๓๖
นกั วชิ าการ/แหล่งขอ้ มลู สรุปแนวคิด
องค์การบริหารส่วนตําบล รองนายกองค์การบริหารส่วน
ตําบล หรือผู้ซึ่งนายกประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตําบล
และมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ๕) กรณีท่ีไม่มีผู้ดํารงตําแหน่ง
ป ระธาน ส ภ าอ งค์ ก ารบ ริห ารส่ วน ตํ าบ ล แ ล ะรอ ง
ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตําบลหรือสภาองค์การ
บริหารส่วนตําบลถูกยุบตามมาตรา ๕๓ ให้รองนายก
องค์การบริหารส่วนตําบล หรือหัวหน้าส่วนราชการของ
องค์การบริหารสว่ นตําบลปฏบิ ตั ริ าชการแทนได้
โกวทิ ย์ พวงงาม (๒๕๔๘, หน้า ๑๖๒ นายกองค์การบรหิ ารส่วนตําบลพ้นจากตาํ แหนง่ เม่ือ
– ๑๖๓) ๑) ถึงคราวออกตามวาระ
๒) ตาย
๓) ลาออก โดยยื่นหนงั สอื ลาออกต่อนายอําเภอ
๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามท่ีกฎหมาย
กําหนด
๕) กระทําการฝ่าฝืนมาตรา ๖๔/๒ พระราชบัญญัติสภา
ตําบลและองค์การบริหารส่วนตําบล (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ.
๒๕๔๖
๕.๑) ดํารงตําแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่อ่ืนใดในส่วน
ราชการ
๕.๒) รับเงินหรือประโยชน์ใด เป็นพิเศษจากส่วน
ราชการ
๕.๓) เป็นผมู้ ีส่วนได้เสยี ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางออ้ ม
๖) ผู้ว่าราชการจังหวัดส่ังให้พ้นจากตําแหน่งตามมาตรา
๘๗/๑ วรรคห้า หรอื มาตรา ๙๒
๗) ถูกจําคุกโดยคาพพิ ากษาถงึ ทส่ี ุดให้จําคุก
๘) ราษฎรผ้มู ีสิทธิเลือกตั้งในเขตองคก์ ารบรหิ ารส่วนตําบลมี
จํานวนไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจํานวนผู้มีสิทธิเลือกต้ังที่มา
ลงคะแนนเสียงเห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนตําบลไม่
สมควรดํารงตําแหนง่ ตอ่ ไปตามกฎหมาย
โกวิทย์ พวงงาม (๒๕๔๘, หน้า ๑๗๘ พนักงานสว่ นตําบลมหี น้าท่ีดงั ตอ่ ไปน้ี
– ๑๘๑) ๑) สํานักงานปลัดองค์การบริหารส่วนตําบล มีบทบาท
เก่ียวกับงานบริหารทั่วไป งานธุรการ งานการเจ้าหน้าท่ี งาน
สวัสดิการ งานประชุม งานเก่ียวกับการตราข้องบังคับตําบล
งานนิติกร งานการพาณิชย์ งานรัฐพิธี งานประชาสัมพันธ์
งานจัดทําแผนพัฒนาตําบล งานจัดทําข้องบังคับงบประมาณ
๓๗
นกั วิชาการ/แหล่งข้อมลู สรปุ แนวคดิ
ประจําปี ๒) ส่วนการคลัง มีบทบาทเก่ียวกับการรับเงิน การ
เบิกจ่าย การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน การตรวจเงนิ การหัก
ภาษีเงินได้ และการนาส่งภาษี การตัดโอนเงินเดือน การ
รายงานเงินคงเหลอื การจัดทางบทําบัญชที ุกประเภท งานอื่น
ๆ ที่เก่ียวข้องหรือได้รับมอบหมาย ๓) ส่วนโยธา มีบทบาท
เก่ียวกับงานสํารวจ ออกแบบ เขียนแบบงานประมาณการ
ค่าใช้จ่ายตามโครงการ งานควบคุมอาคาร งานการ ก่อสร้าง
งานซ่อมบํารุง ๔) ส่วนสาธารณสุข (มีเฉพาะองค์การบริหาร
ส่วนตําบลช้ันหนึ่ง) มีบทบาทเก่ียวกับงานสุขาภิบาล งาน
ควบคุม
๒.๔ หลักพทุ ธธรรมท่เี กย่ี วข้องกบั การมีส่วนร่วมทางการเมอื ง
คําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจธรรมที่ผู้ปฏิบัติตามทุกคนยอมสามารถ รู้แจ้ง
เห็นจริงได้ด้วยตนเอง และทําให้ผู้ปฏิบัติพ้นทุกข์ เข้าถึงความสุขและความบริสุทธิ์ภายในได้จริง
ธรรมะของพระพุทธองค์เปน็ ความรู้อันบรสิ ุทธ์ิ เป็นธรรมโอสถขนานเอกที่สามารถเยียวยา รักษาจิตใจ
ของมวลมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลงเพราะเม่ือใจ ปราศจากสิ่งเหล่านี้
ใจยอมสะอาดบริสุทธิ์ มีอานุภาพและเกิดเป็นความเมตตากรุณาปราณีมีแต่ความรักความปรารถนาดี
ต่อกัน ซึ่งหลักพุทธธรรมเก่ียวกับการมีส่วนร่วมทางการปกครองคือหลักสังคหวัตถุ ๔ ในพระไตรปิฎก
ภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ไดก้ ลา่ วถึงสังคหวัตถุ ไวใ้ นพระสุตตันตปฎิ ก อังคุตตร
นิกาย จตุกกนิบาตสังคหวัตถุสูตร๒๑ ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย สังคหวัตถุ (ธรรมเคร่ืองยึดเหน่ียว)
๔ ประการน้ี สังคหวัตถุ ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑) ทาน (การให)้ ๒) เปยยวัชชะ (วาจาเปน็ ที่รัก)
๓) อัตถจริยา (การประพฤติประโยชน)์ ๔) สมานัตตตา (การวางตนสมํ่าเสมอ) ภิกษุทั้งหลาย สังคห
วัตถุ ๔ ประการนี้แลทานเปยยวัชชะ อัตถจริยาในโลกน้ีและสมานัตตตา ในธรรมน้ัน ๆ ตามสมควร
สงั คหธรรมเหล่านแ้ี ลชว่ ยอุ้มชโู ลกเหมอื นลม่ิ สลกั ทยี่ ึดดมุ รถซ่งึ แล่นไปไว้ ไดฉ้ ะนัน้
๒.๔.๑ ความหมายของสงั คหวตั ถุ ๔
จากการศกึ ษาทบทวนเอกสารทม่ี าของสงั คหวัตถุ ทําให้ทราบที่มาของสงั คหวัตถุ ในหัวข้อ
นี้ ผวู้ ิจัยจะไดก้ ล่าวถึงความหมายของสงั คหวตั ถุ ตามความเห็นทนี่ ักวชิ าการได้ใหค้ วามหมายไว้ ดังน้ี
๒๑ องฺ.จตุกกฺ . (ไทย) ๒๑/๓๒/ ๕๐-๕๑.
๓๘
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร)๒๒ ได้ให้ความหมายตามหลักจริยศาสตร์สังคม
ของพระพุทธศาสนา เร่ืองสังคหวัตถุ ๔ หรอื หลักปฏิบัตติ นตามหลกั จิตวิทยาสังคเพ่ือให้เกิดความนยิ ม
ชมชอบและเคารพนับถือแก่ผูอ้ ่นื หรือสงั คมของชุมชนตา่ ง ๆ ดังน้ี
๑) ทาน หรือ การให้ปนั สิ่งของแก่ผ้อู ่ืนท่คี วรปัน เพราะทาน หมายถึง-ธรรมทาน หรือการ
บริจาคทางจิตใจ-อามสิ ทาน หรือการบรจิ าคทางวตั ถุ
๒). ปิยวาจา หรือการเจรจาใช้คําพูดของตนต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยนให้เหมาะสม
แก่กาลเทศะและเหมาะสมแก่สังคมชุมชนทุกชั้น เพ่ือให้ชุมชนหรือบุคคลเหล่าน้ันเคารพนับถือ
ปิยวาจานี้ใช้กับมิตรสหายของตน ย่อมจะทําให้มิตรสหายเหล่าน้ันรักใคร่ รู้จักเจรจาสุภาพอ่อนโยน
กับ ครูอาจารย์ การใช้หลักจริยศาสตร์สังคมในเรื่อง ปิยวาจานั้น ผู้ใช้จําต้องมีสติควบคุมตนเอง และ
สามารถบังคับจิตใจตนเองได้ทุกขณะ (Mind’s control or control)
๓) อัตถจริยา หมายถึง การสอนให้บุคคลน้ัน มีหน้าท่ีทางมนุษย์สัมพันธ์ทุกระดับช้ันมี
หนา้ ทช่ี ่วยเหลอื อุปการะหรอื สงเคราะหซ์ ง่ึ กันและกัน
๔) สมานัตตตา หมายถึง การปรับปรุงบุคลิกภาพของตนเองอย่างสม่ําเสมอโดยไม่ถือตัว
และใหเ้ ขา้ กบั สงั คมของชมุ ชนไดท้ กุ ชัน้
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)๒๓ ได้เสนอหลักคําสอนเก่ียวกับสังคหวัตถุ ๔ คือ
หลักการสงเคราะห์หรือเรื่องการสงเคราะห์กันช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน มีลักษณะพฤติกรรมท่ีรู้จัก
แบ่งปัน รู้จกั การให้ เสียสละยินดีในความสขุ ของผู้อื่น ช่วยเหลอื เกือ้ กูลกัน ไกล่เกลี่ยความแตกแยกใน
หมู่คณะบําเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่นําเอาผลงานของผู้อ่ืนมาเป็นของตน ซ่ึงประกอบด้วย ทาน
ปิยวาจา อัตถจรยิ า สมานัตตตา
๑) ทาน คือ การแบ่งปันเอ้ือเฟื้อเผือ่ แผ่กัน พระพุทธเจ้ามุ่งท่ีธรรมทานมากกว่าอามิสทาน
ธรรมทาน ให้การช่วยเหลือแนะนําในสิ่งท่ีดีมีประโยชน์ ช้ีช่องทางให้บุคคลสามารถแก้ปัญหาให้ลุล่วง
ไปด้วยตนเอง
๒) ปยิ วาจา คอื การพูดจานา่ รกั นิยมนับถือ พระพุทธเจา้ ทรงเน้นว่าตอ้ งเป็นถอ้ ยคําไพเราะ
อ่อนหวาน ทีป่ ระกอบด้วยสัจจะ คือความจริงใจและต้องเกิดประโยชนแ์ ก่ผ้เู จรจาดว้ ย
(๓) อัตถจริยา คือการบําเพ็ญประโยชน์ ซึ่งหมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนให้เป็น
ประโยชน์แก่บุคคลอื่น พระพุทธเจ้าเน้นท่ีโลกัตถจริยา คือการทําคุณประโยชน์ให้แก่บุคคลในวงกว้าง
ไมจ่ ํากดั เฉพาะตนเองและญาตผิ ใู้ กล้ชดิ
๔) สมานัตตตา คือความมีตนเสมอ การรู้จักปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น ร่วมสุขร่วมทุกข์กันได้
เสมอต้นเสมอปลาย
๒๒ สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (พมิ พ์ ธมฺมธโร), ธรรมะสร้างเยาวชน, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพม์ หามกุฏ
ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๑), หน้า ๑๓.
๒๓ พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ), พุทธศาสนากับคนรุ่นใหม่และสังคมไทยในอนาคต,
(กรุงเทพมหานคร: สําพมิ พ์สขุ ภาพใจ, ๒๕๒๕), หนา้ ๓๙๕.
๓๙
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ได้ให้ความหมายของคําว่า สังคหวัตถุ ๒ แปลว่า
ธรรมเป็นทต่ี ัง้ แห่งการสงเคราะห์กนั ธรรมเป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวนํ้าใจกนั ๒๔
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)๒๕ ไดใ้ หค้ วามหมายของสังคหวัตถุ ๔ หมายถึง
หลักธรรม ๔ ประการท่ีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ําใจของผู้อื่น ผูกไมตรี เอื้อเฟ้ือ เก้ือกูล หรือเปน็ หลัก
สงเคราะห์ซ่ึงกนั และกัน ได้แก่
ทาน คือการให้ การเสียสละหรือการเอื้อเฟ้อื แบง่ ปันของ ๆ ตน เพ่ือประโยชน์แกบ่ ุคคล
อน่ื ไม่ตระหน่ีถ่ีเหนียว ไม่เปน็ คนเห็นแก่ได้ฝา่ ยเดียว เป็นคุณธรรมท่ีจะช่วยให้ไมเ่ ป็นคนละโมบ ไม่เห็น
แก่ตัว
ปยิ วาจา คือ การพูดจาด้วยถอ้ ยคําที่ไพเราะอ่อนหวานสมานสามัคคี พูดด้วยความ จริงใจ
ให้เกิดไมตรีรักใครน่ บั ถือ ไมพ่ ูดหยาบคาย ก้าวร้าว พูดในสง่ิ ท่เี ป็นประโยชน์ เหมาะสําหรบั กาลเทศะ
อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ทกุ ชนิด หรอื การประพฤติในส่งิ ท่เี ปน็ ประโยชนแ์ ก่ผอู้ ื่น
สมานัตตตา คือการเป็นผูม้ ีความสฎม่าเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย เป็น
คุณธรรมชว่ ยให้เปน็ ผ้มู ีจติ ใจหนกั แนน่ ไม่โลเล เป็นการสรา้ งความนิยมและไวว้ างใจให้แกผ่ ้อู ื่นด้วย
สังคหวัตถุ ๔ ประการ คือ หลักธรรมที่เป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวน้าใจคน และประสานหมู่ชน
ไว้ในสามัคคี ประกอบด้วย
๑. ทาน ใหป้ นั คอื เออื้ เฟอ้ื เผื่อแผ่ เสยี สละ แบ่งปนั ชว่ ยเหลือสงเคราะห์ด้วยปจั จัยส่ี ทุน
หรอื ทรพั ย์สินสิง่ ของ ตลอดจนใหค้ วามรู้ ความเข้าใจ และศลิ ปวทิ ยา
๒. ปิยวาจา พูดอย่างรักกัน คือ กล่าวคําสุภาพไพเราะ น่าฟัง ช้ีแจง แนะนําสิ่งท่ีเป็น
ประโยชน์ มีเหตุผล เป็นหลักฐาน ชักจูงในทางที่ดีงาม หรือแสดงความเห็นอกเห็นใจให้กําลังใจ รู้จัก
พดู ให้เกิดความเข้าใจดี สมานสามัคคี เกดิ ไมตรี ทําให้รักใครน่ ับถอื และชว่ ยเหลอื เกื้อกลู
๓. อัตถจริยา ทําประโยชน์แก่ คือ ช่วยเหลือด้วยแรงกายและขวนขวายช่วยเหลือกิจการ
ต่าง ๆ บาํ เพ็ญประโยชน์ รวมทงั้ ช่วยแก้ไขปัญหาและชว่ ยปรบั ปรุงส่งเสริมในด้านจริยธรรม
๔. สมานัตตตา เอาตัวเข้าสมาน คือ ทําตัวให้เข้ากับเข้าได้ วางตนเสมอต้นเสมอปลายให้
ความเสมอภาค ปฏิบัติสม่ําเสมอกันต่อคนทง้ั หลาย ไม่เอาเปรยี บ และเสมอในสุขทุกข์ คือรว่ มสุข รว่ ม
ทกุ ข์ ร่วมรบั รู้ รว่ มแกไ้ ขปญั หา เพ่ือใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ขุ ร่วมกนั ๒๖
๒๔ พระธรรมกติ ติวงศ์ (ทองดี สรุ เตโช), ชุดคําวดั , (กรุงเทพมหานคร: เล่ยี งเชยี ง, ๒๕๔๖) หนา้ ๑๓๙.
๒๕ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต พิมพ์คร้ังท่ี ๘๒, (กรเุ ทพมหานคร: บริษัท พมิ พ์
สวย จาํ กดั , ๒๕๕๐), หนา้ ๒๕
๒๖ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ธรรมนญุ ชีวิต, พิมพค์ รัง้ ที่ ๘๒, (กรุงเทพมหานคร: บริษทั พมิ พ์
สวยจาํ กดั , ๒๕๕๐), หน้า ๒๕.
๔๐
สริ ิวัฒน์ ศรีเครือดง ได้ให้ความหมายของสังคหวัตถุว่าวัตถุเคร่อื งสงเคราะหซ์ ่ึงกันและกัน
ดังค ากล่าวที่ว่าย้ิมแย้มแจ่มใสต้ังในสนทนาเจรจาไพเราะสงเคราะห์เก้ือกูลและได้อธิบายในหัวข้อ
“การสร้างมนุษยสัมพันธ์ตามแนวพระพุทธศาสนา:หลักธรรมส าหรับส่ังสอนสังคม”เพ่ือให้มีมนุษย์
สัมพนั ธม์ ีความสขุ ๒๗
บรรเทิง พาวิจิตร๒๘ ได้ให้ความหมายเก่ียวกับสังคหวัตถุ ๔ ไว้ว่า สังคหวัตถุ ๔
ประกอบด้วย ทาน คือ การให้ มีใจเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ เสียสละแบ่งปน ช่วยเหลือกันด้วยสิ่งของ ตลอด
จนถึงให้ความรู้ และคําแนะนําสั่งสอน ปิยวาจา คือ วาจาเป็นท่ีรัก มีวาจาดูดดื่มนํ้าใจ วาจาซาบซึ้ง
กล่าวคําสุภาพ ไพเราะอ่อนหวานสมานสามัคคี ก่อเกิดไมตรีและความรักนับถือแสดงประโยชน
ประกอบ ด้วยเหตุผลเป็นหลักฐาน เป็นมูลเหตุจูงใจให้นิยมยอมตาม อัตถจริยา คือการประพฤติ
ประโยชน์ขวนขวายช่วยเหลือกิจการ บําเพ็ญสาธารณประโยชน์ แก้ไข ปรับปรุงสงเสริมในทาง
จริยธรรม สมานัตตตาคือวางตนสม่ําเสมอ เสมอตน เสมอปลาย ปฏบิ ัติสม่าํ เสมอกันในชนทุกชั้น วาง
ตนใหเ้ หมาะแกฐานะภาวะ บุคคล เหตกุ ารณ์ และส่งิ แวดลอ้ มให้ถกู ทาง
ปรีชา นันตาภิวัฒน์๒๙ ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับสังคหวัตถุ ๔ ไว้ว่า สังคหวัตถุ ๔ เป็นธรรม
เครื่องยึดเหนี่ยวได้แก่ ทาน คือการให้ เอ้ือเฟื้อ เผ่ือแผ่ เสียสละ แบ่งปัน ช่วยเหลือด้วยส่ิงของ ตลอดให้
ความรู้แนะนาํ สั่งสอน ปยิ วาจา คอื วาจาเปน็ ทีร่ กั วาจาดูดดื่มน้ําใจ กล่าวถอยคําสภุ าพไพเราะอ่อนหวาน
ทําให้เกิด ความสามัคคี ตลอดถึงคําแสดงประกอบด้วยเหตุผลเป็นหลักฐานจูงใจให้นิยมยอมตาม อัตถ
จริยา การประพฤติประโยชน์ คือขวนขวายช่วยเหลือกิจการบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตลอดถึงช่วย
แก้ไขปรับปรุงส่งเสรมิ ในทางจรยิ ธรรม สมานัตตตา ความมตี นเสมอ คอื ทาํ ตนเสมอตน
อุดม เชยกีวงค์ และ กนิษฐาน แปนสุวรรณ๓๐ ได้ให้ความหมายเก่ยี วกับสงั คหวัตถุ ๔ ไว้
ว่า ทาน คือ การแบ่งปนกันอยู่ แบ่งปันกันกิน แบ่งปันกันใช้ ปิยวาจา คือพูดจากันอย่างไพเราะ
อ่อนหวานด้วยความปรารถนาดีทําให้เกิดการรักใคร่ สามัคคีเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน อัตถจริยา คือ
ทําตนเป็นคนท่ีมีประโยชน์ต่อครอบครัว ต่อสังคมและประเทศชาติ สมานัตตตา คือการวางตนให้
เหมาะสม เสมอตนเสมอปลายไมท่ ําใหเ้ กิดชนชั้นขึน้
สรุปความได้ว่า หลักสังคหวัตถุ ๔ ประการน้ี เป็นธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวใจเพ่ือนมนุษย์
ด้วยกัน ให้มีความรักเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่แบ่งปันต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในกลุ่มคน ในชุมชน ในท้องถิ่น
เด่ียวกัน ให้ทุกฝ่ายแสดงออกซ่ึงอัธยาศัยไมตรีและพฤติกรรมที่ดีต่อกัน การพูดจาไพเราะ สุภาพ
๒๗ สิริวัฒน์ ศรีเครือดง, “การสร้างมนุษยสัมพันธ์ตามแนวพระพุทธศาสนา: หลักธรรมสําหรับส่ังสอน
สงั คม”, วารสารมหาจุฬาวชิ าการ, ปที ี่ ๒๐, (มิถนุ ายน ๒๕๕๑): ๗๐
๒๘ บรรเทิง พาวิจิตร, การปกครองตามแนวพุทธศาสตร, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์ โอเดียน
สโตร,์ ๒๕๔๘), หน้า ๓๕-๓๖.
๒๙ ปรีชา นันตาภิวัฒน์, พจนานุกรมหลักธรรมพระพุทธศาสนา,(กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์ดวง
แก้ว, ๒๕๔๔), หน้า ๑๔๓.
๓๐ อุดม เชยกีวงค์ และกนิษฐาน แปนสุวรรณ , พระธรรมคําส่ังสอนของพระพุทธเจ้า,
(กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพแ์ สงดาว, ๒๕๔๘), หนา้ ๑๑๕.
