ก
คำนำ
หนังสืออ่านเพิ่มเติม E-book เรื่อง อาณาจักรโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง ได้เรียบเรียง
เนื้อหาและจัดทำขึ้น เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยยึดมาตรฐานการ
เรียนรแู้ ละตัวชวี้ ัดตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคม
ศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม สาระที่ ๔ ประวตั ศิ าสตร์ และหลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรยี นวัดลานนาบุญ (น้อม
หงสะเดชอุปถัมภ์) พุทธศักราช 2553 ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติมเนื้อหาอาเซียน พุทธศักราช 2556 สาระที่ 4
ประวัตศิ าสตร์
เนื้อหาในหนังสือเล่มอ่านเพิ่มเติม E-book นี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๒ ส่วน ประกอบไปด้วย
บริบทของทวารวดี และอาณาจักรโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจถงึ
พฒั นาการดา้ นตา่ งๆ ลักษณะของชมุ ชนเมืองโบราณทเ่ี กิดขน้ึ ยุคสมัยของทวารวดีที่เกิดข้นึ ในบริเวณภาคกลาง
ของประเทศไทย อกี ทัง้ ยงั ทำให้นกั เรยี นรักษ์ภาคภมู ใิ จในวัฒนธรรม ภมู ปิ ญั ญา ทบี่ รรพบรุ ุษได้สร้างสรรค์อารย
ธรรมทด่ี ีงามบนผนื แผน่ ดินไทย
ผู้จัดทำหวังเปน็ อย่างยิ่งว่าหนงั สืออ่านเพ่ิมเติม E-book เรื่อง อาณาจักรโบราณยคุ ทวารวดี
ในภาคกลาง เล่มนี้จะเปน็ สิ่งที่อำนวยประโยชน์ต่อครูผู้สอนที่จะนำไปประยุกตใ์ ช้ในการจัดการเรียนการสอน
และเป็นความรู้เพิ่มเติมแก่นักเรียน และได้รับการพัฒนาความรู้ในวิชาประวัติศาสตร์อยา่ งเต็มศักยภาพ และ
บรรลุตามจุดประสงค์ของหลักสูตร
ผู้จัดทำ
นายสันติ กินรี
นสิ ิตปรญิ ญาโท สาขาการสอนสงั คมศึกษา
คณะครุศาสตร์ บัณฑิตวทิ ยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
หนงั สืออา่ นเพิม่ เติม E-Book เรือ่ ง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดใี นภาคกลาง”
ข
คำอธิบายรายวชิ า
ศึกษาประวตั ิศาสตร์สมัยทวารวดีในดา้ นการเมอื งการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม
ศิลปกรรม ความสัมพันธ์กับต่างเมือง ความเจริญรุ่งเรือง และเมืองโบราณสมัยทวารวดีในภาคกลางของ
ประเทศไทย ก่อให้เกิดภูมิปัญญาและส่งผลต่อการพัฒนาชาติไทยในยุคต่อมา เพื่อให้ตระหนักถึงคุณค่าของ
มรดกทางวฒั นธรรมของไทย
สาระการเรยี นรแู้ ละมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ ๔ ประวตั ิศาสตร์
มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
สามารถใชว้ ิธีการทางประวตั ิศาสตรม์ าวเิ คราะห์เหตุการณต์ า่ งๆ อย่างเปน็ ระบบ
มาตรฐาน ส 4.2 เขา้ ใจพัฒนาการของมนษุ ยช์ าตจิ ากอดีตจนถงึ ปจั จบุ นั ในด้านความสัมพันธ์
และการเปลย่ี นแปลงของเหตกุ ารณ์อย่างตอ่ เน่อื ง ตระหนกั ถึงความสำคญั และสามารถวเิ คราะห์ผลกระทบที่
เกิดขนึ้
มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก
ความภูมใิ จและธำรงความเปน็ ไทย
หลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรยี นวดั ลานนาบญุ (นอ้ ม หงสะเดชอปุ ถัมภ์) พทุ ธศกั ราช 2553
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา
และวัฒนธรรม ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติมเนื้อหาอาเซียน พุทธศักราช 2556 สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์
ระดับช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ ๖
มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
สามารถใช้วธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์มาวเิ คราะห์เหตุการณ์ต่างๆอยา่ งเป็นระบบ ตวั ชีว้ ัด ป.6/2 นำเสนอข้อมูล
จากหลกั ฐานท่ีหลากหลายในการทำความเข้าใจเรอ่ื งราวสำคัญในอดตี ผลการเรยี นรู้ ขอ้ 8. อธบิ ายประโยชน์
ของการเรยี นรู้ด้านประวตั ิศาสตร์และเรอื่ งราวสำคัญในอดีต ศกึ ษาพฒั นาการอาณาจกั รโบราณในประเทศไทย
เพื่อให้เห็นพัฒนาการจากอดีตจนถงึ ปัจจุบนั
หนงั สืออ่านเพิ่มเตมิ E-Book เรือ่ ง “อาณาจักรโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง”
สารบญั ค
เรอ่ื ง หน้า
บทที่ 1 ทวารวดี
2
ทวารวดี 2
ความหมายของทวารวดี 3
เศรษฐกจิ สงั คม และการเมอื งการปกครอง ๖
แบบฝึกหัดทา้ ยบท
๘
บทที่ 2 อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง 1๑
1๒
เมืองนครปฐมโบราณ 1๓
เมอื งกำแพงแสน 1๔
เมืองจันเสน 1๔
บ้านคเู มอื ง อินทร์บุรี 1๕
บ้านคเู มือง เดิมบางนางบวช 1๖
เมืองการงุ้ 1๗
เมืองอ่ตู ะเภา 1๘
เมอื งลพบรุ ี (เกา่ ) 1๙
เมอื งคูบัว ๒๐
เมืองเกา่ อู่ทอง ๒๐
เมืองบน 2๑
เมืองบึงโคกช้าง 2๒
เมอื งขีดขนิ ๒๔
เมืองซับจำปา
เมอื งธานยบุรี หรอื ดงแม่นางเมือง ๒๖
แบบฝกึ หดั ท้ายบท ๒๗
เฉลย ๒๙
เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทที่ ๑
เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบทท่ี ๒
เอกสารอา้ งองิ
เอกสารอา้ งองิ
หนงั สืออา่ นเพิม่ เตมิ E-Book เรื่อง “อาณาจักรโบราณยุคทวารวดใี นภาคกลาง”
๑
บทที่ ๑
ทวารวดี
ท่มี า : https://www.matichon.co.th/prachachuen/prachachuen-scoop/news_1447321
หนังสอื อ่านเพม่ิ เติม E-Book เรือ่ ง “อาณาจักรโบราณยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง”
๒
ทวารวดี
ทวารวดี (ทะ วา ระ วะ ดี) อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 - 16
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงให้ใช้คำว่า
“ทวารวดี” (Dvaravati) มาใช้กำหนดอายุวัตถุโบราณและโบราณสถาน ซึ่ง
ได้รบั อทิ ธิพลของอินเดียหลายสมยั แต่อิทธิพลอนิ เดียเหน็ ไดช้ ดั ในศลิ ปะกลุ่มนี้
คือ “ศิลปะสมัยราชวงศ์คุปตะ” (Gupta) อายุราวพุทธศตวรรษที่ 10 - 11
และสกุลศิลปะสมัยหลังคุปตะ (Post Gupta) อายุประมาณพุทธศตวรรษที่
12 - 13 ตลอดจนถึง “ศิลปะสมัยปาละเสนะ” (Pala Sena) อายุประมาณ
พุทธศตวรรษที่ 14 – 17 มาสร้างสรรค์ผลงานทางด้านศิลปะที่เรียกว่า
“ศิลปะทวารวดี” ที่ลุม่ ภาคกลางของประเทศไทย
“ทวารวดี” ที่นำมาใช้เรียกชื่อศิลปกรรมดังกล่าวซึง่ พบในภาคกลาง สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ
กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ
นั้น ได้พบว่ามีการใช้คำนี้จากเอกสารต่างๆ คือ จากจดหมายเหตุจีนในพุทธ ท่มี า :
ศตวรรษที่ 12 ท่เี ขยี นโดยภิกษจุ นี เห้ียนจงั เรียกพน้ื ท่บี รเิ วณน้ีวา่ “โตโลโปติ”
(To LO Po Ti) ราวพุทธศักราช 1152 – 1170 มีบันทึกการเดินทาง https://www.matichon.co.th/entertai
nment/arts-culture/news_1567691
พงศาวดารของจีนราชวงศ์ถัง ฉบับเก่าเรียกว่า “จิวกังซูย” ทวารวดียังมี
หลักฐานที่ปรากฎในหลักศิลาจารึกของพระเจ้าราเชนวรมันที่ 2 พุทธศักราช 1496 มีข้อความดังนี้ “ส่วน
บรรพบุรุษอีกคนหนึ่งชื่อว่า “วาปอุเปนทร” (Vap Upendra) ก็
ได้รับพระบรมราชโองการให้ครองนครทราววดี” แต่ในจารึกหลัก
นไี้ ม่ไดบ้ อกตำแหนง่ ทีต่ ง้ั ของทาวดที ีแ่ น่นอน สำหรับจารึกบนแผ่น
ทองแดงพบที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ลักษณะของอักษร
คล้ายแบบตัวอักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤต มีอายุประมาณ
พทุ ธศตวรรษท่ี 12 ปรากฏนามของพระมหากษัตรยิ ์ในคำจารกึ 2
พระองค์ คือ พระเจา้ ศรหี รรษาวรมัน และพระเจา้ อศิ านวรมนั
จารึกแผน่ ทองแดงพบทีเ่ มอื งอทู่ อง ความหมายของ “ทวารวด”ี
ทีม่ า : พพิ ิธภณั ฑ์สถานแห่งชาตอิ ทู่ อง
ทวารวดี แปลว่า “เมืองที่มีประตูและรั้วเด่นสะดุดตา”
ทวารวดีเป็นชื่อเรียกกว้างๆ ของ 1. ศิลปกรรม (ศิลปะทวารวดี)
2. ช่วงเวลา (สมัยทวารวดี) 3. ความเป็นบ้านเมือง (รัฐทวารวดี)
และ 4. อารยธรรม (เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ) นัก
ประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าศูนย์กลางของทวารวดี น่าจะตั้งอยู่
บริเวณภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย เพราะได้พบหลักฐาน
สำคญั มากกวา่ เรอ่ื งอน่ื รวมทง้ั มีที่ตัง้ อยใู่ นทำเลท่เี หมาะสมตอ่ การ
หนงั สอื อ่านเพมิ่ เตมิ E-Book เรอ่ื ง “อาณาจักรโบราณยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง”
๓
รับอารยธรรมจากภายนอก หลักฐานทางโบราณคดีที่ทำให้นักวิชาการตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับศูนย์กลางของ
ทวารวดไี ว้ 3 แห่ง คอื เมอื งอู่ทอง เมอื งนครปฐม และเมืองลพบุรี หลกั ฐานทางลายลกั ษณอ์ ักษรทแ่ี สดงถงึ อายุ
ของทวารวดีในยุคเริ่มแรก คือ จารึกที่ปราสาทเขาน้อย อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พุทธศักราช
1180 และจารึกที่เขารัง อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พุทธศักราช 1182 จากหลักฐานดังกล่าวจะ
แสดงให้เห็นว่ารัฐทวารวดีเริ่มมีตัวตนขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 10 - 11 หรือในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 11
จนถงึ สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ตอนปลาย
เศรษฐกจิ สงั คม และการเมืองการปกครอง
ทวารวดมี กี ารผสมผสานอยู่รว่ มกนั ของผู้คนหลายเผ่าพันธ์ุ และมี
ความสมั พันธ์กันของผ้คู น ในลุม่ น้ำเจา้ พระยานี้มกี ารสร้างสรรค์วัฒนธรรม
ประเพณีร่วมกัน โดยมีพระพุทธศาสนาเป็นตัวเชื่อม ทวารวดีจึงเกิดการ
ผสมผสานทางวฒั นธรรมทำใหเ้ กิดเปน็ ลกั ษณะเฉพาะของศิลปกรรมทวาร
วดที ม่ี พี ระพทุ ธศาสนาเปน็ บ่อเกิดของวฒั นธรรม ความเชื่อ จารีต ค่านิยม
ตา่ งๆ ซึ่งพระพุทธศาสนาในทวารวดีไดร้ ับมาจากประเทศอินเดีย โดยไดถ้ ูก
ปรับเข้าอยู่ในวิถีชีวิตของทวารวดี จนกลายเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงความ
หลากหลายทางวัฒนธรรม สังคม คติความเชื่อต่างๆ เข้าด้วยกัน นับว่า
