ก
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ e-book นี้จัดทำ ขึ้นเพื่อ ประกอบการเรียนการ
สอนในรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยี สารสนเทศเพื่อการสื่อสารการศึกษาและการ
เรียนรู้ (ED13201) ชั้นปีที่ 2 โดยผู้จัดทำ ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพระมหา
เวสสันดรชาดกเพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องพระมหาเวสสันดรชาดกและได้ศึกษา
อย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน
ผู้จัดทำ หวังว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ e-book เล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้
อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหา ข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำ หรือข้อผิด
พลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้จัดทำ
นายนราธิป คนซื่อ
สารบัญ ข
เรื่อง หน้า
คำนำ ก
สารบัญ ข
ความเป็นมา 1
มูลเหตุการณ์เล่าเรื่องมหาชาติ 2
เนื้อเรื่องโดยสรุป 4
กัณฑ์ที่ ๑ กัณฑ์ทศพร 5
กัณฑ์ที่ ๒ กัณฑ์หิมพานต์ 6
กัณฑ์ที่ ๓ กัณฑ์ทานกัณฑ์ 8
กัณฑ์ที่ ๔ กัณฑ์วนประเวศน์ 9
กัณฑ์ที่ ๕ กัณฑ์ชูชก 10
กัณฑ์ที่ ๖ กัณฑ์จุลพน 11
กัณฑ์ที่ ๗ กัณฑ์มหาพน 12
กัณฑ์ที่ ๘ กัณฑ์กุมาร 13
กัณฑ์ที่ ๙ กัณฑ์มัทรี 15
กัณฑ์ที่ ๑๐ กัณฑ์สักกบรรพ 16
กัณฑ์ที่ ๑๑ กัณฑ์มหาราช 17
กัณฑ์ที่ ๑๒ กัณฑ์ฉกษัตริย์ 18
กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์ 19
ข้อคิดประจำชาดก 20
ประเพณีการเทศน์มหาชาติ 20
อ้างอิง 21
1
ความเป็นมา
เวสสันดรชาดกนี้เป็นเรื่องใหญ่จัดรวมไว้ในมหานิบาตชาดกรวมเรื่องใหญ่ ๑๐
เรื่อง ที่เรียกกันว่า ทศชาติโดยเรียกเวสสันดรชาดกเพียงเรื่องเดียว ว่า มหาชาติ แต่อีก ๙
เรื่องไม่เรียกว่ามหาชาติ ข้อนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
โปรด ประทานอธิบายว่า พุทธศาสนิกชนชาวไทยตลอดจนประเทศใกล้เคียงนับ ถือกันมา
แต่โบราณว่าเรื่องมหาเวสสันดรชาดก สำคัญกว่าชาดกอื่น ๆ ด้วยปรากฏบารมีของพระ
โพธิสัตว์บริบูรณ์ ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ทั้ง ๑๐ บารมี
อานิสงส์การฟังเทศน์มหาชาติ การตั้งใจฟังเทศน์มหาชาติให้จบเพียงวันเดียว
ครบบริบูรณ์ทั้ง ๑๓ กัณฑ์จะเป็นเหตุให้สำเร็จความปรารถนาทุกประการ ดังนี้
๑. เมื่อตายจากโลกนี้แล้ว จะมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้า พระนามว่า ศรีอริยเมตไตย ใน
อนาคต
๒. เมื่อดับขันธ์ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ จะเสวยทิพยสมบัติมโหฬาร
๓. เมื่อตายไปแล้วจะไม่ตกนรก
๔. เมื่อถึงยุคพระพุทธเจ้าพระนามว่า ศรีอริยเมตไตย จะได้จุติไปเกิดเป็น มนุษย์
๕. ได้ฟังธรรมต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์ จะได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระ
อริยบุคคล ในบวรพุทธศาสนา
2
มูลเหตุการณ์
เล่าเรื่องมหาชาติ
เรื่องเวสสันดรชาดกเป็นพุทธดำรัส ที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสแก่ภิกษุสงฆ์
ขีณาสพสองหมื่นรูป และ พระประยูรญาติที่นิโครธารามหาวิหารในนครกบิลพัสดุ์ ใน
คราวเสด็จ โปรดพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา และพระวงศ์ศากยะ บรรดาพระประยูรญาติ
ไม่ปรารถนาจะทำความเคารพพระองค์ด้วยเห็น ว่าอายุน้อยกว่า