๔๑
ช่วยเหลือเกื้อกูลกันทําส่ิงท่ีเป็นประโยชน์บุคคลและชุมชน เป็นเพ่ือนกัน เป็นกัลยาณมิตร แม้ในยาม
วิบัติก็ไม่ทอดท้ิงกัน ประพฤติต่อหน้าอย่างไร ประพฤติลับหลังก็อย่างน้ัน เหมาะสมกับหน้าที่ ฐานะ
หน้าท่ีที่รับผิดชอบ และความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คุณธรรมท้ังสี่ประการน้ี มีในบุคคลใดก็ตาม จะ
เป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยวนํ้าใจคนไว้ได้ ก่อให้เกิดความเคารพ ความรัก ความนับถือต่อกันและกัน เป็น
เหมอื นราชรถนาํ พาหมูช่ นไปสู่ความสุขความเจริญทต่ี ้องการได้
๒.๔.๒ องคป์ ระกอบของสังคหวตั ถุ ๔
จากการได้ศึกษาท่ีมาและความหมายของสังคหวัตถุดังกล่าวข้างตน้ ทําให้ทราบที่มาและ
ความหมายของสงั คหวตั ถแุ ละองคป์ ระกอบของสังคหวตั ถุ ซ่งึ จะได้กล่าวต่อไปดงั น้ี
หลักธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่ีเรียกว่า สังคหวัตถุ คือหลักธรรมที่เปน็
เครอื่ งยดึ เหน่ยี วนํ้าใจผูร้ ่วมงาน เป็นหลักการสงเคราะหซ์ ึ่งกนั และกัน มี ๔ ประการไดแ้ ก๓่ ๑
ทาน การให้ เสียสละ เอ้ือเฟอื้ แบ่งปนั สิ่งใดของตน เพื่อประโยชน์แก่บุคคลอ่ืนไม่ เห็นแก่
ได้ฝา่ ยเดียว
ปิยวาจา พูดจาด้วยถ้อยคําที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดดว้ ยความจริงใจ ไมพ่ ูดหยาบคาย
กา้ วร้าว มีประโยชน์ เหมาะกับกาลเทศะ
อตั ถจริยา สงเคราะห์หรือการประพฤตใิ นสง่ิ ที่เปน็ ประโยชน์ต่อผอู้ ่ืน
สมานตั ตตา มคี วามสม่ําเสมอ ความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย
พระพุทธองค์ได้ทรงสอนวิธีท่จี ะทําตนให้เป็นที่รกั ของสังคมว่าข้ันแรก ให้ปรับที่ตัวของเรา
เองก่อน คือ ต้องทําตัวเราให้เป็นคนน่ารักเสียก่อน ด้วยการปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ซ่ึงเป็น
คุณธรรมเคร่อื งยึดเหนย่ี วใจคนผูกใจคนและประสานหมูช่ นให้มีความสามัคคี เป็นหลักธรรมทท่ี ําให้คน
เป็นท่ีรัก เป็นท่ีชอบใจของคนทั่วไป เป็นการปลูกไมตรี เต็มน้ําใจต่อกัน ทําให้สังคมเป็นสุข
ประกอบด้วยหลัก ๔ ประการ ดงั นี้ คอื
๑. ทาน การให้การเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่ เสียสละแบ่งปัน ช่วยเหลือกันด้วยการให้ส่ิงของ หรือ
ให้ความรแู้ ละแนะนําส่ังสอนด้วยน้ําใจไมตรี มีความโอบอ้อม อารี จะช่วยผูกใจคนไว้ได้การทําทานจะ
ไม่สูญเปล่า ผู้ท่ีให้ส่ิงที่ดีย่อมได้รับสิ่งท่ีดีตอบแทนดั่ง พุทธพจน์ท่ีว่า “มนาปทํายี ลภเต มนาปิ”
แปลว่า ผู้ให้สิง่ ท่นี ่าพอใจยอ่ มไดร้ ับส่งิ ที่นา่ พอใจ การให้ทานอาจให้ได้ วิธดี ้วยกนั คอื
๑) อามิสทาน ให้สง่ิ ของแกเ่ พอ่ื นหรอื ผ้อู นื่ ทดี่ ้อยกว่า รวมทั้งการใหร้ างวลั ตา่ ง ๆ เป็น
ตน
๒) วิทยาทานหรือธรรมทาน หมายถึง การให้ธรรม การให้ความรู้และแนะนําส่ังสอน
หรือการให้ในส่ิงท่ีดีเป็นประโยชน์ ทาน ๒ อย่าง คือ อามิสทาน คือการให้สิ่งของ และธรรมทานคือ
การใหธ้ รรม บรรดาทาน ๒ อยา่ งน้ี ธรรมทานเปน็ เลศิ ๓๒
๓๑ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๑๔๐/๑๖๗
๓๒ ข.ุ อติ .ิ (ไทย) ๒๕/๙๘/๔๗๓.
๔๒
๒. ปิยวาจา หรือ เปยยวัชชะ ความเป็นผู้มีวาจาน่ารัก พูดอย่างรักกัน วาจาเป็นท่ีรัก
วาจาดูดด่ืมน้าใจ หรือวาจาซาบซึ้งใจ คือ กล่าววาจาสุภาพ ไพเราะ อ่อนหวาน มีหางเสียง สมาน
สามัคคี ซาบซ้ึงใจ ทําให้เกิดไมตรีรักใคร่นับถือ ตลอดถึงคําแสดงประโยชน์ประกอบด้วยเหตุผลเป็น
หลักฐานจูงใจให้นิยม ยอมตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ทรงตรัสเตือนพระภิกษุให้พยายามหลีกเล่ียง
ถ้อยคําที่ขัดแย้งกัน พูดจาส่อเสียดเสียดสีกันอันนาไปสู่การทะเลาะวิวาทกัน พระพุทธองค์ทรงตรัสถึง
การพูดที่ประกอบด้วยประโยชน์ ดงั ปรากฏในอภยั ราชกุมารสูตร ๓๓ ดงั น้ี
ตถาคตรวู้ าจาที่ไม่จรงิ ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจาน้ันไม่เป็นทีร่ ัก ไม่เป็นที่
ชอบใจของคนอื่น ตถาคตไมก่ ลา่ วคานน้ั
ตถาคตรวู้ าจาท่ีจริง ท่ีแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจาน้ันไม่เป็นท่ีรัก ไม่เป็นท่ี
ชอบใจของคนอนื่ ตถาคตไมก่ ล่าวคาน้นั
ตถาคตรู้วาจาที่จริงที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นท่ี
ชอบใจของคนอ่นื ในขอ้ น้นั ตถาคตรู้กาลที่จะกล่าววาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาท่ีไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รักเป็นท่ีชอบ
ใจของคนอน่ื ตถาคตไมก่ ลา่ ววาจาน้นั
ตถาคตรู้วาจาที่จริง ที่แท้ ท่ีประกอบด้วยประโยชน์ และวาจาน้ันเป็นที่รัก เป็นท่ีชอบใจ
ของคนอ่ืนในข้อนั้น ตถาคตรู้กาลที่จะกล่าววาจาน้ัน ข้อน้ันเพราะเหตุไร เพราะตถาคตมีความเอ็นดู
ในหมู่สตั ว์ทั้งหลาย๓๔
สรุปความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้หลักการพูดไว้ดังน้ี ว่า ๑) ต้องเป็นความจริง
๒) เป็นคําสุภาพไพเราะอ่อนหวาน ๓) พูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ ๔) พูดแล้วเกิดการสมานสามัคคี
๕)พูดด้วยจิตเมตตา ๖) พูดถูกกาลเทศะ คือ ถูกเวลาและสถานท่ี จะเห็นได้ว่าการให้แต่เพียงอย่าง
เดียวน้ันไม่สามารถท่ีจะทําให้เป็นที่รักเป็นท่ี ชอบใจของคนท่ัวไปได้ จึงต้องรู้จักพูดจาปราศรัยให้
ไพเราะน่ิมนวล น่าฟัง เม่ือได้ฟังแล้วเกิดกําลังใจที่จะ ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกคนอยากทําความดีให้
ยิ่งขึ้นไป ไม่พูดจาสอดเสียดอันก่อให้เกิดความแตกแยก พูดแต่คําที่จะทําให้เกิดความสามัคคี
เปรียบเสมือนน้ําทิพย์ชโลมใจ ประสานใจทุก ๆ ดวง ให้เป็นหนึ่งเดียว เหมือนน้ําฝนประสานดิน
เหนยี วที่แตกระแหงให้เป็นผนื แผ่นเดยี วกัน
๓. อัตถจริยา การประพฤติประโยชนท์ ําประโยชน์แกเ่ ขา หลกั ธรรมข้อน้ีมุ่งสอนตน ด้าน
คือ การทําตนให้เป็นประโยชน์ และการทําในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ตลอดถึงช่วยแก้ไขปรับปรุงส่งเสริม
ในทางจริยธรรม ไดแ้ ก่
๑) การทาํ ตนให้เปน็ ประโยชน์ หมายถึง ทําตนให้มีคณุ คา่ ในสังคมทต่ี นอาศยั อยู่ ดว้ ย
การต้ังใจศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝนอบรมตนให้เป็นคนเจริญด้วยความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรม เป็น
บุตรที่ดีของบิดามารดาเป็นศิษย์ท่ีดีของครูอาจารย์ เป็นนักเรียนท่ีดีของสถานศึกษาเป็น พลเมืองที่ดี
ของประเทศชาติ ตลอดจนเป็นศาสนิกชนท่ดี ขี องพระพทุ ธศาสนาตลอดไป
๓๓ ข.ุ ม. (ไทย) ๑๓/๘๓/๘๘.
๓๔ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๕/๘๖.
๔๓
๒) การทาํ ในสง่ิ ทีเปน็ ประโยชน์ คือ เม่อื ทําตนให้เปน็ ประโยชนแ์ ลว้ ก็ตอ้ งสรา้ งตนให้
เป็นประโยชน์กับผู้อื่นด้วยการให้ความช่วยเหลือเก้ือกุลกัน ไม่นิ่งดูดาย มีนํ้าใจไมตรีต่อกันบําเพ็ญ
สาธารณประโยชน์ตามสติกาํ ลงั ทางพระพุทธศาสนาเรยี กวา่ “คนทาํ หมคู่ ณะใหง้ ดงาม”
๔. สมานัตตตา เอาตัวเข้าสมาน คือ การทําตน เสมอต้นเสมอปลาย ตลอดถึงวางตนให้
เหมาะสมแก่ฐานะภาวะ บคุ คลเหตกุ ารณแ์ ละส่ิงแวดลอ้ ม ไดแ้ ก่
๑) วางตนให้เหมาะสมกับฐานะท่ีตนมีอยู่ในสังคม เช่น เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็น
บิดามารดาเป็นครูอาจารย์ เป็นเพ่ือนบ้านกันเป็นต้น ตนอยู่ในฐานะอะไรก็วางตนให้เหมาะสม กับ
ฐานะที่เปน็ อยู่ และทําอย่างเสมอตนเสมอปลาย
๒) ปฏิบัติตนอย่างสมํ่าเสมอต่อคนทั้งหลาย ให้ความเสมอภาค ไม่เอารัดเอาเปรียบ
ผู้อื่น เสมอในสุขและทุกข์ คือ ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน ร่วมรับรู้ปัญหา และร่วมแก้ปัญหาเพ่ือประโยชน์
ของสังคม
ดังน้ัน ทุกคนจงต้องคอยศึกษาและหมั่นเตือนสติตนเองไว้ตลอดว่า ในแต่ละฐานะที่ตน
เป็นอยู่ มีหน้าที่อะไรบ้าง เมื่อรู้แล้วก็ต้องปฏิบัติตามหน้าท่ีน้ันให้สมบรูณ์ นอกจากน้ีเราก็ต้องทําตน
ให้เสมอตนเสมอปลายด้วย คือ เคยวางตัวกับคนอ่ืนในทางท่ีดีอย่างไร แม้ว่าเราจะได้ดิบได้ดีแล้ว
ก็ต้องไม่ลืมตัวยิ่งคงปฏิบัติตัวเหมือนเช่นเดิมน้ันไม่เปล่ียนแปลงหรือ ว่าเม่ือเราเห็นคนอื่นเขาได้ดี
กต็ ้องแสดงออกใหเ้ ขารับรู้วา่ เรามีความยินดีกับเขาอยา่ งจรงิ ใจ ไมค่ ิดกลั่นแกล้งใสร่ ้ายปา้ ยสเี ขา ถ้าทํา
ได้อย่างนี้ เราก็ย่อมจะเป็นที่รักท่ีพอใจของทุกคนรอบข้าง ดังเช่นเร่ืองของหัตถกอุบาสก ชาวเมือง
อาฬวี ผมู้ ีสงั คหวัตถธุ รรมประจาํ ใจ ดังน้ี๓๕ คอื
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตเมืองอาฬวี ลําดับน้ัน
หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี มีอุบาสกประมาณ ๕๐๐ คนแวดล้อมเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงท่ี
ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ท่ีสมควร พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสกับหัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี
วา่ หัตถกะ บรษิ ทั ของทา่ นนม้ี ากนัก ท่านส่งเคราะห์บริษทั จํานวนมากนอย่างไร
หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ส่งเคราะห์
บริษัทจํานวนมากนี้ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้ว
คือ ข้าพระองค์รู้ว่า ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยทานก็สงเคราะห์ด้วยทานรู้ว่าผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยคําพูด
อันไพเราะ ก็สงเคราะห์ด้วยคําพูดอันไพเราะรู้ว่า ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยการทําประโยชน์ให้ ก็
สงเคราะห์ด้วยการทําประโยชน์ให้รู้ว่า ผู้นี้ควรสงเคราะห์ด้วยการวางตัวสมํ่าเสมอ ก็สงเคราะห์ด้วย
การวางตวั สม่าํ เสมอ ขา้ แต่พระองค์ผู้เจรญิ โภคทรัพย์ในตระกูลของข้าพระองค์มีอยู่พร้อมคนท้งั หลาย
ย่อมเข้าใจคําพูดของข้าพระองค์ว่า ควรฟังไม่เหมือนคําพูดของคนจนพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละ
ดีละ หัตถกะวิธีนี้ของท่านเป็นอุบายที่จะสงเคราะห์บริษัทจํานวนมากได้ จริงอยู่ ใครก็ตามสงเคราะห์
บริษัทจํานวนมากได้ในอดีตกาล ก็ล้วนแต่สงเคราะห์ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการน้ีแล ใครก็ตามที่จัก
สงเคราะห์บริษัทจํานวนมากในอนาคตกาล ก็ล้วนจักสงเคราะห์บริษัทจํานวนมากในอนาคตกาล
๓๕ องฺ.อฎฐก. (ไทย) ๒๓/๒๔/๒๖๗.
๔๔
ก็ล้วนแต่จักสงเคราะห์ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการน้ีแล ใครก็ตามที่กําลังสงเคราะห์บริษัทจํานวนมาก
ในปัจจุบันก็ล้วนแต่สงเคราะห์ด้วยสงั คหวตั ถุ ๔ ประการนแ้ี ล
หลังจากน้ัน หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวีท่ีพระผู้มพี ระภาคเจ้าทรงช้ีแจงให้เห็นชัดชวนใจ
ให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล่วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดช่ืน ร่าเริงด้วยธรรมมีกถา
แลว้ ลุกจากท่ีน่งั ถวายอภิวาทพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทําประทักษณิ แล้วจากไป
ลําดับนั้น เมื่อหัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวีหลีกไปไม่นาน พระผู้พระภาครับส่ังเรียก ภิกษุ
ท้ังหลายมาตรัสว่า ภิกษุท้ังหลาย เธอท้ังหลายจงทรงจําหัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวีว่าเป็นผู้
ประกอบด้วยธรรมท่ีน่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฏ ๘ ประการ ธรรมที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยปรากฏ
๘ ประการ อะไรบา้ ง คือ หัตถกอบุ าสกชาวเมอื งอาฬวี ๑) เปน็ ผมู้ ีศรทั ธา ๒) เป็นผ้มู ีศีล ๓) เป็นผ้มู หี ิริ
๔) เปน็ ผมู้ ีโอตตัปปะ ๕) เปน็ พหสู ตู ๖) เป็นผมู้ ีจาคะ ๗) เป็นผู้มปี ญั ญา ๘) เปน็ ผูม้ ีความมักนอ้ ย
พระพุทธเจ้าบรมครูของโลก พระองค์ได้ทรงกล่าวถึงอานิสงส์ท่ีเกิดจากการสงเคราะห์
ประชาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ คือ ทาน (การให้) เปยยวัชชะ (วาจาเป็นท่ีรัก) อัถจริยา (การประพฤติ
ประโยชน์) สมานัตตตา (การวางตนสมํ่าเสมอ) อยู่เป็นประจํา เม่ือจุติจากเทวโลกมาแล้ว บุญที่เกิด
จากการให้ ทานเป็นประจํา จะทําให้ได้ลักษณะมหาบุรุษ คือ มีฝ่ามือและฝ่าเท้าอ่อนนุ่มและมีเส้นที่
ข้อพระองคุลีจดกันรูปตาข่าย งดงาม น่าดูน่าชม๓๖ และบุญที่เกิดจากการใช้ปิยวาจานั้น จะทําให้มี
พระชิวหาใหญ่ยาว และมีพระสุรเสียงดุจเสียงพรหม ตรัสดุจเสียงร้องของนกการเวกท่ีชัดเจน แจ่มใส
ไพเราะก้องกังวาน สามารถเหนี่ยวรั้งใจผ้ฟู ังให้ดืม่ ดํ่าไปกบั นา้ํ เสียงนัน้ สว่ นอานสิ งส์ของอัตถจรยิ าและ
สมานัตตตา นั้นจะทําให้มีญาติสนิทมิตรสหาย ตลอดจนพวกพ้องบริวารมากมาย รวมถึงพระราชา
มหาอํามาตย์ เศรษฐี มหาเศรษฐี พ่อค้า ประชาชนทุกชาติทุกภาษา ทั้งวรรณะต่าง ๆ ให้การยอมรับ
นับถือ ทั้งหมดจะมาเป็นพันธมิตร เป็นกัลยาณมิตรท่ีดีต่อกันและไม่ว่าจะไปที่ไหน ย่อมได้รับการ
ปฏิสันถารเปน็ อยา่ งด๓ี ๗
สรุปความว่า สังคหวัตถุ ๔ ประกอบด้วย ทาน คือ การช่วยเหลือแบ่งปันสิ่งของ ปัจจัย
เครื่องอาศัยของมนุษย์ ๔ ที่มีอยู่แก่ผู้อื่น การมีนํ้าใจเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ตลอดถึงการให้
ขอ้ มูลข่าวสารท่ีเปน็ ประโยชน์และถูกต้อง ทั้งให้ความรู้ความเขา้ ใจบุญและบาป ปิยวาจา คือ การพูด
วาจาไพเราะสุภาพ เป็นกันเอง พูดแต่ความจริง มีสาระมีประโยชน์ ส่งเสริมการทําความดี ส่งเสริม
ความสามัคคี ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียดทําให้ผู้แตกแยกกัน ไม่พูดจาหยาบคาย ให้ร้าย ทําให้ผู้อื่น
เสียใจ ใช้คําพูดอย่างเหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ อัตถจริยา คือ การทําประโยชน์แก่สาธารณะ
ด้วยแรงกายท่ีมีอยู่ ทําตนให้เป็นประโยชน์ ทั้งต่อตนเองและสังคมส่วนรวม ช่วยเหลือกิจการงานของ
ชุมชนส่วนรวม ไม่หลบเลื่ยงเก่ียงงาน สมานัตตตา คือ เสนอตัวเข้าไปสมานความสามัคคี วางตัวเป็น
กลาง ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมกันกับชุมชน หรือสมาชิกในองค์การ วางตัวเหมาะสมกับฐานะที่ ความ
เปน็ อยู่ ทงั้ ตอ่ หนา้ และลับหลงั ประพฤติตนเป็นประโยชนต์ อ่ ชมุ ชน และส่วนบคุ คลเสมอ
๓๖ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๑๐/๑๗๐ - ๑๗๑.
๓๗ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๓๖/๑๙๓.
