The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นางสาววิภาวดี ผาริโน รหัสนักศึกษา 6310121228003 สาขาวิชาสังคมศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wipawadee, 2022-10-24 05:35:37

การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)

นางสาววิภาวดี ผาริโน รหัสนักศึกษา 6310121228003 สาขาวิชาสังคมศึกษา

การปฏิวัติอุตสาหกรรม
Industrial Revolution

การปฏิวัติอุตสาหกรรม



เสนอ
ผศ.ดร.วรรณพร บุญญาสถิตย์





จัดทำโดย
นางสาววิภาวดี ผาริโน
รหัสนักศึกษา ๖๓๑๐๑๒๑๒๒๘๐๐๓
สาขาวิชาสังคมศึกษา วิทยาลัยการฝึกหัดครู






รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์สากล (๑๖๔๒๓๑๔)
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
ภาคการศึกษาที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕



คำนำ

การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นความก้าวหน้าอีกด้านหนึ่งของมนุษย์ ที่เป็นผลมาจากความก้าวหน้า ทางสติปัญญาของคนใน
ยุคเหตุผล การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้สังคมยุโรป เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในทุกด้านในคริสต์
ศตวรรษที่ ๑๙ และ ๒๐ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสภาพสังคม เป็นเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับการปฏิวัติทางการเมืองใน
ฝรั่งเศส เหตุการณ์ทั้งสองจึงได้เสริม ซึ่งกันและกันในการสร้างสังคมใหม่ให้แก่ยุโรป ซึ่งเป็นสังคมที่สลับซับซ้อน

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นสำหรับให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ เพื่อใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์สากลในเรื่องการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ยุโรปสมัยใหม่ ค.ศ. ๑๔๙๒ – ๑๘๑๕ โดยการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) เกิดการผลิตสินค้าในระบบโรงงานแทน
ระบบให้รับงานไปทำนอกโรงงาน ทำให้เกิดระบบอุตสาหกรรมนิยมภายในรายงานฉบับนี้มีเนื้อหาข้อมูลการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ความหมายของการปฏิวัติอุตสาหกรรม สาเหตุที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษเป็นประเทศแรก การพัฒนาเครื่องมือ
และเครื่องจักรชนิดใหม่ การประดิษฐ์และสร้างนวัตกรรมใหม่ การปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษและการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่าง
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ผลกระทบของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์สากล ข้าพเจ้าได้ข้อมูลจากการค้นหาหนังสือจากห้องสมุด จากเว็บไซต์
และข้าพเจ้าขอขอบคุณผู้ที่ให้ข้อมูลทั้งหมดแก่ข้าพเจ้าหวังว่ารายงานนี้จะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางแก่ผู้ที่สนใจในเรื่องการ
ปฏิวัติอุตสาหกรรม ยุโรปสมัยใหม่ ค.ศ. ๑๔๙๒ – ๑๘๑๕ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย หากมีข้อเสนอแนะประการใด ผู้จัดทำขอรับไว้ด้วย
ความขอบพระคุณยิ่ง

วิภาวดี ผาริโน
ผู้จัดทำ

สารบัญ ข

คำนำ หน้า
สารบัญ
สารบัญภาพ ก
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ข
ความหมายของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ค
สาเหตุที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษเป็นประเทศแรก ๑
การพัฒนาเครื่องมือและเครื่องจักรชนิดใหม่ ๑

เครื่องมือเพื่อใช้ทางการเกษตร ๔
เครื่องปั่นด้าย ๕
เครื่องจักรไอน้ำ ๖
การประดิษฐ์และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๑๒
การปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษและการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรม ๑๔
เงื่อนไขเบื้องต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษ ๑๗
การต่อสู้ทางชนชั้นในระหว่างปฏิวัติอุตสาหกรรม ๑๗
การเคลื่อนไหวของกลุ่มหัวรุนแรงในชั้นนายทุน ๑๗
การจลาจลสวิง ๑๘
ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ๑๙
ผลกระทบของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ๒๐
สรุป ๒๐
บรรณานุกรม ๒๒
๒๓

สารบัญภาพ ค

ภาพที่ ๑ เจโธร์ ทัลล์ หน้า
ภาพที่ ๒ เครื่องมือหว่านเมล็ดพืชของเจโธร์ ทัลล์
ภาพที่ ๓ จอห์น เคย์ ๕
ภาพที่ ๔ เครื่องทอผ้าที่เรียกว่า “กี่กระตุก” ของจอห์น เคย์ ๕
ภาพที่ ๕ เจมส์ ฮาร์กรีฟส์ ๖
ภาพที่ ๖ เครื่องปั่นด้ายของเจมส์ ฮาร์กรีฟส์ ๖
ภาพที่ ๗ ริชาร์ด อาร์คไรท์ ๗
ภาพที่ ๘ เครื่องกรอด้ายโดยใช้พลังงานน้ำ ๗
ภาพที่ ๙ แซมมวล ครอมป์ตัน ๘
ภาพที่ ๑๐ SPINNING MULE ของแซมมวล ครอมป์ตัน ๘
ภาพที่ ๑๑ เอ็ดมันด์ คาร์ตไรท์ ๙
ภาพที่ ๑๒ หูกทอผ้า“Power Loom”ของเอ็ดมันด์ คาร์ตไรท์ ๙
ภาพที่ ๑๓ เอลี วิตนีย์ ๑๐
ภาพที่ ๑๔ เครื่องแยกเมล็ดฝ้ายออกจากใยของเอลี วิตนีย์ ๑๐
ภาพที่ ๑๕ โธมัส นิวคอเมน ๑๑
ภาพที่ ๑๖ เจมส์ วัตต์ ๑๑
ภาพที่ ๑๗ เครื่องจักรไอน้ำของเจมส์ วัตต์ ๑๒
ภาพที่ ๑๘ “รางรถไฟ” ๑๓
ภาพที่ ๑๙ หัวรถจักรไอน้ำชื่อ “ร็อกเกต” (Rocket) ๑๓
ภาพที่ ๒๐ สภาพความเป็นอยู่ของกรรมกรในลอนดอน ๑๔
๑๕
๒๐



การปฏิวัติอุตสาหกรรม

การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในบริเตนใหญ่ ทั้งด้าน
เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ และคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ โดยมีจุดเริ่มจากเทคโนโลยี
เครื่องจักรไอน้ำ (ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก) ทำงานด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ) ความ
ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจถูกผลักดันด้วยการสร้างเรือ เรือกำปั่น และทางรถไฟ ที่อาศัยเครื่องจักรไอน้ำ
ความเจริญก้าวหน้าแผ่ขยายไปสู่ยุโรปตะวันตกและทวีปอเมริกาเหนือ และส่งผลกระทบทั่วโลกในที่สุด

การปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นวลีที่นักประวัติศาสตร์ใช้เรียกเหตุการณ์ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
ที่ขยายตัวเร็วมากในยุโรป สืบเนื่องมาจากการค้นพบแหล่งพลังงานจากถ่านหิน ราคาถูกที่มีเหลือเฟือกับนวัตกรรม
ทางเครื่องกล คือเครื่องจักรไอน้ำที่เริ่มด้วยการปั่นด้าย การทอผ้าฝ้ายและผ้าขนสัตว์ ฯลฯ ที่ผลักดันให้เกิดการขยาย
ตัวของแรงงานอย่างมหาศาลประสิทธิภาพการผลิตและผลผลิตที่มากมายมหาศาลและการก้าวกระโดดทาง
เทคโนโลยีอย่างมหาศาล รวมทั้งระบบโรงงานและขั้นตอน การผลิตและการจัดการแบบใหม่ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ดัง
กล่าวทำให้เมืองต่าง ๆ ในอังกฤษกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เริ่มแออัดช่วงเวลาที่ถือว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ดังกล่าวตกอยู่ระหว่าง ปี ๑๗๕๐-๑๘๕๐ โดยเริ่มขึ้นก่อนในประเทศอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมที่มี เมืองขึ้นรองรับ
ผลิตภัณฑ์อยู่ทั่วโลกแล้วจึงได้ขยายไปทั่วยุโรป

การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มจากการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำขึ้นมา ใช้ในการปั่นและทอผ้าฝ้ายและทอผ้าขนสัตว์
ในและแคชเชียร์ที่ตั้งอยู่ตอนกลางของสก็อตแลนด์ และที่บริเวณภาคตะวันตกของยอร์กเชียร์ (Yorks shirt) โรงงาน
ที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำเหล่านี้เกือบทั้งหมดมักตั้งอยู่ในเมือง ทำให้ชุมชนเมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งจากการจากทของ
แรงงานจากชนบท และจากการแต่งงานเร็วขึ้นของคนทำงานที่มีรายได้ประจำเพิ่ม นอกจากอุตสาหกรรมสิ่งทอแล้ว
อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้ากับโตขึ้น ซึ่งแม้จะขยายตัวช้ากว่า แต่ก็ได้กลายเป็นตัวสำคัญในการขับเคลื่อน