พระองค์ทรงทราบความคิดนี้จึงทรงแสดงยมกปกฏิหาริย์ โดยเสด็จขึ้น เบื้อง
นภาอากาศแล้วปล่อยให้ฝุ่นละอองธุลีพระบาทตกลงสู่เศียรของ พระประยูรญาติทั้งหลาย
พระประยูรญาติจึงได้ละทิ้งทิฐิแล้วถวายบังคม พระพุทธเจ้า ขณะนั้นได้เกิดฝนโบกขร
พรรษ พระภิกษุทั้งหลายเห็นเป็น อัศจรรย์จึงได้ทูลถาม พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าฝนชนิดนี้
เคยตกมาแล้วใน อดีต แล้วจึงทรงแสดงธรรมเรื่องมหาเวสสันดรชาดก หรือเรื่อง
มหาชาติให้แก่พระภิกษุและพระประยูรญาติ
มหาเวชสันดรชาดกเป็นชาดกที่มีความสำคัญมากกว่าชาดกอื่นๆ เพราะพระบารมี
ของพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบริบูรณ์ในพระชาตินี้
3
มูลเหตุการณ์
เล่าเรื่องมหาชาติ
บารมีของพระโพธิสัตว์บริบูรณ์ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดกทั้ง ๑๐ อย่างคือ
๑. ทานบารมี = ทรงบริจาคทรัพย์สิน ช้าง ม้า ราชรถ พระกุมารทั้งสองและพระมเหสี
๒. ศีลบารมี = ทรงรักษาศีลอย่างเคร่งครัดระหว่างทรงผนวชอยู่ ณ เขาวงกต
๓. เนกขัมมบารมี = ทรงครองเพศบรรพชิตตลอดเวลาที่ ประทับ ณ เขาวงกต
๔. ปัญญาบารมี = ทรงบำเพ็ญภาวนามัยปัญญาตลอดเวลา ที่ทรงผนวช
๕. วิริยาบารมี = ทรงปฏิบัติมิได้ย่อหย่อน
๖. สัจจบารมี = ทรงลั่นพระวาจายกกุมารให้ชูชก เมื่อพระกุมารหลบหนีก็ทรงติดตามให้
๗. ขันติบารมี = ทรงอดทนต่อความยากลำบากต่างๆ ขณะที่ เดินทางมายังเขาวงกต และ
ตลอดเวลาที่ประทับ ณ ที่นั่น แม้แต่ ตอนที่ทอดพระเนตรเห็นชูชกเฆี่ยนตีพระกุมารอย่าง
ทารุณพระองค์ ก็ทรงข่มพระทัยไว้ได้
๘. เมตตาบารมี = เมื่อพราหมณ์เมืองกลิงคราษฎร์ มาทูลขอช้างปัจจัยนาค เนื่องจากเมือ
งกลิงคราษฎร์ฝนแล้ง ก็ทรงพระเมตตตาประทานให้ และเมื่อชูชกมาทูลขอสองกุมาร
อ้างว่าตนได้รับความลำบากต่าง ๆ พระองค์ก็มีเมตตาประทานให้ ด้วย
๙. อุเบกขาบารมี = เมื่อทรงเห็นสองกุมารถูกชูชกเฆี่ยนตี วิงวอนให้พระองค์ช่วยเหลือ
ทรงบำเพ็ญอุเบกขา คือทรงวางเฉย เพราะทรงเห็นว่าได้ประทานเป็นสิทธิ์ขาดแก่ชูชกไป
แล้ว
๑๐. อธิษฐานบารมี = คือทรงตั้งมั่นที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อให้ สำเร็จโพธิญาณาเบื้องหน้าก็
มิได้ทรงย่อท้อ จนพระอินทร์ต้อง ประทานความช่วยเหลือต่าง ๆ เพราะพระทัยอันแน่วแน่
ของพระองค์
4
เนื้อเรื่องโดยสรุป
หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหารย์ ทำให้พระประยูร
ญาติละทิฐิยอมถวายบังคม ก็บังเกิดฝนโบกขรพรรษ พระภิกษุทั้งหลายจึงได้ทูลถาม
พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ตรัสเล่าว่า ฝนชนิดนี้เคยตกมาแล้วในอดีตพระองค์จึงทรง
แสดงธรรมเรื่องมหา เวสสันดรชาดก หรือเรื่องมหาชาติ ทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ตามลำดับ
ทศบารมี คือ บารมีที่พระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญ ๑๐ ประการในชาติต่างๆ ๑.
พระเตมีย์ บำเพ็ญ เมตตาบารมี
๒. พระมหาชนก บำเพ็ญ วิริยะบารมี
๓. พระสุวรรณสาม บำเพ็ญ เมตตาบารมี
๔. พระเนมีราช บำเพ็ญ อธิษฐานบารมี
๕. พระมโหสถ บำเพ็ญ ปัญญาบารมี
๖. พระภูริทัต บำเพ็ญ ศีลบารมี
๗. พระจันทกุมาร บำเพ็ญ ขันติบารมี
๘. พระนารทะ บำเพ็ญ อุเบกขาบารมี
๙. พระวิทูร บำเพ็ญ สัจจะบารมี
๑๐.พระเวสสันดร บำเพ็ญ ทานบารมี
หัวใจพระเจ้าสิบชาติ คือ เต ช สุ เน ม ภู จ นา วิ เว (อักษรตัวแรก ของแต่ละชาติ)
