ศึกษาเฉพาะเรอื่ งในพัฒนาการแหงพระพทุ ธศาสนา ๔๑
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
และรุนหลัง แมรายละเอียดปลีกยอยในหลักฐานน้ัน ๆ จะมีตางกันออกไปก็ตาม แตก็เปน
อันตกลงวา ฝายมหายานไดร ับรองการสังคายนาครง้ั ที่ ๑ และครั้งท่ี ๒ รวมกัน๑๕
โดยเหตุที่คัมภีรพระพุทธศาสนาฝายมหายานมักจะมีอะไรตออะไรตางออกไป
จากของเถรวาท เม่ือเกิดปญหาวา คัมภีรเหลาน้ันมีมาอยางไร ก็มักจะมีคําตอบวา มีการ
สังคายนาของฝา ยมหายาน คมั ภรี เ หลาน้นั เกดิ ขน้ึ จากผูท่ีสังคายนา ซ่ึงเปนผูทรงคุณวุฒิไดรู
ไดฟ ง มาคนละสายกบั ฝา ยเถรวาท
เม่ือตรวจสอบจากหนังสือของฝายมหายาน แมจะพบวาสังคายนาผสมกับฝาย
มหายานนั้น เกิดเม่ือสมัยพระเจากนิษกะ ประมาณ พ.ศ. ๖๔๓ ก็จริง แตขออางตาง ๆ
มักจะพาดพิงไปถึงสังคายนาครั้งที่ ๑ และที่ ๒ คือมีคณะสงฆอีกฝายหน่ึง ทําสังคายนา
แขงขันอกี สว นหนงึ่ คอื
๑. สังคายนาคร้ังแรกท่ีพระมหากัสสปเปนประธานนั้น กระทําที่ถ้ําสัตตบรรณ
คูหา ขางเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห มคี าํ กลาวของฝายมหายานวา ภิกษุท้ังหลายผูมิได
รับเลือกเปนการกสงฆ (คือสงฆผูกระทําหนาที่) ในปฐมสังคายนาซึ่งมีพระมหากัสสปเปน
ประธาน ไดประชมุ กันทาํ สังคายนาขนึ้ อกี สว นหนึ่ง เรยี กวาสังคายนานอกถํ้า และโดยเหตุท่ี
ภิกษผุ ูทําสังคายนานอกถ้ํามีจํานวนมาก จึงเรียกอีกอยางหน่ึงวา สังคายนามหาสังฆิกะ คือ
ของสงฆหมูใหญ เร่ืองนี้ปรากฏในประวัติของหลวงจีนเฮี่ยนจัง ผูเดินทางไปดูการ
พระพุทธศาสนาในอินเดยี ทนี่ างเคงเหลียน สีบุญเรือง แปลเปนภาษาไทย หนา ๑๖๙ และ
กลาวดวยวา ในการสังคายนาครั้งนี้ แบงออกเปน ๕ ปฎก คือ พระสูตร, วินัย, อภิธรรม,
ปกณิ ณกะ และธารณี
แตห ลกั ฐานของการสังคายนา “นอกถํ้า” ครัง้ ท่ี ๑ นี้นา จะเปนการกลา วสับสนกับ
เหตุการณที่เกิดขนานกับการสังคายนาครั้งท่ี ๒๕ หรือนัยหน่ึงเอาเหตุการณในสังคายนา
คร้งั ท่ี ๒๑๖ ไปเปนครั้งที่ ๑ คือ
๒. การสังคายนาของมหาสังฆิกะ มีเร่ืองเลาวา เมื่อภิกษุวัชชีบุตร ถือวินัยยอ
หยอ น ๑๐ ประการ และพระยสะ กากัณฑกบุตร ไดชักชวนคณะสงฆในภาคตาง ๆ มารวม
กันทําสังคายนา ชําระมลทินโทษแหงพระศาสนาวินิจฉัยชี้วา ขอถือผิด ๑๐ ประการนั้น มี
หามไวในพระวินัยอยางไร แลวไดทําสังคายนา ในขณะเดียวกัน พวกภิกษุวัชชีบุตรซึ่งมีอยู
๑๕ ผูตองการหลักฐานละเอียดโปรดดู หนังสือ Early Monastic Buddhism เลม ๒, หนา
๓๑ ถึง ๔๖
๑๖ หนงั สือประวัติของหลวงจีนเฮี่ยนจัง เปนนิพนธของภิกษุฮุยลิบศิษยของทาน สวนบันทึก
เดินทางของหลวงจีนเฮ่ียนจังเอง มีอีกเลมหนึ่งตางหาก ซึ่งฉบับหลังน้ี ฝรั่งใหเกียรตินําไปอางอิงไวใน
หนังสอื ของตนมากมายดว ยกนั .
๔๒ บทท่ี ๒ ความรูเ รอ่ื งพระไตรปฎ ก
Knowledge of the scriptures
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
เปน จํานวนมาก กไ็ ดเ รียกประชมุ สงฆถ งึ ๑๐,๐๐๐ รปู ทาํ สังคายนาของตนเองท่ีเมืองกุสุมปุ
ระ (ปาตลีบุตร) ใหช่ือวามหาสังคีติ คือมหาสังคายนาเปนเหตุใหเกิดนิกายมหาสังฆิกะ ซึ่ง
แมจะยังไมนับวาเปนมหายานโดยตรง แตก็นับไดวาเปนเบ้ืองตนแหงการแตกแยกจากฝาย
เถรวาท มาเปนมหายานในกาลตอมา การสังคายนาคร้ังน้ี ไดแกไขเปล่ียนแปลงของเดิมไป
ไมนอย หลักฐานของฝายมหายานบางเลมไดกลาวถึงกําเนิดของนิกายมหาสังฆิกะ โดยไม
กลา วถึงวัตถุ ๑๐ ประการก็มี แตกลาววา ขอเสนอ ๕ ประการ ของมหาเทวะเก่ียวกับพระ
อรหันตวา ยังมิไดดับกิเลสโดยสมบูรณ เปนตน เปนเหตุใหเกิดการสังคายนาคร้ังท่ี ๒ แลว
พวกมหาสงั ฆกิ ะกแ็ ยกออกมาทําสงั คายนาของตน
๒.๕.๖ การสงั คายนาของนิกายสัพพัตถิกวาท
กายสังคายนาของพระเจากนิษกะ ประมาณในปพุทธศักราช ๖๔๓ (ค.ศ. ๑๐๐)
พระเจากนิษกะผูมีอํานาจอยูในอินเดียภาคเหนือไดสนับสนุนใหมีการสังคายนา ซึ่งอาจ
กลาวไดว า เปน สงั คายนาแบบผสม ณ เมืองชาลันธร หรือบางแหงกลาววา เมืองกาษมีระ
ในหนังสือจดหมายเหตุของหลวงจีนเฮี่ยนจัง เลาวา พระเจากนิษกะหันมาสนใจ
พระพทุ ธศาสนา และตํารับตําราแหงศาสนาน้ี จึงใหอาราธนาพระภิกษุ ๑ รูปไปสอนทุก ๆ
วัน และเนื่องจากภิกษุแตละรูปที่ไปสอนก็สอนตาง ๆ กันออกไป บางคร้ังก็ถึงกับขัดกัน
พระเจากนิษกะทรงลังเลไมรูจะฟงวาองคไหนถูกตอง จึงปรึกษาขอความน้ีกับพระเถระผูมี
นามวา ปารสวะ ถามวา คําสอนที่ถูกตองน้ันคืออันใดกันแน พระเถระแนะนําใหแลว พระ
เจา กนิษกะจึงตกลงพระทยั จดั ใหมีการสังคายนา ซ่ึงมีภิกษุสงฆนิกายตาง ๆ ไดรับอาราธนา
ใหมาเขาประชุม พระเจากนิษกะโปรดใหสรางวัด เปนที่พักพระสงฆได ๕๐๐ รูป ผูจะพึง
เขียนคําอธิบายพระไตรปฎก คําอธิบายหรืออรรถกถาสุตตันตปฎก มี ๑๐๐,๐๐๐ โศลก,
อรรถกถาวินัยปฎก ๑๐๐,๐๐๐ โศลก และอรรถกถาอภิธรรมอันมีนามวา อภิธรรมวิภาษา
มีจาํ นวน ๑๐๐,๐๐๐ โศลก ก็ไดแ ตง ขนึ้ ในสงั คายนาครัง้ นี้ดวย เมื่อทําสังคายนาเสร็จแลว ก็
ไดจารึกลงในแผนทองแดง เก็บไวในหีบศิลา แลวบรรจุไวในเจดียท่ีสรางข้ึนโดยเฉพาะเพื่อ
การน้ีอีกตอหน่ึง มีขอสังเกต คือกําหนดกาลของสังคายนาคร้ังน้ี ท่ีปรากฏในคัมภีรฝายธิ
เบต กลาววา กระทําในยุคหลังกวาท่ีหลวงจีนเฮ่ียนจังกลาวไว แตเร่ือง พ.ศ. ที่เก่ียวกับ
เหตุการณในพระพทุ ธศาสนา ก็มีขอโตแยงผิดเพ้ียนกันอยูมิใชแหงเดียว จึงเปนขอที่ควรจะ
ไดพจิ ารณาสอบสวนในทางท่ีควรตอไป
การสังคายนาครั้งน้ี เปนของนิกายสัพพัตถิกวาท ซ่ึงแยกสาขาออกไปจากเถร
วาท แตก ม็ ีพระของฝายมหายานรว มอยดู ว ย จงึ เทากับเปน สังคายนาผสม
ศึกษาเฉพาะเรือ่ งในพฒั นาการแหงพระพทุ ธศาสนา ๔๓
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
๒.๖ สังคายนานอกประวัติศาสตร
ยังมีสังคายนาอีกครั้งหน่ึง ซ่ึงไมปรากฏในประวัติศาสตร และไมไดการรับรอง
ทางวชิ าการจากผูศึกษาคนควาทางพระพุทธศาสนา อาจถือไดวาเปนความเชื่อถือปรัมปรา
ของพทุ ธศาสนิกชนฝา ยมหายานในจีนและญี่ปุน คือสังคายนาของพระโพธิสัตวมัญชุศรี กับ
พระโพธิสัตว ไมเตรยะ (พระศรีอารย) ทั้งนี้ ปรากฏตามหลักฐาน ในหนังสือประวัติศาสตร
ยอแหงพระพุทธศาสนา ๑๒ นิกาย ของ๑๗ ญ่ีปุน หนา ๕๑ ซ่ึงไมไดบอกกาลเวลา สถานที่
และรายละเอียดไว ท่ีนํามากลาวไวใ นท่นี ี้ พอเปนเครื่องประดับความรูเก่ียวกับความเปนมา
แหง พระไตรปฎ กในทีม่ าตา ง ๆ เทาท่จี ะคน หามาได
เปนอันวาไดกลาวถึงการสังคายนา ท้ังของฝายเถรวาทและของมหายานไว พอเปน
แนวทางใหทราบความเปนมาแหงคําสอนทางพระพุทธศาสนา และโดยเฉพาะคัมภีร
พระไตรปฎ ก ท้ังไดพยายามรวบรัดกลาว เพราะไมเชนน้ันจะกลายเปนตองแตงประวัติศาสตร
ความเปน มาแหง พระพุทธศาสนาขนาดใหญไวในทน่ี ้ี
๒.๗ ลาํ ดบั อาจารยผูท รงจําพระไตรปฎ ก
ไดกลาวไวแลวในสมัยท่ียังมิไดมีการจารึกพระไตรปฎกลงในใบลานนั้นใชวิธี
ทองจํา และการทองจําก็แบงหนาที่กัน ตามใครจะสมัครเปนผูเชี่ยวชาญในสวนไหนตอน
ไหนของพระไตรปฎก เชน คําวา ทีฆภาณกะ แปลวา ผูสวดคัมภีรทีฆนิกาย (พระธรรม
เทศนาหมวดยาว) มัชฉิมภาณกะ ผูสวดคัมภีร มัชฌิมนิกาย (พระธรรมเทศนาขนาดปาน
กลาง) โดยนัยน้ีจึงเปนการแบงงานกันทําในการทองจําพระไตรปฎก และมีผูเชี่ยวชาญใน
แตละสาขา มีศิษยของแตละสํานักทองจําตามท่ีอาจารยสั่งสอน เปนทางใหเห็นความ
เปนมาแหง พระไตรปฎก ดวยประการฉะน้ี
ในหนังสืออธิบายพระไตรปฎก หรือที่เรียกวาอรรถกถา ไดแสดงการสืบสายของ
อาจารยในแตละทาง คือ วินัยปฎก สุตตันตปฎก และอภิธัมมปฎก ท่ีเรียกวาอาจริย
ปรมั ปรา สายแหงพระอาจารย ดงั นี้
สายวินยั ปฎ ก๑๘ ๒. พระทาสกะ
๑. พระอบุ าลี
๓. พระโสณกะ ๔. พระสคิ ควะ
๑๗ Bunyiu Bantio, A Shory History of Twelve Japanese Buddhist Sicts,
(Tokyo: Bukkyo-sho-ei-yaku-shuppan-sha, 1979). p.102-106.
๑๘ สมนั ตปั ปาสาทกิ า ภาค ๑, หนา ๖๑ ครั้นแลวไดกลาวถึงช่ืออาจารยในรุนหลัง ตอนท่ีแผ
ศาสนาไปในลังกาแลว อีกเกอื บ ๑๐๐ รูป
๔๔ บทท่ี ๒ ความรเู รอื่ งพระไตรปฎ ก
Knowledge of the scriptures
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๕. พระโมคคลีบุตร ตสิ สะ
สายสุตตันตปฎ ก
ไมไดมีระบุไวในอรรถกถา เปนแตไดกลาวถึงการมอบหนาที่ในการทองจํานําสืบ ๆ
กนั ตอไป ดงั นี้๑๙
๑. มอบใหพระอานนททอ งจําสัง่ สอนทฆี นิกาย
๒. มอบใหนสิ ติ ทง้ั หลายของพระสารีบุตรทอ งจํามชั ฉมิ นกิ าย
๓. มอบใหพระมหากสั สปทอ งจําสังยุตตนกิ าย
๔. มอบใหพระอานุรุทธทองจําอังคุตตรนิกาย สวนขุททกนิกายไมไดกลาวไววา
มอบเปนหนาทีข่ องใคร
สายอภิธัมมปฎ ก๒๐
๑. พระสารีบตุ ร ๒. พระภัททชิ
๓. พระโสภติ ะ ๔. พระปย ชาลี
๕. พระปย ปาละ ๖. พระปยทสั สี
๗. พระโกสยิ ปตุ ตะ ๘. พระสิคควะ
๙. พระสนั เทหะ ๑๐. พระโมคคลบี ตุ ร
๑๑. พระติสสทตั ตะ ๑๒. พระธมั มยิ ะ
๑๓. พระทาสกะ ๑๔. พระโสณกะ
๑๕. พระเรวตะ
ตามรายนามน้ี สืบตอมาเพียงชั่ว ๒๓๕ ปเทาน้ัน ตอจากนั้นยังมีรายนามอีกมาก
ซง่ึ นบั แตแผศาสนาไปในลังกาแลว
๒.๘ การชําระและจารกึ กับการพิมพพ ระไตรปฎกในประเทศไทย
ไดกลาวไวแลววา ควรจะไดกลาวเปนพิเศษถึงการชําระการเขียน การพิมพ
พระไตรปฎกในประเทศไทย ใหคอนขางละเอียดสักเล็กนอย เพื่อเปนประโยชน ในการรู
เร่ืองความเกี่ยวของของประเทศไทยท่ีมีตอพระไตรปฎก ซ่ึงในที่นี้จะไดแบงเปน ๔ สมัย
ดงั น้ี
สมัยที่ ๑ ชําระและจารลงในใบลาน กระทําท่ีเมืองเชียงใหม สมัยพระเจาติโลก
ราช ประมาณ พ.ศ. ๒๐๒๐
๑๙ สุมังคลวิลาสนิ ี ภาค ๑, หนา ๑๘.
๒๐ อัฏฐสาลินี, หนา ๔๓.