ความหมายของการ
ปฏิวัติอุตสาหกรรม

การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) หมายถึง การประดิษฐ์เครื่องจักรขึ้นมาใช้ ในการผลิตสินค้า
แทนแรงงานคน ซึ่งทำให้สามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็วเพียงพอ กับความต้องการของประชากร
ที่เพิ่มขึ้น เครื่องจักรได้ทำให้เกิดระบบโรงงาน ซึ่งสามารถทำให้ผลิตสินค้าอย่างเดียวกันได้คราวละมาก ๆ (Mass
Production) และโรงงานต่าง ๆ ก็จะผลิตสินค้าต่างชนิดกัน ทำให้มีสินค้ามากมายหลายชนิดสนองความต้องการ
ของผู้บริโภคได้กว้างขวางขึ้นด้วย ผู้ที่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในด้านการผลิตสินค้า และเริ่มใช้คำว่า
“ปฏิวัติ” มาเรียกความ เปลี่ยนแปลงด้านนี้เป็นคนแรกคือ อาร์เธอร์ ยัง (Arthur Young) ซึ่งเขาใช้เรียกใน ค.ศ.
๑๗๘๘ เมื่อเขาได้เห็น เครื่องจักรทอผ้าซึ่งเคยใช้ในการทอผ้าฝ้ายถูกนำมาใช้การทอผ้าขนสัตว์ ส่วนชาวฝรั่งเศสหลัง
ปฏิวัติ ค.ศ. ๑๗๘๙ ก็ใช้คำนี้กันอย่างกว้างขวางในการอ้างอิงถึงความเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคต่าง ๆ



ใน ค.ศ. ๑๘๓๗ บลัง (Blangui) ได้ประกาศว่าเงื่อนไขต่าง ๆ ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษนั้นเป็นสิ่งที่
ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมมนุษย์

แองเกิลส์ (Engels) ได้ใช้คำนี้ใน ค.ศ. ๑๘๔๕ และข้อเขียนของมาร์กซ์ ก็ได้กล่าวว่าการปฏิวัติทางเทคนิคนั้น
ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดทั้งทางการเมือง และวิถีชีวิตต่าง ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคำ
ว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ตอนปลาย คริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ และนิยมใช้กันกว้างขวางขึ้นในคริสต์
ศตวรรษที่ ๑๙ เพราะตั้งแต่ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา กระบวนการผลิตสินค้าได้เริ่มเปลี่ยนแปลง
มาเรื่อย ๆ มีการใช้เครื่องจักรแทนแรงคนกันมากขึ้น และยังได้ปรับปรุงเครื่องจักรให้สามารถใช้งานได้กว้างขวางขึ้น
เช่นเครื่องจักรทอผ้าที่เคยใช้ในเกาะอังการทอผ้าฝ้ายอย่างเดียวก็มีการปรับปรุงใช้ในการทอผ้าขนสัตว์ได้ด้วยเป็นต้น

สาเหตุที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติ
อุตสาหกรรมในอังกฤษเป็นประเทศแรก

ในบรรดาประเทศต่าง ๆ ในยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ อังกฤษเป็นประเทศที่เข้มแข็งและเจริญมั่งคั่งที่สุด
ทั้งประชากรโดยทั่วไปต่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าที่อื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้เพราะอังกฤษมีระบอบการปกครองที่มั่นคง
ภายใต้ระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญและพัฒนาการของระบบการเมืองที่ส่งเสริมอำนาจให้แก่ผู้นำของพรรคการเมือง
ทั้งระบบรัฐสภาก็มีความเข้มแข็งและเป็นกลไกสำคัญ ส่วนในด้านเศรษฐกิจชาวอังกฤษมีนิสัยชอบค้าขายเพราะมี
ที่ดินน้อย ชาวอังกฤษทำการค้าขายตามชายฝั่งมาตั้งแต่สมัยกลาง ในสมัยใหม่รัฐบาลได้ส่งเสริมให้ประชาชนค้าขาย
มากขึ้น และได้เกิดการปฏิวัติเกษตรกรรม (Agricultural Revolution) เป็นประเทศแรก การปฏิวัติดังกล่าวเกิด
จากการนำ เอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และวิทยาการมาปรับปรุงการเกษตรกรรมให้ได้ผลดีขึ้นโดยเริ่ม ต้นตั้งแต่สมัย
ราชวงศ์ทิวดอร์ ประมาณกึ่งกลางของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ที่รัฐบาลสนับสนุน ให้นำระบบปิดล้อม (enclosure
system) มาใช้ในการปรับปรุงและเพิ่มผลการผลิตทางการเกษตร ระบบปิดล้อมทำให้เจ้าของที่ดินรายใหญ่
(landlord) สามารถรวบรวมที่ดินของตน ให้เป็นผืนใหญ่ผืนเดียวกันและกั้นรั้วล้อมให้เป็นสัดส่วน ทั้งนี้เพื่อ
ประโยชน์ในการบำรุง รักษาดินให้อุดมสมบูรณ์ การคัดเลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสมตลอดจนการป้องกันความเสียหาย
ของพืชจากการย่ำยีหรือการทำลายจากคนและสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ตลอดจนการทำปศุสัตว์ ได้แก่ การเลี้ยงแกะ เพื่อนำ
ขนแกะมาทอเป็นผ้าสักหลาดหรือผ้าขนสัตว์ รวมทั้งส่งออกขนแกะเป็นวัตถุดิบด้วย นอกจากนี้ความก้าวหน้าทาง
วิทยาศาสตร์ยังทำให้สามารถนำเอา วิธีเกษตรกรรมแบบใหม่ ๆ เช่น เครื่องหว่านเมล็ดพืชและเครื่องกำจัดวัชพืชมี
ใบมีดติดกับล้อคันไถ ช่วยในการปรับปรุงวิธีการทำนาให้มีประสิทธิภาพ การปฏิวัติเกษตรกรรมจึง ทำให้อังกฤษมี
ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นอันมากและมีอาหารอุดมสมบูรณ์เพียงพอ ที่จะเลี้ยงดูประชากรทั้งประเทศซึ่งกำลัง
เพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็น



ลำดับ ขณะเดียวกันชาวไร่ชาวนาก็ต้องสูญเสียที่ทำกิน และอพยพเข้าอาศัยในเมืองต่าง ๆ เพื่อหางานทำกลาย
เป็นแรงงานเหลือเฟือและราคาถูก ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นแรงงานสำคัญต่อการ หลังจากกองเรืออังกฤษสามารถ
ชนะกองเรืออาร์มาดาของสเปน (Spanish Armada) ได้ใน ค.ศ. ๑๕๘๘ จึงจัดตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกขึ้นใน
เดือน ธันวาคม ค.ศ. ๑๖๐๐ การค้าของอังกฤษก็เจริญขึ้นมาเรื่อย ๆ จนสามารถแข่งขันกับโปรตุเกส สเปน และ
เนเธอร์แลนด์ ได้ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ รัฐบาลได้จัดตั้งธนาคารแห่งชาติ (Bank of England) ขึ้นเพื่อช่วย
เหลือทางการเงินแก่พ่อค้า ทำให้ลอนดอนกลายเป็นตลาดการเงินที่คึกคักขึ้น เงินอังกฤษเป็นที่นิยมมากในยุโรป
ระหว่างสงครามนโปเลียนและตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เมื่อฐานะทางการเงินดีขึ้นก็ทำให้มีทุนมาใช้จ่ายใน
การประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องจักร ตลอดจนตั้งโรงงานเพื่อผลิตสินค้าให้กว้างขวาง ขึ้นและมีการเข้า
หุ้นกันทำอุตสาหกรรมหนักด้วย

อีกประการหนึ่งที่มีส่วนผลักดันอย่างสำคัญให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษคือความ ก้าวหน้าทาง
เทคนิค ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ มาถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ได้มีนักประดิษฐ์
ประดิษฐ์เครื่องจักรขึ้นใช้แทนแรงงานคนหลายอย่าง อีกทั้งอังกฤษยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นต่อการ
ประกอบอุตสาหกรรม เช่น เหล็กและถ่านหิน

