คำนำ
ตำรา หนังสือและเอกสารประกอบการเรียนการสอนถือเป็นสื่อพื้นฐานสำคัญสำหรับการศึกษาหาความรู้
เพราะนอกจากจะช่วยใหผ้ ู้เรยี นไดร้ ับความรูต้ ามหลักสตู รแลว้ ยงั ช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกิดแนวความคิดและทัศนคติที่กว้างไกล
สามารถนำไปประยุกตใ์ ชใ้ นการดำรงชวี ิตและการประกอบอาชพี ด้วย
บทเรียนมอดูลรายวิชา การคิดอย่างเป็นระบบ รหัส 30000-1602 ฉบับนี้ เรียบเรียงและจัดทำขึ้น เพื่อใช้
ประกอบการเรียนการสอน ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชา เกษตรกรรม โดยกำหนดเนื้อหา
สาระเป็น 8 หน่วยการเรียน ประกอบด้วย หน่วยที่ 1 หลักการและกระบวนการพื้นฐานในการคิดอย่างเป็นระบบ
หน่วยที่ 2 ประเภทและวัตถุประสงค์ของคำถามที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล หน่วยที่ 3 ขั้นตอนและแนวคิดของ
กระบวนการประเมินสถานการณ์ หน่วยที่ 4 การคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ หน่วยที่ 5 ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นโดยใช้
ทักษะกระบวนการกลุ่ม หน่วยที่ 6 การะบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ หน่วยที่ 7 กระบวนการสืบค้น หน่วยที่ 8
กระบวนการมสี ว่ นรว่ ม และการตัง้ คำถาม ทั้งน้ี โดยมุ่งหวังให้ผเู้ รยี นไดศ้ ึกษาและเกิดการเรยี นรู้ตามจุดประสงค์รายวิชา
และสมรรนะรายวิชาท่กี ำหนดไว้
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทเรียนมอดูลชุดนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้ความเข้ าใจในกระบวนการพัฒนา
ทกั ษะทางความคิด เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชวี ติ ประจำวนั ตามจุดมุ่งหมายของรายวิชาการคิดอย่างเป็น
ระบบ หากบทเรียนมอดลู ชุดนี้มีจุดบกพร่องหรือข้อผิดพลาดประการใด ผ้จู ัดทำยนิ ดรี ับฟังความคิดเห็นและพร้อมท่ีจะ
นำขอ้ มูลมาปรับปรุงบทเรยี นใหถ้ ูกตอ้ งสมบูรณใ์ นอนาคต เพ่อื ประโยชนส์ งู สดุ ท่ีจะเกิดข้ึนแกผ่ ู้เรียน
ธนะรชั ต์ ธนะทรัพยท์ อง
กันยายน 2564
สารบัญ
หนา้
คำนำ ก
สารบัญ ข
คำช้ีแจงในการใชม้ อดูลสำหรับผเู้ รียน 1
หลักการและเหตผุ ล 2
จุดประสงค์การเรียนรู้ 2
การประเมนิ ผลหลังเรียน 3
การสอนซ่อมเสริม 3
ขอบข่ายเนอื้ หา 3
แบบทดสอบก่อนเรยี น 4
เฉลยแบบทดสอบภาคความรู้กอ่ นเรยี น 7
ใบความรู้ “การคิดอย่างเปน็ ระบบ” 8
ใบกิจกรรม “นบั ดาว” 10
ใบความรู้ “กระบวนการคิด” 11
ใบกิจกรรม “เสรมิ สร้างการยืดหยนุ่ ของสมองเพ่ือสง่ เสรมิ การคดิ อยา่ งเป็นระบบ ชุดท่ี 1-4” 16
แบบทดสอบหลังเรียน 17
เฉลยแบบทดสอบภาคความรู้หลงั เรยี น 20
แบบฝึกหัดทา้ ยบท 21
แนวทางในการวัดผล และประเมินผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 22
ประวัติผสู้ อน 23
คำชีแ้ จงในการใช้มอดลู สำหรบั ผู้เรยี น
การใช้บทเรียนมอดุลให้เกิดประสิทธิภาพต่อการจัดกรรมการเรียนการสอนได้ประโยชน์อย่างสูงสุดผู้เรียน
ควรปฏบิ ัติ ดงั นี้
1. การเตรยี มตัวของผู้เรียน
1.1 ศึกษาบทเรียนมอดูลล่วงหน้าก่อนที่จะปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใ จ
เก่ยี วกบั จุดประสงค์ ขอ้ ควรปฏิบัติ
1.2 วางแผน และจัดเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการเรียนรู้ของตนเองให้พร้อมสำหรับการปฏิบัติ
กิจกรรมตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
2. ดำเนินการจดั กิจกรรมในแตล่ ะครั้ง ผ้เู รยี นควรปฏิบัติ ดงั นี้
2.1 ศึกษาแนวทางในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมให้มคี วามเข้าใจอยา่ งถ่องแท้ หากพบปัญหาหรอื ไม่เข้าใจให้
สอบถามข้อมูลเพ่ิมเตมิ จากครูผ้สู อน
2.2 ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมต่าง ๆ ตามลำดับข้ันตอนทีก่ ำหนด ดงั นี้
2.2.1 ผู้เรียนทำแบบทดสอบภาคความร้กู อ่ นเรยี น
2.2.2 ผู้เรียนศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ตามแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ตามลำดับข้ันตอนทีก่ ำหนด
