The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง คำนาม โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by saranchna182, 2021-03-20 11:59:39

วิจัยในชั้นเรียน

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง คำนาม โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

รายงานการวจิ ยั ในชั้นเรยี น
เร่อื ง

การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นวชิ าภาษาไทย เรื่อง คำนาม
โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4

ผู้วิจัย
นางสาวสรลั ชนา เยน็ ใจ
รหสั 5911011340077

รายงานการวิจยั ในช้ันเรยี นฉบับนีเ้ ปน็ สว่ นหน่งึ ของการศกึ ษา
รายวิชา 1005809 การปฏิบตั กิ ารสอนในสถานศึกษา 2 (Internship-Externship 2)

หลักสตู รศึกษาศาสตรบัณฑติ สาขาวชิ าการประถมศกึ ษา
คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดสุ ติ
ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563

กติ ตกิ รรมประกาศ

งานวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง คำนาม โดยใช้แบบฝึก
ทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยดีเป็นเพราะผู้วิจัยได้รับความกรุณา
อย่างยิ่งจากรองศาสตราจารย์วิชัย พาณิชย์สวย อาจารย์นิเทศก์ คุณครูเอมอร รัตนมหาวงศ์ และ
คุณครูรัชชนก ชูศรี ครูพี่เลี้ยง ที่กรุณาให้คำปรึกษาให้ความช่วยเหลือ แนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์
และช่วยปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ มาโดยตลอด ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณและความกรุณา
ของอาจารยเ์ ปน็ อยา่ งยิ่ง จึงกราบขอบพระคุณไว้ ณ ท่ีน้ี

นอกจากนี้ผู้วิจัยของกราบขอบพระคุณผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์
(วดั โบสถ)์ ในพระราชูปถมั ภฯ์ ท่ใี หค้ วามร่วมมอื ในการเก็บรวบรวมข้อมลู เพือ่ การวจิ ัยคร้ังน้ี

ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของเอกสารและงานวิจัยทุกท่าน ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าได้นำมาอ้างอิงไว้
ในการทำวิจยั ในชน้ั เรียนฉบับน้ี

ผ้วู จิ ัย
สรลั ชนา เยน็ ใจ

รหสั ประจำตวั นักศึกษา 5711011340077 : หลักสูตรศกึ ษาศาสตรบัณฑิต สาขาวชิ าการประถมศกึ ษา
ผ้วู ิจยั นางสาวสรลั ชนา เย็นใจ : ชอ่ื งานวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าภาษาไทย เร่ือง คำนาม
โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ ของนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
อาจารยท์ ่ีปรึกษางานวิจยั : รองศาสตราจารยว์ ิชยั พาณชิ ย์สวย คณุ ครูเอมอร รตั นมหาวงศ์ และคณุ ครรู ชั ชนก ชศู รี
จำนวน 28 หนา้ ระยะเวลา : วนั ที่ 28 ธนั วาคม 2563 ถงึ วนั ที่ 12 มีนาคม 2564

บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ัน

ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ก่อนการใชแ้ ละหลงั การใชแ้ บบฝึกทักษะภาษาไทย เรอ่ื ง คำนาม กลมุ่ ตัวอย่างที่ใช้
ในการวิจัยคร้งั น้เี ป็นนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนทีปังกร
วิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์) ในพระราชูปถัมภ์ฯ จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง คำนาม และแบบฝึกทักษะ เรื่อง คำนาม จำนวน 5 ชุด สถิติที่ใช้ใน
การวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละของคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน และ
ทดสอบค่า t (t-test dependent) ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง คำนาม สูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งเป็นไป
ตามสมมตฐิ านที่ต้งั ไวอ้ ยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.05

คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ิต ปีการศึกษา 2563

ลายมือชือ่ นักศกึ ษา ………………………………………………………..

ลายมอื ช่อื อาจารย์ท่ปี รึกษางานวิจยั 1. ………………………..…….. อาจารย์นเิ ทศ 2. …………………….………………………. ครพู เ่ี ล้ยี ง

สารบัญ

บทคดั ย่อ หน้า
กติ ตกิ รรมประกาศ ก
สารบญั ข
สารบัญตาราง ค


บทที่ 1 บทนำ 1
ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา……………………………………………….…….……….. 2
วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย……………………………………………………………………………..……. 2
ขอบเขตในการศกึ ษา…………………………………………………………….………………………..…. 3
นิยามศัพท์เฉพาะในการวิจัย………………………………………………………………………..…….. 4
ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะไดร้ ับ…………………………………………………..………………………..……

บทท่ี 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง 5
แนวคดิ เกย่ี วกบั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 6
ความหมายผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน………………………………………………………… 7
ประเภทของแบบสอบผลสัมฤทธ์ิ…………………………………………………….………
ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ในการเรยี น......................................... 9
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยท่เี กยี่ วกับการพัฒนาแบบฝึกทักษะฝึก 9
ความหมายและความสำคัญของแบบฝึก.......................................................... 10
ส่วนประกอบของแบบฝกึ …………………………………………………………….………… 11
ลกั ษณะแบบฝึกที่ดี………………………………………………………………………………. 12
ประโยชนข์ องแบบฝกึ ทักษะ............................................................................
เอกสารงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง……………………………………………………………….………………..

บทท่ี 3 วธิ ีการดำเนนิ การวิจัย 15
ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง…………………………………………………………………………….…. 15
เคร่ืองมอื ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล……………………………………………………………….. 16
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล……………………………………………………………………………….……… 17
การวิเคราะห์ขอ้ มูล…………………………………………………………………………………………… 17
สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล......................................................................................

สารบัญ (ตอ่ )

บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู …………………………………………………………………………..…………… 19

บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 23
วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย………………………………………………………………………………..… 23
สมมติฐานของการวิจัย……………………………………………………………………………………... 23
วธิ ดี ำเนินการวิจัย………………………………………………………………………………………..…… 24
สรุปผลการวจิ ัย……………………………………………………………………………………………...… 24
อภิปรายผลการวิจยั ………………………………………………………………………………………..… 25
ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………....

บรรณานุกรม จ
ภาคผนวก ฉ

ภาคผนวก ก รายชอื่ ผู้เชยี่ วชาญในการตรวจเครื่องมือวจิ ัย ซ
ภาคผนวก ข แผนการจดั การเรียนรู้ และแบบฝึกทักษะ เร่อื ง คำนาม ฌ
ภาคผนวก ค แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นรู้ เรื่อง คำนาม ญ
ภาคผนวก ง แบบประเมินการหาคุณภาพของเคร่อื งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั ฎ
ภาคผนวก จ ภาพระหวา่ งการดำเนนิ การวจิ ัย

ประวตั ิผู้วจิ ัย ฏ

สารบญั ตาราง

ตารางท่ี หนา้

ตารางท่ี 4 - 1

การเปรยี บเทยี บคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นก่อนเรยี น – หลงั เรยี น 19

ตารางที่ 4 – 2

การเปรียบเทยี บคะแนนทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรียน โดยการทดสอบนยั สำคัญทางสถิติ 21

บทที่ 1
บทนำ

ความเปน็ มาและความสำคัญ

ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจาํ ชาติเปน็ สมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อใหเ้ กิดความเป็นเอกภาพ
และเสรมิ สร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเปน็ ไทย เปน็ เคร่อื งมือในการตดิ ตอ่ ส่อื สารเพ่ือสร้าง
ความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทําให้สามารถประกอบกิจการงาน และดํารงชีวิตร่วมกันใน
สังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จาก
แหล่งข้อมลู สารสนเทศตา่ ง ๆ เพอ่ื พัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และสร้างสรรค์ ให้
ทันต่อการเปล่ียนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนาํ ไปใชใ้ น
การพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่แสดงถึงภูมิปัญญาของบรรพ
บุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรยี นรู้ อนุรักษ์และสืบสานให้
คงอยู่คู่ชาติไทย ตลอดไป (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ดังนั้น จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์ทุกคน
จะต้องอาศัยทักษะการสื่อสารด้านการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ใน
การดํารงชีวิต ผู้ที่มีทักษะภาษาไทยที่จะสามารถใช้ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อความคิดความเข้าใจ และ
แสวงหาความรู้ในการศึกษาวิชาสาขาต่าง ๆ ประสบผลสําเร็จมากน้อยเพียงใดนั้นส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับ
ทักษะทางภาษาของนักเรยี น การจดั การเรียนรูใ้ นวชิ าภาษาไทยจึงควรปลกู ฝังใหน้ ักเรยี นเหน็ คุณค่า มี
ความรู้ ทกั ษะและเจตคติทีด่ ี เพ่ือประโยชนต์ อ่ การพัฒนาตนเองและสังคม

ด้วยความสําคัญดังกล่าว การพัฒนาทักษะทั้ง 4 ด้านของผู้เรียน กระทรวงศึกษาธิการ ได้
กําหนดสาระการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย เป็น 5 สาระ คือ สาระการอ่าน สาระการ
เขียน สาระการฟัง การดู การพูด สาระหลักการใช้ภาษา สาระวรรณคดีและ วรรณกรรม
(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (2545) กล่าวถึงความสําคัญของการเขียนและ
หลักการใช้ภาษาว่าหลักภาษาไทยคือระเบียบแบบแผนของภาษาไทยที่มีไว้เพื่อให้ผู้ใช้ถือเป็นหลัก
ร่วมกันในการใชภ้ าษาให้ถูกตอ้ ง ดังน้ัน การเขยี นสะกดคํานับว่าเป็นสง่ิ สําคญั มากในการเรยี น เดก็ ควร
จะเขียนสะกดคําให้ถูกต้อง ตั้งแต่เริ่มเรียนคําเพื่อช่วยให้เด็กรู้จักคําต่าง ๆ ได้ถูกต้องและกว้างขวาง
ทองพูน ศิริมนตรี (2549) ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าการเขียนสะกดคํามีความสําคัญที่สุดในการสื่อ
ความหมายด้วยวิธีเขียนและเพิม่ พูนทกั ษะในการเขียน การเขียนผิดจะเหมือนการพูดผิด ความหมาย
ของคําจะเปล่ยี นไปดว้ ยและประสิทธิภาพของการเขยี นจะลดลง ในทางตรงกนั ข้าม การเขยี นสะกดคํา
ถูกต้องจะทําให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายของคําทีเ่ ขียนได้ถูกต้องและทําใหผ้ ู้เขียนมั่นใจในการเขยี นของ
ตนมากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันประสิทธิภาพของการเขียนก็เพิ่มมากขึ้นซึ่งสอดคล้องกับทรรศนะ

ของ พานทอง ประจนั ตะเสน (2553) ซึ่งกล่าววา่ การเขียนสะกดคําใหถ้ ูกต้องเป็นสิง่ สําคัญและจําเป็น
สําหรับนักเรียนเป็นอย่างมาก ดังนั้น ครูจําเป็นต้องรู้หลักการเขียนสะกดคํา เพื่อเป็นแนวทางในการ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้นักเรียนได้ฝึกฝนการเขียนสะกดคําได้ถูกต้องและจดจําคําได้อย่าง
แม่นยํา สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ถนอม ยนต์ชัย (2553 : 31)
ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนสะกดคําไว้ว่า การเขียนสะกดคําทําให้การเขียนบรรลุตาม
จดุ ประสงคท์ ่ีต้องการ การเขยี นสะกดคาํ ถูกต้องจะทาํ ใหผ้ ู้อา่ นเขา้ ใจความหมายของคําหรือข้อความที่
เขียนได้ถูกต้อง นอกจากนั้นทําให้ผู้เขียนเป็นที่น่าเชื่อถือในเรื่องภูมิปัญญาและการประณีตในการ
เขยี นอกี ด้วย