พระพุทธศาสนามีส่วนในการกำหนดแบบแผนทางการเมืองการปกครอง
สะท้อนออกมาเป็นรูปแบบระบบกษัตริย์ ซึ่งมีฐานะเป็นทั้งพระโพธิสัตว์ ประตมิ ากรรมดนิ เผารูป
และพระจกั รพรรดิราช “พระเจา้ สทุ โธทนะ” พบจากการขุดแต่ง
เจดีย์หมายเลข 11 เมอื งโบราณอ่ทู อง
ทวารวดีเป็นรัฐที่มีการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของรัฐได้เป็น ทีม่ า : พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ อ่ทู อง
ผลสำเร็จ โดยสามารถควบคุมและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรของรัฐและ
สามารถกระต้นุ ให้ประชาชนเพม่ิ ปรมิ าณการค้าขายกับรัฐอืน่ ๆ ได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ เน่อื งจากเป็นแหล่งท่ีมี
ความอดุ มสมบรู ณ์ จงึ ทำการค้าขายกับตา่ งชาติ ในบริเวณลุม่ แม่นำ้ สำคญั เชน่ บริเวณท่รี าบลุ่มแม่น้ำกลอง ลุ่ม
แม่นำ้ สุพรรณบุรี (ท่าจนี ) ล่มุ แม่น้ำสกั ประชาชนประกอบอาชพี ทางการเกษตร เลย้ี งสัตว์ การประมง อกี ทั้งยัง
มีฝีมือด้านงานช่างด้านต่างๆ โดยเฉพาะกบั ชาวต่างชาติโดยทางทะเล เชน่ อนิ เดีย อาหรับ จนี และคาบสมุทร
ภาคใต้ ยังมีชาวต่างชาติ เช่น จีนและอินเดีย นำเรือเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐาน
ชั่วคราว ผลิตผลที่สำคัญ คือ ข้าว ของป่า และแร่ธาตุ เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้ทางน้ำออก
ทางทะเลได้สะดวกจะเปน็ เมืองท่าศนู ย์กลางทางการค้าขาย ส่วนเมืองท่ีอยู่ลึกเข้าไป
จะเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าเพื่อส่งมายังเมืองท่าอีกทีหนึ่ง มีการใช้เหรียญกษาปณ์
เป็นตัวกลางในการค้าขาย แต่เป็นเหรียญของอินเดีย โดยกษัตริย์มีนโยบายที่จะหา
ปูรณกลศ บนตราประทับสมัยทวารวดี ที่พบ รายได้จากการค้าขายกับชุมชนภายนอก จึงต้องกำหนดมาตรฐาน
ตามเมืองท่า และเมืองสำคัญๆ สันนิษฐานว่า เพื่อใชค้ วบคมุ การผลิตเหรยี ญโดยขอยืมสัญลักษณ์ของระบบกษัตริย์
เป็นของพวกพ่อค้าที่นำติดตัวเข้ามา ถือว่าเป็น
สัญลักษณ์มงคล เพื่อให้เกิดโชคลาภและความ
ร่ำรวยจากการค้า ที่มา : พิพิธภัณฑ์เหรียญ
กรมธนารักษ์
หนงั สืออ่านเพมิ่ เตมิ E-Book เรื่อง “อาณาจกั รโบราณยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง”
๔
อินเดียมาใช้ นอกจากนั้นยังพบเหรียญทีเ่ ป็นสัญลักษณ์ชาติอื่นๆ ด้วย เช่น เหรียญรูปสังขเ์ ป็นแบบของมอญ
เหรยี ญรูปพระอาทติ ย์ หรอื ศรีวัตสะเปน็ ของปยู (พมา่ )
- เสรมิ สาระ –
ปูรณกลศ หรือ ปูรณฆฏะ เป็นสัญลักษณ์ ทมี่ า : หนงั สือชดุ พิพิธภณั ฑ์ “วิวัฒนาการเงินตราไทย
อย่างหนึ่งที่ชาวอินเดียโบราณได้สร้างสรรค์ขึ้นมา พ.ศ. 600 – 2540”
เพื่อเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง คำว่า เหรียญเงินด้านหน้าเป็นรูปปูรณกลศที่มีความ
“ปูรณะ” ตามรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ด้านหลังมีจารึกอักษร ปัล
หมายถึง ความสมบูรณ์ มั่งคั่ง และ “กลศ” (กะ-ละ- ลวะ ความว่า “ศรีทวารวตี ศวรปณุ ยะ” แปลวา่ บุญกุศล
ของพระราชาแห่งทวารวดี เป็นหลักฐานยืนยันถึง
สะ) แปลว่า หม้อน้ำ เมื่อรวมกันจึงหมายถึง หม้อน้ำ
แห่งความอุดมสมบูรณ์ มีลักษณะ เป็นหม้อน้ำที่เต็ม
บริบูรณ์ มีไม้เลื้อยออกมาท้ังสองข้างอันแสดงถึงการ อาณาจกั รทวารวดี โดยมกี ษัตริย์เป็นผปู้ กครอง เช่อื กันว่า
กำเนดิ ของชวี ิต หรือการสรา้ งสรรค์ ในทางศาสนาท้ัง
ศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ปูรณกลศถือเป็น เปน็ เหรียญทที่ ำข้นึ ตามคตคิ วามเชอื่ ในทางพุทธศาสนา
ภาชนะที่ใช้สำหรับบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อใช้ในการ
ประกอบพธิ กี รรมตา่ งๆ เช่น พิธรี าชสยู ะ (พระราชพิธี
ราชาภิเษก) โดยมีชื่อเรียกต่างๆ ว่า “หม้อกลศ”
(Kalasa) “หม้อปูรณฆฏะ” (Puran akhata) และ
“หม้อกมัณฑลุ” (Kamandlu) เป็นต้น นอกจากน้ี
ชาวอินเดียเชื่อว่า ปูรณกลศเป็นหม้อน้ำศักดิ์สิทธิ์ท่ี เหรยี ญเงนิ สมยั ทวารวดีรปู ปูรณกลศ - ศรีวตั สะ
เกิดขึ้นในคราวที่เกิดการกวนเกษียรสมุทรของเหล่า ท่มี า : พิพธิ ภณั ฑ์เหรยี ญ กรมธนารักษ์
เทวดาและยักษ์ ซึ่งมักจะพบสัญลักษณ์รูปปูรณกลศ
ในงานศิลปกรรมเนื่องในศาสนา เช่น ภาพสลักหินท่ี เหรียญเงินด้านหน้าเป็นรูปปูรณกลศ ด้านหลัง
ประดับในสถูปสาญจีและสถูปภารหุต ที่ถือศาสน เปน็ รูปศรีวตั สะ แสดงถึงความมั่งคัง่ และอดุ มสมบูรณ์ของ
สถานสำคัญของอินเดียโบราณ โดยสัญลักษณ์มงคล อาณาจักร ภายในศรีวัตสะเป็นรูปวัชระคู่ (อาวุธของพระ
ดังกล่าวได้ถูกถ่ายทอดมาสู่ยังดินแดนสุวรรณภูมิ อินทร)์ เป็นสัญลักษณแ์ ทนอำนาจของกษัตริย์ ดา้ นบนศรี
ตงั้ แต่สมยั ทวารวดี วัตสะมีสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์ และพระจันทร์เสี้ยว
อันหมายถึงท้องฟ้าหรือจักรวาล ด้านข้างซ้ายขวาขนาบ
ดว้ ยรูปอาวุธเทพเจา้ “คฑา” หรือ “อังกุศ” สว่ นด้านล่าง
“ศรวี ตั สะ” เป็นรปู ปลา ซง่ึ มีความหมายแทนสัญลักษณ์ของความอดุ มสมบูรณ์เชน่ กัน
เหรียญเงินถือเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองของทวารวดี แสดงให้เห็นว่ามีการติดต่อค้าขาย
แลกเปลี่ยนสินค้ากับอาณาจักรภายนอก รวมถึงการค้นพบเหรียญเงินในที่ต่างๆ ทำให้ทราบถึงขอบเขตของ
อาณาจักรทวารวดีได้เปน็ อยา่ งดี จากหลกั ฐานขา้ งต้นจึงกลา่ วได้ว่าในสมัยวฒั นธรรมทวารวดี “ปูรณกลศ” เปน็
สญั ลกั ษณ์มงคลที่แสดงถงึ ความอุดมสมบรู ณ์ ม่งั คง่ั การกอ่ กำเนิด และการสร้างสรรค์ ซึง่ ได้รับอิทธิพลมาจาก
อนิ เดีย ผา่ นคตคิ วามเชอื่ ทางศาสนาทัง้ ในศาสนาพทุ ธและพราหมณ์ ทเี่ ผยแผเ่ ขา้ สู่ดนิ แดนสวุ รรณภูมิพร้อมกับ
การติดต่อค้าขายของพ่อค้าชาวอินเดีย โดยปรากฏหลักฐานในงานศิลปกรรมประเภทต่างๆ เนื่องในศาสนา
หนังสืออ่านเพ่ิมเติม E-Book เรื่อง “อาณาจักรโบราณยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง”
๕
นอกจากนี้ยังใช้ร่วมกับสัญลักษณ์มงคลอื่นๆ เพื่อสื่อความหมายที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อพิธีกรรมที่แสดงถึง
อำนาจและฐานะของกษัตริยส์ มยั ทวารวดี
ทวารวดีมีวัฒนธรรมทางความคิดความเชื่อแปลกแตกต่างกัน ผู้คนนับถือ ศาสนาพราหมณ์บ้าง
ศาสนาพทุ ธบา้ ง บางพ้นื ทม่ี รี ่องรอยของการนับถอื พระนารายณ์ดงั กลา่ วมาแล้ว นักโบราณคดีไดพ้ บเทวรปู พระ
นารายณ์ที่ศรีเทพศรีมโหสถ และอู่ทอง จารึกบางหลักจากอู่ทองกล่าวถึง กษัตริย์เซ่นสรวงบูชาพระศิวะลึงค์
แทนองค์ “ศรีธาเรศวร” ความเชื่อที่หลากหลายเช่นนี้ปะปนผสมผสาน อยู่ในสังคมเป็นระยะเวลานานจนใน
ที่สุดพุทธศาสนากลายเป็นลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดในสังคมทวารวดี แต่ธรรมเนียมปฏิบัติแตกต่างกันไปตาม
ท้องถ่นิ เชน่ การนบั ถือพุทธศาสนาในอีสานนิยมสร้างเสมา ขนาดใหญจ่ ำหลักเรือ่ งพุทธประวัตแิ ละชาดก ทาง
ภาคกลางนิยมสร้างธรรมจักรลอยตัวบนเสา บ้างก็จารกึ ข้อความในพระไตรปิฎก เช่น “เยธมฺมา” บนแผ่นหิน
โบราณสถานและโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้อง กับพระพุทธศาสนา เช่น พระพุทธรูป ใบเสมาหิน ธรรมจักร กวาง
มอบ ฯลฯ ของยุคทวารวดีที่สร้าง ตามแบบฝีมือช่างในสมัยราชวงศ์คุปตะของอินเดีย เป็นจำนวนมากท่ี
นครปฐม และแถบเมืองที่ตั้งอยู่ ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเรื่อยไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขนบธรรมเนียม
ประเพณี พิธีกรรมทเี่ น่อื งในพุทธศาสนาสบื ตอ่ มา พทุ ธศาสนา ไดแ้ พร่กระจายเข้า
ครอบคลุมความเชื่อดั้งเดิม และคติความเชื่อแบบฮินดู พราหมณ์ ดังปรากฏว่า
เมืองบางเมืองมีร่องรอยของศาสนาฮินดูควบคู่กับพุทธศาสนา เช่น เมืองอู่ทอง
เมอื งศรีวตั สปรุ ะ เปน็ ตน้ พระราชพิธพี ิธีกรรมหลายอย่าง ซงึ่ ถา่ ยทอดสืบเน่ืองอยู่
ภายในภาคพื้นสยามประเทศ ต่างผสมผสานทั้งความเชื่อดั้งเดิม คติความเช่ือ
ในทางพระพทุ ธศาสนา และศาสนาฮินดู-พราหมณ์ นบั เป็นตวั อย่างอนั ดที แ่ี สดงถึง
บรู ณาการทางวัฒนธรรมของสังคมในระดบั หนง่ึ
เทวรูปพระวษิ ณุจตุรภชุ หรอื พระนารายณ์ 4 กร ศิลปะทวารวดี อายุ
ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 12 - 13 จากโบราณสถานหมายเลข 24
เมืองศรีมโหสถ อำเภอศรีมโหสถ จงั หวัดปราจีนบรุ ี
ท่ีมา : พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ ปราจีนบุรี
หนังสืออ่านเพม่ิ เตมิ E-Book เรื่อง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดใี นภาคกลาง”
๖
แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท
๑.ทวารวดีอยใู่ นช่วงพทุ ธศตวรรษใด? ๖.ขอ้ ใดไมใ่ ช่อาชพี ในทวารวดี?
ก. พทุ ธศตวรรษที่ 11-13 ก. หตั ถกรรม
ข. พุทธศตวรรษท่ี 11-14 ข. เกษตรกรรม
ค. พุทธศตวรรษท่ี 11-15 ค. ค้าขาย
ง. พุทธศตวรรษท่ี 11-16 ง. ราชองครักษ์
๒.ศิลปกรรมในทราวดีได้รบั อิทธพิ ลจากประเทศ ๗.สญั ลักษณ์ “ปรู ณกลศ” ไดร้ บั อทิ ธิพลมาจาก
ใด? ประเทศใด?
ก. อินเดยี ก. อาณาจกั รพมา่
ข. ปากีสถาน ข. อาณาจกั รขอม
ค. ศรีลังกา ค. อนิ เดยี โบราณ
ง. ทเิ บตและภฏู าน ง. บังกลาเทศและเนปาล
๓.ขอ้ ใดคอื ความหมายของช่ือ “ทวารวดี” ? ๘.ข้อความท่ปี รากฏบนเหรยี ญเงินวา่ “ศรี
ก. เมืองท่มี ีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ทวารวตี ศวรปณุ ยะ” แปลว่าอะไร?
ข. เมืองอนั น่ารื่นรมย์ ก. บญุ กศุ ลของพระราชาแห่งทวารวดี
ค. เมอื งทม่ี ปี ระตแู ละร้ัวเดน่ สะดุดตา ข. พระบารมีของพระราชาแห่งทวารวดี
ง. เมืองศัตรไู ม่สามารถรบชนะได้ ค. อำนาจและความยง่ิ ใหญข่ องพระราชา
๔.ขอ้ ใดไม่ใช่ศนู ยก์ ลางของทราวดี ตามที่
นักวชิ าการสันนษิ ฐาน? แห่งทวารวดี
ก. เมอื งศรีเทพ ง. พระราชาแห่งทวารวดผี ูม้ เี ดชอำนาจอัน
ข. เมอื งอูท่ อง
ค. เมอื งนครปฐม ยงิ่ ใหญ่
ง. เมืองลพบุรี ๙. ข้อใดคอื หลกั ฐานที่บง่ บอกวา่ ทวารวดีติดต่อ
๕.ในยคุ ทวารวดนี บั ถือศาสนาอะไร? กับต่างประเทศ?
