The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สมุนไพรศาสตร์ Herbology ปี 1 (5)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Frong Nonthawat, 2024-06-12 04:29:04

สมุนไพรศาสตร์ Herbology ปี 1 (5)

สมุนไพรศาสตร์ Herbology ปี 1 (5)

Herbology สมุน มุ ไพรศาสตร์ ProfessorLokasunderde Gauvain


หนังสือ “ สมุนไพรศาสตร์ ” เป็นการศึกษาที่น่าทึ่งเกี่ยวกับพืชที่มี คุณสมบัติพิเศษ มันไม่เพียงแค่เป็นการรู้จักพวกพืชนั้น ๆ แต่ยังเป็นการเรียน รู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลและใช้ประโยชน์จากพวกพืชเหล่านี้ในชีวิตประจำ วัน อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการปรุงยาและใช้ในการสร้างสุขภาพที่ดี อีก ทั้งยังให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการป้องกันและต่อสู้กับผลของพืชที่ไม่เหมาะสม หรือใช้ผิดประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย เนื่องจากจะมีพืชหลายชนิดที่มีคุณสมบัติที่น่าสนใจและมีประโยชน์ต่าง กันอย่างชัดเจน อาจพูดถึง พืชชนิดไม้ยืนต้น ไม้ดอกไม้เลื้อยที่งดงาม และพืช ที่มีคุณสมบัติทางเวทมนตร์เหล่านี้ นอกจากจะมีคุณสมบัติที่น่าสนใจแล้ว ยังสามารถนำ มาใช้ในการเรียนรู้และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำ วันได้อย่างมี ประสิทธิภาพอีกด้วย แต่ก็ควรระมัดระวังเสมอว่าการใช้พืชทั้งหมดนั้น ต้องถูกใช้ในทางที่ถูกต้องและใช้อย่างมีสติ ในการเลือกใช้เพื่อไม่ให้เกิดผลข้าง เคียงที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น ทุกส่วนของพืชสมุนไพรนั้นมีทั้งคุณและโทษ และ การใช้งานอย่างไม่ถูกต้องอาจส่งผลเสียได้ในระยะยาวได้ ดังนั้นการศึกษา และการประยุกต์ใช้ความรู้ด้านสมุนไพรให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่ง สำ คัญอย่างยิ่งสำ หรับพ่อมดแม่มด บทนำ


สารบัญบั A พืชสมุนไพรวิทยา บท 1 พื้นฐานสมุนไพรศาสตร์ บท 2 ส่วนประกอบของพืช B อุปกรณ์ในการปลูกสมุนไพร บท 3 ประเภทของดิน บท 4 การทาบกิ่งสมุนไพร บท 5 วิธีและขั้นตอนการปลูกพืชสมุนไพร C กับดักมาร (Devil's Snare) D หัวต้นกระเด้งดึ๋ง (Bouncing bulbs) E พัฟฟาพ็อต (Puffapod) F เทนทะคูเลอะมีพิษ (Venomous Tentacula) G พืชสมุนไพรวิทยา 1 2 4 8 10 12 14 16 18 20 22 24


พืชสมุน มุ ไพรวิทวิยา Aconite (อะโคไนต์ ) Asphodel (อัสโฟเดล) Dittany (ดิตทานี) Flutterby Bush (พุ่มระริกไหว) Gillyweed (หญ้าเหงือกปลา) Belladonna (เบลลาดอนน่า) Dalsy (เดซี่) Fluxweed (หญ้าน้ำ ประสาร) 1