ศกึ ษาเฉพาะเร่อื งในพฒั นาการแหง พระพุทธศาสนา ๔๕
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
สมัยที่ ๒ ชาํ ระและจารลงในใบลาน กระทาํ ทีก่ รุงเทพฯ สมัยพระบาทสมเด็จพระ
พุทธยอดฟา จุฬาโลก รชั กาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๓๑
สมัยที่ ๓ ชําระและพิมพเปนเลม กระทําท่ีกรุงเทพฯ สมัยพระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกลา เจาอยูห ัว รัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๑ ถึง พ.ศ. ๒๔๓๖
สมัยที่ ๔ ชําระและพิมพเปนเลม กระทําที่กรุงเทพฯ สมัยพระบาทสมเด็จ
พระปกเกลาเจา อยหู ัว รชั กาลที่ ๗ พ.ศ. ๒๔๖๘ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๓
๒.๘.๑ สมยั ที่ ๑ พระเจาตโิ ลกราช เมอื งเชยี งใหม
ความจริงสมัยนั้น เมืองเชียงใหมเปนอิสระ และถือไดวาภูมิภาคแถบน้ันเปน
ประเทศลานนาไทย แตเมื่อรวมกันเปนประเทศไทยในภายหลัง ก็ควรจะไดกลาวถึงการ
ชําระพระ ไตรปฎ ก และการจารลงในใบลาน
พระเจาติโลกราชผูน้ี มีเร่ืองกลาวถึงไวในหนังสือชินกาลมาลีปกรณส้ัน ๆ วา
สรางพระพทุ ธรูป ในจลุ ศักราช ๘๔๕ ในหนังสือสังคีติยวงศเลาเร่ืองสรางพระพุทธรูปขนาด
ใหญ ตรงกบั หนังสอื ชินกาลมาลปี กรณ แตมีเลา เรื่องสังคายนาพระไตรปฎกดวย พระเจาติ
โลกราชไดอาราธนาพระภิกษุผูทรงพระไตรปฎกหลายรอยรูป มีพระธรรมทินเถระเปน
ประธาน ใหชําระอักษรพระไตรปฎกในวัดโพธาราม ๑ ปจึงสําเร็จ เม่ือทําการฉลองสมโภช
แลว กไ็ ดใ หส รา งมณเฑยี รในวดั โพธาราม เพือ่ ประดษิ ฐาน พระไตรปฎ ก
ขอที่นาสังเกตก็คือ ตัวอักษรท่ีใชในการจารึกพระไตรปฎกในคร้ังน้ัน คงเปน
อกั ษรแบบไทยลานนา คลายอักษรพมา มผี ิดเพยี้ นกันบา ง และพอเดาออกเปนบางตัว
๒.๘.๒ สมัยที่ ๒ รัชกาลที่ ๑ กรงุ เทพฯ
เร่ืองสังคายนาพระไตรปฎกโดยพิสดาร ในสมัยรัชกาลที่ ๑ มีปรากฏในหนังสือ
พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา และคําประกาศเทวดาครั้งสังคายนาปวอก สัมฤทธิศก
พ.ศ. ๒๓๓๑ รัชกาลท่ี ๑ (หนงั สือประกาศการพระราชพิธี) ซึ่งเกบ็ ใจความไดดังนี้
ในป พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก ทรงสละพระราช
ทรัพยจางชางจารจารึกพระไตรปฎกลงในใบลาน และใหชําระและแปลฉบับอักษรลาว
อักษรรามัญ เปนอักษรขอม สรางใสตูไวในหอมนเทียรธรรม และสรางพระไตรปฎกถวาย
พระสงฆไวทุกพระอาราม หลวง มีผูกราบทูลวา ฉบับพระไตรปฎก และอรรถกถาฎีกาท่ีมี
อยู ผิดเพ้ียนวิปลาสเปนอันมาก ผูท่ีรูพระไตรปฎกก็มีนอยทาน ควรจะไดหาทางชําระให
ถูกตองจึงทรงอาราธนาพระสังฆราช พระราชาคณะ ฐานานุกรมเปรียญ ๑๐๐ รูปมาฉัน
ตรสั ถามวา พระไตรปฎกผดิ พลาดมากนอ ยเพียงไร สมเดจ็ พระสังฆราชพรอมดวยพระราชา
คณะถวายพระใหทรงทราบวา มีผดิ พลาดมาก แลว เลา ประวัตกิ ารสังคายนาพระไตรปฎก ๘
ครั้งที่ลวงมาแลว เมื่อทรงทราบด่ังนี้ จึงอาราธนาใหพระสงฆดําเนินการสังคายนาชําระ
๔๖ บทท่ี ๒ ความรูเ รือ่ งพระไตรปฎก
Knowledge of the scriptures
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
พระไตรปฎก ซึ่งเลือกไดพระสงฆ ๒๑๘ รูป ราชบัณฑิตอุบาสก ๓๒ คน (แตตามประกาศ
เทวดาวา พระสงฆ ๒๑๙ รูป ราชบัณฑิตอุบาสก ๓๐ คน) กระทํา ณ วัดพระศรีสรรเพชญ
(คือวัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษดิ์ในปจจุบัน) แบงงานออกเปน ๔ กอง สมเด็จพระสังฆราช
เปนแมกองชําระสุตตันตปฎก พระวันรัตเปนแมกองชําระวินัยปฎก พระพิมลธรรมเปนแม
กองชําระอภิธัมมปฎก พระพุฒาจารยเปนแมกองชําระสัททาวิเศษ (ตําราไวยากรณและ
อธบิ ายศพั ทต า ง ๆ) พระบาทสมเดจ็ พระเจา อยหู วั และพระอนุชาเสด็จไป ณ พระอารามทุก
วัน ๆ ละ ๒ คร้ัง เวลา เชา ทรงประเคนสํารบั อาหาร เวลาเย็นทรงถวายน้าํ อัฐบาน (นํ้าผลไม
ค้ัน) และเทียนทกุ วัน เปนอยางน้สี นิ้ เวลา ๕ เดอื นจงึ เสร็จ แลวไดจางชางจารึกลงในใบลาน
ใหปดทองแทงทับท้ังใบปกหนาหลัง และกรอบท้ังส้ิน เรียกวาฉบับทองหอดวยผายก เชือก
รัดถักดวยไหม แพรเบญจพรรณ มีฉลากงาแกะเขียนอักษรดวยหมึก และฉลากทอเปน
ตัวอักษร บอกชือ่ พระคัมภีรท ุกคัมภีร
เมื่อพิจารณาจากการที่พระมหากษัตริยทรงอุตสาหะ เสด็จพระราชดําเนินไปให
กาํ ลงั ใจแกพ ระเถระและราชบัณฑิตผูชําระพระไตรปฎก ถึงวันละ ๒ เวลาแลว ก็ควรจะถือ
ไดวาเปนพระราชจริยาอันดีย่ิง มีคุณคาในการถนอมรักษาตําราทางพระพุทธศาสนาไว
ดว ยดี
แตการสังคายนาครั้งน้ี ผูทรงความรูรุนหลัง มักจะพูดลอวาเปนการสังคายนา
แตมหัวตะ เชน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัวรัชกาลท่ี ๕ ทรงไวในพระราช
วิจารณเทียบลัทธิพระพุทธศาสนาฝายหีนยาน (เถรวาท) กับมหายาน หนา ๑๓ โดยเล็งไป
ถึงวาไมไดทําอะไรมาก นอกจากแกไขตัวหนังสือที่ผิด คําวา แตมหัวตะ หมายความวา
อักษร ค กับอักษร ต เมื่อเขียนดวยอักษรขอม มีลักษณะใกลเคียงกัน ถาจะใหชัดเจนเวลา
เขียนตัว ต จะตองมีขมวดหัว การสอบทานเหน็ ตัวไหนไมชัดกเ็ ติมขมวดหวั เสียใหชดั
แตขา พเจาเองมิไดเห็นวา การชําระพระไตรปฎ กในรชั กาลที่ ๑ เปนเรื่องเล็กนอย
เพราะมิไดติดใจถอยคําท่ีวา สังคายนา จะตองเปนเรื่องปราบเส้ียนหนามทุกครั้งไป
สังคายนาครั้งที่ ๑ ก็ไมใชมีเส้ียนหนามอะไรมาก เพียงภิกษุสูงอายุรูปหน่ึงพูดไมดีเทานั้น
ขอสําคัญอยูที่การจัดระเบียบหรือถนอมรักษาพระพุทธวจนะ ใหดํารงอยูก็พอแลว ขอ
ปรารภของรชั กาลที่ ๑ ที่วา พระไตรปฎกมีอักษรผิดพลาดตกหลนมาก จึงควรชําระใหดี นี้
เปน เหตผุ ลเพยี งพอทจ่ี ะดําเนินงานได เพราะถาไมไดพระบรมราชูปถัมภงานนี้ก็คงสําเร็จได
โดยยาก จะเรียกวา สังคายนาหรือไม ไมสําคัญ สําคัญอยูที่ไดแกไขฉบับพระไตรปฎกใหดี
ข้ึนก็เปนท่ีพอใจแลว เพราะแมการสังคายนาคร้ังที่ ๑-๒-๓ ถาจะถือวา มีการสังคายนาคน
เกีย่ วขอ งดว ยทกุ ครง้ั แตในทสี่ ดุ ก็ไมพ นสังคายนาพระธรรมวินัย จัดระเบียบพระพุทธวจนะ
โดยเฉพาะการสงั คายนาครง้ั แรกก็เพยี งปรารภถอยคําของสุภทั ทภิกษุเทาน้ัน มิใชสังคายนา
ศึกษาเฉพาะเรอื่ งในพัฒนาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๔๗
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
คนหรือตองชําระสะสางความผิดของใคร ดวยเหตุนี้ขาพเจาจึงขอบันทึกพระคุณของ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก รัชกาลท่ี ๑ แหงกรุงรัตนโกสินทรไวในท่ีดวย
คารวะอยา งยิง่
๒.๘.๓ สมยั ท่ี ๓ ในรชั กาลที่ ๕ กรงุ เทพ ฯ
หลักฐานเร่ืองการพิมพพ ระไตรปฎ ก ซึง่ เดิมเขียนเปน ตัวอักษรขอมอยูในคัมภีรใบ
ลาน ใหเปนเลมหนังสือขึ้นน้ี มีในหนังสือชุมนุมกฎหมายในรัชกาลท่ี ๕ (หลวงรัตนาญัปต์ิ
เปนผูรวบรวมพิมพ) หนา ๘๓๙ วาดวยลักษณะบํารุงพระพุทธศาสนาในหัวขอวา การ
ศาสนูปถัมภ คือการพิมพพระไตรปฎก ประกาศการสังคายนา และ พระราชดํารัสแก
พระสงฆโดยพระองค ซ่งึ ไดพิมพไว สวนหน่ึงในภาคผนวกแลว
สาระสําคัญท่ีไดกระทํา คือคัดลอกตัวขอมในคัมภีรใบลานเปนตัวไทยแลวชําระ
แกไข และพิมพข้ึนเปนเลมหนังสือรวม ๓๙ เลม (เดิมกะวาจะถึง ๔๐ เลม) มีการประกาศ
การสังคายนา แตเพราะเหตุที่ถือกันวา การสังคายนาควรจะตองมีการชําระสะสางหรือ
ทําลายเสี้ยนหนามพระศาสนา เพียงพิมพหนังสือเฉย ๆ คนจึงไมนิยมถือวาเปนการ
สังคายนา แตไดกลาวไวแลววา จะเรียกวา สังคายนา หรือไม ไมสําคัญ ขอใหไดมีการ
ตรวจสอบ จารึกหรือจัดพิมพพระไตรปฎกใหเปนเลมรักษาไวเปนหลักฐาน ก็นับวาเปนกิจ
อันควรสรรเสริญอยางยิ่ง เพราะเปนการทําใหพระพุทธวจนะดํารงอยูเปนหลักแหง
การศกึ ษาและปฏบิ ตั ิตลอดไป
มีขอนาสังเกตในการจัดพิมพพระไตรปฎกคร้ังแรกในประเทศไทย ครั้งนี้ท่ีขอ
เสนอไวเ ปนขอ ๆ คอื
๑. การชําระ และจัดพิมพพระไตรปฎกคร้ังนี้เริ่มแต พ.ศ. ๒๔๓๑ สําเร็จเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๓๖ จํานวน ๑,๐๐๐ ชุด นับเปนครั้งแรกในประเทศไทยท่ีไดมีการพิมพ
พระไตรปฎกเปนเลมดวยอักษรไทย เปนการฉลองการท่ีพระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกลา เจาอยหู วั เสวยราชสมบตั ิมาครบ ๒๕ ป
๒. เปนการสละพระราชทรัพยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว
(เทยี บกับการพมิ พพระไตรปฎกในรชั กาลท่ี ๗ ซ่ึงเปน การสละพระราชทรัพย และทรัพย
รว มกันของพระมหากษตั ริยก ับประชาชน)
๓. ในการพิมพคร้ังแรกนี้ พิมพได ๓๙ เลมชุด ยังขาดหายไปมิไดพิมพอีก ๖
เลม และไดพิมพเพิ่มเติมในรัชกาลที่ ๗ จนครบ ฉบับพิมพในรัชกาลที่ ๗ รวม ๔๕ เลม
จงึ นับวาสมบูรณ เปน การชว ยเพ่มิ เตมิ เลม ทขี่ าดหายไปคือ (๑) เลม ๒๖ วิมานวุตถุ เปต
วตั ถุ เถรคาถา เถรคี าถา (๒) เลม ๒๗ ชาดาก (๓) เลม ๒๘ ชาดก (๔) เลม ๓๒ อปทาน
(๕) เลม ๓๓ อปทาน พุทธวงศ จริยาปฎก (๖) เลม ๔๑ อนุโลมติกปฏฐานภาค ๒ และ
๔๘ บทที่ ๒ ความรูเรื่องพระไตรปฎก
Knowledge of the scriptures
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
(๗) ปจจนียปฏฐาน อนุโลมปจจนียปฏฐาน ปจจนียานุโลมปฏฐาน นอกจากน้ันยังได
เพ่ิมเติมทายเลม ๔๔ ที่ขาดหายไป คร่ึงหนึ่ง คือ นุโลมติกติกปฏฐานและอนุโลมทุกทุก
ปฏฐานใหสมบูรณดวย ตามจํานวนดังกลาวน้ี เมื่อคิดเปนเลมจึงมีหนังสือขาดหายไป
ตอ งพิมพเพิม่ เตมิ ใหมถึง ๗ เลม แตเพราะเหตุท่ีฉบับพิมพในครั้งรัชกาลที่ ๕ แยกคัมภีร
ยมกแหงอภิธัมมปฎกออกเปน ๓ เลม สวนในการพิมพครั้งหลัง รวมเปนเพียง ๒ เลม
จํานวนเลม ทข่ี าดหายจึงเปน เพียง ๖ เลม คือ ฉบับพิมพในรัชกาลท่ี ๕ มี ๓๙ เลม ฉบับ
พิมพในรัชกาลท่ี ๗ มี ๔๕ เลม ดวยประการฉะน้ี
อยางไรก็ดี การพิมพพระไตรปฎกเปนเลมหนังสือนี้ แมในข้ันแรกจะไมสมบูรณ
แตก็เปนประโยชนในการศึกษาคนควาทางพระพุทธศาสนาสะดวกย่ิงขึ้น เปนการ
วางรากฐานอยางสําคัญแหงพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เปนพระราชกรณียกิจอันควร
สรรเสรญิ ย่ิงแหงพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา เจา อยูหวั
๒.๘.๔ สมยั ท่ี ๔ รัชกาลท่ี ๗ กรุงเทพ ฯ
หลักฐานเรื่องน้ีในหนังสือรายงานการสรางพระไตรปฎกสยามรัฐ ซึ่งพิมพข้ึนใน
สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกลาเจาอยูหัว รัชกาลท่ี ๗ แสดงรายละเอียดการจัดพิมพ
พระไตรปฎ ก ระหวาง พ.ศ. ๒๔๖๘ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๓
มีขอท่พี ึงกลา วเกยี่ วกบั การจัดพมิ พพระไตรปฎ กครัง้ นี้ คอื
๑. ไดใ ชเครือ่ งหมายและอักขรวิธตี ามแบบของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระ
ยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งทรงคิดขึ้นใหม แมการจัดพิมพจะกระทําในสมัยที่พระองคทาน
ส้นิ พระชนมแ ลว
๒. พิมพ ๑,๕๐๐ จบ พระราชทานในพระราชอาณาจักร ๒๐๐ จบ พระราชทาน
ในนานาประเทศ ๔๕๐ จบ เหลืออีก ๘๕๐ จบ พระราชทานแกผูบริจาคทรัพยขอรับ
หนงั สือพระไตรปฎ ก
๓. การพิมพพระไตรปฎกในครั้งน้ี นับวาไดเพ่ิมเติมสวนที่ยังขาดอยูใหสมบูรณ
โดยใชฉบับลานของหลวง (เขาใจวาฉบับน้ีสืบเนื่องมาจากรัชกาลท่ี ๑) คัดลอกแลวพิมพ
เพ่มิ เตมิ จากสว นทีย่ งั ขาดอยู
๔. ผลของการท่ีสงพระไตรปฎกไปตางประเทศ ทําใหมีผูพยายามอานอักษรไทย
เพื่อสามารถอานพระไตรปฎกฉบับไทยได และไดมีผูบันทึกสดุดีไว เชน พระนยานติโลก
เถระ ชาวเยอรมัน ผูอุปสมบทประจําอยู ณ ประเทศลังกา ไดชมเชยไวในหนังสือ Guide
through the Abhidhamma-Pitaka วา ฉบบั พระไตรปฎกของไทยสมบูรณกวาฉบับพิมพ
ดวยอักษรโรมันของสมาคมบาลีปกรณใ นอังกฤษเปนอันมาก
ศึกษาเฉพาะเรอื่ งในพัฒนาการแหงพระพุทธศาสนา ๔๙
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
๕. ในการพิมพครง้ั น้ี ไดท าํ อนกุ รมตาง ๆ ไวทายเลมเพื่อสะดวกในการคน แมจะ
ไมสมบูรณ แตก ็มปี ระโยชนม าก และเปน แนวทางใหช าํ ระเพมิ่ เตมิ ใหส มบูรณตอ ไป
เปนอันวาทานผูอานไดทราบความเปนมาแหงพระไตรปฎกต้ังแตตนจนถึงพิมพ
เปน เลมแลว ตอไปจะไดก ลา วถงึ วิธีจัดระเบียบและการจัดประเภทในแตละปฎกเพ่ือสะดวก
ในการกําหนดจดจํา ซึ่งไดมีการริเริ่มมาแตการสังคายนาครั้งท่ี ๑ และไดเพ่ิมเติมในการจัด
ระเบยี บในสมยั ตอ ๆ มา
๒.๙ ลกั ษณะการจดั หมวดหมูข องแตละปฎก
ไดกลาวแลววา พระไตรปฎกน้ัน แบงออกเปนวินัยปฎก สุตตันตปฎก และ
อภิธัมมปฎก โดยลําดับ พระโบราณาจารยฝายไทยไดใชวิธียอหัวขอสําคัญในแตละปฎก
เพื่อจํางายเปนอักษรยอ ในการใชอักษรยอน้ัน วินัยปฎกมี ๕ คํา สุตตันตปฎก ๕ คํา
อภิธมั มปฎ ก ๗ ดงั ตอ ไปนี้
๒.๙.๑ วนิ ยั ปฎก
อักษรยอในปฎกอ่ืน ๆ ไมมีปญหา คงมีปญหาเฉพาะวินัยปฎก คือ อา, ปา, ม, จุ,
ป อา = อาทกิ ัมม (การกระทําท่เี ปน ตนบญั ญัติ) หมายเฉพาะรายการพระวินัย ต้ังแตอาบัติ
ปาราชิกลงมาถึงสังฆาทิเสส, ปา = ปาจิตตีย เปนช่ือของอาบัติในปาฏิโมกข เฉพาะต้ังแต
ถัด สังฆาทิเสสลงมา ทั้งสองหัวขอน้ีเปนการยออยางจับความมากกวายอตามช่ือหมวดหมู
จึงไมตรงกบั ชอื่ ที่ใชเ ปนทางการในวินัยปฎก สวนอีก ๓ ขอทายตรงตามช่ือหมวดหมู ฉะน้ัน
ถาจะจดั ตามชอื่ จงึ ควรเปนดังนี้
๑. ม= มหาวิภังค หรือ ภิกขุวิภังค วาดวยศีลของภิกษุท่ีมาในปาฏิโมกข (
คําวา ปาฏิโมกข คือศีลที่เปนใหญเปนสําคัญอันจะตองสวดทบทวนในที่ประชุมสงฆทุกก่ึง
เดือน)
๒. ภิ= ภกิ ขุนีวิภังค วา ดวยศลี ของภิกษุณี
๓. ม = มหาวัคค แปลวา วรรคใหญ แบงออกเปนขันธกะ คือหมวดตาง ๆ
๑๐ หมวด
๔. จุ = จุลลวัคค แปลวา วรรคเล็ก แบงออกเปนขันธกะ คือหมวดตาง ๆ
๑๒ หมวด
๕. ป = ปริวาร หมายถึงหัวขอเบ็ดเตล็ดตาง ๆ เปนการยอหัวขอสรุป
เนอ้ื ความ วินยั ฉยั ปญญาใน ๔ เรื่องขางตน
แตความเขาใจของชาวอังกฤษท่ีต้ังสมาคมบาลีปกรณขึ้นพิมพพระไตรปฎก
ในประเทศอังกฤษเขาแบง วินยั ปฎกออกเปน ๓ สวน คือ
๕๐ บทท่ี ๒ ความรูเรอื่ งพระไตรปฎก
Knowledge of the scriptures
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๑ . สุตตวิภังค หมายรวมทง้ั ศลี ของภกิ ษุและภกิ ษณุ ี
๒. ขันธกะ หมายรวมทงั้ มหาวคั คและจลุ ลวคั ค
๓. ปริวาร คอื หวั ขอเบ็ดเตลด็ ๒๑
ปญหาเหลานี้ ไมไดทําใหเกิดการผิดพลาดหรือบกพรองในวินัยปฎกแตละ
ประการใด ตนฉบับก็ตรงกัน เปนแตการเรียกช่ือหัวขอ หรือวิธีแบงหัวขอตางกันออกไป
เทานนั้
ในหนังสืออรรถกถาวินัย (สมันตัปปาสาทิกาภาค ๑ หนา ๑๗) พระอรรถกถา
จารยจัดหัวขอยอวินัยปฎกไววา ชื่อวินัยปฎก คือ “ ปาฏิโมกข ๒ ( ภิกขุปาฏิโมกข ภิกขุนี
ปาฏิโมกข ) วิภังค ๒ ( มหาวิภังคหรือภิกขุวิภังคกับภิกขุนีวิภังค) ขันธกะ ๒๒ ( รวมท้ังใน
มหาวัคคและจุลลวัคค ) และบริวาร ๑๖ ” เร่ืองเหลาน้ีคงเปน ปญหาในการเรียกชื่อ
หมวดหมูตามเคย ถารูความหมายแลวจะทองจําหัวขอยอ ๆ แบบไทยวา อา, ปา, ม, จุ, ป ก็
คงไดป ระโยชนเทากนั อน่ึง ทา นผอู านจะเขาใจยิ่งข้ึนเมื่ออานถึงภาค ๓ อันวาดวยความยอ
แหง พระไตรปฎก เพราะจะไดเห็นหัวขอที่แบงออกไปเปนหมวดหมูรอง ๆ ลงไปหมวดใหญ
อยา งชัดเจน
๒.๙.๒ สุตตนั ตปฎ ก
หัวขอยอ แหง สุตตันตปฎกมี คอื ที , ม, สัง, องั , ขุ ดังตอ ไปนี้
๑ . ที = ทีฆนิกาย แปลวา หมวดยาว หมายถึงหมวดที่รวบรวมพระสูตร
ขนาดยาวไวสวนหนึ่งไมปนกับพระสูตรประเภทอ่ืน ในหมวดนี้มีพระสูตรรวมท้ังสิ้น ๓๔
สูตร
๒. ม = มัชฌิมนิกาย แปลวา หมวดปานกลาง หมายถึงหมวดที่รวบรวม
พระสูตรขนาดกลางไมส้ันเกินไป ไมยาวเกินไปไวสวนหนึ่ง ในหมวดนี้มีพระสูตรรวมท้ังส้ิน
๑๕๒ สูตร
๓. สัง= สังยุตตนิกาย แปลวา หมวดประมวล คือประมวลเร่ืองประเภท
เดยี วกันไวเ ปน หมวดหมู เชน เร่ืองพระมหากัสสป เรียกกัสสปสังยุต เรื่องอินทรีย (ธรรมะท่ี
เปนใหญในหนาท่ีของตน) เรียกอินทริยสังยุต เร่ืองมรรค (ขอปฏิบัติ) เรียกมัคคสังยุต ใน
หมวดนมี้ ีพระสูตรรวมทงั้ สน้ิ ๗,๗๖๒ สูตร๑๔
๔. อัง = อังคุตตรนิกาย แปลวา หมวดยิ่งดวยองค คือจัดลําดับธรรมะไว
เปนหมวด ๆ ตามลําดับตัวเลข เชน หมวดธรรมะขอเดียว เรียกเอกนิบาต หมวดธรรมะ ๒
ขอ เรยี กทกุ นิบาต หมวดธรรมะ ๓ ขอ เรียกติกนิบาต ดังนี้เปนตน จนถึงหมวดธรรมะ ๑๐
๒๑ คณาจารย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระวินัยปฎก, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐), หนา ๑๑ – ๑๓.