5
กัณฑ์ที่ ๑ กัณฑ์ทศพร
กล่าวถึงเหตุที่จะมีเรื่องเวสสันดรชาดกขึ้นกับเล่าเรื่องพระนางผุสดี ในอดีต
จนถึงทูลขอพร ๑๐ ประการ จากท้าวมัฆวารผู้เป็นภัสดา พระนางผุสดีได้รับพรทิพย์ ๑๐
ประการ ในวันจะมาเกิดเป็น มารดาของพระเวสสันดร ณ เมืองสีพีราษฎร์
เมื่อครั้งอดีตกาลที่ล่วงมานครสีพีรัฐบุรีนั้นมีพระราชาพระนามสีพีราช ทรงครองเมือง
โดยทศพิธราชธรรม พระราชาทรงยกบัลลังก์ให้ พระโอรสขึ้นเสวยราชย์แทน เมื่อ
เจริญวัยสมควรแล้วพระราชโอรสมี พระนามว่า "สัญชัย" และได้อภิเษกกับพระนางผุสดี
พระธิดาแห่งราชา กรุงมัททราช พรจากภพสวรรค์แต่ปางก่อนนั้นผุสดีเทวีเสวยชาติเป็น
อัครมเหสีของพระอินทร์เมื่อจะสิ้นพระชนมายุจึงขอกัณฑ์ทศพรจากพระ อินทร์ได้ ๑๐ ข้อ
ทั้งยังเคยโปรยผงจันทร์แดงถวายพระวิปัสสีพุทธเจ้า และอธิฐานให้ได้เกิดเป็นมารดา
พระพุทธเจ้าด้วย
พร ๑๐ ข้อนั้นมีดังนี้
๑. ขอให้เกิดในกรุงมัททราช แคว้นสีพี
๒. ขอให้มีดวงเนตรคมงามและดำขลับดั่งลูกเนื้อทราย
๓. ขอให้คิ้วคมขำดั่งสร้อยคอนกยูง
๔. ขอให้ได้นาม "ผุสดี" ดังภพเดิม
๕. ขอให้มีพระโอรสเกริกเกียรติที่สุดในชมพูทวีป
๖. ขอให้พระครรภ์งามไม่ป่องนูนดั่งสตรีสามัญ
๗. ขอให้พระถันเปล่งปลั่งงดงามไม่ยานคล้อยลง
๘. ขอให้เส้นพระเกศาดำขลับตลอดชาติ
๙. ขอให้ผิดพรรณละเอียดบริสุทธิ์ดุจทองคำธรรมชาติ
๑๐.ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารได้
6
กัณฑ์ที่ ๒ กัณฑ์หิมพานต์
กล่าวถึงการมาเกิดของพระนางผสุดี ไป
จนถึงพราหมณ์จากเมือง กลิงคราช ๘ คน มาทูลขอ
พญาช้างปัจจัยนาคจากพระเวสสันดร พระเวสสันดร
จึงพระราชทานให้ ทำให้ชาเมืองแค้นเคืองใจพากัน
เดินขบวนประท้วงขับไล่ พระราชบิดาจึงเนรเทศให้
พระเวสสันดรไปอยู่ เขาวงกตพระนางผุสดีได้มาเกิด
เป็นอัครชายาของพระราชาแคว้นสีพี พระนางยังมี
พระ สิริโฉมงดงามตามค าพรอีกด้วย ครั้งเมื่อ
พระนางทรงครรภ์ครบ ๑๐
เดือนพระอินทร์ก็ทูลอาราธนา พระโพธิสัตว์มาจุติในครรภ์ วันหนึ่งพระนางผุสดีทรง
ทูลขอพระราชาประพาส พระนคร เมื่อขึ้นสีวิกาเสลี่ยงทองเสด็จสัญจรไปถึงตรอก
ทางของเหล่าพ่อค้าก็ เกิดปวดพระครรภ์และทรงประสูติพระราชโอรสกลางตรอกนั้น
พระราช กุมารจึงได้พระนามว่า "เวสสันดร" ในวันที่พระราชกุมารทรงประสูตินั้น
พญาช้างฉัททันต์ได้น าลูกช้างเผือกเข้ามาในโรงช้างต้น ช้างเผือกคู่บารมีนั้น มีนาม
ว่า "ปัจจัยนาค”
พระราชกุมารเวสสันดรทรงบริจาคทานตั้งแต่ ๔-๕ ชันษา ทรงปลดปิ่ นทองคำ และ
เครื่องประดับเงิน ทอง แก้ว เพชร ให้แก่นางสนมก านัลทั่วทุกคนถึง ๙ ครั้ง เพื่อมุ่ง
หวังพระโพธิญาณภายภาคหน้า เมื่อทรงเจริญชันษาได้ ๙ ปี ก็ทรง ตั้งจิตอธิษฐานว่า
จะบริจาคเลือดเนื้อและดวงหทัยเพื่อมุ่งพระโพธิญาณในกาล ข้างหน้าอย่างแน่วแน่
ครั้นถึงวัย ๑๖ พรรษาก็แตกฉานในศิลปวิทยา ๑๘ แขนง ทรงได้ขึ้น ครองราชย์และ
อภิเษกกับพระนางมัทรีและมีพระโอรสกับพระธิดาพระนามว่า “ชาลีกุมาร” และ
“กัณหากุมารี”
7
เวลาต่อมาเมืองกลิงคราชเกิดกลียุค ฝนแล้งผิดฤดูกาล ข้าวยากหมาก
แพง เป็นที่ยากเข็ญทุกข์ร้อนไปทั่ว ชาวนครมาชุมนุมร้องทุกข์หน้าวังกันแน่นขนัด
พระเจ้ากลิงคราชจึงทรงถือศีล ๗ วันเพื่อขอบุญกุศลช่วย ทว่าฝนฟ้าก็ยังแล้ง หนัก
อ ามาตย์จึงทูลให้ทรงขอช้างเผือกปัจจัยนาคของพระเวสสันดร ด้วยว่า พระ
เวสสันดรกษัตริย์สีพีรัฐนั้นขี่ช้างคู่บารมีไปหนใดก็มีฝนโปรยปรายชุ่มชื้นไป ทั่วแคว้น