แต่เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาสภาพการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์) ในพระ
ราชูปถัมภ์ฯ พบวา่ ในการจัดการเรียนการสอน เรอ่ื ง คำนาม ยงั ไม่ประสบผลสาํ เร็จ เนือ่ งจากนกั เรียน
ยังไม่สามารถจำแนกชนิดของคำนามได้ เพราะคำนามแต่ละชนิดมีลักษณะใกล้เคียงกันหลายชนิด
ผู้วิจัยจึงศึกษาข้อมูลพื้นฐาน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ศึกษาความ
ต้องการและความสามารถของผู้เรียน ตลอดจนเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แนวคิดการดำเนินการ
วิจัยและพัฒนามาสร้างแบบฝึกทักษะ เพื่อที่จะเป็นสื่อ นวัตกรรม ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าภาษาไทย ผวู้ ิจัยจึงได้จัดทำวิจยั เรอ่ื ง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วิชาภาษาไทย เรื่อง คำนาม โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 โดยคาดหวังให้
ผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง คำนาม สูงขึ้น และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ใน
ชีวติ ประจำวนั ไดด้ ยี ่ิงข้นึ

วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง คำนาม โดยใช้แบบฝึกทักษะ

ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4

ขอบเขตของการวิจัย
การวจิ ัยในคร้งั น้ี ผูว้ จิ ัยได้กำหนดขอบเขตการศึกษาดังนี้
1. ขอบเขตเนื้อหา
เน้ือหาท่ใี ชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ เปน็ เน้อื หาตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั

พื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน
ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษา และหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลังของภาษา
ภูมิปญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ท 4.1 ป.4/2 ระบุชนิดและหน้าท่ีของ

คำในประโยค คือ คำนาม ประกอบด้วย สามานยนาม วิสามานยนาม สมุหนาม ลักษณะนาม และ
อาการนาม

2. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
ประชากร ได้แก่ นักเรียนท่ีกำลังศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียน

ที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์) ในพระราชูปถัมภ์ฯ ปีการศึกษา
2563 จำนวน 50 คน

กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ นักเรียนท่ีกำลังศึกษาในระดับช้ัน
ประถมศึกษาปีท่ี 4/2 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ)์
ในพระราชูปถมั ภฯ์ ปีการศึกษา 2563 ไดจ้ ำนวน 25 คน

3. ตวั แปรทีศ่ กึ ษา
3.1 ตัวแปรต้น ไดแ้ ก่
- แบบฝึกทกั ษะ
3.2 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่
- ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิชาภาษาไทย เร่ือง คำนาม

4. ระยะเวลาดำเนนิ การวิจัย 2 สัปดาห์ ระหว่างเดอื นกมุ ภาพันธ์ - มีนาคม พ.ศ. 2564

กรอบแนวคิดการวจิ ยั ตวั แปรตาม
ตัวแปรตน้
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิชาภาษาไทย
แบบฝึกทกั ษะ เรื่อง คานาม

สมมติฐานการวจิ ยั
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง คำนาม

หลังเรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรียน

นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะในการวิจัย
1. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน หมายถงึ ความร้คู วามสามารถทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้

ภาษาไทย เรื่อง คำนาม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยเปรียบเทียบคะแนนก่อนการใช้แบบ
ฝึกทักษะและหลังการใช้แบบฝกึ ทกั ษะ จากแบบทดสอบทส่ี ร้างข้ึน

2. คำนาม หมายถึง คาํ ที่ใชเ้ รียกชอื่ คน สัตว สิ่งของตาง ๆ ทั่วท่ีเปนในรูปธรรม และนามธรรม
ดังนี้ 1) สามานยนาม คือ คํานามที่ใชเรียกชื่อทั่ว ๆ ไป 2) วิสามานยนาม คือ คํานามที่ใชเรียกชื่อ
เฉพาะ 3) สมุหนาม คือ คํานามที่เรียกชื่อ คน สัตวสิ่งของที่อยูเปนหมวดหมูรวมกัน 4) ลักษณนาม
คือ คำนามทีใ่ ชบ้ อกลกั ษณะ 5) อาการนาม คอื คำนามที่บอกอาการหรือความเปน็ อยู่

3. แบบฝึกเสรมิ ทักษะ หมายถงึ สื่อการเรียนการสอนอยา่ งหน่ึงที่ใชแ้ บบฝึกทักษะใหก้ ับ
ผู้เรียนหลังจากเรียนจบบทเรียนไปแล้ว ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีทักษะและสามารถ
เข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น เป็นการจัดทำขึ้นเพ่ือใช้แก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย เรื่อง คำนาม ประกอบไปด้วยแบบฝึกทักษะดังนี้ 1) แบบฝึกทักษะเรื่องสามานยาม 2)
แบบฝกึ ทักษะเรื่องวิสามานยาม 3) แบบฝกึ ทกั ษะเร่ืองลักษณะนาม 4) แบบฝกึ ทักษะเรื่องอาการนาม
และสมหุ นาม 5) แบบฝกึ ทกั ษะเร่ืองหนา้ ที่ของคำนาม

4. วิธสี อนโดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ หมายถึง การจัดการเรยี นการสอนท่ใี หน้ ักเรยี นฝกึ ทำงาน
ฝึกปฏิบตั ิ โดยใช้แบบฝึกทกั ษะเปน็ สอื่

5. แผนการจดั การเรียนรู้ หมายถงึ การวางแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน การใช้
สือ่ การสอน การวดั ประเมินผลให้สอดคล้องกบั เป้าหมายท่ีกำหนดไว้ในหลักสูตร ซึ่งในท่ีน้ีคือแผนการ
จัดการเรยี นรู้ท่ีใช้ประกอบแบบฝึกทกั ษะภาษาไทย เร่อื ง คำนาม

6. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถงึ แบบทดสอบวดั ความรู้ความเขา้ ใจใน
การเรียน เรื่อง คำนาม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ ซึ่งเป็นแบบทดสอบ
ปรนยั ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จำนวน 20 ข้อ

ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะไดร้ บั
ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะได้รบั จากการวิจัยครงั้ นี้

1. นกั เรยี นมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเรอ่ื งคำนามท่ีสงู ข้นึ หลังจากการใชช้ ดุ แบบฝึกทักษะ

2. แบบฝึกเสริมทักษะภาษาไทยจะสามารถพัฒนาความรู้ ความสามารถเก่ียวกบั เร่อื ง

คำนาม สำหรบั นกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4

3. เป็นแนวทางในการสร้างสอื่ การเรียนการสอนเพือ่ ใชพ้ ัฒนาความรคู้ วามสามารถของ

นักเรียนในเรือ่ งอนื่ ๆ

บทที่ 2
แนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่เี กีย่ วขอ้ ง

ในการศึกษาวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง คำนาม โดยใช้แบบฝึกทักษะ
ของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ผวู้ ิจัยไดศ้ ึกษาคน้ คว้าข้อมลู เอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยท่ี
เก่ียวข้องดงั ต่อไปนี้

1. แนวคิดเกีย่ วกบั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
1.1 ความหมายผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
1.2 ประเภทของแบบสอบผลสัมฤทธ์ิ
1.3 ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ในการเรียน

2. แนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจยั ทเี่ กีย่ วกับการพฒั นาแบบฝึกเสริมทกั ษะ
2.1 ความหมายและความสำคญั ของแบบฝึก
2.2 ส่วนประกอบของแบบฝึก
2.3 ลักษณะแบบฝึกที่ดี
2.4 ประโยชน์ของแบบฝกึ ทักษะ

3. เอกสารงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวข้อง

1. แนวคดิ เกย่ี วกับผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น
1.1 ความหมายผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น
มผี ใู้ หค้ วามหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นไว้หลายท่าน ดังน้ี
รอสส์และสแตนลีย์ ( Ross and Stanley, 1967 อ้างถึงใน เยาวดี วิบูลย์ศรี, 2545: 16) ได้

ให้ความหมายของแบบสอบผลสมั ฤทธิ์ หมายถึง แบบสอบที่ใช้วัดความสามารถทางวิชาการ เชน่ แบบ
สอบวิชาเลขคณติ แบบสอบวชิ าพชี คณติ เปน็ ต้น

อารีย์ วชริ วราการ (2542: 143) ไดใ้ ห้ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถงึ ผลที่
เกิดขึ้นจากการเรียนการสอนการฝึกฝน หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่โรงเรียน ที่บ้าน และ
สิ่งแวดล้อมอน่ื ๆ

เยาวดี วบิ ูลยศ์ รี (2545 : 28) ไดใ้ ห้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบ
สอบวัดความรู้เชงิ วิชาการ มักใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เน้นการวัดความรู้ความสามารถจากการ
เรยี นรใู้ นอดีตหรอื ในสภาพปจั จบุ ันของแตล่ ะบคุ คล

จากความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ จึงหมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้
ความสามารถทางวิชาการโดยเฉพาะการวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรยี น

1.2 ประเภทของแบบสอบผลสัมฤทธิ์
เยาวดี วิบูลย์ศรี (2545 : 20-22) ได้แบ่งประเภทของแบบสอบผลสัมฤทธิ์ ออกเป็น

3 มิติ ดังนี้
มิติที่ 1 จำแนกตามขอบข่ายของเนื้อหาวิชาที่วัด เช่น แบบสอบผลสัมฤทธิ์วิชาคณิตศาสตร์

ประวัติศาสตร์ การสะกดคำ ฯลฯ ขอบข่ายเนื้อหาวิชาของแบบสอบ ผลสัมฤทธิ์นั้น อาจกำหนดให้
กว้างหรือแคบ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้แบบสอบจะเป็นผู้กำหนดเนื้อหาวิชาเอง โดยให้สอดคล้องกับ
วตั ถุประสงค์ของการสอบ

มติ ิที่ 2 จำแนกตามลักษณะหน้าที่ท่ัวไปของแบบสอบ โดยแบง่ แบบสอบ ผลสมั ฤทธิ์ออกได้ 3
ลักษณะ คือ

(1) แบบสอบเพือ่ การสำรวจผลสมั ฤทธิ์
(2) แบบสอบเพือ่ วินิจฉยั ผลสัมฤทธ์ิ
(3) แบบสอบเพื่อวัดความพร้อม โดยมีรายละเอียด ดงั นี้

1) แบบสอบเพื่อการสำรวจผลสัมฤทธิ์ (Survey Tests) เป็นแบบสอบ
ผลสัมฤทธิ์ที่ทำหน้าที่ในการสำรวจความสามารถทั่ว ๆ ไปของนักเรียน โดยประเมิน ความรู้ใน
เนอ้ื หาวิชาหรือทกั ษะตา่ ง ๆ เพ่อื แสดงระดับความสามารถของนกั เรียน