2.2.3 ผู้เรียนส่งผลงานหรือช้ินงานในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม มีส่วนร่วมในการนำเสนอผลงานหรือ
อภิปรายความรู้
2.2.4 ผเู้ รยี นทำแบบทดสอบภาคความรหู้ ลังเรยี น
หลักการและเหตผุ ล
ความคดิ เป็นรากฐานกำหนดพฤติกรรมในทีส่ ดุ ส่งิ ท่ีเราคดิ (thinking) เปน็ ตัวกำหนดสง่ิ ท่ีเรารู้ (Knowing)
ความรทู้ ไี่ ดจ้ ากการคดิ กำหนดความเป็นตัวเรา หรืออตั ตา (being) เราคดิ อยา่ งไร เรารู้อะไร เราก็จะเปน็ เชน่ นั้น ตวั ตน
ของเรานำไปส่วู ถิ ชี ีวิต (living) และวิถชี ีวิตนำไปส่กู ารแสดงออก (manifesting) เปน็ พฤติกรรมต่างๆ อาทิ การเขียน
(writing) การพูด (speaking) การสอน (teaching) และการแสดงอากปั กิรยิ าตา่ งๆ (acting)
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
ดา้ นความรู้ (K)
1. บอกความหมายของการคิดได้
2. เขา้ ใจทฤษฎีระบบ
3. เขา้ ใจกระบวนการพนื้ ฐานในการคิดอย่างเป็นระบบ
ด้านทักษะกระบวนการ (P)
1. พูดสนทนาถา่ ยทอดความคดิ ได้
2. เขยี นอธิบายความคิดของตนเองได้
ดา้ นคุณลักษณะ (A)
1. ผู้เรียนรับผดิ ชอบตอ่ งานท่ีมอบหมาย
2. ผูเ้ รียนสง่ งานท่ีไดร้ ับมอบหมายตรงตามเวลาท่ีกำหนด
การประเมินผลหลงั เรียบ
ผู้เรยี นผา่ นเกณฑก์ ารประเมินผลผ่านเกณฑร์ ้อยละ 75 สามารถเรียนบทเรยี นมอดูลต่อไปได้ แต่ถ้าไม่ผ่าน
เกณฑ์การประเมินร้อยละ 75 ผ้เู รียนตอ้ งเรยี นซ่อมเสรมิ
การเรียนซ่อมเสริม
ถ้าผู้เรยี นไมผ่ า่ นเกณฑ์ทร่ี ะบุไว้ ให้ผเู้ รียนไดศ้ ึกษาตามจุดประสงค์ที่ไม่ผ่าน แลว้ ทำแบบทดสอบภาคความรู้
หลงั เรียนใหผ้ า่ นเกณฑ์ทก่ี ำหนดไว้
การเรยี นซ่อมเสริม ให้ผู้เรียนปฏบิ ตั ิดงั น้ี
1. ใชเ้ วลามากกวา่ เดิม
2. ใหเ้ พื่อนชว่ ยเหลอื
3. ครอู ธิบายเพม่ิ เตมิ
ขอบขา่ ยเน้อื หา
- หลกั การและกระบวนการพื้นฐานในการคิดอย่างเป็นระบบ
- การอภิปราย การสนทนาถามตอบเกย่ี วกบั การคดิ อย่างเป็นระบบ
แบบทดสอบกอ่ นเรียน
1. Systems Thinking หมายความว่าอะไร
ก. การวเิ คราะห์อยา่ งเป็นระบบ
ข. การเขา้ ใจอยา่ งเปน็ ระบบ
ค. การคิดอย่างเปน็ ระบบ
ง. การตัดสินใจอย่างเป็นระบบ
2. “ความคิด” เปน็ รากฐานกำหนดอะไรในตวั บคุ คล
ก. พฤตกิ รรม
ข. เชอื้ ชาติ
ค. สีผวิ
ง. สังคม
3. “ความรทู้ ไี่ ด้จากการคดิ กำหนดความเปน็ ตวั เรา” สามารถเรยี กอีกอย่างหนง่ึ ว่าอะไร
ก. วถิ ี
ข. อัตตา
ค. อุเบกขา
ง. มโน
4. ขอ้ ใดให้คำนิยามของ “ความคดิ ” ไดถ้ ูกตอ้ ง
ก. การทำให้ปรากฏเปน็ รปู
ข. ใครค่ รวญ ไตรต่ รอง คาดคะเน คำนวณ มงุ่ จงใจ ต้ังใจ และนึก
ค. การคิดช่วยให้ทำเป็น
ง. การดูเป็น ฟังเป็น กินเป็น ใช้เป็น
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
5. สมองแยกการทํางานเปน็ ก่ีสว่ น
ก. 1 สว่ น
ข. 2 ส่วน
ค. 3 ส่วน
ง. 4 ส่วน
6. สมองด้านซ้ายทำงานด้านใด
ก. ดา้ นตรรกะ ภาษา เหตุผล ตวั เลข
ข. ด้านศิลปะ จินตนาการ มิติ
ค. ด้านการพักผอ่ น
ง. ถูกทุกข้อ
7. ข้อใดไมใ่ ช่ส่วนประกอบของระบบ
ก. ปัจจยั นำเขา้
ข. ส่วนกระบวนการ
ค. กลไกควบคมุ
ง. การตดิ ตามผล
8. สว่ นประกอบของระบบส่วนใดสำคัญที่สดุ
ก. ปจั จยั นำเข้า
ข. สว่ นกระบวนการ
ค. กลไกควบคมุ
ง. ข้อมลู ปอ้ นกลบั
แบบทดสอบก่อนเรยี น
9. ชนิดของระบบใดที่มีความสมบูรณใ์ นตัวของมนั เอง
ก. ระบบพิเศษ
ข. ระบบเปดิ
ค. ระบบปิด
ง. ระบบ Module
10. การคิดเชิงระบบมีก่ีลักษณะ
ก. 1 ลักษณะ
ข. 2 ลกั ษณะ
ค. 3 ลักษณะ
ง. 4 ลกั ษณะ
เฉลยแบบทดสอบภาคความรู้ก่อนเรียน
ข้อที่ คำตอบ
1ค
2ก
3ข
4ข
5ข
6ก
7ง
8ก
9ค
10 ข
ใบความรู้
การคดิ อยา่ งเปน็ ระบบ Systems Thinking
“เราคดิ อย่างไร มนั จะมีอิทธิพลนำพาชวี ติ ของเราให้ไปเช่นน้นั
ถา้ จดุ เริม่ ความคดิ ถูกต้อง ยอ่ มนำพาชวี ิตไปในทศิ ท่ีถกู ต้อง
ถา้ จุดเริ่มความคิดผดิ พลาด อาจตกระกำลำบากตลอดชีวิต”
ก่อนเข้าเรื่องคิดอย่างเป็นระบบ ขอเริ่มต้นด้วยตัวอย่างสมมติที่ พบเห็นได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวันของคน 3
คน ตอบสนองสถานการณเ์ ดียวกันแตกต่างกัน
สถานการณ์ที่ 1 ทั้งสามคนขับรถอยูใ่ นเลนของตนเอง อยู่ดีๆ ก็มีรถแซงซ้ายมาปาดหน้า ทำให้ต้องเบรกอยา่ ง