ศึกษาเฉพาะเรอ่ื งในพัฒนาการแหงพระพทุ ธศาสนา ๕๑
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
ขอ เรยี กทสกนิบาต หมวดธรรมะเกนิ ๑๐ ขอ เรยี ก อติเรกทสกนิบาต ในหมวดนี้มีพระสูตร
รวมทัง้ สน้ิ ๙,๕๕๗ สตู ร ๒๒
๕. ขุ = ขุททกนิกาย แปลวา หมวดเล็กนอย รวบรวมขอธรรมที่ไมจัดเขา
ใน ๔ หมวดขางตนมารวมไวในหมวดนท้ี ัง้ หมด เม่อื จะแบงโดยหัวใหญก ม็ ี ๑๕ เรือ่ ง คือ
๑) ขุททกปาฐะ แปลวา บทสวดเล็ก ๆ นอย ๆ โดยมากเปนบทสวด
ส้ัน ๆ เกย่ี วกับพระพทุ ธศาสนา
๒) ธรรมบท แปลวา บทแหงธรรม คือธรรมภาษิตสั้น ๆ ประมาณ
๓๐๐ หวั ขอ ( สวนเรือ่ งพิสดารมที องเรอ่ื งประกอบปรากฏในอรรถกถา)
๓) อุทาน แปลวา คําที่เปลงออกมา หมายถึงคําอุทานที่เปนธรรมภา
ศิต มีทอ งเร่ืองประกอบเปน เหตุปรารภในการเปลงอุทานของพระพุทธเจา
๔) อิติวุตตกะ แปลวา “ ขอความท่ีทานกลาวไวอยางน้ี” เปนการ
อา งองิ วา พระพทุ ธเจาไดตรัสขอความไวอยางน้ี ไมมีเรื่องประกอบ มีแตที่ข้ึนตนวา ขาพเจา
ไดย ินมาวา พระผูมีพระภาคเจาเปนพระอรหนั ตตรัสไวอ ยางนี้
๕) สุตตนิบาต แปลวา รวมพระสูตร คือรวบรวมพระสูตรเบ็ดเตล็ด
ตางๆ ไวด ว ยกนั มีช่อื สตู รบอกกาํ กบั ไว
๖) วิมานวัตถุ แปลา เรื่องของผูไดวิมาน แสดงเหตุดีที่ใหไดผลดีตาม
คาํ บอกเลา ของผไู ดผ ลดนี ้นั ๆ
๗) เปตวตั ถุ แปลวา เรอ่ื งของเปรตหรือผูลวงลบั ไป ท่ที ํากรรมชว่ั ไว
๘) เถรคาถา ภาษติ ตาง ๆ ของพระเถระผูเปนอรหนั ตสาวก
๙) เถรีคาถา ภาษิตตาง ๆ ของพระเถรีผเู ปน อรหนั ตสาวกิ า
๑๐) ชาดก แสดงภาษิตตาง ๆ เกี่ยวโยงกับคําสอนประเภทเลานิทาน
(ทอ งเร่ืองพสิ ดารมีในอรรถกถา เชนเดียวกับธรรมบท)
๑๑) นิทเทส แบงออกเปนมหานิทเทสกับจูฬนิทเทส คือมหานิทเทส
เปนคําอธิบายพระพุทธภาษิตในสุตตนิบาต (หมายเลข ๕) รวม ๑๖ สูตร สวนจูฬนิทเทส
เปนคําอธบิ ายพระพทุ ธภาษติ ในสตุ ตนิบาต (หมายเลข ๕) วาดวยปญ หาของมาณพ ๑๖ คน
กบั ขคุ ควสิ าณสูตร กลาวกนั วา เปนภาษติ ของพระสารีบุตรเถรเจา
๑๒) ปฏิสัมภิทามัคค แปลวา ทางแหงปญญาอันแตกฉาน เปน
คาํ อธิบายหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึง่ กลาวกันวาพระสารีบตุ รเถระเจาไดก ลา วไว
๒๒ การนบั จาํ นวนสตู รนีก้ ลา วตามหลกั ฐานของอรรถกถา เพราะในสังยุตตนกิ ายและองั คุตตร
นิกาย บางแหงก็บอกช่ือสตู ร บางแหงก็บอกชื่อ สว นใหญไมบอกช่ือสูตร.
๕๒ บทท่ี ๒ ความรูเร่อื งพระไตรปฎก
Knowledge of the scriptures
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๑๓) อปทาน แปลวา คําอางอิง เปนประวัติสวนตัวที่แตละทานเลาไว
ซ่ึงอาจแบง ได คอื เปนอดีตประวัติของพระพุทธเจา ของพระเถระอรหันตสาวก ของพระเถรี
อรหันตสาวิกา สวนท่ีเปนประวัติการทําความดีของพระปจเจกพุทธเจานั้น มีคําอธิบายวา
เปน พทุ ธภาษิตตรสั เลา ใหพระอานนทฟง
๑๔) พุทธวังส แปลวา วงศของพระพุทธเจา หลักการใหญเปนการ
แสดงประวัติของพระพุทธเจาในอดีต ๒๔ องค รวมทั้งของพระโคตมพุทธเจาดวยจึงเปน
๒๕ องค นอกจากนน้ั มีเรอ่ื งเบ็ดเตล็ดแทรกเลก็ นอย
๑๕) จริยาปฎก แปลวา คมั ภีรแสดงจรยิ า คือการบําเพ็ญบารมีตาง ๆ
ของพระพุทธเจา ซึ่งแบงหลักใหญออกเปนทาน (การให) ศีล (การรักษากายวาจาให
เรยี บรอย) และเนกขัมมะ (การออกบวช)
๒.๙.๒.๑ ขอสงั เกตทา ยสุตตันตปฎก
พระสุตตันตปฎกซึ่งเเบงออกเปน ๕ นิกายดังกลาวมาแลว คือทีฆนิกาย
จนถึงขุททกนิกายน้ัน บางคร้ังพระอรรถกถาจารยกลาววา ๕ นิกายนี้แหละ จะเรียกวา
ประมวลไดครบทั้งสามปฎกก็ได คือถือวานอกจากพระพุทธวจนะท่ีอยูใน ๔ นิกายขางตน
แลว พระพุทธวจนะที่เหลือจัดเขาในขุททกนิกาย คือหมวดเบ็ดเตล็ดทั้งหมด คือท้ังวินัย
ปฎกและอภิธรรมปฎก จัดเขาในขุททกนิกายท้ังสิ้น คําวา นิกายนี้ ในท่ีบางแหงใชคําวา
อาคม แทนพระไตรปฎกฝายเถรวาทท่ีปรากฏแปลในฉบับจีน ชาวจีนใชคําวา อาคม หมาย
รวมแทนพระไตรปฎกของฝา ยเถรวาท
๒.๙.๓ อภิธัมมปฎก
หัวขอยอ แหง อภิธมั มปฎกมี ๗ คอื สัง, วิ, ธา, ป,ุ ก, ย, ป, ดงั ตอ ไปน้ี
๑. สัง = สังคณี วาดวยการรวมหมูธรรมะ คือธรรมะแมจะมีมากเทาไร ก็
อาจรวมหรือจดั เปนประเภท ๆ ไดเ พยี งไมเกนิ ๓ อยา ง
๒. วิ = วิภังค วาดวยการแยกธรรมะออกเปนขอ ๆ เชน เปนขันธ ๕ เปน
เปนตน ท้ังสังคณีและวิภังคนี้ เทียบดวยคําวาสังเคราะห (Synthesis) และวิเคราะห
(Analysis) ในวิทยาศาสตร เปนแตเนื้อหาในทางศาสนากับทางวิทยาศาสตร มุงไปคนละ
ทาง คงลงกันไดในหลักการวา ควรเรียนรูท้ังในทางรวมกลุมและแยกกลุม เชน รถคันหน่ึง
ควรรูท ้งั การประกอบเขา เปนคนั รถ และแยกสว นตาง ๆ ออกฉะน้นั
๓. ธา = ธาตุถกา วาดวยธาตุ คือธรรมะทุกอยาง อาจจัดเปนประเภทได
โดย ธาตุ อยา งไร
ศึกษาเฉพาะเร่ืองในพัฒนาการแหงพระพทุ ธศาสนา ๕๓
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๔. ปุ = ปคุ คลบัญญัติ วา ดวยบัญญัติ ๖ ประการ เชน บัญญัติขันธ บัญญัติ
อายตนะ จนถึงบัญญัติเรื่องบุคคล พรอมทั้งแจกรายละเอียดเรื่องบัญญัติบุคคลตาง ๆ
ออกไป
๕. ก = กถาวัตถุ วาดวยคําถาม คําตอบ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
(เพราะอรรถกถาจารยกลาววา เปนคําถาม ๕๐๐ คําตอบ ๕๐๐ แตตัวเลข ๕๐๐ น้ี อาจ
หมายเพยี งวาหลายรอย เพราะเทาที่นบั กนั ดแู ลว ไดค าํ ถาม คําตอบ อยางละ ๒๑๙ ขอ)
๖. ย = ยมก วาดวยธรรมเปนคู ๆ บางทีจัดคูก็มีลักษณะเปนตรรกวิทยา
ซึง่ จะไดกลา วถงึ ใน ๓ ภาค ยอ ความแหง พระไตรปฎ ก
๗. ป = ปฏฐาน วา ดวยปจจยั คือสนับสนุน ๒๔ ประการ๒๓
เปนอันวา หัวใจยอแหงพระไตรปฎก คือ อา ปา ม จุ ป ที ม สัง อัง ขุ สัง วิ ธา
ปุ ก ย ป มีรายละเอยี ดดงั กลา วมาน้ี
๒.๑๐ ลาํ ดับชนั้ คัมภรี ทางพระพุทธศาสนา
แมว า พระไตรปฎ กจะนบั วา เปนคมั ภีรสําคัญ และเปนหลักฐานทางพระพุทธศาสนา
แตก็มีคัมภีรอ่ืนอีกท่ีเก่ียวของดวย จึงควรทราบลําดับชั้นคัมภีรทางพระพุทธศาสนาไว
ดังตอ ไปนี้
๑. พระไตรปฎ ก เปน หลักฐานข้ัน ๑ เรยี กวา บาลี
๒. คาํ อธบิ ายพระไตรปฎก เปน หลกั ฐานขนั้ ๒ เรยี กวา อรรถกถา หรือวณั ณนา
๓. คําอธิบายอรรกถา เปน หลักชน้ั ๓ เรยี กวาฎกี า
๔. คาํ อธิบายฎกี า เปนหลกั ฐานชน้ั ๔ เรยี กวาอนุฎีกา๒๔
นอกจากน้ียังมคี ัมภรี ท่ีแตงขึ้น วาดวยไวยกรณภาษาบาลีฉบับตาง ๆ และอธิบาย
ศัพยตาง ๆ เรียกรวมกันวา สัททาวิเสส เปนสํานวนท่ีเรียกกันในวงการนักศึกษาฝายไทย
ปรากฏในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาวา เม่ือทําการสังคายนา ในรัชกาลที่ ๑ กรุง
รัตนโกสินทร พ.ศ. ๒๓๓๑ เพื่อชําระพระไตรปฎกน้ัน ไดมีการชําระคัมภีรสัททวิเสสตาง ๆ
ดวย โดยมพี ระพุฒาจารยเปน แมก อง
การจดั ช้นั ของบาลอี รรถกถา ก็เนื่องดวยกาลเวลานั้นเอง พระไตรปฎกเปนของมี
มากอน ก็จัดเปนหลักฐานช้ัน ๑ คําอธิบายพระไตรปฎกแตงขึ้นประมาณ ๙๕๖ ปภายหลัง
พุทธปรนิ ิพพาน จึงจดั เปนชั้น ๒ สวนฎกี านัน้ แตง ขึน้ เม่ือประมาณ พ.ศ. ๑๕๘๗ จึงนับเปน
๒๓ พระมหาอดิศร ถิรสีโล, ประวัติคัมภีรบาลี, (กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย,
๒๕๔๓), หนา ๕๖.
๒๔ เรอ่ื งเดียวกนั , หนา ๑๐๓.
๕๔ บทที่ ๒ ความรเู รื่องพระไตรปฎก
Knowledge of the scriptures
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
หลักฐานชั้น ๓ อนึ่ง คัมภีรอนุฎีกาน้ัน แตงขึ้นภายหลังฎีกาในยุคตอ ๆ มา เปนคําอธิบาย
ฎกี าอีกตอหนึง่ จึงนับเปนหลกั ฐานช้นั ๔
อยางไรก็ตาม แมพระไตรปฎกจะเปนหลักฐานชั้น ๑ เม่ือพิจารณาตามหลักพระ
พุทธภาษิตในกาลามสูตร ทานก็ไมใหติดจนเกินไป ดังคําวา มา ปฎกสมฺปทาเนน อยาถือ
โดยอางตํารา เพราะอาจมีผิดพลาดตกหลนหรือบางตอนอาจเพ่ิมเติมข้ึน แสดงวา
พระพุทธศาสนาสอนใหใชปญญาพิจารณาเหตุผล สอบสวนดูใหประจักษแกใจตนเอง เปน
การสอนอยางมีน้ําใจกวางขวางและใหเสรีภาพแกผูนับถือพระพุทธศาสนาอยางเต็มท่ี
นอกจากนนั้ ยงั เปนการยืนยันใหนําไปประพฤติปฏิบัติ เพ่ือไดประจักษผลนั้น ๆ ดวยตนเอง
แมจะมีพระพุทธภาษิตเตือนไวมิใหติดตําราจนเกินไป แตก็จําเปนตองรักษาตําราไว เพื่อ
เปนแนวทางแหงการศึกษา เพราะถาไมมีตําราเลยจะย่ิงซํ้าราย เพราะจะไมมีแนวทางให
รูจกั พระพุทธศาสนาเลย ฉะน้ัน การศึกษาใหรูและเขาใจในพระไตรปฎก จึงเปนลําดับแรก
เรียกวา ปริยัติ การลงมือกระทําตามโดยควรแกจริตอัธยาศัยเรียกวา ปฏิบัติ การไดรับผล
แหง การปฏิบัตินั้น ๆ เรยี กวา ปฎเิ วธ
บทที่ ๓
ขอถกเถยี งและการตีความศีลในพระพทุ ธศาสนา
Controversy and Interpretation of the
Precepts in Buddhism
บทนาํ
ศีลในทางพระพุทธศาสนามีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนในสังคมมนุษยในทุก
ดาน ของการดํารงชีวิต โดยเฉพาะวิถีชีวิตของคนไทยน้ันมีความผูกพัน ประสานกลมกลืน
กับหลักความเชื่อ การประพฤติปฏิบัติ จนทําใหพระพุทธศาสนาเปนสวนหนึ่งของชีวิต
ประชาชนสวนมากนับถอื พระพุทธศาสนาอยา งมนั่ คง ตง้ั แตในอดตี ถงึ ปจจุบัน ตางมีเมตตา
เอ้ือเฟอ อนุเคราะห เสียสละ เปนท่ีท่ีตั้งตลอดมา ดวยคุณของพุทธธรรมคําสอนแหงองค
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาที่ทรงสั่งสอน ใหมีอิสระจากปจจัยที่เปนเหตุแหงเครื่องเศรา
หมองท้งั ปวง ทง้ั ทางกาย และทางใจ ทางกาย หมายถึง การไมสรางความวิบัติเสียหายแก
บุคคลอื่น สวนทางใจ คือ อิสระจากกิเลสเครื่องเศราหมองท้ังหลาย อันตัดรอนชีวิตความ
เปน อยูของตน เพอ่ื นําสนั ตภิ าพและสันติสุขมาสูโลกมนุษย พระพุทธศาสนา จึงเปนศาสนา
ของผูรูเทาทันภาวะความเปล่ียนแปลงของตน ของสังคม โดยใชศาสนธรรมคําสอน ของ
พระพุทธองคเ ปน หลกั ยึดถือประพฤติปฏิบัติ ในสวนของคําส่ังน้ัน ไดแก ขอปฏิบัติซึ่งบังคับ
ไว เปนขอหามมิใหกระทํา เรียกวา ศีล เปนขอยกเวนท่ีวางไวกฎระเบียบ ในสวนของคํา
สอน ไดแก คําแนะนํา คําชีแจง การศึกษาอบรมอันเปนหลักท่ีทรงวางไวสําหรับการ
ประพฤติปฏิบัติท่ีเรียกวา พระธรรม ถือวาเปนหนาท่ี ที่จะพึงประพฤติปฏิบัติเพ่ือความ
ความเจริญกาวหนา เปนความดีงามแหงชีวิต ความเปนอยูรวมกันไดอยางมีความสุขและ
ปลอดภัย ทง้ั รา งกายและจติ ใจ ไดใ นสังคมโดยรวม
พุทธทาสภิกขุ ไดอธิบายวา “ศีล” หมายถึง ความเปนปกติ หรือปกติภาวะ ตาม
ธรรมดา หมายความวา ทําทุกอยางตามที่ควรทํา อยูในภาวะปกติ คือไมเดือดรอน ไม
กระวนกระวาย ไมระส่ําระสาย ไมมีความสกปรก ไมมีความเศราหมองใหเกิดขึ้น โดย
เน้ือความศีล หมายถึง ระเบียบ ที่ไดบัญญัติข้ึนไวสําหรับประพฤติปฏิบัติ เพ่ือใหเกิดภาวะ
ปกติ เกิดขึ้นท่กี าย วาจา ใจ๑ สอดคลองกับพระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต) ไดกลาววา
๑ พุทธทาสภิกขุ, หลักธรรมสําหรับนักศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภาสํานักบันลือ
ธรรม, ๒๕๓๗).
