าในตนเอง
22
3. การสอนโดยเพื่อนร่วมชั้น (Class wide Peer Tutoring) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีการจัด
กิจกรรมใดยครแู บ่งผเู้ รยี นออกเปน็ สองทีม ภายในแต่ละที่มีการจับคู่กันเพอ่ื ร่วมกันทำกิจกรรมผเู้ รียนแต่ละดู่จะได้
สลบั บทบาทกนั เปน็ ทัง้ นกั เรยี นผ้สู อนและนักเรยี นผ้เู รยี นในขณะทำกิจกรรม หากนักเรียนผเู้ รยี นทำส่ิงใดไม่ถูกต้อง
จะได้รับการเสริมแรงจากนักเรียนผู้สอนเพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้แก่นักเรียนอีกด้วย เนื่องจากมีการแข่งขัน
ระหวา่ งทีม มีประกาศทมี ท่ีชนะและมีรางวลั ให้
ตวั อย่างและวธิ กี ารในการสอนโดยใชเ้ ทคนิคการสอนแบบเพอ่ื นช่วยเพื่อน
การเรียนการสอนแบบกลุ่มเพ่อื นชว่ ยเพอ่ื น เป็นการจัดกระบวนการเรยี นรใู้ ห้ผูเ้ รียน เรยี นจากเพ่ือนในวัย
เดียวกัน (Peer tutoring) หรืออาจจะให้นักเรียนที่มีวัยวุฒิสูงกว่าเป็นผู้ช่วยสอนนักเรียนที่มีวัยวุฒิน้อยกว่าก็ได้
(Cross-age tutoring) ครเู ป็นผู้วางแผนการสอนเพ่อื ชว่ ยเหลอื นกั เรยี นเท่านนั้ ในการจัดกลุม่ นักเรยี นในแต่ละกลุ่ม
จะจำแนกเป็นนักเรยี นที่เรียนเก่งเรียนปานกลาง และเรียนออ่ นคละกัน โดยให้นักเรียนทีเรยี นเก่งเป็นผู้ถา่ ยทอด
ความรู้ หลักเกณฑใ์ นการจดั กลุ่ม (กัลยา ขนุ สงู เนนิ .2540: 21) ดังน้ี
1. นำผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนกั เรียนมาเรียงลำดบั จากมากมาหาน้อย
2. นำคะแนนมาพจิ ารณาแลว้ แบ่งนักเรยี นออกเปน็ กลุ่มยอ่ ย ดังนี้
2.1 ถ้าแบง่ กลมุ่ ยอ่ ยละ 4 คน จะได้นกั เรยี นทไี่ ด้คะแนนสูงรอ้ ยละ 25 ของนักเรียนทั้งหมด เป็น
กล่มุ เกง่ นักเรยี นท่ไี ด้คะแนนถัดลงมารอ้ ยละ 50 ของนักเรยี นทงั้ หมดเปน็ กลุม่ ปานกลางและนักเรียนท่ีได้
คะแนนตำ่ ทเี่ หลอื รอ้ ยละ 25 ของนักเรยี นทัง้ หมดเป็นกลุ่มอ่อนจะได้นักเรียนในอตั ราส่วน เกง่ :ปานกลาง:
อ่อน เปน็ 1:2:1
2.2 ถา้ แบ่งกลมุ่ เป็นกล่มุ ละ 3 คน จะได้นกั เรียนที่ไดค้ ะแนนสูงร้อยละ 33 ของนักเรียน ท้ังหมด
เปน็ กลมุ่ เกง่ นกั เรียนที่ใด้คะแนนถดั ลงมาร้อยละ 34 ของนักเรยี นทง้ั หมดเปน็ กลุ่มปานกลาง และนักเรียน
ที่ได้คะแนนต่ำที่เหลือร้อนละ 33 ของนักเรียนทั้งหมดเป็นกลุ่มอ่อนจะได้นักเรียนในอัตราส่วน
เกง่ :ปานกลาง:อ่อน เปน็ 1:1:1
2.3 ถ้าแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มละ 2 คน จะได้นักเรยี นคะแนนสูงร้อยละ 50 ของนักเรียนทั้งหมด
เป็นกลุ่มเก่ง และนักเรียนทีไ่ ด้คะแนนต่ำที่เหลืออีกร้อยละ 50 ของนักเรยี นทั้งหมดเป็นกลุ่ม อ่อน จะได้
นกั เรยี นในอัตราส่วน เกง่ :อ่อน เป็น 1:1
23
หลงั จากทจ่ี ัดกลมุ่ ผู้เรียนแลว้ ให้แบ่งหน้าท่ีของนักเรียนเปน็ ผนู้ ำเรยี น (Tutors) และผ้เู รียน (Tutees) โดย
นักเรียนทเ่ี รียนเก่งเป็นผนู้ ำเรียนและนกั เรียนที่เรียนปานกลางและเรียนอ่อนเปน็ ผู้เรียน ส่งิ ท่ีคผู้สอนด้องปฏิบัติใน
ขั้นการเตรียมการสอนและระหวา่ งการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน(วนดิ า วงศ์สาขา. 2540: 35) เป็นดงั น้ี
1. ชี้แนะและกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญ และเกิดความเชื่อมั่นว่าการเรียนแบบ กลุ่มเพื่อนช่วย
เพอ่ื น นักเรยี นจะไดร้ บั ประโยชน์สงู สุด
2. ช้ีแนะให้นกั เรยี นเข้าใจบทบาทของตวั เองและให้เกิดการยอมรบั เพอื่ นในกลุ่ม
3. ครูตอ้ งคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลอื นักเรียน เม่ือนักเรยี นประสบปัญหาการเรียนรู้
4. ประมินความก้าวหน้าในการเรียนของแต่ละกลุ่มเป็นระยะๆ และใช้กิจกรรมกระตุ้นให้นักเรียนเกิด
แรงจูงใจในการเรยี น เชน่ แช่งขนั การเรียนระหวา่ งกลมุ่
5. ครูต้องเตรียมสื่อการเรียน แหล่งการเรียนรูต้ ่างๆ ให้เพียงพอ ที่จะให้นักเรียนได้ค้นคว้า และแสวงหา
ความร้อู ยเู่ สมอ
6. กระจายเน้ือหาออกเป็นสว่ นย่อย ๆแล้วจัดเรียงลำดับความสำคญั ตามความเหมาะสม
7. เตรียมแบบฝกึ หัดและแบบทดสอบประกอบการเรียนให้พรอ้ มที่จะใช้อย่เู สมอ
8. คดั เลือกนักเรียนผู้นำเรยี น (Tutors) โดยให้มคี ณุ สมบัติ ดงั นี้
8.1 เป็นผูม้ ผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนสูง
8.2 เป็นผมู้ คี วามเสียสละ และสมคั รใจท่จี ะทำหนา้ ทนี่ ้ี
8.3 เป็นผู้มคี วามประพฤติดี เป็นทย่ี อมรบั ของเพือ่ นในกลมุ่
9. คัดเลือกผเู้ รียน (Tutees) โดยมีหลกั เกณฑ์การคัดเลือก ดงั น้ี
9.1 เป็นผมู้ ผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นตำ่
9.2 เป็นผู้มีปญั หาทางดา้ นการเรยี นด้านอ่นื เชน่ ขาดเรียนบ่อย
24
ชูศรี วงศ์รัตนะ และคณะ (2545: 39-40) กล่าวถึง หลักสำคัญที่ควรคำนึงถึงและควรดำเนินการใช้
กิจกรรมการสอนแบบเพือ่ นสอนเพอ่ื นหรือเพอื่ นช่วยเพอื่ น ควรดำเนินการตามแนวทางดังน้ี
1. เพื่อนผู้สอนต้องมีลักษณะที่จำเป็น เช่น เข้าใจจุดประสงค์การสอน จำแนกได้ว่าคำตอบที่ถูก ที่ผิด
แตกต่างกันอย่างไร สมารถให้การเสริมแรงแก่เพื่อนๆ รู้จักบันทึกความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของเพื่อน และมี
มนุษยส์ ัมพนั ธ์ทีด่ กี ับเพอ่ื นผูเ้ รยี น
2.กำหนดจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมท่ชี ัดเจน เพ่ือใหผ้ ู้เรียนทัง้ สองคนช่วยกันเรยี นร้ใู ห้บรรลุ ตามเป้าหมาย
ในการเรยี นรู้
3. กำหนดขน้ั ตอนการสอนชดั เจน และให้เพ่ือนผูเ้ รียนรตู้ ามชั้นตอนที่กำหนด
4. เรื่องท่ใี ช้เรียนรู้ ควรเปน็ เรื่องสนั้ ๆ ใช้เวลาเรียนรู้รว่ มกันประมาณ 30 นาที และยงั ได้ กล่าวได้ว่า การ
สอนแบบเพ่ือนช่วยเพ่อื นหรอื ใหน้ กั เรยี นช่วยเหลอื ซง่ึ กันและกันเปน็ ผลดตี อ่ ผู้เรยี นหลายอย่าง คอื
4.1 ทำใหผ้ เู้ รียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นดขี ้ึน
4.2 ผู้เรียนทราบผลการเรียนของตนเอง รู้ข้อบกพร้องของตนเองและสามารถแก้ไขได้ทันที
เพราะได้รบั การชว่ ยเหลอื จากเพื่อนรว่ มชัน้
4.3 ลดบทบาทของครูลงให้ผู้เรียน คือ ผู้เป็นคู่เพื่อนสอนมีบทบาทมากขึ้นซึ่งอาจเป็นผลดีกับ
เพื่อนผสู้ อนตวั ยเพราะการไดพ้ ูดอธบิ ายบทเรียนให้เพอ่ื นฟัง หรือการชว่ ยเหลอื เพื่อนจะทำให้เพ่ือนผู้สอน
ไดข้ ยายความคิดความเข้าใจของตนไปด้วย
4.4 ผเู้ รียนที่เป็นเพ่ือนผู้สอนมีโอกาสได้สงั เกตการณ์สอนของครู เพ่ือนำมาเปน็ แบบอย่างในการ
ชว่ ยเหลือเพ่ือนไดข้ ยายความคิด ความเข้าใจของตนไปด้วยผู้เรยี นที่เป็นเพ่อื นผู้สอนมีโอกาสสังเกตการณ์
สอนของครู เพื่อนำมาเป็นแบบอย่างในการช่วยเหลอื เพื่อน ทำให้บรรยากาศในหอ้ งเรยี นเปลีย่ นจากการ
แขง่ ชนั มาเป็นการชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกัน
4.5 การใหผ้ ูเ้ รยี นช่วยเหลือผูอ้ นื่ ทำใหม้ องเห็นและเขา้ ใจปญั หาของตนเองไดด้ ยี ิ่งข้นึ
ทศั นี สนธิ (2550, หน้า 17-18) ได้จัดขน้ั ตอนใชใ้ นการจตั การเรยี นรแู้ บบเพอื่ นช่วยเพื่อน ไว้ดังนี้
1. ขั้นเตรียม ครูแจ้งวัตถุประสงค์การเรียนรู้และวิธีการเรียนโดยใช้เทคนิคเพื่อนช่วยเพื่อนให้นักเรียน