พระเจ้ากลิงคราชจึงส่ง ๘ พราหมณ์ไปทูลขอช้างเผือกจากพระ เวสสันดร เมื่อได้
ช้างจากพระเวสสันดรแล้วพราหมณ์ก็ขี่ช้างออกจากกรุงสีพีบรรดาชาวนครเห็นช้าง
พระราชาก็กรูกันเข้าล้อมและตะโกนด่าทอจะท าร้าย พราหมณ์ทั้ง ๘ คน แต่
พราหมณ์ตวาดตอบว่าพระเวสสันดรพระราชทาน ช้างให้พวกตนแล้ว เมื่อพราหมณ์น
าช้างแก้วไปถึงเมืองฝนฟ้าก็โปรยปรายลง มาเป็นที่ยินดีทั้งแคว้น แต่ในกรุงสีพีนั้น
กลับอลหม่านมหาชนต่างมาชุมนุมที่ หน้าพระลานร้องทุกข์ต่อพระเจ้ากรุงสัญชัยว่า
พระเวสสันดรยกพระยา คชสารคู่บ้านเมืองให้คนอื่น ผิดราชประเพณีเกรงว่าอีกต่อ
ไปภายหน้าอาจยก เมืองให้คนอื่นก็ได้ขอให้เนรเทศพระเวสสันดรออกจากนครเถิด
8
กัณฑ์ที่ ๓ กัณฑ์ทานกัณฑ์
กล่าวถึงพระราชมารดารับอาสาไปทูล
วิงวอนขออภัยโทษ จากพระเจ้ากรุงสัญชัยให้ทรงลด
หย่อนผ่อนโทษแต่ไม่สำเร็จ ก่อน ออกจากวังพระ
เวสสันดรได้ทรงบ าเพ็ญมหาทาน เรียกว่า "สัตตสดก
มหาทาน" แล้วทูลลาพระชนกชนนี ทรงขึ้นราชรถ
เวียน รอบเมือง มีพราหมณ์ ๔ คนมาทูลขอม้าและราช
รถพระองค์ก็ เปลื้องปลดพระราชทานให้พระเจ้ากรุง
สัญชัยจำต้องเนรเทศพระราชโอรสด้วยความเสีย
พระทัย แม้พระนางผุสดีทูลขออภัยโทษก็มิเป็นผล
สำเร็จ พระเวสสันดร ทูลลาพระมารดาพระบิดาและขอบริจาคทานอย่างยิ่งใหญ่ คือ
ช้าง ม้า โคนม รถม้า ทาสและทาสี อย่างละ ๗๐๐ บริจาคให้คนทั่วไป เรียกว่า สัตตส
ตกมหาทาน คือ ช้าง ๗๐๐ เชือก ม้า ๗๐๐ ตัว โคนม ๗๐๐ ตัว รถม้า ๗๐๐ คัน นารี
๗๐๐ นาง ทาส ๗๐๐ คน ทาสี ๗๐๐ คน ผ้าอาภรณ์ ๗๐๐ชิ้น แล้วเสด็จออกจาก
พระนครพระนางมัทรีพาพระโอรสและพระธิดาตามเสด็จออกป่าด้วยมิทรงยอม อยู่ใน
วัง แม้พระเวสสันดรจะยับยั้งห้ามปรามมิให้มาตกระก าล าบาก ด้วยกันในป่า
ระหว่างทางที่เสด็จขึ้นราชรถทองไปนั้น มีพราหมณ์วิ่งมา ทูลขอม้าบ้าง ขอราชรถ
บ้าง พระเวสสันดรก็ยกให้ทั้งสิ้นในที่สุดจึงต้อง ทรงอุ้มพระโอรสและพระธิดาเสด็จ
เข้าป่าไป
9
กัณฑ์ที่ ๔ กัณฑ์วนประเวศน์
กล่าวถึงพระเวสสันดร พระนางมัทรี ชาลี
และกัณหา เสด็จมุ่งสู่ป่าเขาคีรี วงกต โดยอาศัย
ไมตรีจิตมิตรกษัตริย์เมืองเจตราช ทรงทูลถามทาง
จนกระทั่งถึงยังที่หมาย ทั้งสี่พระองค์ทรงบำเพ็ญพรต
อยู่ในป่าเป็นเวลา ๗ เดือน กษัตริย์เจตราชแต่งตั้ง
พรานเจตบุตรเป็นผู้อยู่คอยพิทักษ์รักษา สวัสดิภาพ
ของพระเวสสันดรเมื่อเสด็จด้วยพระบาทถึงเมืองเจต
ราช พระราชาเสด็จมาต้อนรับและทูลเชิญ ให้ครอง
เมืองเจตราช
แต่พระเวสสันดรขอไปบำเพ็ญเพียรในป่า กษัตริย์เจต ราชจึงรับสั่งให้พรหมณ์เจต
บุตรคอยอารักขาในป่า ถวายน้ าผึ้งและเนื้อให้ พระเวสสันดรด้วย เมื่อพระเวสสันดร
เดินทางมาถึงเขาวงกต พระนางมัทรี ชาลี และกัณหาต่างเหน็ดเหนื่อยสะอื้นไห้ด้วย
ความลำบากยากเข็ญ พระเวสสันดรจึงทรงเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นเครื่องนุ่งห่มของ
นักบวช พระนาง มัทรีก็ทรงบวชเป็นดาบสินี บำเพ็ญศีลกันในป่าอยู่ที่อาศรม พระนา
งมัทรีต้อง ปัดกวาดอาศรมทุกวันแล้วก็หาผลไม้ในป่า ตักน้ำมาเตรียมไว้ ในป่านั้น
อุดม ด้วยผลไม้นานาชาติ มีสระโบกขรณีน้ำสะอาดใสไหลเย็น มีพฤกษาร่มรื่นและ มีด
อกไม้หอมหวลทั่วทั้งป่าราวกับวิมานทิพย์
10
กัณฑ์ที่ ๕ กัณฑ์ชูชก
กล่าวถึงเฒ่าชราตาชูชก ได้เร่ร่อนขอทาน
ได้เงินเป็นจำนวนมากก็ นำเงินไปฝากเพื่อนไว้ แต่
เพื่อนก็นำเงินไปใช้จนหมด เมื่อชูชกไป ทวงก็ไม่มีจะ