2) แบบสอบเพื่อวินิจฉัยผลสัมฤทธิ์ (Diagnostic Tests) เป็นแบบสอบ
ผลสัมฤทธ์ิทที่ ำหน้าท่ีในการวินจิ ฉยั เก่ียวกับจดุ เด่นและจุดด้อยขององค์ประกอบสำคัญทางด้านทักษะ
ตา่ ง ๆ ของนกั เรยี น สามารถแบ่งออกเป็นแบบสอบชดุ ยอ่ ย ๆ ไดอ้ กี

3) แบบสอบเพื่อวัดความพร้อม (Readiness Tests) เป็นแบบสอบ
ผลสัมฤทธิ์ซึ่งทำหน้าที่ในการวัดทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนในชั้นสูงขึ้น แบบสอบเพื่อวัดความ

พร้อมใช้สำหรับทำนายการกระทำในอนาคต จึงทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการวัดความถนัดไปในตัว
ด้วย

มิติที่ 3 จำแนกตามคำตอบที่ใช้ โดยทั่วไปแล้ว แบบสอบผลสัมฤทธิ์ส่วน ใหญ่ที่ใช้กันมักจะ
เป็นแบบสอบประเภทข้อเขียน และทใ่ี ช้กันค่อนขา้ งมาก ได้แก่ แบบสอบ ภาคปฏิบตั ิ ซึ่งเป็นแบบสอบ
ที่ต้องการให้นักเรียนหรือผู้เข้าสอบได้สาธิตทักษะของเขาเอง นอกจากการจำแนกประเภทของแบบ
สอบผลสัมฤทธิ์ดังกล่าวแล้ว แบบสอบผลสัมฤทธิ์ โดยทั่วไปยังอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ
คือ (1) แบบสอบผลสมั ฤทธ์ิมาตรฐาน (2) แบบสอบผลสัมฤทธ์ิที่ครูสร้างขนึ้ เพ่ือใช้ในชนั้ เรยี น

1.3 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิใ์ นการเรียน แบ่งได้ ดงั นี้
1. แบ่งตามลักษณะทางจติ วิทยาท่ีใช้วัด แบง่ เปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่

1.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) เป็นแบบทดสอบท่ีใชว้ ดั ความรู้ความ
เข้าใจตามพุทธิพิสัย (Cognitive domain) ซึ่งเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ แบบทดสอบประเภทนี้ แบ่ง
ออกเป็น 2 ชนดิ คอื

1.1.1 แบบทดสอบท่คี รูสรา้ งขึ้นใช้เอง (Teacher-Made Test) เป็นแบบทดสอบ
ที่สร้างขึ้นโดยทั่วไป เมื่อต้องการใช้ก็สร้างขึ้นใช้แล้วก็เลิกกัน ถ้าจะนำไปใช้อีกครั้ง ก็ต้องดัดแปลง
ปรบั ปรุงแก้ไข เพราะเปน็ แบบทดสอบทส่ี ร้างขึน้ ใชเ้ ฉพาะคร้ัง อาจยังไมม่ กี าร วเิ คราะหห์ าคุณภาพ

1.1.2 แบบทดสอบมาตรฐาน ( Standardized Test) เป็นแบบทดสอบทไี่ ดม้ กี าร
พัฒนาด้วยการวิเคราะห์ทางสถิติมาแล้วหลายครั้งหลายหนจนมีคุณภาพสมบูรณ์ทั้งด้านความตรง
ความเที่ยง ความยากง่าย อำนาจจำแนก ความเป็นปรนัย และมีเกณฑ์ปกติ (norm) ไว้เปรียบเทียบ
ด้วย รวมความแล้วต้องมีมาตรฐานท้ังด้านการดำเนินการสอบและ การแปลผลคะแนนที่ได้ 1.2
แบบทดสอบความถนดั ( Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบท่ใี ช้วดั ความสามารถทางสมองของคนว่า
มคี วามรู้ ความสามารถมากนอ้ ยเพยี งไร และมคี วามสามารถ

2. แบ่งตามรปู แบบของการถามการตอบ จะแบ่งเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
2.1 แบบทดสอบความเรียง (Essay Test) แบบนี้จะกำหนดคำถามใหผ้ ู้ตอบจะตอ้ งเรียบ
เรยี งคำตอบเอง

2.2 แบบทดสอบตอบสั้นและเลือกตอบ (Short Answer and Multiple Choice Test)
แบบนี้จะกำหนดคำถามให้ และกำหนดให้ตอบสั้น ๆ หรือกำหนดคำตอบมาให้เลือก ผู้ตอบจะต้อง
เลอื กตอบตามนนั้ แบบทดสอบประเภทนีแ้ บ่งออกเป็น 4 ชนดิ คือ

2.2.1 แบบใหต้ อบสน้ั (Short Answer Item)
2.2.2 แบบถกู ผิด (True-False Item)
2.2.3 แบบจบั คู่ (Matching Item)
2.2.4 แบบเลือกตอบ (Multiple Item)

3. แบ่งตามลกั ษณะการตอบ แบ่งเปน็ 3 ประเภท ได้แก่
3.1 แบบทดสอบปฏิบัติ (Performance Test) เป็นการทดสอบโดยให้ปฏิบัติลงมือทำจริง ๆ
เช่น การแสดงละคร ช่างฝีมอื การพมิ พ์ดีด เปน็ ต้น
3.2 แบบทดสอบเขียนตอบ (Paper-pencil Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้กันทั่วไป ซึ่งใช้
กระดาษและดนิ สอ หรอื ปากกาเปน็ อปุ กรณ์ช่วยตอบ ผูต้ อบตอ้ งเขยี นตอบทงั้ หมด
3.3 แบบทดสอบปากเปล่า (Oral Test) เป็นการทดสอบที่ให้ผู้ตอบพูด แทนการเขียนมักจะ
เป็นการพดู คุยกนั ระหวา่ งผูถ้ ามกบั ผตู้ อบ เชน่ การสอบสมั ภาษณ์

4. แบ่งตามเวลาท่ีกำหนดใหต้ อบ แบง่ เปน็ 2 ประเภท ได้แก่
4.1 แบบทดสอบใช้ความเร็ว (Speed Test) เป็นแบบทดสอบที่กำหนดเวลาให้จำกัดต้อง
ตอบภายในเวลานนั้ มกั จะมีจำนวนข้อคำถามมาก ๆ แตใ่ ห้เวลาน้อย ๆ
4.2 แบบทดสอบให้เวลามาก (Power Test) เป็นแบบทดสอบที่ไม่กำหนดเวลาให้เวลาตอบ
อย่างเต็มท่ี ผ้ตู อบจะใช้เวลาตอบเทา่ ใดก็ได้ เสร็จแล้วเปน็ เลิกกัน

5. แบ่งตามลักษณะเกณฑท์ ่ีใชว้ ัด จะแบ่งเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่
5.1 แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ (Criterion – Referenced Test) เป็นแบบทดสอบที่สอบวดั
ตามจุดประสงค์ของการเรยี นรู้ หรอื ตามเกณฑภ์ ายนอกซึ่งเป็นเน้ือหาของวิชาการเป็นหลัก
5.2 แบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม (Norm – Referenced Test) เป็นแบบทดสอบท่ีเปรยี บเทยี บ
ผลระหว่างกลมุ่ ทส่ี อบด้วยกนั จากการจำแนกประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น
ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า แบบทดสอบจำแนกออกเป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้
ดังนัน้ ครูผูส้ อนจึงควรเลือกแบบทดสอบให้เหมาะกับสิ่งท่ีต้องการจะวัดจากนักเรียนทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเนื้อ
และบริบทของแตล่ ะ รายวิชา

2. แนวคิด ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วกับการพัฒนาแบบฝกึ ทักษะ

2.1 ความหมายและความสำคญั ของแบบฝึก
แบบฝึกทักษะ ถอื เปน็ สอื่ หรอื นวตั กรรมทีจ่ ำเป็นอยา่ งหน่ึงที่จะทำให้การเรียนการ

สอนบรรลุผล อีกทั้งยังสามารถช่วยในการฝึกทักษะผู้เรียนได้ดี นักการศึกษาได้ให้ความหมาย
ความสำคญั การสร้างแบบฝึกทกั ษะและประเดน็ ต่าง ๆ ทสี่ ำคญั ไวห้ ลายประการดงั ต่อไปน้ี

วราภรณ์ ระบาเลิศ (2552) กลา่ วว่า แบบฝกึ ทกั ษะ หมายถงึ งานหรือกจิ กรรมท่ีครูจัดให้
นักเรียนได้ฝึกทกั ษะการปฏิบัติบ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญ มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวชิ าที่เรยี น
และสามารถนำความรนู้ ้ันไปใช้ในชวี ิตประจำวันได้

สลาย ปลั่งกลาง (2552) กล่าวว่า แบบฝึกหัดหรือแบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียน
การสอนที่ใช้สำหรับให้ผู้เรียนฝึกความชำนาญในทักษะต่าง ๆ จนเกิดความคิดรวบยอดในเรื่องที่ฝึก
และสามารถนำทักษะไปใช้ในการแกป้ ัญหาได้

จารุวรรณ เขียวอ่อน (2551) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการสอนที่สร้างข้ึน
สำหรับใหน้ กั เรียนฝึกปฏิบัตเิ พือ่ ให้เกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ และความชำนาญในเรื่องนน้ั ๆ มากขึน้

สุภาวดี คําฝึกฝน (2552) ได้ใหความหมายหมายของแบบฝึกทักษะว่าเป็นสื่อการเรียน
การสอนประเภทหนึง่ สําหรับผู้เรยี นปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และมีทักษะเพิ่มมากข้ึน ซ่ึง
มีลักษณะเป็นส่ือประสม ครเู ปน็ ผ้อู าํ นวยความสะดวก และให้คําปรึกษาเมื่อมีปญั หาเกี่ยวกับกิจกรรม
แบบฝกึ ทักษะทำให้นักเรยี นมพี ัฒนาการทางภาษาทด่ี ี เพราะนกั เรียนมีโอกาสนำความรู้ทเ่ี รียนมาแล้ว
ฝึกใหเ้ กดิ ความเข้าใจยิ่งข้ึน ในการทำแบบฝึกจะต้องคำนึงถงึ การจัดเน้ือหาให้ตรงกบั จุดมุ่งหมาย มีคํา
ชี้แจงง่าย ๆ สนั้ ๆ เพื่อใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ และการใช้เวลาในการทำแบบฝึกต้องให้เหมาะสมกับวัยของ
นักเรียน นักเรียนควรได้ทําแบบฝึกหลายๆ แบบ เพื่อให้เกิดการเรียนรูท้ ี่กวา้ งขวางขึ้น ซึ่งสามารถทำ
ให้นักเรยี นมีความสามารถทางการเรยี นตามเปา้ หมาย

จากความหมายของแบบฝกึ ท่ีมีนักการศึกษาได้ให้ความหมายไวด้ ังขา้ งต้น ผวู้ จิ ัยพอจะสรุปได้
ว่า แบบฝึกเสริมทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนที่ครูนำมาใช้กับนักเรียนเพื่อฝึกให้นักเรียนมี
ความรู้ความเข้าใจและเกิดทักษะต่อเนื้อหาวิชาที่ทำการสอนจนเกิดความชำนาญ และสามารถ
นำไปใช้ในชีวิตประจำวนั ได้