ทราบ แลว้ นำเข้าสบู่ ทเรยี นโดยการเชื่อมโยงความรู้เกา่ และความรู้ใหมใ่ หเ้ ป็นเรื่องเดียวกัน
25
2. ขั้นสอน เป็นการให้เนื้อหาลาระใหม่ตัวยวิธีการต่างๆ มีกรวางแผนในการจัดเนื้อหาอย่างเป็นสำตับ
อยา่ งเหมาะสมจากงา่ ยไปหายากตามวัตถปุ ระสงคข์ องหลกั สูตรโดยให้นกั เรียนรวมกลุ่มกันทำงานท่ีตรมู อบหมาย
ขั้นเทคนิคกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน เป็นชั้นการเรียนรู้ของนกั เรยี นแต่ละกลุ่มทีร่ วมกันทำงานท่ีครมู อบหมาย
โดยมนี กั เรยี นผู้สอนและนกั เรียนผ้เู รยี นทำหนา้ ทีด่ ังต่อไปน้ี
นักเรียนผู้สอน หมายถึง นักเรียนกลุ่มเก่งที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้โดยอธิบายตัวอย่างในแบบฝึกที่ครู
มอบหมายให้แต่ละกลุ่ม ฝึกตดิ หาคำตอบในแบบฝึกนั้นๆ โดยนกั เรียนผู้สอนใช้คำถามนำในการวิเคราะห์โจทย์แต่
ละกิจกรรม และในกระทำกิจกรรมกลุ่มทุกครั้ง เมื่อเริ่มเปลี่ยนกิจกรรมข้อใหม่ต้องเปลี่ยนนักเรียนผู้สอนใหม่ทกุ
คร้งั โดยตดั เลอื กนกั เรียนผู้เรียนท่เี กิดการเรียนร้ใู นเรื่องน้ันดีแล้วมาทำหน้าที่เปน็ นกั เรยี นผู้สอนแต่ละกิจกรรมและ
นักเรียนผสู้ อนต้องไมซ่ ำ้ คนเดิม (ครกู ำหนดแนวตัวคำถามในการวิเคราะห์โจทย์แต่ละกจิ กรรมใหก้ ับนัทเรียนผู้สอน
แต่ละกลุ่มและคอยดแู ลให้ตำแนะนำอย่างใกล้ซดิ )
นักเรียนผู้เรียน หมายถึง นักเรียนกลุ่มปานกลางเป็นผู้รับฟังคำอธิบายของนักเรียนผู้สอนว่า นักเรียน
ผู้สอนพูดว่าอะไร ให้ทำอะไร และสามารถแบ่งกลุ่มกลางและกลุ่มอ่อนมีหน้าที่ซักถามข้อสงสัยได้หลังจากจบ
คำถามอธบิ ายของนกั เรยี นผู้สอน แล้วรว่ มกบั นกั เรียนผู้สอนรวมคิดคำตอบในกิจกรรมแต่ละแบบฝกึ โดยการตอบ
ขอ้ ซกั ถามนัน้ ๆ
3. ชั้นสรุป เป็นการตรวจสอบความรู้โดยให้แต่ละกลุ่มเปลี่ยนกันตรวจผลงานกลุ่ม โดยครูและนักเรียน
รว่ มกนั เฉลยคำตอบบนกระดาน ครเู ก็บรวบรวมงานของแต่ละกลมุ่ นกั เรยี นและดรู ูรว่ มอภิปรายผลงานของแต่ละ
กลมุ่ วา่ ถกู ต้อง ไมถ่ กู ต้องในสว่ นไหนเพราะเหตุใด แล้วร่วมกันสรุปความรู้ในเร่อื งท่ีเรียน
4. ขนั้ ฝึก นักเรียนฝึกทักษะจากการทำแบบฝึกหดั ในหนังสือเรียนและการทำแบบฝกึ หดั ใหน้ ักเรียนทำเป็น
รายบคุ คล
5. ชน้ั ประเมนิ ผล ประเมนิ จากพฤลกิ รรมการเรยี นรู้ของนกั เรยี น การทำแบบฝกึ หตั และแบบทดสอบ
สรปุ ไดว้ า่ การจัตการเรียนรูแ้ บบเพ่ือนชว่ ยเพ่ือน มีประโยชนส์ ำหรบั ใช้ในการจัดการเรยี นรู้ ดงั ต่อไปน้ี
1. ชว่ ยลดภาระงานของครู ทำให้ตรูสามารตดแู ด ชว่ ยเหลือนักเวียนไดอ้ ย่างท่ัวถงึ
2. ช่วยแก้ปญั หาในการเรียนของนกั เรียน ทำให้ประสทิ ธิภาพในการเวยี นเพ่มิ ขน้ึ
3. ทำให้นักเรียนเห็นคุณค่าของเพื่อนและตัวเอง อันจะนำมาซึ่งความสำเร็จทางต้านการเรียนของเขา
ตอ่ ไป
26
4. ชว่ ยสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนในห้องเรยี นใหม้ ีความเป็นกันเอง
5. ช่วยสร้างทศั นคติและแรงจูงใจในทางท่ดี ตี ่อวิชาทีเ่ รียน ครู และโรงเรยี น
6. ชว่ ยฝึกคุณธรรม จริยธรรม ร้จู กั การชว่ ยเหลือ พ่งึ พาอาศัยซึง่ กนั และกัน
สรุป
การจัดการเรยี นรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นวิธีการที่ให้นักเรียนที่มีความรู้ความสามารถและทักษะในการ
เรียน ช่วยสอน นเพื่อนที่ไม่เข้าใจในการเรยี น เป็นการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน นักเรียนผู้เรียนจะ
เกิดการเรียนรูใ้ ด้ดีและวดเร็ว นักเรยี นผูส้ อนและนกั เรียนผู้เรียนจะไดร้ ับประโยชน์อย่างมาก ทำให้เกิดทัศนดติท่ีดี
ตอ่ การเรียน ส่งผลใหผ้ ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสงู ขนึ้
การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนมีขึ้นเป็นตรั้งแรกในยคุ ของการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในประเทศ
อังกฤษ โดยให้เดก็ อ่อนวัยกว่าเรียนบทเรียนจากร่นุ พี่ สำหรบั ในประเทศไทยไดม้ กี ารนำเอาวิธีการสอนแบบเพ่ือน
ชว่ ยเพือ่ นมาประยุกตใ์ ช้เพ่อื แก้ปัญหาและปรับปรงุ คุณภาพการศึกษาในโรงเรยี นประถมศึกษาทม่ี ีตรไู ม่ครบชั้น ผด
การศกึ ษาทีไ่ ดเ้ ด็กเกดิ ความสนใจในการเรียนมากขึ้น จึงนยิ มนำมาใช้แกป้ ัญหาในการจัดการเรียนรู้
วัตถุประสงค์ของการจัตการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม รู้จัก
ช่วยเหลือซึ่งตันและกัน การสอนจากเพื่อนวัยเดียวกัน ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเพราะใช้ภาษาระดับเดียวกันและมี
ปัญหาในการเรียนที่คล้ายกัน นักเรียนผู้สอนจะได้ทบทวนความรู้ ส่วนนักเรยี นผู้เรียนก็ได้รับความรู้จากนักเรียน
ผู้สอนโดยตรง ทำให้บระบากตในการเรียนการสอนมีตวามเป็นกันเอง และเป็นการกระจายบทบาทของตรูและ
นักเรยี น ทำให้ตรูมีเวลาแกไ้ ขปัญหาในการจัดการเรยี นรู้ได้ทั่วถึงมากยิ่งขน้ึ
การจัดการเรยี นรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนมีข้ันตอน การจัดการเรียนรู้ คือ ขั้นเตรียมความพร้อม ขั้นตำเนนิ
การสอน ขั้นฝึกทักษะ ขั้นสรุปและทบทวน ชั้นวัดและประเมินผล โดยแบ่งนกั เรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละสองคน
แบบคละดวามลามารถ ประโยชน์ท่ีไดค้ อื ครูตามความสามารถดูแลนกั เรียนไดอ้ ย่างท่ัวถงึ นกั เรยี นเห็นคุณค่าของ
เพื่อนและตัวเอง รู้จักการช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยซึ่งกนั และกัน เกิดทัศนตติและแรงจูงใจทีด่ ีตอ่ วิชาที่เรียนส่งผลให้
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีทักษะเพิ่มขึ้น และมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจนำรูปแบบการ
จัดการเรยี นร้แู บบเพ่ือนชว่ ยเพือ่ นมาใชใ้ นการศึกษาครง้ั นี้
27
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น (leaning achievement) เป็นสมรรถภาพของนักเรียนทไ่ี ดร้ ับประสบการณ์จาก
การจัดการเรยี นรู้ นกั การศึกษาได้ให้ความหมายไวด้ ังนี้
พวงรัดน์ ทวีรัตน์ (2529, หน้า 29) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าหมายถึง คุณลักษณะ
รวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคดล อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอนทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤ
ดกิ รรมในต้านตา่ งๆ ของสมรรถภาพสมอง
นิภา เมธธาวิชัย (2536, หนา้ 65) ได้ใหค้ วามหมายผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนว่าหมายถึง ความรู้และทักษะ
ที่ไห้รับ ซึ่งพัฒนามาจากการเรียนการสอนวิชาต่างๆ โดยครูอาศัยเครื่องมือวัดผล ช่วยในการศึกษาว่านักเรียนมี
ความร้มู ากน้อยเพยี งใด
ภพ เลาหไพบูลย์ (2542, หนา้ 367-389) ได้ใหศ้ วามหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าหมายถึง พฤตกิ รรม
ทีแ่ หดงออกถึงความสามารถในการกระทำส่ิงได้สิ่งหนง่ึ ได้ จากทไ่ี มเ่ คยทระทำหรือกระทำไดน้ อ้ ยก่อนจะมกี ารเรียน
การ รสอน และเปน็ พฤตกิ รรมท่ีสามารถวดั ได้
อายเชนต์, อโมลด, และเมล่ ่ี (Eysenck, Amold, & Meily, 1972, p.16) กลา่ ววา่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