สมุนไพรศาสตร์เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพืชวิเศษ วิธีการดูแล การใช้ประโยชน์ ใช้ในชีวิตประจำ วัน ใช้ในการปรุงยา และใช้ใน การสร้างไม้กายสิทธิ์ และรู้จักป้องกันและต่อสู้กับพืชเหล่านี้ ทุกส่วนของพืช สมุนไพรนั้น มีทั้งคุณและโทษหากนำ ไปใช้ผิดประเภท ทั้งนี้ฮอกวอตส์ยังมีโรงเรือนกระจกอย่างน้อยสองโรงเรือนกระจกด้วยกันซึ่ง แต่ล่ะโรงเรือนจะมีพืชหลายชนิดที่มีคุณสมบัติต่างกัน 3 ประเภทดังนี้ ยืนต้น ไม้ดอกไม้เลื้อย พืชคุณสมบัติทางเวทมนตร์ ไม้ยืนต้น ไม้ใหญ่หรือไม้ยืนต้น ไม้ประเภทนี้มีลำ ต้นเป็นไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่ มี ลำ ต้นหลัก ตั้งตรง ต้นเดียวแล้วจึงแตกกิ่งก้านบริเวณยอด มีอายุยืนยาวหลาย ปี เปลือกของต้นไม้บางต้นสามารถนำ ไปปรุงยาได้ และต้นไม้ชนิดนี้มี คุณสมบัติในการนำ ไปทำ เป็นไม้กายสิทธิ์ แต่ละต้นนั้นจะมีความยืดหยุ่นที่ต่าง กัน อาจเป็นไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อแข็ง ตามอายุของต้นไม้ 2 บทที่ 1 พื้น พื้ ฐานสมุนมุไพรศาสตร์


ไม้ดอก และ ไม้เลื้อย ไม้ดอกไม้เลื้อย หมายถึง พืชที่นำ มาใช้ในการประดับตกแต่ง โดยไม้ ดอกไม้เลื้อย หมายถึง พรรณไม้ที่ออกดอกมีสีสันสวยงาม หรือมีกลิ่นหอม แต่ใช้ว่าทุกต้นนั้นจะมากี่กลิ่นหอม ว่ากันว่าพืชสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมสามารถ บรรเทาอาการเจ็บปวดช่วยให้ผ่อนคลาย ทั้งนี้สมุนไพรชนิดนี้ยังสามารถกิน และทา พืชที่มีกลิ่นรุนแรงสามารถไล่สัตว์วิเศษได้ด้วย และที่สำ คัญพ่อมด แม่มดจะนำ ส่วนของดอกไม้ไปปรุงยาเพื่อสร้างสรรพคุณยาได้หลากหลาย ชนิดตามพืชนั้น ๆ พืชคุณสมบัติทางเวทมนตร์ พืชที่มีคุณสมบัติทางเวทมนตร์นั้นคือการผสมพันธุ์ทางธรรมชาติ หรือมี การปรับปรุงพันธุ์ของพืชโดยธรรมชาติ ทั้งนี้การได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมสถานที่ที่ มีพลังเวทมนตร์ก็ทำ ให้พวกมันเกิดการปรับตัวได้ เชื่อกันว่าพืชชนิดนี้จะมี อารมณ์ จิตใจ เป็นของตัวเอง อย่างเช่น Whomping Willow และ Mandrake 3


4 พืชมีส่วนประกอบที่สำ คัญ 6 อย่างดังนี้ ราก ลำ ต้น กิ่ง ใบ ดอก ผล 1. ราก รากของพืชส่วนมาก จะฝังอยู่ในดิน และใต้น้ำ มีหน้าที่ดูดน้ำ และอาหาร และช่วยยึดลำ ต้นไว้ให้เกาะติดดิน รากของพืชแบ่งเป็น 2 พวก คือ รากแก้ว เป็นรากที่งอกออกจากเมล็ดก่อนส่วนอื่น ในพืชบางชนิดรากแก้วจะ เจริญต่อไป มีขนาดใหญ่และยาวกว่ารากอื่น ๆ รากฝอย เป็นรากเส้นเล็ก ๆ มากมายขนาดโตสม่ำเสมอกัน ไม่เรียวลงที่ ปลายอย่างรากแก้ว งอกออกจากรอบ ๆ โคนต้นแทนรากแก้วที่หยุดเติบโต 2. ลำ ต้น เป็นส่วนของพืชที่อยู่ต่อจากรากขึ้นมา พืชส่วนมากจะมีลำ ต้น อยู่บนดิน แต่พืชบางชนิดมีลำ ต้นอยู่ใต้ดิน ลำ ต้นประกอบด้วย ข้อปล้อง และตา ลำ ต้นมีหน้าที่ชูก้าน ใบและดอกให้ได้ รับแสงแดด เป็นทางลำ เลียงน้ำ และแร่ธาตุ และลำ ต้นบางชนิดสะสมน้ำ และ อาหาร 3. กิ่ง ส่วนของต้นไม้ที่แตกออกจากลำ ต้น มีหน้าที่ในการรองรับใบและ ดอกและเป็นท่อสำ คัญในการส่งน้ำ และสารอาหารไปยังส่วนอื่น ๆ ของต้นไม้ บทที่ 2 ส่วส่นประกอบของพืชพื