กะทันหันจนรถที่ขับตามมาเกือบจะชนท้าย และรถคันนั้นก็วิ่งหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้าง
ความไมพ่ อใจกับทงั้ สามคน แต่เลือกตอบสนองแตกต่างกนั
คนท่หี น่งึ ด้วยความโกรธจดั คิดอยา่ งเดยี ววา่ ต้องเอาคืน จงึ เรง่ ขับตามไปอยา่ งรวดเรว็ ในทสี่ ุดตามทัน และเกิด
การทะเลาะววิ าทกันจนบาดเจบ็ ดว้ ยกันทงั้ สองฝา่ ย
คนทสี่ อง แม้ไม่พอใจแต่เลอื กที่จะขบั ต่อไป เพราะมีเป้าหมายทีส่ ำคญั กว่ารออยู่ และคดิ วา่ ไมค่ มุ้ ที่จะมเี รอ่ื งกัน
คนที่สาม พิจารณาด้วยเหตุผล เห็นว่า การขับรถเช่นนี้อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุและเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้
ถนนคนอ่ืนๆ จงึ โทรแจง้ ตำรวจบอกเลขทะเบียนรถและเหตกุ ารณ์ทีเ่ กิดขนึ้ เพื่อให้สกดั จับและตักเตอื นมใิ ห้ทำเช่นน้ีอกี
สถานการณ์ที่ 2 ทั้งสามคนทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมักจะมีการยื่นข้อเสนอจากบริษัทห้าง
ร้านตา่ งๆ ว่าถา้ ชว่ ยแนะนำสนิ ค้าให้จะแบ่งค่าคอมมชิ ชั่นใหม้ ากกว่าท่ีอื่น ท้ังสามคนตอบสนองแตกตา่ งกัน
คนท่ีหน่ึง ตอ่ รองค่าคอมมิชช่นั ให้มากกว่าท่เี สนอ เพราะอยากไดเ้ งินเยอะขึ้นจะได้เอาไปเปล่ียนรถคันใหม่และ
พาครอบครวั ไปเที่ยว
คนที่สอง ตอบปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าจะซื้อจากที่เดิม เพราะรู้จักกันเป็นส่วนตัว ไม่อยากผิดใจกัน (ได้
คอมมิชช่ันอยู่แล้ว)
คนที่สาม ตอบปฏิเสธไม่รับคอมมิชชั่น และบอกว่าให้ยื่นเสนอราคามาตามระบบ ถ้ามีส่วนลดก็ให้บอก
รายละเอียดมา องคก์ รจะไดซ้ ้ือของในราคาถูกลง และบอกวา่ ตนเปน็ คนซ่ือสตั ยต์ รงไปตรงมาและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
สถานการณ์ที่ 3 ทั้งสามคนทำงานได้เงินเดือนเท่ากัน รับผิดชอบครอบครัวเหมือนๆ กัน แต่ปรากฏว่า
หน่วยงานที่ทำอยู่ประสบวิกฤต ทำให้ถูกปลดออกจากงานกลายเป็นคนว่างงานในวัยกลางคน ทั้งสามคนเผชิญปัญหา
เหมือนกัน ไมม่ ีงาน ไมม่ ีรายได้ มีแตร่ ายจา่ ยทต่ี อ้ งใช้ประจำวนั แตท่ ง้ั สามคนตอบสนองตอ่ ปญั หาต่างกนั
คนที่หนึ่ง รีบไปหางานใหม่ แต่สมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ จึงเริ่มเครียด ดื่มเหล้า หมดกำลังใจในการสู้ชีวิต
กลายเป็นโรคซึมเศร้าในทสี่ ดุ
คนที่สอง ไปขอความช่วยเหลือจากญาติและเพื่อนๆ ที่เคยติดหนี้บุญคุณกันให้ฝากงานให้ แต่เมื่อไม่สามารถ
ช่วยได้ ก็โกรธและรู้สึกว่าถูกทรยศจากคนรอบข้าง จึงหาทางสู้ด้วยตนเองอย่างยากลำบาก เพราะตัดญาติขาดมิตรไป
หมดแล้ว
คนที่สาม ใช้เวลาคิดถึงอนาคต หากต้องการริเริ่มธุรกิจเล็กๆ ของตนเองจะต้อง ทำอย่างไรบ้าง ศึกษาความ
เป็นไปได้ พิจารณาความพร้อม วางแผนและประเมินทางเลือกต่างๆ อย่างรอบคอบ โดยขอคำปรึกษาจากคนรอบข้าง
เมื่อมั่นใจแล้วจึงเริ่มดำเนินการ เรียนรู้ข้อผิดพลาดและปรับปรุงไปเรื่อยๆ ด้วยความอดทน ไม่ย่อท้อ จนประสบ
ความสำเรจ็ ในทสี่ ดุ
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าทั้งสามคนตอบสนองต่อสถานการณ์ เดียวกัน ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ตามกรอบ
ความคิดหรือข้อสมมติเบื้องหลังที่แตกต่างกัน ทำให้คนเลือกตัดสินใจกระทำแตกต่างกัน ซึ่งส่งผล ให้ผลลัพธ์ที่ตามมา
แตกต่างกัน
คนที่หนึง่ เลอื กวธิ ที ่ีผดิ ตอบสนองตามอารมณแ์ ละความต้องการของตน โดยไม่คิดถงึ ความถูกผิดและผลร้ายที่
ตามมา
คนที่สอง เลือกโดยเอาประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง และคิดถึงผลที่ตนจะได้รับตามมา แต่ไม่ได้คำนึงถึงความ
ถกู ต้องเหมาะสม
คนที่สาม เลือกโดยคำนึงถึงผลดที จ่ี ะเกดิ ขึ้นสงู สดุ ทัง้ ต่อ ตนเองและผ้อู น่ื มีจุดยืนทางคณุ ธรรม มคี วามเข้มแข็ง
ในจติ ใจ เลอื กทำในสิง่ ทถ่ี กู ต้อง มีเหตมุ ีผลและมีความคดิ แง่บวก
คงไม่ต้องตอบว่า ใครจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและประสบ ความสำเร็จมากกว่ากัน ความคิดกำหนดความ