เปน็ ขนาดของความสำเร็จทีไ่ ด้จากการเรยี นที่อาศัยความสามารถ สัมฤทธใิ์ นการเรยี นอาจไดม้ า การที่ไม่ตอ้ งอาศัย
การทดสอบกไ็ ด้ เชน่ การสังเกต การตรวจการบ้าน หรืออาจได้รปู ของระดับคะแนนทไี่ ดจ้ ากโรงเรียน ซง่ึ ตอ้ งอาศัย
กรรมวิธีที่ซับซ้อน และระยะเวลาที่นานพอสมดวร หรืออีกวิธีหนึ่งอาจวัดได้ด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ในการเรียน
ทัว่ ไปของความสำเร็จท่ไี ด้จากการเรียน ทอ่ี าศัยความสามารถเฉพาะบุตคล โดยตวั บง่ ซ้วี ดั ผลสมั ฤทธ์ิ
กู๊ด (Good, 1973, P6) ได้ให้ดวามหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึงการเข้าถึงความรู้
(knowledge attained) หรือการพฒั นาทักษะในการเรยี น ซงึ่ อาจพิจารณาจากคะแนนท่สี อบที่กำหนดให้ คะแนน
ท่ีไดจ้ ากงานทมี่ อบหมายให้ หรอื ทัง้ สองอย่าง
จากที่กลา่ วมาสรุปได้ว่า ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจของนกั เรียนท่ีเกิดจากการ
จัดการเรยี นรู้ ซึ่งวัดไดจ้ ากแบบทตสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเฉพาะบคุ คล
28
ความหมายของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษาเรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่นแบบทดสอบวัด
ผลสมั ฤทธ์ิ แบบทดสอบความสัมฤทธ์ิ และใหค้ วามหมายไว้ดังน้ี
สรุ ชยั ขวญั เมอื ง (2522, หนำา 35) กลา่ วถงึ แบบทตสอบวัตผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นว่าหมายถึง ชดุ คำถาม
ท่มี ่งุ วดั พฤตกิ รรมการเรียนของนกั เรียนว่านักเรียนมคี วามรู้ ทกั ษะและสมรรถภาพทางสมองด้านต่างๆ ที่นักเรียน
ไดร้ บั จากการอบรมสง่ั สอนหรอื ประสบการณ์ทง้ั ปวงท้ังในโรงเรยี นและนอกโรงเรียน เปน็ การวดั ความสำเร็จในเชิง
วิชาการวา่ ในเร่อื งทเี่ รยี นไปแลว้ งอกงามมากน้อยเพยี งใด
ลว้ น สายยต, และองั คณา สายยศ (2539, หน้า 171) ได้กล่าววา่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ของนักเรียนที่ได้เรียนแล้ว ซึ่งมักจะเป็นคำถามให้นักเรียนตอบ หรือให้นักเรียน
ปฏิบัตจิ รงิ
เยาวดี วิบูลยศ์ รี (2540, หน้า 28) กลา่ ววา่ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าเปน็ แบบทดสอบวัด
ความรู้เชิงวิชาการ มักใช้วัตผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เน้นการวัดความรูค้ วามสามารถจากการเรียนรู้ในอดีด หรือ
สภาพปัจจบุ ันของแตล่ ะคน
พวงรัดน์ ทวีรัตน์ (2543, หน้า 96) สรุปว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสอบท่ีใช้วัดความรู้
ทกั ษะ และสมรรถภาพสมองต้นตา่ งๆ ทีผ่ เู้ รยี นได้รับจากประสบการณ์ท้งั ปวง
พิวิจ ฤทธิ์จรญู (2545. หนา้ 96) กลา่ วว่า แบบทดสอบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนว่าเป็นแบบทดสอบ ที่ใชว้ ดั
ความรู้ ทกั ษะ และดวามสามารถทางวชิ าการท่ีผูเ้ รยี นได้เรยี นรมู้ าแล้ววา่ บรรลผุ ลสำเรจ็ ตามจุดประสงค์ทกี่ ำหนดไว้
เพียงใด
วิไล ทองแผ่ (2547, หนา้ 142) กลา่ วว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเปน็ แบบทดสอบที่ใช้วัด
ความรู้ ความสามารถทางวิชาการของผู้เรียนทเี่ กิดจากประสบการณ์การเรียนรู้
กล่าวโดยสรุปว่า แบบทดลอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดดวามรู้ ความสามารถ
และทักษะทรงการเรียนของผู้เรียน ว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้มากน้อยเพียงใด
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหมายถงึ ผลของการเรียนการสอนที่รวมถงึ ความรู้ ความสามารถในการเรยี นเขา้ ไว้ด้วยกัน
และแสดงออกเปน็ พฤตกิ รรมท่สี ามารถวดั ไดท้ ้งั 3 ด้าน ไดแ้ ก่ ดา้ นพทุ ธิพิสัย จิตพิสัย และทกั ษะพิสัย
29
ลกั ษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น
บุญชม ศรสี ะอาด (2535, หนา้ 50) กลา่ วว่าโดยทั่วไปแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน ที่ใช้ในโรงเรยี นหรือ
สถาบันการศึกษา อาจจำแนกได้ 2 ประเภท คือ
1. แบบทดสอบองิ เกณฑ์ (criterian referenced test) หมายถงึ แบบทดสอบท่ีมุ่งสรา้ งข้นึ ตามจุดประสงค์
เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรอื คะแนนเกณฑ์ ใช้ตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไวห้ รือไม่ การวัด
ตรงตามจตุ ประสงคเ์ ปน็ หวั ใจของขอ้ สอบในแบบทดสอบชนิดนี้
2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม (norm referenced test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุม
หลักสูตร จึงสรา้ งตามตารางวิเคราะห์หลกั สตู ร ความสามารถจำแนกผู้สอบตามความเก่ง อ่อนได้ดี เปน็ หวั ใจสำคัญ
ของข้อสอบ ในแบบทดสอบประเภทนี้การรายงานอาศัยมาตรฐาน ซึ่งเป็นคะแนนที่ตามความสามารถให้
ความหมาย และแสดงถึงสถานภาพความสามารถของบุคคลนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับบุดคลอื่นๆ ที่ใช้เป็นกลุ่ม
เปรียบเทียบ
ล้วน สายย ศ. และอังคณา สายยศ (2539. หนา้ 148-150) ได้กลา่ วถงึ เครื่องมือในการวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท คอื
1. แบบทดสอบท่ีครูสร้างขึน้ เอง หมายถึง แบบทคสอบท่ีมุ่งวัดผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนเฉพาะกลุ่มท่ีครูสอน
เปน็ แบบทดสอบทค่ี รูสรา้ งขึน้ ใช้กนั ท่วั ไปในสถานศึกษา มีลักษณะเปน็ แบบทดสอบข้อเขียน (paper and pencil
test) ซงึ่ แบง่ ออกเปน็ 2 ชนิด คือ
1.1แบบทดสอบอัตนัย (subjective or essay test) เป็นแบบทดสอบที่กำหนดดำถามหรือ
ปญั หาให้ แลว้ ให้ผ้ตู อบเขียนโดยแสดงความรู้ ความคดิ เจดคติ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่
1.2 แบบทดสอบปรนัยหรือแบบให้ตอบสั้นๆ (objective test or short answer) เป็นแบบทต
สอบที่กำหนดให้ผู้สอบเขียนตอบสั้นๆ หรือมีคำตอบให้เลือกแบบจำกัดคำตอบผู้ตอบไม่มีโอกาสแสคง
ดวามรู้ ความคิดได้อย่างกว้างขวางเหมอื นแบบทลสอบอดั นัยแบบทดสอบแบบนี้แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ
แบบทดสอบถกู ผิด แบบทดสอบเดมิ คำ แบบทดสอบจับคู่ และแบบทดสอบเลือกตอบ
2.แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทตตอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนทั่ว ๆ ไปซึ่งสร้างโดย
ผู้เช่ียวชาญมีการวิเคราะห์ และปรับปรุงเป็นอย่างตจี นมีคุณภาพ มมี าตรฐาน กลา่ วคอื มีมาตรฐานในการดำเนนิ การ
สอบ วธิ ีการให้คะแนน และแปลความหมายของคะแนน
30
วไิ ล ทองแผ่ (2547, หนา้ 142-147) ไดแ้ บง่ ประเภทของแบบทดลอบวตั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนไว้ 2 ประเภท คอื
1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (teacher made test) เป็นแบบทตตอบที่ครูสร้างขึ้นเพื่อใช้วัด
ผลสมั ฤทธิ์หรอื ความสามารถทางวิชาการของผู้เรยี นท่ีให้เรียนรู้ในแตล่ ะรายวิชา แบบทดสอบชนิดน้ีมักสร้างข้ึนใช้
เฉพาะครั้งคราว เมื่อสอบเสร็จก็จะทิ้งไป จะสอบใหม่ก็สร้างขึ้นมาใหม่ หรือปรับปรุงจากแบบทดสอบชุดเติม ไม่