๔๕
๒.๔.๓ หลักสังคหวัตถุ ๔ ประการกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงาน
ขององค์การบรหิ ารสว่ นตําบล
การมีส่วนรวมในการบริหารงานนั้น คือประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารงานของ
องค์การบริหารส่วนตําบล มีผลต่อการบริหารงานของนายกองค์การบริหารส่วนตําบล และจะส่งผล
ต่อผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงานอาจสําเร็จหรือไม่สําเร็จก็ได้ ถ้ามีความสําเร็จก็จะหยุดเพียง
เท่าน้ัน แต่ถ้าไม่ประสบผลสําเร็จจะท้อและเลิกทําการนั้น หากประชาชนนําหลักสังคหวัตถุธรรม ๔
ประการมาใช้ในการมีส่วนร่วมในการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตําบล จะให้ประสบ
ความสําเรจ็ เป็นทป่ี ระทับใจอยา่ งแทจ้ ริง ทุกภาคส่วนมีสว่ นร่วม ตลอดจนบุคลากรขององคก์ ารบริหาร
ส่วนตําบลก็ต้องนํามาปรับใช้ในการพัฒนา เพราะหลักสังคหวัตถุธรรม ๔ ประการเป็นหลักธรรมท่ียึด
เหนียวจิตใจของทกุ ๆ คน เพ่อื ให้การให้บรหิ ารจดั การดา้ นตา่ ง ๆ ท่ีออกมานนั้ เกดิ จากใจ ได้แก่
๑) ทาน ให้ปัน คือ เอื้อเฟ้ือ เผื่อแผ่ เสียสละ แบ่งปัน ช่วยเหลือสงเคราะห์ด้วยปัจจัยส่ี
ทนุ หรือ ทรพั ยส์ ินสงิ่ ของ ตลอดจนใหค้ วามรู้ ความเข้าใจและศลิ ปวิทยา
๒) ปิยวาจา พูดอย่างรักกัน คือ กล่าวคําสุภาพ ไพเราะ น่าฟัง ช้ีแจง แนะนําส่ิงท่ีเป็น
ประโยชน์ มีเหตุผล เป็นหลักฐาน ชักจูงในทางท่ีดีงามหรือแสดงความเห็นอกเห็นใจ ให้กําลังใจ รู้จัก
พูดใหเ้ กดิ ความเข้าใจดี สมานสามคั คี เกดิ ไมตรี ทาํ ใหร้ ักใคร่นบั ถือ และช่วยเหลอื เกื้อกลู กัน
๓) อัตถจริยา ทําประโยชน์แก่ คอื ชว่ ยเหลอื ด้วยแรงกาย และขวนขวายชว่ ยเหลอื กิจการ
ต่าง ๆ บาเพญ็ ประโยชน์ รวมท้ังช่วยแก้ไขปญั หาและชว่ ยปรับปรงุ ส่งเสริมในดา้ นจรยิ ธรรม
๔) สมานัตตตา เอาตัวเข้าสมาน คือ ทําตัวให้เข้ากับเข้าได้ วางตนเสมอต้นเสมอปลาย ให้
ความเสมอภาค ปฏิบัติสมํ่าเสมอกันต่อคนทั้งหลาย ไม่เอาเปรียบ และเสมอในสุขทุกข์ คือร่วม สุข
ร่วมทุกข์ ร่วมรับรู้ ร่วมแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขร่วมกัน จากใจจริง ไม่ใช่กระทําไปเพราะ
เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น แต่มีความมุ่งมาดปรารถนาดีอยากให้พวก เขามีความสุข ได้รับการบริหาร
จัดการทด่ี ๆี แล้วจะทําใหง้ านทกุ ดา้ นมีประสิทธิภาพและประสทิ ธผิ ลไปพรอ้ มกนั
เมื่อประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารแล้วนั้น ผู้บริหารต้องบริหารงานให้ประสบ
ความสําเร็จ แต่จะประสบความสําเร็จในโลกของการบริหารอย่างแท้จริงนั้นต้องการรู้จักจัดการกับ
๓ ส่ิงคือ
๑. การจัดการกับตนเอง (Managing Yourself) โดยเริ่มต้นที่การรู้จักวิเคราะห์ตนเอง
เปิดใจยอมรับจุดอ่อน จดุ แข็ง ของตน เพ่ือหาทางแก้ไขนสิ ัยท่ีไมด่ ี โดยคอ่ ยๆ ลดละหรือเลิกนิสัยเดมิ ที
ละน้อยๆ จนเลิกได้ในที่สุด เช่น รู้จักศักยภาพทางความรู้ ความสามารถ ทักษะของตน รู้ฐานะทาง
การเงินของตนว่ามีหน้ีสินหรือไม่เพียงใด หลังจากวิเคราะห์ตนเองแล้ว ต้องยอมรับจุดอ่อนของตน
และสร้างเสรมิ นสิ ัยใหมเ่ พื่อจะได้เปน็ ผูบ้ รหิ ารท่ีมีประสิทธิภาพ ซงึ่ ได้แก่
๑.๑ การทํางานเชิงรุก (Proactive) คือการทํางานที่มุ่งไปข้างหน้าโดยใช้
วิจารณญาณของตนทํางานเชงิ ป้องกนั ไว้ก่อนทเ่ี กิดปญั หา
๑.๒ เริ่มต้นการทํางานทุกอย่าง ด้วยการกําหนดจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์เสมอ
เพราะจะทาํ ใหท้ ิศทางในการทํางานและวธิ ีการปฏิบตั เิ พื่อใหบ้ รรลจุ ดุ มงุ่ หมายน้นั
๑.๓ จัดลําดับความสําคญั ก่อนหลังของงาน เพือ่ ไปสกู่ ารบรรลุจุดมุง่ หมาย
๔๖
๑.๔ คิดแบบ ชนะ – ชนะ (Think Win – Win) คือ การสร้างทัศนคติให้ทุกฝ่ายใน
องค์การเปน็ ผู้ชนะดว้ ยกนั ไมใ่ ช่ “ชนะ – แพ”้ จะยิง่ ทาํ ใหเ้ กดิ ความขัดแย้งในองค์การ
๑.๕ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยเฉพาะต้องเข้าใจพฤติกรรม และความต้องการ
ของผใู้ ตบ้ งั คบั บัญชาเสียก่อน เพราะผูบ้ ริหารตอ้ งอาศยั บคุ คลเหล่าน้ันทํางานให้บรรลุจุดมงุ่ หมาย
๑.๖ การประสานความคิดและความแตกต่างกันในองค์การให้เป็นหน่ึงเดียว เพ่ือ
สร้างพลงั ในองค์การให้รว่ มกนั พัฒนาและฝ่าฟันอุปสรรค
๑.๗ ความสามารถควบคุมตนเอง (Self – Regulation) โดยเฉพาะการคุมอารมณ์
(Emotional Intelligence) ผู้บริหารที่ดีจะต้องควบคุมอารมณ์ในการปฏิบัติงานได้ และคํานึงถึง
ผลกระทบของภาวะอารมณ์ตนที่อาจจะเกิดกับผ้อู น่ื อยเู่ สมอ
๒. การจัดการกับคนในองค์การ (Management People) ผู้บริหารจะต้องตระหนักถึง
คนในองค์การโดยเริ่มต้นจากการเข้าใจธรรมชาติของคน นิสัยใจคอพื้นฐาน และความต้องการ
เสียก่อน เมื่อเข้าใจผู้ใต้บังคับบัญชาในองค์การแล้ว ผู้บริหารต้องรู้จักใช้แรงจูงใจ (Motivation) เพื่อ
เกิดพฤติกรรมเชิงบวกในการทํางาน นอกจากน้ัน ผู้บริหารจะต้องใช้หลักการบริหารงานแบบมีส่วน
ร่วม (Participation) การกระจายงาน (Decentralization) การมอบหมายงาน (Empowerment)
การตดิ ต่อสอื สารแบบสองทาง ตลอดจนการกาํ กบั ติดตามควบคุมงาน (Monitoring) อยูห่ า่ ง ๆ
๓. การจัดการกับงาน (Managing Work) ผู้บริหารต้องรู้จักใช้ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์
องค์การบริหารองค์การ โดยเน้นคุณภาพเป็นหลัก หรือการนําเอาเอกหลักการบริหารคุณภาพ
(Quality Management) มาใช้ปรับปรุงระบบการทํางานแบบใหม่ จัดคนให้เหมาะกับงาน วาง
แผนการจัดสรรและควบคุมงบประมาณการจัดระบบอํานวยความสะดวกต่าง ๆ ตลอดจนการจัด
สภาพแวดล้อมในการทํางานที่เหมาะสมและเอื้ออํานวยต่อการทํางาน นอกจากน้ันผู้บริหารจะต้อง
ปรับองคก์ ารไปสู่ “องคก์ รแหง่ การเรยี นร”ู้ (Learning Organization)
สรุปความว่าหลักสังคหวัตถุธรรม ๔ ประการน้ี เป็นหลักธรรมยึดเหน่ียวจิตใจคนรอบข้าง
ท่ีร่วมกันทํางาน ทุกภาคส่วน ทําคนในองค์กรเดียวกันร่วมกันทํางานด้วยความรักความสามัคคี มี
ความเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แบ่งปัน พูดจาแนะนํากันด้วยถ้อยคําไพเราะ สุภาพ เป็นกันเอง เมื่อตนวางก็
อาสาตนช่วยงานส่วนรวม มีความเสียสละ ไม่นิ่งดูดายในกิจการงานของส่วนรวม และส่วนบุคคล
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ถือตัวถือตน หรือยึดติดกับตําแหน่ง วางตนเป็นกันเองกับทุกคนทั้งต่อหน้า
และลับหลัง เสมอตน้ เสมอปลาย ทําใหก้ ารทาํ งานร่วมกันสําเรจ็ เปน็ คนท่ีมคี วามสําเรจ็ ครองคน ครอง
งาน มีแนวความคิดใหม่ๆ มาพัฒนางาน พัฒนาองค์กรของตนเป็นลําดับไปจนถึงความมั่นคงยั่งยืน
สามารถจงู ใจคนในชุมชนมามสี ่วนรว่ มในการทาํ งานชองส่วนรวม ในชุมชน ในตําบลเป็นต้นได้
๒.๕ บริบทของตาํ บลบา้ นเล่า อาํ เภอเมอื งชัยภูมิ จังหวดั ชัยภูมิ
ประวัติความเป็นมาของตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิตําบลบ้านเล่า
เดิมช่ือ บ้านบ่อแก มีพ่อขุนหม่ืน สุรกิจ ได้นําราษฎร์มาต้ังบ้านเรือนอยู่อาศัย และเป็นกํานันสมัยนั้น
(คนแรก) มรี าษฎรมาอาศัยอยมู่ ากข้นึ จงึ ไดแ้ ยกมาตงั้ ช่ือบ้านใหม่ ช่ือวา่ "บา้ นเล่า"
๔๗
๒.๕.๑ เขตการปกครอง ๑๕ หม่บู ้านด้วยกนั ๓๘
หมู่ท่ี ๑ บ้านเสยี้ วนอ้ ย
หมูท่ ่ี ๒ บา้ นเล่า
หมู่ที่ ๓ บ้านเส้ียวใหญ่
หมทู่ ี่ ๔ บา้ นโพธิน์ ้อย
หมู่ที่ ๕ บ้านโนนทัน
หมู่ท่ี ๖ บ้านโพธใิ์ หญ่
หมู่ท่ี ๗ บ้านม่วง
หมู่ท่ี ๘ บา้ นกุดสวง
หมู่ที่ ๙ บา้ นหนองแวง
หมทู่ ี่ ๑๐ บา้ นโนนสะอาด
หมูท่ ่ี ๑๑ บา้ นเสีย้ วน้อยพัฒนา
หมู่ที่ ๑๒ บา้ นโพธ์ทิ อง
หมทู่ ่ี ๑๓ บา้ นหว้ ยม่วง
หม่ทู ี่ ๑๔ บา้ นเล่า
หมู่ท่ี ๑๕ บ้านโพธิ์เจรญิ
๒.๕.๒ พ้นื ท่ี
ตําบลบ้านเล่า ต้ังอยู่ทางทิศเหนือของ อ.เมืองชัยภูมิ ห่างจากอําเภอไปตามทางหลวง
แผน่ ดิน หมายเลข ๒๐๑ เปน็ ระยะทาง จากตัวจงั หวดั ประมาณ ๖ กม. มพี ืน้ ที่ประมาณ ๒๐,๖๑๒ ไร่
๒.๕.๓ เขตพ้ืนที่
ทิศเหนือ ตดิ กับ ต.นาเสยี ว และ ต.ฝาย อาํ เภอเมอื ง จงั หวดั ชยั ภมู ิ
ทศิ ใต้ ตดิ กับ ต.โพนทอง และ ต.รอบเมือง อาํ เภอเมือง จงั หวดั ชัยภูมิ
ทศิ ตะวันออก ตดิ กบั ต.โพนทอง อาํ เภอเมือง จงั หวัดชัยภูมิ
ทิศตะวันตก ตดิ กับ ต.นาฝาย อาํ เภอเมอื ง จังหวัดชัยภูมิ
๒.๕.๔ บรบิ ทองคก์ ารบริหารสว่ นตําบลบ้านเลา่ อําเภอเมอื งชัยภมู ิ จังหวัดชยั ภมู ิ
ผู้วิจัยได้สํารวจการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้าน
เลา่ อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ พบปัญหาท่นี ่าสนใจดังนี้ ๑) ประชาชนไมไ่ ด้รับรู้/ไดร้ ับรู้ข่าวสาร
ไม่เพียงพอ ตัวแทนประชาคมตําบลหมู่บ้าน และประชาชนท่ัวไปยังไม่ได้รับรู้หรือไม่ได้รับข้อมูล
ข่าวสารอย่างเพียงพอเก่ียวกับช่องทางและกฎหมายที่เก่ียวข้องที่จะเอ้ือต่อการมีส่วนร่วมของ
ประชาชน ในการกํากับดูแล และตรวจสอบการบริหารงานของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทําให้
๓๘ ไทตําบล, เขตการปกครอง, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา: https://www.thaitambon.com/tambon/
36108 [๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๓].
๔๘
ตัวแทนประชาคม และประชาชนท่ัวไปไม่รู้ว่าสามารถเสนอถอดถอนคณะผู้บริหารท้องถิ่น/ผู้บริหาร
ท้องถ่ินได้ ไม่รู้ว่ามี สิทธิที่จะเสนอข้อบัญญัติท้องถ่ินได้ เป็นต้น ๒) ประชาชนไม่เข้าใจอย่างเพียงพอ
เก่ียว กับความสําคัญและวิธีการเข้ามีส่วนร่วมจากการท่ีประชาชนในท้องถิ่นไม่ได้รับ/ได้รับข้อมูล
ข่าวสาร ไม่เพียงพอ ทําให้ประชาชนไม่เข้าใจถึงเหตุผลความ จําเป็นในการต้องเข้าไปร่วมและวิธีการ
ในการกํากับ ดูแลและตรวจสอบการทํางานของคณะผู้บริหาร ท้องถ่ิน/ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภา
ท้องถิ่น เช่น การเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมฟังการ ประชุมสภาท้องถิ่นได้ แต่ใน
ข้อเท็จจริง นอกจาก ประชาชนส่วนมากจะไม่รู้ว่าสามารถเข้าฟังได้แล้ว ยังไม่รู้ว่าทําไมตนเองจึงต้อง
เสียเวลาไปน่ังฟัง สมาชิกสภาอภิปรายถกเถียงกันในการออก ข้อบัญญัติท้องถิ่นด้วย ๓) ประชาชนไม่
มีโอกาสเข้ามีส่วนร่วม ในทางหลักการแล้วแม้ว่าจะมีกฎหมายท่ีสนับสนุน ส่งเสริมให้ประชาชนได้มี
ส่วนร่วมในการกํากับดูแล และตรวจสอบการทํางานขององค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ินก็ตาม แต่ในทาง
ปฏิบัติ ผู้บริหารองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นจํานวนหนึ่งก็ไม่สนับสนุน การมีส่วนร่วมของประชาชน
ในการกํากับดูแล และตรวจสอบการบริหารงานของตน เน่ืองจาก เห็นว่า บทบาทของประชาชนใน
เรื่องน้ีเป็นการ จับผิดการทํางานของตนเอง หรืออาจทําให้ การทํางานล่าช้า เป็นต้น ๔) ประชาชนไม่
เข้ามีส่วนร่วม ในทางปฏิบัติแล้ว นอกจากการไปใช้สิทธิเลือกต้ังระดับ ท้องถิ่นแล้วประชาชนมักจะมี
ส่วนร่วมในขอบเขต ท่ีจํากัดเนื่องจากประชาชนในท้องถ่ินโดยเฉพาะ ชุมชนชนบทต่างมีภารกิจที่ต้อง
ทํามาหากินเลี้ยง ครอบครัว จึงเห็นว่า การไปร่วมในการกํากับดูแล และตรวจสอบการทํางานของ
คณะผู้บริหารท้องถิ่น/ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถ่ินเป็นการ เสียเวลาหรือไม่มีความรู้ความ
เข้าใจเพียงพอในเร่ือง ท่ีจะเข้าไปร่วมหรือเห็นว่าอาจเป็นอันตรายต่อ ตัวเองและครอบครัว ใน
การศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเป้าหมายท่ีสําคัญของการพัฒนาระบบการเมือง
การปกครองขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินแบบประชาธิปไตย ซ่ึงเป็นตัวชี้วัดถึงระบบการปกครอง
ส่วนท้องถิ่นได้ คือ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นใดที่มีประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับสูงย่อม
แสดงถึงความเป็นประชาธิปไตยสูงแต่องค์การปกครองส่วนท้องถ่ินใดท่ีประชาชนมีส่วนร่วมทางการ
เมืองตาํ่ ย่อมแสดงถงึ ความเปน็ ประชาธปิ ไตยต่ําไปดว้ ย
๔๙
๒.๕.๕ จํานวนประชากรในเขตองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จงั หวดั ชัยภมู ิ๓๙
ตารางที่ ๒.๔ จํานวนประชากรในเขตองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัด
ชัยภมู ิ
หมู่ท/ี่ ตาํ บลบา้ นเลา่ จํานวนประชากร/คน
หม่ทู ี่ ๑ บา้ นเสีย้ วน้อย ๓๗๔
หมทู่ ี่ ๒ บา้ นเล่า ๖๙๐
หมู่ท่ี ๓ บ้านเสีย้ วใหญ่ ๖๐๙
หมทู่ ี่ ๔ บ้านโพธิน์ อ้ ย ๕๖๖
หมทู่ ี่ ๕ บ้านโนนทนั ๔๖๗
หมู่ที่ ๖ บ้านโพธ์ใิ หญ่ ๖๐๙
หมู่ที่ ๗ บา้ นมว่ ง ๖๔๗
หมู่ที่ ๘ บา้ นกุดสวง ๔๑๓
หมทู่ ่ี ๙ บา้ นหนองแวง ๘๕๓
หมูท่ ี่ ๑๐ บ้านโนนสะอาด ๗๒๙
หมู่ท่ี ๑๑ บา้ นเสย้ี วนอ้ ยพัฒนา ๓๘๓
หมู่ที่ ๑๒ บา้ นโพธิท์ อง ๕๙๕
หมู่ท่ี ๑๓ บา้ นห้วยมว่ ง ๖๐๑
หมทู่ ่ี ๑๔ บ้านเล่า ๖๒๗
หมู่ที่ ๑๕ โพธเิ์ จริญ ๕๕๒
๘,๗๑๕
รวม
๒.๖ งานวิจยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนในองค์การ
บริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ซ่ึงผู้วิจัยได้ทําการวิจัยวิจัยแบบผสม
ได้แก่ วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)
โดยมีงานวิจยั ท่ีเกยี่ วขอ้ งดงั ต่อไปน้ี
๓๙ ระบบสถิติทางการทะเบียน, รายงานสถิติจํานวนประชากรและบ้านประจําปี พ.ศ.๒๕๖๒,
https://stat.dopa.go.th/stat/statnew/statTDD/views/showDistrictData.php?statType=๑ &year=
๕๙&rcode=๓๖ [๒ กันยายน ๒๕๖๓].
๕๐
๒.๖.๑ งานวจิ ัยท่เี กยี่ วขอ้ งเกีย่ วกับการมสี ่วนร่วมทางการเมือง
บุญเชิด มารศรี ได้ทําการศึกษา เร่ือง บทบาทกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ท่ีมีต่อการเสริมสร้าง
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ศึกษากรณีอําเภอบึงสามัคคี จังหวัดกําแพงเพชร
ผลการวิจัยพบว่า ๑) กํานันผู้ใหญ่บ้านมีบทบาทในการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
ประชาชน โดยการพูดประชาสัมพันธ์ทางเสียงตามสายหมู่บ้านทุกวัน การเรียกประชุมประชาคมและ
เสวนาร่วมแสดงความคิดเห็นในหมู่บ้านทุกเดือน และการเคาะประตูบ้านเพ่ือให้ความรู้แก่ประชาชน
ในการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง การเข้าร่วมกิจกรรมการเข้าร่วมหาเสียง การไปร่วมเรียกร้องผลประโยชน์
สาธารณะ ดําเนินกิจการงานที่เก่ียวข้องกับโครงการและงบประมาณของหมู่บ้าน ๒) ปัญหาอุปสรรค์
และข้อจํากัดของกํานัน ผู้ใหญ่บ้านในการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน คือ
กํานัน ผู้ใหญ่บ้านยังขาดความรู้ ความเข้าใจต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ทั้ง
ประชาชน กํานัน ผู้ใหญ่บ้านยังห่วงเรื่องปากท้องของตัวเองมากกว่าการมีส่วนร่วมทางการเมือง ขาด
อสิ ระในการทําหนา้ ที่ เพราะต้องรับฟังและปฏิบัตติ ามนโยบายรฐั และยงั ถกู มองว่าเป็นหัวคะแนนของ
นักการเมือง ๓) แนวทางการพัฒนาบทบาทกํานัน ผู้ใหญ่บ้านในการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการ
เมืองของประชาชน ได้แก่ กํานนั ผูใ้ หญ่บ้านจะต้องมีความรู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเพิ่ม
มากข้ึน ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าร่วมทางการเมืองอย่างอิสระไม่ใช่การบังคับ ภาครัฐต้องมีการพัฒนา
คณุ ภาพชวี ิตของประชาชนใหม้ ีความกินดอี ยูด่ ี เพ่อื ขจดั ปัญหาระบบอุปถมั ภจ์ ากนกั การเมอื ง๔๐
สรุปได้ว่า ๑) กํานันผู้ใหญ่บ้านมีบทบาทในการเสรมิ สร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
ประชาชน โดยการพูดประชาสัมพันธ์ทางเสียงตามสายหมู่บ้านทุกวัน ๒) กํานัน ผู้ใหญ่บ้านในการ
เสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน คือ กํานัน ผู้ใหญ่บ้านยังขาดความรู้ ความเข้าใจ
ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ๓) กํานัน ผู้ใหญ่บ้านจะต้องมีความรู้ทางการเมือง
ในระบอบประชาธิปไตยเพิ่มมากขึ้น ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าร่วมทางการเมืองอย่างอิสระไม่ใช่การ
บังคับ ภาครัฐต้องมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความกินดีอยู่ดี เพื่อขจัดปัญหาระบบ
อุปถมั ภ์จากนักการเมอื ง
คงฤทธ์ิ กุลวงษ์ ได้ทําการศึกษา เรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขต
องค์การบริหารส่วนตําบลหนองบ่ออําเภอนาแก จังหวัดนครพนม ผลการวิจัย พบว่า การมีส่วนร่วม
ทางการเมืองของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตําบลหนองบ่อ โดยรวม และรายด้านอยู่ใน
ระดับมาก คือ ด้านข้อมูลข่าวสาร กล่าวคือ ประชาชนมีความสนใจในข้อมูลข่าวสาร ทางการเมือง
ด้านแสดงความคิดเห็น กล่าวคือ ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นทางการเมือง ด้านการตัดสินใจ
กล่าวคือ ประชาชนมีทัศนคติเก่ียวกับผู้นํา และการมีร่วมในการรับผลประโยชน์ทางการเมือง และ
๔๐ บุญเชิด มารศรี, “บทบาทกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่มีต่อการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
ประชาชน ศึกษากรณีอาํ เภอบึงสามัคคี จงั หวัดกําแพงเพชร”, วทิ ยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลยั :
๒๕๕๓), หนา้ ๑.
๕๑
ด้านการติดตามตรวจสอบ กล่าวคือประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบนโยบายของพรรค
การเมอื งและนกั การเมอื ง๔๑
สรุปได้ว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตําบล
หนองบ่อ โดยรวม และรายด้านอยู่ในระดับมาก คือ ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านแสดงความคิดเห็น ด้าน
การตดั สนิ ใจ และดา้ นการตดิ ตามตรวจสอบ
ปิยาณี กปิตถัย ได้ทําการศึกษา เร่ือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขต
พื้นที่เทศบาลเมืองนาสาร อาํ เภอนาสาร จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี โดยทําการศึกษาถึงพฤติกรรมการมีส่วน
ร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองนาสาร อําเภอนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี
แบ่งออกเป็นด้านการใช้สิทธ์ิเลือกต้ัง การรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมือง การแสดงความคิดเห็น
ทางการเมือง การเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมือง และการตรวจสอบการปฏิบัติงาน ผลการศึกษา
พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง นอกจากน้ียัง
พบว่า กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ี เพศ มีความสัมพันธ์กบั การมีส่วนรว่ มทางการเมอื งไมแ่ ตกต่างกัน ส่วนดา้ น อายุ
ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือนและสภาพการสมรสมีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการ
เมอื งท่ีความความแตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สําคญั ทางสถติ ทิ ี่ ๐.๐๕๔๒
สรุปได้ว่า การรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมือง การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง การ
เข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมือง และการตรวจสอบการปฏิบัติงาน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอยา่ งมี
ระดับการมสี ่วนร่วมทางการเมืองในภาพรวมอยใู่ นระดบั ปานกลาง
ปัทมาภรณ์ จันทรคณา ได้ทําการศึกษา เร่ือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของชนชั้น
กลางในเขตอําเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ผลการศึกษาของวัตถุประสงค์ข้อ ๑ พบว่า กลุ่ม
ตัวอย่างทุกกลุ่มไม่มีพฤติกรรมการส่งข้อความส้ัน (SMS) เพ่ือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง การทํา
อารยะขัดขืนหรือการต้ังกระทู้ในเว็บบอร์ดทางเว็บไซต์ แต่เคยเข้าไปอ่านการตั้งกระทู้ของผู้อื่นน้อย
ครั้ง ยกเวน้ กลุ่มผ้นู าํ ชุมชนทไ่ี ม่เคยเข้าไปอ่านกระทู้บนเว็บบอรด์ ของผู้อื่น แต่กลุม่ ตัวอยา่ งแต่ละกลุม่ มี
รูปแบบการมสี ่วนรว่ มทางการเมอื งในรูปแบบอ่ืนแตกตา่ งกนั ออกไป ไดแ้ ก่
(๑) กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ (แพทย์และพยาบาล) ส่งจดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เก่ียวกับการเมืองให้กับเพ่ือนร่วมงานและคนรู้จัก รวมถึงพูดคุยประเด็น
ทางการเมอื งในสถาบนั ครอบครัว และเพอื่ นรว่ มงาน
(๒) กลุ่มข้าราชการและอาจารย์มหาวิทยาลัย สําหรับข้าราชการส่งจดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เกี่ยวกับการเมืองให้กับเพื่อนร่วมงานและพูดคุยประเด็นเก่ียวกับการเมืองใน
๔๑ คงฤทธ์ิ กุลวงษ์, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตําบลหนอง
บ่ออาํ เภอนาแก จังหวัดนครพนม”, วารสารวชิ าการบณั ฑิตวทิ ยาลยั สวนดุสิต, (๒๕๖๑): ๑๒๐ – ๑๒๓.