5 4. ใบ เป็นส่วนที่งอกออกจากกิ่งก้านของพืช ส่วนมากใบมีสีเขียวและมี รูปร่าง ลักษณะแตกต่างกันไปตามชนิดของพืช ใบมีหน้าที่หายใจ คายน้ำ และสร้างอาหาร ใบจะมีเส้นใบซึ่งมี2 ลักษณะ คือ เส้นใบขนาน เส้นใบขนานเป็นลักษณะของใบที่มีเส้นใบวิ่งขนานกันไปและไม่ จางหายจากกันตลอดระยะยาวของใบ พืชที่มีเส้นใบขนานมักจะเป็นพืชใบ เลี้ยง เช่น ท้อ และกะหล่ำ เส้นใบเป็นร่างแห ลักษณะของใบที่มีเส้นใบเรียงตามรูปแบบของระบบ เส้นใบ เส้นใบจะแตกต่างกันไปที่ขอบของใบ และเส้นใบหลักที่ขนานกับก้าน ใบ เช่น แอปเปิล 5. ดอก เป็นส่วนของพืชที่ทำ หน้าที่ในการสืบพันธุ์ ดอกโดยทั่วไป ประกอบด้วย 4 ส่วนหลักดังนี้ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย กลีบเลี้ยง เป็นส่วนที่อยู่ด้านนอกของดอก มักมีหน้าที่ปกป้องส่วนโครงสร้าง ภายในของดอกในระหว่างการเจริญเติบโต และช่วยในการรักษาความชุ่มชื้น ในดอก ส่วส่นประกอบของพืช


6 กลีบดอก เป็นส่วนที่อยู่ด้านในของดอก มักมีหน้าที่ดงดูดแมลงผึ้งหรือสัตว์ เลื้อยคลานเข้ามาเพื่อช่วยในกระบวนการการผสมเกสรขยายพันธ์ุ เกสรตัวผู้ เป็นอวัยวะเพศตัวผู้ของดอก ประกอบด้วยเกสร อับเรณู (Anther) และก้านชูเกสรเพศผู้ (Filament) ส่วนโครงสร้างที่ทำ หน้าที่ชูอับเรณู เกสรตัวเมีย เป็นอวัยวะเพศตัวเมียของดอก ประกอบด้วย ยอดเกสรเพศเมีย ส่วนที่มีลักษณะโปร่งพองออกมาเป็นตุ่มแผ่แบนเป็นแฉก ๆ เป็นพูและมีน้ำ หวานเหนียวค้นหรือขนคอยจับละอองเรณูที่ลอยมาติด ก้านชูเกสรเพศเมีย ส่วนที่มีลักษณะเป็นเส้นหรือก้านขนาดเล็กที่เชื่อมต่อจาก ยอดเกสรตัวเมียลงสู่รังไข่ เพื่อเป็นเส้นทางให้สเปิร์มเคลื่อนตัวเข้ามาปฏิสนธิ กับไข่ รังไข่ ที่มีภายในมีลักษณะเป็นห้องขนาดเล็กเรียกว่า โลคุล (Locule) ซึ่งภายในโลคุลประกอบด้วย ออวุล (Ovule) ที่มีหน้าที่สร้างไข่ ห่อหุ้มไข่ไว้ ภายในเรียกว่า คาร์เพล (Carpel) โดยใน 1 โลคุล อาจมี1 คาร์เพลและ หลอดเกสร 6. ผล ส่วนของต้นไม้ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ของดอก มีหน้าที่สำ หรับ การเพาะเมล็ด และเมล็ดจะเพาะไปที่แหล่งใหม่เพื่อเริ่มต้นการเจริญเติบโต ใหม่ ส่วส่นประกอบของพืช