ให้ จึงยกนางอมิตดาผู้เป็นลูกสาวให้แทน นางปฏิบัติ
ต่อสามีดี จนเป็นเหตุให้เพื่อนบ้านพากันอิจฉาด่าว่าตบ
ตี จึงเป็น เหตุให้เฒ่าชูชกไปทูลขอสองกุมารมาเป็นข้า
ทาสรับใช้พราหมณ์เฒ่านาม "ชูชก" ได้เที่ยวขอทาน
เก็บเงินได้ถึง ๑๐๐ กษาปณ์ จึงนำเงินไปฝากเพื่อนไว้
พลางคุย
นางอมิตดายังสาวและมีรูปงาม ส่วนชูชกนั้นเฒ่าชราและมีรูปลักษณ์ อุบาทว์อัปลักษณ์
ยิ่งนัก เมื่อชูชกพานางอมิตดาไปอยู่กินด้วยกันที่หมู่บ้าน ทุนวิฐ พวกเมียพราหมณ์บ้าน
อื่นต่างพากันริษยาอิจฉานางอมิตดา เนื่องจากพราหมณ์ทั้งหมู่บ้านพากันชื่นชมนางอ
มิตดา จนมาทุบตีเมีย ของตนกันทุกวัน ด้วยเพราะนางอมิตดานั้นเป็นบุตรกตัญญู เมื่อ
มาอยู่ กับชูชกก็ปรนนิบัติรับใช้ทุกประการมิให้ขาดตกบกพร่อง วาจาก็ไพเราะมิ เคย
ขึ้นเสียง เหล่าเมียของพราหมณ์จึงมาดักนางอมิตดาที่ท่าน้ำ รุมด่า ว่านางอมิตดาที่มา
เป็นเมียชูชกน่าเกลียดตัวเหม็นน่าขยะแขยง ยอมรับ ใช้ตาเฒ่าทุกอย่างน่าสมเพชนางอ
มิตดาถูกรุมด่าก็ร้องไห้กลับบ้าน บอกแก่ชูชกว่าจะไม่ไปตักน้ าและ ไม่ทำงานบ้านอีก
แล้ว ขอให้ชูชกไปทูลขอกัณหา ชาลีจากพระเวสสันดร มาช่วยงานบ้านก็แล้วกัน ด้วย
ความรักภรรยา ชูชกจึงออกเดินทางไปยัง เขาวงกตทันที ในระหว่างเดินทางตาเฒ่าชู
ชกแวะเวียนถามชาวบ้านว่า พระเวสสันดรเสด็จประทับอยู่ ณ ที่แห่งใด พวกชาวบ้าน
ต่างก็ขว้างอิฐ หินเข้าใส่ขอทานเฒ่า แล้วขับไล่ด้วยถ้อยค าหยาบคายต่างๆ ว่าเป็นไอ้
พวกจัญไร มักขอเอาทุกอย่างจนพระเวสสันดรตกระกำลำบาก เฒ่าชูชก เดินดุ่มเข้าป่า
ไปเจอสุนัขของเจตบุตรที่อารักขาป่า สุนัขต่างวิ่งกรูเข้าไล่ กัดขอทานเฒ่า จนต้องวิ่ง
ขึ้นต้นไม้ด้วยตกใจเสียขวัญ
11
กัณฑ์ที่ ๖ กัณฑ์จุลพน
กล่าวถึงชูชกเดินทางไปเขาวงกต พบพราน
เจตบุตร ชุชกใช้กลอุบาย หลอกว่าเป็นราชทูตของ
พระเจ้ากรุงสัญชัย พร้อมชูกลักพริก กลักขิง เสบียง
กรังที่นางอมิตตดาจัดหาให้ ว่าเป็นพระราชสาส์นของ
พระเจ้า กรุงสัญชัย จนพรานเจตบุตรหลงเชื่อ จึงชี้
บอกทางให้ไปจนถึง อาศรมบทของพระอัจจุตฤาษี
12
กัณฑ์ที่ ๗ กัณฑ์มหาพน
กล่าวถึงชูชกเดินทางไปพบพระอัจจุตฤาษี
ได้หลอกลวงพระฤาษีให้หลง กลว่าเป็นกัลยาณมิตร
ของพระเวสสันดร จนได้พักค้างคืนกับพระฤาษี รุ่งขึ้น
พระฤาษีได้ให้กินผลไม้ และชี้ให้ชมเขาล าเนาไพร
พร้อมบอก ระยะทางสภาพป่า และหนทางที่จะไปสู่เขา
วงกตให้แก่ชูชก ซึ่งประกอบ ไปด้วย เขาใหญ่ สระน้ำ
และสัตว์ป่านานาชนิดเฒ่าชูชกเดินทางไปกลางป่า พบ
ฤาษีอัตจุตก็เล่าความเท็จอีก ฤาษีจึง ยอมชี้ทางไป
อาศรมของพระเวสสันดร เมื่อไปถึงเป็นเวลาพลบค่ำ
เฒ่าชูชกก็ซ่อนตัวบนชะง่อนเขาด้วยคิดว่า ต้องรอรุ่งเช้าให้พระนางมัทรี ออกไปหา
ผลไม้ เพราะนางคงไม่ยอมยกลูกให้ใครแน่
13
กัณฑ์ที่ ๘ กัณฑ์กุมาร
กล่าวถึงชูชกเดินทางถึงอาศรมของพระ
เวสสันดร ได้หยุดพักผ่อนที่คาคบไม้ ๑ ราตรี รุ่งขึ้น
เมื่อนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้แล้ว ชูชกจึงเข้าเฝ้าทูลขอ
พระชาลี และกัณหา ก็ทรงประทานให้ สองกุมาร
ได้ยิน จึงตกใจกลัวหนีไปซ่อนตัวอยู่ ในสระ พระ
เวสสันดรได้ขอร้องให้ทั้งสองพระองค์ออกมา แล้วชู
ชกก็นำทั้ง สองพระองค์ไปเคราะห์ร้ายมาถึงและใน
คืนนั้นเอง พระนางมัทรีทรงสุบินร้ายว่า มีบุรุษผิว ดำ
ร่างสูงใหญ่นุ่งผ้าย้อมฝาด สองหูทัดดอกไม้แดง
มือถือดาบใหญ่ ตรงเข้า จิกพระเกศาแล้วแทงดาบใส่ดวงพระเนตร ควักออกไปทั้ง