๔๒ ปยิ าณี กปติ ถัย, “การมีสว่ นรว่ มทางการเมืองของประชาชนในเขตพ้ืนท่ีเทศบาลเมืองนาสาร อําเภอ
นาสาร จังหวัดสุราษฎรธ์ าน”ี , วทิ ยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ านโยบายสาธารณะ, (บัณฑิต
วทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลัยนเรศวร, ๒๕๕๔), หน้า ๑.
๕๒
หน่วยงาน โดยเฉพาะประเด็นทางการเมืองท่ีเข้ามาเก่ียวข้องกับสายงานของตน ในด้านอาจารย์
มหาวิทยาลัย ใช้ช่องทางการเขียนบทความทางวิชาการด้านการเมืองผ่านส่ือส่ิงพิมพ์และเว็บไซต์ รวม
ไปถึงสง่ จดหมายปิดผนกึ แจ้งปญั หาและเสนอแนวทางให้ส่วนราชการทรี่ บั ผดิ ชอบ
(๓) กลุ่มผู้ประกอบกิจการและตัวแทนหัวการค้าจังหวัดเชียงรายใช้ช่องทางการประชุม
ของหอการค้า เป็นเวทีในการเสนอแนะนโยบายให้หน่วยงานราชการท่ีเก่ียวข้อง และรัฐบาล นําไป
พิจารณา
(๔) กล่มุ ผนู้ ําชุมชนให้เวทีประชาคมเป็นช่องทางในการแสดงความคิดเห็นในชมุ ชนอยู่เป็น
ประจําผลการศึกษาของวัตถุประสงค์ข้อ ๒ พบว่าปัจจัยด้านอาชีพมีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการ
เมืองของชนช้ันกลางในอําเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายมากที่สุด รองลงมาคือปัจจัยการศึกษา
ปัจจัยครอบครัว และปัจจัยด้านการรับข้อมูลข่าวสาร ตามลําดับซ่ึงสาเหตุท่ีปัจจัยด้านการรับข้อมูล
ข่าวสารเป็นปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่มตัวอย่างในลําดับรองลงมา
เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร เพราแต่ละแหล่งที่มาของข้อมูลจะมีทัศนคติเอนเอียง
สนับสนุน หรือโจมตีฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นในความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง เห็นว่าข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ
เป็นข้อมูลท่ีเชื่อถือยาก มิได้อยู่บนหลักข้อเท็จจริง อนึ่ง เพ่ือให้ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมทางการ
เมอื งเกดิ ขนึ้ ในสังคมไทยมากขึ้น๔๓
สรุปได้ว่า (๑) กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ (แพทย์และพยาบาล) ส่งจดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เกี่ยวกับการเมืองให้กับเพ่ือนร่วมงานและคนรู้จัก รวมถึงพูดคุยประเด็น
ทางการเมืองในสถาบันครอบครัว และเพ่ือนร่วมงาน (๒) กลุ่มข้าราชการและอาจารย์มหาวิทยาลัย
สําหรับข้าราชการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เก่ียวกับการเมืองให้กับเพื่อนร่วมงานและ
พูดคุยประเด็นเกี่ยวกับการเมืองในหน่วยงาน โดยเฉพาะประเด็นทางการเมืองที่เข้ามาเก่ียวข้องกับ
สายงานของตน ในด้านอาจารย์มหาวิทยาลัย ใช้ช่องทางการเขียนบทความทางวิชาการด้านการเมือง
ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และเว็บไซต์ รวมไปถึงส่งจดหมายปิดผนึก แจ้งปัญหาและเสนอแนวทางให้ส่วน
ราชการที่รับผิดชอบ (๓) กลุ่มผู้ประกอบกิจการและตัวแทนหัวการค้าจังหวัดเชียงรายใช้ช่องทางการ
ประชุมของหอการค้า เป็นเวทีในการเสนอแนะนโยบายให้หน่วยงานราชการท่ีเกี่ยวข้อง และรัฐบาล
นําไปพิจารณา (๔) กลุ่มผู้นําชุมชนให้เวทีประชาคมเป็นช่องทางในการแสดงความคิดเห็นในชุมชนอยู่
เป็นประจําผลการศึกษาของวัตถุประสงค์ข้อ ๒ พบว่าปัจจัยด้านอาชีพมีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วม
ทางการเมืองของชนชั้นกลางในอําเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายมากที่สุด รองลงมาคือปัจจัย
การศึกษา ปัจจัยครอบครัว และปัจจัยด้านการรับข้อมูลข่าวสาร ตามลําดับซ่ึงสาเหตุท่ีปัจจัยด้านการ
รับข้อมูลข่าวสารเป็นปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่มตัวอย่างในลําดับ
รองลงมา เน่ืองจากกลุ่มตัวอย่างวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร เพราแต่ละแหล่งท่ีมาของข้อมูลจะมีทัศนคติ
เอนเอยี งสนับสนุน หรือโจมตีฝา่ ยตรงข้าม ดังนั้นในความเห็นของกลุม่ ตัวอย่าง เห็นว่าข้อมูลข่าวสารที่
๔๓ ปัทมาภรณ์ จันทรคณา, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองของชนช้ันกลางในเขตอําเภอเมืองเชียงราย
จังหวัดเชียงราย”, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๕๒), หน้า
๑๓๑–๑๓๓.
๕๓
ได้รับเป็นข้อมูลที่เช่ือถือยาก มิได้อยู่บนหลักข้อเท็จจริง อนึ่ง เพ่ือให้ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
ทางการเมอื งเกดิ ขน้ึ ในสังคมไทยมากขน้ึ
สมพิศ สุขแสน ได้ทําการศึกษา เรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขต
เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ ผลการวิจัยพบว่า ๑) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขต
เทศบาลเมอื งอุตรดติ ถ์ โดยภาพรวมอยู่ในระดบั ปานกลาง เมือ่ พิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการใช้
สิทธิการเลือกตั้งอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านการมีส่วนร่วมโดยตรงตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ด้าน
บทบาทเคล่ือนไหวทางการเมือง และด้านการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างจริงจังอยู่ในระดับน้อย ๒)
ปัจจัยความรู้ความเข้าใจทางการเมือง ด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ด้านส่ิงเร้าทางการเมือง ด้าน
สิ่งแวดล้อมทางการเมือง ด้านสังคมและเศรษฐกิจ ด้านความพึงพอใจในนโยบายและการบริหารงาน
ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ระดับปานกลาง ๓)
ปัญหาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ที่สําคัญบางครั้งไม่ไปใช้
สิทธิ์เลือกต้ังเพราไม่มีเวลาว่าง การไม่มีความรู้ความเข้าใจทางการเมืองเพราะการศึกษาน้อย และมี
ความขัดแย้งในชุมชน การเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองน้อย การไม่กล้าแสดง
ออกเปน็ กลุม่ สมาชกิ การเมอื งใด๔๔
สรุปได้ว่า ๑) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตเทศบาลเมือง
อุตรดิตถ์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ๒) ด้านความพึงพอใจในนโยบายและการบริหารงาน
ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตเทศบาลเมอื งอุตรดิตถร์ ะดบั ปานกลาง
สุรสิทธ์ิ สการันต์ ได้ทําการศึกษา เร่ือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคลากรทาง
การแพทย์ ของอําเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ผลการวิจัยพบว่า ๑) รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการ
เมืองของของบุคลากรทางการแพทย์โดยรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายได้พบว่าบุคลากร
ทางการแพทย์มีส่วนร่วมทางการเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้งอยู่ในระดับมาก ด้านการผลักดันการ
ตัดสินใจของรัฐบาล ด้านการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ด้านการติดตามข่าวสารทางการเมืองอยู่ในระดับ
ปานกลาง และด้านการชุมนุมเคล่ือนไหวทางการเมืองอยู่ในระดับน้อย ซึ่งสอดคล้องกับการท่ีได้ทํา
การสมั ภาษณ์แบบเชิงลกึ ถึงรูปแบบการมสี ่วนรว่ มทางการเมอื ง ๒) บุคลากรทางการแพทย์ทม่ี ีชอ่ งทาง
การรับข่าวสารทางการเมืองจากแหล่งต่างกัน มีการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่แตกต่างกัน และ
บุคลากรทางการแพทย์ท่ีมีความถี่การรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมืองแตกต่างกัน การมีส่วนร่วม
ทางการเมืองแตกต่างกัน อยา่ งมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ซึ่งสอดคลอ้ งกับผลการท่ีได้จากการ
สัมภาษณ์แบบเชิงลึกในเรื่องของช่องทางในการรับข่าวสารทางการเมืองกับการมีส่วนร่วมทางการ
เมือง๔๕
๔๔ สมพิศ สุขแสน, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ในเขตเทศบาลเมือง อุตรดิตถ์”,
วารสารวชิ าการ มหาวิทยาลัยราชภฏั อุตรดิตถ,์ ปที ี่ ๔ ฉบับที่ ๘ (มกราคม- มิถนุ ายน ๒๕๕๒): ๑.
๔๕ สุรสิทธิ์ สการันต์, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคลากรทางการแพทย์ ของอําเภอเมืองจังหวัด
สุพรรณบุรี”, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต แขนงวิชาการเมืองการปกครอง สาขาวิชารัฐศาสตร์, (บัณฑิต
วทิ ยาลัย: มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๓), หน้า ๑.
๕๔
สรุปได้ว่า ๑) รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของของบุคลากรทางการแพทย์โดย
รวมอยู่ในระดับมาก ๒) บุคลากรทางการแพทย์ที่มีช่องทางการรับข่าวสารทางการเมืองจากแหล่ง
ตา่ งกนั
ทิพยงค์ ฉัตรเสาวภัณฑ์ ได้ทําการศึกษา เร่ือง การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา
ความรูค้ วามเข้าใจทางการเมืองในระดับท้องถิ่น ของสตรีผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตพ้ืนที่เทศบาลเมืองแม่
ฮ่องสอน ผลการศึกษาสรุปไดด้ ังนี้ความรู้ความเขา้ ใจทางการเมืองในระดับทอ้ งถิ่นของสตรีผู้มีสิทธิ
เลือกตั้ง ในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองแมฮ่ ่องสอน พบวา่ สตรีผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่รับรูแ้ ละเขา้ ใจว่า
การปกครองทอ้ งถิ่น เป็นการปกครองแบบกระจายอํานาจ เทศบาลเมืองแม่ฮอ่ งสอน เป็นการปก
ครองสว่ นท้องถิ่น มีนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลมาจากการเลือกต้ังและมีวาระการดํารง
ตาํ แหน่ง ๔ ปีเป็นต้น ปัจจัยท่ีส่งผลให้สตรเี ข้ามามสี ่วนร่วมทางการเมือง ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง
ในตําแหน่ง นายกเทศมนตรีหรือสมาชิกสภาเทศบาล ในเขตพ้ืนท่ีเทศบาลเมืองแมฮ่ อ่ งสอน พบว่า
ปจั จัยท่ีทําให้ ผูห้ ญิงไดเ้ ขา้ มามีส่วนรว่ มทางการเมืองได้แกป่ จั จัยส่วนตัว ซึ่งท่ีผา่ นมาไดท้ ําหน้าที่ช่วย
เหลือและ พัฒนาสังคมมาโดยตลอด ทําหนา้ ท่ีเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข หัวหน้ากลุ่มเกษตรกร
กลุม่ สตรี อาสาสมัครปอ้ งกันภัยฝา่ ยพลเมืองหมู่บา้ น เปน็ ตน้ ทําใหร้ ับรู้ปัญหาความต้องการของ
ประชาชน เป็นอย่างดีประกอบกับเป็นคนในพ้ืนท่ีเทศบาลเมืองแม่ฮอ่ งสอนโดยกําเนิด จึงมีความตอ้ ง
การเขา้ มามีสว่ นรว่ มทางการเมืองรองลงมาคือ ปัจจัยด้านสังคม คือ สังคมไทยในปัจจุบันไม่ไดป้ ิดก้ัน
เรื่องเพศ หรือหา้ มไม่ใหเ้ พศหญิงเขา้ มามีบทบาททางการเมือง ปัจจัยดา้ นอ่ืน ๆ เช่น รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. ๒๕๕๐ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี๑๐ (พ.ศ.
๒๕๕๐- ๒๕๕๔) ท่ีไดก้ ําหนดให้หนว่ ยงานที่เกี่ยวข้องข้องดําเนินการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย
โดยเฉพาะ บทบาทของผูห้ ญิงในการบริหารและการปกครองทุกระดับ เป็นตน้ ในดา้ นรูปแบบการ
เข้าไปมสี ว่ นร่วมทางการเมืองของสตรีผู้มสี ิทธิเลือกต้ังในเขตเทศบาล เมืองแมฮ่ อ่ งสอนนัน้ พบวา่ สตรี
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ใหค้ วามสําคัญในการไปใชส้ ิทธิ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและ
สมาชิกสภาเทศบาล ติดตามข่าวการเมืองระดับท้องถ่ิน ไดเ้ ขา้ ร่วมกิจกรรมของชุมชนในการจัดการ
ปญั หาท้องถ่ิน ได้ตดิ ตามและตรวจสอบการทาํ งานของ หน่วยงานเทศบาลเปน็ ต้น๔๖
สรุปได้ว่า สตรีผู้มีสิทธิเลือกต้ังส่วนใหญ่ให้ความสําคัญในการไปใช้สิทธิ ลงคะแนนเสียง
เลือกต้ังนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาล ติดตามขา่ วการเมืองระดับทอ้ งถิ่น ได้เข้ารว่ ม
กิจกรรมของชุมชนในการจัดการปญั หาทอ้ งถิ่น ไดต้ ิดตามและตรวจสอบการทํางานของ หนว่ ยงาน
เทศบาลเปน็ ต้น
นันทิชา พรายศรี ได้ทําการศึกษา เรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการ
ปกครองท้องถ่ินของเทศบาลตําบลปราณบุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผลการศึกษา
๔๖ ทิพยงค์ ฉัตรเสาวภัณฑ์, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับท้องถิ่นของสตรี :กรณีศึกษาเขต
เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน”, การค้นคว้าอิสระรัฐศาตสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย:
มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่, ๒๕๕๕), หน้า ๖๗.
๕๕
พบว่า ๑. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการปกครองท้องถิ่นของเทศบาลตําบลปราณ
บุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พบว่าประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองในการปกครอง
ท้องถิ่นของเทศบาลตําบลปราณบุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยภาพรวมอยู่ในระดับ
มาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีส่วนร่วมอยู่ในระดับมากในด้านการเข้าไปมีส่วนร่วมตรวจสอบ
การดําเนินงานของเทศบาลตําบล เป็นอันดับแรก โดยประชาชนเข้าร่วมในกิจกรรมของประชาคม
หมู่บ้าน-ตาํ บล หรอื ของกลุ่ม องค์กรต่าง ๆ เพอื่ คุ้มครองผลประโยชน์ส่วนรวมของท้องถิน่ รองลงมาด้าน
การเข้าไปมีส่วนร่วมรับรู้ในกระบวนการบริหารราชการในเทศบาลตําบล ๒. โดยประชาชนเข้ารว่ มรับฟัง
หรืออ่านเอกสารการแถลงผลการดําเนินงานของเทศบาลตําบลและใช้สิทธิเพ่ือขอดูหรือทราบข้อมูล
ข่าวสารสาธารณะของเทศบาลตําบล ด้านการเข้าไปมีส่วนร่วมตัดสินใจร่วมกับเทศบาลตําบล ๓. โดย
ประชาชนมีส่วนร่วมกับเทศบาลตําบลในการตัดสินใจเร่ืองการสอดส้อง ดูแลรักษาสภาพแวดล้อมใน
ท้องถิ่นของท่านให้ดีข้ึน และมีส่วนร่วมอยู่ในระดับปานกลางในด้านการเข้าไปมีส่วนร่วมในการคิด
ร่วมกับเทศบาลตําบล ๔. โดยประชาชนเข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นหรือคัดค้านหรือร่วมการทํา
ประชาพิจํารณ์ในกิจกรรม/โครงการของเทศบาลตําบลที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตคนส่วนมากหรือ
สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นด้านการเข้าไปมีส่วนร่วมดําเนินการร่วมกับเทศบาลตําบลเป็นอันดับสุดท้าย โดย
ประชาชนไดร้ ่วมแสดงออกเพื่อต่อต้านหรือคัดคา้ นโดยสันติวิธี กรณไี ม่เห็นด้วยกบออกกฎหมายหรือการ
ออกเทศบญั ญัตเิ ทศบาลทมี่ ีผลกระทบตอ่ คนสว่ นมากในทอ้ งถิน่ ๔๗
สรุปได้ว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการปกครองท้องถิ่นของเทศบาล
ตําบลปราณบุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การอภิปรายผลผลการศึกษาการมีส่วนร่วม
ทางการเมืองของประชาชนในการปกครองท้องถ่ินของเทศบาลตําบลปราณบุรี อําเภอปราณบุรี
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์สามารถอภิปรายผลดังน้ี ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองในการปกครอง
ท้องถ่ินของเทศบาลตําบลปราณบุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยภาพรวมอยู่ในระดับ
มาก
สุวิน ศรีเมือง ได้ทําการศึกษา เร่ือง ทัศนคติและพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ของประชาชน :กรณีศึกษาเทศบาลตําบลทุ่งหลวง อําเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ผลการวิจัยสามารถ
สรุปได้ว่า ๑) ประชาชนให้ความสําคัญต่อการเมือง ๒) การรับรู้ข่าวสารททางการเมืองจากเทศบาล
ตําบลทุ่งหลวง ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ข่าวสารทางการเมืองโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง
๓) กระบวนการเรียนรู้ข่าวสารทางการเมืองจากเทศบาลตําบลทุ่งหลวง ประชาชนส่วนใหญ่มี
กระบวนการรับรู้ข่าวการเมืองโดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง ๔) ความคิดเห็นเก่ียวกับทัศนะคติ
ทางการเมืองของประชาชนต่อข่าวสารทางการเมืองจากเทศบาลตําบลทุ่งหลวงในทุก ๆ ด้าน
ประชาชนส่วนใหญ่มีทัศนคติต่อข่าวการเมืองโดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง ๕) การมีส่วนร่วม
ทางการเมืองของประชาชนจากเทศบาลตําบลทุ่งหลวง ประชาชนส่วนใหญ่เข้าร่วม การมีส่วนร่วม
๔๗ นันทิชา พรายศรี, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการปกครองท้องถิ่นของเทศบาล
ตําบลปราณบุรี อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์”, วิทยานิพนธ์รัฐศาตสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย:
มหาวิทยาลยั ราชภฏั เพชรบรุ ,ี ๒๕๕๔), หนา้ ๘๙ – ๙๓.
๕๖
ทางการเมืองในภาพรวมอยู่ใน ระดับปานกลาง ๖) ความแตกต่างระหว่างสภาพส่วนบุคคลทั่วไป ทาง
สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน โดยภาพรวมประชาชนมี
รายได้ต่างกันมีการมีส่วนร่วมทางการเมืองท่ีแตกต่างกัน มีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ ๐.๐๕ ๗)
ความแตกต่างระหว่างสภาพส่วนบุคคลทั่วไป ทางสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมกับการมีส่วนร่วม
ทางการเมืองของประชาชน พบว่า ประชาชนที่พักอาศัยในเขตพื้นที่เทศบาลตําบลทุ่งหลวงต่างกันมี
ส่วนร่วมทางการเมืองท่ีแตกต่างกัน มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ๘) ความสัมพันธ์ระหว่าง
ประชาชนมีการรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมือง กับทัศนคติทางการเมืองพบว่า ในภาพรวมการรับรู้
ขา่ วสารทางการเมืองมคี วามสัมพนั ธ์กบั การมีส่วนรว่ มที่แตกตา่ งกัน มีนยั สาํ คญั ทางสถติ ิทรี่ ะดับ ๐.๐๕
๙) ความสัมพันธ์ระหวา่ งประชาชนมีกระบวนการเรยี นรู้ขา่ วสารทางการเมืองกับทัศนคตทิ างการเมือง
ของประชาชน พบว่า ในภาพรวมประชาชนในตําบลทุ่งหลวงมีทัศนคติที่แตกต่างกันมีนัยสําคัญทาง
สถิติท่ีระดับ ๐.๐๕ และ ๑๐) ความสัมพันธ์ระหว่างทางทัศนคติทางการเมืองของประชาชนต่อ
ข่าวสารทางการเมืองกรอบความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองเทศบาลตําบลทุ่งหลวง
พบวา่ ในภาพรวมมีความแตกต่างกนั มีนัยสาํ คัญทางสถติ ิทรี่ ะดับ ๐.๐๕๔๘
สรปุ ไดว้ ่า ภาพรวมประชาชนในตําบลทุ่งหลวงมีทัศนคติทแี่ ตกต่างกันมีนัยสําคญั ทางสถิติ
ท่รี ะดบั ๐.๐๕ และ ๑๐) ความสัมพันธ์ระหว่างทางทศั นคติทางการเมอื งของประชาชนต่อข่าวสารทาง
การเมืองกรอบความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองเทศบาลตําบลทุ่งหลวง พบว่าใน
ภาพรวมมีความแตกตา่ งกนั มีนัยสาํ คญั ทางสถติ ิที่ระดับ ๐.๐๕
ณฐั รินทร์ เฉลมิ ฤทธิวฒั น ได้ทําการศกึ ษา เร่อื ง การมีสว่ นรว่ มทางการเมืองระดบั ท้องถ่นิ
ของสตรีในเขตเทศบาล ตําบลชุมแสง อําเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ผลการวิจัยพบว่า
๑. สตรีมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินอยูในระดับน้อย และเมื่อพิจารณา เป็นรายด้าน พบว่า
สตรีมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินด้านการเลือกต้ัง ด้านการแสดงความคิดเห็น ด้านการจัดตั้ง
และรวมกลุ่มผลประโยชน์และด้านการแสดงออกของประชาชน อยู่ในระดับน้อยทุกด้าน ๒. สตรีที่มี
สถานภาพสมรสต่างกัน มีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นไม่แตกต่างกัน ส่วนสตรีที่มีอายุ อาชีพ
ระดับการศึกษาสูงสุด รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และการเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมต่างกัน มีส่วนร่วม
ทางการเมืองระดบั ทอ้ งถิน่ แตกตา่ งกนั มีนยั สาํ คัญทางสถติ ิทีร่ ะดบั ๐.๐๕๔๙
สรปุ ได้วา่ ๑. สตรีมีส่วนร่วมทางการเมอื งระดับท้องถิ่นอยูในระดบั น้อย และเมอ่ื พิจารณา
เป็นรายด้าน พบวา สตรีมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นด้านการเลือกต้ัง ด้านการแสดงความ
คิดเห็น ด้านการจัดต้ังและรวมกลุ่มผลประโยชน์และด้านการแสดงออกของประชาชน อยู่ในระดับ
๔๘ สุวิน ศรีเมือง, “ทัศนคติและพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน: กรณีศึกษา
เทศบาลตําบลทุ่งหลวง อําเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี”, รายงานการวิจัย, (มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์, ๒๕๕๔),
หนา้ ๑.