7 เมล็ด ผล ใบ ดอก กิ่งก้าน ลำ ต้น รากแก้ว รากฝอย ส่วนประกอบของพืช


8 อุปอุกรณ์ใณ์นการปลูกลูสมุนมุไพร เสียม ส้อมพรวน กรรไกรตัดกิ่งไม้ บัวรดน้ำ อุปกรณ์ป้องกัน อุปกรณ์พื้นฐาน ถุงมือ แว่นตา ที่ครอบหู ผ้าปิดจมูก ชุดสำ หรับปลูกพืชสมุนไพร กระถางต้นไม้ ดิน เมล็ดพันธุ์ รองเท้าสำ หรับปลูกพืช


9 ชุดปลูกพืชสมุนไพร


10 ดินสามารถแบ่งออกอย่างง่าย ๆ ได้เป็น 3 ชนิด คือ ดินทราย ดินร่วน และดินเหนียว ชนิดของดินแต่ละชนิดนั้นมีลักษณะแตกต่างกัน ความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ส่งผลต่อในการเพาะปลูกพืชที่แตกต่างกัน ดินทราย ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเม็ดทรายร้อยละ 85-100 โดยน้ำ หนัก และ อนุภาคขนาดดินเหนียว ร้อยละ 0-10 โดยน้ำ หนัก อนุภาคดินทรายไม่ยึดติด กับอนุภาคอื่น ไม่อุ้มน้ำ น้ำ ซึมผ่านได้ง่าย ดินร่วน ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเม็ดทรายร้อยละ 20-52 โดยน้ำ หนัก และ อนุภาคขนาดดินเหนียวร้อยละ 17-30 โดยน้ำ หนัก เป็นดินเนื้อผสม มีการ ระบายน้ำ ได้ดีปานกลาง เป็นดินที่เหมาะกับการเพาะปลูกทุกชนิด ดินเหนียว ประกอบด้วยอนุภาคขนาดดินเหนียวร้อยละ 40-100 โดยน้ำ หนัก เม็ดทรายร้อยละ 0-45 โดยน้ำ หนัก มีเนื้อละเอียดมาก ดินมีสีดำ หรือดำ ปน น้ำ ตาล เนื้อดินแน่นมาก มีความสามารถในการอุ้มน้ำ ได้ดี เมื่อเปียกน้ำ จะ ยืดหยุ่นและเหนียวมาก ทำ ให้ไถพรวนได้ยาก เมื่อแห้งจะเป็นก้อนแข็งมาก บทที่ 3 ประเภทของดินดิ


11 ประเภทของดิน ดินทราย ดินร่วน ดินเหนียว เป็นดินที่มีทราย อยู่มากถึง 70% มีเนื้อหยาบ ไม่จับกันเเป็นก้อน ไม่อุ้มน้ำ น้ำ ซึมผ่านได้ง่าย มีซากพืชซากสัตว์ ปะปนอยู่น้อย เป็นดินที่มีลักษณะ ร่วนซุย มีสีดำ เป็นส่วนใหญ่ น้ำ ซึมผ่านได้ พอสมคสร เกิดจากซากพืชซาก สัตว์ที่เน่าเปื่อยเรียก ว่าฮิมมัส มีสารอาหารของพืช เป็นดินที่มีเนื้อ ละเอียดมาก มีซากพืชซากสัตว์ ปะปนอยู่น้อย เหมาะแก่การเพาะ ปลูกที่ชอบน้ำ ขัง


12 การทาบกิ่ง คือ การนำ พืชมากกว่าหนึ่งต้นมาตัดต่อให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีลักษณะรากและส่วนยอดจะมาเชื่อมติดกัน โดยมีเซลล์เนื้อเยื่อเป็นตัว เชื่อม ซึ่งการทาบกิ่งนั้นจะได้ผลดีหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับต้นแม่ที่เป็นพืชหลัก ว่ามีคุณสมบัติชนิดใดรวมถึงความสมบูรณ์แข็งแรงมากน้อยเพียงใด ซึ่งต้นตอ ที่นำ มาทาบนั้นจะทำ หน้าที่เป็นระบบราก เพื่อที่จะหาอาหารให้กับต้นพันธุ์ที่ ดีมาเลี้ยงต้นพันธุ์ การทาบกิ่งนั้นเป็นอีกหนึ่งวิธีในการสร้างสายพันธ์ุใหม่ขึ้น มาเพื่อใช้ประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำ ได้สำ เร็จ สิ่งสำ คัญเลย คือ ความรู้ และความเข้าใจ ซึ่งการทาบกิ่งนั้นจะมีองค์ประกอบ หลักอยู่ตามคุณสมบัติที่เข้ากันของพืช ซึ่งการทำ การทาบกิ่งนั้นพันธุ์พืชที่ใช้นั้นต้องมีคุณภาพที่ดีและแข็งแรง บทที่ 4 การทาบกิ่งกิ่สมุนมุไพร