2.2 สว่ นประกอบของแบบฝกึ

สมเดช สีแสง และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2543) ได้กล่าวถึงส่วนประกอบของ
แบบฝกึ หรือแบบฝึกหัดมีดังน้ี

1. คู่มือการใช้ เป็นเอกสารประกอบการใช้แบบฝึกว่าใช้เพื่ออะไร และมีวิธีการใช้ อย่างไร
เชน่ เป็นงานฝึกทา้ ยบทเรยี น เปน็ การบ้าน หรอื ใชส้ อนซ่อมเสริม ประกอบดว้ ย

1.1 สว่ นประกอบของแบบฝึก ระบวุ ่าในแบบฝึกชุดน้ีมีทั้งหมดกี่ชุด อะไรบ้าง และมี
ส่วนประกอบอน่ื ๆ หรอื ไม่ เช่น แบบทดสอบ หรือแบบบันทึกผลการประเมิน

1.2 ส่งิ ท่คี รูหรือนักเรยี นต้องเตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกใหค้ รหู รือนักเรียนเตรียม
ตัวใหพ้ รอ้ มลว่ งหนา้ ก่อนเรยี น

1.3 จดุ ประสงค์ในการใชแ้ บบฝกึ
1.4 ขั้นตอนในการใชแ้ บบฝกึ
1.5 เฉลยแบบฝึกในแต่ละชดุ
2. แบบฝกึ เพือ่ ฝึกทักษะใหเ้ กดิ การเรียนร้ทู ถี่ าวร ประกอบด้วย
2.1 ชอ่ื ชุดฝึกในแตล่ ะชุดย่อย
2.2 จุดประสงค์
2.3 คำส่งั
2.4 ตวั อย่าง
2.5 ชดุ ฝึก
2.6 ภาพประกอบ
2.7 ข้อทดสอบก่อนและหลังเรยี น
2.8 แบบประเมนิ บันทึกผลการใช้

2.3 ลักษณะแบบฝกึ ท่ีดี

แบบฝึกเปน็ เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้กบั ผูเ้ รียน การสร้างแบบ ฝึกให้มี
ประสทิ ธภิ าพ จึงจ าเปน็ ตอ้ งศึกษาองค์ประกอบและลักษณะของแบบฝึก เพอ่ื เลอื กใชใ้ ห้ เหมาะสมกับ
ระดบั ความสามารถของนักเรียน

วรสุดา บญุ ยไวโรจน์ (2545) กล่าวแนะนำให้ผสู้ ร้างแบบฝึกได้ยึดลกั ษณะ ของแบบฝึกท่ีดี
ไว้ดงั นี้

1. แบบฝกึ ควรมคี วามชดั เจนทั้งคำสั่งและวธิ ีทำคำส่งั หรือตัวอย่าง แสดงวิธที ำท่ีใช้ไม่
ควรยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียน
สามารถศึกษาด้วยตนเองไดถ้ ้าต้องการ

2. แบบฝึกท่ีดตี ้องมีความหมายต่อผเู้ รยี น และตรงตามจุดมงุ่ หมายของการฝึก ลงทนุ
น้อยใช้ไดน้ าน ๆ และทันสมยั อยูเ่ สมอ

3. ภาษาและภาพทีใ่ ชใ้ นแบบฝกึ ควรเหมาะสมกบั วยั และพ้นื ฐานความรขู้ องผเู้ รยี น

4. แบบฝึกที่ดีควรแยกฝกึ เปน็ เรื่อง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมีกิจกรรม
หลายรูปแบบ เพื่อเร้าใจให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหนา่ ยในการทำและเพื่อฝึกทักษะใด
ทกั ษะหนง่ึ จนเกิดความชำนาญ

5. แบบฝึกที่ดีควรมีทั้งแบบกำหนดคำตอบได้ แบบให้ตอบโดยเสรี การเลือกใช้คำ
ข้อความหรือรูปภาพในแบบฝึกหัดควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยแล ะตรงกับความในใจของนักเรียน
เพื่อว่าแบบฝึกที่สร้างขึ้นจะได้ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้
ทวี่ า่ เด็กมกั จะเรียนร้ไู ดเ้ ร็วในการกระทำท่กี ่อให้เกดิ ความพงึ พอใจ

6. แบบฝึกที่ดีควรเปิดโอกาสให้รู้จักค้นคว้า รวบรวมสิ่งที่พบเห็นบ่อย ๆ หรือท่ี
ตัวเองเคยใช้จะทำใหน้ ักเรียนเข้าใจเร่ืองนัน้ ๆ มากยิ่งขึ้น และรู้จักนำความรู้ไปใชใ้ นชีวิตประจำวันได้
อย่างถกู ตอ้ งมหี ลกั เกณฑแ์ ละมองเห็นว่าสง่ิ ท่ีเขาไดฝ้ กึ ฝนนั้นมีความหมายต่อเขาตลอดไป

7. แบบฝึกที่ดีควรตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลผู้เรียนแต่ละคนมี
ความสามารถแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับ
สติปัญญาและประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนั้นการทำแบบฝึกหัดแต่ละเรื่องควรจัดทำให้มากพอและมีทุก
ระดบั ตัง้ แต่ง่าย ปานกลาง จนถงึ ระดับค่อนขา้ งยาก เพอื่ ว่าทงั้ เด็กเก่ง กลาง และออ่ น จะได้ เลือกทำ
ไดต้ ามความสามารถ ท้ังนเ้ี พือ่ ให้เดก็ ทุกคนประสบผลสำเรจ็ ในการทำแบบฝกึ

8. แบบฝึกที่ดีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ตั้งแต่หนา้ ปกไปจนถึง หน้า
สุดทา้ ย

9. แบบฝึกทีด่ คี วรไดร้ ับการปรับปรุงควบคูไ่ ปกับหนังสือแบบเรยี นอย่เู สมอ และ ควร
ใชไ้ ดด้ ีทง้ั ในและนอกห้องเรยี น

10. แบบฝึกหัดที่ดีควรเป็นแบบฝึกที่สามารถประเมินและจำแนกความเจริญงอก
งามของเด็กได้ด้วย ดังนั้นลักษณะของแบบฝึกที่ดี จึงควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ ผู้เรียนได้
ศกึ ษาดว้ ยตนเอง ความครอบคลุมและสอดคลอ้ งกบั เนอ้ื หา รปู แบบนา่ สนใจ คำสั่งชัดเจน

2.4 ประโยชน์ของแบบฝึกทกั ษะ
กรีนและวอลเตอร์ (Green and Walter, 1971) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึก

ทกั ษะไว้ ดงั น้ี
1) แบบฝึกทักษะเป็นอุปกรณก์ ารสอนที่ชว่ ยลดภาระของครไู ด้มาก
2) ช่วยใหน้ ักเรยี นไดฝ้ ึกฝนทกั ษะในการใช้ภาษาได้ดขี ้ึน
3) ชว่ ยในเร่ืองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลทำให้ประสบผลสำเรจ็ ทางดา้ นจติ ใจมากข้นึ
4) ช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทนโดยมกี ารฝึกซ้ำหลายหลายคร้ัง
5) ชว่ ยเป็นเครอ่ื งมอื วัดผลการเรียนหลังจากเรียนจบแล้ว

6) ช่วยให้นักเรียนสามารถทบทวนได้ด้วยตนเอง
7) ชว่ ยใหค้ รมู องเห็นปญั หาต่าง ๆ ของนักเรียนได้ชัดเจนข้ึน
8) ชว่ ยให้นกั เรียนได้ฝึกฝนใหเ้ ต็มที่นอกเหนอื จากเรียนในหนังสือเรียน
9) ช่วยประหยัดแรงงานและเวลาของครู
10) ช่วยใหน้ ักเรียนเห็นความกา้ วหนา้ ของตนเอง

อจั ฉวรรณ ศริ ิรัตน์ (2549) แบบฝึกทักษะมีความสำคัญและจำเป็น เพราะจะช่วยให้
ผู้เรียนเข้าใจในบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น สามารถจดจำเนื้อหาบทเรียนได้คงทน ทำให้เกิดความสนุกสนาน
ในขณะเรียน ทราบความก้าวหน้าของตนเอง สามารถนำแบบฝึกหัดมาทบทวนเนื้อหาได้ด้วยตนเอง
นำมาวัดผลการเรียนหลังจากที่เรียนแล้ว ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียน และนำไป
ปรับปรงุ แก้ไขได้ทันท่วงที ซ่งึ จะทำให้ครปู ระหยัดเวลา และคา่ ใช้จ่ายและลดภาระของครูได้มาก ช่วย
ในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลนักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน นอกจากนี้ยังทำให้นักเรียน
สามารถนำภาษาไปใช้ส่อื สารได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพด้วย

อุบลวรรณ ปรงุ วนิชพงศ์ (2551) แบบฝึกทักษะช่วยในการฝึกฝนทักษะทกั ษะการใช้
ภาษาและลดปัญหาด้านความแตกต่างระหว่างบุคคล และมีทักษะทางภาษาที่คงทน ช่วยให้ครู
ประหยัดเวลาในการที่ต้องเตรียมแบบฝึกหัดตลอดเวลา และทราบถึงปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนได้
ชดั เจนขึน้ นอกจากน้แี บบฝึกยังช่วยใหน้ ักเรียนสามารถทบทวนสงิ่ ท่เี รยี นไปแล้วได้ด้วยตนเอง

จากการที่กล่าวมาแลว้ สรปุ ได้ว่า แบบฝกึ ทกั ษะมีความสาํ คัญและมีประโยชน์ต่อทั้งครูผู้สอน
และนักเรียน ในด้านของครูผู้สอนนั้นทำให้ทราบข้อบกพร่องของนักเรียน ลดความแตกต่างระหว่าง
นักเรียน ทราบความกาวหน้าจะช่วยพัฒนา การเรียนรู้แก่นักเรียน นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระ
คา่ ใช้จา่ ยและประหยดเวลา ดา้ นนักเรยี นแบบฝกึ ทกั ษะชว่ ยใหน้ ักเรยี นเข้าใจบทเรียนมากขนึ้ สามารถ
ฝกึ ฝนทบทวนบทเรยี นดว้ ยตนเองก่อให้เกิดความเขา้ ใจท่ีคงทน เกดิ ความสนุกสนานในขณะเดียวกันก็
ทราบความกาวหนา้ ของตนเองอกี ด้วย

เอกสารงานวิจัยท่เี ก่ียวขอ้ ง

เข็มทอง จติ จกั ร (2544: บทคดั ย่อ) ไดท้ ำการศกึ ษาการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์กิ ารเขยี น
สะกดคำยากของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนามนพิทยาคม จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่มีระดับ
ความสามารถทางภาษาไทยแตกต่างกนั ซง่ึ เรียนโดยการใช้เกม ใชแ้ บบฝึกเสริมทักษะ และใช้วิธีเรียน
แบบปกติ พบว่า (1) ประสิทธิภาพของเกมการเขยี นสะกดคำยากเท่ากบั 92.85/91.78 ประสิทธิภาพ
ของแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำยาก เท่ากับ 92.51/93.25 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
(2) คะแนนวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนของนักเรียนทุกกลุ่ม จะสูงกว่าคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน วิธี