สองข้าง จากนั้น กรีดพระอุระควักเอาพระทัยไปทั้งดวง พระนางร้องลั่นสะดุ้งตื่น
บรรทม พระวรกายสั่นสะท้าน รีบไปหาพระเวสสันดรเพื่อจะให้ทำนายฝัน แต่เมื่อเข้า
ไปในอาศรมพระเวสสันดรก็ตรงตรัสว่า "น้องหญิงจงเล่าความอยู่ที่ข้างนอก
เถิด"แล้วเฒ่าชูชกก็เข้าเฝ้าพระเวสสันดร พยายามอ้างถึงความลำบากยากเข็ญ
นานาประการในการเดินทางฝ่าอันตรายมาจนถึงป่าแห่งนี้ เพื่อขอปิยบุตรไป ช่วย
งานที่บ้าน เนื่องจากตนจนยากไม่มีเงินซื้อทาสได้ พระเวสสันดรทรง ตรัสอนุญาต ชา
ลีกุมารแอบได้ยินจึงพาน้องสาวไปซ่อนที่ใต้ใบบัวข้างสระน้ำ เฒ่าชูชกเห็นเด็กทั้ง
สองหายไป ก็แกล้งติเตียนตัดพ้อพระเวสสันดรด้วยคำ บริภาษว่า "ไหนล่ะที่พระองค์
บริจาคทาน ปากยกให้แต่ไหนละ เด็กร้ายทั้ง สองคงจะคิดหนีไปแล้ว พระองค์มิได้มี
จิตบริจาคทานตามที่ลั่นสัจจะไว้เลย"เมื่อสดับดังนั้น พระเวสสันดรจึงทรงเสด็จออก
ตามหาทั่วบริเวณ ชาลีกุมารมิ อยากให้พระราชบิดาออกร้องเรียกนานไปจึงจูงน้อง
ออกมา พระเวสสันดร ขอให้กัณหา ชาลี ติดตามเฒ่าชูชกไป แต่ให้รอร่ าลาพระนา
งมัทรีก่อน เฒ่าชูชกไม่ยอมฟัง รีบหาเชือกเถาวัลย์มาผูกมัดพระโอรสพระธิดา แล้ว
เอา หวายเฆี่ยนตีต่อหน้าพระเวสสันดร พลางฉุดกระชากลากไปอย่างโหดเหี้ยม
14
กัณหา ชาลี ถูกตีรุนแรงก็ร่ำไห้หาพระบิดาพระมารดา พระเวสสันดรทรง กันแสง แต่
ก็ตั้งมั่นในสัจจะที่พระองค์ตั้งจิตไว้ ก่อนไปนั้นชูชกกล่าวว่า ถ้าจะ ไถ่ตัวกันหาชาลีได้
ต้องให้ ทาส ทาสี ช้าง ม้า โคนม ทองคำ สิ่งละ ๑๐๐ แก่ชูชก ครั้นเมื่อเฒ่าร้ายนำ
ตัวพระกุมารและกุมารีไปแล้ว ก็ให้เกิดอัศจรรย์ ดินฟ้าวิปโยคครืนครั่น ฟ้าผ่าน่าสะ
พรึงกลัวไปทั่วป่าหิมพานต์
15
กัณฑ์ที่ ๙ กัณฑ์มัทรี
กล่าวถึงพระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้ แล้ว
เจอเหตุการณ์มหัศจรรย์ต่าง ๆ จึงเดินทางกลับ
อาศรม ก็เกิดพายุใหญ่ มืดครึ้มไปทั่วบริเวณ อีกทั้งยัง
มี สิงห์สาราสัตว์ร้ายมาขวางทางไว้ เมื่อมาถึงอาศรม
ได้ทราบความ ทำให้ พระองค์เสียพระทัยมากจนสลบ
ไป หลังจากฟื้ นคืนสติกลับมา พระนางก็ อนุโมทนากับ
พระเวสสันดรด้วยรุ่งเช้าพระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้
"เกิดเหตุแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ผลไม้เผือกมัน
ช่างหายากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงมัน ลูกจันทน์ ลิ้นจี่
น้อยหน่า สาลี่ ละมุด พุทรา ไม่มีให้เก็บเหมือนดังกับวันก่อน นางรีบ ย้อนกลับเคหาก็
เกิดพายุใหญ่จนมืดครึ้มไปทั่วทั้งป่า ท้องฟ้าสีแดงปานเลือด ละเลง ทั้งแปดทิศปราก
ฎมืดมนไปหมดอย่างไม่เคยมี พระนางทรงห่วงหน้า พะวงหลัง เกรงจะมีภัยแก่พระ
เวสสันดร กัณหาและชาลี พระนางมัทรีจึงรีบ ยกหาบใส่บ่าเดินทางกลับ พอถึง
ช่องแคบระหว่างเขาที่เป็นตรอกจะต้องเสด็จ ผ่าน ก็พบกับสัตว์ร้ายมานอนขวางหน้า
ด้วยเทวดาสามองค์แปลงร่างเป็น ราชสีห์ เสือเหลือง และเสือโคร่งมาสกัดไว้เพื่อมิ
ให้พระนางมัทรีติดตาม กัณหา ชาลีได้ทันแต่ถึงกระนั้น เมื่อยามทุกข์เข้าบีบคั้น
ความรักลูก ความห่วงพระภัสดา พระ นางจึงก้มกราบวิงวอน ขอหนทางต่อพญา
สัตว์ทั้งสาม เมื่อได้หนทางแล้ว พระนางก็รีบเสด็จกลับอาศรมเมื่อมาถึงอาศรมก็ไม่
พบกัณหาและชาลี พระ นางก็ร้องเรียกและตามหาไปทั่วบริเวณครั้นเข้าไปถามพระ
เวสสันดรก็ถูกตัดพ้อต่อว่าต่าง ๆ จนพระนางมัทรีถึง วิสัญญีภาพสลบลง พระ
เวสสันดรทรงปฐมพยาบาลจนพระนางมัทรีฟื้ น แล้ว จึงแจ้งความจริงว่า พระองค์ได้