๕๖ บทท่ี ๓ ขอถกเถยี งและการตีความศีลในพระพุทธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
“ศลี ” หมายถึง การไมเจตนา ละเมิดระเบียบ ไมเจตนาลวงเกินเบียดเบียนผูอ่ืน ถามองแต
อาการการกระทํา ศลี ก็คอื ความไมล ะเมดิ ไมเ บียดเบียน อีกอยางหนึ่ง ศีลอยูท่ีความสํารวม
ระวัง คอยปดกล้ันหลีกเวนไมใหความชั่วเกิดข้ึน ถามองใหลึกท่ีสุดสภาพจิตของผูไมคิดจะ
ละเมิดจะเบียดเบยี นคนอื่น ดว ยกาย วาจา ใจ๒ ฉะน้ันศีลจึงเปนหลักประพฤติปฏิบัติในทาง
ท่ีดีงามใหเปนไปโดยปกติชน สงเสริมใหมนุษยทุกคน สามารถดําเนินชีวิตอยูรวมกันกันใน
สังคม โดยปราศจากโทษภัยทั้งทางดานรางกาย และจิตใจ เขาถึงจุดหมายท่ีดีงาม
ตามลําดับของชีวิต ทําใหสังคมโดยรวมมีความสงบเรียบรอย และทําใหมนุษยนั้นมีการ
สํารวมกายและวาจาเรียบรอย ทั้งในการพูด การคิด การทํา ในการแสดงออก อันเปนการ
ยกระดับจิตใจ เขาถงึ แกนแทในหลักธรรม อันเปน กศุ ลธรรมอันดีงามทั้งปวง อาจกลาวส้ันๆ
วา ศีล คือ ขอหามมิใหทําความช่ัวทุจริตของพระพุทธศาสนานั่นเอง และนักวิชาการใน
สังคมไทยไดเสนอแนวคิดเก่ียวกับศีลในพระพุทธศาสนาไวอยางหลากหลาย มีมุมมองเร่ือง
ของศีลแตกตางกัน เชน พุทธทาสภิกขุ ไดนําเสนอแนวคิดของศีลวาต้ังอยูบนฐานของ
ธรรมชาติ มองวาธรรมหรือกฎธรรมชาติมีเจตนารมณทางสังคม เปนวิถีชีวิตแบบเนน
ความสําคัญของสังคมจึงถือวาดําเนินตามเจตนารมณของธรรมชาติ สวนพระพรหมคุณา
ภรณ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) ไดน าํ เสนอแนวคิดศีลกับเจตนารมณทางสังคม ซึ่งเปนการมองศีลหรือ
วินัยในมิติที่ครอบคลุมทั้งเร่ืองความประพฤติดีงามสวนบุคคลและการจัดวางระเบียบแบบ
แผนในสังคม และการตคี วามศีล ๕ แนวใหมเพอื่ สามารถตอบปญหาสังคมโลกยุคใหมที่เต็ม
ไปดวยความสลบั ซบั ซอนได
ประเด็นขอถกเถียงและการตีความศีลในพระพุทธศาสนา จึงมีความสําคัญและ
สอดรับกับกระแสของพระพุทธศาสนาแนวใหมในสังคมไทยปจจุบันท่ีกําลังปรากฏตัวขึ้น
เรอื่ ยๆ ประเด็นปญหาหลัก ๆ ทีต่ อ งการจะศกึ ษา คือ กลุมนักคิดและนักวิชาการไดถกเถียง
ประเด็นปญหาเกี่ยวกับแนวคิดเชิงสังคมในพระพุทธศาสนา ไมวาจะเปนกรณีศีล ๕ และ
การตีความศีล ๕ ตามแนวจารีตประเพณีแบบเดิมมีปญหาในการตอบปญหาสังคมยุคใหม
อยา งไร และไดเสนอทางออกดว ยการตคี วามศลี ๕ แบบใหมอยา งไร
๒ พระธรรมปฎก (ประยทุ ธ ปยตุ โฺ ต), เคร่ืองวัดความเจริญของชาวพทุ ธ (อารยวัฒิ), พิมพ
คร้ังท่ี ๗. (กรุงเทพมหานคร : สหธรรมมกิ , ๒๕๔๐), หนา ๗๒๗.
ศึกษาเฉพาะเรอ่ื งในพัฒนาการแหง พระพุทธศาสนา ๕๗
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๓.๑ ประเดน็ ขอ ถกเถียงและการตคี วามศีลในพระพทุ ธศาสนา
๓.๑.๑ ความหมายของศลี ในทางพระพุทธศาสนา
ศีลในทางพระพุทธศาสนามีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนในสังคมมนุษย ในทุก
ดาน ของการดํารงชีวิต โดยเฉพาะวิถีชีวิตของคนไทยน้ันมีความผูกพัน ประสานกลมกลืน
กับหลกั ความเชอ่ื การประพฤติปฏิบัติ จนทําใหพระพุทธศาสนาเปนสวนหนึ่งของชีวิตเร่ือง
ของศลี จงึ ถือวาเปน เรอื่ งสําคัญระดบั ในมนุษยชาติ
ศีล หมายถึง การประพฤติปฏิบัติของภิกษุ เพ่ือใหสํารวมในพระปาฏิโมกข
ความถึงพรอมดวยอาจาระและสารูป เห็นภัยในโทษท้ังหลาย แมจะมีประมาณนอย
สมาทานอยูในสิกขาทั้งหลาย ความสํารวมระวัง ความไมกาวลวงในสิกขาบท ทั้งหลาย ซึ่ง
หมายถึง การสาํ รวมกาย วาจาและใจ ใหสงบเรียบรอ ย๓
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงใหความหมายของ
ศีล ไววา ศีล คือ เจตนาท่ีจะระวังรักษาความประพฤติทางกาย วาจา ใจใหเรียบรอย
ปราศจากโทษ๔
พทุ ธทาสภิกขุ ไดอ ธบิ ายวา “ศลี ” หมายถึง ความเปนปกติ หรือปกติภาวะ ตาม
ธรรมดา หมายความวา ทําทุกอยางตามท่ีควรทํา อยูในภาวะปกติ คือไมเดือดรอน ไม
กระวนกระวาย ไมระส่ําระสาย ไมมีความสกปรก ไมมีความเศราหมองใหเกิดข้ึน โดย
เน้อื ความศีล หมายถงึ ระเบียบ ที่ไดสาํ หรับประพฤติปฏิบัติ เพ่ือใหเกิดภาวะปกติ เกิดขึ้นที่
กาย วาจา ใจ๕
ไชยวฒั น กปลกาญจน ไดกลาววา เจตนา คือ ความตั้งใจไมทํากรรมชั่ว มีการ
ฆาสัตว เปนตน ความงดเวนจากการทํากรรมช่ัวนั้นไดก็ดี สติเปนตนเหตุท่ีเกิดข้ึน อันเปน
เหตใุ หย ับยงั้ การทาํ กรรมชั่วคร้งั น้ัน ๆ ไดก ็ดี ช่อื วา “ศีล” เรยี กวา “ศีล” โดยความหมายวา
การตั้งกาย และวาจาโดยชอบธรรม๖
๓ กรมการศาสนา, พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั หลวง, (กรงุ เทพมหานคร: กรมการศาสนา
กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๒๕), หนา ๒๐.
๔ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, เบญจศีล เบญจธรรม (หลักสูตร
ธรรมศกึ ษา ช้ันตรี), พิมพครัง้ ที่ ๑๕, (กรงุ เทพมหานคร: มหามงกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘), หนา ๒๗๔.
๕ พุทธทาสภิกขุ, หลักธรรมสําหรับนักศึกษา, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภาสํานักบันลือ
ธรรม, ๒๕๓๗), หนา ๕๖.
๖ ไชยวฒั น กปลกาญจน, หยั่งลงสูพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: ม.ป.พ.,๒๕๔๒),
หนา ๔๒.
๕๘ บทที่ ๓ ขอถกเถยี งและการตีความศีลในพระพุทธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
พรธรรมปฎก (ประยุทธ ปยุตฺโต) ไดกลาววา “ศีล” หมายถึง การไมเจตนา
ละเมดิ ระเบียบ ไมเ จตนาลวงเกินเบียดเบียนผูอ่ืน ถามองแตอาการกระทํา ศีลก็คือความไม
ละเมิด ไมเบียดเบียน อีกอยางหนึ่ง ศีลอยูท่ีความสํารวมระวัง คอยปดก้ันหลีกเวนไมให
ความชัว่ เกดิ ข้ึน ถา มองใหลกึ ทีส่ ุดสภาพจิตของผูไมคิดจะละเมิด ไมคิดจะเบียดเบียนคนอื่น
ดว ยกาย วาจา ใจ๗
ไสว มาลาทอง กลา ววา ศลี ๕ หรือ เบญจศีล หมายถึง เจตนา หรือความตั้งใจ
ประพฤติ งดเวนจากความช่ัวทางกาย วาจา ใจ เรียกโดยทั่วไปวา “ศีล ๕” เรียกตาม
บทบัญญัตวิ า “สิกขาบท ๕”๘
แกว ชิดตะขบ ไดกลาววา คําวา ศีล (สีลํ) แปลไดหลายนัย เชน แปลวา ปกติ
ธรรมชาติ ความเคยชิน เยือกเย็น เกษมสุข ในที่นี้แปลวา ปกติ การทําใหเปนปกติ
ธรรมชาติ ความประพฤติทด่ี ี ความตงั้ ใจงดเวนและความสาํ รวมระวังไมลวงละเมิดบัญญัติ
อนั ชอบธรรม คือ การรักษา กาย วาจา ใจ ใหเรียบรอย ความประพฤติชอบทางกาย วาจา
ใจ ใหต้ังอยูในความดีงาม การรักษาปกติ ระเบียบวินัยปกติ มารยาทดีปราศจากโทษ ขอ
ปฏิบัติการฝกใหดียิ่งข้ึน ขอปฏิบัติในการควบคุมคนใหอยูในความไมเบียดเบียน หรือการ
ควบคุมพฤติกรรมสวนตัวของคนเรา๙
ศีล หมายถึง หลักประพฤติปฏิบัติทางกายเพ่ือสรางสังคมท่ีนาอยูใหกับมวล
มนุษยชาติ ผูคนสามารถดําเนินชีวิตอยูรวมกันในสังคมอยางความปลอดภัย เปนสังคมท่ีไร
การเบียดเบียนกันทั้งทางกายและวาจา ศีลจึงเปนเคร่ืองบังคับกายและวาจาใหเกิดความ
สงบสขุ ใหต นเอง นอกจากน้ีก็สามารถขยายวงกวางไปสูสังคมจึงกลายเปนการสรางสังคมที่
นาอยู สังคมมีความสงบเรยี บรอยนีค้ ือ อานสิ งสข องศลี
๓.๑.๑.๑ ประเภทของศลี ในพระพทุ ธศาสนา
ในการแบง ประเภทของศีลในพุทธศาสนามีหลักในการแบงอยูหลายแบบดวยกัน
ไดแ กแ บง ตามหลักจตปุ ารสิ ทุ ธศิ ลี ๔ ประเภท คอื (๑) ปาฏิโมกข สงั วรศีล (๒) อนิ ทรยี สังวร
(๓) ปจจยสนั นิสิตศีล (๔) อาชีวปาริสุทธศิ ลี หรอื อาจแบง ตามจํานวน เชน ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล
๑๐ ศีล ๒๒๗ หรอื อารารยิ วินัย อนาคาริยวินัย
๗ พระธรรมปฎก (ประยุทธ ปยตุ โฺ ต), เครอื่ งวัดความเจรญิ ของชาวพุทธ (อารยวัฒิ), พิมพ
คร้ังที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร: สหธรรมมกิ , ๒๕๔๒), หนา ๗๖๗.
๘ ไสว มาลาทอง, คูมือจริยธรรม, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพกรมศาสนา กระทรวง
ศึกษาธกิ าร.๒๕๔๒), หนา ๑๐๙.
๙แกว ชิดตะขบ, พุทธธรรมเพื่อสงเสริมเศรษฐกิจ, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ
พระพทุ ธศาสนาแหง ชาติ, ๒๕๕๐), หนา ๒๐๓.