เป็นตัวเรา กำหนดการกระทำ และกำหนดผลลัพธ์ของสิ่งที่จะตามมา เราคิดอย่างไร มันจะมีอิทธิพลนำพาชีวิตของเรา
ให้ไปเชน่ น้นั
ความคิดเป็นรากฐานกำหนดพฤติกรรมในที่สุด สิ่งที่เราคิด (thinking) เป็นตัวกำหนดสิ่งที่เรารู้ (Knowing)
ความรู้ทีไ่ ดจ้ ากการคิดกำหนดความเปน็ ตัวเรา หรอื อัตตา (being) เราคิดอยา่ งไร เรารอู้ ะไร เรากจ็ ะเปน็ เชน่ นัน้ ตัวตน
ของเรานำไปสู่วิถีชีวิต (living) และวิถีชีวิตนำไปสู่การแสดงออก (manifesting) เป็นพฤติกรรมต่างๆ อาทิ การเขียน
(writing) การพดู (speaking) การสอน (teaching) และการแสดงอากัปกิริยาต่างๆ (acting)
“ปรัชญาความคิดของคนๆ หนึ่ง เป็นตัวกําหนดค่านิยมของบุคคลนั้น ค่านิยมดังกล่าวส่งผลให้บุคคลนั้นแสดง
พฤตกิ รรมออกมาภายนอก ซง่ึ พฤติกรรมดงั กล่าวมผี ลต่อการกำหนดความร้สู ึกของเขาด้วย”
ใบกจิ กรรม “นับดาว”
ให้ผู้เรียนนับจำนวนของดาวจากภาพที่กำหนดให้ โดยให้เริ่มนับจำนวนดาวจากภาพทางด้านซ้ายก่อนว่าได้
จำนวนดาวทงั้ หมดกีด่ วง หลงั จากน้นั จงึ ทำการนบั จำนวนดาวจากภาพทางดา้ นขวาวา่ ได้จำนวนดาวทง้ั หมดก่ดี วง
หลังจากที่ผ้เู รยี นได้ทำการนับจำนวนดาวจากภาพท้งั 2 เสร็จเรยี บร้อยแลว้ ให้ผเู้ รยี นวเิ คราะห์ว่าภาพใดนับ
จำนวนดาวไดง้ า่ ยกว่า เพราะสาเหตุใด
ใบความรู้
กระบวนการคิด THINKING PROCESS
การคิดพระธรรมปิฎก (ประยุกต์ ปยุตโต) กล่าวว่า “การรู้จักคิดหรือคิดเป็น เป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งของ
การ ดำเนนิ ชวี ติ ที่ถกู ต้อง การคดิ เปน็ ช่วยให้ทำเปน็ แกป้ ัญหาเป็น ดู เป็น ฟังเปน็ กินเปน็ ใชเ้ ป็น บรโิ ภคเป็น คบหา
แสวงหาเป็น การคิดก่อให้เกิดการกระทำทั้งกายและวาจา คิดดีก็ทำดีและพูดดีด้วย ” พจนานุกรมฉบับ
ราชบณั ฑิตยสถาน เขยี นไวว้ า่
• “คดิ ” แปลวา่ ทำให้ปรากฏเปน็ รปู หรอื เป็นเรอ่ื งขึน้ ในหวั ใจ
• “คิด” แปลว่า ใครค่ รวญ ไตรต่ รอง คาดคะเน คำนวณ มุ่งจงใจ ตง้ั ใจ และนกึ
การคิดคืออะไร
การคิดเป็นกระบวนการทำงานของสมอง โดยใช้ประสบการณ์ มาสัมพันธ์กับสิ่งเรา้ และข้อมูลหรอื สิ่งแวดล้อม
เพื่อแก้ปัญหา แสวงหาคําตอบ ตัดสินใจ หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ การคิดเป็นพฤติกรรมที่เกิดในสมอง เป็นนามธรรม ไม่
สามารถมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปล่าการท่จี ะรูว้ า่ มนุษย์คิดอะไร อย่างไร จะต้องสงั เกตจากพฤติกรรมที่แสดงออกหรือคำพูด
ทพี่ ดู ออกมา
เร่ืองนา่ รู้ของสมอง
90% ของความรู้ด้านสมองทั้งหมดเพ่งิ เกิดข้นึ เมื่อไม่ถึง 20 ปที ่ผี า่ นมา ซึ่งถ้าเทียบกับ 5,000 ปีของอารยธรรม
ของมนุษย์ หรือยิ่งถ้าเทียบกับ 3,500,000 ปีของวิวัฒนาการของมนุษย์ ถือว่าพัฒนาไปช้ามาก มนุษย์เพิ่งรู้จักตำแหน่ง
ของสมองเมื่อประมาณ 500 ปีที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านั้นมนุษย์คิดว่า “หัวใจ” คือ “สมอง” โดยเฉลี่ยแล้ว มนุษย์ใช้
สมองได้เพียง 3% ของศักยภาพของ สมองทั้งหมดเท่านั้น สมองประกอบด้วยเซลล์สมอง (Neuron) ประมาณ 1 ล้าน
ล้าน เชลล์ นิวรอนแต่ละเซลลส์ ามารถทำปฏิกิริยา (เคมี) ได้อีก 100,000 เซลล์ในหลากหลายวิธี สมองแยกการทํางาน
เป็น 2 ส่วน คือ ซ้ายและขวา ด้านซ้ายทำงานด้านตรรกะ ภาษา เหตุผล ตัวเลข ระบบ ฯลฯ ส่วนด้านขวาทํางานด้าน
ศลิ ปะ จินตนาการ มิติ ฯลฯ
สมองคิดวเิ คราะห์ได้อย่างไร
การทาํ งานของสมองซ้าย และ ขวา
• ภาษา คำ ตัวเลข เหตุผล การพดู รายการ ลำดบั วทิ ยาศาสตร์ วิเคราะห์ คมุ มือขวา
• สญั ชาติญาณ สามมิติ ศลิ ปะ สี ภาพ รวม จนิ ตนาการ ดนตรี คุมมอื ซ้าย
สมองซกี ซ้ายจะควบคุมดูแลพฤติกรรมของมนุษย์ในเรื่องต่างๆ อยา่ ง เป็นขน้ั เป็นตอน เชน่ การคิดในทางเดียว
(คิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การคิดวิเคราะห์ (แยกแยะ) การใช้ตรรกศาสตร์และการใชเหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ การใช้ภาษา
รวมทั้งการอา่ นและการเขยี น
สรุปได้ว่าสมองซีกซ้ายจะควบคุมดูแลพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ เหตุผล การคิดวิเคราะห์ ซ่ึง