ปัจจัยประกอบอื่น ๆ เช่น การคมนาคมและตลาด อังกฤษมีท่าเรือที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น เป็นจำนวน
มากในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ นอกจากนั้นถนนหนทางที่มีมาตั้งแต่สมัยกลางก็ได้รับการปรับปรุง และสร้างเพิ่ม
เติมมากขึ้น คลองก็ขุดเชื่อมเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ตอนในเพื่อความสะดวกในการขนส่งสินค้า ถนนและคลองเหล่านี้
ได้ทำให้เมืองที่อยู่ทางตอนในได้มีส่วนร่วมในการสร้างความเจริญทางการค้าให้แก่ อังกฤษได้อย่างดี ใน ค.ศ.
๑๗๐๗ สก็อตแลนด์ได้มารวมกับอังกฤษตามกฎหมาย “Act of Union” อังกฤษ กับสก๊อตแลนด์จึงเปิดการค้า
เสรีไม่เก็บภาษีศุลกากรระหว่างกัน และไอร์แลนด์เข้าร่วมด้วยใน ค.ศ. ๑๘๐๐ ตลาดการค้าภายในของอังกฤษจึง
ขยายกว้างขวางขึ้นเมื่อการค้าภายในอิ่มตัว พ่อค้าอังกฤษก็พร้อมที่จะเปิด การค้ากับยุโรปอื่น ๆ อเมริกาเหนือ
แอฟริกาและเอเชียต่อไป สหรัฐอเมริกาหลังจากประกาศอิสรภาพแล้ว ก็ได้ซื้อสินค้าจากอังกฤษมากกว่าจากที่
อื่น อินเดียก็ซื้อเครื่องนุ่งห่มที่ทำจากผ้าฝ้ายจากอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ อาณานิคมของสเปนในอเมริกาก็หันมา
ค้าขายกับอังกฤษในสมัยปฏิวัติฝรั่งเศสและนโปเลียน และอังกฤษ ก็ได้ค้าขายกับดินแดนเหล่านี้มากขึ้น เมื่อดิน
แดนเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้เอกราช ใน ค.ศ. ๑๘๒๐

ความสำเร็จของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษมิได้เกิดขึ้นจาก ความมั่งคั่งของประเทศและความพร้อม
ในด้านต่าง ๆ ที่กล่าวมาเท่านั้น แต่ยังเกิดจากคุณสมบัติเฉพาะตัวของชาวอังกฤษที่กล้าได้กล้าเสียและ
กระตือรือร้นต่อการเปลี่ยนแปลง ต่าง ๆ ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ชาวอังกฤษโดยทั่วไปมีความเชื่อว่าความ
มั่งคั่งทางโภคทรัพย์เป็นความสำเร็จสูงสุด ของชีวิตที่ทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ ของตนเอง
และครอบครัว ทัศนคติดังกล่าวนี้จึงทำให้ชนชั้นขุนนางในอังกฤษไม่เคร่งครัด ต่อการแบ่งแยกชนชั้นในสังคม



เท่ากับพวกขุนนางในประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป และการให้การยอมรับบุคคลจากชนชั้นอื่นที่สามารถสร้าง
ฐานะเป็นปึกแผ่นได้ นอกจากนี้ขุนนางอังกฤษก็ไม่มีความรังเกียจที่จะลดตัวลงมาลงทุนทำการค้าเพื่อแข่งขันกับ
บรรดาพ่อค้าต่าง อีกด้วยขณะเดียวกับบรรดาพวกชนชั้นกลางเช่น คหบดีชนบทรายย่อย (minor gentry) และ
ชาวนาเจ้าของที่ดิน (yeoman) ต่างก็พยายามมุมานะและใช้ความ สามารถของตนทุกวิถีทางเพื่อยกสถานภาพ
ทางเศรษฐกิจและสังคมของตนให้ทัดเทียมพวกชนชั้นขุนนาง ทัศนคติทางวัตถุธรรมดังกล่าวจึงทำให้ชาวอังกฤษ
โดยทั่วไปเห็น การค้าขายเป็นงานมีเกียรติและไม่เกรงกลัวต่อการประกอบอาชีพธุรกิจ ตลอดจนพร้อมที่จะ
ยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของตนมั่งคั่งและมั่นคงยิ่งขึ้นเพื่อก้าวขึ้นไปมี
บทบาทในสังคมหรือให้เป็นที่ยอมรับว่าเป็น “บุคคล ผู้มีเกียรติ” ยิ่งไปกว่านั้น อังกฤษยังเป็นประเทศที่มีความ
เจริญทางด้านการค้ามากกว่า ประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป นโยบายการค้าแบบเสรีและการยกเลิกการเก็บภาษี
ผ่านด่าน ในการขนถ่ายสินค้าก่อนประเทศอื่น ๆ ในยุโรปได้กระตุ้นให้มีการขยายตัวของตลาด การค้าภายใน
อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ สมาชิกของรัฐสภาอังกฤษซึ่งประกอบด้วย นักธุรกิจและพ่อค้ายังมีส่วนสำคัญใน
การส่งเสริมให้ตลาดการค้าขยายตัวอีกด้วย ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมได้มีการออกพระราชบัญญัติหลายฉบับ
ในการสร้างถนน ท่าจอดเรือและขุดคลองต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเพื่อใช้เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้า ซึ่งส่ง
ผลให้การขนถ่ายสินค้าทั่วทั้งประเทศเป็นไปด้วยความสะดวกสบายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ อังกฤษยังได้เข้ารบใน สงครามกับประเทศศัตรู
คู่แข่งขันในการขยายอำนาจทางทะเลและสามารถยึดครอง ดินแดนโพ้นทะเลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและ
เป็นแหล่งวัตถุดิบได้ทั้งในทวีปเอเชีย และทวีปอเมริกาการครอบครองอาณานิคมดังกล่าวนี้ทำให้อังกฤษสามารถ
ขยายปริมาณ สินค้าส่งออกและเพิ่มจำนวนตลาดการค้าในต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว จนในที่สุด การค้าก็
กลายเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลที่ต้องการให้การส่งเสริมและคุ้มครอง เรือรบของอังกฤษจึงมิได้ทำหน้าที่เพียง
แต่การป้องกันประเทศเท่านั้น แต่ยังต้องรักษาเส้นทาง การค้าทางทะเลและให้ความคุ้มครองแก่เรือพาณิชย์ที่
เดินทางไปค้าขายในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย

ปัจจัยดังกล่าวทั้งหมดจึงทำให้การวางรากฐานการอุตสาหกรรมในอังกฤษ มีความมั่นคงกว่าที่อื่น ๆ และ
ก่อให้เกิดแรงจูงใจแก่ชาวอังกฤษให้ค้นคิดหาวิธีการผลิต สินค้าต่าง ๆ ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเพื่อสามารถขยาย
การค้าในตลาดเก่าและสร้างตลาดการค้าใหม่ ๆ จนในที่สุดได้มีการค้นคิดประดิษฐ์เครื่องจักรและเครื่องทุนแรง
ต่าง ๆ มาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและเกิดเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมในเวลาต่อมา

การพัฒนาเครื่องมือและ
เครื่องจักรชนิดใหม่

ความเจริญก้าวหน้าในการพัฒนาเครื่องมือและเครื่องจักรชนิดใหม่ เป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าทาง
วิทยาศาสตร์ ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) ทำให้เกิดการค้นคว้าทาง
วิทยาศาสตร์และเกิดการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ชนิดใหม่ดังต่อไปนี้

เครื่องมือเพื่อใช้ทางการเกษตร ๕

ภาพที่ ๑ เจโธร์ ทัลล์
ที่มา : https://hmong.in.th/wiki/Jethro_Tull_(agriculturist)

ภาพที่ ๒ เครื่องมือหว่านเมล็ดพืชของเจโธร์ ทัลล์
ที่มา : https://citly.me/HMNw9

เจโธร์ ทัลล์ (Jetheo Tull) ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์เครื่องมือหว่านเมล็ดพืช ขึ้นในปี ค.ศ. ๑๗๐๑ เครื่องมือ
ดังกล่าวได้กลายมาเป็นแม่แบบของเครื่องมือหว่านเมล็ดพืชที่ ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้เครื่องมือหว่านเมล็ด
พืชชนิดใหม่ยังทำให้เกิดการปลูกพืชเป็น ร่องสวนอย่างมีระเบียบ

ชาลส์ เทาน์เซนต์ (Charles Townshend) เสนาบดีของพระเจ้ายอร์ชที่ ๑ (ค.ศ. ๑๗๑๔ - ๑๗๒๗) แห่ง
อังกฤษ สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารสัตว์ในฤดูหนาว โดยการนำเอาหัวผักกาด (Turnip) มาปลูก
เพื่อเก็บไว้เลี้ยงสัตว์ในฤดูหนาว จนทำให้เขาได้รับสมญาว่า Turnip Townshend และเทาน์เซนด์ยังเป็นบุคคล
แรกที่นำเอาระบบการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ บนผืนดินเดียวกันสลับกันไปตลอดปีมาใช้ โดยใช้ปุ๋ยเป็นเครื่องช่วยบำรุง
ดิน