เรียนที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงสุดคือ เรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ รองลงมา คือเรียนโดยการใช้เกม
และค่าเฉลี่ยคะแนนต่ำที่สุดคือ เรียนแบบปกติ เมื่อพิจารณาตามระดับ ความสามารถทางภาษาไทย
พบว่า นักเรียนที่มีระดับความสามารถทางภาษาไทยสูง และปานกลาง จะมีผลเฉลี่ยคะแนนสูง เม่ือ
เรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ส่วนนักเรียนที่มีระดับความสามารถทางภาษาไทยต่ำ จะมีผลเฉล่ีย
คะแนนสูงเมื่อเรียนโดยการใช้เกม (3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเขียนสะกดคำยากของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า คะแนนทดสอบก่อนเรียนไม่ได้ส่งผลต่อปัจจัยอื่น ๆ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
พบว่า ผลสัมฤทธิ์การเขียนสะกดคำยากของนักเรียนที่มีระดับความสามารถที่แตกต่างกัน มีความ
แตกต่างกันอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 และผลสัมฤทธิ์การเขยี นสะกดคำยากของนักเรยี น
ท่ีได้รับการเรียนด้วยวิธที ี่แตกตา่ งกนั มีความแตกตา่ งกันอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดับ 0.05

สุพรรณนา สงวนศิลป์ (2544 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียน
สะกดคำยากจากหนงั สือเรยี น ชุดทักษะสัมพันธ์ สำหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า แบบฝึก
เขียนสะกดคำยาก ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 90.63/85.52 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ มาตรฐานและ
ความสามารถในการเขยี นสะกดคำยากของกลุ่มตวั อย่างหลังการใช้แบบฝึกสงู กวา่ ก่อนใชแ้ บบฝึกอย่าง
มนี ยั นัยสำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .01

นิตยา จินาทองไทย (2548: บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาผลการพัฒนาทักษะและการคิด
คำนวณโดยใช้แบบฝกึ ทักษะในการแยกตัวประกอบของพหุนามประกอบการเรียนการสอนกลุม่ สาระ
การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า (1) การหาประสิทธิภาพของแบบฝึก ทักษะ
ประกอบการสอน เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนาม โดยตั้งเกณฑ์ประสิทธิภาพที่ 70/70 พบว่า
สื่อประกอบการสอน เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพที่ระดับ
93.54/80.20 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (2) การเปรียบเทียบคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
พบว่า สื่อการสอนแบบฝึกทักษะประกอบการเรียน เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนาม มีคะแนน
ทดสอบหลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .01 และการประเมนิ ผลก่อนเรียน
มีค่าเฉลี่ย 3.93 ในขณะที่การประเมินผลหลังเรียนมีค่าเฉลี่ย 7.97 ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่สูงขึ้น และค่า
เบี่ยงเบนมาตรฐานของการประเมินก่อนเรียนมีค่า 2.23 สำหรับค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของการ
ประเมนิ ผลหลงั เรียนมีค่า 1.32

จิราภรณ์ สกุลเหลืองอร่าม (2550: บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาการทดลองใช้แบบฝึกเสริม
ทักษะ วิชาภาษาไทย ท31101 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การเขียนสะกดคำ พบว่า (1) นักเรียนมี
ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้แบบฝึกเสริมทักษะวิชาภาษาไทย ท31101 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การ
เขียนสะกดคำ หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2)

นกั เรียนมีความคิดเห็นต่อแบบฝึกเสริมทักษะวชิ าภาษาไทย ท31101 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 เรื่อง การ
เขียนสะกดคำ ในระดับมากที่สุด (3) แบบฝึกเสริมทักษะ วิชาภาษาไทย ท31101 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
1 เรื่อง การเขียนสะกดคำ มีประสิทธภิ าพ 81.45/82.53 สอดคล้องตามเกณฑท์ ี่กำหนด

จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง สามารถสรุปได้ว่า แบบฝึก
เสริมทักษะ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ ดังนั้นผู้วิจัยจึงจะนำ
แนวคิดดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง คำนาม สำหรับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์) ในพระราชูปถัมภ์ฯ และการวิจัยครั้งน้ี
ผู้วิจัยต้องการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกเสริม
ทกั ษะ

บทที่ 3
วิธดี ำเนนิ การวิจยั

การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง คำนาม โดยใช้แบบฝึก
ทกั ษะ สำหรบั นกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ผู้วจิ ัยดำเนินการวิจัยโดยมขี ้ันตอนดำเนินการดงั นี้

1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
2. เครอ่ื งมือทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู
3. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
4. การวิเคราะหข์ อ้ มลู
5. สถติ ทิ ่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์) ในพระ

ราชูปถัมภ์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
ครัง้ น้ีเปน็ นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4/2 โรงเรยี นทปี งั กรวทิ ยาพฒั น์ (วดั โบสถ์) ในพระราชูปถัมภ์ฯ
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 25 คน

เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูล
เครื่องมือที่ใชใ้ นการทดลองครั้งนี้ มดี ังนี้
1. แบบฝึกทกั ษะภาษาไทย เรือ่ ง คำนาม ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 จำนวน 5 ชุด
2. แผนการจดั การเรยี นรู้ เรื่อง คำนาม ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 5 แผน
3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง คำนาม ของนักเรียนชั้น

ประถมศึกษาปที ่ี 4 เป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ

การสรา้ งและหาคุณภาพเครือ่ งมือ
1. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องคำนาม ผู้วิจัยได้
ดำเนินการตามข้ันตอนดงั นี้
1.1 ศึกษาหลักสูตรคู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตำราและ
รายละเอียดเนื้อหาจากหนังสือเรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้พื้นฐานกลุ่มสาระการ
เรยี นรภู้ าษาไทยช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐานพทุ ธศักราช 2551
เรื่องคำนาม เพื่อรวบรวมเนื้อหาที่ผู้เรียนต้องศึกษาในบทเรียนแล้วนำมาเป็นข้อมูลในการสร้าง
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาภาษาไทย เรื่อง คำนาม

1.3 ดำเนินการสร้างแบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
เรอ่ื ง คำนาม ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 โดยสร้างเปน็ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ (Multiple
choice) 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ขอ้ โดยใหค้ รอบคลมุ ทุกจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

1.4 นำแบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง คำนาม ท่ี
ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอผูเ้ ช่ียวชาญจำนวน 3 ท่านเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับ
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ความถูกต้องทางภาษา ตัวเลือกและการใช้คำถาม แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข
และคัดเลือกแบบทดสอบที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั
ตงั้ แต่ 0.80 - 1.00 ขึ้นไปจำนวน 20 ขอ้

1.5 นำแบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง คำนาม จำนวน 20 ข้อไป
ใช้กบั กลุ่มตวั อย่างต่อไป

การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pretest – Posttest Design

ซง่ึ มรี ูปแบบการวิจัยดงั นี้

สญั ลกั ษณ์ทใ่ี ชใ้ นแบบแผนการทดลอง
หมายถึง การทดสอบก่อนการจัดการเรยี นรู้ (Pre-test)
หมายถงึ การจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะภาษาไทย
หมายถึง การทดสอบหลงั การจัดการเรียนรู้ (Post-test)

การดำเนินการทดลอง
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในช้ัน

ประถมศึกษาปีที่ 4/2 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพฒั น์ (วดั โบสถ์) ในพระ
ราชูปถัมภ์ฯ จำนวน 25 คน ได้จากการเลอื กแบบเจาะจง ผู้วิจัยใช้เวลาในการทดลอง 5 คาบ คาบละ
60 นาที โดยไดด้ ำเนินการตามลำดับข้นั ตอนดังน้ี

1. ทำแบบเสนอหวั ข้อวิจยั ในชั้นเรยี นเพ่ือขอความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการทำ
วิจัย

2. ดำเนนิ การสอน เร่อื ง คำนาม กับนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4/2 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศกึ ษา 2561 โรงเรยี นทีปงั กรวทิ ยาพฒั น์ (วัดโบสถ)์ ในพระราชปู ถมั ภ์ฯ โดยมกี ระบวนการ ดงั นี้

2.1 ดำเนินการสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน เรื่อง คำนาม ด้วยแบบทดสอบ
วดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนท่สี รา้ งขนึ้ จำนวน 20 ขอ้

2.2 ดำเนินการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง คำนาม
ไปใช้ประกอบการสอน จำนวน 5 แผน ดงั นี้

- ชว่ั โมงท่ี 1 แผนการจดั การเรยี นรู้ เรื่อง ความหมายของคำนาม
- ช่ัวโมงท่ี 2 แผนการจดั การเรยี นรู้ เรอื่ ง สามานยาม - วสิ ามานยนาม
- ชั่วโมงท่ี 3 แผนการจดั การเรยี นรู้ เรื่อง ลักษณนาม
- ชั่วโมงที่ 4 แผนการจัดการเรยี นรู้ เรื่อง อาการนาม - สมหุ นาม
- ชัว่ โมงที่ 5 แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง หนา้ ท่ีของคำนาม

2.3 ดำเนนิ การสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนหลงั เรยี น เรื่อง คำนาม ด้วยแบบทดสอบ
วดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นที่สร้างขนึ้ จำนวน 20 ขอ้

การวเิ คราะห์ข้อมลู
ในการวจิ ยั คร้ังนผ้ี ู้วิจยั ไดว้ เิ คราะห์ขอ้ มลู ดงั นี้
1. หาคา่ เฉลย่ี และรอ้ ยละของคะแนนจากการทดสอบกอ่ นเรยี น – หลังเรียน เรอ่ื ง คำนาม
2. หาคา่ ดชั นีความสอดคลอ้ ง (IOC) ระหวา่ งแบบทดสอบกบั ผลการเรยี นรู้ทีค่ าดหวัง
3. ทดสอบความมีนัยสำคัญระหวา่ งคะแนนทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน
(t-test dependent)

สถติ ทิ ใี่ ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล
1. สถติ พิ ้ืนฐาน
1.1 รอ้ ยละ (Percentage)
1.2 คา่ เฉล่ีย (̅x ) จากสตู ร ดงั น้ี
สูตร x̅ = ∑x

N

เมือ่ ̅ แทนค่าเฉลย่ี
∑x แทนผลรวมของคะแนนท้ังหมด
N แทนจำนวนคนทงั้ หมดในกลุ่มเป้าหมาย

2. สถิติท่ใี ช้ในการหาคุณภาพของเครอื่ งมือ
2.1 ความเท่ียงตรง

ใช้สูตร IOC เป็นดัชนีความสอดคล้องระหว่างแผนการจัดการเรียนรู้, แบบฝึกทักษะเรื่อง
คำนาม และแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน

= ∑R

N

เม่อื แทน ดชั นคี วามสอดคล้อง
∑R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผ้เู ชีย่ วชาญ
N แทน จำนวนผเู้ ช่ยี วชาญทั้งหมด

3. สถิติทดสอบค่า t D
N  D2 − ( D)2
t=
N −1

บทที่ 4
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง คำนาม
โดยใชแ้ บบฝึกทักษะ ของนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โดยเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดงั น้ี

ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู
การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรยี นในกลุ่มตัวอยา่ งก่อนการใช้และหลังการ

ใชแ้ บบฝึกทกั ษะภาษาไทย เรอ่ื ง คำนาม รายละเอียด ดังตาราง 4-1
ตาราง 4 – 1 การเปรียบเทยี บคะแนนทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นก่อนเรยี น – หลงั เรียน

เลขที่ ผลการทดสอบ ผลต่างของคะแนนแบบทดสอบ ความหมาย
กอ่ นเรียน หลงั เรยี น ก่อนเรียน – หลงั เรยี น

1 37 4 เพิ่มขน้ึ

2 11 19 8 เพม่ิ ขน้ึ

3 11 12 1 เพ่ิมขนึ้

4 10 14 4 เพิม่ ขึ้น

5 7 15 8 เพม่ิ ขึ้น

6 6 10 4 เพม่ิ ขึ้น

7 11 14 3 เพ่ิมขึ้น

8 12 16 4 เพิ่มขึน้

9 14 14 0 เทา่ เดมิ

10 8 14 6 เพ่มิ ขน้ึ

11 14 19 5 เพิ่มขน้ึ

12 13 16 3 เพม่ิ ขน้ึ

13 13 17 4 เพ่มิ ขึ้น

14 12 16 4 เพม่ิ ขึ้น

15 9 19 10 เพิม่ ขึน้

16 7 10 3 เพม่ิ ขึ้น

17 9 5 -4 ลดลง

18 14 15 1 เพม่ิ ขึ้น

เลขที่ ผลการทดสอบ ผลต่างของคะแนนแบบทดสอบ ความหมาย
กอ่ นเรยี น หลังเรยี น กอ่ นเรียน – หลังเรยี น

19 14 15 1 เพม่ิ ขน้ึ

20 9 17 8 เพิม่ ข้ึน

21 8 8 0 เท่าเดมิ

22 15 18 3 เพม่ิ ขน้ึ

23 16 17 1 เพม่ิ ขึ้น

24 6 3 -3 ลดลง

25 10 14 4 เพิ่มข้นึ

X = 10.48 X = 13.16

จากตารางที่ 4-1 พบว่าผู้เรียนมีคะแนนทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียนดีขึ้นจากเดิมจำนวน
21 คน คิดเป็นร้อยละ 84 ของผู้เรียนทั้งหมด และมีผู้เรียนที่มีคะแนนทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน
เทา่ เดิมจำนวน 2 คน คดิ เป็นร้อยละ 8 ของผเู้ รียนท้งั หมด นอกจากน้นั ยังมผี ้เู รียนท่ีมีคะแนนทดสอบ
กอ่ นเรยี น – หลังเรียนลดลงจากเดิมจำนวน 2 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 8 ของผเู้ รยี น และเม่ือพจิ ารณาจาก
คา่ เฉลยี่ จะเหน็ ได้วา่ กลมุ่ ตวั อย่างได้คะแนนเฉล่ียหลังเรียน 13.16 คะแนน เพ่ิมจากคะแนนเฉลี่ยก่อน
เรยี น ซ่งึ ไดค้ ะแนนทดสอบเพยี ง 10.48 คะแนน

การทดสอบนยั สำคัญของคะแนนทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน แสดงรายละเอียด
ดงั ตารางท่ี 4-2

ตารางที่ 4-2 การเปรยี บเทยี บคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน-หลงั เรียน โดยการทดสอบนยั สำคญั ทางสถิติ

ผเู้ รียน คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลงั เรยี น ผลต่างของ ผลต่างของคะแนน t
ลำดบั (10 คะแนน) (10 คะแนน) คะแนนก่อน กอ่ นเรียนหลัง t = 4.975
เรยี นและ เรยี นยกกำลังสอง
ท่ี หลงั เรยี น (D) (D2)

13 7 4 +16
2 11 19 8 +64
3 11 12 1 +1
4 10 14 4 +16
57 15 8 +64
66 10 4 +16
7 11 14 3 +9
8 12 16 4 +16
9 14 14 0 0
10 8 14 6 +36
11 14 5
12 13 19 3 +25
13 13 4
14 12 16 4 +9
15 9 10
16 7 17 +16
17 9 3
18 14 16 -4 +16
19 14 1
20 9 19 1 +100
8
10 +9

5 +16

15 +1

15 +1

17 +64

ผู้เรยี น คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรียน ผลตา่ งของ ผลต่างของคะแนน
ลำดับ (10 คะแนน) (10 คะแนน) คะแนนก่อน ก่อนเรยี นหลงั
เรียนและ เรียนยกกำลังสอง
ท่ี หลังเรยี น (D) (D2)
0
21 8 8 0 +9
22 15 18 3 +1
23 16 17 1 +9
24 6 3 -3 +16
25 10 14 4
D = 82 D2 = 530

จากการคำนวณค่า t โดยใช้สูตร t = D
N  D2 − ( D)2

N −1

ได้ค่า t = 4.975 > 1.711

(คา่ t ทีค่ ำนวณได้ มากกวา่ คา่ t จากตาราง ยอมรบั สมมตฐิ าน)

จากตารางที่ 4-2 แสดงว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนจากการใช้แบบฝึกทักษะจัดการ
เรยี นการสอนภาษาไทย เรื่อง คำนาม ตา่ งกนั อยา่ งมีนัยสำคญั ท่ีระดบั 0.05

บทที่ 5
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยซึ่งใช้แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pretest –
Posttest Design โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง
คำนาม โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึง่ ผูว้ ิจัยได้ดำเนินการวิจัยพอสรุป
ไดต้ ามลำดบั ขนั้ ตอน ดังน้ี

1. วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั
2. สมมติฐานของการวิจัย
3. วธิ ีดำเนินการวจิ ยั
4. สรปุ ผลการวจิ ัย
5. อภิปรายผลการวจิ ยั
6. ขอ้ เสนอแนะ

วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง คำนาม โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของ

นักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4

สมมติฐานของการวิจัย
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาภาษาไทย เรอื่ ง คำนาม ของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 ที่ใช้

แบบฝึกทักษะ เรือ่ ง คำนาม หลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรียน

วธิ ดี ำเนินการวจิ ัย
ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากรเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์) ในพระ

ราชูปถัมภ์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
ครัง้ นี้เปน็ นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพฒั น์ (วดั โบสถ)์ ในพระราชูปถัมภ์ฯ
ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 จำนวน 25 คน

เครอ่ื งมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู
เครอื่ งมือทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เปน็ เครอื่ งมอื ทีผ่ ู้วจิ ัยสร้างข้ึนมดี งั น้ี
1. แบบฝกึ ทักษะภาษาไทย เรื่อง คำนาม ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 5 ชดุ
2. แผนการจดั การเรยี นรู้ เรอ่ื ง คำนาม ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 4 จำนวน 5 แผน

3. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าภาษาไทย เรื่อง คำนาม ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4
ขอ้ สอบแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ

การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
การวิจัยครั้งนี้ ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โดยเก็บ
รวบรวมข้อมูลกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์) ในพระ
ราชูปถัมภ์ฯ ใช้แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pretest – Posttest Design โดยดำเนินการ
ตามลำดับขั้นตอน คือดำเนินการสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน เรื่อง คำนาม ด้วย
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้นจำนวน 20 ข้อ และเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อ
คำนวณหาค่าทางสถิติ จากนั้นผู้วิจัยดำเนินการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึก
ทักษะ เรื่อง คำนาม ไปใช้ประกอบการสอน จำนวน 5 แผน เมื่อเรียนจบเนื้อหาทั้งหมดให้ทำ
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นหลงั เรยี น เรื่อง คำนาม เพอื่ วัดความก้าวหน้าของการเรียน ด้

การวิเคราะห์ขอ้ มลู
ในการวิจยั คร้งั นผ้ี ู้วิจยั ไดว้ เิ คราะห์ขอ้ มลู ดงั นี้
1. หาค่าเฉลย่ี และรอ้ ยละของคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียน – หลงั เรียน เรอ่ื ง คำนาม
2. หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่างแบบทดสอบกับผลการเรียนร้ทู ี่คาดหวัง
3. ทดสอบความมีนยั สำคัญระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรยี น
(t-test dependent)

สรปุ ผลการวิจัย
การศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียน

ด้วยแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง คำนาม สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไป
ตามสมติฐานทีต่ ัง้ ไว้

อภิปรายผล
ผลจากการศึกษาค้นคว้าคร้ังน้ี เป็นการทดลองใช้แบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง คำนาม

ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 สามารถอภิปรายผลไดด้ งั น้ี
ผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เร่ือง คำนาม ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4

ก่อนและหลังใชแ้ บบฝึกทักษะภาษาไทย เรอื่ ง คำนาม พบว่าหลังการใช้แบบฝึกทักษะสูงกว่าก่อนการใช้
อย่างมีนัยสำคัญทีร่ ะดับ 0.05 ซึ่งสอดคล้องกับงานวจิ ยั ของ ภัทรวดี ถิ่นกาญจนกุล และคณะ (2557)
ได้ศึกษาการพัฒนาทกั ษะการอ่านแจกลกู (สะกด) คำภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ สำหรับนกั เรยี น
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะด้านการอ่านแจกลูก (สะกด) คำภาษาไทย

หลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียน เท่ากบั 15.64 คดิ เป็นรอ้ ยละ 52.15 และทดสอบหลงั เรียน เท่ากบั 25.94
คิดเปน็ ร้อยละ 86.47 และเปน็ ไปในทิศทางเดียวกันกับ พนมกัน วรดลย์ (2542) ซง่ึ ได้ศึกษาการสร้าง
แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 2 พบว่า มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์
มาตรฐาน 87.74/82.11 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ทั้งนี้แบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง คำนาม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นนั้น ได้รับการพัฒนาตามลำดับขั้นตอน
อยา่ งมีระบบ มีการทดลองหาข้อบกพรอ่ งและได้ปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามเกณฑ์ทก่ี ำหนด และจาก
การสังเกตพบว่านักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง คำนาม มีความต้ังใจในการเรียน
และให้ความร่วมมือในการเรียนการสอนเป็นอย่างดี นอกจากนี้ข้อดีที่พบอีกประการหนึ่งคือผู้เรียน
สามารถที่จะกลับมาทบทวนซ้ำในกรณีพบข้อผิดพลาดได้อีกจนเกิดความเข้าใจ ดังนั้นการใช้แบบฝึก
ทักษะภาษาไทย เรื่อง คำนาม จึงเป็นวิธีที่ช่วยให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเนื้อหาการเรียนได้ดี
ยิ่งขึ้น มีความกระตือรอื ร้นและส่งผลให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรยี นสูงขึน้ หลงั จากใช้แบบฝึก
ทกั ษะภาษาไทย เรอื่ ง คำนาม

ขอ้ เสนอแนะ
1. ขอ้ เสนอแนะทวั่ ไป
1.1 ก่อนนำแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง คำนาม ไปใช้ควรมีการแนะนำการใช้แบบฝึกทักษะ

ภาษาไทย เรื่อง คำนาม เพื่อให้เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายและวิธีการใช้ให้ถูกต้องชัดเจนจนเกิดความเข้าใจ
ความชำนาญของครหู รอื ผู้ที่มีสว่ นเก่ยี วขอ้ งกบั นกั เรียน