ก. ศาสนาพุทธ และศาสนาอสิ ลาม
ข. ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ก. ภาษาที่ใช้ในการสอ่ื สาร
ค. ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู ข. การพบเหรยี ญเงินตา่ งประเทศในทวารวดี
ง. ศาสนาพุทธ และพราหมณ์ ค. คำบอกเลา่ ของคนทวารวดี
ง. ภาพถ่ายของชาวตา่ งชาติ
๑๐. ข้อใดคือภาษาทีพ่ บในจารึกสว่ นใหญ่ของ
ทวารวด?ี
ก. ภาษาสนั สกฤต
ข. ภาษาโรมัน
ค. ภาษาปัลลวะ
ง. ภาษาขอมโบราณ
หนังสืออา่ นเพิ่มเติม E-Book เรอื่ ง “อาณาจักรโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง”
๗
บทท่ี ๒
อาณาจักรโบราณ
ยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง
ที่มา : ห้องสมดุ ดจิ ิตอล ศ.ม.จ.สภุ ทั รดิศ ดิศกลุ
หนงั สอื อา่ นเพม่ิ เตมิ E-Book เร่ือง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง”
๘
1.เมอื งนครปฐมโบราณ
เมืองนครปฐมโบราณ เป็นเมืองทีม่ ขี นาดใหญ่ท่ีสดุ ในบรรดา
เมืองในสมัยทวารวดี และเป็นเมืองสำคัญทีตั้งอยู่ทางพื้นที่ลุ่ม
เจ้าพระยาฝั่งตะวันตก โดยพบหลักฐานโบราณวัตถุในสมัยทวารวดี
เป็นจำนวนมาก ขณะเดยี วกนั พัฒนาการของเมอื งนครปฐมโบราณก็มี
ปัจจัยสำคัญจากสภาพภูมิศาสตร์และตำแหน่งที่ตั้งของเมืองซึ่งเป็น
รากฐานของการพัฒนากลายเป็นนครรัฐขนาดใหญ่นับตั้งแต่พุทธ
ศตวรรษที่ 12 เปน็ ตน้ มา
ที่ตั้งอยู่ในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่ง
ตะวันตก ในพนื้ ท่ีระหว่างแมน่ ำ้ แม่กลองและแมน่ ำ้ ท่าจนี โดยมีลำน้ำ
สายต่างๆ เชื่อมระหว่างแม่น้ำทั้งสองสายและไหลไปออกทะเลอ่าว รูปสลักธรรมจักร ศิลปะทวารวดี
ไทยทางทิศใต้ ลำน้ำที่สำคัญได้แก่ คลองบางแก้ว และ คลองบางแขม ท่ีมา : ฐานข้อมลู จารกึ ในประเทศไทย.
ลักษณะผังเมอื งของเมืองนครปฐมโบราณเป็นเมอื งส่ีเหลย่ี มมมุ มนขนาด
ใหญ่ ตวั เมอื งมคี วามกว้างประมาณ 2 กโิ ลเมตรและยาวประมาณ 3.6 (มปป).
จารกึ ธรรมจักร จังหวัดนครปฐม.
กิโลเมตร ไม่มีคันดินแต่มีคลองคูเมืองลอ้ มรอบ มีคลองบางแก้วไหลผ่านในเมืองและมีคลองพระประโทนเป็น
คลองกลางเมืองขนาดของเมืองเชื่อมคลองเมืองทางด้านทิศเหนอื และทศิ ใต้เข้าดว้ ยกัน ส่วนนอกเมืองทางทศิ
ตะวันตกก็เป็นก็เป็นที่ตั้งของกลุ่มชุมชนและโบราณสถานที่สำคัญ คือ โบราณสถานพระปฐมเจดีย์
โบราณสถานวัดพระเมรุ และบางส่วนที่อยู่ใกล้คลองบางแก้ว เช่น วัดพระงามและวัดห้วยจระเข้ เป็นต้น
ขณะที่ทางทศิ ใต้ของเมืองนครปฐมโบราณแต่เดมิ เคยมีการสำรวจพบแนวคนั ดินขนานลงมากับคลองขุดทางทิศ
ใต้เรียกว่า คลองถนนขาด (สันนษิ ฐานว่าเปน็ ท้ังทงั้ ถนนและคนั ดินชะลอนำ้ ) ถดั ลงมาจากตวั เมืองประมาณ 10
กิโลเมตร พบโบราณสถานเจดยี เ์ นนิ พระ ทต่ี ำบลดอนยายหอมซ่งึ กน็ ่าจะเปน็ ชุมชนขนาดเล็ก
ผงั เมืองนครปฐมโบราณ เมอื งนครปฐมโบราณรฐั แหง่ การค้า
ที่มา :
http://www.thaigoodview.co เมืองนครปฐมโบราณที่เป็นเมืองตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่ม และ
เสน้ ทางคมนาคมทางน้ำที่สามารถติดต่อสัมพันธก์ ับชมุ ชนพื้นท่ีภายใน เช่น
m/node/157189 ชุมชนกำแพงแสน ชุมชนพงตึก ชุมชนคูบวั เป็นตน้ รวมท้ังรองรบั กับการค้า
ทางทะเลเนื่องด้วยเป็นเมืองที่อยู่ในพื้นที่ตอนในที่ไม่ห่างจากชายฝั่งทะเล
มากนัก ประกอบกับมีเส้นทางน้ำที่เรือสินค้าสามารถเดินเรือจากอ่าวไทย
ผ่านปากน้ำเข้ามาจนถึงในบริเวณเมืองนครปฐมโบราณได้ ดังที่ปรากฏใน
ข้อความในจดหมายของสมเด็จฯ กรมดำรงราชานุภาพ ลงวันที่ 9 มีนาคม
พุทธศักราช 2475 ดังข้อความว่า “...ด้วยหม่อมฉันพยายามหามูลเหตุท่ี
สรา้ งเมืองนครปฐมแต่โบราณ ว่าเพราะเหตใุ ดจงึ สร้างมหานครทต่ี รงน้ัน ค้นหา
หนงั สืออ่านเพ่มิ เตมิ E-Book เร่ือง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดใี นภาคกลาง”
๙
หลักฐานมาตลอดเวลากว่า 30 ปี ชั้นเดิมได้ความเป็นต้นว่าในสมัย
เม่ือสรา้ งเมอื งที่ตรงน้ันอยูใ่ กลท้ ะเล ดว้ ยขดุ พบเคร่ืองเรือทะเลท่ีตำบล
ธรรมศาลา...”
มีการพบซากเรือโบราณ “เรือพนมสุรินทร์” ที่บริเวณบ่อกุ้ง
ตำบลพันท้ายนรสิงห์ จังหวัดสมุทรสาคร ห่างจากชายฝั่งทะเล
ประมาณ 8 กิโลเมตรและอยู่ไม่ไกลจากเมอื งนครปฐมโบราณมากนกั
ผลจากการขุดค้นพบว่าเป็นเรือขนาดใหญ่มีความยาวประมาณ 25
เมตร ลักษณะเป็นเรือแบบอาหรับ มีโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้น
ซากเรือลำนี้ เช่น ลูกมะพร้าว หมาก เมล็ดข้าว งาช้าง และเขากวาง
รวมทงั้ เครอ่ื งถ้วยจนี ในสมัยราชวงศถ์ ัง เบือ้ งตน้ จงึ สนั นษิ ฐานวา่ เรือลำ
นี้น่าจะมีอายรุ าวพทุ ธศตวรรษท่ี 14-15 การพบซากเรือพนมสุรินทร์
จึงช่วยขยายให้เห็นภาพของการติดต่อการค้าจากทางทะเลของเมือง
นครปฐมโบราณได้อย่างชัดเจนขึ้น สอดรับกับหลักฐานทาง
อิฐสลักเป็นรูปใบหนา้ บุคคลแบบอาหรบั โบราณวัตถุที่ค้นพบในเขตเมืองนครปฐมโบราณ เช่น ลูกปัดแก้ว
พบทโี่ บราณสถานเจดีย์จุลประโทน เครื่องเคลือบจีนสมัยราชวงศ์ถัง รวมถึงตราดินเผารูปเรือและอิฐที่มี
ที่มา : พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ ลายคล้ายใบหน้าบุคคลแบบมุสลิม เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงการ
พระปฐมเจดีย์ ติดต่อค้าขายผ่านทางเรือระหว่างภูมิภาค จากเมืองทางตะวันตก
(อาหรับ) กับ เมอื งปฐมโบราณ
ผลจากการเปน็ เมืองทา่ ท่ีตงั้ อยู่ในภมู ศิ าสตรท์ ่เี หมาะสมเอ้ือตอ่ การเตบิ โตของบา้ นเมอื ง ทำใหเ้ ห็นได้ว่า
เมืองนครปฐมโบราณเต็มไปด้วยโบราณสถานโบราณวัตถุจำนวนมาก โบราณสถานที่สำคัญคือ เจดีย์ในผัง
สี่เหลี่ยมยกเก็จ ซึ่งเจดีย์รูปแบบดังกล่าวเป็นรูปแบบที่แพร่หลายและพบได้ตามเมืองในวัฒนธรรมทวารวดี
สำหรับในเมอื งนครปฐมโบราณมีโบราณสถานทหี่ ลงเหลือรอ่ งรอยในปจั จุบัน ได้แก่ โบราณสถานพระประโทน
เจดีย์ เป็นต้น ในขณะที่นอกเมืองนครปฐมโบราณพบโบราณสถานในสมัยทวารวดีกระจายอยู่โดยรอบ ได้แก่
องค์พระปฐมเจดยี ์ โบราณสถานวัดพระเมรุ โบราณสถานวดั พระงาม โบราณสถานวัดหว้ ยจระเข้ โบราณสถาน
วัดธรรมศาลา โบราณสถานเนินพระ (ดอนยายหอม) เป็นต้น โบราณสถานดังกล่าวหลายแห่งเกี่ยวข้องกับ
ตำนานพญากง-พญาพาน ซึง่ เป็นตำนานของท้องถิ่นท่ีอธบิ ายความเป็นมาของโบราณสถานแต่ละแห่ง ในขณะ
ทโี่ บราณวัตถทุ ี่พบนอกเหนอื จากโบราณวัตถุต่างถ่ินที่สันนิษฐานว่ามาจากการค้า ยังพบโบราณวัตถุในศาสนา
พุทธและฮินดู โดยเฉพาะโบราณวัตถุในศาสนาพุทธได้แก่ ธรรมจักร กับกวางหมอบ พระพทุ ธรูป เป็นจำนวน
มาก (ขณะที่โบราณวัตถุในศาสนาฮนิ ดูกม็ ีอยู่เช่นกัน อาทิ ประติมากรรมเทวรปู สวมหมวกทรงกระบอก) ทั้ง
โบราณสถานและโบราณวัตถุทางศาสนาท่ี
พบเป็นจำนวนมากย่อมสะท้อนให้เห็นถึง
พัฒนาการของบา้ นเมอื งที่มีการแลกเปล่ียน
ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน
ก็สะท้อนให้เห็นถึงทรัพยากรและกำลัง
แรงงานในการสรา้ งโบราณสถานและโบราณวตั ถดุ งั กลา่ ว ซากเรอื พนมสุรนิ ทร์ ขุดพบที่จงั หวัดสมทุ รสาคร
ท่ีมา : facebook กองโบราณคดใี ตน้ ำ้ กรมศิลปากร
หนังสืออา่ นเพม่ิ เตมิ E-Book เรือ่ ง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง”
พระปฐมเจดีย์ ๑๐
พทุ ธศตวรรษที่ 10 - 13
วัดพระปฐมเจดยี ์ จงั หวัดนครปฐม การเป็นเมืองท่าที่มีการแลกเปลี่ยนทางการค้าทั้งกับชุมชน
โดยรอบและชุมชนทางไกล กอ่ ให้เกดิ รปู แบบความสัมพันธ์ทเี่ ป็นเครือข่าย
ระหว่างชุมชน โดยมีเมืองนครปฐมโบราณเป็นเมืองหลักสำคัญ ในการ
ติดต่อแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับชุมชนโดยรอบและ
ชุมชนทางไกล จึงอาจกล่าวได้ว่าเมืองนครปฐมโบราณเป็นศูนย์กลางใน
กลุ่มเมืองทางฝั่งตะวันตกของลุ่มน้ำเจ้าพระยาในระบบที่เรียกว่า ระบบ
มัณฑละ หรือ มณฑล (Mandala) รวมกลุ่มกับชุมชนโดยรอบเป็น
สหพันธรัฐทวารวดี อย่างไรก็ตามความเป็นศูนย์กลางเครือข่ายของโดยมี
เมืองนครปฐมโบราณเป็นศูนย์กลางนั้นก็มิใช่การใช้อำนาจทางการเมือง
ปกครองชุมชนโดยรอบ หากแต่เป็นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและ
วัฒนธรรม ขณะเดียวกันพัฒนาการของบ้านเมืองในช่วงพุทธศตวรรษท่ี
12 ก็ไม่ได้มีเพียงเมืองนครปฐมโบราณเท่าน้ัน หากแต่ทางตอนใตใ้ นเขต
บริเวณคาบสมุทรมลายูก็มีพัฒนาการของบ้านเมืองที่มีสถานะรวมกลุ่ม
เมืองท่าด้วยเช่นกัน ดังเช่น มัณฑละศรีวิชัย ที่มีพัฒนาการในช่วงพุทธ
ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา และน่าจะมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับทาง
สหพนั ธรัฐทวารวดีที่มเี มอื งนครปฐมโบราณเปน็ ศูนยก์ ลางดว้ ยเชน่ กัน
พระประโทณเจดีย์
พุทธศตวรรษท่ี 10 - 13
วัดพระประโทณเจดีย์ จงั หวดั นครปฐม
หนังสอื อา่ นเพ่มิ เติม E-Book เร่ือง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง”
๑๑
2.เมืองกำแพงแสน
เมืองกำแพงแสน ตั้งอยู่ในอำเภอกำแพงแสน จังหวัด