ค่อยได้มีการวิเคราะห์ หาคุณภาพของข้อสอบเพื่อจัดเก็บไว้ใช้ต่อไป ซึ่งถ้าหากมีการหาคุณภาพของข้อสอบและ
ปรับปรุงแก้ใข ก็จะช่วยให้ได้แบบทคสอบที่มีคุณภาพ และนำไปใช้ประโยซน์ได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้นแบบทดสอบ
ประเภทนแี้ บง่ ออกไดอ้ กี 2 ชนดิ คอื
1.1 แบบทตสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่กำหนดคำถามหรือปัญหาให้แล้วให้ผู้ตอบเขียนโดยแสดง
ความรู้ ความคดิ เจตคติ ได้อยา่ งเตม็ ท่ี
1.2 แบบทดสอบปรนัย หรือแบบให้ตอบสั้นๆ เป็นแบบทดสอบที่กำหนดใหผ้ ูส้ อบเขียนตอบสั้น ๆ หรือมี
คำตอบให้เลือกแบบจำกัดคำตอบ ผู้ตอบไม่มีโอกาสแสดงความรู้ ความคิดได้อย่างกว้างขวางเหมือนแบบทดสอบ
อัตนัย แบบทดสอบแบบนี้แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ แบบทดสอบถูก ผิด แบบทดสอบเติมตำ แบบทดสอบจับคู่
และแบบทดสอบเลอื กตอบ
2. แบบทดสอบมาตรฐาน เป็นแบบทดสอบท่มี ่งุ วัดผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนทัว่ ๆ ไปซง่ึ สร้างโดยผู้เชี่ยวซาญ
ดา้ นกระบวนการ หรอื วิธีการท่ีเปน็ ระบบ และใช้เวลามากกวา่ ท่ีครูสรา้ งขึ้นมีการวเิ คราะห์ และปรบั ปรงุ เปน็ อยา่ งดี
จนมีคุณภาพ มมี าตฐานสามารถนำไปวดั ได้อยา่ งกว้างขวางแบบทดสอบประเภทนถี้ อื ว่ามีความเปน็ มาตรฐานอยู่ 2
ประการ คือ มมี าตรฐานในการดำเนนิ การสอบซ่ึงไมว่ ่าผู้ใดจะใชแ้ บบทดสอบมาตรฐานเม่ือใดก็ตาม การดำเนินการ
สอบจะปฏิบัติเหมือนกันทุกขั้นตอน และมาตรฐานในการแปลความหมายของคะแนน ซึ่งไม่ว่าแบบทดสอบ
มาตรฐานจะใช้สอบท่ไี หน เมอ่ื ไรก็ตามกจ็ ะแปลความหมายคะแนนได้ตรงกันวา่ ใครเก่ง ออ่ น เพยี งไรโดยมีเกณฑ์
ปกติสำหรบั เปรียบเทียบคะแนนให้มมี าตรฐานเดียวกัน
วลิ สนั (Wilson. 1971, pp.645-650) ได้กลา่ วถงึ ประเภทของแบบทดสอบ ซึ่งจำแนกไว้ 2 ประเภท คอื
1. แบบทดสอบมาตรฐาน (standardized test) หมายถึง แบบทดสอบที่มีคุณลักษณะแห่งมาตรฐาน
2 อย่าง คือ
31
1.1 มาตรฐานในวธิ ีการสอบ คือ วิธกี ารดำเนนิ การสอบจะตอ้ งเหมือนกันหมดซึง่ วิธีการสอบจะกำหนดไว้
ในขอ้ สอบทกุ ฉบับ
1.2 มาตรฐานการใหค้ ะแนน คือ จะมเี กณฑ์ให้คะแนนทเ่ี รยี กวา่ เกณฑ์ปกติ(Norm) ไว้สำหรับเปรียบเทียบ
เพอ่ื บอกว่าคะแนนทไ่ี ด้จากการสอบหมายความวา่ อย่างไร
2.แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น (teacher-made test) เป็นแบบ ทดสอบที่ครูผู้สอนแต่ละวิชาสร้างขึ้นเอง
เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในวิชานั้นๆ ซึ่งครูจะสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการทดสอบย่อย (formative
test) คือวัดผลการเรียนภายหลังสิ้นสุดการเรียนในหน่วยหนึ่งๆ และเพื่อใช้ในการสอบรวม (Summative test)
คอื วดั ผลเมอื่ เสร็จสิน้ ในกระบวนการเรยี นการสอนในวชิ าน้ันๆ
จากท่กี ล่าวมาจะเหน็ ได้วา่ ชนดิ ของแบบทคสอบไดแ้ ก่ แบบทดสอบอัตนัยแบบทดสอบปรนัย แบบทดสอบ
เลือกตอบ แบบทคสอบถูกผดิ แบบทคสอบเดิมคำ แบบทดสอบจับคู่ ทผ่ี ูส้ รา้ งสรา้ งข้นึ หรอื แบบทดสอบมาตรฐาน
อยา่ งไรกค็ ามการสร้างแบบทดสอบชนิดต่างๆ นนั้ ผูส้ ร้างจะตอ้ งสร้างใหเ้ หมาะสมกบั เน้ือหาและสอดคล้องกับผล
การเรยี นรทู้ ่คี าดหวังท่ีกำหนดไว้และเลือกใช้ให้เหมาะสมกบั ผู้สอบดว้ ย
ลกั ษณะของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ ี่ดี
สริ พิ ร ทิพย์คง (2545, น. 195, พิชติ ฤทธ์ิจรูญ, 2545, น. 135-161)
1. ความเที่ยงตรง เป็นแบบทดสอบที่สามารถนำไปวัดในสิ่งที่เราต้องการวัดได้อย่างถูกต้อง
ครบถว้ น ตรงตามจุดประสงคท์ ีต่ ้องการวดั
2. ความเชื่อมั่น แบบทตสอบที่มีความเชื่อมั่น คือ สามารถวัดได้คงที่ไม่วา่ จะวดั กี่ครั้งก็ตาม เชน่
ถ้านำแบบทดสอบไปวัดกับนักเรียนคนเดิมคะแนนจากการสอบทั้งสองครั้งควรมีความสัมพันธ์กันดี เมื่อ
สอบได้คะแนนสงู ในคร้ังแรกก็ควรได้คะแนนสูงในการสอบคร้งั ที่สอง
3. ความเปน็ ปรนัย เป็นแบบทดสอบท่ีมีคำถามชัดเจน เฉพาะเจาะจง ความถกู ตอ้ งตามหลักวิชา
และเข้าใจตรงกนั เมื่อนกั เรยี นอ่านคำถามจะเขา้ ใจตรงกนั ข้อคำถามต้องชัดเจนอา่ นแลว้ เขา้ ใจตรงกัน
4. การถามลึก หมายถึง ไม่ถามเพียงพฤติกรรมขั้นความรู้ความจำ โดยถามตามตำราหรือถาม
ตามที่ครูสอน แต่พยายามถามพฤติกรรมช้นั สูงกว่าข้นั ความรู้ความจำได้แก่ ความเขา้ ใจการนำไปใช้ การ
วเิ คราะห์ การสังเคราะหแ์ ละการประเมินคา่
32
5. ความยากง่ายพอเหมาะ หมายถึง ข้อสอบที่บอกให้ทราบว่าข้อสอบข้อนั้นมีคนตอบถูกมาก
หรือตอบถูกน้อย ถ้ามีคนตอบถูกมากข้อสอบข้อนั้นก็ง่ายและถ้ามีคนตอบถูกน้อยข้อสอบข้อนั้นก็ยาก
ข้อสอบที่ยากเกินความสามารถของนักเรียนจะตอบไต้นั้นก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่สามารถจำแนก
นักเรียนได้ว่าใครเก่งใครอ่อน ในทางตรงกันข้ามถ้าข้อสอบง่ายเกินไปนักเรียนตอบได้หมด ก็ไม่สามารถ
จำแนกไดเ้ ชน่ กนั จะน้นั ขอ้ สอบที่ดีควรมคี วามยากงา่ ยพอเหมาะ ไมย่ ากเกนิ ไปไมง่ า่ ยเกนิ ไป
6. อำนาจจำแนก หมายถึง แบบทดสอบน้ีสามารถแยกนักเรียนได้วา่ ใครเก่งใคร อ่อนโดยสามารถ
จำแนกนักเรยี นออกเป็นประเภทๆ ได้ทกุ ระดบั อย่างละเอียดตงั้ แต่ออ่ นสุดจนถึงเก่งสดุ
7. ความยตุ ธิ รรม คำถามของแบบทดสอบต้องไมม่ ชี อ่ งทางชแ้ี นะให้นักเรียนที่ฉลาดใชไ้ หวพริบใน
การเดาได้ถูกต้องและไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่เกียจคร้านซึ่งดูตำราอย่างคร่าวๆตอบได้ และต้องเป็น
แบบทดสอบท่ีไม่ลำเอยี งต่อกลุ่มใดกลมุ่ หนึ่ง
สรุปได้ว่า แบบทตสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดี ต้องเป็นแบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรงความเชื่อมั่นความเปน็
ปรนัย ถามลกึ มคี วามยากง่ายพอเหมาะ มคี า่ อำนาจจำแนก และมคี วามยุตธิ รรม
องคป์ ระกอบทมี่ ีอทิ ธพิ ลต่อผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
การจัดการเรียนรู้สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำให้นักเรียนเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดามที่ต้องการ
องค์ประกอบสำคัญท่ชี ว่ ยให้การจัดการเรยี นร้เู กิดผลสมั ฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์มอี ยูด่ ว้ ยกนั หลายประการ ซ่ึงนักการ
ศึกษากล่าวไว้ดังน้ี
เพรสคอรด์ (Prescott, 1961, pp.14-16) ได้ศึกษาเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้และได้สรุปผลการศึกษาว่า
องค์ประกอบท่มี ีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น ท้งั ในและนอกห้องเรยี น ไวต้ ังนี้
1. องคป์ ระกอบทางด้านร่างกาย ได้แก่ การเจริญเตบิ โตของร่างกาย สขุ ภาพทางร่างทายขอ้ บกพร่องทาง
รา่ งกาย และบคุ ลิกท่าทาง
2. องค์ประกอบทางด้านความรัก ได้แก่ ความสัมพันธ์ของบิดา มารดากับลูก ความสัมพันธ์ทั้งหมดของ
สมาชกิ ในครอบครวั
3. องค์ประกอบทางด้านวัฒนธรรม และสงั คม ไดแ้ ก่ ขนบธรรมเนียมประเพณีความเป็นอยขู่ องครอบครัว