๔๙ ณัฐรินทร์ เฉลิมฤทธิวัฒน, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของสตรีในเขตเทศบาล
ตําบลชุมแสง อําเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง”, รายงานการวิจัย, (วิทยาลัยการบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา,
๒๕๕๙), หน้า ๑๑๙ – ๑๒๔.
๕๗
น้อยทุกด้าน ๒. สตรีที่มีสถานภาพสมรสต่างกัน มีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินไม่แตกต่างกัน
ส่วนสตรีที่มีอายุ อาชีพ ระดับการศึกษาสูงสุด รายได้เฉล่ียต่อเดือน และการเป็นสมาชิก กลุ่มทาง
สังคมตา่ งกนั มีส่วนรว่ มทางการเมอื งระดบั ท้องถน่ิ แตกตา่ งกัน มนี ยั สาํ คัญทางสถิตทิ ่ีระดบั ๐.๐๕
พงษ์พัต วัฒนพงศ์ศิริ และสรุ ีย์พร สลบั สี ไดศ้ ึกษาวิจัย เรื่องการมีสว่ นรว่ มทางการเมือง
ของประชาชนต่อการปกครองท้องถิ่นในเทศบาลบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ผลการวืจัยพบว่า การ
มีส่วนร่วมของประชาชนต่อการปกครองท้องถ่ินเทศบาลตําบลบางบ่อ จังหวัด สมุทรปราการ ใน
ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x =๔.๐๑) และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านพัฒนาทางการเมือง อยู่
ในระดับมากท่ีสุด (x =๔.๒๒) รองลงมาด้านด้านสภาพแวดล้อมทางการเมือง อยู่ในระดับมาก (x =
๔.๑๗) ด้านความสนใจทางการเมือง อยู่ในระดับมาก (x =๔.๐๑) และด้านการรับรู้ข่าวสารทาง
การเมือง อยู่ในระดับมาก (x =๓.๕๗) ตามลําดับ ทั้งน้ีประชาชนที่มี เพศ อายุ รายได้เฉลี่ย ระดับ
การศึกษา ต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองแตกต่างกัน ส่วนประชาชนที่มี
อาชพี ตา่ งกนั มคี วามคดิ เห็นเกย่ี วกบั การมีส่วนร่วมทางการเมอื ง ไมแ่ ตกต่างกนั ๕๐
๒.๖.๒ งานวิจัยท่ีเกย่ี วข้องกบั หลกั ธรรมสงั คหวตั ถุ ๔
พระครูวินัยธรย่ิงยง ธมฺมวโร (โหมดศิริ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “ความพึงพอใจของ
ประชาชนต่อการบริหารงานตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ขององค์การบริหารส่วนตําบลบางกะไห อําเภอ
เมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา” ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ
๕๔.๕ มี อายุ ระหว่าง ๔๐-๔๙ ปี ร้อยละ ๓๑.๓ มีระดับการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ ๓๑.๑
มอี าชีพ รับจ้าง ร้อยละ ๓๑.๘ มีรายได้ต่อเดือนระหว่าง ๕,๐๐๑-๑๐,๐๐๐ บาท ร้อยละ ๔๖.๑ และมี
ระยะเวลาท่ีอาศัย อยู่ในตําบลบางกะไห มากกว่า ๒๐ ปี ร้อยละ ๖๓.๗ การให้บริการประชาชนตาม
หลักสังคหวัตถุ ๔ ขององค์การบริหารส่วนตําบลบางกะไห อําเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดย
ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉล่ีย ๓.๙๑ และเมื่อพิจารณารายละเอียดแต่ละด้าน พบว่า ด้านทาน
ด้านปิยวาจา ด้านอัตถจริยา ดา้ นสมานตัตตา อยู่ในระดับมากเชน่ เดียวกัน เม่ือเปรียบเทียบความเห็น
ของประชาชนต่อการบริหารงานตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ขององค์การบริการส่วนตําบลบางกะไห
อําเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่า ประชาชนที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ และมี
ระยะเวลาท่ีอาศัยอยู่ในตําบลบางกะไหที่ต่างกัน มีความเห็นต่อ การบริหารงานขององค์การบริหาร
สว่ นตําบลบางกะไห โดยรวมไมแ่ ตกตา่ งกนั ๕๑
๕๐ พงษ์พัต วัฒนพงศ์ศิริ และสุรีย์พร สลับสี, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนต่อการ
ปกครองทอ้ งถนิ่ ในเทศบาลบางบ่อ จงั หวัดสมุทรปราการ”, วารสารครศุ าสตร์มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร, ปีท่ี ๑
ฉบบั ที่ ๒ (มกราคม–เมษายน ๒๕๖๓): ๒๐๔.
๕๑ พระครูวินัยธรย่ิงยง ธมฺมวโร (โหมดศิริ), “ความพึงพอใจของประชาชนต่อการบริหารงานตาม
หลักสังคหวัตถุ ๔ ขององค์การบริหารส่วนตําบลบางกะไห อําเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา”, วิทยานิพนธ์พุทธ
ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๕๒).
๕๘
สรุปได้ว่า การให้บริการประชาชนตาม หลักสังคหวัตถุ ๔ ขององค์การบริหารส่วนตําบล
บางกะไห อาํ เภอเมอื ง จังหวดั ฉะเชงิ เทรา โดย ภาพรวมอยู่ในระดบั มาก คา่ เฉลีย่ ๓.๙๑
ธิดารัตน์ ศิละวรรณโณ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ความคิดเห็นของพนักงานส่วนตําบลต่อการ
บริหารงานขององค์การบริหารส่วนตําบลตามหลักสังคหวัตถุ กรณีศึกษาอําเภอแม่สะเรียง จังหวัด
แม่ฮ่องสอน ผลการวิจัยพบว่า ๑)พนักงานส่วนบุคคลมีความคิดเห็นว่าองค์การบริหารส่วนตําบลใน
เขตอําเภอ แมส่ ะเรียง จงั หวดั แม่ฮ่องสอน มีการบริหารงานตามหลักสังคหวัตถุ ๔ โดยรวมอยูใ่ นระดับ
มาก (ค่าเฉล่ียเท่ากับ ๓.๕๘) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า พนักงานส่วนตําบลมีความคิดเห็นต่อ
การบริหารงานตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ในด้านทาน ด้านปิยวาจา ด้านอัตถจริยา และด้านสมานัตตตา
อยู่ในระดับมากทุกด้าน (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ๓.๖๓, ๓.๕๙, ๓.๕๖, ๓.๕๕ ตามลําดับ) ๒)ผลการ
เปรียบเทียบความคิดเห็นของพนักงานส่วนตําบลต่อการบริหารงานองค์การบริหารส่วนตําบล อําเภอ
แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามหลักสังคหวัตถุ ๔ จําแนกตามสถานภาพส่วนบุคคล พบว่า
พนักงานส่วนตําบลท่ีมีอายุต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารตามหลักสังคหวัตถุ ๔ แตกต่างกัน
อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .๐๑ ส่วนพนักงานส่วนตําบลท่ีมีเพศ ระดับการศึกษา และ
ประสบการณ์การทํางานต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมุติฐานการวิจัย
๓)ข้อเสนอแนะต่อการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตําบลส่วนใหญ่เห็นว่าควรส่งเสริมให้มีการ
ปลูกจิตสํานึกในการแบ่งปัน ช่วยเหลือกัน เพื่อให้เกิดการร่วมมือกันทํางานท่ีดีขึ้น และพนักงานส่วน
ตําบลควรปฏิบัติหน้าท่ีอย่างเต็มกําลังความสามารถ โดยคํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ให้
ความเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ การพูดจาทักทายกันด้วยความสุภาพอ่อนหวาน และหลีกเล่ียงคําพูดท่ีทําให้เกิด
ความขัดแย้งและทําร้ายกัน มีความสามัคคี ให้ความช่วยเหลือเพ่ือนร่วมงานอย่างเต็มกําลัง
ความสามารถควรมีความกระตือรือร้นท่ีจะช่วยเหลือผู้อ่ืนและสังคม ปฏิบัติกับทุก ๆคนด้วยความ
เสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ ในการตดั สินปัญหาต้องเป็นไปด้วยความบรสิ ุทธิ์ยตุ ิธรรมตามเหตุและผล ไม่
ใช้อารมณ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง มีหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานในการพิจารณาเลื่อนข้ันและลงโทษอย่าง
ชัดเจนสามารถตรวจสอบได้ และผู้บริหารควรใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนามาช่วยในการบริหารงาน
ภายในองค์กรให้มากข้ึนเพื่อให้องค์การบริหารส่วนตําบลเป็นองค์กรที่มีคุณภาพสามารถช่วยเหลือ
ประชนชนได้อยา่ งแทจ้ ริง ๕๒
สรุปได้ว่า พนักงานส่วนบุคคลมีความคิดเห็นว่าองค์การบริหารส่วนตําบลในเขตอําเภอ
แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีการบริหารงานตามหลักสังคหวัตถุ ๔ โดยรวมอยู่ในระดับมาก
(ค่าเฉลย่ี เท่ากับ ๓.๕๘ )
พระสักชัย จิตฺตสุโภ (ลุ่ยดี) ได้ทําการศึกษาวิจัยวิจัยเร่ือง “ความพึงพอใจของประชาชน
ต่อการให้บริการตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ของสํานักงานเทศบาลนครสวรรค์” ผลการวิจัย
๕๒ ธิดารัตน์ ศิละวรรณโณ, “ความคิดเห็นของพนักงานส่วนตําบลต่อการบริหารงานขององค์การ
บริหารส่วนตําบลตามหลักสังคหวัตถุ ๔ กรณีศึกษา : อําเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน,” วิทยานิพนธ์พุทธ
ศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวทิ ยาลัย: มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๓).
๕๙
พบว่าประชาชนท่ีมารับบริการจากสํานักงานเทศบาลนครสวรรค์ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็น
เพศหญิง คิดเป็น ร้อยละ ๕๔.๗ มีอายุ ๒๐-๓๕ ปี คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๒ มีการศึกษาระดับปริญญาตรี
คิดเป็นร้อยละ ๓๒.๘ อาชีค้าขาย/นักธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ ๒๙.๔ และมีรายได้ ๗,๐๐๐-๑๕,๐๐๐
บาท คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๒ ประชาชนมีความพึงพอใจต่อการให้บริการตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ของ
สาํ นกั งานเทศบาลนครสวรรค์ โดยภาพรวมอย่ใู นระดบั มาก มีคา่ เฉลยี่ (x =๓.๘๓) เม่อื พจิ ารณาเปน็
รายด้าน พบวา่ ประชาชนมคี วามพงึ พอใจตอ่ การให้บรกิ าร อยใู่ นระดับมากทกุ ด้าน๕๓
สรุปได้ว่า ประชาชนที่“ความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการตามหลักสังคหวัตถุ
๔ ของสํานักงานเทศบาลนครสวรรค์” มารับบริการจากสํานักงานเทศบาลนครสวรรค์ผู้ตอบ
แบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง มีความพึงพอใจต่อการให้บริการตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ของ
สํานักงานเทศบาลนครสวรรค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ประชาชนมีความพึงพอใจต่อการ
ใหบ้ ริการ อยใู่ นระดบั มากทุกดา้ น
พระมหาธเนศร์ ติกฺขวีโร (ศรีนอก) ไดว้ ิจัยเร่ือง “ความพึงพอใจของผูโ้ ดยสารต่อการ ให้
บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทยตามหลักสังคหวัตถุ ๔ : กรณีศึกษาสถานีรถไฟหัวลําโพง
กรุงเทพมหานคร” ผลการศึกษาพบว่า ผูโ้ ดยสารการรถไฟแห่งประเทศไทย สถานีรถไฟหัวลําโพง
กรุงเทพมหานคร มีความพึงพอใจต่อการให้บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทย สถานีรถไฟหัว
ลําโพง กรงุ เทพมหานคร ตามหลักสงั คหวตั ถุ ๔ โดยภาพรวมอย่ใู นระดับปานกลาง เม่อื พจิ ารณาในแต่
ละด้านสรุปไดด้ ังนี้ ด้านทาน ด้านปยิ วาจา ดา้ นอัตถจริยา โดยภาพรวมอยูใ่ นระดับปาน
กลาง สว่ นด้านสมานัตตตาอยู่ในระดับมาก เม่ือจําแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบวา่ ความพึงพอใจ
ของผูโ้ ดยสาร ต่อการให้บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทย สถานีรถไฟหัวลําโพง กรุงเทพมหานคร
ตาม หลักสังคหวัตถุ ๔ จําแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และประสบการณก์ ารใชบ้ ริการ
มี ความพึงพอใจไม่แตกต่างกัน สว่ นรายได้ มีความพึงพอใจแตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ี
ระดับ ๐.๐๕ ๕๔
สรุปได้ว่า ประชาชนมีความพึงพอใจของผูโ้ ดยสารตอ่ การ ใหบ้ ริการของการรถไฟแหง่
ประเทศไทยตามหลักสังคหวัตถุ ๔ : กรณีศึกษาสถานีรถไฟหัวลําโพง กรุงเทพมหานคร โดยภาพรวม
อย่ใู นระดับปานกลาง และในด้านทาน ดา้ นปิยวาจา ด้าน อัตถจริยา อยใู่ นระดบั ปานกลาง
บุณฑริกา ภูท่ อง ได้วิจัยเร่ือง “ความพึงพอใจของประชาชนต่อการใหบ้ ริการตาม
หลักสังคหวัตถุ ๔ ของโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค”์ ผลการศึกษาพบวา่
๕๓ พระสักชัย จิตฺตสุโภ (ลุ่ยดี), “ความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการตามหลักสังคหวัตถุ ๔
ของสํานักงานเทศบาลนครสวรรค์”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. (บัณฑิต
วิทยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๔).
๕๔ พระมหาธเนศร์ ติกฺขวโี ร (ศรนี อก), “ความพึงพอใจของผ้โู ดยสารต่อการใหบ้ รกิ ารของการรถไฟ แห่
งประเทศไทยตามหลักสังคหวัตถุ ๔ : กรณีศึกษาสถานรี ถไฟหัวลาํ โพง กรุงเทพมหานคร”, วิทยานิพนธพ์ ุทธศาสตร
มหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓).
๖๐
ประชาชนมีความพึงพอใจตอ่ การให้บริการตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ของโรงพยาบาลสวรรคป์ ระชารักษ์
จังหวัดนครสวรรค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเปน็ รายดา้ น พบว่า ประชาชนมีความ
พึงพอใจต่อการใหบ้ ริการตามหลักสังคหวัตถุ ๔ มากทุกด้าน และเม่ือพิจารณารายข้อ พบว่า
ประชาชนมีความพึงพอใจตอ่ การให้บริการมากทุกขอ้ ระดับความพึงพอใจของประชาชนตอ่ การ ให้
บริการตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ของโรงพยาบาลสวรรคป์ ระชารักษ์ เม่ือจําแนกตามลักษณะทาง
ประชากรศาสตร์ แตล่ ะประเภท พบวา่ ประชาชนท่ีมีอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายไดต้ ่างกัน
มี ความพึงพอใจแตกตา่ งกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ ๐.๐๕ และ .๐๑๕๕
สรุปได้ว่า ประชาชนมีความพึงพอใจต่อการให้บริการตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ของ
โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค โดยภาพรวมอยูใ่ นระดับมาก และ มีความพึง
พอใจต่อการให้บริการตามหลกั สงั คหวตั ถุ ๔ มากทกุ ดา้ น
ตารางที่ ๒.๕ สรุปงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้อง
นกั วิชาการ/แหลง่ ข้อมลู สรปุ แนวคิด
บญุ เชดิ มารศรี (๒๕๕๓, หนา้ ๑)
ผลการวิจัยพบว่า ๑) กํานันผู้ใหญ่บ้านมีบทบาทในการ
คงฤทธ์ิ กลุ วงษ์ (๒๕๖๑, หน้า ๑๒๐ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน โดยการ
– ๑๒๓) พูดประชาสัมพันธ์ทางเสียงตามสายหมู่บ้านทุกวัน ๒) กํานัน
ผู้ใหญ่บ้านในการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
ประชาชน คือ กํานัน ผู้ใหญ่บ้านยังขาดความรู้ ความเข้าใจต่อ
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ๓) กํานัน
ผู้ ให ญ่ บ้ าน จะต้ องมี ค วาม รู้ท างก ารเมื อ งใน ระบ อ บ
ประชาธิปไตยเพ่ิมมากขึ้น ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าร่วมทาง
การเมืองอย่างอิสระไม่ใช่การบังคับ ภาครัฐต้องมีการพัฒนา
คณุ ภาพชวี ิตของประชาชนให้มีความกินดีอย่ดู ี เพอ่ื ขจดั ปัญหา
ระบบอปุ ถัมภ์จากนักการเมอื ง
ผลการวิจัยพบว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
ในเขตองค์การบริหารส่วนตําบลหนองบ่อ โดยรวม และราย
ด้านอยู่ในระดับมากคือ ด้านข้อมูลข่าวสาร กล่าวคือ
ประชาชนมีความสนใจในข้อมูลข่าวสารทางการเมืองน้อย
ด้านแสดงความคิดเห็นกล่าวคือประชาชนได้แสดงความ
คิดเหน็
๕๕ บุณฑริกา ภูท่ อง, “ความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ของ
โรงพยาบาลสวรรคป์ ระชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค”์ , วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย:
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔).