1.2 ครูผู้สอนควรพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง คำนาม โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
กับลักษณนามและสมุหนาม ซึ่งมีเนื้อหาและความแตกต่างค่อนข้างใกล้เคียงกัน ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียน
ไดฝ้ กึ ฝนในเน้อื หาน้ีใหม้ ากยงิ่ ขนึ้

2. ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาครง้ั ตอ่ ไป
2.1 ควรมีการพัฒนาและหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ใน
เนื้อหาอนื่ ๆ
2.2 ควรมีการทดลองเปรียบเทียบวิธีการเรียนรู้ วิชาภาษาไทยเรื่องคำนาม ด้วยแบบฝึกทักษะ
ภาษาไทยกับวิธีการเรียนรู้ในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกวิธีการเรียนรู้ท่ี
เหมาะสมกับเนอื้ หาและความพรอ้ มของนักเรยี น

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก
รายชื่อผเู้ ชย่ี วชาญในการตรวจเคร่อื งมอื วจิ ยั

รายชอ่ื ผเู้ ช่ยี วชาญในการตรวจเครอ่ื งมอื วจิ ัย

1. นางสาวรุ่งนภา เกษรศกุ ร์ ตำแหนง่ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรยี นทีปงั กรวิทยาพฒั น์
2. นางสาวเอมอร รตั นมหาวงศ์ (วัดโบสถ)์ ในพระราชูปถัมภฯ์
3. นางสาวรัชชนก ชูศรี
ตำแหน่งครู และหวั หน้ากลมุ่ บรหิ ารงานวชิ าการ
โรงเรียนทีปังกรวิทยาพฒั น์ (วัดโบสถ์) ในพระราชปู ถมั ภ์ฯ

ตำแหน่งครูผู้ช่วย โรงเรียนทปี งั กรวทิ ยาพฒั น์ (วดั โบสถ์)
ในพระราชปู ถมั ภฯ์

ภาคผนวก ข

แผนการจดั การเรียนรู้ เรื่อง คำนาม
แบบฝกึ ทักษะ เรอ่ื ง คำนาม

ภาคผนวก ค
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นรู้ เรื่อง คำนาม

แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวิชาภาษาไทย ระดบั ชน้ั ป.4

เร่ือง ชนดิ ของคำนาม จำนวน ๒๐ ข้อ

คำสัง่ ให้นกั เรยี นทำเครื่องหมาย X ทับตวั อักษรหน้าคำตอบท่ีถูกต้องทสี่ ุดเพียงคำตอบเดียว

๑. ข้อใดเป็นความหมายของคำนาม ๖. คำว่า “ ขนั ” ในข้อใดเป็นคำนาม

ก. คำทีท่ ำหน้าท่ีใช้แสดงความรู้สึกของคน ก. นกเขาขนั ไพเราะ

ข. คำท่ใี ชเ้ รียกช่ือคน สัตว์ สงิ่ ของ สถานท่ี ข. คณุ ป้ากำลังเชด็ ขนั น้ำ

ค. คำท่ีใชแ้ ทนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานท่ี ค. พอ่ ขันน็อตรถจกั รยาน
ง. คำท่ที ำหน้าที่ขยายคำ ง. เขาทำตัวน่าขนั เสยี จรงิ

๒. คำในข้อใดเปน็ คำนามทกุ คำ ๗. คำนามในขอ้ ใดมีลักษณนามวา่ “เล่ม”
ก. ทำดี ทไ่ี หน เหมอื นกันทุกคำ
ข. ปรึกษา หารือ ก. หนงั สือ กรรไกร เกวยี น
ค. ภเู ขา กอไผ่ ข. หนงั สอื ช้อน เทยี น
ง. น้ำทว่ ม นำ้ ใจ ค. เข็ม ร่ม นาฬิกา
ง. บ้าน เข็ม ตะปู
๓. วิสามานยนาม หมายถึงขอ้ ใด
ก. คำนามบอกอาการ ๘. ขอ้ ใดไมใ่ ช่หนา้ ที่ของคำนาม
ข. คำนามทบี่ อกลักษณะของนามท่อี ยู่ข้างหนา้ ก. เปน็ ส่วนขยาย
ค. คำนามที่ใชเ้ รยี กชือ่ ทั่ว ๆไป ข. เปน็ กรรมของประโยค
ง. คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ ค. เป็นประธานของประโยค
ง. เป็นคำท่ที ำหน้าทเ่ี ชือ่ มประโยค
๔. คณะทูตกำลังเดนิ ทางมาประเทศไทย คำว่า “คณะ”
เปน็ คำนามประเภทใด ๙. คำนามในขอ้ ใดใชล้ ักษณนามไม่ถกู ต้อง
ก. ชอ้ น ๑ คัน
ก. สมหุ นาม ข. บ้าน ๒ หลัง
ข. ลกั ษณนาม ค. เครอ่ื งบนิ ๓ คัน
ค. สามานยาม ง. แมน่ ้ำ ๔ สาย
ง. วสิ ามานยนาม
๑๐.คำในข้อใดเป็นคำนามบอกอาการหรืออาการนาม
๕. คำในข้อใดเปน็ คำนามทวั่ ไปหรอื สามานยนาม ก. การบา้ น
ก. ประเทศไทย ข. ความแพ่ง
ข. นักกีฬา ค. ความรกั
ค. ดวงจันทร์ ง. การจราจร
ง. พระราม

แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวิชาภาษาไทย ระดบั ชน้ั ป.4 เร่อื ง ชนดิ ของคำนาม

๑๑. ตัวเลือกใดใช้ลกั ษณนามไม่ถกู ต้อง ๑๖. “คุณแมส่ วมสรอ้ ยทอง ๒ _____” ควรเตมิ
ก. ชา้ งโขลงหนึง่ เดนิ เขา้ เพนียด ลักษณนามใดลงในช่องว่าง
ข. ครูส่งั ให้นักเรียนนำขลุย่ มาคนละหน่ึงอนั
ค. สวนสัตวเ์ ขาเขยี วมชี ้างสองเชอื ก ก. กลีบ
ง. รถยนต์คนั น้ีบรรทกุ คนได้สิบคน ข. วง
ค. ห่อ
๑๒. ครูคือแม่พิมพ์ของชาติ คำว่า “แมพ่ ิมพ์” ง. เสน้
เป็นคำนามชนิดใด
๑๗. “ช้างชอบกนิ กลว้ ย” คำท่ีขีดเส้นใต้เปน็ คำนามชนดิ ใด
ก. สามานยาม ก. นามท่ใี ช้ท่ัวไป
ข. วสิ ามานยาม ข. นามทใ่ี ชช้ ้เี ฉพาะ
ค. ลักษณนาม ค. นามทบ่ี อกลักษณะ
ง. อาการนาม ง. นามทบ่ี อกขนาดและปรมิ าณ
๑๓. “มะลิ” ในตัวเลือกใดเป็นวิสามานยาม
ก. มาลยั ดอกมะลิ ๑๘. “กรงุ ธนบุรมี ีพระมหากษตั ริย์ ๑ _____” ควรเตมิ
ข. มะลิบานตอนเช้า ลักษณะนามใดลงในชอ่ งวา่ ง
ค. ชว่ ยเรียกมะลใิ หผ้ มที
ง. บางวันมะลแิ พงมาก ก. รูป
ข. ตน
๑๔. คำทขี่ ดี เส้นใตข้ ้อใดไม่เป็นสมุหนาม ค. พระองค์
ก. เหล่าลูกเสอื เดนิ สวนสนาม ง. ดวง
ข. คณุ พ่อมีพระพทุ ธรูป 3 องค์
ค. โขลงช้างเดินอยู่ริมลำธาร ๑๙. คำนามในข้อใดเปน็ วิสามานยาม
ง. คณะนักเรียนรว่ มกนั บริจาคโลหิต ก. หนงั สือ
ข. โรงเรยี น
๑๕. ประโยคในขอ้ ใดท่ีมีคำนามทำหนา้ ทเ่ี ปน็ ค. ปากกา
ประธานและกรรมตามลำดับ ง. ครูพรทพิ ย์

ก. ครตู ีนกั เรยี น ๒๐. ประโยคในขอ้ ใดมสี มุหนาม
ข. ฉันร้องไห้ ก. ฟ้าใสชอบดูรายการทศกัณฐ์เดก็
ค. นกบนิ สูงจงั เลย ข. ณดนัยเรยี นเกง่ กวา่ พี่ ๆ น้อง ๆ
ค. ชมพ่อู ารยาเปน็ นักแสดงชื่อดัง
ง. หมลู่ กู เสือกำลังเดินทางไกล

ง. วนั นี้ฝนตกหนักมาก

เฉลยแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน

1. ข. 11. ข.
2. ค. 12. ข.
3. ง. 13. ค.
4. ก. 14. ข.
5. ข. 15. ก.
6. ข. 16. ง.
7. ก. 17. ก.
8. ง. 18. ค.
9. ค. 19. ง.
10. ค. 20. ง.

ภาคผนวก ง
แบบประเมนิ คณุ ภาพของเครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั

แบบประเมนิ ความเทย่ี งตรงของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผเู้ ชย่ี วชาญ
การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวิชาภาษาไทย เร่อื ง คำนาม
โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 4

คำชี้แจง โปรดพจิ ารณาความสอดคลอ้ งของประเด็นข้อคำถามเพ่ือใช้ในแบบทดสอบวา่ มีความ

สอดคล้องเหมาะสมตามประเด็นพจิ ารณาหรือไม่ โดยท่านทำเคร่ืองหมาย ✓ ลงในช่องวา่ งตามระดบั

ความคดิ เหน็ ของทา่ นดงั นี้

+1 หมายถงึ แน่ใจวา่ ข้อคำถามมีความสอดคล้องกับจดุ ประสงค์
0 หมายถงึ ไม่แนใ่ จวา่ ขอ้ คำถามมคี วามสอดคล้องกบั จุดประสงค์
-1 หมายถงึ แน่ใจว่าขอ้ คำถามไม่มีความสอดคล้องกบั จุดประสงค์

จดุ ประสงค์ ข้อคำถาม ความคดิ เหน็ รวม ขอ้ เสนอ หมาย
เชิงพฤติกรรม ของผเู้ ช่ยี วชาญ แนะ เหตุ
+1 0 -1

นกั เรยี น 1) ขอ้ ใดเป็นความหมายของคำนาม
สามารถบอก ก. คำทที่ ำหน้าทใ่ี ช้แสดงความร้สู ึกของคน
ความหมาย ข. คำท่ีใช้เรียกช่ือคน สัตว์ สิง่ ของ สถานที่
ของคำนามได้ ค. คำที่ใช้แทนชื่อคน สัตว์ สง่ิ ของ สถานที่
ง. คำทที่ ำหน้าท่ีขยายคำ

นกั เรียน 2) คำในข้อใดเป็นคำนามทุกคำ
สามารถ ก. ทำดี ที่ไหน
จำแนกชนดิ ข. ปรกึ ษา หารอื
ของคำนามได้ ค. ภเู ขา กอไผ่
ง. นำ้ ท่วม น้ำใจ