เครื่องปั่นด้าย ๖

ภาพที่ ๓ จอห์น เคย์
ที่มา : https://citly.me/awzLm

ภาพที่ ๔ เครื่องทอผ้าที่เรียกว่า “กี่กระตุก” ของจอห์น เคย์
ที่มา : https://citly.me/awzLm

จอห์น เคย์ (John Kay) ในปี ค.ศ. ๑๗๓๓ ช่างซ่อมเครื่องจักรประดิษฐ์เครื่องทอผ้า ที่เรียกว่า “กี่กระตุก”
ที่มีชื่อว่า “กระสวยบิน” (Flying Shuttle) ซึ่งช่วยให้ช่างทอผ้าสามารถผลิตผ้าได้มากกว่าเดิมถึง 2 เท่า จอห์น
เคย์ได้ออกแบบและสร้าง “กระสวย” ที่ช่วยผ่อนแรงและประหยัดเวลา โดยให้ “กระสวย” นั้น สามารถพุ่งไปทาง
ซ้ายหรือทางขวาอย่างรวดเร็ว เพียงแต่กระดกสลักไม้ที่เรียกว่า “fly pin” (กระสวยเครื่องเย็บผ้าที่วิ่งไปมาด้วย
ล้อ)



ภาพที่ ๕ เจมส์ ฮาร์กรีฟส์
ที่มา : https://citly.me/awzLm

ภาพที่ ๖ เครื่องปั่นด้ายของเจมส์ ฮาร์กรีฟส์
ที่มา : https://citly.me/awzLm

เจมส์ ฮาร์กรีฟส์ (James Hargreaves) ชาวอังกฤษผู้ประดิษฐ์เครื่องปั่นด้าย ได้สำเร็จในปี ค.ศ. ๑๗๖๗ โดย
ใช้ชื่อว่า “Spinning Jenny” ช่างทอผ้า ได้คิดค้นล้อหมุนและตั้งชื่อตามชื่อบุตรสาวของตนเอง คือ สปินนิ่งเจนนี
(spinning jenny) สามารถปั่นฝ้ายได้ทีละ ๑๖ เส้นทำให้ปั่นด้ายได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีจุดบกพร่อง โดยด้ายที่
ปั่นออกมาจะเปื่อยและหยาบ



ภาพที่ ๗ ริชาร์ด อาร์คไรท์
ที่มา : https://citly.me/awzLm

ภาพที่ ๘ เครื่องกรอด้ายโดยใช้พลังงานน้ำ
ที่มา : https://hmong.in.th/wiki/Spinning_frame
ริชาร์ด อาร์คไรท์ ((Richard Arkwright) ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์เครื่องปั่นด้ายขึ้นมาอีกชนิด ในปี ค.ศ.
๑๗๖๙ โดยใช้ชื่อว่า Water Frame โดยใช้น้ำเป็นพลังงานแทนแรงงานมนุษย์ สามารถปั่นด้ายได้เป็นจำนวน
มากกว่าและมีคุณภาพดีกว่าด้ายที่ปั่นออกมาจากเครื่อง Spinning Jenny



ภาพที่ ๙ แซมมวล ครอมป์ตัน
ที่มา : https://citly.me/awzLm

ภาพที่ ๑๐ SPINNING MULE ของแซมมวล ครอมป์ตัน
ที่มา : https://citly.me/awzLm

แซมมวล ครอมป์ตัน (Samuel Crompton) ชาวอังกฤษประดิษฐ์เครื่องปั่นด้าย ในปี ค.ศ. ๑๗๗๙ ชื่อ
Spinning Mule โดยเรียนแบบจากเครื่องปั่นด้ายของฮาร์ฟส์กับอาร์คไรท์ สามารถปั่นด้ายได้ทีละ ๔๐๐ เส้น โดย
ด้ายที่ปั่นออกมาจะมีความเหนียวและทนทาน เครื่องปั่นด้ายชนิดนี้ใช้พลังน้ำและพลังจากไอน้ำเป็นพลังงาน

๑๐

ภาพที่ ๑๑ เอ็ดมันด์ คาร์ตไรท์
ที่มา : https://citly.me/awzLm

ภาพที่ ๑๒ หูกทอผ้า“Power Loom”ของเอ็ดมันด์ คาร์ตไรท์
ที่มา : https://citly.me/awzLm

เอ็ดมันด์ คาร์ตไรท์ (Edmund Cartwright) นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๗๘๗ เอ็ดมันด์ คาร์ต
ไรท์(Edmund Cartwright) ประดิษฐ์เครื่องทอผ้าแบบใหม่ที่เรียกว่า “หูกทอผ้า” ที่มีชื่อเรียกว่า “Power
Loom” (Edmund Cartwright’s Power Loom) เครื่องทอผ้าของเอ็ดมันด์ คาร์ตไรท์ชื่อ “ Power loom” ทอ
ผ้าได้เร็วขึ้น สามารถทอผ้าได้เร็วเท่ากับคน ๒๐๐ คน

๑๑

ภาพที่ ๑๓ เอลี วิตนีย์
ที่มา : https://citly.me/awzLm

ภาพที่ ๑๔ เครื่องแยกเมล็ดฝ้ายออกจากใยของเอลี วิตนีย์
ที่มา : https://citly.me/awzLm

เอลี วิตนีย์ (Eli Whitney) ในปี ค.ศ. ๑๗๙๓ ประดิษฐ์เครื่องแยกเมล็ดฝ้ายออกจากใย (Cotton Gin) เป็น
เครื่องหีบฝ้ายที่ทำงานได้รวดเร็วและใช้คนงานน้อยกว่าแบบลูกกลิ้ง ทำให้ต้นทุนการหีบต่ำ การผลิตฝ้ายของชาว
อเมริกันจึงพุ่งสูงขึ้นมาก

เครื่องจักรไอน้ำ ๑๒

ภาพที่ ๑๕ โธมัส นิวคอเมน
ที่มา : https://citly.me/bLDfg

โธมัส นิวคอเมน (Thomas Newcomen) ชาวอังกฤษผู้บุกเบิกในการประดิษฐ์ เครื่องจักรไอน้ำชื่อ
Miner's Friend ได้ในปี ค.ศ. ๑๗๑๒ เพื่อใช้ในการสูบน้ำออกจากเหมืองถ่านหิน

๑๓

ภาพที่ ๑๖ เจมส์ วัตต์
ที่มา : https://www.takieng.com/stories/17320

ภาพที่ ๑๗ เครื่องจักรไอน้ำของเจมส์ วัตต์
ที่มา : https://www.takieng.com/stories/17320
เจมส์ วัตต์ (James Watt) ชาวสก๊อต ได้ปรับปรุงเครื่องจักรไอน้ำของโธมัส นิวคอเมน จนสามารถนำมา
ประกอบใช้กับเครื่องจักรชนิดอื่นได้สำเร็จในปี ค.ศ. ๑๗๖๗ ในเวลาต่อมาเครื่องจักรไอน้ำจึงเข้ามามีบทบาทแทน
เครื่องจักรพลังน้ำ ในกิจการ ที่เกี่ยวข้องกับการถลุงเหล็กและอุตสาหกรรมทอผ้าในระหว่างปี ค.ศ. ๑๗๖๐ - ๑๘๐๐

๑๔

การประดิษฐ์และสร้างนวัตกรรมใหม่

การพัฒนาเครื่องจักรไอน้ำไม่เพียงทำให้อุตสาหกรรมการทอผ้า เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังมี
ผลกระทบที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของ อุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมเหล็ก ใน
ตอนต้นคริสต์ศตวรรษ ๑๘ อังกฤษสามารถผลิตเหล็กได้ประมาณปีละ ๒๕,๐๐๐ ตันเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่พอ
เพียงต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมหนักประเภทต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยเหล็กเป็น วัตถุดิบสำคัญในการผลิต อีกทั้ง
การถลุงเหล็กในระยะแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ยังไม่มีประสิทธิภาพที่ดีพอ เพราะยังคงใช้ฟืนและถ่าน
(charcoal) ซึ่งให้ความร้อนต่ำเป็น เชื้อเพลิง เมื่อเครื่องจักรไอน้ำได้รับการพัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้นแล้ว ก็ได้มี
การนำถ่านโค้ก (Coke) ซึ่งเป็นถ่านหิน (coal) ที่ผ่านกระบวนการเผาจนหมดควันแล้วมาใช้เป็น เชื้อเพลิงใน
การหลอมโลหะ การพัฒนาทั้งเครื่องจักรกลที่ใช้ไอน้ำและการปรับปรุงคุณภาพ ของเชื้อเพลิงดังกล่าวนี้ทำให้
อุตสาหกรรมเหล็กของอังกฤษสามารถขยายปริมาณ ผลิตได้อย่างรวดเร็วจนมีปริมาณถึง ๑ ล้านตันในต้นคริสต์
ศตวรรษที่ ๑๙ และมีจำนวนมาก เพียงพอต่อความต้องการของการขยายอุตสาหกรรมภายในประเทศ นอกจากนี้
เฮนรี คอร์ต (Henry Cort) ชาวอังกฤษยังได้ค้นคิดวิธีการหลอมเหล็กให้ได้เหล็กบริสุทธิ์ที่มี คุณภาพขึ้นโดย
ปราศจากโลหะอื่นเจือปน และต่อมาได้พัฒนาวิธีการตัดเหล็กและวิธีการ หล่อหลอมเหล็กเป็นรูปร่างต่าง ๆ ตาม
แต่ต้องการ ยังผลให้กองทัพของชาติตะวันตก สามารถปรับปรุงคุณภาพของปืนใหญ่และปืนคาบศิลา ตลอดจน
อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ภาพที่ ๑๘ “รางรถไฟ”
ในระยะแรกสร้างในกลางคริสต์ ศตวรรษที่ 18 ทำด้วยไม้ใช้ม้าลากรถบรรทุกถ่านหิน ไปตามราง