สภาพแวดล้อมทางบ้าน การอบรมทางบา้ น และฐานะทางบา้ น
4. องคป์ ระกอบทางความสัมพันธใ์ นเพ่ือนวยั เดยี วกนั นักเรยี นกับเพ่ือนวัยเดียวกนั ทง้ั ทบ่ี า้ นและทโ่ี รงเรียน
33
5. องค์ประถอบทางการพฒั นาแห่งตน ไดแ้ ก่ สติปัญญา ความสนใจ เจตคติของนกั เรียนต่อการเรียน
6. องค์ประกอบทางการปรับตน ไดแ้ ก่ ปญั หาการปรบั ตน การแสดงออกทางอารมณ์
แมดดอกซ์ (Maddox. 1965, p.9) กล่าวไว้วา่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของแต่ละบุคคลขึน้ อยกู่ ับองคป์ ระกอบทาง
สติปัญญาร้อยละ 50-60 ขึ้นอยู่กับความพยายามและวิธีการเรียนทีม่ ีประสิทธิภาพร้อยละ 30-40 และขึ้นอยู่กับ
โอกาสและส่งิ แวดลอ้ มรอ้ ยละ 10-15
บลูม, และคนอื่นๆ (Bloom, et al., 1971, p.643) ได้สรุปถึงองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน ไว้ดงั น้ี
1. พฤติกรรมต้านดวามรู้ ความคดิ หมายถึง ความสามารถทั้งหลายของนกั เรียนซึง่ ประกอบตัวยความถนดั
พ้ืนฐานเดมิ ของนักเรียน
2. คุณลักษณะต้านจิตพิสัย หมายถึง สภาพการณ์หรือแรงจูงใจที่จะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ใหม่
ไดแ้ ก่ ความสนใจ เจตคตติ อ่ เนื้อหาวิชาท่เี รียนในโรงเรียน และระบบการเรยี นการสอน ความคดิ เห็นเกย่ี วกบั ตวั เอง
ลกั ษณะบคุ ลกิ ภาพ
3.คุณภาพการสอน ซึง่ ได้แก่ การได้รบั คำแนะนำ การมสี ว่ นร่ามในการเรียนการสอนการเสริมแรงจากครู
การแกไ้ ขขอ้ ผิดพลาด และรู้ผลวา่ ตนเองกระทำไดถ้ ูกต้องหรอื ไม่
แคร์รอล, และไฮริสัน (Carrol, & Harrison, 1993, pp.723-733) ใต้กล่าวว่า อิทธิพลและองค์ประกอบ
ด่างๆ ท่ีมผี ลต่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี น โดยการนำเอาครู นกั เรียน และหลกั สตู ร มาเป็นองค์ประกอบ
ท่สี ำคญั โดยเชอื่ ว่าเวลาและคุณภาพของการสอนมีอิทธพิ ลโดยตรงต่อปรมิ าณความรู้ที่นกั เรยี นจะไดร้ ับ
จากที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า องค์ประประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้แก่ คุณลักษณะ
ของผู้เรียน คุณลักษณะของผู้สอน พฤติกรรมระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน กระบวนการจัตการเรียนรู้ สภาพแวดล้อม
ตา่ งๆ เช่น เพ่ือนสนทิ ปญั หาสว่ นตัว สภาพทางบา้ นพอ่ แม่ บคุ คลที่สำคัญต่อเดก็ และพ้นื ฐานของเด็ก
วิธีการวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
ศิริชัย ทาญจนวาสี (2552: 153) กล่าววา่ การวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน/Achievement) เปน็ การวัดผล
การเรยี นรู้ตามแผนท่กี ำหนดไว้ล่วงหนา้ อนั เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนในช่วงเวลาโดเวลาหนึ่งท่ีผ่านม โดย
ม่งั วัดสิ่งทผี่ เู้ รียนไดเ้ รยี นรภู้ ายใตส้ ถานการณท์ ี่กำหนดข้ึนซ่ึงอาจเปน็ ความร้หู รือทกั ษะ อันบง่ ขอทถงึ สถานภาพของ
การเรยี นรูท้ ีผ่ า่ นมาหรือสถานภาพการเรยี นรทู้ ่ีบุคคลน้ันไดร้ ับ
34
พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2530) ได้กล่าวว่า การวัดพฤติกรรมต้านความรู้ดวามจำ คือ การวัดความสามารถใน
การระลึกเก่ยี วกับความรแู้ ละประสบการณ์ต่าง ๆ ทไี่ ดร้ บั จากการเรียนการสอนโดยตรง คำถามที่ใช้วัดพฤดิกรรม
ต้านความรูค้ วามจำมีอยู่ 3 ชนดิ ดังนี้
1. ถามความรูใ้ นเนอ้ื เร่ือง เปน็ การถามรายละเอยี ดในลักษณะที่เปน็ การบง่ ถงึ ความหมายและข้อเทจ็ จริงต่าง ๆ
หรือเรอื่ งราวท่เี ป็นเน้อื เรอ่ื งทัง้ หลาย มีแนวการถามได้ 2 แบบ
1.1 ถามคำศพั ท์และนิยาม ไดแ้ ก่ การถามเกย่ี วกับตวามหมายท่ัว ๆ ไปความหมายเฉพาะ นยิ าม คำจำกัด
ความ และสัญลกั ษณ์ที่มีอย่ใู นเนอื้ หา
1.2 ถามสูตร กฎ ความจริง ความสำคัญ ไดแ้ ก่ การถามสูตร กฎเกณฑห์ ลักการ ทฤษฎี ความจรงิ เก่ียวกับ
เน้ือเรือ่ งและใจความสำคัญตา่ ง ๆ
2. ถามความรู้เกี่ยวกับวิธีดำเนินการ เป็นการถามเกี่ยวกับวิธีประพฤติปฏิบัติและวิธีดำเนินงานตามขั้นตอน
คำถามประเภทน้ีจะยังไมค่ ำนึงถึงผลการปฏิบัติ (Products) แต่จะเน้นถามเก่ียวกับวธิ ีการปฏิบัติ (Processes or
Procedure) เท่านัน้ มแี นวการถามได้ 5 แบบ ตงั นี้
2.1 ถามเกี่ยวกบั ระเบียบแบบแผน ได้แก่ การถามเก่ียวกบั วิธีปฏบิ ัตติ ามระเบยี บแบบแผนและธรรมเนียม
ประเพณีของเร่อื งราวน้ัน ๆ
2.2 ถามเกี่ยวกับลำดับขั้นและแนวโน้ม เป็นการถามเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามลำดับขั้นตอน และการ
คาดคะเนเกี่ยวกับแนวโนม้ ของเรือ่ งราวเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ได้แก่ การถามลำดับขนั้ หรอื ขนั้ ตอนในการปฏิบัติ
ลำดับเวลาของเหตกุ ารณห์ รอื เร่ืองราวและการเปลีย่ นแปลงของสิ่งตา่ ง ๆ หรือเรอ่ื งราววา่ จะเปน็ ไปในทาง
ใด
2.3 ถามเกยี่ วกบั การจัดประเภท ไดแ้ ก่ การวตั ความสามารถในการจำแนกแจกแจงสิง่ ด่าง ๆ หรอื เรือ่ งราว
ต่าง ๆ ให้เป็นหมวดหมู่ โดยมีเกณฑห์ รือวธิ กี ารอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งเป็นหลัก
2.4 ถามเกี่ยวกับเกณฑ์ ได้แท้ การถามเกี่ยวกับเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณา วินิจฉัยตรวจสอบสิ่งด่าง ๆ
ขอ้ เท็จจริงตา่ ง ๆ วา่ มีความสำคัญหรือไม่ ตา่ งกันหรอื เหมอื นกนั
2.5 ถามวิธีการหรือการดำเนินการ ได้แก่ การถามเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติหรือกรรมวิธีต่าง ที่จะทำให้เกิด
กิจการนั้น ๆ หรือเรื่องราวนั้น ดำเนินสำเร็จลุล่วงไปได้ตามหลักการหรือตามกฎ
35
การเขียนคำถามลักษณะนี้มี 2 แบบ คือ ถามวิธีการซึ่งเปีนการถามถึงวิธีการหรือเทคนิคที่ใช้ปฏิบัติและ
ถามเปรยี บเทยี บว่าวธิ ีใดดีกว่า หรอื มปี ระสทิ ธภิ าพมากกวา่ วิธีอ่นื ตามท่รี ะบไุ ว้
3. ถามความคิดรวบยอด เป็นการวัดความ สามารถของผู้เรียน สามารถจดจำสิ่งที่เรียนหลักการหรือหลักวิชา
ของเรอ่ื งราวเนอื้ หาต่าง ๆ ได้มากน้อยเพียงใด รวมถึงสามารถขยายหลกั การหรอื หลักวิชานัน้ อา้ งองิ ไปสู่ส่ิงอ่ืนหรือ
สถานการณ์อื่น ๆ ที่หลักการหรือหลักวิชานั้นตรอบคดุมถึงไต้มากน้อยเพียงไต ความคิดรวบยอดนี้เป็นความรู้
ความจำประเภทสุดท้าย ทม่ี ีความสำคญั มาก มีแนวการถามอยู่ 2 แบบ ดงั น้ี
3.1 การถามเก่ียวกับหลักวิชาการและการขยายหลักวชิ า การถามความจำในส่ิงที่เปน็ ดติ สาระสำคญั หรอื
หลักการซึ่งเป็นข้อสรปุ ของเรื่องราวนัน้ ๆ เฉพาะเรื่องราวถึงความสามารถขยายคติ สาระสำคัญหรือหลักการซึง่
เป็นข้อสรปุ ของเรือ่ งราวน้ัน ๆ ไปสู่เรอ่ื งราวอื่น ๆ ทีม่ สี ถานการณ์ทำนองเดยี วกันลามที่ไดเ้ รียนรู้
3.2 การถามเกี่ยวกับทฤษฎีและโดรงสร้าง ได้แก่ การถามในสิ่งที่เป็นหลักการซึ่งเป็นข้อสรุปรวมจาก
หลาย ๆ หลักวิชาที่เป็นเรื่องราวเดียวกันผสมผสานกันเปน็ ทฤษฎหี รือโครงสร้างขึ้นมาคำถามแบบนี้กับแบบแรก
ตรงที่คำถามแบบแรกจะถามเก่ียวกับหลักการของเนอ้ื หาต่าง ๆ ทไ่ี ม่สัมพันธก์ ันหรอื เป็นชนิดเดยี วกนั โดยตรงแตอ่ ยู่
ในสกลุ เดียวกนั ส่วนคำถามแบบท่ีสองน้ี จะถามเกย่ี วกับหลกั การจากของหลายสง่ิ หลายเนื้อหาท่ีสัมพันธ์กันจะอยู่