ทรงยกลูกรักชายหญิงทั้งสอง มอบให้แก่ชูชก ไปแล้ว พระนางก็อนุโมทนาซึ่งทาน
นั้นด้วย
16
กัณฑ์ที่ ๑๐ กัณฑ์สักกบรรพ
กล่าวถึงพระอินทร์ เกรงว่าจะมีผู้มาขอพระ
นางมัทรีไปอีก จักไม่มีผู้ ปรนนิบัติพรเวสสันดร พระ
โพธิญาณจักเป็นอันตราย จึงได้แปลงเป็น พราหมณ์
ชราลงมาขอ เมื่อได้แล้วไม่เอาไป กลับถวายคืนแก่พระ
เวสสันดร โดยห้ามประทานนางแก่ผู้ใดอีก พร้อมทั้ง
ประสาทพร ๘ ประการ ให้แก่พระเวสสันดร แล้วจึง
เสด็จกลับสู่สวรรค์ขณะนั้นท้าวสหัสนัยบนสวรรค์ เกรง
ว่าจะมีชายโฉดมาทูลขอพระนางมัทรีจึงจำเเลงกายเป็น
นักบวชชรามาทูลขอพระนาง พระเวสสันดร
ทรงยินดี บริจาคทานให้ แต่นักบวชชราเมื่อได้รับแล้วก็ไม่เอาไป กลับถวายคืนแก่
พระเวสสันดร โดยห้ามพระองค์ประทานนางแก่ผู้ใดอีก ก่อนกลับได้ประสาท พรให้
แก่พระเวสสันดร ๘ ประการพรให้พระเวสสันดร ๘ ประการ คือ
๑. ให้ทรงได้รับอภัยโทษ
๒. ให้ทรงช่วยคนถูกฆ่าได้
๓. ให้ไพร่ฟ้าได้พึ่งพา
๔. ให้มั่นคงในมเหสี ไม่ลุ่มหลงสตรีอื่น
๕. ให้ได้สืบสันติวงศ์
๖. ให้มีสิ่งของบริจาคทานมิสิ้น
๗. ให้มีอาหารทิพย์พอเพียงทุกรุ่งเช้า
๘. ให้ได้สำเร็จพระโพธิญาณ แล้วท้าวสหัสนัยก็เนรมิตร่างกลับเป็นพระอินทร์เหาะขึ้น
ฟ้าไปทันที
17
กัณฑ์ที่ ๑๑ กัณฑ์มหาราช
กล่าวถึงชูชกได้พาสองกุมารหลงทางไป
จนถึงเมืองสีพี จนกระทั่งได้พบกับ พระอัยกาและพระ
อัยยิกา จึงรับสั่งให้ไถ่ถอนตัวทั้งสองพระองค์ และ
พระราชทานเลี้ยงอาหารชั้นดีแก่ชูชก ชูชกไม่มีเคยลิ้ม
รสอาหารชั้นเลิศมา ก่อนท าให้บริโภคมากเกินไป เป็น
เหตุให้ไฟธาตุพิการอาหารไม่ย่อยจนถึงแก่ ความตาย
จากนั้นพระเจ้าสัญชัยจึงได้มีรับสั่งให้เตรียมกองทัพ
ออกไปรับพระ เวสสันดรและพระนางมัทรีในป่าด้านชู
ชกเฒ่านั้นฉุดลากสองกุมารน้อยไปพลางทุบตีไปพลาง
ด้วยหวังจะ กลับไปหาภรรยาโดยเร็ว เมื่อถึงทางแยกเข้าเมืองกลิงคราช เทพยดาก็
ดล บันดาลให้ชูชกเดินเข้ามาในเมืองสีพีรัฐ พระเจ้ากรุงสัญชัยก็ได้ทรงสุบิน
ประหลาดว่า มีชายอัปลักษณ์นำดอกบัวตูมและดอกบัวบานมาถวายให้ พระองค์รับ
มาทัดที่พระกรรณแล้วก็ทรงตื่นบรรทม เหล่าโหรก็ถวายคำทำนายว่า พระราชวงศ์ที่
จากพลัดไปจะเสด็จคืนวัง วันรุ่งขึ้นนั้นเฒ่าชูชกจูง กุมารน้อยผ่านหน้าพระลาน พระ
ราชาทรงเฉลียวพระทัย จึงให้เรียกตัวเฒ่า อัปลักษณ์และกุมารน้อยมอมแมมแต่ผิว
พรรณเปล่งปลั่งนั้นเข้ามาเฝ้าเมื่อพระราชาสอบถาม ชูชกก็กราบทูลว่าได้รับบริจาค
มามิได้ไปฉุดคร่ามาที่ ใด พระราชาจึงทรงรู้ว่า ๒ กุมารน้อยนั้นเป็นหลานของ
พระองค์ จึงทรงไถ่ ตัวหลานและพระราชทานรางวัลให้แก่ชูชกมากมาย ทั้งยังจัด
อาหารคาว หวานชั้นเลิศมาให้แก่ชูชกอีกด้วย ขอทานเฒ่าไม่เคยเห็นอาหารชั้นดี มี
ความ โลภจะกินให้หมด จึงกินเข้าไปไม่หยุดจนกระทั่งท้องแตกตายไป พระเจ้า กรุง
สัญชัยทรงจัดพิธีเวียนเทียนบายศรี สมโภชรับขวัญหลานเป็นที่ยิ่งใหญ่ สมเกียรติ
18
กัณฑ์ที่ ๑๒ กัณฑ์ฉกษัตริย์
กล่าวถึงพระเจ้ากรุงสัญชัยและจตุรงคเสนา
เดินทางไปถึงเขาวงกต กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ได้มา
พบกันในกลางป่า โดยมิได้คาดฝัน ก็ทรง วิปโยค
โศกศัลย์จนถึงวิสัญญีภาพสลบลง ฝนโบกขรพรรษ
บันดาลตกลง มาให้ทรงฟื้ การเสด็จพระราชด าเนิน
ของพระเจ้ากรุงสัญชัยและจตุรงคเสนาเป็นขบวน
เสด็จ จากรุงเชตุดรนครหลวง ถึงเขาวงกตเป็นระยะ
ทาง ๖๐ โยชน์ เท่ากับ ๙๖๐ กิโลเมตร กษัตริย์ทั้ง ๖