ที่มา : https://www.flickr.com/photos/28709338@N04/25620025125

ในระยะแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ค.ศ. ๑๗๖๐ - ๑๘๔๐) อังกฤษเป็นเพียง ประเทศเดียวที่ประสบ
ความสำเร็จในการปฏิวัติอุตสาหกรรม รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศ ห้ามการส่งออกเครื่องจักรกล ช่างฝีมือรวมทั้ง
เทคนิคและวิธีการผลิตสินค้าในโรงงาน อุตสาหกรรมต่าง ๆ ใน ค.ศ. ๑๘๐๗ วิลเลียมและจอห์น คอกเกอร์ฮิลล์
(William & John Cockerill) ชาวอังกฤษซึ่งเห็นโอกาสทำกำไรจากการประกอบธุรกิจ

๑๕

อุตสาหกรรม ในดินแดนภาคพื้นทวีปได้เปิดร้านจำหน่ายเครื่องจักรขึ้น ณ เมืองลีแอช (Lidge) ใน เบลเยียม ใน
เวลาต่อมา เบลเยียมจึงเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นและนับเป็นประเทศ ที่ ๒ ในทวีปยุโรป นับแต่นั้น
เศรษฐกิจ โดยเฉพาะภายหลังสงครามนโปเลียนสิ้นสุดลงใน ค.ศ. ๑๘๑๕ และสังคมของนานาประเทศในยุโรป
รวมถึงสหรัฐอเมริกาก็มีการปรับแปลง (transformation) อย่างรวดเร็ว ความมั่งคั่งมิได้จำกัดอยู่แต่ในมือของ
เจ้าที่ดิน หรือภาคการเกษตรอีกต่อไป แต่หลั่งไหลไปสู่ภาคอุตสาหกรรม เกิด “การปฏิวัติในระบบการผลิต”
โดยการนำเครื่องจักรกลเข้ามาใช้ในการผลิตสินค้าตามโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งการทำเหมืองด้วย ใน ค.ศ.
๑๘๕๐ การปฏิวัติอุตสาหกรรมก็เกิดขึ้นทั่วยุโรป ในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ อังกฤษยังครองความเป็น
ประเทศผู้นำในการปฏิวัติ อุตสาหกรรมอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Victoria ค.ศ. ๑๘๓๗ -
๑๙๐๑) อังกฤษได้จัดแสดงนิทรรศการครั้งใหญ่ (Great Exhibition) ขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๕๑ โดยสร้าง สถานที่จัด
แสดงเป็นเรือนกระจกขนาดใหญ่ เรียกว่าพระราชวังแก้วหรือคริสตัลพาเลซ (Crystal Palace) โครงสร้างของ
อาคารทำด้วยเหล็กทั้งหมดและกรุด้วยกระจกใสเพื่อแสดง ให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีและ
อุตสาหกรรมเหล็กของอังกฤษ สินค้าที่จัดแสดงกว่าครึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของอังกฤษและแสดงให้ประชาคมโลก
เห็นว่าวิธีการผลิต ของอังกฤษมีความเหนือกว่าประเทศอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในขณะนั้นเป็นอันมากความสำเร็จ
ของอุตสาหกรรมเหล็กและเครื่องจักรไอน้ำยังก่อให้เกิดการปฏิวัติ การคมนาคมขนส่งอีกด้วย ใน ค.ศ. ๑๘๐๔ ริ
ชาร์ด เทรวีทก (Richard Trevitick) นำเอาพลังไอน้ำมาใช้ขับเคลื่อนรถบรรทุกแทนการลากจูงของม้าโดยใช้
กำลังไอน้ำหมุนล้อให้วิ่งไปตามราง รถจักรไอน้ำจึงเริ่มมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการขนส่งและมีการ
ปรับปรุง

ภาพที่ ๑๙ หัวรถจักรไอน้ำชื่อ “ร็อกเกต” (Rocket)
จอร์จ สตีเฟนสัน ประดิษฐ์ในกลางทศวรรษ

ที่มา : http://waeehana.blogspot.com/2017/07/blog-post_3.html

๑๖

การผลิตขึ้นเป็นจำนวนมากในอังกฤษ แต่รถจักรไอน้ำที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และมีชื่อเสียง
ไปทั่ว โลกคือ หัวรถจักรไอน้ำชื่อ “ร็อกเกต” (Rocket) ของจอร์จ สตีเฟนสัน (George Stephenson) ซึ่ง
ชนะการประกวดรถจักรใน ค.ศ. ๑๘๒๙ โดยสามารถแล่นได้ ๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความสำเร็จของร็อก
เกตทำให้มีการเปิดบริการรถจักรไอน้ำบรรทุกสินค้าเป็นครั้งแรก ระหว่างเมืองลิเวอร์พูล (Liverpool) กับ
แมนเชสเตอร์ (Manchester) ใน ค.ศ. ๑๘๓๐ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดเส้นทางรถไฟในอังกฤษ ใน
เวลาต่อมารถจักรไอน้ำบรรทุกสินค้า ได้ถูกนำมาดัดแปลงใช้บริการรับส่งผู้โดยสาร ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่าง
มาก ทั้งการเปิดสายการเดินรถจักรไอน้ำใน ค.ศ. ๑๘๓๐ ดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ยุค “ม้า
เหล็ก” หรือรถไฟอย่างแท้จริง กิจการรถไฟได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
สังคม เศรษฐกิจ เส้นทางรถไฟนำความเจริญจากเมืองมาสู่เขตท้องถิ่นชนบท และเปลี่ยนชุมชนที่ล้าหลังให้
กลายเป็นเมืองและนคร การเดินทางติดต่อของผู้คนมีมากขึ้น กิจการธุรกิจการค้าขยายตัวอย่างรวดเร็ว นำ
ไปสู่การปฏิวัติการคมนาคมขนส่งและการสื่อสารในเวลาต่อมาด้วย เช่น การปรับปรุงพลังไอนำมาใช้กับ เรือ
กลไฟจนสามารถเปิดเดินเรือกลไฟแล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขึ้นได้ภายใน ๑๔ วัน

นอกจากรถจักรไอน้ำแล้ว พัฒนาการทางบกที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือรถยนต์ ในระยะแรก ๆ มีการนำ
พลังไอน้ำมาใช้กับรถสามล้อโดยนีโกลา โชเซส กูโญ วิศวกรชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ริเริ่มใน ค.ศ. ๑๗๗๐ และต่อ
มาในกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ได้มีผู้คิดประดิษฐ์นำเครื่องยนต์ที่ใช้กับน้ำมันเบนซินมาใช้ แต่กระนั้น
เครื่องยนต์ที่ใช้กับรถก็ยังไม่แพร่หลาย ใน ค.ศ. ๑๘๘๗ คาร์ล เบนซ์ (Karl Benz) และกอตต์ ลีบ เดมเลอร์
(Gottlieb Daimler) ประสบความสำเร็จในการนำเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เบนซินมาใช้กับรถยนต์
อุตสาหกรรมรถยนต์จึงเจริญก้าวหน้าขึ้นและเป็นจุดเริ่มต้นของ การผลิตรถยนต์ชนิดต่าง ๆ ที่ใช้ยี่ห้อเบนซ์
และเดมเลอร์ขึ้นเป็นครั้งแรก

ในยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรม อังกฤษยังผู้ริเริ่มระบบไปรษณีย์ในแบบปัจจุบันขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๔๐
ระบบไปรษณีย์ดังกล่าวนี้เรียกว่า เพนนีโพสต์ (Penny Post) กล่าวคือ เสียค่าแสตมป์เพียง 1 เพนนีก็
สามารถส่งจดหมายไปยังท้องถิ่นต่าง ๆ ได้และการขนส่ง ก็เปลี่ยนจากม้า รถม้า เป็นเรือกลรถไฟ ทำให้การ
ติดต่อข่าวสารสะดวกและรวดเร็วขึ้น ส่วนการสื่อสารด้านโทรคมนาคมซึ่งได้แก่ วิทยุ โทรเลข โทรทัศน์และ
เครื่องมือสื่อสารอื่น ๆ เกิดขึ้นในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ โดยเริ่มจาก แซมวล มอร์ส (Samuel
Morse) ประดิษฐ์โทรเลขได้สำเร็จแรกใน ค.ศ. ๑๘๓๗ และใน ค.ศ. ๑๘๖๖ มีการวางสายโทรเลข ข้าม
มหาสมุทรแอตแลนติกติดต่อระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษได้สำเร็จ ซึ่งนับว่าเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ
อย่างหนึ่งของการสื่อสาร และทำให้โลกที่กว้างขวางดูแคบลงไปในทันที ส่วนโทรศัพท์นั้น อะเล็กซานเดอร์
เกรแอม เบลล์ (Alexander Graham Bell) เป็นผู้คิดประดิษฐ์ได้สำเร็จใน ค.ศ. ๑๘๗๖ นอกจากนี้ ใน ค.ศ.
๑๘๑๒ ได้ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบใช้กับกระดาษม้วนขึ้นมาทำหนังสือพิมพ์รายวัน อ่านกันเฉพาะผู้มีฐานะ
ค่อนข้างดี

การปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษและการ ๑๗
ต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรม

เงื่อนไขเบื้องต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษ

การปฏิวัติอุตสาหกรรมคือวิถีดำเนินที่การผลิตแบบทุนนิยมผ่านจากขั้นสถานประกอบ การหัตถกรรมสู่ขั้น
อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลขนาดใหญ่นั่นเอง การปฏิวัติอุตสาหกรรมคือการ ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงเทคนิคการผลิตใน
ขั้นมูลฐาน ขณะเดียวกัน ก็เป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงความ สัมพันธ์ทางสังคมที่ดุเดือดรุนแรงครั้งหนึ่งด้วย การ
ปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษเริ่มในทศวรรษที่ ๑๗๖๐ และสำเร็จลุล่วงโดยพื้นฐานในทศวรรษที่ ๑๘๓๐ -
๑๘๔๐ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แขนงอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของอังกฤษได้บรรลุถึงขั้นเป็นแบบจักรกลขนาดใหญ่
โดยพื้นฐาน ได้สร้างระบบโรงงานที่ใช้เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ และทำให้ภายในสังคมเกิดแตกเป็นชนชั้น ๒
ชนชั้นที่เป็นปฏิปักษ์กันอย่างเด่นชัด ซึ่งก็คือชนชั้นนายทุนกับชนชั้นกรรมาชีพอุตสาหกรรม

การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เกี่ยวพันถึงเงื่อนไขด้านต่าง ๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและเทคนิคตลอดจนการ
ตระเตรียมด้านประชามติด้วย แต่ว่าเงื่อนไขเบื้องต้นที่ผลักดันการปฏิวัติอุตสาหกรรม ผลักดันให้แขนง
อุตสาหกรรมต่าง ๆ หันมาใช้และพัฒนาเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ ในการผลิตที่สำคัญมีอยู่ ๒ ประการคือ ประการ
แรกทุนจำนวนมากสะสมและรวมศูนย์อยู่ในมือนายทุนจำนวนน้อย และประการที่สองคือการปรากฏตัวของกอง
ทัพแรงงานรับจ้าง “อิสระ” อังกฤษเป็นประเทศแรกที่สถาปนาเผด็จการชนชั้นนายทุนและก็เป็นประเทศแรกที่
เพียบพร้อม ด้วยเงื่อนไขการปฏิวัติอุตสาหกรรม

หลังการปฏิวัติชนชั้นนายทุนของอังกฤษในศตวรรษที่ ๑๗ ผ่านจากการต่อสู้ที่เลี้ยวลด คดเคี้ยวเป็นเวลาครึ่ง
ศตวรรษ ในที่สุดก็ได้สถาปนาเผด็จการชนชั้นนายทุนและการปกครองใน ระบอบกรรมสิทธิ์ทุนนิยมขึ้นอย่างมั่นคง
ทั้งได้ผ่านกลไกรัฐใช้ความรุนแรงไปเร่งกระบวนการ สะสมปฐมกาลของทุนภายในประเทศ อาชญากรรมกว้าน
ที่ดินได้รับอนุมัติจากรัฐสภาและคุ้มครอง ทางกฎหมายชาวนาถูกแย่งยึดอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าก่อนปฏิวัติเสียอีก
ชาวนาที่สูญเสียที่ดินแต่ได้เข้ารวมอยู่ในกองทัพใหญ่ของแรงงานรับจ้าง “อิสระ” ต่อภายนอก หลังจากผ่านการ
ค้าแบบโจรสลัด และสงครามอาณานิคมเป็นเวลายาวนานจนสามารถรบชนะประเทศ สเปน ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส
แล้ว จนถึงกลางศตวรรษที่ ๑๘ อังกฤษก็ได้ช่วงชิงอำนาจครองความเป็นเจ้าอาณานิคมของโลก ควบคุม ตลาด
การค้าโพ้นทะเลอันกว้างขวางได้ในที่สุด โภคทรัพย์ก้อนมหึมาที่เปรอะเปื้อนด้วยเลือดสดๆ ของชาวอาณานิคม
และผลกำไรมหาศาลที่ได้จากการค้าทาสลักษณะผูกขาดได้เกิดบทบาทสำคัญ เป็นพิเศษในการสะสมปฐมกาลของ
อังกฤษ

การต่อสู้ทางชนชั้นในระหว่างปฏิวัติอุตสาหกรรม

ขบวนการลู๊ดด์ การต่อสู้ทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพยุคแรก ในเวลาเดียวกับที่การปฏิวัติอุตสาหกรรม
กำลังดำเนินการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคในขั้นมูลฐานนั้น ก็ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

๑๘

ความสัมพันธ์ทางการผลิตของสังคมอย่างรุนแรง พร้อม ๆ กับที่ระบบโรงงานสร้างขึ้นอย่างแพร่หลาย สังคม
อังกฤษก็ได้ปรากฏชนชั้นที่เป็นปฏิปักษ์ กัน ๒ ชนชั้น คือชนชั้นกรรมาชีพอุตสาหกรรมและชนชั้นนายทุน
อุตสาหกรรมสมัยใหม่ การที่อุตสาหกรรมที่เกิดใหม่สามารถเจริญเติบโตขึ้นมาได้ก็เป็นเพราะว่ามันได้ใช้
เครื่องจักรเข้าแทนที่ เครื่องมือหัตถกรรม ใช้โรงงานแทนที่สถานประกอบการ และจากนั้นก็แปรผู้ใช้แรงงานใน
ชนชั้น กลางเป็นกรรมกรผู้ไร้สมบัติ แปรพ่อค้าใหญ่เมื่อก่อนนี้เป็นเจ้าของโรงงาน มันเบียดขับชนชั้น นายทุน
น้อย ทั้งแปรความแตกต่างทั้งปวงในหมู่ประชาชนเป็นคู่ปรปักษ์กันระหว่างกรรมกรกับนายทุน สภาพอย่าง
เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับพวกหัตถกรและพ่อค้าย่อยซึ่งอยู่นอกปริมณฑลสถาน ประกอบการหัตถกรรม เมื่อเป็น
เช่นนี้แล้ว ชนชั้นใหม่ของสังคมชนชั้นหนึ่งซึ่งก็คือชนชั้นกรรมาชีพ อุตสาหกรรมได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว

ภายใต้ระบอบทุนนิยม การประดิษฐ์และใช้เครื่องจักร ได้ขยายขอบเขตในการขูดรีดและเพิ่มผลกำไรให้
กับนายทุน แต่สิ่งที่นำมาให้กรรมกรนั้นกลับเป็นการตกงาน ความยากจนและอดอยากหิวโหย เครื่องจักรที่เป็น
ชุดได้เปลี่ยนการใช้แรงงานในการผลิตเป็นการทำงานแบบง่าย ๆ และซ้ำซากทำให้เจ้าของโรงงานสามารถใช้
กรรมกรเด็กและหญิงซึ่งค่าแรงต่ำเป็นจำนวนมากได้ ปี ๑๗๘๘ โรงงานปั่นด้าย ๑๔๒ แห่งของอังกฤษใช้
กรรมกรเด็ก ๒๕,๐๐๐ คน กรรมกรหญิง ๓๑,๐๐๐ คน กรรมกรชายมีเพียง ๒๖,๐๐๐ คนเท่านั้น เด็กอายุตั้งแต่
๖-๗ ขวบก็เข้าสู่โรงงาน ฐานะของกรรมกรชายก็เลวร้าย เวลาทำงานยืดยาวออกไปแต่ค่าแรงลดลง ในระหว่าง
ปี ๑๘๐๒ - ๑๘๓๓ ค่าแรงของกรรมกรได้ลดลงจากสัปดาห์ละ ๒๙ ชิลลิงเหลือ ๕ ชิลลิง

อังกฤษในขณะนั้นเป็น ประเทศที่เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศที่มีแหล่งสลัม
ใหญ่ที่สุดและมาก ที่สุดประเทศหนึ่งด้วย กรรมกรมักถูกคุกคามจากโรคติดต่อประเภทไทฟอยด์ อหิวาตกโรค
และวัณโรคเป็นต้น และมีโรคเกี่ยวกับอาชีพติดตัวโดยทั่วไป กรรมกรชายล้วนมีอายุหดสั้นลง ส่วน กรรมกรเด็ก
ก็เสียชีวิต แต่อายุยังน้อยจำนวนมาก กฎหมายของชนชั้นนายทุนห้ามกรรมกรจัดตั้ง องค์การทุกชนิด ถึงแม้ว่า
กรรมกรจะตั้งสหภาพก็ต้องอยู่ในภาวะใต้ดิน สมาชิกน้อยมากยังไม่มีกำลังเพียงพอที่จะต่อต้านนายทุน รัฐบาล
ยังจ้างนักสืบคอยสอดส่องเพ่งเล็งพฤติกรรมของกรรมกร เมื่อใดที่การจัดตั้งเสียลับ กรรมกรก็ถูกจับและถูก
ลงโทษอย่างหนัก หรือไม่ก็ถูกเนรเทศออกนอกประเทศ

การเคลื่อนไหวของกลุ่มหัวรุนแรงในชั้นนายทุน

กลุ่มฝ่ายหัวรุนแรงในชนชั้นนายทุนก็เริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาเป็นตัวแทนผลประโยชน์ ของชนชั้นนายทุน
อุตสาหกรรม พยายามอย่างสุดกำลังที่จะขยายขอบเขตของสิทธิเลือกตั้งให้ กว้างออกไปเพื่อจะได้เพิ่มจำนวนผู้
แทนของตนในรัฐสภา กลุ่มหัวรุนแรงใช้ความไม่พอใจของกรรมกรที่มีต่อรุณพระเจ้าที่จีนและขุนคลังซึ่งเป็นกลุ่ม
อำนาจในขณะนั้นเป็นประโยชน์โดยกล่าวว่า ขุนนางเข้าที่ดินและชนชั้นนายทุนธนาคารเป็นศัตรูร่วมกันกรรมกร
และนักอุตสาหกรรม พยายามชักนำการต่อสู้ของกรรมกร เป็นประโยชน์ไปตามวิถีทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มหัว
รุนแรง ใช้การต่อสู้ต่อต้านของชนชั้นกรรมกรเป็นประโยชน์ไปบรรลุจุดมุ่งหมายทางการเมืองของตนกระแสลูก
แรกของการเคลื่อนไหวของกลุ่มหัวรุนแรงคือ “กรณีวิลเดส” ปี ๑๗๖๓

การจลาจลสวิง ๑๙

การจลาจลสวิงโดยความเป็นจริงแล้วก็คือ ขบวนการทำลายเครื่องจักรที่เกิดขึ้นในชนบท ชนวนของมันเกิด
จากการนำเครื่องนวดข้าวมาใช้ในการเกษตร การนวดข้าวเป็นขั้นตอนการทำงานแบบเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่ใน
ขณะนั้น ชาวชนบทอาศัยการรับจ้างนวดข้าวมาเพิ่มรายได้ซึ่งมีน้อยไม่พอกับรายจ่าย เครื่องนวดข้าวสามารถ
นวดข้าวได้เร็วมีประสิทธิภาพสูง ต้นทุนต่ำแผงที่ข้าวแบบเก่าไม่มีทางจะแข่งขันกับมันได้เลย ประจวบกับปี
๑๘๓๐ เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ การเก็บเกี่ยวธัญญาหารก็ไม่ได้ผล ซ้ำยังเกิดโรคระบาดในฝูงแกะ ก็ยิ่งเพิ่มความ
ทุกข์ยากเดือดร้อนให้กับชาวนา การต่อสู้ทางชนชั้นจึงทวีความรุนแรงขึ้น

การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มต้นในครึ่งหลังศตวรรษที่ ๑๘ จนถึงทศวรรษที่ ๑๘๓๐ - ๑๘๔๐ ก็บรรลุความ
สำเร็จ ในด้านเทคนิคการผลิต “ใช้เครื่องจักรผลิตเครื่องจักร” สร้างพื้นฐานทางเทคนิคอย่างเหมาะสมให้กับการ
สร้างอุตสาหกรรมใหญ่ในระบบโรงงานการเป็นแบบจักรกลของอุตสาหกรรมอังกฤษเริ่มต้นจากแขนง
อุตสาหกรรมปั่นทอ หลังจากการใช้เครื่องจักรไอน้ำอย่าง แพร่หลายแล้วก็ได้ผลักดันให้อุตสาหกรรมถลุงโลหะ
และอุตสาหกรรมเหมืองแร่พัฒนาก้าวหน้าไป จนถึงทศวรรษที่ ๑๘๓๐ - ๑๘๔๐ ในวิถีดำเนินแปรแขนง
อุตสาหกรรมเป็นแบบจักรกลนั้นอังกฤษ ได้สร้างอุตสาหกรรมสร้างเครื่องจักร และอุตสาหกรรมสร้างแท่นเครื่องที่
ใหญ่โต สิ้นสุดยุคสถานประกอบการหัตถกรรมที่ใช้ไม้เป็นวัสดุ และใช้ช่างฝีมือในการสร้างเครื่องจักร ก้าวสู่ยุค
อุตสาหกรรม สมัยใหม่ที่ใช้โลหะเป็นวัสดุและใช้เครื่องจักรในการสร้างเครื่องจักร การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้
เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและการกระจายของประชากร ทำให้ประชากรในเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดินแดนทาง
ภาคตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งมีปริมาณสำรองถ่านหินและเหล็กอุดมสมบูรณ์ ในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมได้พัฒนา
เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหม่ เขตภาคตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นเขตที่เกษตรกรรมเจริญในยุคต้น ๆ ผู้ใช้
แรงงานจำนวนมาก

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดทางด้านความสัมพันธ์ทางสังคมจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม คือ ได้ปรากฏ
ชนชั้นกรรมาชีพอุตสาหกรรมและชนชั้นนายทุนอุตสาหกรรม ประกอบเป็นชนชั้นที่เป็นปฏิปักษ์กัน ๒ ชนชั้นใน
สังคมทุนนิยม ชนชั้นนายทุนไม่ถือคนเป็นคน หากถือเป็น “มือ” มือสร้างผลกำไรให้พวกเขา ในทัศนะของชนชั้น
นายทุน นอกจากรีบเร่งกอบโกยแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่ายังมีความสุขอื่นใดอีก และนอกจากการสูญเสียเงินทอง
แล้ว ก็ไม่รู้ว่ายังมีความเจ็บปวดอื่นใดอีก ชนชั้นกรรมชีพเป็นผลิตผลของของตัวอุตสาหกรรมเอง พวกเขานับวัน
เติบใหญ่พร้อม ๆ กับการพัฒนาของอุตสาหกรรมใหญ่ และตื่นตัวขึ้นทุกวันในท่ามกลางการต่อสู้ พวกเขาแบกรับ
ภาระหน้าที่ อันยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ที่จะปลดปล่อยมวลมนุษยชาติและในที่สุดปลดปล่อยชนชั้นกรรมชีพ
เอง

๒๐

ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

การปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมทั้งในทางบวกและทางลบ
อย่างไรก็ตามผลการปฏิวัติอุตสาหกรรมจะเป็นการวาง รากฐานให้เกิดการปรับปรุงมาตรฐานความเป็นอยู่ ภาพ
อนามัย การคมนาคมจนทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ในขณะที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ก็ยังมี
ประชาชนบางกลุ่มได้รับประโยชน์ในทางลบเช่นเดียวกัน ผลที่เกิดตามมาหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติ
อุตสาหกรรมได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ตามมาหลายด้านซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา
มากมาย