ในสกลุ เดยี วกนั เพอ่ื ค้นหาทฤษฎีและโครงสรา้ งทเ่ี ปน็ ตวั สว่ นของเน้อื หาเหลา่ นน้ั
เยาวดี วิบูลย์ศรี (2548) กล่าวถึงการวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนไว้ดังนี้
1. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการวัดความเจริญงอกงามของนักเรียนการเปลี่ยนแปลงและ
ความก้าวหนา้ ไปสู่วัตถุประสงคท์ ี่วางไว้ ตังนั้นครูควรจะทราบว่าก่อนเรยี นนักเรียนมคี วามรู้ความสามารถอยา่ งไร
เมื่อเรยี นเสรจ็ แล้วมีความรู้แตกตา่ งจากเติมหรือไมโ่ ดยการทตสอบกอ่ นเรียนและทดสอบหลังเรียน
2. การวัดผลเป็นการวัดผลทางอัอมเป็นการยากที่จะใช้ข้อสอบแบบเขียนดอบวัดพฤติกรรมตรง ๆ ของ
บุคคลไดส้ ่ิงทว่ี ัดได้คอื การตอบสนองต่อขอ้ สอบดังนัน้ การเปล่ียนวัตถุประสงค์ให้เปน็ พฤตกิ รรมที่จะสอบจะต้องทำ
อย่างรอบคอบและถูกต้อง
3. การผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเป็นการยากท่ีจะวดั ทกุ สิง่ ทกุ อยา่ งที่สอนไดภ้ ายในเวลาจำกัดสิ่งที่วัดได้เป็น
เพยี งตวั แทนของพฤติกรรมทัง้ หมดเท่าน้นั ดงั น้นั ตอ้ งมน่ั ใจวา่ สง่ิ ท่ีวัดนั้นเปน็ ตัวแทนแท้จริงได้
4. การวัตผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นเครื่องช่วยพัฒนาการสอนของครูและเป็นเครื่องช่วยในการเรียน
ของเด็ก
36
5. การวัดผสสัมฤทธท์ิ างการเรยี นควรจะเน้นในการวัดความสามารถในการใช้ความรู้ให้เปน็ ประโยชน์หรือ
การนำความรไู้ ปใช้ในสถานการณใ์ หม่ ๆ
กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มสาระการเรยี นรู้ศิลปะ ตาม
หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ ดังน้ี
1. เพื่อวินิจฉัยดวามรู้ตวามสามารถ ทักษะและกระบวนการ เจดคติ คุณธรรมจริยธรรมและคู่นิยมของ
ผู้เรียน และเพอ่ื ซ่อมเสริมผู้เรียนใหพ้ ฒั นาความรคู้ วามสามารถและทักษะไดต้ ามศักยภาพ
2. เพื่อใช้เปน็ ข้อมูลป้อนกลับให้แก่ผเู้ รียนเองว่าบรรลตุ ามมาตรฐานการเรียนรเู้ พยี งใด
3. เพอื่ ใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ในการสรปุ ผลการเรียนรูแ้ ละเปรยี บเทยี บถึงระดับพัฒนาการของการเรียนรู้
ในส่วนพฤติกรรมความรู้ที่ต้องการวัดนั้น ต้องจำแนกแยกย่อยตามทฤษฎีใตทฤษฎีหนึ่งถ้าเป็นการวัด
ความรู้ ดา้ นพทุ ธพิ ิสัย ตามทฤษฎขี อง บลูม (Bloom, 1976: 21) กจ็ ะจำแนกพฤตกิ รรม ออกเปน็ 6 ระดบั ดังน้ี
1. ความรู้ ไดแ้ ก่ พฤดิกรรมดวามร้ทู ่ีแสดงถึงการจำไดห้ รอื ระลึกได้
2. ความเข้าใจ ได้แก่ พฤติกรรมความรทู้ ีแ่ สดงว่าสามารถอธิบายไดข้ ยายความดว้ ยดำพูดของคนเองไต้
3. การนำไปใช้ ได้แก่ พฤดกิ รรมความร้ทู ่ีแสดงว่าสามารถนำความรูท้ ีม่ ีอยไู่ ปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ และ
ท่ีแตกต่างจากสถานการณต์ มิ ได้
4. การวิเคราะห์ ได้แก่ พฤตีกรรมความรู้ที่สมารถยกแยะสิ่งด่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ ได้อย่างมี
ความหมาย และเหน็ ดวามสมั พนั ธ์ของส่วนย่อย ๆ เหล่านัน้ ด้วย
5. การสังเคราะห์ ไดแ้ ก้ พฤดิกรรมความรทู้ ่ีแสดงถึงตวามหามารถในการรวบรวมดวามรู้และข้อมูลต่าง ๆ
เขา้ ตวั ยนอย่างเปน็ ระบบเพือ่ ใหไ้ ด้แนวทางใหม่ที่จะนำไปส่กู ารแก้ปัญหาได้
6. การประเมินค่า ได้แก่ พฤติกรรมความรู้ที่แสดงถึงความสามารถในการคัดสินคุณค่าของสิ่งของหรือ
ทางเลอื กไตอ้ ย่างถกู ต้อง
ดังนั้น เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายของการเรียนการสอน จึงควรมีการวัตผลประเมินผลซึ่งเป็นการวดั
และประเมินผลท้ังได้วามรู้ความคิด ความสามารถ ทักษะและกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม คำนิยม
วิธีการวัดและประเมินผลต้องสอดคล้องกับมาตรฐาน การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ผลการวัตผลและประเมินผลการ
เรียนรขู้ องผ้เู รยี นตอ้ งนำไปสกู่ ารแปลผล และลงขอ้ สรุปทีส่ มเหตุสมผล การวัดและประเมนิ ผลต้องมคี วามเทย่ี งและ
37
เป็นธรรม ทั้งในด้านของการวัด และโอกาสของการประเมิน ซึ่งก็หมายความถึงการวัดและประเมินผลจากสภาพ
จริง(Authentic Assessment) น่นั เอง
กล่าวได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคือผลการวัดการเปลี่ยนแปลงและประสบการณ์การเรียนรู้ใน
เนอ้ื หาสาระทเี่ รยี นมาแล้วว่าเกิดการเรยี นร้เู ท่าใตมีความสามารถชนิดใด เพ่ือบอกถึงความสามารถของบุคคลและ
คุณภาพการศึกษา อันเกิดจากการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนที่
เกิดขึ้น อนั เนื่องมาจากการฝึกอบรมส่ังสอนโดยตรงคือ พฤติกรรมทเ่ี ป็นผลการเรยี นของเด็กน่นั เอง ซึง่ ได้แก่ ดวาม
จำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวเิ คราะห์การสังเคราะหแ์ ละการประเมินค่าว่าเรียนแลว้ มีความรู้เท่าไตสามารถวัด
ได้โดยการใช้แบบทดลอบต่าง ๆ เช่นใช้ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ข้อสอบวัดภาคปฏิบัติและการวัดผลตามสภาพจริง
เปน็ ตัน
งานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วข้อง
งานวิจยั ท่ีศกึ ษา คน้ ควา้ เกย่ี วกบั กับการจัดการเรยี นร้แู บบเพื่อนชว่ ยเพ่อื นทง้ั ในประเทศและต่างประเทศ
มดี ังนี้
งานวิจยั ในประเทศ
จีเรียง บุญสม (2555, บทคัดย่อ) ศึกษาเปรียบเทียบผลของเพื่อนช่วยสอนร่วมกับการเสริมแรงที่มีต่อ
เจตคติ ความสามารถในการอา่ นออกเสยี งและความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษา
ปที ่ี 1 พบว่านกั เรยี นที่มคี วามสามารถในการอ่านตำ่ กลมุ่ เพือ่ นช่วยสอน มีคา่ เฉล่ียคะแนน เจตคติ การอ่านออก
เสียงและการอ่านจับใจความ ในระยะหลังการทดลองสูงกวา่ ระยะก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดบั
.01
คณะอาจารย์กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน
(2555:51-54) ได้ศึกษาเปรยี บเทียบ เรื่อง การจัดการเรียนโดยใช้วธิ กี ารจัดการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนกับการ
จดั การเรียนแบบปกตติ ามคมู่ อื ครูของ สสวท.ทม่ี ีต่อผลสัมฤทธ์ิทางคณิตศาสตร์ และเจตคตขิ องนักเรียนท่ีมีต่อวิชา
คณติ ศาสตร์ โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทร
วโิ รฒ ปทุมวัน กรงุ เทพมหานคร ที่กำลังศกึ ษาอยใู่ นภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 4 ห้องเรยี น คิดเป็น
จำนวนนกั เรียนท้ังหมด 200 คน ได้มาโดยวธิ กี ารสุ่มอย่างง่าย (Simple Randomโดยใช้หอ้ งเรียนเป็นหน่วยการ
สุ่ม โดยจำแนกกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลอง 2 ห้องเรียน จำนวน 100 คน และกลุ่มควบคุม
2 ห้องเรียนจำนวน 100 คน ดำเนินการทดลองโดยทำการทดสอบก่อนสอนทัง้ กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม โดย
38
ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องความน่าจะเป็น ดำเนินการสอนกับนักเรยี น กลุ่ม
ทดลอง โดยใช้วิธีกรรเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนและในกลุ่มควบคุมดำเนินการสอนแบบปกติตามคู่มือครู สสวท.