นครปฐม รูปแบบผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีมุมบน มีกำแพงเมือง
ก่อดว้ ยดิน 2 ช้ัน มีประตูเมือง 4 ประตู
ทศิ เหนอื : ประตทู า่ นางสรง
ทิศใต้ : ประตูท่าชา้ ง
ทิศตะวันออก : ประตทู ่าพระ
ทิศตะวันตก : ประตทู า่ ตลาด
สภาพพื้นที่ของเมืองกำแพงแสน ภายในเมืองมีที่ดอนอยู่ ผังเมอื งกำแพงแสน เปน็ เมอื งโบราณในสมัยทวาร
แหง่ เดยี ว คอื บรเิ วณใกลก้ ำแพงเมืองด้านทใี่ กลก้ ับประตูท่านางสรง วดี รปู สี่เหลยี่ มมุมมน ท่มี า :
(ทางทิศเหนือ) สภาพพื้นที่ภายนอกเมือง นอกเมืองกำแพงแสน
https://sites.google.com/site/ksarchproject/
ทางด้านทิศตะวันออก 400 เมตร มีคลองน้ำชื่อว่า “รางพิกุล”
ไหลออกแมน่ ้ำนครชัยศรี นกั ประวตั ศิ าสตร์สันนิษฐานว่าเปน็ เส้นทางคมนาคมของชาวเมอื งกำแพงแสน ไปยัง
เมืองอูท่ อง จงั หวัดสุพรรณบุรี
หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นพบได้แก่ ซากเจดีย์สมัย
ทวารวดีหลายแห่ง หินบดยา เศษภาชนะดินเผา ในปัจจุบันเมือง
เกา่ กำแพงแสน ไมห่ ลงเหลือซากโบราณสถานใดๆ ให้เหน็ แลว้ แต่
ยังปรากฏร่องร่อยของกำแพงเมือง คูน้ำ และคันดิน เท่านั้น นัก
ประวตั ศิ าสตรส์ นั นษิ ฐานวา่ “เมอื งกำแพงแสนเสือ่ มลงพรอ้ มๆ กับ
การเส่ือมความสำคัญของเมืองนครปฐมโบราณ”
คลอง “รางพิกุล” ในปัจจุบัน ท่ีมา :
https://sites.google.com/site/ksarchproject/
หนงั สอื อ่านเพิม่ เติม E-Book เรื่อง “อาณาจักรโบราณยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง”
๑๒
3.เมืองจันเสน
เมอื งจนั เสน ตั้งอยอู่ ำเภอตาคลี จงั หวดั นครสวรรค์
ลกั ษณะของผงั เมอื งเป็นรปู สี่เหลี่ยม มมุ ทีส่ ี่มน จนดเู กือบจะ
เป็นรูปวงกลม (ลักษณะใกล้เคียงกับผังเมืองกำแพงแสน)
ตัวเมืองล้อมรอบด้วยคูเมือง กว้าง 20 เมตร คูเมืองของ
เมืองจนั เสนเปน็ ลกั ษณะของเนนิ ดิน เรยี กว่า “โคกจันเสน”
เมอื งจันเสนตั้งอยู่ในพ้ืนทร่ี าบลุ่มซ่ึงเป็นพ้ืนที่ทำนา
ห่างออกไปทางทิศเหนือมีภูเขา “ช่องแค” ชาวเมอื งจันเสน
มีแม่น้ำที่เป็นหัวใจสำคัญในการดำรงชีพ คือ “แม่น้ำโพธ์ิ
ชัย” อยู่บริเวณทิศใต้ของเมือง ภายในเมืองจันเสนมีคลอง ลกั ษณะผังเมอื งจนั เสน
น้ำซึ่งเชื่อมต่อกับตัวเมืองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ คือ เป็นเมอื งโบราณในสมัยทวารวดี รูปส่เี หลย่ี มมมุ มน
“คลองบา้ นคลอง หรอื คลองพระยาพายเรอื ” ท่ีมา : เมอื งโบราณจนั เสน และพพิ ธิ ภณั ฑ์จันเสน
ตามการศึกษาและการหาอายุของโบราณวตั ถุที่ค้นพบในเมืองจันเสน
ของ BENNET BROONZON ไดจ้ ำลำดับยุคเวลาของเมอื งจนั เสน ดังนี้
ยุคที่ 1 พ.ศ.344 – 543 มนุษย์เริ่มมาตั้งถิ่นฐานในบริเวณเมืองจัน
เสน มกี ารประดิษฐเ์ ครอ่ื งมือเหล็ก สำริด เคร่ืองปัน้ ดินเผาแบบตา่ งๆ มีพธิ ีกรรม
ในการฝงั ศพ
ตราประทบั พบทเี่ มืองจันเสน ยุคที่ 2 พ.ศ.543 - 793 เริ่มได้รับอิทธิพลจากอินเดีย มีการเริ่มเผา
อำเภอตาคลี จงั หวัดนครสวรรค์
ที่มา : facebook หอ้ งเรยี น ศพแทนการฝงั เคร่ืองมือเครอ่ื งใชม้ คี วามประณตี ขึ้น
ยุคที่ 3 พ.ศ.793 – 993 มีการขยายตัวของชุมชน เริ่มมีการติดต่อกับ
ประวตั ิศาสตร์ศิลป์
ชุมชนอน่ื ๆ ในบริเวณใกลเ้ คียง และแถบเอเชยี อาคะเนย์
ยุคที่ 4 พ.ศ.993 – 1143 มีการขยายตัวของชุมชนจนกลายเป็น
เมือง ซ่ึงชว่ งระยะเวลาน้อี ยใู่ นสมัยของฟูนันตอนปลาย
ยุคที่ 5 พ.ศ.1143 – 1343 อยู่ในช่วงของสมัยทวารวดี เป็นช่วงเวลาที่เมืองจันเสนเจริญถึงขีดสุด
และเป็นเมอื งทช่ี ดั เจน มกี ารเร่มิ ขุดคูเมือง
ยคุ ท่ี 6 พ.ศ.1343 – 1593 เมอื งถกู ลดบทบาทลง ประชากรในเมอื งเรม่ิ ทยอยยา้ ยเมือง
การดำรงชีวิตของชาวเมืองจันเสนในยุคที่มีความเจริญรุ่งเรือง ชาวเมืองรู้จักการคมนาคม
ระบบชลประทาน และการจัดการน้ำภายในเมืองไดเ้ ป็นอยา่ งดี มีการเล้ยี งสัตว์ เช่น ช้าง ม้า เปน็ ต้น จากการ
ขุดค้นโบราณวัตถุภายในเมืองจันเสน นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า ชาวเมืองนับถือพระพุทธศาสนา โดย
ไดร้ ับอทิ ธิความเชือ่ จากประเทศอนิ เดีย ชาวเมอื งจันเสนรู้จกั วธิ ีการทำเคร่ืองป้ันดนิ เผา การหล่อโลหะ การปลูก
ฝ้ายและการทอผ้า นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเมืองจันเสนมีการติดต่อกับต่างเมือง จากวัตถุโบราณท่ี
ค้นพบ เช่น ลูกปัดโบราณแบบอทู่ อง ตะเกยี งดนิ เผาแบบโรมนั เป็นต้น
หนงั สอื อ่านเพิ่มเติม E-Book เร่อื ง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง”
๑๓
4.บา้ นคเู มอื ง อินทร์บุรี
บ้านคูเมือง ตั้งอยู่ที่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี มี
ลักษณะผงั เมืองเป็นสี่เหล่ียมจัตุรัสมน ปรากฏโบราณสถานในตัว
เมือง ซากโบราณสถาน เนินดนิ เนินกำแพง และคูเมืองรอบรอบ
ทั้ง 4 ด้าน และโบราณวัตถุ พระพุทธรูป พระพิมพ์ เทวรูป โดย
ไดร้ บั อทิ ธพิ ลความเชอ่ื จากอนิ เดยี
ชุมชนโบราณบ้านคู เมืองอินทร์บุรี ตั้งอยู่กึ่งกลางของ
แม่น้ำสำคัญ 2 สาย คือแม่น้ำน้อย และแม่น้ำเจ้าพระยา เป็น
เมืองที่มีคูน้ำล้อมรอบมีคูคลองจำนวนมากเชื่อมโยงกับ คูเมือง ผงั เมอื งโบราณบา้ นคเู มอื ง
และลำน้ำธรรมชาติ เป็นลักษณะโครงข่ายทางน้ำ มีรูปร่างคล้าย อำเภออนิ ทร์บรุ ี จังหวัดสพุ รรณบุรี
ใยแมงมุม หรือร่างแหครอบคลุมพื้นที่ทุกส่วน เพื่อใช้ประโยชน์ ทมี่ า : พพิ ิธภณั ฑ์เมอื งโบราณบ้านคูเมือง
ทางการเกษตรและคมนาคม จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นลักษณะของ
“เมืองคคู ลอง" ในสมัยทวารวดี ซึ่งไดพ้ บลกั ษณะเชน่ น้ีท่ีเมอื งนครปฐมดว้ ย
จากการขุดค้นที่บ้านคูเมืองอินทร์บุรีได้พบเครื่องดินเผาอุปกรณ์ทีใ่ ช้
ในการปั่นด้าย จึงคาดว่าน่าจะมีการทอผ้าไว้ใช้เป็นเครือ่ งนุ่งห่มแล้ว ลักษณะ
การแต่งกายของผู้คนสมยั ทวารวดี สามารถศึกษาไดจ้ ากภาพประตมิ ากรรมดิน
เผา ซึ่งพบว่าท่อนบนของบุรุษไม่สวมเสื้อ ท่อนล่าง สวมใส่ผ้านุ่ง โดย
ประติมากรรมรปู บุรษุ ท่ัวไปมักเกล้าผมเป็นมวยสูง รัดด้วยเครือ่ งประดับ หรือ
ถักเปียแล้วเกล้าสูง ปล่อยให้ชายผมตกลงมาระดับศีรษะ หรือระดบั บ่า บ้างก็
เครื่องปั้นดินเผาคนแคระแบกเจดีย์ เกลา้ เป็นผมจุก สว่ นการแต่งกายของสตรี ทอ่ นบนจะใชผ้ ้าผนื เลก็ ๆ คาดคล้าย
พบที่คเู มือง จงั หวดั สงิ หบรุ ี
ทม่ี า : พิพิธภณั ฑเ์ มอื งโบราณบ้านคู กับสไบ ท่อนล่าง นุ่งผ้าตั้งแต่ใต้สะดือยาวลงมาจนถึงระดับข้อเท้า มีเข็มขัด
เมือง หรือผ้าคาดทับ ลกั ษณะทรงผมเกลา้ เปน็ มวยช้ันเดียวขึน้ ไปอยกู่ ลางศีรษะ อาจ
มีเครื่องประดับศีรษะที่ทำจากลูกปัดหรือพวงมาลัยดอกไม้ สวมใส่
เคร่ืองประดับคล้ายกับบุรษุ โดยเฉพาะตา่ งหู โดยตา่ งหูนนั้ คงทำจากดีบุกหรือ
ตะกั่วที่มีน้ำหนักมาก จนทำให้ติ่งหูยาวมาจนถึงไหปลาร้า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ
รสนยิ มหรือความเชือ่ บางประการ
เคร่อื งปนั้ ดินเผาอุปกรณป์ ่ันดา้ ย พบทคี่ ูเมือง จงั หวัดสิงหบรุ ี
ท่มี า : พพิ ธิ ภณั ฑ์เมืองโบราณบ้านคูเมอื ง
หนังสืออ่านเพม่ิ เติม E-Book เรือ่ ง “อาณาจักรโบราณยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง”
๑๔
5.บา้ นคูเมอื ง เดมิ บางนางบวช
ชมุ ชนโบราณบา้ นคู ตง้ั อยทู่ ี่อำเภอเดิมบางนางบวช จงั หวัดสุพรรณบุรี มีลกั ษณะผงั เมอื งคอ่ นข้างกลม
เหลี่ยม มีคูเมืองกว้าง 30 เมตร แต่ไม่ปรากฏกำแพงเมือง ภายในตัวเมืองมีเนินดินสูงต่ำมากมาย อัน
เนอ่ื งมาจากการนำดินทีไ่ ด้จากการขุดคูเมืองมาถมบริเวณภายในเมืองใหส้ งู เพราะลักษณะของท่ีตั้งอยู่ท่ีลุ่มน้ำ
สามารถทว่ มได้
ภายในเมืองโบราณพบเศษเครื่องปั้นดินเผา ก้อนอฐิ
และเศษหม้อในสมัยทวารวดีระยะหลงั และสมัยลพบุรี (เก่า)
นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเมืองบ้านคูเมือง เป็นเมือง
โบราณในสมัยทวารวดีระยะหลัง โดยมีฐานะเป็นเมืองขนาด
เล็ก ไม่มีโบราณสถานของศาสนา และไม่มีศูนย์กลางการ
ปกครอง โดยมีลักษณะเป็นเมืองลักษณะเป็นเมืองอาศัยอยู่
แบบหมู่บ้าน จงึ ไมม่ กี ำแพงเมอื งไว้ปอ้ งกนั ศตั รู จึงมเี พียงแค่คู
นำ้ เพ่ือบ่งบอกอาณาเขตเท่าน้นั ผงั เมอื งโบราณบา้ นคเู มือง อำเภอเดมิ บางนางบวช
จังหวัดสุพรรณบรุ ี ทีม่ า : facebook กลุ่มงานมาตรฐาน
และพฒั นาสถาปัตยกรรม กรมโยธาธกิ ารและผงั เมอื ง
6.เมอื งการุ้ง
เมืองการุ้ง ตั้งอยู่ที่ตำบลอำเภอบ้านไร่ ลักษณะของผังเมืองเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส มุมทั้งสี่มน
เส้นผา่ ศูนย์กลาง ประมาณ 800 เมตร ประกอบด้วยคูเมอื ง กวา้ งประมาณ 20 เมตร ลึกประมาณ 2 เมตร มี
กำแพงดนิ ล้อมรอบ คูเมอื งบางตอนถกู เกลื่อนลง คเู มอื งยาวตลอดเปน็ ระยะทางประมาณ 800 เมตร บางแห่ง
ตื้นกว่าระดับเดมิ และมกี ารขุดลอกคูเมอื งใหม่ ภายในบริเวณเมืองมี
ซากเจดีย์หักพังอยู่คอ่ นไปตรงกลาง ตัวเมืองด้านในอยู่ติดกบั ทิวเขา
อีกด้านหนึ่งอยู่ติดกับถนนที่ตัดผ่านในระยะหลัง ภายในเมืองมีสระ