13 ตัวอย่างการทาบกิ่งโดยยึดต้นเทนทะคูเลอะมีพิษเป็นต้นแม่และใช้ ต้นพัฟฟาพ็อตเป็นส่วนยอดทำ ให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาทั้งนี้รูปแบบการ เติบโตของต้นที่ผ่านการทาบกิ่งมานั้นรูปแบบจะไม่ชัดเจน การทาบกิ่งสมุนไพร ขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 โตเต็มวัย


14 หลักการทั่วไปในการปลูกพืชสมุนไพรเช่นเดียวกันกับการปลูกพืชอื่น ๆ คือ ต้องรู้เสียก่อนว่าพืชที่จะปลูกนั้นเป็นพืชนำ พืชบก หรือเป็นพืชยืนต้น ขนาดใหญ่ ชอบดินฟ้าอากาศหรือสภาพแวดล้อมธรรมชาติแบบแล้งหรือชื้น เพราะการที่จะปลูกพืชชนิดใดให้เจริญงอกงามได้ดี ก็ต้องปลูกในแหล่งที่มี สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อพืชนั้น ๆ จะสังเกตได้ว่าในสภาพแวดล้อม เดียวกัน พืชบางชนิดขึ้นง่าย-ปลูกง่ายไม่ต้องดูแลเอาใจใส่มากนักก็เจริญ งอกงามได้ดี แต่พืชบางชนิดกลับขึ้นยาก-ปลูกยาก ทั้งนี้เป็นเพราะความ ต้องการของพืชแต่ละชนิดแตกต่างกันไป ดังนั้นเมื่อคัดเลือกชนิดของพืช สมุนไพรที่จะปลูกแล้ว ก็จำ เป็นจะต้องปลูกในที่ที่มีสิ่งแวดล้อมโดยธรรมชาติ เหมาะสมกับพืชชนิดนั้น ๆ รวมทั้งการเตรียมดิน การให้อาหาร ตลอดจน การดูแลรักษาอย่างเหมาะสม พืชจึงจะเจริญงอกงามได้ดี และสามารถนำ มา ใช้ได้ตามต้องการ บทที่ 5 วิธีวิแธีละขั้น ขั้ ตอนการปลูกลูพืชพืสมุนมุไพร


15 เตรียมดิน ลงเมล็ดพืช ดูความสมบูรณ์ของต้นกล้า ใส่ปุ๋ย ตัดแต่งใบ ให้อาหาร


กับดักมาร (หรือที่รู้จักกันในชื่อปีศาจจำ ศีลและบ่วงปีศาจ) เป็นไม้เลื้อย ชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติทางเวทมนตร์ พวกมันมีความสามารถพิเศษในการ บีบรัดสิ่งของที่อยู่รอบตัวได้ เมื่อใดก็ตามที่พวกมันเริ่มบิดหนวด เหยื่อจะรู้สึก คล้ายกับงูรัด และยิ่งเหยื่อดิ้นรนมากเท่าไร ไม้เลื้อยชนิดนี้นั้นก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น และรวดเร็วขึ้นทุกที แม้กับดักมารจะไม่ได้มีลักษณะภายนอกที่ดูเหมือนต้นไม้ ทั่วไป แต่คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักสมุนไพรศาสตร์ก็ยังสามารถแยกออกได้ยาก เพราะกับดักมารมีลักษณะคล้ายกับฟลิตเตอบลูมมาก กับดักมารมักจับตัวกัน เป็นกลุ่มก้อน และมีสัมผัสที่ค่อนข้างอ่อนนุ่ม ทว่าเถาวัลย์ของพวกมัน สามารถตอบสนองต่อสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว วิธีการปลูก เพาะเมล็ดหรือยอดกับดักมารในกระถาง รดน้ำ เพื่อให้ดิน เปียกทั่วทั้งกระถาง รดน้ำ ให้พอเหมาะและให้แสงแดดพอเหมาะ อย่าให้ดิน แห้งแตกหรือชื้นเกินไป หลังจากนั้นนำ ไปปลูกในดินร่วนหรือดินปนทรายที่มี การระบายน้ำ ดี กับดักมาร (Devil's Snare) 16