ใช้เวลาในการสอนแต่ละกลุ่มจำนวน 10 คาบ คาบละ 50 นาที ทำการสอน 2 คาบต่อสัปดาห์หลังการทดลอง
คณะผู้วิจัยได้ทำการทตสอบด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรือ่ งความน่าจะเป็น ซึ่ง
เป็นฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อนการทดลอง กับกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม แล้วทำการวัดเจตคติชอง
นักเรียนที่มีตอ่ วซิ าคณติ ศาสตรก์ ับกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคมุ โดยใชแ้ บบวัดเจตคติต่อวชิ าคณิตศาสตรน์ ำผลการ
ทดสอบที่ได้มาตรวจให้คะแนนเพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูลตัวยวิธีทางสถิติ ผลการศึกษาพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังจากที่เรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน สูงกว่าคะแนน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนแบบปกติตามคู่มือครูของ
สสวท. ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ.05 และวัตเจตคติต่อวิชาสคณิตศาสตร์ของนักเรียนกายหลังจากที่เรียนโดย
วิธกี ารจตั การเรยี นแบบเพือ่ นชว่ ยเพ่ือน สงู กว่ากอ่ นที่ไดร้ บั การจัดการเรียนแบบเพ่ือนชว่ ยเพือ่ น ท่ีระดับนัยสำคัญ
ทางสถิติ .05
ชีวัน บุญตนั๋ (2556:บทคัดย่อ) ไดศ้ ึกษาเปรียบเทียบความเข้าใจในการอา่ นกาษาองั กฤษและการมองเห็น
คณุ คา่ ในตนเองของผู้เรียนก่อนและหลังการใชก้ ลวธิ กี ารเรียนแบบเพ่อื นชว่ ยเพอื่ นกลมุ่ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/6 ที่กำลังเรียนวิชาภาษาอังกฤษอ่านเขียน (อ 025) โรงเรียนสันป่าตองวิทยาคม
อำเภอสันป่าตอง จงั หวัดเซียงใหม่ จำนวน 18 คน เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวิจยั ไดแ้ ก่ แผนการสอนท่ใี ช้กลวธิ ีการเรียน
แบบเพื่อนช่วยเพอื่ น จำนวน 6 แผน แบบวัดความเขา้ ใจในการอ่านภาษอังกฤษ และแบบวัดการมองเห็นคุณค่าใน
ตนเอง ทำการหดสอบก่อนและหลังการทดลอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่ำเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐานผลการวิจัยสรุปได้ว่านักเรียนที่ใช้กลวิธีการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนมีความเข้าใจในการอ่าน
ภาษาอังกฤษหลังการทดลองสูงกว่าการทดลองและนักเรียนที่ใช้กลวิธีการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน มองเห็น
คณุ ค่าในตนเองหลังการทดลองสงู กวา่ ก่อนการทดลอง
ทัศนี สนธิ (2550, บทคัดย่อ) ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องเศษส่วน เจตดติต่อ
การเรียน และความคงทนในการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียนขั้นประถมตึกษาปีที่ 5
ที่เรียนโดยใช้เทคนิคกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนกับการสอนตามคู่มือครูของ สสวท. พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เจตตคิ ที่เรียนโดยใช้วิธีกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนสูงกว่าการสอนตามคู่มือครูของ สสวท. อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .01 และการสอนโดยใช้เทคนิคกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนและการสอนตามคู่มือครูของ สสวท. มีความคงทนใน
การเรยี นรู้
39
งานวิจยั ตา่ งประเทศ
ไลย์บลิด (Lieblich, 1977. p.680) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทกั ษะทางคณิตศาสตร์
ของนกั เรียนทีม่ ผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนตำ่ โดยมีเพ่ือนเกง่ เป็นผูช้ ว่ ยสอนโดยสอนเปน็ คู่ ๆ การใชบ้ ทเรยี นสำเร็จรูป
และการเรยี นซ้ำด้วยตนอง ปรากฎว่าผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนในสามกลุ่มแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถติ ิ ส่วนเจตคติต่อวิชาคณติ ศาสตรไ์ มแ่ ตกตา่ งกันอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติดี
อลิซเบธ (Elizabeth, 1978, pp.22-25) ทำการวิจัยถึงประสิทธิภาพของการสอนโดยให้เพื่อนช่วย
กลมุ่ ตวั อยา่ งกลุ่มละ 15 คน 2 กลมุ่ กลุ่มทดลองเรยี นโดยวิธีใหเ้ พอ่ื นชว่ ยสอนกบั กลุ่มควบคมุ เรยี นโดยการบรรยาย
ตามปกติ พบว่านักเรียนผู้สอนในกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่านักเรียนผู้เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .001 และกลุม่ ทคลองมคี ะเเนนเฉลย่ี สงู กว่ากลมุ่ ควบคุมอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .01
เฮนริคสัน (Hendrickson, 1978, pp.22-25) ได้ทดลองอ่านออกเสียงกับนักเรียนโดยใช้กลุ่ม
เพื่อนช่วยเพื่อน โดยจัดทำบัตรและภาพประกอบและคำอธิบายสั้นๆ ประโยคจะประกอบด้วยคำที่ต้องการ
ให้นักเรียนฝึกเป็นคู่ ๆ ผลปรากฎว่า นักเรียนสามารถเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถออกเสียงและจำได้
อย่างรวดเร็ว
เซลานี (Celani, 1979, pp.197-199) ได้ศึกษาเรื่องการนำเอาวิธีการสอน โดยใช้กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน
ไปใช้ในการพัฒนาทักษะการสื่อสารของนักเรียน ผลการวิจัยพบว่าการแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ ท่อให้เกิ ด
การแข่งขันระหว่างนักเรยี นในแตล่ ะกลุ่ม และนักเรียนส่วนใหญ่ มีความสามารถในการสื่อสารดีขึน้ จากการที่ได้
เรยี นกับนกั เรียนผสู้ อนท่ีมีความสามารถในการพดู ดี
จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จะเห็นว่าการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนช่วยให้นักเรียนมี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นและพัฒนาทักษะกระบวนการกลุ่มรู้จักการพึ่งพากัน การมีปฏิสัมพันธ์กันและได้
ฝึกฝนทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น สร้างบรรยากาศเป็นกันเอง ผู้เรียนมีความสุขในการร่วมกิจกรรมสามาร ถ
ส่งเสริมให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ ในด้านการคดิ วิเคราะห์ สังเคราะห์ แก้ปัญหาอย่างมีเหตุมีผลและเห็นคณุ คา่ ของ
ตนเอง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจึงศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการรชั ดา จากการจัดการเรียนแบบเพ่ือนช่วยเพื่อน เพื่อเปน็
แนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาขาวิชา
ภมู ศิ าสตร์ ต่อไป
บทที่ 3
วิธดี ำเนนิ การวจิ ัย
การวิจยั เร่ือง การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนในหัวข้อ เคร่อื งมอื ทางภมู ศิ าสตร์ โดยใช้รูปแบบ
การจัดการเรียนรู้แบบเพือ่ นชว่ ยเพื่อน เป็นวิจัยเชิงทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนภูมิศาสตร์ เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภูมิศาสตร์ โดยอาศัยแบบทดสอบก่อนเรียนและ
แบบทดสอบหลังเรียน ดงั กล่าว โดยมขี ้ันตอนการดำเนนิ การวจิ ยั ดงั น้ี
ขน้ั ศึกษาขอ้ มูลเบ้ืองต้น ข้นั ออกแบบการทดลองและเครอื่ งมอื การวจิ ัย
-วเิ คราะหเ์ นื้อหา
-ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกีย่ วกับทฤษฎผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียน -ออกแบบเครอ่ื งมือ
และแนวคดิ การจดั การเรียนรู้แบบเพอื่ นชว่ ยเพือ่ น -กำหนดเกณฑก์ ารแปลผล
สรุป/อภปิ ราย ขน้ั ทดลองใช้และตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมอื
-วิเคราะห์ขอ้ มลู
-ประเมินรูปแบบการจัดการเรยี นรูโ้ ดยผู้เช่ยี วชาญ -ทดลองใช้
- สรปุ -ตรวจสอบเน้ือหา
ภาพประกอบที่ 3.1 กรอบแสดงข้ันตอนการดำเนนิ การวจิ ยั
41
วจิ ยั นี้ กลา่ วไดว้ ่าการเรียนรู้แบบเพ่อื นชว่ ยเพ่ือน เป็นกระบวนการเรยี นร้ทู ่ีสามารถพัฒนาทักษะ
การเรยี นร้ขู องผู้เรียนให้มีศกั ยภาพท่ีสงู ขึน้ นอกจากนีย้ งั ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทีไ่ มพ่ ึงประสงค์ของผู้เรียน
ให้ดีข้นึ นักเรยี นผนู้ ำมีความมั่นใจพร้อมชว่ ยเพื่อนมากขน้ึ และผ้เู รียนให้ความสนใจ กระตือรือร้น รวมทั้ง
สนกุ สนานในการร่วมกิจกรรม ทำใหบ้ รรยากาศการเรียนรู้เป็นที่น่าพึงพอใจ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของผเู้ รียนเพ่ิมขน้ึ มีหวั ขอ้ ศึกษาดังนี้
1.ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง
2..เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั
3.การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
4.สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล
แบบแผนการวิจยั
การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยประเภททดลอง โดยใช้แบบแผนการวิจัยเป็นการทดสอบก่อนและหลัง
การจัดการเรียนรู้ One Group Pretest-Posttest Design (Fitz-Gibbon,1987:115) ซึ่งมีแบบแผนการ
วจิ ยั ดงั นี้
ทดสอบก่อนเรยี น การจัดการเรียนรู้แบบ ทดสอบหลังเรียน
T1(Per) เพือ่ นชว่ ยเพอื่ น T2(Post)
X
สัญลกั ษณ์ท่ีใช้ในแบบแผนการวจิ ยั
T1(Per) หมายถงึ การทดสอบกอ่ นการจัดการเรียนรู้
X หมายถึง การจดั การเรียนร้แู บบเพอื่ นชว่ ยเพอ่ื น
T2(Post) หมายถึง การทดสอบหลังการจดั การเรยี นรู้
42
ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
ประชากร
ประชากรเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566
โรงเรยี นเตรียมอดุ มศึกษาพฒั นาการ รัชดา จำนวน 12 หอ้ ง รวมทั้งสิ้น 586 คน
กลุ่มตัวอยา่ ง
กลุม่ ตัวอยา่ งเปน็ นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 กำลงั ศกึ ษาในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2566