๖๑
นักวิชาการ/แหล่งขอ้ มลู สรุปแนวคิด
คงฤทธิ์ กุลวงษ์ (๒๕๖๑, หนา้ ๑๒๐
– ๑๒๓) (ต่อ) ทางเมืองน้อย ด้านการตัดสินใจ กล่าวคือ ประชาชนมีทัศนคติ
ปยิ าณี กปติ ถัย (๒๕๕๔, หนา้ ๑) เกี่ยวกับผู้นํา และการมีร่วมในการรับผลประโยชน์ทาง
ปัทมาภรณ์ จนั ทรคณา การเมืองน้อย และด้านการติดตามตรวจสอบ กล่าวคือ
(๒๕๕๒, หน้า ๑๓๑ – ๑๓๓) ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบนโยบายของ
พรรคการเมืองและนักการเมอื งนอ้ ย
สมพศิ สุขแสน (๒๕๕๒, หน้า ๑)
สรุ สิทธ์ิ สการนั ต์ (๒๕๕๓, หนา้ ๑) ผลการวิจัยพบว่า การรับรู้ข้อมูลข่าวสารทางการเมือง การ
แสดงความคิดเห็นทางการเมือง การเข้าร่วมในกิจกรรมทาง
การเมือง และการตรวจสอบการปฏิบัติงาน ผลการศึกษา
พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในภาพ
รวมอยูใ่ นระดบั ปานกลาง
ผลการวิจัยพบว่า (๑) กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์
(แพทย์และพยาบาล) ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail)
เก่ียวกับการเมืองให้กับเพื่อนร่วมงานและคนรู้จัก รวมถึง
พูดคุยประเด็นทางการเมืองในสถาบันครอบครัวและเพื่อน
ร่วมงาน (๒) กลุ่มข้าราชการและอาจารย์มหาวิทยาลัย
สําหรับขา้ ราชการสง่ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์(e-mail) เก่ยี วกับ
การเมืองให้กับเพื่อนร่วมงาน (๓) กลุ่มผู้ประกอบกิจการและ
ตัวแทนหัวการค้า จังหวัดเชียงรายใช้ช่องทางการประชุมของ
หอการค้า เป็นเวทีในการเสนอแนะนโยบายให้หน่วยงาน
ราชการที่เกี่ยวข้อง และรัฐบาล นําไปพิจารณา (๔) กลุ่มผู้นํา
ชุมชนให้เวทีประชาคมเป็นช่องทางในการแสดงความคิดเห็น
ในชุมชนอยู่เป็นประจําผลการศึกษาของวัตถุประสงค์ข้อ ๒
พบว่าปัจจยั ด้านอาชีพมีอิทธพิ ลต่อการมีส่วนรว่ มทางการเมอื ง
ของชนช้ันกลางในอําเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายมาก
ที่สดุ
ผลการวิจัยพบว่า ๑) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ โดยภาพรวมอยู่ใน
ระดับปานกลาง ๒) ด้านความพึงพอใจในนโยบาย และการ
บริหารงานส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการของประชาชนใน
เขตเทศบาลเมอื งอุตรดติ ถ์ระดบั ปานกลาง
ผลการวิจัยพบว่า ๑) รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
ของบคุ ลากรทางการแพทย์โดยรวมอยใู่ นระดับมาก
๒) บุคลากรทางการแพทย์ที่มีช่องทางการรับข่าวสารทาง
การเมืองจากแหลง่ ตา่ งกนั
๖๒
นักวิชาการ/แหลง่ ข้อมลู สรปุ แนวคดิ
ทิพยงค์ ฉัตรเสาวภัณฑ์ (๒๕๕๕,
หน้า ๖๗) ผลการวิจัยพบว่า สตรีผูม้ ีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ให้ความสําคัญ
ในการไปใช้สิทธิ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและ
นนั ทชิ า พรายศรี (๒๕๕๔, หนา้ ๘๙ สมาชิกสภาเทศบาล ติดตามข่าวการเมืองระดับทอ้ งถ่ิน ไดเ้ ข้
– ๙๓) าร่วมกิจกรรมของชุมชนในการจัดการปัญหาทอ้ งถิ่น ได้
สุวิน ศรเี มือง (๒๕๕๔, หนา้ ๑) ตดิ ตามและตรวจสอบการทํางาน
ณฐั รินทร์ เฉลมิ ฤทธิวัฒน (๒๕๕๙, ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
หน้า ๑๑๙ – ๑๒๔) ประชาชนในการปกครองท้องถิ่นของเทศบาลตําบลปราณบุรี
อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยภาพรวมอยู่ใน
พระครวู ินยั ธรย่งิ ยง ธมมฺ วโร (โหมด ระดบั มาก
ศริ ิ) (๒๕๕๒) (ต่อ)
ผลการวิจัยพบว่า ภาพรวมประชาชนในตําบลทุ่งหลวงมี
ธิดารตั น์ ศลิ ะวรรณโณ (๒๕๕๓) ทัศนคติท่ีแตกต่างกันมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ และ
ความสัมพันธ์ระหว่างทางทัศนคติทางการเมืองของประชาชน
กรอบความคิดเห็นเก่ียวกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง
เทศบาลตําบลทุ่งหลวง พบว่าในภาพรวมมีความแตกต่างกัน
มีนยั สําคัญทางสถิติท่ีระดับ ๐.๐๕
ผลการวิจัยพบว่า ๑. สตรีมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับ
ท้องถ่ินอยูในระดับน้อย ๒. สตรีที่มีสถานภาพสมรสต่างกัน มี
ส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นไม่แตกต่างกันส่วนสตรีที่มี
อายุ อาชีพ ระดับการศึกษาสูงสุด รายได้เฉล่ียต่อเดือน และ
การเป็นสมาชิก กลุ่มทางสังคมต่างกันนัยสําคัญทางสถิติที่
ระดบั ๐.๐๕
ผลการวิจัยพบวา่ การใหบ้ ริการประชาชนตาม หลักสังคหวัตถุ
๔ ขององค์การบริหารส่วนตําบลบางกะไห อําเภอเมือง
จังหวัดฉะเชิงเทรา โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย
๓.๙๑ และเมื่อพิจารณารายละเอียดแต่ละด้าน พบว่า ด้าน
ทาน ด้านปิยวาจา ด้านอัตถจริยา ด้านสมานตัตตา อยู่ใน
ระดับมากเช่นเดียวกัน เม่ือเปรียบเทียบความเห็น ของ
ประชาชนต่อการบริหารงานตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ของ
องค์การบริการส่วนตําบลบางกะไห อําเภอเมือง จังหวัด
ฉะเชิงเทรา พบว่า ประชาชนท่ีมีเพศ อายุ ระดับการศึกษา
อาชีพ รายได้ และมี ระยะเวลาท่ีอาศัยอยู่ในตําบลบางกะไหที่
ต่างกัน มีความเห็นต่อ การบริหารงานขององค์การบริหาร
ส่วนตําบลบางกะไห โดยรวมไมแ่ ตกต่างกนั
ผลการวิจัยพบว่า ๑)พนักงานส่วนบุคคลมีความคิดเห็นว่า
องค์การบริหารส่วนตําบลในเขตอําเภอ แม่สะเรียง จังหวัด
๖๓
นกั วชิ าการ/แหลง่ ขอ้ มลู สรปุ แนวคิด
แม่ฮ่องสอน มีการบริหารงานตามหลักสังคหวัตถุ ๔ โดยรวม
อยู่ในระดับมาก) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า พนักงาน
ส่วนตําบลมีความคิดเห็นต่อการบริหารงานตามหลักสังคห
วัตถุ ๔ อยู่ในระดับมากทุกด้าน ๒)ผลการเปรียบเทียบความ
คิดเห็นของพนักงานส่วนตําบลต่อการบริหารงานองค์การ
บริหารส่วนตําบล อําเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาม
หลักสังคหวัตถุ ๔ จําแนกตามสถานภาพส่วนบุคคล พบว่า
พนักงานส่วนตําบลท่ีมีอายุต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการ
บริหารตามหลักสังคหวัตถุ ๔ แตกต่างกัน ๓)ข้อเสนอแนะต่อ
การบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตําบลส่วนใหญ่เห็นว่า
ควรส่งเสริมให้มีการปลูกจิตสํานึกในการแบ่งปัน ชว่ ยเหลือกัน
มีความบ่งปัน เอื้อเฟอ้ื เผเ่ ผยรวมกนั ของประชาชน
พระสกั ชยั จิตฺตสุโภ (ล่ยุ ด)ี , (๒๕๕๔) ประชาชนที่“ความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการ
ตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ของสํานักงานเทศบาลนครสวรรค์” มี
ความพึงพอใจต่อการให้บริการตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ของ
สํานักงานเทศบาลนครสวรรค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก
ความพึงพอใจตอ่ การใหบ้ รกิ าร อย่ใู นระดับมาก
๒.๗ กรอบแนวคดิ ทีใ่ ช้ในการวจิ ัย
จากการรวบรวมแนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของงานวิจัยที่
เกี่ยวข้องท้ังหมด ๑๐ เรื่อง ผู้วิจัยได้นําแนวคิดของ คงฤทธ์ิ กุลวงษ์ เร่ือง การมีส่วนร่วมทางการเมือง
ของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตําบลหนองบ่ออําเภอนาแก จังหวัดนครพนม การศึกษาคร้ัง
น้มี ีความมุง่ หมายเพ่ือศกึ ษาการมีส่วนรว่ มทางการเมืองของประชาชนในเขตองค์การบรหิ ารส่วนตําบล
หนองบ่อ อําเภอนาแก จังหวัดนครพนม จึงได้สรุปกรอบแนวคิด และตัวแปรในการศึกษาวิจัยเร่ือง
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จังหวดั ชยั ภูมิ ดงั นี้
ตัวแปรอสิ ระ (Independent Variables) ๖๔
ขอ้ มูลทว่ั ไป ตัวแปรตาม (Dependent Variables)
๑. เพศ
๒. อายุ การมสี ่วนร่วมทางการเมอื งระดบั ทอ้ งถน่ิ
๓. การศกึ ษา ของประชาชนในองคก์ ารบริหารสว่ นตาํ บล
๔. อาชีพ บา้ นเลา่ อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ
สังคหวตั ถุ ๔ ประกอบดว้ ย
๑. ทาน ๑. ดา้ นข้อมลู ขา่ วสาร
๒. ปยิ วาจา ๒. ด้านแสดงความคดิ เห็น
๓. อัตถจรยิ า ๓. ด้านการตดั สนิ ใจ
๔. สมานัตตตา ๔. ดา้ นการติดตามตรวจสอบ
แผนภาพที่ ๒.๑ กรอบแนวคดิ ในการวิจัย
บทท่ี ๓
วธิ ดี าํ เนินการวจิ ยั
การศึกษาวิจัยเรื่อง “การศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนใน
องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ” มีวัตถุประสงค์ ดังนี้
๑) เพ่ีอศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนในองค์การบริหารส่วน
ตาํ บลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวดั ชัยภูมิ ๒) เพ่ือเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมอื งระดับ
ท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ
๓) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุ ๔ กับการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ระดับท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ
และ ๔) เพื่อศึกษาปัญหา และแนวทางการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนใน
องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ โดยผู้วิจัยได้ทําการศึกษา
วธิ ดี ําเนินการวจิ ัย ดงั ตอ่ ไปน้ี
๓.๑ รปู แบบการวจิ ัย (Research Design)
๓.๒ ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งและผู้ใหข้ อ้ มลู สาํ คัญ (Key Informant)
๓.๓ เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย (Research Instruments)
๓.๔ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล (Collection of Data)
๓.๕ การวิเคราะหข์ ้อมูล (Data Analysis)
๓.๑ รปู แบบวิธวี จิ ัย (Research Design)
การศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนใน
องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสานวิธี
(Mixed Method Research) โดยการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิง
คุณภาพ(Qualitative Research) โดยใช้การวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research) จากแบบสอบถาม
(Questionnaire) ประกอบการสัมภาษณ์ เชิงลึก (Indepth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลสําคัญ
(KeyInformant) จํานวน ๑๑ คน โดยมีรายละเอยี ด ดงั น้ี
๑) รูปแบบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลเชิงลึก
(In-depth Interview) โดยเฉพาะเจาํ ะจง จํานวน ๑๑ คน
๒) รูปแบบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยเทคนิคการวิจัยแบบสํารวจ โดยการแจก
แบบสอบถามแก่ประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในเขตองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จังหวดั ชยั ภูมิ จาํ นวน ๓๘๐ คน
๖๖
๓.๒ ประชากร กลุม่ ตัวอยา่ ง และผู้ใหข้ ้อมูลสาํ คญั
ผูว้ ิจัยนั้นไดล้ งพ้ืนทีเ่ กบ็ ข้อมลู จากประชากร กลมุ่ ตวั อยา่ ง และผใู้ หข้ อ้ มลู สาํ คัญ ดังนี้
๓.๒.๑ ประชากร และกลมุ่ ตัวอยา่ ง
๑) ประชากร (Population) ท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประชากรผู้ท่ีอาศัยอยู่ในเขต
องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ จํานวน ๑๑ หมู่บ้าน มีจํานวน
ประชากร ๘,๗๑๕ คน แยกเป็น ชาย ๔,๑๖๙ คน หญงิ ๔,๕๔๖ คน๑
๒) กลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประชากรผู้ท่ีอาศัยอยู่ในเขตองค์การ
บริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ จํานวน ๑๑ หมู่บ้าน มีจํานวนประชากร
๘,๗๑๕ คน จากจาํ นวนประชากรทีใ่ ช้ในการวิจยั ดังกล่าว ผู้วจิ ัยไดค้ ํานวณหาขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ งที่
เหมาะสมโดยหลักการคํานวณของ Yamane’ s ดังสูตร ต่อไปน้ี
n =N
๑ + Ne๒
โดย n หมายถึง ขนาดของกล่มุ ประชากร
N หมายถึง จํานวนประชากร
e หมายถงึ ความคลาดเคลื่อนทย่ี อมให้มไี ด้ (.๐๕)
แทนคา่ ในสูตร ๘,๗๑๕ n = ๓๘๐
n= ๑ + (๘,๗๑๕ x .๐๕๒)
โดยกําหนดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของยามาเน (Yamane) ระดับความเช่ือม่ัน ๙๕% ได้
เท่ากับ ๓๘๐ ซ่ึงผู้วิจัยจะกําหนดกลุ่มตัวอย่างในจํานวนเต็ม คือจํานวน ๓๘๐ คน โดยใช้การสุ่มกลุ่ม
ตัวอย่างแบบช้นั ภมู ิ รายละเอียดดงั ตารางท่ี ๓.๑
๑ ระบบสถิติทางการทะเบียน, รายงานสถิตจิ ํานวนประชากรและบา้ นประจาํ ปี พ.ศ.๒๕๖๒, [ออนไลน์],
แ ห ล่ ง ท่ี ม า : https://stat.dopa.go.th/stat/statnew/statTDD/views/showDistrictData.php?statType=1&
year=59&rcode=36 [๒ กนั ยายน ๒๕๖๓].
๖๗
ตารางที่ ๓.๑ จํานวนประชากรและกลุ่มตัวอย่างในเขตองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอ
เมืองชัยภูมิ จงั หวดั ชัยภูมิ
หม่ทู ี่ / ตําบลบา้ นเลา่ จํานวนประชากร คาํ นวณสตู ร จาํ นวนกลมุ่ ตวั อย่าง
n = n๑ X N๑ (n)
หมู่ท่ี ๑ บ้านเสีย้ วน้อย ๓๗๔ ๑๖
หมู่ท่ี ๒ บ้านเล่า ๖๙๐ N ๓๐
หมทู่ ี่ ๓ บ้านเสี้ยวใหญ่ ๖๐๙ ๓๗๔X๓๘๐ ๒๗
หมู่ท่ี ๔ บา้ นโพธ์ินอ้ ย ๕๖๖ ๒๕
หมู่ท่ี ๕ บ้านโนนทัน ๔๖๗ ๘,๗๑๕ ๒๐
หมทู่ ่ี ๖ บ้านโพธ์ิใหญ่ ๖๐๙ ๒๗
หมทู่ ี่ ๗ บา้ นมว่ ง ๖๔๗ ๖๙๐X๓๘๐ ๒๘
หมู่ท่ี ๘ บ้านกดุ สวง ๔๑๓ ๘,๗๑๕ ๑๘
หมู่ท่ี ๙ บา้ นหนองแวง ๘๕๓ ๓๘
หมู่ท่ี ๑๐ บ้านโนนสะอาด ๗๒๙ ๖๐๙X๓๘๐ ๓๒
หมทู่ ่ี ๑๑ บา้ นเสี้ยวน้อยพฒั นา ๓๘๓ ๘,๗๑๕ ๑๖
หมทู่ ี่ ๑๒ บ้านโพธิ์ทอง ๕๙๕ ๒๖
หมทู่ ี่ ๑๓ บา้ นห้วยมว่ ง ๖๐๑ ๕๖๖X๓๘๐ ๒๖
หมทู่ ี่ ๑๔ บา้ นเล่า ๖๒๗ ๘,๗๑๕ ๒๗
หมู่ท่ี ๑๕ โพธ์ิเจริญ ๕๕๒ ๒๔
๘,๗๑๕ ๔๖๗X๓๘๐ ๓๘๐
รวมจํานวนทงั้ หมด ๘,๗๑๕
๖๐๙X๓๘๐
๘,๗๑๕
๖๔๗X๓๘๐
๘,๗๑๕
๔๑๓X๓๘๐
๘,๗๑๕
๘๕๓X๓๘๐
๘,๗๑๕
๗๒๙X๓๘๐
๘,๗๑๕
๓๘๓X๓๘๐
๘,๗๑๕
๕๙๕X๓๘๐
๘,๗๑๕
๖๐๑X๓๘๐
๘,๗๑๕
๖๒๗X๓๘๐
๘,๗๑๕
๕๕๒X๓๘๐
๘,๗๑๕
๖๘
ก. กลมุ่ ตวั อย่าง
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทําได้ด้วยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้การสุ่มอย่างมี
ระบบดาํ เนินการดังนี้
๑. นําบัญชีรายช่ือประชาชนท้ังหมด แยกตามหน่วยเลือกต้ังใส่หมายเลขกํากับรายชื่อ
เรยี งตามลาํ ดับหมายเลขจากนอ้ ยไปหามาก
๒. กาํ หนดชว่ งส่มุ (Sampling Interval หรอื K) โดยใชส้ ูตร
ช่วงสุ่ม (k) = N
n
๓. เลือกตวั เลขเรมิ่ ต้นทจ่ี ะใช้เป็นจดุ เริม่ ตน้ ของการสมุ่ ตวั อยา่ ง (Random Start)
๔. เริ่มดําเนินการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ โดยเริ่มต้นจากค่าตัวเลขที่ได้จากข้ันตอน
ที่ ๓ จากนนั้ กจ็ ะดาํ เนินการสมุ่ ตวั อยา่ งเป็นช่วงตามค่าที่คาํ นวณได้ในขน้ั ตอนท่ี ๒ จนครบ ๓๘๐ คน
ข. ผใู้ ห้ขอ้ มูลสําคัญ
ประชากรสําหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ได้แก่ ๑. รองนายก
องค์การบริหารส่วนตําบล ๑ คน, ๒. กํานัน ๑ คน, ๓. พนักงานองค์การบริหารส่วนตําบล ๓
เล่า ๑ คน, ๗. รองประธานกองทุนหมู่บ้าน บ้านเล่า ๑ คน, รวม ๑๑ คน โดยเก็บรวบรวมข้อมูล
ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In Depth Interview) เป็นผู้ให้ข้อมูลสําคัญ (Key Informant) ซึ่งมี
รายนาม ดงั ต่อไปน้ี
๑. ร.ต.เสวก ฐานวิเศรษ รองนายกองค์การบรหิ ารส่วนตาํ บลบา้ นเลา่
๒. นายถนอน วรรณพงษ์ กํานันตําบลบา้ นเลา่
๓. นางสาวพรทพิ ย์ ฉัตรพรหมราช ผชู้ ว่ ยนกั วเิ คราะหน์ โยบายและแผน
๔. นางประไพ ฐานวิสัย สมาชิกสภาอบต. หมู่ ๑๔
๕. นายธนกร การสนิท ผู้ใหญบ่ า้ น ตาํ บลบา้ นเลา่ หมู่ ๑
๖. นายราชญั ฐานสมบูรณ์ ผู้ใหญบ่ ้าน ตาํ บลบ้านเล่า หมู่ ๒
๗. นางขวัญเรอื น บษุ ราคมั ผู้ชว่ ยเจ้าพนกั งานธุรการ อบต.บ้านเล่า
๘. นางละอองดาว ระจติ ดํารง ผูช้ ว่ ยเจา้ หนา้ ทธี่ ุรการ อบต.บ้านเลา่
๙. นายบรรดาศกั ดิ์ คบหมู่ ผู้ใหญบ่ ้าน ตาํ บลบ้านเล่า หมู่ ๑๔
๑๐. ร.ต.วทิ ยา วรรณพงษ์ ประธานกองทนุ หมู่บา้ น บา้ นเล่า หมู่ ๑๓
๑๑. นาวาอากาศโทไพศาล สาํ เภาเงนิ รองประธานกองทุนหมูบ่ ้าน บา้ นเล่า หมู่ ๑๐
๓.๓ เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวิจยั
การศึกษาวิจัยเรื่อง “การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนในองค์การ
บริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ” ผู้วิจัยนั้นได้ทําการสร้างเครื่องมือ
ประกอบดว้ ย
๖๙
๓.๓.๑ แบบสอบถาม
ผู้วจิ ยั ดาํ เนนิ การสรา้ งแบบสอบถามดงั นี้
ลกั ษณะของเคร่ืองมือ
๑) ลักษณะของเครื่องมอื สําหรบั การแจกแบบสอบถาม
เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) ท่ีผู้วิจัย
พัฒนาข้ึนตามกรอบของ “การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบริหาร
ส่วนตาํ บลบ้านเล่า อําเภอเมืองชยั ภมู ิ จังหวดั ชยั ภูม”ิ โดยแบ่งออกเปน็ ๓ ตอน ดังนี้
ตอนท่ี ๑ เป็นแบบสอบถามลักษณะปลายปิดเก่ียวกับปัจจัยด้านบุคคลของผู้ตอบ
แบบสอบถามประกอบด้วย เพศ อายุ การศึกษา และอาชีพ
ตอนท่ี ๒ เป็นแบบสอบถามเก่ียวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของ
ประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ได้แก่ ๑) ด้านข้อมูล
ข่าวสาร ๒) ด้านการแสดงความคิดเห็น ๓) ด้านการตัดสินใจ ๔) ด้านการติดตามตรวจสอบ และ
๕) หลักสังคหะวัตถุ ๔ ซง่ึ มีลกั ษณะเปน็ มาตราสว่ นประเมินคา่ (Rating Scale) มี ๕ ระดบั โดยมี
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดงั นี้๒
๕ หมายถงึ อยู่ในระดบั มากท่ีสุด
๔ หมายถึง อย่ใู นระดบั มาก
๓ หมายถึง อย่ใู นระดบั ปานกลาง
๒ หมายถึง อยใู่ นระดับน้อย
๑ หมายถึง อยใู่ นระดบั น้อยทีส่ ุด
การแปลผล
คา่ เฉลี่ยตงั้ แต่ ๔.๒๑-๕.๐๐ หมายความวา่ ระดับการมีสว่ นร่วมมากทส่ี ุด
ค่าเฉล่ียตั้งแต่ ๓.๔๑-๔.๒๐ หมายความว่า ระดบั การมสี ว่ นร่วมมาก
คา่ เฉลี่ยตั้งแต่ ๒.๖๑-๓.๔๐ หมายความวา่ ระดับการมสี ว่ นร่วมปานกลาง
คา่ เฉลี่ยต้งั แต่ ๑.๘๑-๒.๖๐ หมายความวา่ ระดับการมีส่วนร่วมน้อย
ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ ๑.๐๐-๑.๘๐ หมายความว่า ระดบั การมสี ่วนร่วมน้อยทส่ี ุด
ตอนที่ ๓ เป็นแบบสอบถามเก่ียวกับการประยุกต์หลักสังคหะวัตถุ ๔ ในการมีส่วนร่วม
ทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จังหวดั ชัยภมู ิ
๒ ชุติ ระบอบ และคณะ, ระเบียบวิธีวิจัย, (กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต,
๒๕๕๒), หนา้ ๑๐๘.
๗๐
๒) ลักษณะของเครอ่ื งมือสาํ หรบั การสัมภาษณ์
ในการวิจัยน้ี ใช้การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured interview) มีลักษณะเป็น
คําถามแบบปลายเปิด เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย โดยสัมภาษณ์กลุ่ม
ประชากรผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Informants) ได้แก่ ๑. รองนายกองค์การบริหารส่วนตําบล ๑ คน
๒. กํานัน ๑ คน ๓. พนักงานองค์การบริหารส่วนตําบล ๓ คน ๔. สมาชิกองค์การบริหารส่วนตําบล
๑ คน ๕. ผู้ใหญ่บ้าน ๓ คน ๖. ประธานกองทุนหมู่บ้าน บ้านเล่า ๑ คน ๗. รองประธานกองทุน
หมู่บ้าน บ้านเล่า ๑ คน รวม ๑๑ คน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In Depth
Interview) เป็นผใู้ หข้ อ้ มลู สําคัญ (Key Informant)
๓.๓.๓ การตรวจสอบและหาคุณภาพของแบบสอบถาม
๑) ผู้วิจัยได้นําเสนอแบบสอบถามเพ่ือหาคุณภาพแบบสอบถามโดยความเท่ียงตรง
(Validity) และความเช่อื มัน่ (Reliability) ดังนี้
แบบสอบถาม
๑. ขอคําแนะนําจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์และผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบ
เครอื่ งมอื ท่สี รา้ งไว้
๒. หาความเท่ียงตรง (Validity) โดยการนําแบบสอบถามท่ีสร้างเสรจ็ เสนอประธาน
และกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อขอความเห็นชอบและนําเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญแล้วนํามา
ปรบั ปรุงแกไ้ ขใหเ้ หมาะสมจํานวน ๕ ทา่ น ประกอบไปด้วย
๑. พระครูสุตธรรมภาณี, ผศ. ประธานหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่
๒. ผศ.ดร.บุรินทร์ ภู่สกุล อาจารย์ประจําหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณ ฑิต
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น
๓. ผศ.ดร.วิทยา ทองดี อาจารย์ประจําหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น
๔. ผศ.ดร.สุรพล พรมกุล เลขานุการหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่
๕. ผศ.ดร.ปัญญา คล้ายเดช อาจารย์ประจําหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต วิทยาลัย
สงฆช์ ยั ภมู ิ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย
๒) ผู้วิจัยนําเคร่ืองมือท่ีผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบไปปรึกษากับที่ปรึกษาโครงการวิจัยแล้ว
นํามาหาค่าดัชนีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแต่ละข้อ (Index of Item – Objective
Congruence :IOC)๓ ได้ค่า IOC ต้ังแต่ ๐.๖ - ๑.๐ แสดงให้เห็นว่าแบบสอบถามทุกข้อมีความ
สอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์การวิจยั
๓ พระมหากฤษฎา กิตตฺ โิ สภโณ, ผศ.ดร., ระเบียบวิธวี ิจยั ทางการจัดการเชิงพทุ ธ, (พระนครศรอี ยุธยา
: สาํ นักพิมพม์ หาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๖๑).