เป็นลักษณะการทำงานในสายของวิชาทางวิทยาศาสตร์ เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้สมองซีกซ้ายยังเป็นตัวควบคุมการ
ทำงาน การฟัง การเห็น และการสมั ผสั ต่างๆ ของรา่ งกายทางซกี ขวา
สมองซกี ขวาจะควบคมุ ดูแลพฤติกรรมของมนษุ ย์ในเรื่องตา่ งๆ เช่น การคดิ สรา้ งสรรค์
การคิดแบบเสน้ ขนาน (คดิ หลายเร่ือง แตล่ ะเร่ืองจะไมเ่ ก่ียวข้องกัน) การคดิ สังเคราะห์ (สร้างส่งิ ใหม่) การเห็นเชิงมิติ
(กวา้ ง ยาว ลึก) การเคล่ือนไหวของร่างกาย ความรัก ความเมตตา รวมถงึ สญั ชาตญาณ และลาง สงั หรณต์ ่างๆ
สรุปได้ว่าสมองซีกขวาจะควบคุมดูแลพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกี่ยวกับความคิด สร้างสรรค์ จริยธรรม อารมณ์
ซึ่งเป็นลักษณะการทำงานในสายของวิชาการทางศิลป ศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ และยังเป็นตัวควบคุมการทำงานของ
รา่ งกายทางซกี ซ้ายดว้ ย
ทฤษฎีระบบ (System Theory)
จัดเป็นสาขาวิชาเกิดขึน้ ช่วงปลายทศวรรษท่ี 20 ทฤษฎรี ะบบเปน็ สาขาวชิ าท่พี ฒั นาขึ้นโดยอาศัยแนวความคิด
หลายสาขา วิชามาประยุกต์ผสมผสานสร้างเป็นทฤษฎีระบบขึ้นมา โดยมีแนวคิดของทฤษฎีระบบ (System Theory)
ทีว่ า่ “ส่ิงท้ังหลายที่อยู่ในเอกภพ หรือจกั รวาลไมว่ า่ จะเล็กหรอื ใหญ่ ล้วนเปน็ สว่ นหนึ่งของหนว่ ยระบบทั้งสิน้ ”
ระบบ หมายถึง ส่วนประกอบต่างๆ ซึ่งประกอบกันขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียว มีความสัมพันธ์กันในทางหนึ่งทางใด
รวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน กระทำการเพื่อความสำเร็จตามที่ต้องการ และการเคลื่อนไหวในส่วนหนึ่งจะมีปฏิกิริยากระทบต่อ
สว่ นอ่นื ๆ ด้วย
หลักการพน้ื ฐานในการคดิ อย่างเปน็ ระบบ คือ
“การคดิ เร่ืองใดๆ อยา่ งมีระบบระเบียบ มีการเชือ่ มโยงเป็นเหตเุ ปน็ ผล
ตอ่ เน่ืองเปน็ ข้ันเปน็ ตอน ครบถว้ นทัง้ กระบวนการ จนมองเหน็ ภาพรวมของเรอ่ื งทงั้ หมดได้
และสามารถตัดสนิ ใจเลอื กคำตอบที่ดีท่สี ดุ ในสภาวะต่างๆ ได้”
โดยควรพยายามวิเคราะห์ว่า เรา ควรพัฒนาทักษะการคิดอย่างเป็นระบบอย่างไรบ้าง ทั้งในส่วนกระบวน
ความคิดของสมองที่ควรคิดอย่างเป็นระบบระเบียบ ร้อยเรียงเป็นขั้นเป็นตอน และในส่วนของการมองภาพรวมของ
ประเด็นท่ตี อ้ งการหาคำตอบทีด่ ีท่สี ุด ซ่งึ ต้องมองอยา่ งองคร์ วมใหเ้ ห็นครบท้ังระบบ เพือ่ ตัดสินใจเลือกทางที่ถูกต้อง
เหมาะสมทส่ี ุด และเกิดประโยชนส์ ูงสุดทง้ั ในระยะสั้นและระยะยาว จนได้ข้อสรปุ
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงใดที่เกิดขึ้นในส่วนหนึ่งของระบบ ย่อยมีผลกระทบต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่ หรืออาจ
กล่าวอกี อยา่ งหน่งึ ว่า ระบบคือกลมุ่ ของสว่ นที่มีความสมั พนั ธร์ ะหว่างกนั
กิจกรรมในรูปของระบบจึงหมายความว่า กิจกรรมหนึ่งๆ อาจเป็นผลมาจาก กิจกรรมย่อยๆ หลายๆ กิจกรรม
รวมกันก็ได้ ซึ่งในระหว่างกจิ กรรมเหลา่ นั้นการกระทำส่วนหนึ่งของ กิจกรรมหนึ่ง ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับสว่ นอื่นๆ หรือ
กจิ กรรมอ่ืนๆ
คุณลกั ษณะของระบบ
ส่วนต่างๆ ของระบบจะอยู่ในสถานะที่เคลื่อนไหวได้ โดยเหตุที่สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่
ตามธรรมชาติหรือที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ละสิ่งต่างก็มีคุณสมบัติและกำลังความสามารถของมัน การเคลื่อนไหวหรือ
แสดงออกของส่วนต่างๆ จะมีปฏิกิริยากระทบต่อกันเสมอ เมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีลักษณะรวมตัวอยู่ด้วยกัน
การเคล่อื นไหวหรือการแสดงออกของแต่ละสว่ น จึงยอ่ มก่อให้เกิดปฏกิ ิริยากระทบและตอบโต้ซงึ่ กนั และกัน
ในระบบหนึ่งๆ จะประกอบด้วยระบบย่อยต่างๆ (sub-systems) และภายในระบบย่อยก็อาจประกอบด้วย
ระบบย่อยลงไปอีกได้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ณ ส่วนใดส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบ ย่อมทำให้มีผลกระทบที่
ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ (chain of effects) และจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรงุ ส่วนอื่นของระบบด้วยความสมดุล
จึงเกิดขึ้นได้ หรือในทำนองเดียวกันอาจกล่าวได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของระบบย่อยอันใดอันหนึ่ง ย่อมสามารถทำให้
กระทบกระเทือนถงึ ระบบทใ่ี หญ่กวา่ ได้ดว้ ยเชน่ กนั
ยกตัวอย่างเช่น ครอบครวั ของเรา เป็นระบบทปี่ ระกอบไปดว้ ย ครอบครวั ฝ่ายพ่อ ครอบครัวฝ่ายแม่ ซึ่งแต่และ
ฝ่ายก็จะมีส่วนประกอบย่อยๆ ลงไปเช่น ลุง ป้า น้า อา และแต่ละส่วนประกอบย่อยก็จะมีส่วนประกอบย่อยใน
ครอบครัวของตัวเองลงไปอีก เป็นต้น
ในกรณีขององค์กรธุรกิจจะได้เห็นว่า องค์กรธุรกิจเปรียบเสมือนเป็นระบบหนึ่งซึ่งเป็นระบบที่ทำหน้าที่แปร
สภาพ (transformation system) เริ่มต้นด้วยการนำเอาทรัพยากรต่างๆ เช่น ตัวบุคคล วัตถุดิบ เงินทุน และความรู้
รวมทั้งข่าวสารข้อมูลทีเ่ กี่ยวข้องเขา้ สู่องค์กรในลักษณะของที่นำเข้าสู่ระบบ (inputs) จากนั้นองค์กร จะทำหน้าที่แปร
สภาพสิง่ ท่ีนำเข้าเหล่าน้ีให้ออกผลมาในรปู ของส่ิงต่างๆ ท่สี ่งออก (outputs) ไปสนู่ อกระบบขององค์กรในรูปของสินค้า
บริการ และผลตอบแทนในรูปต่างๆ ทั้งที่เป็นตัวเงิน และความพอใจที่จะให้แก่สมาชิกผู้มีส่วนร่วม ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไป
ตามวัตถปุ ระสงค์ของการรวมกนั เข้าดังกลา่ ว
ภายในระบบขององค์กรธรุ กจิ น้ีเองกจ็ ะประกอบด้วยระบบย่อยต่างๆ ซึง่ ต่างฝ่ายต่างก็จะต้องทำหน้าท่ีช่วยแปร
สภาพทรัพยากร จนกระทั่งเป็นสินค้าสำเร็จรูปและบริการต่างๆ ระบบย่อยเหล่านี้ก็คือระบบการผลิต ระบบการเงิน
ระบบการตลาด และอน่ื ๆ เช่น ระบบการบริหารงานบคุ คล ระบบการค้นคว้าวจิ ัยและพัฒนา เปน็ ต้น ระบบย่อยเหลา่ น้ี
ต่างก็ดำเนินการนำเอาทรัพยากรมาก่อให้เกิดประโยชน์ตามคุณสมบตั ิของมันในหน้าทีง่ านต่างๆ ของตน เพื่อให้สำเร็จ
ผลตามวตั ถุประสงค์
กระบวนการพ้นื ฐานในการคิดอย่างเปน็ ระบบ
กระบวนการพื้นฐานในการคิดอย่างเป็นระบบ คือ “การคิดที่มีความเข้าใจ เชื่อมโยง ส่วนประกอบต่างๆ
ของระบบ และมีความเชื่อในทฤษฎีระบบเปน็ พ้ืนฐานในสมอง” คนปกติมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบบในสรรพสิง่ ที่อยู่
ในในโลกที่สอดคล้องกับทฤษฎีระบบอยู่แล้ว เพียงแต่ความสามารถในการทำได้ดีในระดับความเข้มข้นของระบบ
แตกต่างกัน แนวคิดลกั ษณะนเี้ ปน็ ไปตามแนวคดิ ของทฤษฎรี ะบบ (System Theory) ทว่ี า่ “สง่ิ ทงั้ หลายทอ่ี ยใู่ นเอกภพ
หรือจักรวาลไม่วา่ จะเลก็ หรอื ใหญ่ ลว้ นเป็นส่วนหน่งึ ของหน่วยระบบท้งั สน้ิ ”
ส่วนประกอบของระบบ
1. ปจั จยั นำเข้า (Inputs)
2. ส่วนกระบวนการ (Processes)
3. ส่วนผลผลติ (Outputs)
4. กลไกควบคุม (Control Mechanism)
5. ข้อมลู ปอ้ นกลบั (Feedbacks)
กลไกควบคมุ
INPUT กระบวนการ OUTPUT
ข้อมูลปอ้ นกลับเพ่อื ปรบั ปรงุ แกไ้ ข
ภาพองคป์ ระกอบของระบบที่สมบูรณ์
1. ปจั จยั นำเขา้ ตัวปอ้ น (Inputs) คอื องคป์ ระกอบตา่ งๆ ของระบบนั้น หรืออกี นยั หนงึ่ ก็คอื สง่ิ ต่าง ๆ ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
กับระบบนั้น องค์ประกอบต่างๆ ของระบบใดระบบหนึง่ จะมีจำนวนหนึ่งจะมีจานวนและความ สำคัญมากน้อยเพียงใด
มักขนึ้ อยู่กบั ความรู้ ความคดิ และประสบการณข์ องผูจ้ ัดระบบ
2. ส่วนกระบวนการประมวลผล (Processes) การจัดความสัมพันธ์ของ องค์ประกอบต่างๆ ของระบบให้มี
ลักษณะที่เอื้ออานวยต่อการบรรลุ เป้าหมาย ระบบใดระบบหนึ่งอาจมีองค์ประกอบเหมือนกัน แต่อาจมีลักษณะของ
การจัดความสัมพนั ธแ์ ตกตา่ งกนั ได้ แล้วแตค่ วามคิด ความรู้ และประสบการณข์ องผจู้ ัดระบบ
3. ผลผลิต (Outputs) คือ ผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการดาเนินงาน หากผลที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเป้าหมายที่กา
หนดไว้ แสดงว่าระบบนั้นมีประสิทธิภาพ หากผลที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่คาดหวังแสดงว่าระบบนั้นยังมีจุดบกพร่อง