น้ำอยู่ค่อนไปทางทิศเหนือ และที่นอกกำแพงดินด้านทิศใต้มีสระ
โบราณอีกแห่งหนึ่ง โบราณวัตถุที่พบนั้น มีพระพุทธรูปปางเสด็จ
ดาวดึงสแ์ ละส่ิงอนื่ ๆ เช่นเดยี วกบั เมืองสมัยทวาราวดีท่ัวไป
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปรากฏซากโบราณสถาน
ผังเมืองโบราณเมอื งการงุ้ อำเภอบา้ นไร่ เช่นเดียวกันกบั เมืองท่ีมีความเจรญิ รงุ่ เรือง นบั ว่าเป็นศูนย์กลางของ
จังหวัดอทุ ัยธานี ทมี่ า : facebook fied-feel ดินแดนแถบนั้น และเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากเมืองอื่นๆ
เมืองโบราณสมยั ทวารวดที ี่อทุ ัยธานี ดงั นน้ั จงึ ผู้คนอาศยั อยู่หนาแน่น
หนงั สืออา่ นเพ่ิมเตมิ E-Book เรื่อง “อาณาจกั รโบราณยคุ ทวารวดีในภาคกลาง”
๑๕
7.เมืองอู่ตะเภา
เมืองอูต่ ะเภา ตั้งอยทู่ ่ีอำเภอมโนรมย์ จงั หวดั ชยั นาท ผังเมือง
มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู พื้นที่โดยรอบเมืองเป็นที่ราบลุ่ม จึง
เหมาะสมกบั การตั้งถนิ่ ฐานของมนุษย์มาแตโ่ บราณ สภาพเมอื งท่ีมคี นู ้ำ
คันดินล้อมรอบนั้นอาจเพื่อเป็นการกำหนดขอบเขตบริเวณของเมือง
หรือเพื่อเป็นการป้องกันศัตรูจากภายนอก หรือเพื่อป้องกันน้ำหลาก
เข้าท่วมเมือง หรือเพื่อกักเกบ็ น้ำไว้ใช้ประโยชน์ก็เป็นได้ ภายในเมือง
โบราณอู่ตะเภา ค้นพบโบราณวัตถุในวัฒนธรรมทวารวดี และพบ ผังเมอื งโบราณเมอื งอู่ตะเภา อำเภอมโนรมย์
จงั หวัดชยั นาท ทม่ี า : พิพิธภณั ฑส์ ถานแห่ง
โบราณวัตถุเก่าไปจนถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย แสดงให้
เหน็ ว่ากอ่ นจะมีพฒั นาการมาเป็นเมอื งโบราณในวัฒนธรรมทวารวดนี นั้ ชายชัยนาทมนุ ี ชยั นาท
มีการใช้งานพื้นที่บริเวณนี้มาก่อนหน้านั้นแล้วคือในสมัยก่อน
ประวัตศิ าสตรต์ อนปลาย กจิ กรรมของผู้คนในบรเิ วณเมอื งโบราณอู่ตะเภาน้ี มีการถลงุ เหลก็ และประเพณีการ
ฝังศพมาตั้งแตก่ ่อนประวตั ิศาสตร์ตอนปลายแลว้ สันนิษฐานจากการพบหลกั ฐานประเภทเตาถลุงโลหะ และขี้
แรเ่ หล็ก ท่หี ลงเหลอื จากการถลุงในบรเิ วณเมอื งโบราณอตู่ ะเภา และท่ีมกี ารพบหลุมศพทมี่ ีโครงกระดูก ภายใน
เมืองโบราณแห่งนี้อีกด้วย ภายหลังเมื่อพื้นที่นี้เข้าสู่วัฒนธรรมทวารวดี จึงพบโบราณวัตถุเนื่องในวัฒนธรรม
ทวารวดีท้งั ในเมืองและบริเวณพนื้ ทใ่ี กล้เคียงเมืองโบราณแหง่ นี้ ได้แก่ ตะเกียงดินเผา เหรยี ญเงินมีตรารูปสังข์
ศรวี ัตสะ และเศษช้นิ ส่วนธรรมจักรศลิ า เสาแปดเหลี่ยมทมี่ ีจารกึ อักษรปัลลวะ ภาษาบาลี
เหรียญเงินรปู สงั ข์ พบทเ่ี มอื งโบราณอตู่ ะเภา ชัยนาท
ท่ีมา : พพิ ิธภณั ฑส์ ถานแหง่ ชายชยั นาทมนุ ี ชยั นาท
หนังสอื อ่านเพิม่ เติม E-Book เรอื่ ง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง”
๑๖
8.เมืองลพบุรี (เก่า)
เมืองลพบุรี (เกา่ ) หรอื ละโว้ ตงั้ อยู่ทอ่ี ำเภอเมอื งลพบรุ ี จงั หวัดลพบรุ ี เปน็ เมอื งโบราณ ซ่ึงต้ังอยบู่ นฝั่ง
ซ้ายของลุ่มน้ำเจ้าพระยา สถาปนาขึ้นราวปลายยุคทวารวดี มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ท่ี “ลวปุระ” (ปัจจุบันคือ
เมอื งลพบุร)ี หลงั การสถาปนาอาณาจักรอยุธยา อาณาจกั รละโว้ไดถ้ ูกผนวกเป็นส่วนหน่ึงของอาณาจักรอยุธยา
ชื่อเรียกของอาณาจักรละโว้ในเอกสารจีนคือ “หลอหู” ตามข้อมูลที่ปรากฏเก่ียวกับเมืองละโว้ มีข้อมูลอยู่ใน
พงศาวดารเหนอื พอจะสรุปได้ว่าเมืองละโว้มีมาตั้งแต่ พทุ ธศกั ราช 1002 เมอื งลพบรุ ีเปน็ เมืองหลวงต้ังอยู่ทาง
ภาคกลางในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มีอาณาเขตตั้งแต่ชัยนาทลงมาจนถึงเขตประจวบคีรีขันธ์ ทางด้าน
ตะวนั ตกจดมะริด ทวาย ดา้ นตะวันออกจดนครราชสีมา
ลพบรุ ี (เก่า) หรอื ละโว้ เคยเป็นเมืองสำคัญของอาณาจกั รทวารวดีมากอ่ น เคยมคี วามรุ่งเรืองในด้าน
พระพุทธศาสนามาแต่โบราณ ตำนานมูลศาสนา กล่าวว่าพระเจ้ากรุงละโว้ได้ส่งพระนางจามเทวี ราชธิดาไป
ครองเมอื งหริภญุ ชัย (ลำพนู ) เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดนิ แดนภาคเหนือ
จากการขดุ ค้นทางโบราณคดีปรากฏว่าตั้งแต่อำเภอชยั บาดาลถึงอำเภอพฒั นานิคม จงั หวัดลพบุรี ล้วน
แต่มีหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ในอดีตที่ยาวนานมาแล้ว จากชุมชนขนาดย่อมขยายเป็นเมืองเล็กๆ จนกระท่ัง
รวมตัวกันเป็นอาณาจักรหรือเขตปกครองที่เป็นส่วนยอ่ ยของประเทศราวพุทธ
ศตวรรษที่ 10 - 12 ลพบุรี (เก่า) หรือ ละโว้ กลายเป็นอาณาจักรหรือเมือง
ขนาดใหญ่แล้วและในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 - 14 มีความรุ่งเรืองอย่างมาก
โดยเฉพาะดา้ นพระพุทธศาสนา
เมืองลพบรุ ี (เก่า) หรือ ละโว้ มีความเจริญมากข้ึนเรื่อยๆ จนมีอิทธพิ ล
ครอบคลุมดนิ แดนภาคกลางตอนบนตง้ั แตจ่ งั หวัดนครสวรรค์ เรอ่ื ยมาจนถึงภาค
ตะวนั ออกและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทยบางส่วน ศูนย์กลางใน
ตอนต้นสันนษิ ฐานวา่ อยู่ที่เมืองลพบรุ ี และประมาณพุทธศตวรรษท่ี 17 ได้ย้าย
มาอยู่ที่เมืองอโยธยา ภายหลังต่อมาเมื่อใน พุทธศักราช 1893 ได้มีการ
สถาปนาอาณาจกั รอยธุ ยาข้ึนทำให้กลายเปน็ ส่วนหนงึ่ ของอาณาจกั รอยุธยา
เม่ือเทียบเคียงกบั อาณาจกั รรว่ มสมยั พบวา่ “ลพบุรอี ยู่ในยคุ เดยี วกันกับ
อาณาจักรทวารวดี และอาณาจักรเจนละ” พื้นที่อิทธิพลบางส่วนก็ถือว่าเป็น
พื้นที่เดียวกัน ประกอบกับตามหลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรทวารวดีบ่งบอกว่า
ทวารวดีไดร้ ับอทิ ธิพลจากอนิ เดียหลายอย่าง เช่น ดา้ นการปกครองรับความเชื่อ
เรื่องการปกครองโดยกษัตริย์ สันนิษฐานว่าการปกครองสมัยทวารวดีแบ่ง พระพุทธรปู ประทบั ยนื
ออกเป็นแคว้น มีเจ้านายปกครองตนเองแต่มีความสัมพันธ์ในลักษณะเครือ ศิลปะทวารวดี พบท่ีจงั หวัดลพบุรี
ญาติการแบง่ ชนช้ันในสงั คมออกเป็นชนชน้ั ปกครองกบั ชนชั้นท่ถี ูกปกครอง
ทม่ี า : รุ่งโรจน์ ธรรมรุง่ เรอื ง, ๒๕๖๓
หนงั สอื อา่ นเพม่ิ เตมิ E-Book เรือ่ ง “อาณาจักรโบราณยุคทวารวดใี นภาคกลาง”
๑๗
9.เมืองคบู วั
เมืองคูบัว ตั้งอยู่ท่ีตำบลคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เป็นเมืองโบราณในยุคของทวารวดี
ลักษณะทางกายภาพของเมอื งนั้นมีคูน้ำและคันดินลอ้ มรอบ ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางตัวในแนวทิศ
เหนือ-ใต้ มีลำห้วยธรรมชาตไิ หลผ่านหลายสาย ลำห้วยเหล่าน้ีเป็นลำห้วยสาขาของลำน้ำสายใหญ่ คือ แม่น้ำ
อ้อม (แมน่ ำ้ แม่กลองสายเดมิ ) และแม่น้ำแม่กลอง
ศาสนสถานที่พบภายในเมืองคูบัว เป็นศาสนาพุทธใน
มหายานและเถรวาท ในส่วนโบราณสถานศาสนาพุทธแบบมหายาน
มักนยิ มตกแต่งอาคารดว้ ยลวดลายท้ังท่ีเปน็ แผน่ ภาพดนิ เผา แผ่นภาพ
ปูนปั้น ตลอดจนประติมากรรมนูนสูง ทั้งดินเผาและปูน พบภาพดิน
เผารูปพระโพธิสัตว์, เทวดา, อมนุษย์, และรูปสัตว์ โดยเฉพาะเศียร
พระโพธิสัตว์ดินเผาที่แสดงถึงฝีมือช่างชั้นสูง มีลักษณะเดียวกับ
ประติมากรรมในศิลปะอินเดยี จนมีผู้สันนิษฐานว่าอาจจะทำขึ้นโดย ภาพสตรีกำลังเล่นดนตรี
ชา่ งฝมี ือชาวอินเดียท่เี ดินทางเขา้ มาตัง้ หลกั แหล่งบริเวณเมืองคูบัว ใน ทีค่ ้นพบภายในโบราณสถาน
ราวพุทธศตวรรษที่ 11 - 13 ส่วนโบราณสถานศาสนาพุทธแบบเถร เมอื งคบู ัว ราชบรุ ี ที่มา : facebook กลุ่ม
วาท ไม่นิยมการประดับตกแต่งมากนัก อาจมีเพียงแผ่นอิฐแต่ง
เผยแพรฯ่ กรมศลิ ปากร
ลวดลายหรือชิ้นส่วนลวดลายดินเผาประดับ หรืออาจเป็นแผ่นภาพเล่าเรื่องในศาสนาพุทธ เช่น ภาพปูนปั้น
ประดับโบราณเปน็ ภาพจากนิทานในนกิ ายสรวาสตวิ าส ซงึ่ เปน็ ที่นิยมแพรห่ ลายทั่วไปในเอเชยี ตะวันออกเฉียง
ใต้ราวพทุ ธศตวรรษที่ 12
10.เมอื งเก่าอู่ทอง
เมืองเก่าอู่ทอง ตั้งอยู่ในเขตอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้นกำเนิดประวัติศาสตร์ “อารย
ธรรมสวุ รรณภูมิ” ครอบคลุมพ้นื ที่ท้งั ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวดั สพุ รรณบุรี มหี ลกั ฐานทางโบราณคดีที่
สันนิษฐานได้ว่า เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรทวาราวดีและ
เป็นศูนย์กลางของดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ
ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมและประเพณขี องชนชาติพันธุ์ตา่ งๆ
กอ่ นจะหลอมรวมเป็นชาติไทยในปัจจุบัน
จากภาพถา่ ยทางอากาศพบว่าเมืองโบราณอู่ทองเป็นเมือง
พระพิมพด์ ินเผาพระอรหนั ตส์ าวก ที่มีคูน้ำและคันดนิ ล้อมรอบ ตั้งอยู่ริมลำน้ำจระเข้สามพัน ผังเมือง
อายุราวพทุ ธศตวรรษท่ี 12-13 เป็นรูปวงรี ทอดตัวไปตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไปทาง
พบที่เมอื งเก่าอู่ทอง ท่ีมา : โบราณคดีเมืองอู่ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ มขี นาดความกวา้ งประมาณ 1 กโิ ลเมตร และยาว
ทอง. กรงุ เทพฯ: กรมศิลปากร, 2545