ผลกระทบของการปฏิวัติ
อุตสาหกรรม

๑. ก่อให้เกิดการปฏิวัติทางด้านเกษตรกรรม การประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องจักร เพื่อใช้ทางการเกษตร ช่วยเพิ่ม
ผลผลิตทางด้านการเกษตร นอกจากนี้ยังมีการคิดหาวิธี การถนอมอาหารเพื่อช่วยเก็บอาหารไว้ได้เป็นเวลานาน
เพื่อประโยชน์ทางด้านการบริโภคและการค้า

ภาพที่ ๒๐ สภาพความเป็นอยู่ของกรรมกรในลอนดอน
ที่มา : http://old-book.ru.ac.th/e-book/h/HI352/hi352-4.pdf
๒. ก่อให้เกิดชนชั้นใหม่ชั้น ๒ ชนชั้นคือนายทุน (Capitalist) และกรรมกร (Proletariat) กลุ่มชนทั้ง ๒ กลุ่มมัก
จะมีปัญหาต่อกันเพราะพวกกรรมกรมักจะถูกเอารัด เอาเปรียบจากพวกนายทุน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องชั่วโมง
การทำงานอันยาวนานในขณะที่ได้ รับค่าจ้างแรงงานต่ำ สถานที่ประกอบการไม่ถูกสุขลักษณะ อย่างไรก็ตาม
พวกกรรมกรก็ยังมี รายได้ดีกว่าพวกชาวนาและพวกที่ประกอบอาชีพขายแรงงานในลักษณะอื่น ในเวลาเดียว ๆ
กัน พวกนายทุนยังพยายามลดต้นทุนการผลิตโดยการนำเอาแรงงานเด็กและสตรีมาใช้แทน กรรมกรชาย จาก
การเกิดการเอารัดเอาเปรียบดังกล่าว จึงมีการเรียกร้องให้ปรับปรุง สภาพของโรงงาน ลด

๒๑

ชั่วโมงการทำงานและเพิ่มค่าจ้างแรงงาน จนก่อให้เกิดการจัดตั้งสหภาพกรรมกรขึ้นในเวลาต่อมา ส่วนพวก
นายทุนเมื่อร่ำรวยขึ้นจึงเริ่มหันไปสร้างอำนาจ ทางการเมืองโดยการเข้าไปร่วมมีบทบาทในพรรคการเมือง จน
สามารถเปลี่ยนสถานภาพ กลายมาเป็นชนชั้นผู้ปกครองในเวลาต่อมา
๓. การเพิ่มของจำนวนประชากร โดยเฉพาะประเทศอังกฤษและ เยอรมนีมีอัตราการเพิ่มของประชากรสูงขึ้น
อย่างรวดเร็ว เป็นผลจากการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม เกิดการ
ขยายตัวของชุมชนเมือง และความเจริญก้าวหน้าด้านการแพทย์ และสาธารณสุข
๔. การขยายตัวของสังคมเมือง เกิดเมืองใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการอพยพของผู้คนในชนบทเข้ามา
ทำงานในเมือง ทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา โดยเฉพาะปัญหาชุมชนแออัด และเกิดอาชีพใหม่ๆ อย่าง หลาก
หลาย ในขณะที่ชนชั้นกลางหรือพ่อค้านายทุนเข้ามามีบทบาทใน สังคมมากขึ้น
๕. การแสวงหาอาณานิคมและลัทธิจักรวรรดินิยม ประเทศยุโรปที่มีการปฏิวัติทางการผลิตด้านอุตสาหกรรมมี
ความจำเป็นต้องแสวงหาแหล่ง วัตถุดิบป้อนโรงงานอุตสาหกรรม และขยายตลาดระบายสินค้าที่ผลิต จึงเกิดการ
แข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมในทวีปแอฟริกาและเอเชีย
๖. ความเจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้โลกมีการพัฒนาการ
ผลิตภาคอุตสาหกรรม ก้าวหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง เช่น มีการนำวัสดุอื่น ๆ มาใช้ผลิตแทนวัสดุ ธรรมชาติ เช่น
พลาสติก และโลหะประเภทอัลลอยด์ที่มีน้ำหนักเบา ตลอดจนเกิดการผลิตในระบบโรงงานที่ใช้เครื่องจักรหุ่นยนต์
หรือคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน เป็นต้น เรียกว่าทั้งหลายทั้งปวงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมนำมาสู่การ
เปลี่ยนแปลงให้กับยุโรปอย่างขนานใหญ่และรวดเร็ว

๒๒

สรุป

การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นความก้าวหน้าอีกด้านหนึ่งของมนุษย์ ที่เป็นผลมาจากความก้าวหน้า ทางสติ
ปัญญาของคนในยุคเหตุผล การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้สังคมยุโรป เปลี่ยนแปลงไป
อย่างรวดเร็วในทุกด้านในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ และ ๒๐ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสภาพสังคม เป็น
เหตุการณ์ที่สอดคล้องกับการปฏิวัติทางการเมืองในฝรั่งเศส เหตุการณ์ทั้งสองจึงได้เสริม ซึ่งกันและกันในการ
สร้างสังคมใหม่ให้แก่ยุโรป ซึ่งเป็นสังคมที่สลับซับซ้อน มีปัญหาใหม่ ๆ ที่ท้าทาย ผู้ปกครองบ้านเมืองอย่างไม่เคย
มีมาก่อน

ปัจจัยสำคัญของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ คือ แรงงาน พลเมืองของอังกฤษ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เกือบสองเท่าในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ และอีกสองเท่าในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ โดยเฉพาะใน ๓๐ ปี
แรกของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ พลเมืองอังกฤษเพิ่มมากขึ้นถึง ๕ ล้านคนจากตอนต้น คริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ คือจาก
๙ ล้านคน เป็น ๑๔ ล้านคน เพราะมีพลเมืองบนภาคพื้นยุโรปหลบหนีภัย สงครามนโปเลียนไปตั้งหลักแหล่งใน
อังกฤษกันมากและชาวไอริสก็อพยพมาอาศัยในเกาะอังกฤษมากขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ โรงงานในอังกฤษจึง
มีแรงงานใช้อย่างเพียงพอ การปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมทั้ง
ในทางบวกและทางลบ อย่างไรก็ตามผลการปฏิวัติอุตสาหกรรมจะเป็นการวาง รากฐานให้เกิดการปรับปรุง
มาตรฐานความเป็นอยู่ ภาพอนามัย การคมนาคมจนทำให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ดีขึ้น

การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในอังกฤษพร้อม ๆ กับการปฏิวัติใหญ่ทางการเมือง ค.ศ. ๑๗๘๐ เกิดขึ้นใน
ฝรั่งเศส เหตุการณ์ทั้งสองนี้ได้เสริมซึ่งกันและกัน การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้ก่อให้เกิดความก้าวหน้า ในทาง
เศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้าทางการเมืองแบบเสรีนิยม และความเป็น
อิสระจากการควบคุมของรัฐบาล ซึ่งเป็นความคิดทางการเมืองที่เป็นมรดกของการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส การ
ปฏิวัติอุตสาหกรรมได้ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้นในสังคม ความคิดเสรีนิยมในทางการเมือง ได้พยายามที่จะหา
ทางแก้ปัญหาสังคมและอิทธิพลของเหตุการณ์ทั้งสองก็ยังคงส่งผลมาจนปัจจุบัน

๒๓

บรรณานุกรม

ทวีศักดิ์ ล้อมลิ้ม. (๒๕๓๓). ประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยใหม่(ค.ศ. ๑๘๐๕ - ๑๙๔๕). พิมพ์ครั้งที่ ๓.
กรุงเทพฯ : โอ.เอส. พริ้นติ้งเฮ้าส.

รองศาสตราจารย์ศฤงคาร พันธุพงศ์. (๒๕๔๐). ประวัติศาสตร์ยุโรป ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๒.
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

อนันตชัย จินดาวัตน์. (๒๕๕๕). ประวัติศาสตร์ยุโรป. กรุงเทพฯ : ยิปซี กรุ๊ป.
อนันตชัย จินดาวัตน์. (๒๕๕๕). ประวัติศาสตร์โลก(ฉบับสมบูรณ์) จากยุคหินถึงโลกาภิวัตน์. พิมพ์ครั้งที่ ๒.

กรุงเทพฯ : ยิปซี กรุ๊ป.
อนันต์ชัย เลาหะพันธุ. (๒๕๕๐). เรื่องน่ารู้ในยุโรปสมัยกลาง. กรุงเทพฯ : ศักดิโสภาการพิมพ์.
อรุณ โรจนสันติ. (๒๕๔๒). ประวัติศาสตร์ยุคใกล้. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ.

Industrial Revolution


Click to View FlipBook Version