ควรท่ีจะพิจารณาแก้ไขปรบั ปรงุ กระบวนการหรือตัวปอ้ นซ่ึงเป็นเหตุให้ เกดิ ผลนัน้
4. กลไกลควบคุม (Control Mechanism) คือ กลไกหรือวิธกี ารทใ่ี ช้ในการควบคุมหรือตรวจสอบ กระบวนการ
ใหเ้ ปน็ ไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ
5. ขอ้ มลู ป้อนกลบั (Feedbacks) คือ ขอ้ มลู ท่ไี ดจ้ ากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหวา่ งผลผลิตกับจดุ มุ่งหมาย
ซง่ึ จะเปน็ ข้อมูลป้อนกลบั ไปสู่การปรับปรงุ กระบวนการและตัวป้อน ซ่ึงสัมพนั ธ์กับผลผลิต ตวั ป้อน และเปา้ หมาย
ชนิดของระบบ
• ระบบปดิ (Close System) หมายถึง ระบบทมี่ คี วามสมบูรณ์ในตวั ของมนั เอง ไม่มคี วามสมั พนั ธห์ รือเกีย่ วข้อง
กับระบบภายนอกหรือสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบการทดลองในห้องปฏิบัติการ ระบบใน
โรงงานอตุ สาหกรรม
• ระบบเปิด (Open System) หมายถึง ระบบที่ต้องอาศัยการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคล องค์กรหรือหน่วยงาน
อื่นๆ ในลักษณะเป็นการแลกเปลี่ยน ผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นมีความสมดุล รวมท้ัง
สภาวการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงไปก็มีผลหรืออิทธิพลต่อการทำงานต่อการทำงานขององค์กรเช่นกัน เป็นระบบที่มีการ
แลกเปลี่ยนข้อมลู กบั สง่ิ แวดลอ้ มภายนอกตลอดเวลา ผ่านขอบเขตที่กั้นหรอื หอ่ หุ้มระบบนน้ั ไว้
ลกั ษณะของการคิดเชงิ ระบบมี 2 ลักษณะ
ลักษณะของความคิดเป็นพฤติกรรมทางสมองของมนุษย์ที่กระทำกับวัตถุทางความคิด (Object of Thinking)
ซง่ึ อยใู่ นสมองขณะทำการคดิ สิ่งเหล่านี้อาจจะ สะท้อนมาจากโลกของความจริง หรือ สร้างจนิ ตนาการเองโดยยังไม่มีสิ่ง
นนั้ ในโลกความจริงเลยกไ็ ด้
• การคดิ เชงิ ระบบโดยออ้ ม คอื การคิดเชงิ ระบบโดยอาศัยพน้ื ฐานแห่ง การคดิ เชน่ การวิเคราะห์ การอุปมาอุป
มยั การคดิ สังเคราะห์ การคดิ สร้างสรรค์ การประเมนิ คา่ ฯลฯ
• การคดิ เชงิ ระบบโดยทางตรง คือ การคดิ ที่มุ่งกระทำโดยตรงมี เป้าหมายกับสง่ิ ใดสิ่งหน่งึ ไม่จำแนกรปู แบบการ
คดิ ตามพ้ืนฐานของมนุษย์ แต่แยกรูปแบบการคิดโดยมุ่งที่เป้าหมาย หรอื วตั ถุประสงค์
ใบกิจกรรม “เสริมสรา้ งการยืดหย่นุ ของสมองเพอื่ สง่ เสรมิ การคดิ อย่างเปน็ ระบบ”
ชดุ ที่ 1 ชุดคำดา้ นล่างเรียงลำดบั ตามหลักเกณฑ์ใดหลักเกณฑห์ นงึ่ ให้เติมคำลงในช่องว่าง
ตวั อยา่ ง หนง่ึ สอง สาม ส่ี ...... หก เจ็ด แปด เกา้ สิบ
คำตอบ เปน็ การเรยี งลำดับคำแสดงจำนวน ดงั น้ันคำทีต่ ้องเติมใน ก็คือ “หา้
1. ใหญ่ .......... เล็ก
2. จักรยานยนต์ รถตุ๊กๆ .......... รถบรรทกุ
3. จนั ทร์ องั คาร พุธ .......... ศกุ ร์ เสาร์ อาทติ ย์
4. พุธ ศุกร์ ………. องั คาร พฤหสั บดี เสาร์
5. หน่วย สบิ รอ้ ย ………. หมน่ื
6. โป้ง ช้ี กลาง .......... ก้อย
7. ยีส่ บิ ห้าสบิ หน่ึงรอ้ ย .......... หน่งึ พัน
8. เมษายน .......... กันยายน พฤศจิกายน
ใบกิจกรรม “เสริมสรา้ งการยืดหย่นุ ของสมองเพื่อส่งเสรมิ การคดิ อยา่ งเปน็ ระบบ”
ชุดท่ี 2 จำนวนดา้ นล่างเรยี งลำดับตามหลักเกณฑใ์ ดหลักเกณฑห์ น่งึ ใหเ้ ติมคำลงในชอ่ งว่าง
ตัวอยา่ ง 2 4 6 8 10 ..... 14 18 16
คำตอบ เป็นการเรยี งลำดับจำนวนโดยเพิ่มทีละ 2 ดังนั้นจำนวนทต่ี ้องเติมใน ก็คือ “12”
(1) 1 4 7 10 ………. 16 19 22 25 28
(2) 1 2 4 8 16 32 ………. 128 256 512
(3) 100 93 86 79 72 65 ………. 51 44 37
(4) 1 3 7 15 31 ………. 127 255 511 1023
(5) 1 2 4 7 11 16 22 ………. 37 46
ใบกจิ กรรม “เสรมิ สร้างการยดื หยนุ่ ของสมองเพ่ือสง่ เสรมิ การคดิ อยา่ งเป็นระบบ”
ชดุ ท่ี 3 อา่ นข้อมูลตอ่ ไปนี้แล้วเรยี งลำดับความสงู ของทุกคน จากมากไปหาน้อย
เคนสงู กว่าโย
แซมเต้ียกว่ามิน
เอมสงู กว่าเคน
โยสูงกว่ามิน
ใบกจิ กรรม “เสรมิ สรา้ งการยืดหย่นุ ของสมองเพอื่ สง่ เสรมิ การคดิ อยา่ งเป็นระบบ”
ชุดที่ 4 อ่านข้อมลู ตอ่ ไปนแ้ี ล้วเรยี งลำดับความสงู ของทุกคน จากมากไปหานอ้ ย
ฮมิ สงู กวา่ คงิ 3 ซม.
ออยสูงกว่าเทม 5 ซม.
คิงสูงกวา่ โรส 4 ซม.
เทมเตย้ี กว่าคงิ 3 ซม.