หนังสอื อ่านเพม่ิ เติม E-Book เร่อื ง “อาณาจักรโบราณยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง”
๑๘
ประมาณ 2 กิโลเมตร มรี ะดบั ความสงู ของพ้ืนท่ตี ัวเมือง จากระดับนำ้ ทะเลปานกลางประมาณ 6 เมตร
หลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบสันนิษฐานว่า เมืองโบราณอู่ทองมีมนุษย์อยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อน
ประวตั ศิ าสตร์ เมอ่ื ประมาณ 2,500 ปี มาแลว้ โดยได้พบหลกั ฐานประเภทขวาน หนิ ขัด ลกู ปดั ภาชนะดินเผา
เหลก็ ในสำหรับปนั่ ด้าย ขวานสำรดิ ฉมวก หอก และเครื่องมือเครื่องใช้โลหะอื่นๆ อกี มากมาย ชมุ ชนในสมัยน้ี
เป็นชมุ ชนในสังคมเกษตรกรรม เนือ่ งจากสภาพท่ตี ั้งชมุ ชนเปน็ เขตทีร่ าบขน้ั บนั ไดต่ำ และทีร่ าบล่มุ แม่นำ้ ทำให้
สามารถทำการเพาะปลูกได้ผลดี จนชุมชนตั้งหลักแหล่งได้อย่างถาวร ประกอบกับสามารถติดต่อกับชายฝั่ง
ทะเลไดส้ ะดวก จงึ เปน็ เหตุผลสำคญั ทีท่ ำใหช้ ุมชนโบราณในบริเวณเมืองอู่ทองสามารถพัฒนาสภาพสังคมและ
เศรษฐกจิ จนขยายตวั เข้าส่สู งั คมเมอื งได้
เมืองโบราณอู่ทองได้มีการอาศัยมาอย่างต่อเนื่องจนสามารถพัฒนาตนเองจากสังคมเกษตรกรรมใน
ระดับหมู่บ้านเข้าสู่สังคมเมือง ซึ่งมีความเจริญ และมีความซับซ้อนทางสังคมมากขึ้น และกลายเป็นเมือง
ศูนย์กลางทางวัฒนธรรมเมืองหนึ่งในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จากหลักฐานประเภทโบราณวัตถุสถานที่พบใน
ช่วงเวลาดังกล่าว ทราบว่าเมืองโบราณอู่ทอง ได้มีการติดต่อสัมพันธ์กับดินแดนแถบโพ้นทะเล โดยเฉพาะ
อินเดีย จนทำให้นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่า เมืองโบราณอู่ทอง อาจจะเป็นเมือง “สุวรรณภูมิ” ที่พระเจ้า
อโศกมหาราชได้ส่งพระโสณะเถระและพระอุตระเถระมาเผยแพร่พุทธศาสนา ในราวพุทธศตวรรษท่ี 3 ต่อมา
พบหลกั ฐานโบราณคดีที่ทำใหพ้ บว่า เมอื งโบราณอูท่ องมีการติดต่อคา้ ขายกับชาวตะวันตก นับต้งั แต่อินเดียไป
จนถึงกรีก และโรมันในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่ขยายการค้าทางทะเลมายังบ้านเมืองในแถบเอเชีย
ตะวนั ออกเฉยี งใตแ้ ละประเทศจนี
โดยพบหลักฐาน เช่น เครื่องถ้วยจีนเคลือบสมัยราชวงศ์ถัง
ลูกปัดจากอินเดีย เครื่องถ้วยเปอร์เซีย และเครื่องประดับจากอินเดีย
กรีก โรมนั จีน และจากทางตะวนั ออกกลางหลายชนดิ ซ่งึ แสดงให้เห็น
ถึงการติดต่อกับดินแดนภายนอก ทำให้ศาสนาพราหมณ์และศาสนา เหรยี ญโรมนั สมยั จกั รพรรด์ซิ ีซาร์ วิคโตนิรุส
พุทธจากอนิ เดยี ที่มากบั พ่อค้านักเดินทางเผยแพรท่ ี่อู่ทองเปน็ ทีแ่ รกใน อายุราวตน้ พุทธศตวรรษท่ี 9
แผ่นดินไทย พบทเ่ี มืองเก่าอทู่ อง
11.เมอื งบน
เมอื งบน หรือเมืองโคกไมเ้ ดน ตัง้ อยู่ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอ แผนที่แสดงลกั ษณะท่ตี ง้ั ของเมอื งบน
พยุหครี ี จงั หวดั นครสวรรค์ เมืองโบราณสมยั ทวารวดีทตี่ ้ังอยูในทร่ี าบ ที่มา: ธนติ อยูโพธ,์ิ 2508
ลุมแมน้ำเจาพระยา มีลักษณะผังเมืองคอนขางกลม มีคูน้ำและคัน
ดินลอมรอบ ทางทิศตะวันออกของเมืองโบราณมีเขาไมเดนซึ่งเป็น
ภูเขาลูกยอมๆ ตามเชิงเขาและยอดเขามีการพบรองรอย โบราณ
สถานกอดวยอิฐจํานวนมาก มีการขุดพบโบราณวัตถุจําพวกภาชนะ
ดินเผาและเคร่ืองมือโลหะจํานวน นอกจากนี้ ยงั พบพระพิมพดินเผา
ที่จารึกอักษรหลังปลลวะ ราวพุทธศตวรรษที่ 14-15 ดวยการพบ
หลักฐาน ดังกลาวทําใหมีผูสันนิษฐานวาเมืองโคกไมเดนอาจเมือง
หนังสืออา่ นเพิม่ เติม E-Book เรอ่ื ง “อาณาจักรโบราณยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง”
๑๙
เดียวกบั เมอื งพระบางท่ปี รากฏเร่อื งราวในสมยั ทวารวดี เหตุทีม่ าของ “เมืองบน” มที ่ีมาจากมีเมืองโบราณสมัย
ทวารวดีที่มีรูปรางลักษณะคลายกันอยูริมแมน้ำเจาพระยาต่ำกวาเมืองโคกไมเดนลงไปในเขตอําเภอมโนรมย
จังหวัดชัยนาท นั่นก็คือ “เมืองโบราณอูตะเภา” เคยมีชาวบานเลาวาบริเวณนี้เปนอูเรอื สําเภาเรียกกนั วา “อู
บน” คกู ับ “อูลาง”
เมืองบนมีคูน้ำ - คันดิน (คูเมือง - กําแพงเมือง) ลอมรอบ 3 ชั้น คูเมือง – กําแพงเมืองชั้นใน มี
ลักษณะเป็นรูปกลม สวนชั้นกลางและชั้นนอกมีลักษณะเปนรูปวงรี คลายกับเมืองอูทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
ขนาดของเมืองยาวประมาณ 1,000 เมตร กวางประมาณ 800 เมตร ปจจุบันเสนทางถนนพหลโยธินหรือ
สายเอเชียผาน ทับคูเมอื ง-กาํ แพงเมืองชนั้ นอกดานตะวันออกไปบางตอน ทางดานตะวันออกของเมืองเปนแน
วเทือกเขาโคกไมเดน มีโบราณสถานซึ่งเปนสวนฐานของพระสถูปเจดียอยูบริเวณเชิงเขาทางดานตะวันออก
และบนยอดเขา จาํ นวน 16 แหง
การคนพบเมืองบนเริ่มตนจากราวกลางปพุทธศักราช 2506 กรมศิลปากร โดยมีนายธนิต อยูโพธิ์
อธิบดีกรมศิลปากรในสมัยนั้น ไดรับแจงจาก ดร.ควอริตช เวลส (H.G. Quaritch Wales) นักโบราณคดีชาว
อังกฤษ ซึ่งมีภาพถายทางอากาศของทหารอังกฤษและอเมริกัน ที่ไดถายไวเมื่อครัง้ มหาสงครามโลกครั้งที่ 2
แสดงใหเห็นแผนผังที่ตั้งเมืองและโบราณสถาน จะขอมาขุดคนโบราณสถานที่วัดโคกไมเดน เพื่อนําไปแสดง
ปาฐกถา ซึ่งทางกรมศิลปากรเห็นวาจะดําเนินการไมสําเร็จ เนื่องจากมีทุนดําเนินการไมมาก จึงขอคัดลอก
ภาพถายทางอากาศไวชุดหนึ่ง ตอมาทางกรมศิลปากรอยากใหมีการสํารวจขุดค
นใหเปนท่ีเปดเผย เพื่อประโยชน์เปน ความรูกาวหนา ในทางประวัติศาสตรและ
โบราณคดีบนผืนแผนดินไทย ในวันที่ 23 เมษายน 2507 กรมศิลปากรไดส
งนายบรรจบ เทียมทัด หัวหนาแผนกขุดแตงและบูรณะกองโบราณคดี กรม
ศิลปากร (ในสมัยน้ัน) เปนหัวหนาคณะมาเริม่ ขดุ แตงฐานพระสถูปเจดียขางวัด
เป็นแหงแรก และนายธนิต อยูโพธิ์ และหลวงบริบาลบุรีภณั ฑ พร้อมด้วยคณะ
ภาชนะดินเผา เดินทางมาตรวจการขุดค น เมื่อวันที่ 8-9 พฤษภาคม 2507 พบว า
ทรงแกวแชมเปญ โบราณสถานสถานและโบราณวัตถุที่ขุดพบเปน ศิลปะสมัยทวารวดี เชนเดียว
ทม่ี า : พิพิธภณั ฑวดั เขาไมเดน กับที่พบทีจ่ งั หวัดนครปฐม, คบู วั จงั หวดั ราชบรุ ี, พงตึก จงั หวดั กาญจนบุรี และ
ทีอ่ ทู อง จังหวัดสพุ รรณบุรี
จารึกพระพมิ พดินเผาวัดโคกไมเดน
ที่มา: คณะกรรมการฝายประมวลเอกสารและจดหมายเหตฯุ , 2544
หนังสอื อา่ นเพ่มิ เตมิ E-Book เรอ่ื ง “อาณาจักรโบราณยุคทวารวดใี นภาคกลาง”
๒๐
12.เมอื งบึงโคกชา้ ง
เมืองบึงโคกช้าง หรือเมืองบึงคอกช้าง ตั้งอยู่ตำบลไผ่เขียว อำเภอสว่าง
อารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี เป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดี ไม่มีประวัติความเป็นมาท่ี
ชัดเจน แต่ปรากฏร่องรอยหลักฐานของมนุษย์ในยุคทวารวดี มีลักษณะผังเมือง
ค่อนข้างกลมเสน้ ผ่าศูนย์กลางประมาณ 1,000 เมตร มคี เู มืองและกำแพงล้อมรอบ
ตัวเมือง มีประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศ มีสระน้ำชาวบ้านเรียกว่า “เวียง” ทางด้านทิศ
ตะวันออกมีคูน้ำอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์พบว่า ขุดเพ่ือ
เชอื่ มโยงกับลำห้วยด้านทางทิศตะวันออก เพ่อื ให้น้ำเขา้ ไปหล่อเล้ยี งในตวั เมืองได้
มีการค้นพบวัตถุโบราณต่างๆ เช่น เครื่องปั้นดินเผา หินบดยา เครื่องมอื
เหลก็ ลกู ปัดสีเหลือง นอกจากนยี้ ังมกี ารพบศิลา ศิลาจารึกอักษรขอมโบราณ
จารึกอักษรขอมโบราณ 3 หลัก ปัจจุบันเมือง ท่มี า :
โบราณแห่งนี้ได้กลายสภาพเป็นสวนป่าปลูก มี
ต้นไม้ขนาดใหญป่ กคลุมอยูท่ ั่วไป อย่างไรก็ตาม https://cbtthailand.dasta
.or.th/webapp/relattracti
on/content/2343/
ผงั เมืองบงึ โคกช้าง โบราณวตั ถุทีถ่ ูกคน้ พบได้นนั้ ถูกนำไปเก็บรักษา
ลกั ษณะเป็นผงั เมอื งค่อนขา้ งกลม
ท่ีมา : พพิ ิธภณั ฑเ์ มอื งเมืองโบราณ ไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น ภายในศูนย์การศึกษา
นอกโรงเรยี น เพ่อื ใหน้ ักท่องเท่ยี วทสี่ นใจได้ศกึ ษาเรยี นรู้
บึงคอกชา้ ง
13.เมืองขีดขิน
เมืองขีดขิน หรือ รามปุระนคร, เสนาราชนคร ตั้งอยู่อำเภอบ้าน
หมอ จังหวัดสระบรุ ี มลี กั ษณะผงั เมอื งเป็นรูปสีเ่ หลยี่ มดา้ นไมเ่ ทา่ หากเทียบ
ดูอายุแล้วก็อยู่ในช่วงของทวารวดี ในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางแห่ง
มหาอำนาจ มีอาณาเขตการปกครองกว้างใหญ่ไพศาล มีประวัติความ
เป็นมาที่ยาวนานกว่า ๑,๔๒๗ ปีมาแล้ว มีกษัตริย์ทีป่ กครองดินแดนแหง่ นี้
หลายพระองค์ รวมทั้งพระเจ้ารามราช และพระนางเจ้าจามเทวี ผู้ซึ่งครั้ง เทวรูป ๖ องค์
หนึ่งเคยปกครองรามปรุ ะนคร หรือเสนาราชนคร ตามหลักฐานกล่าวว่าราม ขดุ ค้นพบบรเิ วณคเู มืองขีดขนิ
ปุระ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองละโว้ ๑๐๐ เส้น จากการตรวจสอบของคณะ ปจั จุบันเก็บรักษา วหิ ารเล็กหลังมณฑป
ท่มี า : วัดพระพุทธบาท สระบรุ ี
โบราณคดีของกรมศิลปากร สณั นษิ ฐานวา่ เมืองโบราณแห่งน้เี ป็นเมอื งเสนาราชนคร ตามพงศาวดารเหนือจริง
เพราะเมอื งโบราณแหง่ น้ี กอ็ ยูห่ ่างจากเมอื งละโว้ ๑๐๐ เส้น เมอื งโบราณดงั กลา่ ว ตง้ั อยู่ห่างจากทีว่ ่าการอำเภอ