นกั เรียน 3) วสิ ามานยนาม หมายถึงข้อใด
สามารถบอก ก. คำนามบอกอาการ
ความหมาย ข. คำนามทีบ่ อกลักษณะของนามท่ีอยู่ข้างหน้า
ของคำนาม ค. คำนามท่ีใช้เรียกชอ่ื ทว่ั ๆไป
ชนิดตา่ ง ๆ ได้ ง. คำนามทีเ่ ปน็ ชือ่ เฉพาะ

จดุ ประสงค์ ขอ้ คำถาม ความคดิ เห็น รวม ขอ้ เสนอ หมาย
เชงิ พฤตกิ รรม ของผูเ้ ชย่ี วชาญ แนะ เหตุ
+1 0 -1

นักเรียน 4) คณะทตู กำลังเดนิ ทางมาประเทศไทย คำวา่
สามารถ “คณะ” เป็นคำนามประเภทใด
จำแนกชนดิ ก. สมุหนาม
ของคำนามได้ ข. ลักษณนาม
ค. สามานยาม
ง. วสิ ามานยนาม

นกั เรียน 5) คำในข้อใดเปน็ คำนามทว่ั ไปหรอื สามนยนาม
สามารถ ก. ประเทศไทย
จำแนกชนิด ข. นกั กีฬา
ของคำนามได้ ค. ดวงจันทร์
ง. พระราม

นกั เรียน 6) คำว่า “ ขัน ” ในขอ้ ใดเป็นคำนาม
สามารถ ก. นกเขาขนั ไพเราะ
จำแนกชนดิ ข. คณุ ปา้ กำลังเช็ดขนั นำ้
ของคำนามได้ ค. พอ่ ขันน็อตรถจักรยาน
ง. เขาทำตัวน่าขนั เสยี จรงิ
นกั เรียน
สามารถ 7) คำนามในข้อใดมีลักษณนามวา่ “เลม่ ”
จำแนกชนดิ เหมือนกนั ทุกคำ
ของคำนามได้ ก. หนงั สือ กรรไกร เกวียน
ข. หนังสอื ช้อน เทยี น
นกั เรยี น ค. เขม็ รม่ นาฬกิ า
สามารถบอก ง. บ้าน เขม็ ตะปู
หนา้ ทีข่ อง 8) ขอ้ ใดไมใ่ ช่หน้าทีข่ องคำนาม
คำนามได้ ก. เป็นส่วนขยาย
ข. เปน็ กรรมของประโยค
ค. เป็นประธานของประโยค
ง. เป็นคำทที่ ำหน้าทเ่ี ช่อื มประโยค

จุดประสงค์ ข้อคำถาม ความคดิ เห็น รวม ขอ้ เสนอ หมาย
เชงิ พฤติกรรม ของผเู้ ชี่ยวชาญ แนะ เหตุ
+1 0 -1

นกั เรยี น 9) คำนามในข้อใดใชล้ ักษณนามไม่ถูกต้อง
สามารถ ก. ช้อน 1 คัน
จำแนกชนิด ข. บา้ น 2 หลงั
ของคำนามได้ ค. เครอื่ งบิน 3 คนั
ง. แม่น้ำ 4 สาย

นกั เรยี น 10) คำในขอ้ ใดเปน็ คำนามบอกอาการหรือ
สามารถ อาการนาม
จำแนกชนดิ ก. การบ้าน
ของคำนามได้ ข. ความแพง่
ค. ความรกั
นกั เรยี น ง. การจราจร
สามารถ 11) ตัวเลอื กใดใชล้ ักษณนามไม่ถูกตอ้ ง
จำแนกชนิด ก. ชา้ งโขลงหน่งึ เดนิ เข้าเพนียด
ของคำนามได้ ข. ครสู ั่งให้นกั เรียนนำขลยุ่ มาคนละหนึ่งอนั
ค. สวนสัตว์เขาเขียวมชี ้างสองเชือก
ง. รถยนต์คนั นบ้ี รรทกุ คนได้สบิ คน

นกั เรียน 12) ครคู ือแม่พิมพ์ของชาติ คำว่า “แมพ่ ิมพ์”
สามารถ เปน็ คำนามชนิดใด
จำแนกชนิด ก. สามานยาม
ของคำนามได้ ข. วสิ ามานยาม
ค. ลักษณนาม
นักเรยี น ง. อาการนาม
สามารถ 13) “มะลิ” ในตัวเลอื กใดเป็นวิสามานยาม
จำแนกชนิด ก. มาลยั ดอกมะลิ
ของคำนามได้ ข. มะลิบานตอนเชา้
ค. ชว่ ยเรียกมะลใิ ห้ผมที
ง. บางวันมะลิแพงมาก

จุดประสงค์ ขอ้ คำถาม ความคิดเหน็ รวม ขอ้ เสนอ หมาย
เชงิ พฤตกิ รรม ของผูเ้ ชยี่ วชาญ แนะ เหตุ
+1 0 -1

นกั เรยี น 14) คำท่ีขีดเสน้ ใต้ข้อใดไม่เป็นสมหุ นาม
สามารถ ก. เหล่าลูกเสือเดินสวนสนาม
จำแนกชนิด ข. คุณพ่อมีพระพุทธรปู 3 องค์
ของคำนามได้ ค. โขลงชา้ งเดนิ อย่รู ิมลำธาร
ง. คณะนักเรยี นรว่ มกนั บรจิ าคโลหิต

นักเรยี น 15) ประโยคในข้อใดที่มคี ำนามทำหนา้ ทเ่ี ปน็
สามารถบอก ประธานและกรรมตามลำดับ
หน้าทีข่ อง ก. ครตู นี ักเรียน
คำนามได้ ข. ฉันร้องไห้
ค. นกบินสงู จงั เลย
ง. วนั น้ีฝนตกหนักมาก

นกั เรยี น 16) “คุณแม่สวมสร้อยทอง 2 _____” ควรเตมิ
สามารถ ลักษณนามใดลงในช่องว่าง
จำแนกชนิด ก. กลีบ
ของคำนามได้ ข. วง
ค. ห่อ
ง. เสน้

นักเรียน 17) “ช้างชอบกนิ กล้วย” คำทีข่ ดี เสน้ ใต้เป็น
สามารถ คำนามชนดิ ใด
จำแนกชนดิ ก. นามทีใ่ ช้ท่ัวไป
ของคำนามได้ ข. นามท่ีใช้ช้ีเฉพาะ
ค. นามทบ่ี อกลักษณะ
ง. นามท่บี อกขนาดและปริมาณ

จดุ ประสงค์ ขอ้ คำถาม ความคดิ เห็น รวม ข้อเสนอ หมาย
เชงิ พฤตกิ รรม ของผเู้ ช่ียวชาญ แนะ เหตุ
+1 0 -1

นักเรยี น 18) “กรุงธนบุรมี พี ระมหากษัตริย์ 1 _____”
สามารถ ควรเตมิ ลกั ษณนามใดลงในชอ่ งวา่ ง
จำแนกชนดิ ก. รปู
ของคำนามได้ ข. ตน
ค. พระองค์
ง. ดวง

นกั เรียน 19) คำนามในข้อใดเปน็ วิสามานยาม
สามารถ ก. หนังสือ
จำแนกชนดิ ข. โรงเรียน
ของคำนามได้ ค. ปากกา
ง. ครูพรทพิ ย์

นกั เรยี น 20) ประโยคในข้อใดมีสมุหนาม
สามารถ ก. ฟ้าใสชอบดูรายการทศกณั ฐเ์ ดก็
จำแนกชนิด ข. ณดนัยเรียนเกง่ กว่าพี่ ๆ น้อง ๆ
ของคำนามได้ ค. ชมพอู่ ารยาเป็นนักแสดงชื่อดัง
ง. หมลู่ กู เสือกำลังเดนิ ทางไกล

ลงชื่อ………………………………………………..……ผูเ้ ชย่ี วชาญ
(…………………………………………………….…)

วันที่……………………………………………

แบบประเมินความคดิ เห็นของผู้เช่ียวชาญที่มีต่อแผนการจดั การเรยี นรู้
การพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิชาภาษาไทย เรอื่ ง คำนาม
โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 4

งานวิจัย เร่อื ง การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เรื่อง คำนาม โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปที ี่ 4
คำช้ีแจง โปรดพิจารณาและแสดงความคดิ เห็นสำหรบั เปน็ แนวทางในการปรับปรงุ แก้ไขการเรียนรู้
โดยทำเคร่อื งหมาย ( ✓ ) ลงในชอ่ งวา่ งตามระดับความคิดเหน็ ของทา่ นดงั น้ี

+1 หมายถึง แนใ่ จว่าแผนการจดั การเรียนรู้มีความสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์
0 หมายถงึ ไม่แนใ่ จว่าแผนการจดั การเรียนรู้มีความสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์
-1 หมายถงึ แน่ใจว่าแผนการจดั การเรยี นรู้ไมม่ คี วามสอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์

ขอ้ ที่ ประเดน็ พจิ ารณา ความคดิ เห็น รวม ข้อเสนอ
ของผู้เชยี่ วชาญ แนะ
+1 0 -1

ความสอดคล้องเหมาะสมของเครอื่ งมือกับตัวชี้วดั ตวั

1. แปรตามในงานวิจัย

2. ความสอดคล้องเหมาะสมของเครอ่ื งมือกบั
วตั ถุประสงค์งานวจิ ยั

3. ความสอดคล้องเหมาะสมของเครอ่ื งมอื การจัดการ
เรียนรู้กบั งานวิจยั

4. ความสอดคล้องเหมาะสมของภาษาท่ีใชใ้ นเคร่ืองมือ
กบั งานวิจัย

5. ความสอดคล้องเหมาะสมของเครือ่ งมอื กบั ลกั ษณะ
ของประชากรและกลุม่ ตวั อย่างในงานวจิ ัย

6. ความสอดคล้องเหมาะสมของเคร่ืองมอื กับนยิ ามตวั

แปรต้น ตัวแปรตาม ในงานวิจัย

7. ความเหมาะสมของเคร่ืองมือในการใช้บนั ทึกข้อมลู

กลมุ่ ตวั อยา่ ง

ลงช่อื ………………………………………………..……ผเู้ ชี่ยวชาญ
(…………………………………………………….…)

วนั ท่ี……………………………………………

ภาคผนวก จ
ภาพระหวา่ งการดำเนนิ การวจิ ยั

ภาพกิจกรรม

ประวตั ิผู้วิจัย

ช่ือ สกุล นางสาวสรลั ชนา เย็นใจ

วันเดอื นปเี กิด 25 ตลุ าคม พ.ศ. 2540

สถานท่ีอยู่ปัจจบุ นั 30/1 ซอยสริ ินธร1 ถนนสิรนิ ธร แขวงบางบำหรุ

เขตบางพลดั กรุงเทพมหานคร 10700

ประวตั ิการศกึ ษา

พ.ศ. 2547 – พ.ศ. 2552 โรงเรียนเทศบาลวดั ใหญ่ ระดับประถมศึกษา

พ.ศ. 2553 – พ.ศ. 2558 โรงเรยี นกัลยาณศี รธี รรมราช ระดับมัธยมศึกษา

พ.ศ. 2559 – ปจั จุบนั มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต ระดบั อุดมศึกษา


Click to View FlipBook Version