ศึกษาเฉพาะเร่อื งในพฒั นาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๕๙
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๓.๑.๑.๑.๑ ปาฏิโมกขสงั วรศีล
เนอ่ื งดว ยคนเรามีอัธยาศยั นสิ ัยใจคอท่ีแตกตางกัน และมีกําลังไมเทากัน ผูมี
อธั ยาศยั หยาบและมีกําลงั มาก อาจจะขม เหงคนท่สี ภุ าพหรือคนทม่ี กี าํ ลังนอยได ซ่ึงจะทําให
การอยูรวมกันอยางสงบสุขเปนเรื่องยาก ดังนั้นจึงมีการกําหนดกฎหมายขึ้นมาเพ่ือหาม
ปรามไมใหคนประพฤติผิด พรอมท้ังกําหนดบทลงโทษแกผูลวงละเมิด ไวดวย นอกจากนี้
ในหมูชนหนงึ่ ๆ กย็ งั มีธรรมเนียมเฉพาะสําหรับประพฤติปฏิบัติเพิ่มขึ้นอีก ดังเชนในสกุลผูดี
ก็มีธรรมเนียมสําหรับคนในสกุลผูดี แมในหมูภิกษุเองก็จําตองมีกฎหมายและ
ขนบธรรมเนียม หรือพระวินัย เพ่ือใชเปนแนวปฏิบัติท่ีปองกันไมใหเกิดความเสียหายและ
เพือ่ ชักจูงใหภิกษมุ คี วามประพฤตทิ ่ีดีงามเชนเดยี วกนั
พระวนิ ยั
พระพุทธเจา พระองคผูเปนพระธรรมราชาและเปนสังฆบิดรแหงภิกษุสงฆ
พระองคจึงทรงตั้ง พระ-พุทธบัญญัติ เพ่ือปองกันความประพฤติที่จะกอใหเกิดความ
เสียหายแกสงฆ และกําหนดโทษแกภิกษุผูลวงละเมิด ดวยการปรับอาบัติหนักบางเบาบาง
เชน เดยี วกนั กับพระเจาแผนดนิ ทรงตัง้ พระราชบัญญัติน่ันเอง นอกจากนี้ พระศาสดายังทรง
ตั้งขนบธรรมเนียมซึ่งเรียกวา อภิสมาจาร เพื่อชักนําใหภิกษุสงฆมีความประพฤติดีงาม ดุจ
เดียวกับบิดาผูเปนใหญในสกุล พึงฝกปรือของตนตามขนบธรรมเนียมของสกุล ฉะนั้น พระ
พุทธบัญญัติและอภิสมาจาร รวมเรียกวา พระวินัย ซึ่งจะประคองรักษาหมูสงฆใหตั้งอยู
เปรยี บดงั ดายรอยดอกไม ท่คี อยควบคมุ ดอกไมไ มใหกระจัดกระจาย
คนที่บวชเปนภิกษุน้ันมาจากสกุลตางๆ อันเปนพ้ืนฐานการอบรมและนิสัยใจคอท่ี
ตางกัน หากไมมีพระวินัยหรือไมประพฤติตามพระวินัย ก็จะเปนภิกษุท่ีเลวทรามไมเปนท่ีต้ัง
แหงศรัทธาและเล่ือมใส เหมือนดอกไมที่ตางพรรณถูกเก็บคละกันมาในภาชนะเดียวกัน ถึงแม
บางดอกจะมีสีมีสัณฐานอันงาม หรือมีกล่ินหอมก็ตามยอมเปนของไมนาดูไมนาชมเลย แตถา
ภิกษุตางรูปตางประพฤติตามพระวินัย ก็จะเปนภิกษุท่ีดีเปนท่ีต้ังแหงศรัทธาและเล่ือมใส เฉก
เชนนายชางผูฉลาดบรรจงจัดดอกไมไวบนพานใหเขาระเบียบ ยอมเปนของนาดูนาชม แมแต
ดอกไมท ไ่ี มงามกย็ ังพลอยเปนของไดร ะเบยี บและทําเปนของงามไดอีกดวย
สกิ ขาบท
มูลเหตุแหงการบัญญัติพระวินัยน้ัน พระศาสดามิไดทรงกําหนดไวลวงหนา แตมี
มาโดยลําดับตามเหตุท่ีเกิดขึ้น อันเรียกวา นิทานตนบัญญัติ โดยเมื่อใดมีความเสียหาย
เกิดขน้ึ จากภิกษุรูปใดรูปหนึ่งท่ีกระทําอยางหนึ่งลง เมื่อน้ันพระองคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท
เพ่ือหามความประพฤติเชนนั้นเปนอยางๆ ไป เชน พระธนิยะถือเอาพระวาจาของพระ
เจาพิมพิสาร ซึ่งเปลงตามพระราชประเพณีเมื่อครั้งราชาภิเษกวา “หญา ไม และน้ํา เรา
๖๐ บทที่ ๓ ขอ ถกเถยี งและการตีความศลี ในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
ใหแกพวกสมณพราหมณ” ดังน้ีนําไปเปนเลศโดยถือเอาไมหลวงทํากุฎี โดยอางวาไดรับ
พระราชทานไวแลว เมื่อเกิดเหตุเชนนี้ พระศาสดาจึงทรงบัญญัติหามลักทรัพยขึ้น แมการ
ตั้งขนบธรรมเนียมหรืออภิสมาจารกท็ รงวางไวโ ดยนยั นเ้ี ชนกัน
คร้ันตั้งพระบัญญัติขึ้นแลว แตยังไมเหมาะดวยประการใดประการหน่ึง คือยัง
หลวมอยูไมพอจะหามความเสียหายน้ันไดขาด ก็ทรงบัญญัติรัดซํ้าเขาอีก เชน ทรงต้ังพระ
บัญญัติหามลางผลาญชีวิตมนุษยแลว พระองคยังทรงบัญญัติซ้ําหามตลอดถึงพรรณนาคุณ
แหงความตายหรอื ใหเขาฆาตัวเองตาย หรือแมหากทรงบัญญัติตึงเกินไป ก็ทรงบัญญัติผอน
ใหเบาลง เชน ทรงต้ังพระบัญญัติหามไมใหอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไมมีจริง ขอน้ีกินความ
กวางไปถึงการอวดดวยสําคัญวาไดบรรลุแตเปนคุณที่ไมมีจริง จึงทรงบัญญัติใหยกเวนผูพูด
เพราะสําคัญผิด และแมพระบัญญัติท่ีทรงตั้งไวแลว แตทําใหไมไดรับความสะดวกก็ไมทรง
ถอนเสยี ทีเดยี ว คงเพิ่มหรือดัดแปลงบา งกม็ ี
ขอบัญญัติท่ีพระองคทรงตั้งเร่ิมตน เรียกวา มูลบัญญัติ ขอบัญญัติท่ีทรงตั้ง
เพิ่มเติมภายหลัง เรียกวา อนุบัญญัติ รวมมูลบัญญัติและอนุบัญญัติเขาดวยกัน เรียกวา
สิกขาบท ดังนั้นสิกขาบทขอหนึ่งๆ อาจมีหลายอนุบัญญัติก็ได เชนสิกขาบทปรารภคณะ
โภชนคือรับนิมนตออกชื่อของกินแลวรวมกันฉันเปนหมู ก็ทรงผอนใหตามคราว เชนใน
คราวเจบ็ ปวย ในคราวทําจีวร ในคราวเดินทาง ในคราวอัตคัด หรือในคราวนิมนตของพวก
สมณะดว ยกนั เปนตน
เมื่อเกิดเหตุขึ้นแลวจึงมีการต้ังพระบัญญัติ โดยพระองคจะตรัสสั่งใหใหประชุม
สงฆและตรัสถามภิกษุผูกอเหตุใหยอมรับ แลวทรงช้ีโทษแหงการประพฤติเชนน้ันและตรัส
ถึงอานิสงสแหงความสํารวม แลวจึงทรงตั้งพระบัญญัติหามเพื่อไมใหภิกษุทําอยางน้ันอีก
ตอไป โดยวางโทษใหปรับอาบัตไิ วหนักบา ง เบาบา ง แลว แตก รณี
อาบัติ
อาบัติ คือกิริยาที่ลวงละเมิดสิกขาบท และตองไดรับโทษตอตนกลาวโดยชื่อ
อาบัติมี ๗ อยาง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย ปาฏิเทสนีย ทุกกฎ และทุพ
ภาสิตกลา วโดยโทษมี ๓ สถานคือ
๑. อาบัติอยางหนัก ทําใหภิกษุผูตองอาบัตินั้นขาดจากความเปนภิกษุ อัน
หมายถึงอาบัตปิ าราชกิ ซ่งึ เปนอาบตั ทิ ่ีแกไขไมไ ด เรยี กวา อเตกจิ ฉา
๒. อาบัติอยางกลาง ทําใหภิกษุตองอาบัติน้ันตองอยูกรรม โดยประพฤติวัตร
อยางหนงึ่ เพื่อทรมานตน อันหมายถึงอาบัตสิ งั ฆาทเสส
ศึกษาเฉพาะเรื่องในพัฒนาการแหงพระพุทธศาสนา ๖๑
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๓. อาบัติอยางเบา ทําใหภิกษุผูตองอาบัติน้ันตองประจานตนตอหนาภิกษุ
ดวยกันแลวจึงจะพนโทษนั้นได อันไดแก อาบตั ิถลุ ลจจัย ปาจิตตีย ปาฏิเทสนีย ทุกกฎ และ
ทุพภาสติ โดยอาบตั ิอยางกลางและอยา งเบาน้นั เปน อาบัติที่ยังแกไขได เรยี กวา สเตกิจฉา
อาบัติน้ันไมเกิดโดยลําพังจิตอยางเดียว คือเปนแตเพียงนึกวาจะทํายังไมช่ือวา
ลว งสิกขาบท และยังไมชอ่ื วาเปน การพยายามเพื่อจะลวงสิกขาบท แตอาบัติจะเกิดจากทาง
กายบางก็มี ทางวาจาบางก็มี มีจิตเขาประกอบดวยบางก็มี เชนเปนปาจิตตียเพราะด่ืม
น้ําเมาแมไมมีความตั้งใจ ไมรูวาเปนนํ้าเมา ดื่มเขาไปก็ตองอาบัติ นี้เปนอาบัติท่ีเกิดโดย
ลําพังกายหรือเปนปาจิตตียเพราะสอนธรรมแกสามเณรโดยกลาวพรอมกัน แมจะระวังแต
พลาดพลั้งกลาวพรอมกันเขา นี้เปนอาบัติที่เกิดโดยลําพังวาจา หรือเปนปาราชิกเพราะทํา
โจรกรรมดว ยตนเอง น้ีเปนอาบัติที่เกิดโดยทางกายกับจิต หรือเปนปาราชิกเพราะสั่งใหเขา
ทาํ โจรกรรมดวยวาจา นเ้ี ปน อาบตั ทิ ่ีเกิดโดยทางวาจากับจติ
โดยนยั นี้ ไดสมุฏฐานคอื ทางที่เกดิ อาบตั ิโดยตรงเปน ๖ ทาง คือ
๑. อาบตั ทิ เ่ี กิดโดยลําพังจากกาย
๒. อาบตั ทิ เี่ กดิ โดยลาํ พังจากวาจา
๓. อาบัตทิ เ่ี กิดจากกายกบั จติ
๔. อาบัติทเ่ี กิดจากวาจากับจติ
๕. อาบตั ิทีเ่ กดิ จากกายกับวาจา
๖. อาบัติทเี่ กิดจากทง้ั กาย วาจา และจติ
ในอรรถกถา (คัมภรี ท ่อี ธบิ ายขยายความพระไตรปฏก) แสดงสมุฏฐานแหงอาบัติ
ไวมาออกไปเปน ๑๓ ทาง โดยนับแยกอาบัติซึ่งเกิดจากสมุฏฐานเดียวบาง หลายสมุฏฐาน
บา ง ผตู องการทราบโดยละเอยี ด สามารถศึกาเพิม่ เตมิ ในหนังสอื บพุ สกิ ขาวรรรานนั้ เถิด
ลาํ ดับชัน้ หลกั ฐานของประเภทคัมภีรท างพระพุทธศาสนา ฝา ยเถรวาท
๑. พระไตรปฏก (บาลี) เปนคัมภีรท่ีบันทึกพระพุทธพจนไว นับวาเปนคัมภีร
สาํ คญั และเปนหลกั ฐานสาํ คัญสงู สุดทางพระพทุ ธศาสนา เปนหลักฐานช้ันที่ ๑ โดยมีเน้ือหา
แบง ออกเปน ๓ สวน คือ พระวนิ ัยปฏ ก พระสตุ ตนั ตปฏก และพระอภิธรรมปฏ ก
๒. คมั ภีรร ะดบั อรรถกถา (วณั ณนา) เปนคัมภีรท่ีอธิบายขยายความพระไตรปฏก
เปนหลักชนั้ ที่ ๒
๓. คัมภีรระดับฎีกา (มูลฎีกา) เปนคัมภีรท่ีอธิบายขยายความอรรถกถาเปน
หลกั ฐานชัน้ ที่ ๓
๔. คัมภีรระดับอนุฎีกา หมายถึง เปนคัมภีรท่ีอธิบายขยายความมูลฎีกาเปน
หลักฐานช้นั ท่ี ๔
๖๒ บทท่ี ๓ ขอถกเถยี งและการตีความศีลในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
เจตนา-ไมเ จตนา
ถาเพงเอาเจตนาเปนที่ต้ัง อาบัติจัดเปน ๒ ประเภท คือ ประเภทท่ีเกิดข้ึนโดย
สมุฏฐานมีเจตนาประกอบ เรียกวา สจิตตกะ และประเภทท่ีเกิดขึ้นโดยสมุฏฐานประกอบ
เรียกวา อจิตตกะ นี้เปนกระทูสําคัญท่ีควรใสใจเพ่ือใหรูจักอาบัติ ถานึกถึงกฎหมายสําหรับ
บานเมืองเขาเทียบ ก็จะเห็นวา การลงโทษแกผูทําผิดเพราะไมมีเจตนายอมมีเหมือนกัน
เพราะทาํ ลงไปแลวยอ มมคี วามเสยี หายดวยเชน กัน
ทางท่ีจะรูวาอาบัติเปนสจิตตกะนั้น ใหสังเกตท่ีรูปความหรือโวหารในสิกขาบท
นั้น เชนหากคําวา “แกลง” หรือ “รูอยู” มีในสิกขาบทใดอาบัติเพราะลวงสิกขาบทน้ัน
เปน สจิตตกะ เชน สาํ นวนแหงสกิ ขาบทหน่ึงกลาววา “ภิกษุใด แกลงกอความรําคายแกภิกษุ
อ่ืนดวยคิดวา ดวยอุบายนี้ความไมผาสุกจักมีแกเธอแมครูหน่ึง ตองปาจิตตีย” อีกสิกขาบท
หน่ึง “ภิกษุใด รูอยูชักชวนแลวเดินทางกับพวกพอคาเกวียนผูลักลอบภาษีโดยท่ีสุดแมส้ิน
ระยะบา นหนง่ึ ตอ งปาจิตตีย” ดังน้ี เปน สจิตตกะ
บางสิกขาบทไมมีคําเชนนั้น รูปความมีการบงบอกชัด เชนนี้ก็จะระบุประเภทของ
สิกขาบทได สํานวนแหงสิกขาบทหนึ่งกลาววา “เปนปาจิตตีย เพราะกลาวเสียดแทง” รูป
ความบง วา มคี วามจงใจจึงกลาวเสียดแทง เชนน้ีเปนสจิตตกะ สํานวนแหงสิกขาบทหนึ่งกลาว
วา “เปนปาจิตตีย เพราะด่ืมน้ําเมา” ดังน้ี รูปความไมไดบงเจตนา เชนน้ีเปนอจิตตกะ การ
สันนิษฐานตามโวหารเชนนี้ถาถอยคําแหงสิกขาบทตกหลนมาแตเดิมก็ดี จดจําพลาดไปใน
ระหวา งกาลก็ดี การสันนิษฐานนน้ั อาจจะชีบ้ ง ผิดไปก็ไดว าเปน อจิตตกะหรือสจติ ตกะกนั แน
ความผิดของคน ใชวาจะมีเพราะการกระทําเทานั้นก็หาไม บางทีอาจมีเพราะไม
กระทาํ กไ็ ด เชน ถกู เกณฑไปทัพแตไมไป เห็นของที่เขาลืมไวในท่ีอยูของตนแลวไมเก็บไวให
เจา ของเขา เปนตน
อาบัติท่ีเปนโทษทางโลก กลาวคือการกระทําใดท่ีคนท่ัวไปอันไมใชภิกษุกระทําเขา
กเ็ ปน ความผดิ ความเสยี เชน ทําโจรกรรมหรอื ฆา มนุษย ตลอดลงมาถึงโทษที่เบา เชน ทุบตีกัน
ดากัน อาบัติลักษณะเชนนี้เรียกวา โลกวัชชะ สวนอาบัติที่คนทั่วไปกระทําเขาไมจัดวาเปน
ความผิดความเสีย เปนความผิดเฉพาะแกภิกษุท่ีละเมิดพระบัญญัติ เชนขุดดินหรือฉันอาหาร
เวลาวิกาล เปนตน อยางนี้คนท่ัวไปทําไมมีความผิดความเสีย เรียกวา ปณณัตติวัชชะ
อธบิ ายท่ีวามานีต้ ามมตขิ องสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สวนในอรรถ
กถาพระวินัยพรรณนาไววา อาบัติท่ีเปนโลกวัชชะนั้น ไดแกอาบัติท่ีเกิดข้ึนในเวลามีจิตเปน
กศุ ล มไิ ดยกตวั อยางขึ้นไว แตพึงเหน็ เชน เก็บดอกไมเพ่ือจะบชู าพระ
อาบัติท่ีเปนโลกวัชชะ ถาลวงเขาแลวจะทําใหเกิดความเสียหายข้ึนมาก สวน
อาบัติท่ีเปนปณณัตติวัชชะนั้น ขอใดท่ีภิกษุยังถือกวดขันเม่ือลวงอาบัติเหลานั้นเขา ยอมมี
ศกึ ษาเฉพาะเรอ่ื งในพัฒนาการแหง พระพุทธศาสนา ๖๓
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
ความเสียหายไดมากเหมือนกัน แตกระนั้น อาบัติใดก็ตาม แมเพียงเล็กนอยก็ยอมทําความ
เสียหายแกผ ูล วงไดมากเชนกัน ถึงจะทําคืนแลวความเสียหายน้ันก็ยังปรากฏอยูเหมือนเดิม
ดั่งมแี ผลเปนฉะน้นั
อาการแหง อาบตั ิ
อาการของภกิ ษทุ เี่ ปน เหตใุ หตองอาบตั มิ ี ๖ อาการ คอื
๑. ตองดวยไมละอาย คือภิกษุรูอยู แลวละเมิดพระบัญญัติเพราะใจดาน ไม
ละอาย
๒. ตองดวยไมรู คือภิกษุไมรูวาการทําอยางนั้นมีพระบัญญัติหามไว และทําลวง
พระบัญญัติ
๓. ตอ งดวยสงสัยแลว ขืนทาํ คอื ภกิ ษสุ งสยั อยูวา การทําอยางนั้นผิดพระบัญญัติ
หรือไมหนอ แตขืนทําดวยความสะเพรา ถาการกระทําน้ันผิดพระบัญญัติก็ตองอาบัติตาม
วตั ถุ (ปาราชกิ สังฆาทิเสส ...)ถาไมผ ดิ ก็ตอ งทกุ กฎ เพราะสงสัยแลวขนื ทาํ
๔. ตองดวยสาํ คัญวา ควรในของไมควร ทําในของไมควรทํา เชน เนื้อสัตวที่ทรง
หา มใชเปน อาหาร เปน ของตอ งหามมใิ หฉ ัน ภกิ ษสุ ําคญั วาควร แลว ฉนั เปน ตน
๕. ภิกษุสําคัญวาไมควรในของควร ไมทําในของที่ควรทํา เชน เน้ือสัตวท่ีทรง
อนุญาตใหใชเปน อาหาร เปน ของควร ภกิ ษสุ าํ คญั วาเปน มงั สะตองหาม แตขนื ฉนั เขา เปนตน
๖. ตองดวยลมื สติ เชน นาํ้ ผ้งึ จัดวาเปนเภสัชอยา งหน่ึง ประเคนแลวเก็บไวฉันได
ภายใน ๗ วัน ภิกษนุ ับจาํ นวนวนั พลาดปลอ ยใหล ว งกาํ หนดน้ันไป แลว ฉัน เปนตน
หากจะมีคําถามแทรกเขามาวา ปรับอาบัติแกภิกษุผูละเมิดพระบัญญัติดวยไม
ละอาย หรือแมสงสัยแลวขืนทํา ก็ชอบอยู ฝายภิกษุลวงอาบัติโดยไมรู ดวยสําคัญผิดไป
ดวยลืมสติ ควรไดรับความปรานีไมใชหรือ มีคําแกวาก็นาจะเปนเชนนั้น แตจะลองนึกถึง
กฎหมายของบานเมืองดู ถามีการยกเวนใหแกคนไมรูก็คงมีผูสนใจกฎหมายนอย และอาจ
เปน แนวทางที่คนเหลาน้ันจะใชเปนขออา งแกตัวได น้ีฉันใด พระวินัยก็ฉันน้ัน ภิกษุผูมาใหม
ตองสนใจรูพระบัญญัติจะไดมีความระมัดระวังไมพล้ังเผลอ การมีความรูและมีสติยอมเปน
เหตุใหเจริญในพระศาสนา ทั้งจะไดเปนเครื่องมือสกัดกั้นภิกษุอลัชชี (ภิกษุผูไมมีความ