๗๑
๓. หาค่าความเช่ือมั่น (Reliability) ผู้วิจัยนําแบบสอบถามท่ีได้ปรับปรุงแก้ไขแลว้ ไป
ทดลองใช้เคร่ืองมือ (Try Out) จากกลุ่มตัวอย่างที่มีการมีส่วนร่วมของประชาชนในการคล้ายคลึง
อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ จํานวน ๓๐ ชุด เพ่ือหาค่าความเช่ือม่ันด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธ์ิ
แอลฟ่า (Alphaα-coefficient) ตามวิธีการของครอนบาค (Cronbach)๔ ได้ค่าความเช่ือม่ันท้ังฉบับ
เท่ากับ ๐.๙๘๓ แสดงให้เห็นว่าแบบสอบถามมีความเช่ือมั่นอยู่ในระดับสูงสามารถนําไปแจกกับกลุ่ม
ตัวอย่างได้จริง
๔. นาํ แบบสอบถามท่ีได้รับการปรับปรงุ แก้ไขแล้วเสนออาจารย์ทป่ี รกึ ษาวิทยานพิ นธ์
เพ่ือขอความเห็นชอบและจัดพิมพ์แบบสอบถามฉบับสมบูรณ์ในการนําไปใช้แจกกลุ่มตัวอย่างในการ
วจิ ัยต่อไป
แบบสัมภาษณ์
นําแบบสมั ภาษณ์ที่สร้างเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ ไปหาคุณภาพของแบบสัมภาษณ์ ดังน้ี
๑. ผู้วิจัยทําการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ผู้วิจัยได้หาความ
เที่ยงตรงตามเนื้อหา (Content acidity) โดยนําไปให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบความถูกต้องและความ
ครอบคลมุ ของเนือ้ หาทต่ี ้องการศกึ ษา จํานวน ๓ ทา่ น
๒. นําแบบสัมภาษณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแล้วนํามาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง
ตามวัตถุประสงค์ของข้อคําถาม (Index of Item Objective Congruence : IOC) ซ่ึงผลการหาค่า
ดัชนคี วามสอดคล้อง
๓. นําแบบสมั ภาษณ์มาปรับปรุงตามคําแนะนาํ ของผ้เู ชี่ยวชาญและกรรมการควบคุม
วิทยานิพนธ์และจัดพิมพ์แบบสัมภาษณ์ฉบับสมบูรณ์แล้วนําไปสัมภาษณ์กับกลุ่มตัวอย่างเป้าหมายใน
การศึกษาวิจัยตอ่ ไป
๓.๓.๔ แบบสมั ภาษณ์
๑. ศึกษาวิธีการสร้างแบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลจากเอกสาร ตําราและ
งานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง เพอื่ เปน็ แนวทางในการกาํ หนดกรอบความคดิ ในการสรา้ งแบบสัมภาษณ์
๒. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและเอกสารการวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาถึง
รายละเอียดตา่ ง ๆ เพอื่ ใหค้ รอบคลมุ วตั ถุประสงค์ของการวิจยั ที่กําหนดไว้
๓. ขอคาํ แนะนําจากอาจารยท์ ีป่ รกึ ษาเพือ่ ใช้เปน็ แนวทางในการสร้างแบบสมั ภาษณ์
๔. สรา้ งแบบสัมภาษณใ์ หค้ รอบคลมุ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัยเพอ่ื ใชเ้ ปน็ เครอื่ งมือใน
การเก็บขอ้ มูลจากผู้ให้ข้อมูลสาํ คญั (Key Informants) เพ่ือนํามาวเิ คราะห์
๔ สิน พันธุ์พินิจ, เทคนิคการวิจัยทางสังคม, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทจูนพลับลิซซ่ิง จํากัด, ๒๕๔๗),
หนา้ ๑๙๑.
๗๒
๓.๔ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
การศึกษาวิจัยเร่ือง “การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนในองค์การ
บริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ” ผู้วิจัยได้ดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล
มขี ้ันตอน ดังน้ี
๓.๔.๑ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากแบบสอบถาม
ในการวิจยั คร้งั น้ี ผู้วิจยั ได้ดาํ เนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมูลมีข้นั ตอน ดังนี้
๑. ทําหนังสือขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากศูนย์บัณฑิตศึกษา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ถึง พระโสภณพัฒนบัณฑิต,รศ.ดร.
รองอธิการบดี วิทยาเขตขอนแก่น เพื่อขออนุญาตเข้าทําการเก็บรวบรวมข้อมูลในมหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่
๒. นําแบบสอบถามท่ีผ่านการปรับปรุงแก้ไขแล้วไปเก็บข้อมูล โดยนําแบบสอบถามไป
แจกใหก้ ับกล่มุ ตัวอย่างจาํ นวน ๓๘๐ คน
๓. เม่ือได้แบบสอบถามกลับคืนมาแล้ว นามาตรวจสอบความสมบูรณ์ จัดระเบียบข้อมูล
นาํ ขอ้ มูลทไี่ ด้ไปวิเคราะหแ์ ละประมาณผลในโปรแกรมสาํ เรจ็ รปู ทางสถิตติ อ่ ไป
๓.๔.๒ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากแบบสัมภาษณ์
ในการวจิ ัยครง้ั น้ี ผู้วิจัยดาํ เนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลมีขัน้ ตอน ดังนี้
๑. ขอหนังสือจากศูนย์บัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต
ขอนแกน่ ถึงผู้ใหข้ อ้ มลู สําคัญ (Key Informants) เพอ่ื สัมภาษณต์ ามท่กี ําหนดไว้
๒. ทําการนัดวัน เวลา และสถานท่ีกบั ผู้ให้ข้อมูลสําคัญ (Key Informants) เพ่ือสัมภาษณ์
ตามท่ีกําหนดไว้
๓. ดําเนินการสัมภาษณ์ตามวัน เวลาและสถานท่ีที่กําหนดไว้ จนครบทุกประเด็นโดยขอ
อนญุ าตใช้วธิ กี ารจดบนั ทกึ และการบนั ทึกเสยี งประกอบการสัมภาษณ์
๔. นําขอ้ มลู ดบิ ทไี่ ด้มารวบรวมเพื่อวเิ คราะหโ์ ดยวิธีการที่เหมาะสมและนําเสนอตอ่ ไป
๓.๕ การวเิ คราะหข์ ้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลของงานวิจัยเรื่อง “การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของ
ประชาชนในองค์การบรหิ ารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชยั ภูมิ จังหวัดชัยภูมิ” ผู้วจิ ัยมีขั้นตอนการ
วิเคราะห์ ดังน้ี
๓.๕.๑ การวิเคราะหข์ ้อมลู จากแบบสอบถาม
การวิเคราะห์ขอ้ มูลใช้วิธีการวิเคราะห์เชงิ ปริมาณ (Quantitative Analysis) เปน็ หลักโดย
การดําเนินการข้ันแรก คือนําแบบสอบถามท่ีเก็บรวบรวมได้ จํานวน ๓๘๐ ชุด นํามาตรวจสอบความ
สมบรู ณข์ องแบบสาํ รวจ (Editing) แลว้ ดาํ เนินการลงรหัสตามคูม่ ือการลงรหสั (Code Book) หลังจาก
๗๓
นั้นได้มีการตรวจสอบแบบสํารวจเพื่อความถูกต้องอีก ๑ ครั้ง แล้วจึงดําเนินการถ่ายรหัส
ทั้งหลายลงในแบบฟอร์มถ่ายข้อมูล (Transfer Sheet) บรรจุข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์และวิเคราะห์
ด้วยโปรแกรมสําเรจ็ รปู ทางสถิติเพือ่ การวิจยั ทางสังคมศาสตร์ เพือ่ หาคา่ ทางสถิติ
การวิเคราะห์ข้อมูลน้ันผู้วิจัยหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตามโดยการ
ใช้การประมวลผลด้วยเคร่ืองคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรมสําเร็จรูปทางสถิติเพื่อการวิจัยทาง
สังคมศาสตร์เสนอขอ้ มลู ดงั น้ี
๑) ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างและพรรณนา ได้แก่ เพศ อายุ
การศึกษา อาชีพ รายได้ สถิติที่ใช้ คือค่าความถี่ (Frequency), ค่าร้อยละ (Percentage), ค่าเฉล่ีย
(Mean) และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
๒) ข้อมูลเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนในองค์การ
บริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ในด้านต่าง ๆ ใช้การวิเคราะห์โดยการหา
คา่ เฉลย่ี (x) และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. (Standard Deviation)
๓) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนในองค์การบริหาร
สว่ นตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวดั ชัยภูมิ โดยจาํ แนกตามปัจจยั ส่วนบุคคล สถิตทิ ่ีใชค้ ือการ
ทดสอบค่าท่ี (t-test) ในกรณีตัวแปรต้นสองกลุ่ม และการทดสอบค่าเอฟ (F-Test) ด้วยวิธีการ
วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ในกรณีตัวแปรต้นต้ังแต่สามกลุ่มข้ึนไป เมื่อ
พบว่ามีความแตกต่างจะทําการเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉล่ียเป็นรายคู่ด้วยวิธีผลต่างเป็นสําคัญ
น้อยที่สดุ (Least Significant Difference : LSD.) โดยกําหนดระดับนัยสาํ คัญทางสถิตทิ ่ีระดบั .๐๕
๔) การหาความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติตามหลักสังคหวัถตุ ๔ กับการมีส่วนร่วม
ทางการเมือง สถิติที่ใช้คือ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน สามารถคํานวณได้จากสูตร Pearson
ดังน้ี
r= n Σxy − Σx Σy
nΣx๒ − Σx ๒ nΣy๒ − Σy ๒
เม่อื rxy คอื สมั ประสทิ ธส์ิ หสมั พนั ธแ์ บบเพยี รส์ ัน
x คือ ผลรวมของข้อมูลทวี่ ัดจากตวั แปรท่ี ๑ หรือตัวแปร x
y คอื ผลรวมของข้อมูลทว่ี ดั จากตวั แปรท่ี ๑ หรอื ตวั แปร y
xy คอื ผลรวมของผลคูณของตัวแปรท่ี ๑ และ ๒
x ๒ คือ ผลรวมของกาํ ลังสองของขอ้ มลู ท่ีวัดจากตัวแปรท่ี ๑
y ๒ คอื ผลรวมของกาํ ลังสองของข้อมูลที่วัดจากตวั แปรที่ ๑
n คือ ขนาดตัวอย่าง
๗๔
๓.๕.๒ การวเิ คราะห์ขอ้ มูลจากแบบสมั ภาษณ์
ผวู้ ิจยั วเิ คราะหข์ ้อมลู จากแบบสัมภาษณ์โดยวธิ ีการดงั นี้
๑) นาํ ข้อมลู ท่ีได้จากการสัมภาษณ์มาถอดเสยี งและบนั ทึกเปน็ ข้อความ
๒) นําข้อความจากการสัมภาษณ์และการจัดบันทึกมาจําแนกเป็นประเด็นและเรียบเรียง
เฉพาะประเดน็ ที่เกีย่ วขอ้ งกบั วตั ถุประสงค์การวจิ ัย
๓) วิเคราะห์คําให้สัมภาษณ์ของผู้ให้ข้อมูลสําคัญตามวัตถุประสงค์การวิจัย โดยใช้เทคนิค
การวิเคราะห์เนอ้ื หา (Content Analysis Technique) ประกอบบริบท (Context)
๔) สังเคราะหข์ อ้ มูลตามวตั ถุประสงค์การวจิ ยั และนําเสนอต่อ
บทที่ ๔
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู
การศึกษาวิจัยเรื่อง “การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนในองค์การ
บริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ” มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย ดังนี้ ๑) เพี่อ
ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้าน
เล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ๒) เพ่ือเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่น
ของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ๓) เพ่ือศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุ ๔ กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ิน
ของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ และ ๔) เพื่อ
ศึกษาปัญหา และแนวทางการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนในองค์การบริหาร
ส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed
Methods Research) โดยการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ
(Qualitative Research) โดยใช้การวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research) จากแบบสอบถาม
(Questionnaire) ประกอบการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลสําคัญ (Key
Informant)
ผู้วิจัยนาํ แบบสอบถามท่ีรวบรวมได้ จากกลุ่มตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ ประชาชนท่ีอาศัยในเขตพื้นที่
ขององค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ จํานวน ๓๘๐ คน
มาวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสําเร็จรูปการวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ และในส่วนแบบสัมภาษณ์
ได้นําไปสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสําคัญท่ีกําหนดไว้ จํานวน ๑๑ คน และนําผลการวิเคราะห์
ขอ้ มูลนําเสนอดงั ต่อไปนี้
โดยมีสัญลกั ษณท์ ใ่ี ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู ดังน้ี
N แทน ขนาดกลุ่มตวั อยา่ ง
x แทน คา่ คะแนนเฉล่ยี ของกลมุ่ ตวั อยา่ ง (Means)
S.D แทน ค่าความเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
t แทน ค่าสถิติท่ีใชพ้ จิ ารณาใน t-test
* แทน นัยสาํ คญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ ๐.๐๕
SS แทน ผลรวมกาํ ลังสอง (Sum of Squares)
Sig. แทน ความนา่ จะเปน็ สาํ หรับบอกนัยสาํ คัญทางสถติ ิ
MS แทน ค่าเฉล่ียของผลรวมกําลงั สอง (Mean of Squares)
๗๖
F-Prob. แทน ค่านยั สาํ คัญทางสถิติในตาราง F-Test
Df แทน ช้ันความเป็นอิสระ (Degree of Freedom)
r แทน ค่าสัมประสทิ ธิ์สหสมั พนั ธ์
ผู้วิจัยได้นําเสนอการวิจัยเร่ืองการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนใน
องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ในรูปแบบของการอธิบาย
ประกอบตารางดังตอ่ ไปนี้
๔.๑ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลพน้ื ฐาน
๔.๒ ผลการวิเคราะห์ตามวตั ถุประสงค์การวจิ ยั
๔.๒.๑ ผลการวิเคราะห์ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของ
ประชาชนในองค์การบรหิ ารส่วนตาํ บลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภมู ิ จังหวดั ชยั ภูมิ
๔.๒.๒ ผลการวิเคราะห์ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของ
ประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ด้านการส่งเสริมการ
มสี ว่ นร่วมด้วยหลกั สังคหวัตถุ ๔
๔.๒.๓ ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของ
ประชาชนในองค์การบริหารส่วนตาํ บลบา้ นเล่า อําเภอเมืองชยั ภูมิ จังหวดั ชยั ภมู ิ
๔.๒.๔ ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุ ๔ กับ
การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอ
เมอื งชัยภมู ิ จังหวดั ชัยภูมิ
๔.๒.๕ ผลการวิเคราะห์การสัมภาษณ์เก่ียวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับ
ท้องถ่นิ ของประชาชนในองคก์ ารบริหารสว่ นตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภมู ิ จังหวดั ชยั ภมู ิ
๔.๓ องค์ความรทู้ ่ไี ด้จากการวิจัย
๔.๑ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู พน้ื ฐาน
การศึกษาการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม
งานวิจัยเรื่อง การมสี ่วนรว่ มทางการเมืองระดบั ทอ้ งถน่ิ ของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้าน
เล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ จํานวน ๓๘๐ คน จําแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา และ
อาชีพ ซึ่งจะได้แสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ไปตามลําดับ
ดังมีรายละเอยี ดดังนี้
๗๗
ตารางท่ี ๔.๑ ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ปจั จยั สว่ นบุคคลของผูต้ อบแบบสอบถาม จาํ แนกตามเพศ
ขอ้ มูลทว่ั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม จาํ นวน (n=๓๘๐)
เพศ ร้อยละ
๑๘๐
ชาย ๒๐๐ ๔๗.๔
หญงิ ๓๘๐ ๕๒.๖
๑๐๐
รวม
จากตารางท่ี ๔.๑ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลของประชาชน เรื่องการมีส่วน
ร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จงั หวดั ชัยภูมิ จําแนกตามเพศ พบว่า ประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เพศหญิง จํานวน ๒๐๐
คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ ๕๒.๖ รองลงมาคอื เพศชาย จํานวน ๑๘๐ คน คดิ เปน็ ร้อยละ ๔๗.๔ ตามลําดบั
ตารางที่ ๔.๒ ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลปจั จยั ส่วนบุคคลของผตู้ อบแบบสอบถาม จาํ แนกตามอายุ
ขอ้ มูลปจั จยั สว่ นของผตู้ อบแบบสอบถาม จาํ นวน (n=๓๘๐)
อายุ ร้อยละ
๕๗
๑๘-๒๕ ปี ๖๘ ๑๕.๐
๒๖-๓๐ ปี ๖๒ ๑๗.๙
๓๑-๔๐ ปี ๖๗ ๑๖.๓
๔๑-๕๐ ปี ๖๘ ๑๗.๖
๕๑-๖๐ ปี ๕๘ ๑๗.๙
๖๐ ปีข้ึนไป ๓๘๐ ๑๕.๓
๑๐๐.๐
รวม
จากตารางที่ ๔.๒ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลของประชาชน เรื่องการมีส่วน
ร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนใน องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จังหวัดชัยภูมิ จําแนกตามอายุ พบว่า ประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีอายุ ๒๖-๓๐ ปี
จํานวน ๖๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๙ และอายุ ๕๑-๖๐ ปี จํานวน ๖๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๙
รองลงมา อายุ ๔๑-๕๐ ปี จํานวน ๖๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๖ อายุ ๓๑-๔๐ ปี จํานวน ๖๒ คน
คิดเป็นร้อยละ ๑๖.๓ อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป จํานวน ๕๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๙ และน้อยที่สุดมีอายุ
๑๘-๒๕ ปี จาํ นวน ๕๗ คน คิดเปน็ ร้อยละ ๑๕.๐ ตามลาํ ดับ
๗๘
ตารางท่ี ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามจําแนกตาม ระดับ
การศกึ ษา
(n=๓๘๐)
ข้อมลู ทั่วไปของผูต้ อบแบบสอบถาม จาํ นวน ร้อยละ
การศกึ ษา ๙๐ ๒๓.๗
ประถมศึกษา ๔๘ ๑๒.๖
มธั ยมศกึ ษาตอนต้น ๔๙ ๑๒.๙
มธั ยมศึกษาตอนปลาย ๖๑ ๑๖.๑
ปวช./ปวส. ๑๐๔ ๒๗.๔
ปรญิ ญาตรี ๒๘ ๗.๔
ปรญิ ญาโทขึ้นไป ๓๘๐ ๑๐๐.๐
รวม
จากตารางท่ี ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลของประชาชน เร่ืองการมีส่วน
รว่ มทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนใน องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จังหวัดชัยภูมิ จําแนกตามระดับการศึกษา พบว่า ประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่วุฒิ
การศึกษาระดับปริญญาตรี จํานวน ๑๐๔ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๗.๔ รองลงมาคือ ประถมศึกษา
จาํ นวน ๙๐ คน คิดเปน็ ร้อยละ ๒๓.๗ ปวช./ปวส. จํานวน ๖๑ คน คดิ เป็นร้อยละ ๑๖.๑ มัธยมศึกษา
ตอนปลาย จาํ นวน ๔๙ คน คิดเปน็ ร้อยละ ๑๒.๖ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น จาํ นวน ๔๘ คน คดิ เปน็ ร้อยละ
๑๒.๖ และนอ้ ยทีส่ ุดคือ ปริญญาโทข้นึ ไป จํานวน ๒๘ คน คดิ เปน็ ร้อยละ ๗.๔ ตามลําดับ
ตารางท่ี ๔.๔ ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู ปัจจัยส่วนบคุ คลของผูต้ อบแบบสอบถาม จาํ แนกตามอาชีพ