บ้านหมอ ไปทางเหนือประมาณ ๖๐๐ เมตร และห่างจากศูนย์พุทธศรัทธาประมาณ ๓๐๐ เมตร บริเวณนี้ยัง
ปรากฏเป็นคเู มือง กำแพงเมืองวัดโดยรอบประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร สภาพคูเมืองฝงั ลึกมาก หลักฐานการก่ออิฐ
สอปูนยงั ปรากฏอยู่บ้าง
หนังสืออา่ นเพมิ่ เติม E-Book เรอ่ื ง “อาณาจักรโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง”
๒๑
ผงั เมอื งขดี ขนิ เมืองเสนาราชนคร ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า เป็นเมืองลูกหลวงของ
อำเภอบา้ นหมอ จังหวดั สระบุรี เมืองละโว้ พระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช ทรงมีราชโอรส ๑ องค์ พระนามว่า
พระเจ้าธรรมมิกราช สมัยนั้นเมืองละโว้กับเมืองเสนาราชสองเมืองนี้มีความ
ทมี่ า : ศนู ยพ์ ทุ ธศรทั ธา, ๒๕๕๓ เจริญรุ่งเรืองมาก เป็นแหล่งการค้าและการศึกษาศิลปวิทยาที่มีชื่อเสียง ตาม
พงศาวดารโยนกยังกล่าวว่า พ่อขุนรามคำแหง, พ่อขุนเม็งราย, พญาคำเมือง
สมัยทเี่ ปน็ พระยุพราชฝ่ายเหนือเคยเสด็จลงมาศกึ ษาศิลปวิทยาทเ่ี มืองละโว้
14.เมอื งซบั จำปา
เมอื งซบั จำปา ต้งั อยู่ตำบลซับจำปา อำเภอทา่ หลวง จงั หวัดลพบุรี อยู่
บนเนนิ ดินสูงขอบทีร่ าบภาค กลางท่ตี ดิ ต่อกบั ท่รี าบสงู ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ
ประวตั คิ วามเป็นมาของเมอื งโบราณซบั จำปา มหี ลกั ฐานทางโบราณคดีท่ีค้นพบ
ที่เมืองซับจำปา เปน็ ถ่นิ ทอ่ี ยู่ของมนษุ ย์ยุคกอ่ นประวตั ิศาสตร์ ซึง่ มีอายุประมาณ
3,000 ปี มาแล้ว ต่อมาได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากอินเดีย เช่น ศาสนา
พิธีกรรม ความเชื่อ อักษร ภาษา การปกครองนั้น คงจะเป็นการปกครองที่มี
กษัตริย์เป็นใหญ่ เพราะจารึกภาษาสันสกฤตที่ค้นพบกล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดิน
เป็นผ้นู ำ จากหลักฐานทางโบราณคดีอาจกำหนดไดว้ ่าเมืองซับจำปาเป็นชุมชน
ทีม่ ผี ู้อาศัยอย่มู า จนถึงประมาณพุทธศตวรรษท่ี 15 แลว้ จึงถูกทิ้งร้างไป เพราะ
จารกึ อกั ษรปัลลวะ เหตุวา่ ไมพ่ บหลักฐานทางโบราณคดอี ื่นใดท่ีมอี ายุหลงั พทุ ธศตวรรษที่ 15
ลักษณะรูปร่างเมืองโบราณซับจำปา เป็นมีคูน้ำกว้างลึก และมีคันดิน
พบท่ีเมอื งซบั จำปา จงั หวัดลพบรุ ี
ทีม่ า : กำแพงสูงล้อมรอบเมือง ผังเมืองเป็นรูปวงกลมรีคล้ายรูปหัวใจ เมืองชนิดไม่มี
รูปแบบหรอื เป็นรูปอิสระ เมืองน้ีมีกำแพงดินสูง 2 ชั้น มคี ูเมืองลกึ ตรงกลาง
https://db.sac.or.th/inscriptions
/inscribe/detail/925
กำแพงเปน็ ดนิ อัดแน่นสงู ประมาณ 10 เมตร จากพื้นคูเมอื ง ภายในเมืองมีเนิน
ดิน 3 เนินมีเศษอิฐซึ่งเขา้ ใจว่าเป็นซากโบราณสถาน นอกเมืองมสี ระน้ำ 1
สระ สิ่งที่พบเป็นหลกั ฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ได้แก่ กำไลหนิ
แกนกำไลทำด้วยหินมาร์ล เศษภาชนะดินเผา และของยุคสมัยทวารวดไี ด้แก่
ชน้ิ ส่วนพระพทุ ธรปู ประติมากรรมรูปกวางหมอบ ช้ินสว่ นธรรมจักร ตุ๊กตา
ดินเผา เครื่องมือเครือ่ งใช้ เครื่องประดบั ท่ีเปน็ โลหะสมั ฤทธิ์ จารกึ 5 ชิ้น
ผังเมอื งซับจำปา
อำเภอทา่ หลวง จังหวดั ลพบรุ ี
ที่มา : มตชิ น, บกุ เมอื งโบราณ ′ซบั
จำปา′ เเหล่งรวยอารยธรรม′ทวารวด′ี ,
๒๕๕๓
หนงั สอื อ่านเพ่ิมเตมิ E-Book เร่ือง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง”
๒๒
15.เมืองธานยบรุ ี
เมืองธานยบุรี หรือดงแม่นางเมือง ตั้งอยู่อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัด
นครสวรรค์ มีลักษณะผังเมืองเป็น รูปสี่เหล่ียมมน มีกำแพงเมือง 2 ชั้น ตรงกลาง
เปน็ คูเมอื ง มีการขุดพบโบราณสถาน โครงกระดูกมนุษย์ และหลักฐานหลายอย่าง
ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นศิลปสมัยทวาราวดี เป็นเมืองที่สำคัญทางประวัติศาตร์เมือง
หน่งึ เป็นบ้านเมอื งมาแต่สมัยทวารวดี จนถงึ ต้นพทุ ธศตวรรษท่ี 18 หลักฐานที่พบ
มโี บราณสถานในพทุ ธศาสนา ขดุ พบโครงกระดกู คนซ่ึงยงั ไมถ่ กู เผา และบางโครงมี
ลักษณะคล้ายถูกพันธนาการแปลกกว่าแห่งอื่นจากการสำรวจและขุดค้นเมือง
พระพิมพด์ ินเผา พบทีเ่ มือง โบราณดงแม่นางเมือง ใน พ.ศ. 2509 โดยกรมศิลปากร ได้พบโบราณวัตถุท่ี
ธานยบุรี ทม่ี า : พิพิธภัณฑ์ สำคัญจำนวนมาก เชน่ พระพทุ ธรูปสำรดิ พระพทุ ธรปู หินทรายแบบทวารวดีตอน
ปลาย พระพมิ พ์ดินเผาแบบลพบุรี ตลบั สงั คโลก ปนู ป้นั ประดับโบราณสถาน ศิลา
สถานแห่งชาติอู่ทอง
จารึก
บริเวณนี้เคยพบจารึกหินชนวนเขียนด้วยอักษรอินเดียและขอม ซึ่งกรมศิลปากรกำหนดให้เป็นจารึก
หลักท่ี ๓๕ ระบุนามเมอื งแหง่ นี้วา่ “ธานยปรุ ะ” อกี ทงั้ กลา่ วถงึ กษัตรยิ ศ์ รีธรรมาโศกราช (องค์ที่ ๒) โปรดเกล้า
ฯ ให้ เจา้ สุนัตแิ หง่ ธานยปรุ ะกัลปนาทด่ี ิน ผู้คน สัตว์แรงงาน และพชื ผล ถวายแด่พระสถปู อนั บรรจุพระบรมอัฐิ
ของ “กมรเตงชคตศรีธรรมาโศก” (องค์ที่ ๑) ผู้เป็นพระราชบิดาเม่ือปี พ.ศ. ๑๗๑๐ อันแสดงให้เห็นว่า เมือง
ธานยปรุ ะหรอื ดงแม่นางเมืองเคยเปน็ บ้านเมืองมาแต่ก่อนพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ แล้ว อกี ทงั้ พน้ื ท่ลี ุ่มน้ำเจา้ พระยา
ตอนบนมรี ัฐอสิ ระ รบั นบั ถือพุทธศาสนาเถรวาท ดังเห็นได้จากการเรียกนามพระมหากษัตริย์ว่า ศรีธรรมาโศก
ราช อันเป็นประเพณีนยิ มในวัฒนธรรมพุทธศาสนาแบบเถรวาท แตกต่างจากที่เคยปลูกฝังตามประวัติศาสตร์
กระแสหลักมาแต่เดิมว่า ดินแดนสยามประเทศก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นั้นตกอยู่ใต้การปกครองของ
อาณาจักรขอม ทั้งเมืองธานยปุระน่าจะสัมพนั ธก์ ับเมอื งเจนลีฟูที่ปรากฏในจดหมายเหตุจีนในพุทธศตวรรษที่
๑๗-๑๘ รวมถงึ มกี ารตดิ ตอ่ สัมพันธก์ ับเมืองโบราณหลายแห่งท่พี บในเขตนครสวรรค์ เช่น เมืองบน (เขาโคกไม้
เดน) เมืองล่าง (หางน้ำสาคร) เมืองท่าตะโก เมืองไพศาลี ฯลฯ ซึ่งเมืองเหล่านี้เกาะกลุ่มกันในพื้นที่ลุ่มน้ำ
เจ้าพระยาและลุ่มน้ำน่าน รวมถึงลุ่มน้ำเกรียงไกรที่เป็นสาขาหนึ่งของ
แม่น้ำนา่ นด้วย
บรรดาเมืองโบราณในเขตนี้มีร่องรอยแสดงถึงการติดต่อกับ
บ้านเมอื งในดินแดนภาคอสี านตอนบน ดงั ปรากฏประเพณกี ารปักหนิ ตงั้
หรอื เสมาแสดงเขตศกั ดิ์สิทธิข์ องศาสนสถาน เชน่ ทร่ี อบพระสถปู ของดง
แม่นางเมือง บริเวณท้องถิ่นนี้เป็นแหล่งที่อุดมด้วยแร่เหล็กอันเป็น
ทรัพยากรสำคัญทางการค้า จึงพบตะกรันที่หลงเหลือจากการถลุงแร่
กระจายอยู่ทั่วไป
เมอื งธานยปุระมพี ัฒนาการสืบเน่อื งเปน็ เวลานานกว่า ๒,๐๐๐ ผงั เมอื งธานยบรุ ี อำเภอบรรพตพสิ ัย
ปี ก่อนร้างราไปในตน้ พุทธศตวรรษที่ ๑๘ จนเกดิ การตง้ั ชมุ ชนใหม่รอบ
ดงอีกครั้งเมื่อไม่เกิน ๑๐๐ ปีลงมานี้ โดยเป็นกลุ่มที่อพยพมาจาก จงั หวัดนครสวรรค์ ทม่ี า :
https://db.sac.or.th/archaeology/ar
chaeology/508
หนงั สอื อ่านเพมิ่ เติม E-Book เร่อื ง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดใี นภาคกลาง”
๒๓
อุทยั ธานีและชาวลาวอีสาน กระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๐๖ คณะเจา้ หน้าท่กี รมศิลปากร นำโดยอาจารย์มานิต วัลลิโภ
ดม ได้มาสำรวจขุดค้นที่ดงแม่นางเมือง พบหลักฐานโบราณสถานและโบราณวัตถุต่างๆ ที่ชี้ให้เห็นถึง
ความสำคัญ จึงมีการทำผังเมืองโบราณไว้เป็นเบื้องต้น แต่ยังขาดการขุดสำรวจและบูรณะอย่างจริงจัง ทำให้
โบราณสถานหลายแห่งถูกปกคลุมด้วยดงไม้ในเวลาต่อมา และมีไม่น้อยที่ถูกลักลอบขุดทำลายเพื่อหา
โบราณวตั ถุ
หนังสอื อา่ นเพิ่มเติม E-Book เร่อื ง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดใี นภาคกลาง”
๒๔
แบบฝึกหัดท้ายบท
๑.ขอ้ ใดคอื อาณาจกั รขนาดใหญ่ท่ีสุดในทวารวดี ๖.การสนั นษิ ฐานถงึ การแตง่ ตัวของคนใน
โบราณ? ทวารวดี นกั ประวัติศาสตร์สนั นษิ ฐานจากอะไร?
ก. เมืองนครปฐมโบราณ ก. เศษผ้าทย่ี งั หลงเหลอื อยู่
ข. เมืองกำแพงแสน ข. การคาดคะเน
ค. บ้านคูเมอื งเก่าอินทรบ์ รุ ี ค. ประตมิ ากรรมรปู มนุษย์
ง. เมืองอทู่ อง ง. พระพุทธรปู โบราณ
๒. รปู สลกั หินธรรมจกั รกวางหมอบ ไดร้ ับ ๗.ข้อใดไมใ่ ช่สาเหตุของการสรา้ งคูเมอื งและ
อิทธิพลจากศาสนาใด? กำแพงเมือง?
ก. ศาสนาเชน ก. ระบบชลประทาน
ข. ศาสนาพราหมณฮ์ ินดู ข. บง่ บอกอาณาเขตของเมอื ง
ค. ศาสนาพุทธ ค. ป้องกนั ขา้ ศกึ ศตั รู
ง. ศาสนาคริสต์ ง. เพ่อื ความสวยงาม
๓. ข้อใดคือแหล่งโบราณสถานทราวดีท่ีพบใน ๘.จากการศึกษาหลกั ฐานทางโบราณคดที ่ีคน้ พบ
เมอื งนครปฐมโบราณ? ท่เี มืองอตู่ ะเภาพบการฝังศพมาตงั้ แตใ่ นสมยั ใด?
ก. รอยพระพุทธบาทสระบุรี ก. สมัยกอ่ นประวัตศิ าสตร์
ข. พระปฐมเจดีย์ ข. สมัยประวตั ิศาสตร์
ค. เมอื งจันเสน ค. สมัยอาณาจักรทวารวดี
ง. เมืองอูต่ ะเภา ง. สมยั อาณาจกั รขอมโบราณ
๔.ขอ้ ใดไมใ่ ช่หลกั ฐานทางประวัติศาสตรข์ อง ๙.จดุ ศนู ยก์ ลางความรุ่งเรืองของเมืองลพบุรเี ก่า
ทวารวดี ที่บ่งบอกถึงการติดตอ่ กบั ตา่ งประเทศ? ในสมัยทวารวดีอยู่ทใ่ี ด?