ละอาย)ไมใหไดชองแกตัว ดังนั้น ขอไมควรยกเวนจึงไมทรงยกเวน สวนขอท่ีควรยกเวนก็
ทรงยกเวน เชน ธรรมเนียมการนุงหมผา ผูเขาบวชใหมยังหมผาไมเปนก็ยังไมถูกปรับอาบัติ
ถายงั มงุ วาจะสําเหนียกเพื่อหม ผาใหเปนโดยไมท อดธุระ
อาบัติท่ีตองดวยทั้ง ๖ อาการนี้ อยางใดอยางหน่ึง เปนหนาท่ีของภิกษุผูตอง
อาบัติจะตองทําคืนดวยวิธีน้ันๆ แตถาปดบังหรือทอดธุระเสียก็เปนหนาที่ของภิกษุอื่น ผูรู
เห็นจะพึงตักเตือนภิกษุนั้นดวยเมตตาในเธอ หรือถาดื้อดึงก็ควรโจทกทวงหามเธอฟงพระ
๖๔ บทท่ี ๓ ขอ ถกเถียงและการตคี วามศีลในพระพุทธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
ปาฏิโมกขในทามกลางสงฆ ดวยเห็นแกพระศาสนาและเปนหนาท่ีของสงฆจะพึงทําตาม
สมควรแกพระธรรมวินัย ดังน้ัน ภิกษุควรประพฤติตนเปนคนซ้ือตรง ใหสมกับเปนที่วาง
พระหฤทัยของพระศาสดา เพราะกิริยาท่ีประพฤติใหเกิดความเสียหาย ยอมเลวทรามไม
สมควรแกภิกษเุ ลย
อานิสงสแ หง พระวนิ ัย
พระวินัยนั้น ถาภิกษุรักษาดีโดยถูกทางแลวยอมไดอานิสงส คือ ความไมตอง
วิปฏสิ าร (เดือดรอ นใจ) แตภิกษุผปู ระพฤติยอหยอนทางวินัยยอมไดปฏิสาร เพราะอนาจาร
ผดิ พระบญั ญัติอาจถูกจับกุมและถูกลงโทษบาง ถูกดูหม่ินบาง ไมมีคนนับถือบาง และถาจะ
เขาหมูใ นภกิ ษุผมู ีศีลกห็ วน่ั หวาดกลัวจะถกู โจทกท วง แมไ มมีใครวาอะไรก็ตะขิดตะขวงใจไป
เอง ท่สี ดุ นึกขน้ึ มาถึงตนกต็ ิเตียนตนเองได ไมไดปต ปิ ราโมทย
ฝายภิกษุผูนิยมในพระวินัย พอใจจะถือใหตรงตามเหมือนครั้งพุทธกาล แตขาด
ความเขาใจเคาเง่ือนและตนเกิดในกาลอื่นในประเทศอ่ืน ยอมไดพบความขัดของประพฤติ
ไมส ะดวกใจเปนธรรมดา ซ่ึงอาจจะไดร ับความลําบาก สวนผูประพฤติเครงพระวินัยโดยไมมี
สติมักมีมานะถือตัววาตนประพฤติเครงครัดดีกวาผูอ่ืน และดูหม่ินภิกษุอ่ืนวาเลวทราม น้ี
เปนกิริยาที่นารังเกียจนาตําหนิ คร้ันจะตองอยูรวมและสมาคมกับภิกษุอ่ืนท่ีตนเห็นวา
ประพฤติบกพรอ งในพระวนิ ยั ยอมรงั เกียจเชน กันและจาํ ทาํ กก็ ลับไดค วามเดอื ดรอนซํา้ อีก
ภิกษุผูประพฤติถูกทางยอมไดรับความแชมช่ืน เพราะรูสึกวาตนประพฤติดีงาม
ไมตองถูกจับกุมและถูกลงโทษ หรือถูกติเตียน มีแตจะไดรับคําสรรเสริญจะเขาหมูภิกษุผูมี
ศีล ก็องอาจไมตองสะทกสะทาน ดังน้ัน การจะปฏิบัติตามพระวินัยใหสําเร็จประโยชนน้ัน
ควรพิจารณาใหเขา ใจผลที่มุงหมายแหง พระวินยั นน้ั ใหจงดี
ตัวอยางอานิสงสแหงพระวินัยอันเกิดขึ้นจากการท่ีพระศาสดาทรงตั้งพระพุทธ
บัญญตั แิ ละอภิสมาจารไว ดงั น้ี
๑. ปอ งกันไมใหเ ปนคนเห้ียมโหด เชน หามทาํ โจรกรรม หา มฆา มนษุ ย เปนตน
๒. ปอ งกันความลวงโลกเล้ียงชพี เชน หามไมใหอวดอุตตรมิ นุสสธรรม เปนตน
๓. ปอ งกันความดรุ า ย เชน หามไมใหด า กันตีกัน เปนตน
๔. ปอ งกันความประพฤตเิ ลวทราม เชน หา มพดู ปด หา มเสพสรุ า เปนตน
๕. ปอ งกนั ความประพฤตเิ สยี หาย เชน หา มแอบฟงความของเขา เปน ตน
๖. ปอ งกนั ความเลน ซกุ ซน เชน หามไมใหเลนจก้ี นั ไมใ หเ ลน น้ํา เปนตน
อนึ่ง พึงใครครวญถึงพระบัญญัติท่ีทรงต้ังขึ้นแลว แตยังไมเหมาะดวยประการใด
ประการหนึ่ง จึงไดทรงเพ่ิมอนุบัญญัติดัดแปลง วายังใหสําเร็จผลมุงหมายเดิมหรือไมหรือ
กลายเปนอื่นไปแลว แตยงั จะตองถอื ไปตามธรรมเนียมของภกิ ษุตอ ไป
ศกึ ษาเฉพาะเร่ืองในพฒั นาการแหงพระพทุ ธศาสนา ๖๕
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
อนึ่ง พงึ ใสใจถงึ พระบัญญัตปิ รารภเฉพาะกาลเฉพาะประเทศอันเปนไปในสมัยน้ัน
ครั้นกาลลวงมานานหรือนํามาใชในประเทศอื่น เปนไปไมสะดวกไมมีใครจะแกไขได ภิกษุ
ท้งั หลายในกาลน้นั ในประเทศนน้ั จึงหลกี เลีย่ งในการประพฤติบาง เลิกเสียบา ง
ปาฏโิ มกข
พระบัญญัติมาตราหน่ึงๆ จัดวาเปนสิกขาบทหน่ึงๆ ที่พระศาสดาต้ังขึ้นดวยเปน
พทุ ธอาณา ไดแ ก อาทิพรหมจริยาสิกขา ซึ่งกําหนดไวในพระปาฏิโมกขอันมีพระพุทธานุญาต
ใหสวดในที่ประชุมสงฆทุกก่ึงเดือน และท่ีทรงต้ังขึ้นดวยเปนอภิสมาจาร คือขนบธรรมเนียม
ไดแก อภิสมาจาริกาสิกขา โดยไมกําหนดไวในพระปาฏิโมกข เวนไวแตสวนเสขิยวัตรซ่ึง
กําหนดไวในพระปาฏิโมกข
จํานวนสิกขาบทในพระปาฏิโมกขมีเพียง ๒๒๗ สิกขาบท แตจํานวนสิกขาบท
นอกพระปาฏิโมกข มีมากกวามาก จนพนความใสใจของผูศึกษาอาจเรียกวาพนคณนาก็ได
นอกจากน้ี ยังมีขอปรับอาบัติเพ่ิมเติมเขาไวอีก เรียกวา บาลีมุตตกทุกกฏ ซึ่งมีปรากฏให
เห็นเปนจํานวนมาก ภิกษุท้ังหลายจึงหาทางหลีกเลี่ยงบาง เลิกเสียบาง กลาวคือทนเปน
อาบัติเอาบาง เมื่อเลิกอยางน้ีแลวก็ชวนใหเลิกอยางอื่นตอไปอีก พระศาสดาทรงคํานึงถึง
เหตนุ ้ีแลว เมอ่ื จะนิพพานจึงไดป ระทานพุทธานุญาตไววา ถาสงฆปรารถนา ก็ถอนสิกขาบท
เล็กนอยได แตพิจารณาดูเถิดวาเมื่อคร้ังทําปฐมสังคายนา พระอรหันตสาวกทั้งหลายอันมี
พระมหากัสสปะเปนประธานสงฆก็มิไดเปลี่ยนแปลงหรือถอนสิกขาบทใดเลย เราผูมา
ภายหลังจะควรถอนสิขาบทใดหรือ แมกระนั้น ภิกษุท้ังหลายในภายหลังก็ไดถอนขอที่ตน
เห็นวาเล็กนอยเสีย แตเปนการถอนโดยทางออม คือไมต้ังใจรักษาบาง หรือทนตองอาบัติ
เอาบาง
“ภิกษุท้ังหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถวนน้ี ยอมมาสูอุเทศ (คือการสวดในทามกลาง
สงฆ) ทกุ กง่ึ เดือน ที่กุลบุตรทัง้ หลายผูปรารถนาประโยชนศึกษากันอยู ภิกษุทั้งหลาย สิกขา
นี้มี ๓ ท่ีสิกขาบทท้ังปวงน้ันยอมรวมกันอยู สิกขา ๓ นั้น คืออะไรบาง สิกขา ๓ นั้น คือ
อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปญญาสิกขา ภิกษุทั้งหลาย น้ีแล สิกขา ๓ ที่สิกขาบททั้งปวง
นน้ั รวมกนั อยู
ภกิ ษทุ ้ังหลาย ภิกษุในธรรมวนิ ัยน้ี เปน ผทู าํ บรสิ ทุ ธใิ์ นศีล เปน ผทู ําพอประมาณใน
สมาธิ เปนผูทําพอประมาณในปญญา (คือ พระโสดาบัน เปนพระสกทาคามี) บางก็มี เปน
ผูทําใหบ ริสุทธท์ิ ั้งในศลี ท้ังในสมาธิ ทงั้ ในปญญา (คือเปนพระอรหันต) บางก็มี เธอยอมลวง
สิกขาบทเล็กนอยบาง ยอมออกจากอาบัติบาง เหตุไฉนจึงเปนอยางน้ัน ภิกษุท้ังหลาย เหตุ
ไมมใี ครความเปนคนอาภัพ (คือไมอาจบรรลุโลกุตตรธรรม) เพราะเหตุลวงสิกขาบทน้ี ก็แต
วา สิกขาบทเหลา ใดเปน เบือ้ งตน แหงพรหมจรรย สมควรแกพรหมจรรย เธอเปนผูมีศีลย่ังยืน
๖๖ บทท่ี ๓ ขอถกเถยี งและการตีความศีลในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
เปน ผมู ศี ีลมัน่ คงในสิกขาบทเหลาน้ัน สมาทานศึกษาอยูในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุท้ังหลาย
ภิกษุผูทําไดดีเพียงเอกเทศ ยอมทําไดดีเพียงเอกเทศ ผูทําใหบริสุทธิ์ได ยอมทําใหบริสุทธ์ิ
อยางน้ีแล ภกิ ษุทง้ั หลาย เราจึงกลา ววา สกิ ขาบทท้ังหลายหาเปน หมนั ไม”
พระสูตรน้ีมาในวรรคท่ี ๔ แหงทุติยปณณาสก ติกนิบาตร อุงคุตตรนิกาย ท่ีหนา
๓๐๑ ฉบับพิมพของหลวง ตามสูตรนี้ยังจัดสิกขาบทที่มีในพระปาฏิโมกขเปนสําคัญ เปน
เบื้องตนแหงพรหมจรรยบางก็มี จากบาลีสูตรซึ่งแปลมาไวในท่ีน้ีพอสรุปไดวา สิกขาบทใน
พระปาฏิโมกขม ี ๑๕๐ สิกขาบท จาํ แนกไดดังนี้
ปาราชกิ ๔ สิกขาบท
สังฆาทเิ สส ๑๓ สกิ ขาบท
นสิ สัคคิยปาจิตตยี ๓๐ สิกขาบท
สุทธปิ าจิตตีย ๙๒ สิกขาบท
ปาฏิเทสนยี ๔ สิกขาบท
อธกิ รณสมถะ ๗ สกิ ขาบท
รวมเปน ๑๕๐ สกิ ขาบทถว น
แตใ นพระปาฏิโมกขท ีส่ วดกนั อยู และในพระไตรปฏก แสดงวามี ๒๒๗ สิกขาบท
คอื เติมอนยิ ต ๒ สิกขาบท และเสขิยวตั ร ๗๕ สิกขาบท ตามนัยน้ีสันนิษฐานวา ชะรอยเดิม
จะมีเพยี ง ๑๕๐ สกิ ขาบทถวน ตามทีก่ ลาวไวในพระสูตรกอนทาํ สังคายนาคร้งั ใดครง้ั หนง่ึ
สิกขาบทในพระปาฏิโมกขนั้น ปรับอาบัติแกผูละเมิดไวครบทุกชื่อ คือปาราชิก
สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย (นิสสัคคิยปาจิตตียและสุทธิกปาจิตตีย) ปฏิเทสนิย ทุกกฏ
และทุพภาสติ
สิกขาบทที่ทรงบัญญัติโดยปรับท่ีสูงกวาทุกกฏข้ึนไป เชนวามีภิกษุพยายามจะ
ละเมิด แตไมไดทําความผิดตามที่กลาวไวในสิกขาบท เชน พยายามจะฆามนุษยและให
ประหารแลว แตเขาไมตาย เชนน้ีปรับปาราชิกไมได แตจะวาไมมีโทษก็ไมไดเหมือนกัน
เพราะเหตุนั้นจึงมีปรับอาบัติหยอนลงมา เหมือนกฎหมายบานเมืองท่ีวางโทษแกผูทําผิดไว
อยา งแรง เพ่ือใหเ ห็นถึงโทษในการฆา มนุษย ถา ทําผดิ ไมถ งึ ท่ีกาํ หนด ก็ลงโทษหยอ นลงมา
อาบัติที่รองจากปาราชิกและสังฆาทิเสส เพราะทําผิดไมถึงท่ีน้ันเปนถุลลัจจัยบาง
เปนทุกกฏบาง อาบัติท่ีรองจากปาจิตตียเวนโอมสวาทสิกขาบท และอาบัติที่รองจากปาฏิ
เทสนีย มีแตทุกกฏอยางเดียว สวนอาบัติท่ีรองจากโอมสวาทสิกขาบท เปนอาบัติทุพภาสิตใน
เสขิยวตั รขอ หน่งึ ๆ มคี ําวา พงึ ทําความศึกษาอยางนน้ั ๆ อธบิ ายวา ถา ไมเ อ้ือเฟอตองทุกกฎ
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต) (ปจจุบัน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย) ได
กลาวถึงประเภทของศีล โดยแบงตามจตุปาริสุทธิศีล ๔ (ศีลคือความบริสุทธิ์, ศีลเครื่องให
ศกึ ษาเฉพาะเร่ืองในพัฒนาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๖๗
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บริสุทธ์ิ, ความประพฤติบริสุทธิ์ท่ีจัดเปนศีล - morality consisting in purity; morality
for purification; morality of pure conduct)
ปาฏิโมกขสังวรศีล (ศีลคือความสํารวมในพระปาฏิโมกข เวนจากขอหาม ทํา
ตามขออนุญาต ประพฤติเครงครัดในสิกขาบททั้งหลาย - restraint in accordance with
the monastic disciplinary code) การสาํ รวมในพระปาฏิโมกข หรือศีล ๒๒๗ ขอ ท่ีพระ
พุทธองคทรงบัญญัติไว ศีลขอน้ีสําเร็จไดดวย ศรัทธา เพราะดวยเหตุท่ีปาฏิโมกขสังวรศีล
นั้น พระภิกษุไดสมาทานไวในวันอุปสมบท ดวยความเช่ือใน ปญญาตรัสรูธรรมของพระ
สัมมาสัมพุทธเจา วาศลี หรือสิกขาบทเหลา นนั้ เปน สิง่ ดีจรงิ ที่จะทําใหผูปฏิบัติสามารถกําจัด
ทุกขไปสูพระนิพพานไดโดยงายสิกขาบทท่ีมาในพระปาฏิโมกข และมานอกพระปาฏิโมกข
๒๒๗ ขอ มี ปาราชิก สังฆาทิเสส อนิยต นิสสัคคียปาจิตตีย ปาจิตตีย ปาฏิเทสนียะ เสขิย
วัตรและอธิกรณสมถะ ซ่งึ ในแตละขอหามน้ันมีความหนักเบาของอาบัติตางกัน และมีวิธีแก
ไขท่ีตางกันที่ชื่อวาอาบัติ คําเรียกอาบัติ ระดับของอาบัติ วิธีแกไขอาบัติ (๑) ปาราชิก ๔
ปาราชิก ครุกาบัติ ขาดจากความเปนพระเมื่อลวงสิกขาบท (ไมสามารถแกได) (๒)
สังฆาทิเสส ๑๓ สังฆาทิเสส ครุกาบัติ อยูปริวาสกรรมเพื่อใหพนจากอาบัติ (๓) อนียต ๒
เปนอาบัติที่ไมแนนอนเปนไดท้ัง ปาราชิก สังฆาทิเสส และปาจิตตีย ตามแตกรณี ครุกาบัติ
ลหุกาบัติ ตามแตกรณี ขาดจากความเปนพระ อยูปริวาสกรรม หรือแสดงอาบัติ ตอหนา
สงฆหรอื ภกิ ษุรปู ใดรูปหนงึ่ (ลหุกาบัติ) (๔) นิสสคั คียปาจิตตีย ๓๐ เปนลหุกาบัติ สละวัตถุท่ี
เปนอาบัติและแสดงอาบัติ (๕) ปาจิตตีย ๙๒ ปาจิตตีย ลหุกาบัติ แสดงอาบัติ (๖) ปาฏิ
เทสนียะ ๔ ทุกกฎ ลหุกาบัติ แสดงอาบัติ (๗) เสขิยวัตร ๗๕ ทุกกฎ ลหุกาบัติ แสดงอาบัติ
(๘) อธิกรณสมถะ ๗ วิธีระงับอธิกรณ และมีวิธีแกไขตางกันออกไปตามความหนักเบาของ
อาบัตนิ ั้นๆ
พุทธทาสภกิ ขุ ไดก ลา วถึงประเภทของปาริสุทธิศีล วา พระพุทธองค ตรัสไว เปน
หลักวา การศึกษาเลาเรียนปริยัติน้ัน ไมใช สิกขา แต การกระทําจริงๆ ตามหลักที่เปนการ
บังคบั ตนเอง ในสวนท่ีเปน ความเส่ือมเสียทางกายและวาจา เรียกวา “สีลสิกขา” ในสวนใจ
เรียกวา “จิตตสิกขา” และ ในสวนท่ีเก่ียวกับ ความคิดนึก ในสวน สีลสิกขา โดยประเภท
คือ การบังคับตน ใหตั้ง หรือดําเนิน ไปดวย กาย วาจา ตามกฎ อันเปนระเบียบ มรรยาท
หรือ จรรยา อันตนจะพึงประพฤติ ตอตนเอง ตอผูอ่ืน และตอวัตถุสิ่งของ อันเกี่ยวเนื่องกัน
เปน ขอบังคับตายตวั ในเบื้องตน เรยี กวา ปาฏิโมกขสังวรสลี ๑๐
๑๐ พุทธทาสภิกขุ, ชุมนุมเร่ืองส้ันพุทธทาสภิกขุ, พิมพครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร:
สํานักพิมพสขุ ภาพใจ, ๒๕๓๘), หนา ๔๕.
๖๘ บทท่ี ๓ ขอถกเถียงและการตคี วามศีลในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
ปาฏิโมกขุทเทส เม่ือปฏิบัติไมถูกตองตามพระวินัยยอมเขาไมได ผูปฏิบัติถูกตาม
พระวินัยแลว โมกฺขํ ชอื่ วา เปนทางขา มพนวฏั ฏะได ปาฏโิ มกขน ้ียังสงเคราะหเขาไปหาวิสุทธิ
มรรคอีก เรียกวา ปาฏิโมกขสังวรศีล ในสีลนเิ ทศ สีลนเิ ทศน้ัน กลาวถึงเร่ืองศีลท้ังหลาย คือ
ปาฏิโมกขสงั วรศีล ๑ อินทรยี สังวรศีล ๑ ปจ จยสนั นสิ สิตศลี ๑ อาชวี ปาริสทุ ธศิ ีล ๑ สวนอีก
๒ คมั ภรี น นั้ คือ สมาธินิเทศ และปญญานิเทศ วิสุทธิมรรคทั้ง ๓ พระคัมภีรน้ีสงเคราะหเขา
ในมรรคทั้ง ๘ มรรค ๘ สงเคราะหลงมาในสิกขาทั้ง ๓ คือ ศีล สมาธิ ปญญา เม่ือจะ
กลา วถึงเร่ืองมรรคแลว ความประโยคพยายามปฏิบัติดัดตนอยู ชื่อวาเดินมรรค สติปฏฐาน
ทั้ง ๔ กเ็ รียกวามรรค อริยสัจจ ๔ ก็ชื่อวามรรค เพราะเปนกิริยาท่ียังทําอยู ยังมีการดําเนิน
อยู ดังภาษิตวา "สจฺจานํ จตุโรปทา ขีณาสวา ชุติมนฺโต เต โลเก ปรินิพฺพุตา" สําหรับเทา
ตองมีการเดิน คนเราตองไปดวยเทาทั้งนั้น ฉะนั้นสัจจะท้ัง ๔ ก็ยังเปนกิริยาอยู เปนจรณะ
เครอ่ื งพาไปถึงวิสุทธิธรรม วิสุทธิธรรมนั้นจะอยูที่ไหน? มรรคสัจจะอยูท่ีไหน? วิสุทธิธรรมก็
ตอ งอยูท่ีนัน่ !