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ห้อง 1/10 จำนวน 46 คน และวิธีการสุ่มกลุม่ ตัวอย่างแบบ
Cluster Sampling
เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั
เนอ่ื งจากเป็นวจิ ัยท่เี กีย่ วข้องกบั การจดั การเรียนรแู้ ละผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น จงึ จำเปน็ ที่จะต้อง
มีการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อที่จะนำการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยศึกษา เข้าไปสอดแทรกเพื่อจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ รวมถึงมีการใช้แบบทดสอบ แบบตรวจผลงาน และแบบสังเกตพฤติกรรมของผ้เู รียน
มาเป็นเคร่ืองมือในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นอกจากนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและวิเคราะห์
คุณภาพของเคร่ืองมอื ดงั รายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้
แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รายวิชา ภูมิศาสตร์ เรื่อง
เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน
ผวู้ ิจยั ดำเนนิ การสร้างโดยมีขั้นตอนดงั ต่อไปน้ี
แผนการจัดการเรียนรรู้ ายวชิ าภูมิศาสตร์ จำนวน 5 แผน แผนละ 2-3 ชั่วโมง รวม 12 ชัว่ โมง ดังน้ี
1. แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1 เร่อื ง เคร่อื งมือทางภมู ศิ าสตร์
2. แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 2 เรอื่ ง การใช้เครอื่ งมือทางภมู ิศาสตร์
3. แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 3 เรอื่ ง พิกดั ทางภูมศิ าสตร์
4. แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 4 เรอ่ื ง วนั และเวลาโลก
5. แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 5 เร่อื ง ภมู ศิ าสตรป์ ระเทศไทย
43
โดยการกำหนดข้นั ตอนของการจัดการเรียนการสอนให้เป็นไปตามข้นั ตอน การสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน
แนวคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ของมิลเลอร์, บาร์เบดดา และเฮอรอน
(Miller,Barbetta,Heron :1994 )
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียน (Pre-test) และหลังเรียน (Post-test)
เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก 30 ข้อ โดยเลือกคำตอบที่ถูกท่ีสุดเพยี งคำตอบเดียว ถ้าตอบถูกให้ 1 คะแนน
ถา้ ตอบผดิ ได้ 0 คะแนน (แบบทดสอบกอ่ นเรียน และหลงั เรยี น เป็นขอ้ สอบชุดเดี่ยวกัน แต่นำมาสลับข้อ
เพอ่ื ป้องกนั การจดจำข้อสอบ)
แบบตรวจสอบผลงาน/แบบประเมินผลงาน รายวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องเครื่องมือทางภูมิศาสตร์
ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1 โดยใช้การจัดการเรียนร้แู บบเพื่อนช่วยเพ่อื น
แบบสงั เกตพฤติกรรม การทำงานร่วมกบั ผู้อนื่ ทัง้ แบบคู่และแบบกลุม่ ตอ่ การจัดการเรียนรู้แบบ
เพอ่ื นชว่ ยเพื่อน
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
มีลำดับขัน้ ตอนดังนี้
1. ทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre - test) กับนักศึกษากลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภูมิศาสตร์ เรื่องเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ จำนวน 30 ข้อ
4 ตวั เลือก
2. ช้ีแจงให้ผ้เู รียนทราบถงึ การจัดการเรียนรแู้ บบเพื่อนชว่ ยเพ่อื น
3. ผู้วิจัยดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างโดยสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบ
เพ่อื นช่วยเพอื่ นวชิ าภูมศิ าสตร์ เรือ่ งเครือ่ งมอื ทางภูมิศาสตร์ จำนวน 5 แผน 12 ชัว่ โมง
4. ทำการทดสอบหลังเรียน (Post - test) โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
วิชาภูมิศาสตร์ เร่ืองเครอ่ื งมอื ทางภมู ิศาสตร์ เป็นข้อสอบชดุ เดียวกนั แต่นำมาสลับข้อเพื่อป้องกัน
การจดจำข้อสอบ แลว้ บันทกึ ผลการสอบไว้เป็นคะแนนสำหรบั การวิเคราะห์ขอ้ มลู
44
สถิติท่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล
วิเคราะหจ์ ากผลคะแนนท่ไี ด้จากการทำแบบทดสอบกอ่ นการเรียนและหลังการเรยี นรู้แบบเพื่อน
ช่วยเพื่อน โดยนำคะแนนที่ได้มาหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที
(One sample t-test) เพ่อื ทำการเปรยี บเทียบความก้าวหนา้ ของการพฒั นาการเรียนรเู้ รอ่ื ง เครือ่ งมอื ทาง
ภูมิศาสตร์ โดยจะนำเสนอผลในรูปแบบของการบรรยายตอ่ ไป
การดำเนินการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน มีแผนการจัดการเรียนรู้
เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเรียนการสอน ทำให้การจัดการเรียนการสอนได้ผลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด
นักศึกษามีการทำกิจกรรมร่วมกันในทุกๆ กิจกรรม มีการแสดงความคิดเห็นร่วมกัน คอยช่วยเหลือดูแล
อธิบายงานหรอื บทเรียนต่างๆ รว่ มกนั นกั ศึกษากล้าซักถาม เม่ือมปี ญั หาหรอื เกิดขอ้ สงสยั ในกิจกรรมหรือ
บทเรียนต่างๆ นักเรียนมีความสุข สนุกสนานกับการเรียนดี เกิดความสนิทสนม และเป็นการสร้าง
ความสัมพันธ์อันดี ระหว่างเพื่อนและอาจารย์ผูส้ อน อันส่งผลให้นักศึกษาทีไ่ ดร้ ับการจัดการเรียนรู้แบบ
เพื่อนช่วยเพื่อนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าภูมิศาสตร์ เรื่อง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ หลังการเรียนสงู
กว่าก่อนการเรียน
สรปุ ผลการวจิ ยั
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี1 จากการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อน
ช่วยเพื่อน วิชาภูมิศาสตร์ พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลงั เรียนดีกว่าคะแนนเฉถ่ียก่อนเรียนและผลสัมฤทธ์กิ ่อน
เรียนและหลงั เรียนแตกต่างกนั อย่างสำคัญเป็นไปตามสมมติฐานท่ีตง้ั ไวั ทัง้ นี้เนอ่ื งจากแบบทดสอบวัดผล
สัมฤทธ์ทิ างการเรยี นท่ผี วู้ ิจยั สรา้ งข้ึนมานั้นได้ ผา่ นการตรวจสอบสอดคลอ้ งของขอ้ สอบกับจุดประสงค์การ
เรยี นรู้ โดยผทู้ ม่ี ีประสบการณ์แล้วจึงสามารถนำแบบทดสอบมาวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นไปใช้จริงในการ
ทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนได้
บรรณานุกรม
- กรมวิชาการ,กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พทุ ธศักราช 2551 (พิมพ์ครัง้ ท่ี 3). กรงุ เทพฯ: คุรุสภา ลาดพร้าว.
- สุภาพร บุญภักดี. (2556). การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบรุ .ี )
- วิภาวี จำปาแก้ว. (2560). การพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เรอื่ ง การปฐมพยาบาล
โดยใช้การจัดการเรยี นรู้แบบเพอื่ นชว่ ยเพื่อน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3. (วทิ ยานพิ นธ์
ปริญญามหาบัณฑติ , มหาวทิ ยาลัยราชภฏั มหาสารคาม).
- วิการนต์ จรทะผา. (2562). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วน ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน .
(วิทยานพิ นธป์ ริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม).
- รัฐวรรณ โกมลมรรต. (2560). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องธุรกิจการ
จัดการ การเงนิ ของนกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปท่ี ี่ 2 โรงเรียนสามเสนวทิ ยาลัย จากการ
เรียนรู้แบบเพือ่ นช่วยเพื่อน. (สารนิพนธ์ ,เสนอต่อบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนอร์
ทกรงุ เทพ).
- อ.นิสากร กล้าณรงค์. (2558).การเปลี่ยนแปลงในการตอบคำถาม Where และ Why
ในภูมิศาสตร์.(ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนคริทนวิโรฒ
ภาคใต)้ .
- กฤตขจร ศรีราชา. (2561). การพัฒนาผลสมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศาสตร์ ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน .
(วทิ ยานพิ นธ์ปริญญามหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยราชภัฏขอนแก่น).
บรรณานุกรม(ต่อ)
- นครินทร์ ชุมภู.(2559). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยเทคนิคการสอนแบบ
เพ่อื นชว่ ยเพื่อนในรายวิชาเหตกุ ารณ์ปัจจุบนั ของนักศึกษาประกาศนียบัตรวชิ าชีพ ช้ัน
ปีที่2 วิทยาลยั เทคโนโลยีพายัพและบรหิ ารธรุ กิจ.
- พนอม แกว้ กำเนิด.(2556). การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น วิชาเศรษฐศาสตร์ ดว้ ย
เทคนิคการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.(วิทยานิพนธ์ปริญญา
มหาบัณฑติ ,มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนครศรีอยุธยา).
- สุเทพ อิ่มเจริญ.(2560). การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาเศรษฐศาสตร์ ด้วย
เทคนิคการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2.(วิทยานิพนธ์ปริญญา
มหาบณั ฑติ ,มหาวทิ ยาลัยศิลปากร).
- วาสนา จิตอิ่มเอม. (2560). การออกแบบการสอน และการคิดทฤษฎีการอ่าน
วิเคราะหเ์ พื่อนำไปใช้ (พมิ ครั้งท่ี 5). กรงุ เทพ:จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
- __________.(2560). การวิจัยเรื่องการสร้างแผนกิจกรรมเสริมความรู้และทักษะทาง
ภูมิศาสตร์ โดยเน้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั . สืบคน้ จาก scan-230 (cmu.ac.th) .
- ____________ . (2561). ความร้ทู ว่ั ไปเกีย่ วกับภูมิศาสตร์ บรรยายครงั้ ที่ 1. สืบค้นจาก
GE303-1.pdf (ru.ac.th)