ก. เรอื พนมสุรินทร์ ก. อำเภอชัยบาดาล จงั หวัดลพบรุ ี
ข. อฐิ สลักเปน็ รปู ใบหนา้ บุคคลแบบอาหรับ ข. อำเภอพนัสนิคม จังหวัดลพบุรี
ค. อปุ กรณ์ดินเผาท่ปี ่ันดา้ ย ค. อำเภอเมืองลพบุรี จังหวดั ลพบรุ ี
ง. เหรียญเงินโรมนั ง. อำเภอบา้ นหม่ี จังหวัดลพบรุ ี
๕. แม่นำ้ สำคญั ในเมอื งจันเสนคอื ขอ้ ใด? ๑๐. ศาสนสถานท่พี บในเมืองคบู ัว จงั หวัด
ก. แมน่ ำ้ โพธ์ชิ ยั แม่น้ำเจา้ พระยา ราชบุรี ไดร้ บั อทิ ธิพลจากพุทธศาสนานิกายใด?
ข. แมน่ ้ำโพธช์ิ ยั คลองพระยาพายเรอื ก. นกิ ายมหายาน และนกิ ายเถรวาท
ค. คลองพระยาพายเรอื คลองรางพิกลุ ข. นิกายมหายาน และนกิ ายวัชรยาน
ง. แมน่ ำ้ ป่าสัก แม่นำ้ ลพบุรี ค. นิกายมหายาน และนกิ ายสุขาวดี
ง. นกิ ายวชั รยาน และนิกายเถรวาท
หนงั สอื อา่ นเพิม่ เตมิ E-Book เรื่อง “อาณาจักรโบราณยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง”
๑๑. เมอื งเก่าอทู่ องเป็นตน้ กำเนิดอารยธรรมใด? ๒๕
ก. อารยธรรมศรีสตั นาคนหตุ
ข. อารยธรรมสุวรรณภูมิ ๑๖.ขอ้ ใดคอื อทิ ธิพลของพระพทุ ธศาสนาท่ี
ค. อารยธรรมเจนละ ปรากฎในทวารวดี?
ง. อารยธรรมคุปตะ
ก. แทน่ ศิวลงึ ค์
๑๒. พระพิมพด์ ินเผาท่ีค้นพบทีเ่ มอื งเก่าต่างๆ ใน ข. รปู สลกั พระวษิ ณุ
สมยั ทวารวดีไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศาสนาใด? ค. รปู สลักโคนนั ทิ
ง. จารึกพระไตรปิฎก
ก. ศาสนาพราหมณฮ์ ินดู ๑๗.ขอ้ ใดคอื ปจั จัยที่ส่งผลให้เมืองอูท่ องมี
ข. ศาสนานคิ รนถ์ เศรษฐกจิ ทีร่ ่งุ เรอื ง?
ค. ศาสนาพทุ ธ ก. มีพื้นทใ่ี กลก้ ับทะเล
ง. ศาสนายวิ ข. มเี สน้ ทางคมนาคมได้สะดวก
๑๓. เหรยี ญโรมนั ทีค่ ้นพบเมืองเก่าอู่ทองเป็น ค. มีทต่ี ้งั อยบู่ รเิ วณราบลุม่
เหรยี ญจักรพรรดิในสมัยใด? ง. ถกู ทกุ ข้อ
ก. สมัยจักรพรรดอิ อคเตเวียน ๑๘.กษัตริย์ที่มีความเกีย่ วข้องกับเมอื งขดี ขิน
ข. สมัยจกั รพรรดิซซี าร์ วคิ โตนริ ุส หรอื รามปรุ ะนคร?
ค. สมยั จักรพรรดิพอนติเฟกซ์ แมกซิมสุ ก. พระเจ้าศรีหรรษาวรมนั
ง. สมัยจักรพรรดติ ติ ุส ข. พระเจา้ ชยั วรมนั
๑๔.เมืองบน หรือเมอื งโคกไมเ้ ดน มลี กั ษณะภูมิ ค. พระนางจามเทวี
ประเทศเชน่ ใด? ง. พระเจา้ ศรธี รรมาโศกราช
ก. ตั้งอยู่บนบริเวณเนนิ ดิน ใกล้แหลง่ น้ำ ๑๙.ขอ้ ใดเป็นหลกั ฐานทบ่ี ง่ บอกว่าชาวเมืองอู่
ข. ตั้งอยู่บริเวณที่ราบเขาสูง ทองมีการติดตอ่ กับชาวตะวันตก?
ค. ต้ังอย่บู ริเวณทร่ี าบลุม่ แม่น้ำ ก. อทิ ธิพลของศาสนาครสิ ต์
ง. ตั้งอยบู่ ริเวณปากแมน่ ำ้ ข. เทวรูปในศาสนาพราหมณ์
๑๕.ขอ้ ใดไมใ่ ช่หลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ท่ี ค. เหรียญโรมนั
ปรากฏในสมัยทวารวดี ง. เครอื่ งถว้ ยเคลอื บสมัยราชวงศ์ถงั
ก. ลกู ปดั หนิ , ศิวลิงค์ ๒๐.ข้อใดบง่ บอกถอื การมอี ยู่ของทวารวดี?
ข. เครื่องปั้นดนิ เผา, พระพิมพ์ ก. โบราณวตั ถสุ มยั ทวารวดี
ค. เทวรูป, ใบเสมา ข. ผคู้ นทมี่ ชี ีวิตอยู่ในสมยั ทวารวดี
ง. เคร่อื งสงั คโลก, ศิลาจารกึ พอ่ ขนุ ค. เครื่องมอื หินยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์
ง. ศิลาจารกึ พ่อขุนรามคำแหง
รามคำแหง
หนงั สอื อา่ นเพม่ิ เตมิ E-Book เรอื่ ง “อาณาจกั รโบราณยุคทวารวดใี นภาคกลาง”
๒๖
เฉลย
แบบฝึกหดั ท้ายบท
หนังสืออา่ นเพ่มิ เตมิ E-Book เรอื่ ง “อาณาจกั รโบราณยคุ ทวารวดีในภาคกลาง”
๒๗
เฉลยแบบฝึกหดั ทา้ ยบทที่ ๑
๑. ง
๒. ก
๓. ค
๔. ก
๕. ง
๖. ง
๗. ค
๘. ก
๙. ข
๑๐.ค
หนังสืออ่านเพมิ่ เตมิ E-Book เร่ือง “อาณาจักรโบราณยุคทวารวดีในภาคกลาง”
๒๘
เฉลยแบบฝกึ หดั ท้ายบทท่ี ๒
๑. ก
๒. ค
๓. ข
๔. ค
๕. ข
๖. ค
๗. ง
๘. ก
๙. ค
๑๐.ก
๑๑.ข
๑๒.ค
๑๓.ข
๑๔.ก
๑๕.ง
๑๖.ง
๑๗.ง
๑๘.ค
๑๙.ค
๒๐.ก
หนังสอื อา่ นเพม่ิ เติม E-Book เรอ่ื ง “อาณาจักรโบราณยคุ ทวารวดีในภาคกลาง”
๒๙
เอกสารอ้างอิง
วทิ ยานพิ นธ์
ดุษฎี สมบุณยะวโิ รจน์, รปู แบบเมืองทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย, สารนพิ นธ์ ศลิ ปศาสตรบัณฑิต
(คณะโบราณคดี : มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2522).
หนังสือ
พนมกร นวเสลา, นครปฐมเมอื งทา่ แห่งสหพันธรัฐทวารวดี, กรุงเทพมหานคร :
มูลนธิ ิเลก็ -ประไพ วิริยพันธุ์, 2561.
กรมศิลปากร, โบราณวัตถุในพิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระปฐมเจดีย์,
กรุงเทพมหานคร : สำนักพิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ กรมศลิ ปากร กระทรวงวัฒนธรรม, 2548.
สมเดจ็ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานวุ ตั วิ งศ์, สาสน์ สมเด็จ เล่ม 3, กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพรา้ ว, 2536.
สฤษด์พิ งศ์ ขนุ ทรง, โบราณคดี เมอื งนครปฐม การศึกษาอดตี ของศนู ยก์ ลางแห่งทวารวดี,
กรงุ เทพมหานคร : ศูนยม์ านษุ ยวทิ ยาสริ ินธร (องค์การมหาชน), 2559.
บทความ
สุจติ ต์ วงษเ์ ทศ, ทวารวดมี ปี ญั หาอยา่ บอกขอ้ มูลไมค่ รบ, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มตชิ น, 2562.
.อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจระเบิดหินใกล้โบราณสถาน ของดมี อี ยู่ รู้แล้วต้องรกั ษา
อยา่ เสือกปลอ่ ยทำลาย, กรุงเทพมหานคร : สำนกั พิมพ์มติชน, 2559.
.พระเจ้าตะเภาทอง สนุ ทรภจู่ ดนทิ าน ในนริ าศวดั เจา้ ฟา้ , กรุงเทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์มติชน,
2563.
ร่งุ โรจน์ ธรรมร่งุ เรือง, ทวารวดคี ืออะไรกนั แน่, กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พม์ ตชิ น, 2562.
ศรีศกั ร วลั ลิโภดม, สหพันธรัฐทวารวดี, กรุงเทพมหานคร : วารสารเมอื งโบราณ, 2558.
ชลธชิ า แถวบุญตา และธรี ะวฒั น์ แสนคำ, เมืองโคกไมเ้ ดน : เมอื งโบราณสมยั ทวารวดีในราบลมุ่ แม่นำ้
เจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์, วารสารมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเลย ปีท่ี
1 ฉบับที่ 3, 2562
อรพรรณ จนั ทรวงศไ์ พศาล, บกุ เมืองโบราณซบั จำปา เเหลง่ รวยอารยธรรมทวารวดี, กรงุ เทพมหานคร :
สำนักพิมพม์ ติชน, 2559.
สภุ ัค วงศ์ไวทยากูร, เมอื งโบราณ "ธานยปรุ ะ" (ดงแม่นางเมอื ง) สืบสาน รกั ษา ตอ่ ยอด ประวัตศิ าสตร์,
จงั หวดั นครสวรรค์ : กิจกรรมท่องเที่ยวภายในจังหวัดนครสวรรค์, 2564.
ออนไลน์
พจนานกุ รมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร, ทวารวดี, [ออนไลน์],
แหล่งที่มา : https://dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-. [1 กันยายน 2564]
วกิ ิพีเดยี สารานุกรมเสรี, ทวารวดี, [ออนไลน์],
แหลง่ ทมี่ า : https://th.wikipedia.org/wiki. [1 กนั ยายน 2564].
หนังสืออา่ นเพิม่ เตมิ E-Book เร่ือง “อาณาจักรโบราณยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง”
๓๐
.จันเสน, [ออนไลน์], แหลง่ ท่ีมา : https://th.wikipedia.org/wiki. [6 กันยายน 2564].
.อาณาจกั รละโว้, [ออนไลน์], แหล่งท่มี า : https://th.wikipedia.org/wiki. [12 กนั ยายน 2564].
.เมืองคบู วั , [ออนไลน์], แหลง่ ท่มี า : https://th.wikipedia.org/wiki. [12 กันยายน 2564].
Amazing Thailand, เมอื งเก่ากำแพงแสน, [ออนไลน์],
แหล่งที่มา : https://thai.tourismthailand.org/Attraction. [5 กันยายน 2564].
.เมอื งโบราณจนั เสน และพพิ ิธภณั ฑ์จันเสน. [ออนไลน์]
แหล่งที่มา : https://thai.tourismthailand.org/Attraction. [6 กันยายน 2564]
.บ้านคเู มอื ง, [ออนไลน์], แหล่งทมี่ า : https://www.museumthailand.com/th.
[6 กันยายน 2564].
.เมืองโบราณโคกไมเ้ ดน, [ออนไลน์], แหลง่ ทม่ี า : https://thai.tourismthailand.org/Attraction.
[12 กนั ยายน 2564].
.เมอื งบงึ โคกช้าง, [ออนไลน์], แหลง่ ที่มา : https://thai.tourismthailand.org/Attraction.
[15 กันยายน 2564].
สำนกั วัฒนธรรมจังหวัดอทุ ยั ธานี, เมืองโบราณบา้ นการ้งุ , [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา :
https://www.m-culture.go.th/uthaithani/ewt_news.php?nid=1083&filename=index.
[7 กนั ยายน 2564].
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชยั นาทมุนี ชัยนาท, อตู่ ะเภา เมอื งโบราณในวฒั นธรรมทวารวดี, [ออนไลน์],
แหลง่ ท่มี า : https://www.finearts.go.th/chainatmunimuseum/view. [7 กนั ยายน 2564].
MTHAI, เมอื งคบู วั มรดกศลิ ป์ ถน่ิ ทวารวดี, [ออนไลน์], แหล่งทีม่ า : https://travel.mthai.com/blog.
[12 กันยายน 2564].
เมืองโบราณอูท่ อง, เมืองโบราณอ่ทู อง, [ออนไลน์], แหลง่ ท่ีมา : http://www.suphan.biz/utongnews.htm.
[12 กันยายน 2564].
ศนู ย์พทุ ธศรทั ธา, ตำนานเมืองขดี ขิน-เมอื งโบราณใกลศ้ ูนยพ์ ทุ ธศรทั ธา, [ออนไลน์], แหลง่ ที่มา :
http://buddhasattha.com. [15 กันยายน 2564].
ประเพณีไทยดอทคอม, บ้านคเู มอื ง (เมืองขดี ขิน, ปรันตปะ, เสนาราชนคร), [ออนไลน์], แหลง่ ทม่ี า :
http://www.prapayneethai.com. [15 กันยายน 2564].
สำนักวิทยบรกิ ารและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั เทพสตร,ี เมอื งซบั จำปา, [ออนไลน์],
แหลง่ ทีม่ า : http://library.tru.ac.th/aritc-tru/index.php/inlocal/inlop-5/lptour-2/157-
lptusup.html. [15 กันยายน 2564].
Love Thailand, เมืองโบราณดงแมน่ างเมอื ง (ธานยปุรี), [ออนไลน์], แหล่งทม่ี า :
https://www.lovethailand.org/travel/th. [21 กนั ยายน 2564].
หนงั สอื อ่านเพมิ่ เติม E-Book เรื่อง “อาณาจกั รโบราณยคุ ทวารวดใี นภาคกลาง”