มรรคสัจจะไมมีอยูท อี่ ่นื มโนเปน มหาฐาน มหาเหตุ วิสทุ ธธิ รรมจงึ ตองอยูที่ใจของ
เรานี่เอง ผูเจริญมรรคตองทาํ อยูทน่ี ี้ ไมตองไปหาที่อื่น การหาท่ีอื่นอยูชื่อวายังหลง ทําไมจึง
หลงไปหาท่ีอน่ื เลา ? ผไู มหลงก็ไมต อ งหาทางอ่นื ไมต องหากับบุคคลอื่น ศีลก็มีในตน สมาธิก็
มีในตน ปญญากม็ อี ยกู บั ตน
ดังบาลวี า เจตนาหํ ภกิ ฺขเว สีลํ วทามิ เปน ตน กายกบั จติ เทา นปี้ ระพฤติปฏิบัติศีล
ได ถาไมมีกายกับจิต จะเอาอะไรมาพูดออกวาศีลได จิตเปนผูคิดงดเวนเปนผูระวังรักษา
เปน ผูประพฤติปฏิบตั ิ ซง่ึ มรรคและผลใหเปนไปได พระพทุ ธเจา ก็ดี พระสาวกขีณาสวเจาก็ดี
จะชาํ ระตนใหหมดจดจากสงั กิเลสทัง้ หลายได ทา นก็มกี ายกบั จิตทั้งนั้น เมื่อทานจะทํามรรค
และผลใหเกิดมีไดก็ทําอยูท่ีน่ี คือท่ีกายกับจิต ฉะน้ันจึงกลาวไดวามรรคมีอยูท่ีตนของตนนี้
เอง เม่ือเราจะเจริญซ่ึงสมถหรือวิปสสนา ก็ไมตองหนีจากกายกับจิต ไมตองสงจิตออกไป
ขา งนอก
ใหพ จิ ารณาอยูในตนของตน เปนโอปนยิโก แมจะเปนของมีอยูภายนอก เชน รูป
เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ เปน ตน กไ็ มต องสงออกเปนนอกไป ตองกําหนดเขามาเทียบเคียง
ตนของตน พิจารณาอยูท่ีน้ี ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิฺูหิ เม่ือรูก็ตองรูเฉพาะตน รูอยูในตน
ไมไดรูมาแตนอก เกิดขึ้นกับตนมีข้ึนกับตน ไมไดหามาจากที่อื่นไมมีใครเอาให ไมไดขอมา
จากผูอ ืน่ จงึ ไดช่อื วา ญาณ ทสสฺ นํ สวุ ิสุทธํ อโหสิ ฯลฯ เปนความรเู หน็ ท่ีบริสทุ ธ์แิ ท ฯลฯ๑๑
๑๑ พระอาจารยมนั่ ภูรทิ ัตโต, ปาฏิโมกขสังวรศีล, [ออนไลน]. แหลงที่มา: http://www.
baanjomyut.com /pratripidok/mon/05.html. [๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐].
ศกึ ษาเฉพาะเรือ่ งในพัฒนาการแหง พระพุทธศาสนา ๖๙
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
ศีลใดท่ีพระผูมีพระภาคเจาตรัสไววา “ภิกษุใดในศาสานนี้เปนผูสํารวมดวยเปนผู
สํารวมดวยปาฏิโมกขสังวรอยู ถึงพรอมดวยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นเปนภัยในโทษมาตร
วาเล็กนอ ย สมาทานศึกษา อยูในสิกขาบททั้งหลาย” ดงั น้ี ๑ ศลี นี้ชอื่ ปาฏิโมกขสังวรศลี
๓.๑.๑.๑.๒ อินทรยี สังวรศีล
อินทรียสังวรศีล (ศีลคือความสํารวมอินทรีย ระวังไมใหบาปอกุศลธรรม
ครอบงําเม่อื รับรูอารมณดวยอินทรียท้ัง ๖ - restraint of the senses; sense-control)๑๒
อินทรีย ๖ น้ี เปนจุดเร่ิมตนของการรับรูและทําใหมีเร่ืองราวตางๆ สืบตอขยายแตกตัว
กระจายออกไปเร่อื ยๆจนดูเหมือนมี อะไรจนเต็มโลกแทจริงเปนเพียงโลกในความ รูสึกของ
แตละบุคคลที่ปรุงแตงตอมาจากการ รับรูอารมณทางทวารท้ัง ๖ อาศัยตากระทบ กับรูป
เกิดการมองเห็นข้ึน เปนการสัมผัสทาง ตา ตอจากจุดนี้ ก็ทําใหเกิดความรูสึกวามี ผูคน
ผูหญิง ผูชาย หมา แมว สวย ไมสวย สูง ต่ํา ดํา ขาว ใหญ เล็ก เพ่ิมขึ้นมามากมายจาก
ความไมมีอะไรเลยอาศัยตาก็มีโลกทางตาข้ึนมา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางล้ิน โลก
ทางกาย โลกทางใจ ก็โดยทํานองเดียวกัน โดยเฉพาะโลกทางใจยิ่งแตกตัวมากมายมีความ
เชื่อความเห็นหลักวิชา ปรัชญา แนวคิดทฤษฎีทัศนคติ อุดมคติเกิดข้ึนมามากมายในโลกน้ี
และจะเกิดข้ึนอีกตอไปไมมีท่ีส้ินสุด ความหมายอินทรียสังวร คําวา อินทรีย แปลวา ความ
เปนใหญ สภาวธรรมที่เปนใหญในกิจของตนสภาวธรรมท่ีเปนเจาของหนาที่อยางหน่ึง ๆ
เชน ตาเปนใหญหรือเปนเจาของหนาท่ีในการเห็น หูเปนใหญ หรือเปนเจาของหนาที่ใน
การไดยิน จมูกเปนใหญหรือเปนเจา ของหนาท่ีในการดม ล้ินเปนใหญหรือเปนเจาของ
หนาที่ในการลิ้มรส๑๓ คําวา “สังวร” หมายถึงการปดกั้นปองกันไมใหมีบาปอกุศลธรรม
ทง้ั หลายเกดิ ขึน้ ในจิตเวลาที่มกี ารรับรูอ ารมณทางทวารทั้ง ๖ หรือ จะหมายถึงการคุมครอง
การปอ งกนั รักษาจติ ไมใหถ กู กเิ ลสครอบงาํ ซง่ึ ทําไดโ ดยการฝกให มีสติระลึกรูอยูในกายของ
ตนเองใหมนั่ คงไว เม่ือรบั รูอารมณแลว อารมณก ็จะไมฉ ุดจิตให ออกไปสนใจภายนอกไมหลง
ยินดีในอารมณท่ี นารัก ไมเกลียดชังในอารมณท่ีไมนารักมีจิตท่ี ไมถูกกิเลสครอบงําและรู
วิธีการฝก ฝนให หมดจดจากกิเลสตางๆ ดวยการทํากรรมฐาน เปนการปอ งกันท่ีตนเหตุ
มีหลายพวก เก่ียวกับขนบธรรมเนียมของนักบวชก็มี เก่ียวกับอนามัยของรางกายก็
มี เกี่ยวกับการเคารพปฏิสันถาร ปรนนิบัติ ฯลฯ ผูอ่ืน ก็มี เกี่ยวกับการรักษาสิ่งของเครื่องใช
สอย ของตน หรือ หมู ก็มี และยังมีอยางอ่ืนอีก ซึ่งเปนสวนตองรูแลวทําในเบ้ืองตน อนุโลม
๑๒ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ
ครง้ั ที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๖), หนา ๖๔-๖๕.
๑๓ อภิ.ย. (ไทย) ๓๙/๔๕. (บทนํา)
๗๐ บทที่ ๓ ขอ ถกเถยี งและการตคี วามศลี ในพระพุทธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
ทํานองเดียวกัน ท้ังฆราวาส และบรรพชิตการควบคุม ตา หู จมูก ล้ิน กาย ไมให กําเริบ ไป
ตาม รปู เสยี ง กล่นิ รส สัมผัส อนั เปนโลกธรรม เรยี กวา อนิ ทรียสงั วรสลี ๑๔
สวนศีลใดที่ตรัสไววา “ภิกษุนั้นเห็นรูปดวยจักษุแลว เปนผูไมถือเอานิมิต ไม
ถือเอาอนุพยัญชนะ ๒ อภิชฌาโทมนัสท้ังหลาย ธรรมทั้งหลายอันเปนบาปกุศล จะพึงไหล
ไปตามภิกษุผูไมสํารวมจักขุนทรียอยู เพราะเหตุไมสํารวมจักขุนทรียอันใด ยอมปฏิบัติเพื่อ
ปด ก้ันเสียซง่ึ จกั ขุนทรียน ้นั รักษาจกั ขุนทรยี ถึงความสาํ รวมในจักขุนทรยี เธอฟงเสียงดวยโส
ตะแลว ฯลฯ ดมกล่ินดว ยฆานะแลว ฯลฯ ล้ิมรสดวยชิวหาแลว ฯลฯ ถูกตองโผฏฐัพพะดวย
กายแลว ฯลฯ รูธรรมารมณดวย มนะแลวไมถือเอานิมิต ไมถือเอาอนุพยัญชนะ ฯลฯ ถึง
ความสํารวมในมนนิ ทรยี ” ดังนี้ ศีลนช้ี ่อื วา อนิ ทรยิ -สงั วรศลี ๑๕
สําหรับผูทีข่ าดอนิ ทรียส งั วรเม่ือมีการรับรูอารมณใดๆ แลวก็จะเกิดความยินดียิน
ราย ในอารมณน้ันตามความเคยชินอันจะเปนสาเหตุใหเกิดการกระทํา การพูด การคิด ไป
ตามกําลังของกิเลสนําไปสูการแสวงหาและ หลงยึดติดในส่ิงท่ีคิดวาจะทําใหเกิดความพึง
พอใจเม่ือนํามาเสพบริโภคทําใหเกิดปญหา มากมายติดตามมาดังที่ปรากฏในปจจุบันทาง
แยกสําคัญคือการมีสติปดกั้นกิเลส ตั้งแตเริ่มตนกระบวนการรับรูอารมณ ซึ่งเปนการใช
อินทรียอยางสรางสรรค เพ่ือการศึกษาพัฒนาจิตใจใหดีงามข้ึนในสังคมไทยปจจุบันซ่ึงเต็ม
ไปดว ยสิง่ ย่ัวยวนใจมากมาย การฝก ฝนพัฒนาอินทรียสังวรจึงมคี วามจาํ เปนอยางยงิ่
๓.๑.๑.๑.๓ อาชีวปารสิ ุทธศิ ลี
ศีลอันเกิดจากการเลี้ยงชวี ิตท่ีบริสทุ ธิท์ ี่เรยี กวา อาชีวปาริสทุ ธิ เชน การเท่ียว
บิณฑบาตรับ อาหารท่ีเขาใสบาตรมาขบฉันหรือการขบฉันอาหารที่เปนอดิเรกลาภที่เขา
นํามาถวายแกตนหรือแก สงฆแลวแบงปนกันในหมูคณะโดยชอบ งดเวนที่จะไปเที่ยวขอ
ของเขาหรอื การแสวงหาในบณิ ฑบาต จีวร เสนาสนะและคิลานเภสชั ในทางท่ีผิดตาง ๆ การ
เลี้ยงชีวิตที่สมควรและเหมาะสมแกความเปน บรรพชิตในพุทธศาสนา จึงเปนการพนจาก
การโกหก หลอกลวง ไมเปนผูทุศีลลวงสิกขาบทเพราะเหตุ แหงการแสวงหาปจจัย เมื่อนั้น
ยอมไดช่ือวาเปนผูสมบูรณดวยศีล อันเกิดจากการปฏิบัติที่ถูกตองเปน สัมมาอาชีวะใน
อริยมรรค อาชวี ปาริสุทธิก็ถึงการรวมลงในวิริยสังวรดวย การสนับสนุนของอาชีวปาริสุทธิ
ศีล ในขณะที่ปฏิบัติวิปสสนาภาวนาตามหลักสติปฏฐาน หมวดสัมปชัญญะ ผูปฏิบัติวิปสสนา
ภาวนา มีความเพียร มีความรูสึกในการกําหนดท่ีเปนปจจุบันอยางมี สติในขณะฉัน ในขณะ
๑๔ พุทธทาสภิกขุ, ชุมนุมเร่ืองสั้นพุทธทาสภิกขุ, พิมพครั้งท่ี ๔ (กรุงเทพมหานคร:
สํานักพมิ พสุขภาพใจ, ๒๕๓๘), หนา ๔๕.
๑๕ สุทธิมรรค, มหามกุฏราชวทิ ยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ สิงหาคม ๒๕๐๘ ๑ ตอน ๑ -
หนา ๓๓.
ศกึ ษาเฉพาะเรอื่ งในพัฒนาการแหง พระพุทธศาสนา ๗๑
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
ดื่ม ในขณะใชสอยจีวร ในขณะบิณฑบาตเปนตน ซึ่งมีสติกําหนดตามรูในอาการ นั้น ๆ ดวย
จิตท่ีสงบ เบิกบานผองใส โดยอิงอาศัยอาชีวปาริสุทธิศีลที่บริสุทธิ์ท่ีเกิดข้ึนจากวิริยสังวร
การบรรลุมรรคผลในการปฏบิ ตั ิวปิ ส สนาภาวนาอนั เกิดจากการสนับสนุนของอาชีวปาริสุทธิ
ศีล ดังจะ เห็นไดจากเร่ืองของพระมหามิตตเถระ เลากันวา พระเถระอาศัยอยูในถาช่ือกส
กะและมหาอุบาสิกาผูหน่ึงในบานเปนที่โคจรของ พระเถระบํารุงทานเหมือนบุตร วันหนึ่ง
นางจะไปปาจึงสั่งลูกสาววาขาวสารเกาอยูโนน นํ้านม เนยใส น้ําออย อยูโนน เวลาท่ีพระ
เปนเจามิตตะพี่ชายของเจามาแลว จงปรงุ อาหารถวายพรอมดวยนํ้านม เนยใส และนํ้าออย
ดวยนะลูก ลูกสาวจึงถามวา แมจะรับประทานดวยไหมจะ มหาอุบาสิกาตอบวา แม
รับประทานอาหารสํารับคางคืนท่ีปรุงกับน้ําสมเม่ือวานน้ีแลว ลูกสาวถามวา แมจัก
รับประทาน กลางวันไหม มหาอุบาสิกาส่ังวา เจาจงใสผักดองแลวเอาปลายขาวสาร ตม
ขาวตมท่ีมีรสเปรี้ยวเก็บไว ใหเถอะลูก ในขณะนั้นพระเถระครองจีวรแลว กําลังนําบาตร
ออกจากถลกไดยินเสียงน้ันแลว จึงให โอวาทตนเองวา ไดยินวา มหาอุบาสิการับประทาน
แตอ าหารสํารบั คางคืนกับน้ําสม แมกลางวันก็จัก รับประทานขาวตมเปรี้ยวใสผักดอง มหา
อุบาสกิ าบอกอาหารมีขา วสารเกาเปนตน เพื่อประโยชนแก เธอ มหาอุบาสิกานั้นมิไดหวังที่
นาที่สวน อาหารและผา เพราะอาศยั เธอเลย แตปรารถนาสมบัติ ๓ ประการมีมนุษยสมบัติ
สวรรคส มบัติ นพิ พานสมบตั ิ จงึ ถวายอาหารบํารุงแกเธอ เธอจักสามารถให สมบัติเหลาน้ัน
แกมหาอุบาสิกาน้ันไดหรือไมเลา พระเถระคิดวา บิณฑบาตน้ีแล ทานนั้นยังมีราคะ โทสะ
โมหะอยู จึงไมควรรับบิณฑบาตนี้ แลวเก็บบาตรเขาถลก ปลดดุมจีวร กลับไปยังถากสกะ
เลย จากน้ันพระเถระไดนั่งลงอธิษฐานความเพียรวา เราไมบรรลุพระอรหัต จักไมออกไป
จาก ถาพระเถระผูไมประมาทอยูมาชานานเจริญวิปสสนา ก็บรรลุพระอรหัตกอนเวลา
อาหารเชาเปน พระ ขณี าสพสิน้ อาสวะแลว ในคราวนนั้ ผวิ พรรณของพระเถระบริสุทธ์ิยิ่งนัก
อินทรียผองใส หนาของทาน เปลงปล่ังยิ่งนักประดุจผลตาลสุกหลุดออกจากขั้วฉะนั้น พระ
เถระลุกขึ้นดูเวลา ทราบวายังเปนเวลา เชาอยู จึงถือบาตรและจีวรเขาสูหมูบาน ฝาย
เด็กหญิงจดั เตรียมอาหารเสรจ็ แลว นั่งคอยดูอยูตรง ประตูดวยนึกวา ประเด๋ียวพ่ีชายเราคง
จักมา เม่ือพระเถระมาถึงประตูเรือนแลว เด็กหญิงน้ันรับบาตร บรรจุเต็มดวยอาหารเจือ
นํ้านม ท่ีปรุงดวยเนยใสและนํ้าออยแลว วางไวบนมือของพระเถระ พระเถระทําอนุโมทนา
วา จงมีสุขเถิดแลวหลีกไป มหาอุบาสิกาเม่ือกลับมาจากปาถามวาพ่ีชายของเจามาแลว
หรือลูก เด็กหญิงนั้นเลาเร่ืองท้ังหมดใหมารดาฟง อุบาสิกาก็รูไดวากิจแหงบุตรของเราถึง
ท่ีสุดแลว พระเถระประจักษถึงความมีศรัทธาและการเสียสละทานอันเลิศของทายกแลว
จึงสํารวจ ศีลและคุณธรรมของตน เม่ือทราบวาตนยังไมมีคุณวิเศษใด ๆ ยังไมสามารถละ
อกุศลคือโลภะ โทสะ โมหะไดเ ลย แลวตัง้ สติระลึกถึงความไมประมาทในบณิ ฑบาตนั้น มีสติ
๗๒ บทท่ี ๓ ขอถกเถียงและการตีความศีลในพระพุทธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
มุงมั่นในการปฏิบัติวิปสสนา ภาวนาดวยการระลึกถึงศีลอันบริสุทธิ์ท่ีปฏิบัติมาแลวและ
บิณฑบาตอันบริสุทธ์ิที่ทายกใหดีแลว ตั้ง ปณิธานปรารภความเพียรอันแรงกลาปฏิบัติ
วิปส สนาภาวนาไมน านก็ไดบรรลุมรรคผล สรปุ ศีลมวี ิริยสงั วรอันเปนองคธรรมของอาชีวปา
ริสุทธิศีล จัดเปนศีลในองคมรรคขอ สัมมาอาชีวะ เม่ืออาชีวบริสุทธ์ิ ศีลในอริยมรรคมีองค
๘ ก็บริสทุ ธดิ์ วย สัมมาสมาธิและปญ ญาก็จะเกิด เก้ือหนนุ ตามลําดับไปจนถึงการบรรลุธรรม
ไดในท่ีสดุ
อาชีวปาริสทุ ธศิ ีล (ศีลคือความบรสิ ทุ ธ์ิแหงอาชีวะ เล้ียงชีวิตโดยทางที่ชอบ
ไมประกอบอเนสนา มีหลอกลวงเขาเลี้ยงชีพ เปนตน - purity of conduct as regards
livelihood)๑๖ ฉะน้ันอาชีวปาริสุทธิศีล คือความสะอาดหมดจดแหงวิธีการท่ีจะไดมาซ่ึง
ปจจัยบริโภคของภิกษุ ไดแก อาหาร เคร่ืองนุงหมท่ีอยูอาศัย และยารักษาโรคซึ่งจะตองได
มาโดยวิธีที่ถูก ตองโดยนัยแหงความเปนสมณเพศน้ัน วิธีการท่ีจะไดมาซึ่ง ปจจัยบริโภค
ยอมแตกตางกับวิธีการของ ฆราวาสโดย ส้ินเชิง อน่ึงสําหรับมิจฉาอาชีวะ กลาวคือวิธีการท่ี
จะไดมาซ่ึงปจจัยบริโภคของภกิ ษโุ ดยไมถกู ตอง ไมบ รสิ ุทธอิ์ นั เปน การลวงละเมิดตออาชีวปา
ริสทุ ธิศลี
การควบคุมตน ใหมีการ แสวง การรับ การบริโภคปจจัย เครื่องอาศัย อัน
จําเปน แกชีวิต อยางบริสุทธิ์ จากการ หลอกลวงตน และผูอ่ืน เรียกวา อาชีวปาริสุทธิ
สีล๑๗
สวนการงดเวนจากมิจฉาชีวะ อันเปนไปดวยอํานาจแหงการละเมิด
สิกขาบท ๖ ท่ีพระผูมีพระภาคทรงบัญญัติ เพราะอาชีพเปนเหตุเพราะอาชีพเปนจัวการณ
และ (ดวยอํานาจ) แหงบาปธรรมทั้งหลาย มีอยางนี้ คือ “การลอลวง” (กุหนา) การปอยอ
(ลปนา) การทําใบ (เนมิตฺติกา) การบีบบังคับ (นิปฺเปสิกตา) การแสวงหาลาภดวยลาภ
(ลาเภน ลาภ นชิ ิคสึ นตา)" ดังนีเ้ ปนตน ศีลน้ชี ่อื วา อาชวี ปาริสุทธศิ ีล๑๘
๑๖ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม, คร้ังที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร:
สหธรรมกิ , ๒๕๔๙), หนา ๗๙๔.