17 ประโยชน์ ใช้เป็นกำ แพงป้องกันสิ่งของมีค่า หรือใช้เพื่อโจมตี วิธีป้องกัน ปล่อยตัวให้สบายและนิ่งสงบเข้าไว้ พวกมันจะหยุดการ เคลื่อนไหวทันที และเมื่อสัมผัสกับไฟ หรือมีแสงสว่างจ้าเข้ามา เช่น คาถาลูมอส โซเลม เป็นต้น กับดักมาร (Devil's Snare)


ลำ ต้นของหัวต้นกระเด้งดึ๋งมีลักษณะเป็นกระเปาะสีม่วงที่ไม่ได้สัดส่วน โดยมีช่อใบงอกอยู่ด้านบน หัวต้นกระเด้งดึ๋งที่ยังโตไม่มากพอ มีขนาดเล็ก พอที่จะจับได้ด้วยมือเปล่า แต่หัวที่โตเต็มวัยนั้น สามารถโตไปได้ถึงขนาดของ ประตู หัวต้นกระเด้งดึ๋งจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อรู้สึกว่ากำ ลังถูกคุกคาม โดยมันจะใช้วิธีพุ่งเข้าหาบุคคลที่รบกวนมัน หรืออะไรก็ตามที่พยายามจะ โจมตีมัน หัวต้นกระเด้งดึ๋ง เป็นส่วนประกอบสำ คัญในน้ำ ยาปอมเปี้ยน ซึ่งเป็น ยาที่จะห่อหัวของผู้ดื่มเอาไว้ในฟักทอง หรือก็คือเปลี่ยนหัวคนดื่มเป็นฟักทอง นั่นเอง วิธีการปลูก เลือกพื้นที่ที่มีแสงแดดเพียงพอและมีการระบายน้ำ ดี ปลูก ในสวนหรือโรงเรือนที่มีขนาดใหญ่และไม่มีสิ่งกีดขวาง และใส่ต้นหัวต้นกระ เด้งดึ๋งลงในดินโดยตรงหรือในกระถางให้เว้นระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างต้น ประมาณ 10-15 เซนติเมตร 18 หัวต้นกระเด้งดึ๋ง (Bouncing bulbs)


19 ประโยชน์ ใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงยา (เป็นส่วนประกอบสำ คัญในน้ำ ยา ปอมเปี้ยน) วิธีป้องกัน ใช้คาถากระแทกกลับธรรมดา สามารถหยุดหัวที่อายุน้อยได้ แต่ ตัวที่โตเต็มที่จะต้องใช้คาถาจุดไฟเพื่อทำ ให้มันเหี่ยวแห้ง เพราะมันค่อนข้าง แข็งแกร่งมาก หัวต้นกระเด้งดึ๋ง (Bouncing bulbs)