พระองค์ได้มาพบกันด้วยในกลางป่า
โดยมิได้ คาดฝัน จึงได้ร่วมเดินทางไปยังเขาวงกตพร้อมกันกองขบวนเกียรติยศ
พร้อมมโหรีและไพร่พล ก็เคลื่อนสู่ป่าด้วยเสียงอันกึกก้องลั่นป่า พระเวสสันดรเข้า
พระทัยว่า กองทัพในพระราชวังคงจะมาประหารพระองค์ จึงทรงพาพระนางมัทรีไป
หลบซ่อนในพุ่มไม้ครั้นพระเจ้ากรุงสัญชัยบอกความให้ทราบ พระนางมัทรีก็ออกมา
ถวาย บังคม ต่างก็ร่ำไห้ด้วยสลดใจกันถ้วนทั่วในเคราะห์กรรมนี้ แม้แต่บรรดา เสนา
อำมาตย์และนางกำนัลต่างก็ร้องไห้กันทั่ว พระราชาตรัสให้พระ เวสสันดรลาผนวช
กลับคืนสู่เวียงวัง พระนางผุสดีก็ขอให้พระนางมัทรี คืนสู่พระราชวังเถิด พระนางมัท
รีได้แต่กันแสงสวมกอดกัณหาพระธิดา และพระโอรสชาลีไว้แนบอกด้วยทรงคิดถึง
ยิ่ง บริเวณป่าเต็มไปด้วยเสียง คร่ำครวญระงมจนหมดสติไปทั้งสิ้น
19
กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์
กล่าวถึงพระเวสสันดรเมื่อลาผนวชแล้ว ทรง
สั่งลาพระอาศรม รับพระราชทานเครื่องทรงกษัตริย์
แล้วเสด็จกลับไปครองเมืองสีพี ด้วยความร่มเย็น
เป็นสุขจนพระชนมายุ ๑๒๐ พรรษา จึงสวรรคตแล้ว
ไปปรากฏอุบัติเป็นท้าวสันดุสิตเทพบุตร บนสวรรค์ชั้น
ดุสิต เมื่อทรงลาผนวชแล้ว ทรงสั่งลาพระอาศรม รับ
เครื่องทรงกษัตริย์ แล้วเสด็จ กลับไปครองเมืองสีพี
พระเวสสันดรเสด็จขึ้นครองราชย์ครองแผ่นดิน ท ำให้
ไพร่ฟ้าเสนาอำมาตย์มีสุขสงบกันทั่วทั้งแคว้น
ชาวเมืองต่างก็หมั่นถือศีล บำเพ็ญกุศลตามสัตย์อธิษฐานของพระเวสสันดร กษัตริย์
เมืองกลิงคราชก็นำ ช้างปัจจัยนคมาถวายคืน เพราะบ้านเมืองมีฝนตกต้องตาม
ฤดูกาลแล้ว พระเวสสันดรก็ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม และยังคงทรงบริจาคทาน จน
พระชนมายุได้ ๑๒๐ พรรษาจึงสวรรคตแล้วไปปรากฎอุบัติเป็นท้าวสัน ดุสิตเทพบุตร
บนสวรรค์ชั้นดุสิตรวมระยะเวลาที่พระเวสสันดร พระนางมัทรี ชาลี กัณหา ต้องนิราศ
จากพระนครไปอยู่ป่า เป็นเวลา ๑ ปี ๑๕ วัน
20
ข้อคิดประจำชาดก
ชาดกเรื่องนี้มีคติธรรม สั่งสอนให้คนเราเพียรประกอบคุณงามความดีโดยมิ ท้อถอย
หากรู้จักสละทรัพย์บริจาคทานเนื่องนิจก็จะเป็นที่สรรเสริญทั่วไป คนโลภคนจิตบาป
หยาบร้ายก็ต้องได้ภัยเพราะตัวเอง ดั่งชูชกนั้นเอง
ประเพณีการเทศน์มหาชาติ
การเทศน์มหาชาติ นิยมท ากันหลังฤดูทำนาเสร็จคือราวเดือนอ้าย (ตั้งแต่วันสารท
ไทยเป็นต้นไปบางแห่งก็ทำช่วงสงกรานต์) ส่วนจำนวนวันที่ จัดนั้น จัดเสร็จภายใน
๑ วันกับ ๑ คืนตามคตินิยม (ถือกันเป็นประเพณีว่า ถ้าใครฟังจบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ในวัน
เดียวย่อมได้บุญแรงถ้าไม่บรรลุโลกุตรธรรม ก็จะได้พบพระศรีอริยเมตไตรย) จัด
เฉพาะกลางวันรวม ๓ วันบ้าง ทั้งนี้ แล้วแต่ความสะดวกเป็นสำคัญ เมื่อมีการเทศน์
มหาชาติ นิยมประดับประดา สถานที่เทศน์ให้เป็นเสมือนป่า เพื่อให้คล้ายป่าเมือง
กบิลพัสดุ์ โดยจัดให้ มีต้นกล้วย ต้นไม้ประดับตามประตูวัด และที่ธรรมมาสน์เทศน์
21
อ้างอิง
1.คุณครูมงคล สุตัญตั้งใจ, (๒๕๔๘). มหาเวสสันดรชาดก. เข้าถึงได้จาก
:https://www.mtk.ac.th/ebook/forum_posts.asp?TID=527&PN=3 (วัน
ที่สืบค้นข้อมูล: 11 ตุลาคม (พ.ศ.2564)
ผู้จัดทำ
ชื่อ:นายนราธิป คนซื่อ
ชื่อเล่น:ปราย
นักศึกษาสาขาวิชา พระพุทธศาสนา ชั้นปีที่ 2
รหัสนักศึกษา 63040107124
คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
thank you
ขอบคุณครับ