ข้อมลู ท่ัวไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม จํานวน (n=๓๘๐)
อาชพี รอ้ ยละ
๗๙
ขา้ ราชการ/รัฐวสิ าหกจิ /พนกั งานของรฐั ๒๘ ๒๐.๘
เจา้ ของกจิ การ/รา้ นคา้ /ค้าขาย ๒๗ ๗.๔
พนักงานบริษัท/พนกั งานรา้ นคา้ ๑๐๒ ๗.๑
อาชพี อิสระ/ธุรกจิ สว่ นตัว/รับจ้างทว่ั ไป ๖๘ ๒๖.๘
เกษตรกรรม/ปศุสตั ว/์ ประมง ๕๐ ๑๗.๙
ว่างงาน ๒๖ ๑๓.๒
อ่ืน ๆ (โปรดระบ)ุ ... ๓๘๐ ๖.๘
๑๐๐.๐
รวม
๗๙
จากตารางท่ี ๔.๔ พบว่า ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลของประชาชน เร่ืองการมีส่วนร่วม
ทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนใน องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จังหวัดชัยภูมิ จําแนกตามอาชีพ พบว่า ประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อาชีพอิสระ/ธุรกิจ
ส่วนตัว/รับจ้างทั่วไป จํานวน ๑๐๒ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๖.๘ รองลงมาคือข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ/
พนักงานของรัฐ จํานวน ๗๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๐.๘ เกษตรกรรม/ปศุสัตว์/ประมง จํานวน ๖๘ คน
คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๙ ว่างงาน จํานวน ๕๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๓.๒ เจ้าของกิจการ/ร้านค้า/ค้าขาย
จํานวน ๒๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๗.๔ พนักงานบริษัท/พนักงานร้านค้า จํานวน ๒๗ คน คิดเป็นร้อยละ
๗.๑ และน้อยท่สี ดุ คอื อน่ื ๆ (โปรดระบุ)... จาํ นวน ๒๖ คน คดิ เปน็ ร้อยละ ๖.๘ ตามลําดบั
๔.๒ ผลการวิเคราะหต์ ามวัตถปุ ระสงค์การวิจัย
ในการแสดงผลการวิเคราะห์การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนใน
องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ เป็นการวิเคราะห์เพ่ือตอบ
วัตถุประสงค์ ข้อท่ี ๑ เพ่ีอศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนใน
องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ซ่ึงจักได้บรรยายผลการวิเคราะห์
ไปตามลาํ ดับดงั นี้
๔.๒.๑ ผลการวิเคราะห์ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชน
ในองคก์ ารบริหารสว่ นตําบลบ้านเลา่ อาํ เภอเมืองชยั ภูมิ จงั หวดั ชัยภูมิ
ระดับการมสี ่วนรว่ มทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบรหิ ารส่วนตําบล
บ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ โดยรวมและรายด้านประกอบด้วย ๑) ด้านข้อมูลข่าวสาร
๒) ดา้ นการแสดงความคิดเห็น ๓) ดา้ นการตดั สนิ ใจ ๔) ด้านการติดตามตรวจสอบ ดงั นี้
ตารางท่ี ๔.๕ แสดงค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับ
ท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จังหวดั ชยั ภูมิ โดยภาพรวม
(n=๓๘๐)
การมสี ว่ นร่วมทางการเมืองระดบั ทอ้ งถ่นิ ของ ระดบั ความคดิ เห็น
ที่ ประชาชนในองค์การบรหิ ารสว่ นตาํ บลบา้ นเลา่ x S.D. แปลผล
อําเภอเมืองชยั ภูมิ จังหวดั ชัยภมู ิ
๑ ดา้ นข้อมูลขา่ วสาร ๓.๗๕ ๐.๗๕ มาก
๒ ด้านการแสดงความคิดเหน็ ๓.๕๒ ๐.๗๕ มาก
๓ ด้านการตัดสนิ ใจ ๓.๑๖ ๐.๕๙ ปานกลาง
๔ ดา้ นการติดตามตรวจสอบ ๓.๑๖ ๐.๕๗ ปานกลาง
ภาพรวม ๓.๔๐ ๐.๕๓ ปานกลาง
๘๐
จากตารางที่ ๔.๕ พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชน
ในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ โดยภาพรวม อยู่ในระดับปาน
กลาง (x=๓.๔๐) เมื่อจําแนกเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมาก ๒ ข้อ และระดับปานกลาง ๒ ข้อ
โดยเรียงลําดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย ดังน้ี ด้านข้อมูลข่าวสาร ( x=๓.๗๕) ด้านการแสดงความ
คิดเห็น (x=๓.๕๒) ด้านการตัดสินใจ (x =๓.๑๖) และด้านการติดตามตรวจสอบ (x=๓.๑๖)
ตามลําดบั
ตารางที่ ๔.๖ แสดงค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับ
ท้องถ่ินของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จังหวดั ชยั ภูมิ ด้านข้อมลู ข่าวสาร
(n=๓๘๐)
การมสี ่วนร่วมทางการเมืองระดับทอ้ งถน่ิ ของประชาชนใน ระดับความคดิ เหน็
องคก์ ารบริหารส่วนตาํ บลบา้ นเลา่ อาํ เภอเมอื งชัยภูมิ จังหวดั x S.D. แปลผล
ชยั ภูมิ ๓.๙๙ ๐.๘๙ มาก
ดา้ นขอ้ มลู ขา่ วสาร ๓.๘๗ ๐.๙๓ มาก
๑) เคยขอรบั ทราบข้อมลู ข่าวสารจากองค์การบรหิ ารสว่ นตําบลท่ี ๓.๕๙ ๐.๙๔ มาก
เห็นว่าการทาํ งานไม่โปร่งใส ๓.๘๒ ๐.๙๑ มาก
๓.๔๘ ๐.๙๙ มาก
๒) เนื้อหาขา่ วสารทีป่ ระชาชนได้รบั หรือสนใจเปน็ ประโยชน์กบั ๓.๗๕ ๐.๗๕ มาก
ท่าน
๓) ไดร้ บั ข้อมลู ขา่ วสารทางการเมืองจากโทรทัศน์ วทิ ยุ และ
หนงั สอื พิมพ์
๔) สือ่ ทอ่ี อกมาเสนอขา่ วทางการเมอื งมคี วามน่าเชื่อถือ
๕) มคี วามสนใจในข้อมูลขา่ วสารการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ภาพรวม
จากตารางที่ ๔.๖ พบว่า ระดับการมีสว่ นร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนใน
องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ด้านข้อมูลข่าวสาร อยู่ในระดับ
มาก (x=๓.๗๕) เม่ือจําแนกเป็นรายข้อพบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยเรียงลําดับค่าเฉล่ียจากมาก
ไปหาน้อย ดังนี้ ข้อท่ีมีค่าเฉล่ียสูงท่ีสุดได้แก่ ข้อท่ีว่า ๑) เคยขอรับทราบข้อมูลข่าวสารจากองค์การ
บรหิ ารส่วนตําบลท่ีเห็นว่าการทํางานไม่โปร่งใส (x=๓.๙๙) รองลงมาได้แก่ ข้อที่ว่า ๒) เนื้อหาข่าวสาร
ทป่ี ระชาชนได้รับหรือสนใจเป็นประโยชน์กบั ท่าน (x=๓.๘๗) ๔) ส่ือที่ออกมาเสนอข่าวทางการเมืองมี
ความน่าเชื่อถือ (x=๓.๘๒) ๓) ได้รับข้อมูลข่าวสารทางการเมืองจากโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์
(x=๓.๕๙) และข้อท่ีมคี า่ เฉลี่ยน้อยท่สี ุด ได้แก่ ข้อท่วี า่ ๕) มีความสนใจในข้อมลู ข่าวสารการมสี ว่ นร่วม
ทางการเมอื ง (x=๓.๔๘) ตามลําดับ
๘๑
ตารางท่ี ๔.๗ แสดงค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับ
ท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จังหวัดชัยภูมิ ด้านการแสดงความคดิ เหน็
การมีส่วนร่วมทางการเมอื งระดบั ท้องถิ่นของประชาชนใน (n=๓๘๐)
องค์การบริหารส่วนตาํ บลบา้ นเล่า อําเภอเมอื งชยั ภูมิ จังหวัด ระดับความคดิ เห็น
ชยั ภมู ิ x S.D. แปลผล
ดา้ นการแสดงความคิดเหน็
๖) มคี วามคิดเห็นตอ่ การมสี ว่ นร่วมทางการเมือง ๓.๕๑ ๐.๙๗ มาก
๗) ตอ้ งการใหม้ ีการสง่ เสรมิ การมีสว่ นรว่ มทางการเมอื ง ๓.๖๓ ๐.๙๗ มาก
๘) คดิ ว่าเพศ อายุ ระดบั การศึกษา และอาชพี ต่างกันมีสว่ นร่วม
ทางการเมอื ง ๓.๒๙ ๐.๙๗ ปานกลาง
๙) คิดวา่ หน่วยงานของรฐั ในระดบั จังหวดั ให้ประชาชนมสี ่วนรว่ ม
ทางการเมือง ๓.๖๕ ๐.๙๓ มาก
๑๐) คิดว่าการไปใชส้ ิทธิเลือกต้งั หรือการมีส่วนร่วมทางการเมอื ง
ควรมกี ระบวนการกลอ่ มเกลาและปลูกฝังตงั้ แตเ่ ยาวชนขึ้นไป ๓.๕๑ ๑.๐๐ มาก
๓.๕๒ ๐.๗๕ มาก
ภาพรวม
จากตารางที่ ๔.๗ พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชนใน
องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ด้านแสดงความคิดเห็น อยู่ใน
ระดับมาก (x=๓.๕๒) เมื่อจําแนกเป็นรายข้อพบว่า อยู่ในระดับมากจํานวน ๔ ข้อ และปานกลาง ๑
ข้อ โดยเรียงลําดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังน้ี ข้อท่ีมีค่าเฉล่ียสูงที่สุดได้แก่ ข้อที่ ๙) คิดว่า
หนว่ ยงานของรัฐในระดบั จังหวัดให้ประชาชนมสี ่วนร่วมทางการเมอื ง (x=๓.๖๕) รองลงมาได้แก่ ข้อท่ี
๗) ต้องการให้มีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง (x=๓.๖๓) ข้อท่ี ๖) มีความคิดเห็นต่อการมี
ส่วนร่วมทางการเมือง (x=๓.๕๑) ข้อที่ ๑๐) คิดว่าการไปใช้สิทธิเลือกต้ัง หรือการมีส่วนร่วมทางการ
เมืองควรมีกระบวนการกล่อมเกลาและปลูกฝังต้ังแต่เยาวชนข้ึนไป (x =๓.๕๑) และข้อที่มีค่าเฉล่ีย
น้อยท่ีสุด ได้แก่ ข้อท่ี ๘) คิดว่าเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพต่างกันมีส่วนร่วมทางการเมือง
(x=๓.๒๙) ตามลาํ ดบั
๘๒
ตารางท่ี ๔.๘ แสดงค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับ
ท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จงั หวัดชัยภมู ิ ด้านการตดั สนิ ใจ
การมีสว่ นร่วมทางการเมอื งระดับทอ้ งถิ่นของประชาชนใน (n=๓๘๐)
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาํ บลบา้ นเลา่ อาํ เภอเมืองชัยภูมิ ระดบั ความคดิ เหน็
จังหวดั ชัยภูมิ x S.D. แปลผล
ดา้ นการตดั สนิ ใจ ๓.๒๗ ๐.๙๓ ปานกลาง
๑๑) คิดวา่ การตัดสนิ ใจทางการเมือง เช่น การออกไปใช้สทิ ธิ
เลอื กตง้ั เป็นสง่ิ จําเปน็ ๓.๑๖ ๐.๘๓ ปานกลาง
๑๒) คดิ วา่ การตัดสนิ ใจของท่านในการมีสว่ นรว่ มทางการเมอื ง
มคี วามจําเป็นกบั ประเทศชาติ ๓.๒๒ ๐.๗๒ ปานกลาง
๑๓) การตัดสนิ ใจของท่านในการออกไปใชส้ ิทธขิ องตัวเองใน ๓.๐๗ ๐.๗๖ ปานกลาง
การมสี ว่ นร่วมเป็นประโยชน์ ๓.๐๙ ๐.๗๗ ปานกลาง
๑๔) คิดว่าการมีสว่ นรว่ มทางการเมอื งมปี ระโยชน์ ๓.๑๖ ๐.๕๙ ปานกลาง
๑๕) ปัจจยั ของบุคคล และทศั นคตขิ องผู้นํามีผล
กระทบต่อการมีส่วนรว่ มเปน็ ประโยชน์
ภาพรวม
จากตารางที่ ๔.๘ พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินในองค์การ
บริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ด้านการตัดสินใจ อยู่ในระดับปานกลาง
(x=๓.๑๖) เม่ือจําแนกเป็นรายข้อพบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกข้อ โดยเรียงลําดับค่าเฉล่ียจากมาก
ไปหาน้อย ดังน้ี ข้อที่มีค่าเฉล่ียสูงที่สุดได้แก่ ข้อท่ี ๑๑) คิดว่าการตัดสินใจทางการเมือง เช่น การ
ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นส่ิงจําเป็น (x=๓.๒๗) รองลงมาได้แก่ ข้อท่ี ๑๓) การตัดสินใจของท่านใน
การออกไปใช้สิทธิของตัวเองในการมีส่วนร่วมเป็นประโยชน์ (x=๓.๒๒) ข้อที่ ๑๒) คิดว่าการตัดสินใจ
ของท่านในการมีส่วนร่วมทางการเมอื งมีความจาํ เป็นกับประเทศชาติ (x=๓.๑๖) ขอ้ ท่ี ๑๕) ปัจจยั ของ
บุคคล และทัศนคติของผู้นํามีผลกระทบต่อการมีส่วนร่วมเป็นประโยชน์ (x=๓.๐๙) และข้อท่ีมี
คา่ เฉล่ียน้อยทีส่ ุด ไดแ้ ก่ ข้อ ๑๔) คดิ ว่าการมีส่วนร่วมทางการเมอื งมปี ระโยชน์ (x=๓.๐๗) ตามลาํ ดับ
๘๓
ตารางท่ี ๔.๙ แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับ
ท้องถ่ินของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ
จงั หวัดชยั ภูมิ ดา้ นการตดิ ตามตรวจสอบ
การมีสว่ นรว่ มทางการเมอื งระดับทอ้ งถิน่ ของประชาชนใน (n=๓๘๐)
องค์การบรหิ ารสว่ นตาํ บลบา้ นเล่า อาํ เภอเมืองชัยภมู ิ ระดบั ความคดิ เหน็
จงั หวัดชัยภมู ิ x S.D. แปลผล
ด้านการติดตามตรวจสอบ ๓.๐๗ ๐.๘๐ ปานกลาง
๓.๑๐ ๐.๗๗ ปานกลาง
๑๖) มสี ว่ นรว่ มในการตรวจสอบการใช้งบประมาณของ อบต. ๓.๑๐ ๐.๘๐ ปานกลาง
๑๗) มีสว่ นรว่ มในการตรวจสอบงานจดั ซ้อื จดั จา้ งของ อบต. ๓.๑๐ ๐.๗๕ ปานกลาง
๑๘) ได้มสี ่วนรว่ มในการตรวจสอบผลของความก้าวหน้าตาม ๓.๐๘ ๐.๗๕ ปานกลาง
โครงการที่ อบต. ได้ดาํ เนนิ การ ๓.๔๖ ๐.๙๔ มาก
๓.๒๗ ๐.๙๒ ปานกลาง
๑๙) เคยเข้ารว่ มชุมนมุ ทางการเมอื งประทว้ งรัฐบาลหรือ ๓.๑๗ ๐.๙๓ ปานกลาง
เจา้ หนา้ ทีข่ องรัฐ
๓.๑๘ ๐.๙๔ ปานกลาง
๒๐) เคยติดตามผลงานและตรวจสอบการทาํ งานของนกั การ
เมอื งที่ท่านเลอื กเขา้ ไปว่าทําอะไรใหแ้ กช่ ุมชนและสังคม ๓.๐๗ ๐.๙๐ ปานกลาง
๒๑) ได้ตดิ ตามตรวจสอบการจดั ทําแผนพัฒนาตําบล ๓.๑๖ ๐.๕๗ ปานกลาง
๒๒) เคยเข้ารว่ มกิจกรรมทางการเมือง (ประชาคม)
๒๓) ในเขตองค์การบรหิ ารสว่ นตาํ บลบ้านเลา่ มสี ว่ นรว่ มในการ
ตรวจรบั งานโครงการท่ี อบต. ดาํ เนินการ
๒๔) ในเขตองคก์ ารบริหารสว่ นตาํ บลบ้านเล่าไดม้ สี ว่ นร่วมใน
การเข้ารับฟงั การประชมุ สภา อบต.
๒๕) ในเขตองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาํ บลบา้ นเล่าไดเ้ ข้ามามีสว่ น
รว่ มในการเป็นคณะกรรมการติดตามและประเมินผล
แผนพัฒนา อบต.
ภาพรวม
จากตารางท่ี ๔.๙ พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของประชาชน
ในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ด้านการติดตามตรวจสอบ อยู่
ในระดบั ปานกลาง (x=๓.๑๖) เมือ่ จําแนกเปน็ รายข้อพบวา่ อยู่ในระดบั มาก จาํ นวน ๑ ข้อ และระดับ
ปานกลาง จํานวน ๙ ข้อ โดยเรียงลําดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย ดังน้ี ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงท่ีสุดได้แก่
ข้อ ๒๑) ได้ติดตามตรวจสอบการจัดทําแผนพัฒนาตําบล (x=๓.๔๖) รองลงมาได้แก่ ข้อท่ี
๒๒) เคยเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองชุมชน (ประชาคม) (x=๓.๒๗) ข้อท่ี ๒๔) ได้มีส่วนร่วมในการ
เข้ารับฟังการประชุมสภา อบต. (x=๓.๑๘) ข้อที่ ๒๓) มีส่วนร่วมในการตรวจรับงานโครงการท่ี อบต.
ดําเนนิ การ ( x=๓.๑๗) ขอ้ ที่ ๑๘) ได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบผลของความก้าวหนา้ ตามโครงการที่
อบต. ได้ดําเนินการ (x=๓.๑๐) ข้อท่ี ๑๗) มีส่วนร่วมในการตรวจสอบงานจัดซอื้ จัดจ้างของ อบต. (x
๘๔
=๓.๑๐) ข้อท่ี ๑๙) เคยเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองประท้วงรัฐบาล หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ (x =๓.๑๐)
ข้อที่ ๒๐) เคยติดตามผลงานและตรวจสอบการทํางานของนักการเมืองที่ท่านเลือกเข้าไปว่าทําอะไร
ให้แก่ชุมชนและสังคม (x =๓.๐๘) และข้อท่ีมีค่าเฉล่ียน้อยที่สุด ได้แก่ ข้อที่ ๒๕) ได้เข้ามามีส่วนร่วม
ในการเป็นคณะกรรมการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนา อบต. (x =๓.๐๗) ข้อที่ ๑๖) มีส่วนร่วม
ในการตรวจสอบการใช้งบประมาณของ อบต. (x =๓.๐๗) ตามลาํ ดบั
๔.๒.๒ ผลการวิเคราะห์ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนใน
องค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ด้านส่งเสริมการมีส่วนร่วม
ดว้ ยหลักสงั คหวัตถุ ๔
ตารางท่ี ๔.๑๐ แสดงค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ระดับท้องถ่ินของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมือง
ชยั ภูมิ จงั หวัดชัยภูมิ ด้านส่งเสรมิ การมีส่วนร่วมด้วยหลักสังคหวัตถุ ๔ โดยรวม
(n=๓๘๐)
การมสี ว่ นรว่ มทางการเมืองระดับท้องถนิ่ ของ ระดับการความคดิ เหน็
ท่ี ประชาชนในองคก์ ารบรหิ ารส่วนตําบลบ้านเล่า x S.D. แปลผล
อาํ เภอเมอื งชยั ภมู ิ จังหวัดชัยภมู ิ ดา้ นส่งเสริมการมี
สว่ นร่วมดว้ ยหลกั สังคหวัตถุ ๔
๑ ดา้ นทาน (การให้ การเอ้อื เฟื้อเผ่อื แผ่) ๓.๑๘ ๐.๖๔ ปานกลาง
๒ ดา้ นปยิ วาจา (วาจาเปน็ ทร่ี กั หรือวาจาสภุ าพ) ๓.๕๐ ๐.๗๖ มาก
๓ ด้านอตั ถจรยิ า (การประพฤติประโยชน์) ๓.๕๕ ๐.๘๗ มาก
๔ ดา้ นสมานัตตตา (ความมีตนเสมอ) ๓.๕๖ ๐.๘๖ มาก
ภาพรวม ๓.๔๕ ๐.๖๕ มาก
จากตารางที่ ๔.๑๐ พบว่า ระดับการมีส่วนรว่ มทางการเมอื งระดับท้องถ่ินของประชาชน
ในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ด้านส่งเสริมการมีส่วนร่วม
ด้วยหลักสังคหวัตถุ ๔ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x=๓.๔๕) เมื่อจําแนกเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ใน
ระดับมาก ๓ ด้าน และปานกลาง ๑ ด้าน โดยเรียงลําดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้าน
สมานัตตตา (x=๓.๕๖) รองลงมา ได้แก่ ด้านอัตถจริยา (x=๓.๕๕) ด้านปิยวาจา (x=๓.๕๐) และ
ดา้ นทาน (x=๓.๑๘) ตามลําดับ
๘๕
ตารางที่ ๔.๑๑ แสดงค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง ระดับ
ทอ้ งถิ่นของประชาชนในองค์การบรหิ ารส่วนตาํ บลบา้ นเลา่ อาํ เภอเมืองชัยภูมิ จังหวัด
ชยั ภมู ิ ด้านทาน (การให้ การเอือ้ เฟ้ือเผอื่ แผ่)
(n=๓๘๐)
การมสี ่วนรว่ มทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชน ระดับความคดิ เหน็
ในองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตําบลบ้านเล่า อาํ เภอเมอื งชยั ภูมิ
S.D. แปลผล
จงั หวัดชัยภมู ิ ด้านการส่งเสรมิ การมสี ว่ นรว่ มดว้ ย
หลักสังคหะวตั ถุ ๔ ๓.๐๙ ๐.๙๒ ปานกลาง
๓.๒๐ ๐.๘๗ ปานกลาง
ดา้ นทาน (การให้ การเอ้ือเฟอ้ื เผือ่ แผ่) ๓.๒๔ ๐.๙๐ ปานกลาง
๓.๒๘ ๐.๙๒ ปานกลาง
๑) เคยบรจิ าคทรัพยเ์ พ่อื ชว่ ยเหลือผู้อน่ื ในขณะยากลาํ บาก ๓.๐๘ ๐.๘๑ ปานกลาง
๓.๑๘ ๐.๖๔ ปานกลาง
๒) มคี วามหวังดีต่อคน โดยการแนะนําส่งิ ท่ีถูกต้อง
๓) ใหค้ วามรูด้ ้านประชาธิปไตยแกช่ ุมชน
๔) ใหค้ วามรว่ มมอื ในกิจกรรมที่ทางชมุ ชนจดั ขนึ้
๕) ให้การสนบั สนุนการเลอื กต้ัง เช่น ช่วยจัดสถานทเี่ ป็นตน้
ภาพรวม
จากตารางที่ ๔.๑๑ พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถ่ินของ
ประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านเล่า อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ด้านทาน (การให้
การเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่) โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (x=๓.๑๘) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า
อยู่ในระดับปานกลางทุกข้อ โดยเรียงลําดบั ค่าเฉล่ียจากมากไปหานอ้ ย ดังน้ี ขอ้ ที่ ๔) ให้ความร่วมมือ
ในกิจกรรมท่ีทางชุมชนจัดขนึ้ (x=๓.๒๘) มี รองลงมา ได้แก่ ข้อท่ี ๓) ใหค้ วามรู้ด้านประชาธิปไตยแก่
ชุมชน (x=๓.๒๔) ข้อที่ ๒) มีความหวังดีต่อคน โดยการแนะนําสิ่งที่ถูกต้อง (x=๓.๒๐) ข้อท่ี ๑) เคย
บรจิ าคทรพั ย์เพอ่ื ช่วยเหลือผู้อื่นในขณะยากลําบาก (x=๓.๐๙) และข้อท่ีมีค่าเฉล่ียน้อยที่สุด คือ ขอ้ ท่ี
๕) ให้การสนับสนนุ การเลือกตงั้ เชน่ ชว่ ยจดั สถานท่ี เปน็ ตน้ (x=๓.๐๘) ตามลําดบั