20 Puffapod (พัฟฟาพ็อต) มันจะแตกเป็นดอกไม้เมื่อมันตกพื้น มีกลิ่นแรง ฝักอ้วนสีชมพูภายในมีเมล็ดมันวาว เมล็ดของพวกมันจะแตกออกเป็นต้นเมื่อ สัมผัสเข้ากับวัตถุของแข็ง พัฟฟาพ็อตนั้นจะออกฝักสีชมพู (หรือม่วงในบาง ครั้ง) ดอกของพัฟฟาพ็อตสามารถใช้ในการปรุงยาได้หลายชนิด และมีใบเป็น สีเขียว กิ่งของต้นพัฟฟาพ็อตนั้นเมื่อหักออกจากมีเมือกสีเขียวกลิ่นรุนแรงมี สรรพคุณทางยารักษาแผลพุพอง และสปอร์ของพัฟฟาพ็อตอาจทำ ให้โทรลล์ จะจามทุกครั้ง ที่พัฟฟาพ็อตบานเนื่องจากอาการแพ้ พ่อมดแม่มดที่เข้าไปในป่าลึก มักจะพกสปอร์ของพืชชนิดนี้ไปด้วยทุกครั้งเพื่อป้องกันสัตว์วิเศษในป่านั้นเอง วิธีการปลูก ปลูกในกระถางที่มีขนาดใหญ่ ปลูกในดินทรายและดินร่วน รดน้ำ วันล่ะ 1 ครั้ง พัฟฟาพ็อตชอบแสงแดดมาก แต่อย่าให้มันได้รับแสงแดด มากเกินไปในช่วงเวลาที่ร้อนมาก ดังนั้น เลือกที่ที่มีแสงแดดเป็นประจำ แต่ยัง มีเงามากพอที่จะปกป้องพืช เช่นในโรงเรือน พัฟฟาพ็อต (Puffapod)


21 พัฟฟาพ็อต (Puffapod) ประโยชน์ ใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงยา สปอร์ของพัฟฟาพ็อตยังสามารถไล่ สัตว์วิเศษได้ วิธีป้องกัน สวมใส่หน้ากากและแว่นตาเพื่อป้องกันละอองสปอร์


22 เทนทะคูเลอะมีพิษ (Venomous Tentacula) หรือ องุ่นเคลื่อนที่ได้ พืช ชนิดนี้จะกินสัตว์วิเศษเป็นอาหาร อย่างเช่น ชิซเพอร์เฟิล เทนทะคูเลอะมีพิษ พวกมันเป็นต้นไม้ที่สีแดงคล้ำ มีส่วนหัวใหญ่และตาบอด เมื่อยังไม่โตเต็มที่พวก มันจะมีเพียงเหงือกและหนามแหลมเท่านั้น โดยฟันจะงอกออกมาเมื่อพวกมัน เติบโตเต็มวัย เทนทะคูเลอะมีพิษมักใช้เถาวัลย์เลื้อยจับเหยื่อที่เข้ามาอยู่ใกล้ และจะเก็บสะสมพิษอยู่ที่ยอดแหลมของต้นและหน่อ ถ้าหากถูกพวกมันกัดเข้า พิษจะแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายทันที และอาจมีผลร้ายแรงถึงขั้นทำ ให้เสียชีวิตได้ ถ้าหากโดนต้นเทนทะคูเลอะมีพิษจับจากข้างหลังอย่างไม่ทันระวังตัว ข้อแนะนำ เมื่อถูกต้น เทนทะคูเลอะมีพิษพยายามบีบรัดให้ใช้มือฟาดลงไปเต็มแรง วิธีการปลูก ปลูกในกระถางที่มีการไหลของน้ำ ที่ดีและดินที่มีการระบายน้ำ อย่างดี มีแสงแดดและอากาศถ่ายเทดี แต่จะไม่โดนแสงแดดโดยตรงเพราะอาจ ทำ ให้ใบไหม้ได้ และเมื่อโตเต็มวัยจะต้องให้อาหาร เป็น ชิซเพอร์เฟิล วันล่ะ 2 ตัว เทนทะคูเลอะมีพิษ (Venomous Tentacula)


23 ประโยชน์ ใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงยาส่วนใหญ่จะใช้สำ หรับปรุงน้ำ ยาที่ใช้ พิษเป็นส่วนเกี่ยวข้อง วิธีป้องกัน ใช้มือฟาดลงไปเต็มแรง แต่ต้องใส่ถุงมือป้องกันเท่านั้น หรือใช้คาถาดิฟฟินโด เพื่อทำ ให้ใบหรือเถาวัลย์ของเทนทะคูเลอะมีพิษฉีก ขาดออกจากกัน เทนทะคูเลอะมีพิษ (Venomous Tentacula)


พืชสมุน มุ ไพรวิทวิยา Wormwood (เวิร์มวูด) Screechsnap (สครีชสแนป) Mandrake (แมนเดรก) Whomping Willow (วิลโลว์จอมหวด) 24


Click to View FlipBook Version