แบบทดสอบหลงั เรยี น
1. Systems Thinking หมายความว่าอะไร
ก. การวเิ คราะห์อยา่ งเป็นระบบ
ข. การเขา้ ใจอยา่ งเปน็ ระบบ
ค. การคิดอย่างเปน็ ระบบ
ง. การตดั สินใจอย่างเป็นระบบ
2. “ความคิด” เปน็ รากฐานกำหนดอะไรในตวั บคุ คล
ก. พฤตกิ รรม
ข. เชอื้ ชาติ
ค. สีผวิ
ง. สังคม
3. “ความรทู้ ไี่ ด้จากการคดิ กำหนดความเปน็ ตวั เรา” สามารถเรยี กอีกอย่างหน่ึงว่าอะไร
ก. วถิ ี
ข. อัตตา
ค. อุเบกขา
ง. มโน
4. ขอ้ ใดให้คำนิยามของ “ความคดิ ” ไดถ้ ูกตอ้ ง
ก. การทำให้ปรากฏเปน็ รปู
ข. ใครค่ รวญ ไตรต่ รอง คาดคะเน คำนวณ มงุ่ จงใจ ตง้ั ใจ และนกึ
ค. การคิดช่วยให้ทำเป็น
ง. การดเู ป็น ฟังเป็น กินเป็น ใช้เป็น
แบบทดสอบหลงั เรยี น
5. สมองแยกการทํางานเปน็ ก่ีสว่ น
ก. 1 สว่ น
ข. 2 ส่วน
ค. 3 ส่วน
ง. 4 ส่วน
6. สมองด้านซ้ายทำงานด้านใด
ก. ดา้ นตรรกะ ภาษา เหตุผล ตวั เลข
ข. ด้านศิลปะ จินตนาการ มิติ
ค. ด้านการพักผอ่ น
ง. ถูกทุกข้อ
7. ข้อใดไมใ่ ช่ส่วนประกอบของระบบ
ก. ปัจจยั นำเขา้
ข. ส่วนกระบวนการ
ค. กลไกควบคมุ
ง. การตดิ ตามผล
8. สว่ นประกอบของระบบส่วนใดสำคัญที่สดุ
ก. ปจั จยั นำเข้า
ข. สว่ นกระบวนการ
ค. กลไกควบคมุ
ง. ข้อมลู ปอ้ นกลบั
แบบทดสอบหลงั เรยี น
9. ชนิดของระบบใดที่มีความสมบูรณใ์ นตัวของมนั เอง
ก. ระบบพิเศษ
ข. ระบบเปดิ
ค. ระบบปิด
ง. ระบบ Module
10. การคิดเชิงระบบมีก่ีลักษณะ
ก. 1 ลักษณะ
ข. 2 ลกั ษณะ
ค. 3 ลักษณะ
ง. 4 ลกั ษณะ
เฉลยแบบทดสอบภาคความรู้หลังเรียน
ข้อที่ คำตอบ
1ค
2ก
3ข
4ข
5ข
6ก
7ง
8ก
9ค
10 ข
แบบฝึกหดั ท้ายบท
คำส่ัง ใหผ้ ูเ้ รยี นตอบคำถามต่อไปนี้มาโดยละเอียด
1. จงใหค้ วามหมายของคำวา่ "การคิด"
2. จงอธิบายการทำงานของสมองซีกซา้ ยและสมองซกี ขวา
3. จงอธิบายหลกั การพ้ืนฐานในการคดิ อยา่ งเป็นระบบ
4. จงอธบิ ายกระบวนการพน้ื ฐานในการคดิ อยา่ งเป็นระบบ
5. จงอธิบายส่วนประกอบตา่ งๆ ของระบบ
แนวทางในการวดั ผล และประเมินผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
การจดั กิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาการคิดอยา่ งเปน็ ระบบ ระดับช้นั ปวส. 2 ไดก้ ำหนดกรอบ การวดั และ
ประเมินผลผเู้ รยี น 3 ด้าน ดงั นี้
รายการประเมนิ วธิ กี ารวดั เครือ่ งมือวัด เกณฑ์การประเมิน
ด้านความรู้ (K) 1. การทดสอบ 1.แบบทดสอบภาคความรู้ ผเู้ รียนได้คา่ แนนร้อยละ 75
2. การตรวจแบบฝึกหัด
2. แบบฝึกหดั ขน้ึ ไป ถือว่า “ผา่ น” เกณฑ์
การประเมนิ
การประเมนิ ด้าน 1. การประเมินความคิด 1. แบบประเมินความคดิ ผเู้ รยี นได้ค่าแนนร้อยละ 75
ทักษะ กระบวนการ (P) 2. การประเมนิ การพูด 2. แบบประเมินการพูด ข้ึนไป ถือว่า “ผ่าน” เกณฑ์
การประเมนิ
การประเมินด้าน 1. การประเมนิ พฤติกรรม 1. แบบประเมินพฤติกรรม ผูเ้ รยี นไดค้ ่าแนนร้อยละ 75
คุณลกั ษณะ (A)
การเรียนรู้ การเรยี นรู้ ข้ึนไป ถือว่า “ผ่าน” เกณฑ์
การประเมิน
ประวตั ิผ้สู อน
ช่ือ-นามสุกล นายธนะรัชต์ ธนะทรพั ย์ทอง (ครตู ูน)
ประวัตกิ ารศกึ ษา
2536 ปวช. ช่างก่อสรา้ ง วทิ ยาลัยเทคนคิ ลพบุรี
2538 ปวส. ชา่ งกอ่ สร้าง วทิ ยาลัยเทคนคิ ลพบุรี
2541 ปทส. โยธา (การก่อสรา้ ง) วิทยาลยั เทคนคิ ลพบุรี
2550 ศษ.ม. การบริหารการศึกษา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
ประวตั ิการทำงาน
ก.ย. 2541 อ.1 วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยกี ระบี่
ต.ค. 2549 ครู วทิ ยาลยั เกษตรและเทคโนโลยกี ระบ่ี
พ.ค. 2552 ครู ชำนาญการ วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยีกระบี่
ก.ค. 2562 ครู ชำนาญการพิเศษ วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยีกระบี่
ผลงานทางวิชาการ
เอกสารประกอบการสอนวิชางานก่อสร้างเพอื่ การเกษตร
เอกสารประกอบการสอนวิชางานสำรวจเพื่อการเกษตร
เอกสารประกอบการสอนวิชาเขียนแบบเบอื้ งตน้
เอกสารประกอบการสอนวิชาการออกแบบและเขียนแบบด้วยคอมพิวเตอร์
เอกสารประกอบการสอนวชิ าการคดิ อยา่ งเป็นระบบ