๑๗ พุทธทาสภิกขุ, ชุมนุมเรื่องส้ันพุทธทาสภิกขุ, พิมพคร้ังที่ ๔ (กรุงเทพมหานคร:
สํานักพิมพสุขภาพใจ, ๒๕๓๘), หนา ๔๕.
๑๘ สุทธิมรรค, มหามกฏุ ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ สิงหาคม ๒๕๐๘ ๑ ตอน ๑ -
หนา ๓๓.
ศกึ ษาเฉพาะเร่ืองในพฒั นาการแหง พระพุทธศาสนา ๗๓
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๓.๑.๑.๑.๔ ปจจัยสนั นิสิตศลี
พระสมั มาสมั พทุ ธเจาไดทรงบัญญัติวิธีบริโภคท่ีดี เพ่ือความบริสุทธิ์บริบูรณ
คอื ศลี ทีเ่ รยี กวา ปจจัยสันนิสสันสิตศีล หรือปจจเวกขณศีล อันเปนหน่ึงในจาตุปาริสุทธิศีล
ท่เี ปนสลี วิสุทธิ
๑. การพจิ ารณาการใชจ วี รในปจ จัยสนั นิสสติ ศีล
ปจจัยสันนิสสิตศีล คือ โดยเหตุที่เปาหมายสําคัญของการบวช คือ การหลีก
ออกจากกาม ดังน้ัน เม่ือพระภิกษุสามารถปฏิบัติตนใหสมบูรณดวยอาชีวปาริสุทธิศีลแลว ก็
จําเปนจะตองรูจักบริโภคปจจัยที่ไดมาอยางฉลาดอีกดวย ท้ังน้ีเพ่ือยกตนใหพนจากการเปน
ทาสของกามไดอ ยางแทจรงิ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา จึงตรัสสอนบริโภคปจจัย ๔ หรือปจจัยสันนิ
สสิตศีลใหกับพระภิกษุ โดยใหพระภิกษุพิจารณาวัตถุประสงคของการบริโภคจีวรอยางแยบ
คาย กลาวคือ วัตถปุ ระสงคก ารใชจีวร คาํ วา “จีวร”๑๙ หมายถึง ผาทุกชิ้นท่ีภิกษุใชนุงหม การ
ใชจีวรหรือการบริโภคจีวร ก็เพียงเพ่ือบําบัดความรอน ความหนาว อันจะเปนเหตุใหเกิด
อาพาธประการหน่ึง เพ่ือปองกันแมลงและสัตวอันตรายประการหน่ึง และเพ่ือปกปดอวัยวะที่
นาอายอีกประการหน่ึง การพิจารณาปจจัย ๔ โดยเฉพาะจีวรควรมีการพิจารณาในกาลทั้ง ๓
คือ (๑) ในเวลารบั (๒) ในเวลาใชสอย (๓) ในเวลาหลงั จากใชแ ลว ดงั นี้
๑) การพิจารณาการใชจ วี รในเวลารบั
มนุษยจําเปนตองบริโภคใชสอยปจจัยสี่ แตการพิจารณาในเวลารับมาหรือ
กอนบริโภคใชสอย จําเปนกวา พระพุทธองคตรัสยํ้าใหพิจารณากอนเพื่อรูเทาทันโทษภัยและ
คํานึงถึงคุณคาของส่ิงบริโภคใชสอย กอนบริโภคใชสอยใหพิจารณาท้ังสิ่งบริโภคและตัว
ผูบริโภคเอง เพ่ือใหรูวาแทท่ีจริงแลวท้ังส่ิงบริโภคและตัวผูบริโภค เมื่อพิจารณาอยางละเอียด
ลึกซงึ้ แลว ก็เปนเพียงธาตวุ างจากตัวตน ประกอบข้ึนดวยเง่ือนไขแหงธาตุปจจัยเทาน้ัน บริโภค
ใชสอยแบบปลอยวาง ไมยึดมั่นถือม่ันทั้งในส่ิงท่ีบริโภคและตัวผูบริโภค เม่ือผูบริโภคมีตัวตน
การใชสอยก็มุงจะเพื่อพอกพูนรักษาตัวตนดวยการบริโภคใชสอยอยางไมมีสติสัมปชัญญะ ทํา
ใหละเมิดคุณธรรมในตน ละเมิดจริยธรรมสังคมและทําลายสิ่งแวดลอมในที่สุด ถาเสพบริโภค
ใชสอยโดยปราศจากตัวตน ปลอยวาง ไมพอกพูนอัตตา บริโภคใชสอยเพื่อคุณคาที่แทจริง คํา
วา “กอนบริโภคใชสอย” มีความหมายกวางทั้งขณะแสวงหา ขณะรับและขณะเก็บรักษาไว
เพื่อบริโภคใชสอย พระพุทธองคตรัสแนวทางปฏิบัติไวในบท ธาตุปฏิกูลปจจเวกขณะ
พจิ ารณาโดยความเปนธาตุในเวลารบั หรือกอนบรโิ ภค ดังตอไปนี้
๑๙ พระราชวรมุนี (ป.อ. ปยุตโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท,
(กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พอ มรนิ ทรการพมิ พ, ๒๕๒๗), หนา ๔๕.
๗๔ บทท่ี ๓ ขอ ถกเถียงและการตีความศลี ในพระพุทธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
ส่ิงเหลาน้ีเปนสักแตวาธาตุตามธรรมชาติเทานั้น กําลังเปนไปตามเหตุปจจัย
ตามปกติ ไมวาจะเปนจีวร และบุคคลผูใชสอยก็เปนเพียงธาตุตามธรรมชาติเทานั้น มิใชสัตว
อันยั่งยืน มิใชชีวะ บุคคลท่ีอมตะ วางเปลาจากตัวตน ประกอบกับจีวรเหลานี้เดิมไมไดนา
เกลียด สกปรก เปอยยุย แตพอถูกใชสอยสวมใสกับกายอันเปอยเนา สกปรก เหม็นคาว จึง
พลอยกลายเปน ของนาเกลยี ดไปดว ยกนั ๒๐
ขอ ความในบทพิจารณาจวี ร (ผา เครื่องนุงหม) สะทอนใหเห็นวาพระพุทธองค
ใหพ จิ ารณาส่งิ ใชสอย และผูใชสอยวา โดยธรรมชาติหรือธาตุแทแลวตางไรสาระเปนเพียงธาตุ
๔ ทั้งคู ปกติเนาเหม็น นาเกลียด ผาปลอยไวนานก็เปอยยุย ยอยสลาย เพราะสภาพของเหตุ
และปจจัยขณะท่ีรางกายของมนุษยน้ัน ปกติมีกล่ินเนาเหม็นสาบสกปรกอยูแลว สมมติวาคน
ไมไดอาบนํ้าสวมใสเสื้อผาไมไดซักมาหลายวันจนสกปรก มีกล่ินเนาเหม็นอับมีเชื้อรา ไมวาผา
ชนดิ น้ันจะมีราคาแพงซักเพียงใดและบุคคลท่ีสวมใสจะเปนใครก็ตาม สุดทายแลวเม่ือผาไมได
ซัก คนไมไดอาบน้ําคนจํานวนมากก็ไมปรารถนาแมแตจะเขามาน่ังใกล น่ีคือสารัตถะหรือธาตุ
แทจรงิ ๆ ของจวี ร ผาเครื่องนงุ หม และผสู วมใสจ ีวร ผา เครือ่ งนุงหมนน้ั
๒) การพิจารณาจีวรในเวลาบริโภค
เมื่อภิกษุสามเณรแสวงหาและรับจีวรมาเพื่อบริโภคใชสอยไดแลว ขณะจะ
บริโภคใชสอยในแตละวัน พระพุทธองคตรัสใหพิจารณาส่ิงท่ีบริโภคใชสอยไปพรอมกับการ
บริโภค เพ่ือเตือนสติใหตระหนักรูถึงแหลงท่ีมา คุณคา เปาหมายหรือวัตถุประสงคของการ
บริโภคใชส อยวา บริโภคใชสอยเพ่อื อะไร
ขณะใชสอยจีวร ขณะใชสอยใหคิดเสมอวา “จะรอบคอบในการนุงหมจีวร
เพียงเพื่อบําบัดความหนาว เพื่อบําบัดความรอน เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุง ลม
แดดและสัตวเลือ่ ยคลานท้งั หลาย และเพยี งเพื่อปกปดอวยั วะอันใหเกิดความละอาย๒๑
๓) การพจิ ารณาจวี รในเวลาภายหลังบรโิ ภค
เมื่อบรรพชิตไดบริโภคใชสอยจีวรแลวในแตละวัน ถาลืมพิจารณาหรือ
พิจารณาไปแลวก็ตาม พระพุทธองคตรัสใหตระหนักยอนพิจารณาสิ่งบริโภคใชสอยอีกคร้ัง
ท้ังน้ีเพื่อเตือนสติใหตระหนักตรวจสอบวา ตนไดบริโภคใชสอยใหเกิดประโยชนอยางแทจริง
หรือไมหลังจากบรโิ ภคจวี ร หลังจากการใชสอยใหพจิ ารณาวา
๒๐ พระบาลเี ต็มวา “ยถาปจฺจยํ ปวตตฺ มานํ ธาตุมตฺตเมเวตํ ยทิทํ จีวรํ, ตทุปภฺุชโก จ ปุคฺค
โลธาตุมตฺตโก นิสสตโฺ ต นิชชีโว สุญโญ, สพพฺ านิ ปน อมิ านิ จวี รานิ อชิคุจฺฉนียานิ อิมํ ปูติกายํ ปตฺวา อติ
วิยชิคจุ ฺฉนียานิ ชายยนตฺ ิ”
๒๑ พระบาลีเต็มวา “ปฏิสงฺขาโยนิโส จีวรํ ปฏิเสวามิ ยาวเทว สีตลฺส ปฏิฆาตาย, อุณฺหสฺส
ปฏฆิ าตาย ฑํสมกสวาตาตปสิรึ สปสมผสฺสานํ ปฏฆิ าตาย, ยาวเทว หริ โิ กปน นฺ ปฏิจฉาทนตฺถ”ํ
ศึกษาเฉพาะเรอ่ื งในพัฒนาการแหงพระพุทธศาสนา ๗๕
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
“ส่ิงท่ีเราใชสอยแลวไมทันพิจารณาในวันน้ี ถือวา เราใชสอยแลวเพียงเพื่อ
บําบัดความหนาว เพื่อบําบัดความรอน เพ่ือบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุง ลม แดดและ
สัตวเ ลอ่ื ยคลานทง้ั หลาย และเพียงเพ่ือปกปดอวยั วะอนั ใหเ กิดความละอาย”๒๒
การพิจารณายอนหลังแมผานการบริโภคใชสอยจีวรไปแลวก็ตาม แตก็เปน
การกําจัดตัณหา คือ ความยินดีพอใจในจีวรน้ัน เพ่ือใหรูวาเราใชสอยจีวรน้ันตามจําเปน
เทานั้น มิไดเพื่อความสวยงามหรือเหตุผลอื่นท่ีเปนการสงเสริมใหเกิดอุปทานความยึดม่ันแต
อยา งใด
สรุปไดวา การบริโภคจีวรเพื่อไมใหเปนที่เกิดแหงตัณหาอุปทานในเคร่ืองแตง
กาย ควรพิจารณาใหรูถึงคุณคาแทของจีวร พิจารณาทั้งเวลารับมา เวลาบริโภคใชสอย และ
หลังจากบริโภคใชส อยเรียบรอยแลว ทําใหเปนผูมีสติม่ันคงไมหลงใหลในผาแพรพรรณ จึงนับ
ไดวาเปน ปจจยสันนิสสิตศีล เกดิ ปญญาในการใชสอยจีวร และเปนเคร่ืองสนับสนุนอีกประการ
หน่ึงของการปฏิบัติเพ่ือการบรรลุธรรม เพราะมีศีลบริสุทธิ์แลว ไมมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับ
ความบริสุทธิ์ของปจจัยเกี่ยวกับเคร่ืองนุงหมแลว ก็จะเปนปจจัยสนับสนุนทําใหเกิดสมาธิจิต
บรสิ ทุ ธิ์ และปญ ญาบรสิ ทุ ธทิ์ ําใหไดบรรลธุ รรมในพระพุทธศาสนา
๒. การพิจารณาบณิ ฑบาตในปจ จยสนั นิสสิตศีล
พระสมั มาสัมพทุ ธเจาไดท รงบญั ญัตวิ ิธบี รโิ ภคที่ เพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ คือ
ศีลท่ีเรียกวา ปจจัยสันนิสสิตศีล หรือปจจเวกขณศีล โดยการพิจารณาปจจัย ๔ โดยเฉพาะ
บิณฑบาตอันนับเปนสวนหนึ่งของศีลวิสุทธิ์ในบรรดาวิสุทธิ ๗ ความบริสุทธ์ิของการปฏิบัติ
ตามลําดบั จนกระท่ังไดบรรลุธรรม ดังน้ันควรพิจารณาในกาลทั้ง ๓ คือ (๑) ในเวลารับ (๒) ใน
เวลาใชส อย และ (๓) ในเวลาหลังจากใชแลว ดงั นี้
๑) การพจิ ารณาบิณฑบาตในเวลารับ
ภิกษุจําเปนตองบริโภคปจจัยส่ี โดยเฉพาะอาหารบิณฑบาต การพิจารณาใน
เวลารับมาหรือกอนบริโภคใชสอยมีความจําเปนมาก พระพุทธองคตรัสย้ําใหพิจารณากอน
เพื่อรูเทาทันโทษภัยและคํานึงถึงคุณคาของการบริโภคอาหาร กอนบริโภคอาหารใหพิจารณา
ท้ังสง่ิ บรโิ ภคและตัวผบู ริโภคเอง เพอื่ ใหรูว า แททจ่ี ริงแลว เมอ่ื พิจารณาอยางละเอียดลึกซ้ึงแลว
ทั้งส่ิงท่ีบริโภคและผูบริโภคก็เปนเพียงธาตุ วางจากตัวตน ประกอบข้ึนดวยเง่ือนไขแหงธาตุ
ปจจัยเทานั้น บริโภคใชสอยแบบปลอยวาง ไมยึดมั่นถือมั่นท้ังในส่ิงท่ีบริโภคและตัวผูบริโภค
เมือ่ ผูบรโิ ภคมีตัวตน การใชส อยก็มุงจะเพื่อพอกพูนรักษาตัวตนดวยการบริโภคใชสอยอยางไม
๒๒ พระบาลีเต็มวา “อชฺชมยา อปจฺจเวกฺขิตวา ยํ จีวรํ ปริตรภุตฺตํ, ตํ ยาวเทว สีตลฺส ปฏิฆา
ตาย, อุณฺหสฺส ปฏิฆาตาย ฑํสมกสวาตาตปสิรึ สปสมผสฺสานํ ปฏิฆาตาย, ยาวเทว หิริโกปนฺนปฏิจ
ฉาทนตถฺ ํ”
๗๖ บทที่ ๓ ขอถกเถยี งและการตีความศีลในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
มสี ติสัมปชัญญะ ทําใหละเมิดคุณธรรมในตน ละเมิดจริยธรรมสังคมและทําลายส่ิงแวดลอมใน
ท่ีสดุ ถาเสพบรโิ ภคใชส อยโดยปราศจากตัวตน ปลอยวาง ไมพอกพูนอัตตา บริโภคใชสอยเพ่ือ
คุณคา ที่แทจริง อน่ึง คําวา กอนบริโภค มีความหมายกวางทั้งขณะแสวงหา ขณะรับและขณะ
เก็บรักษาไวเพื่อบริโภคดวย พระพุทธองคตรัสแนวทางปฏิบัติไวในบท ธาตุปฏิกูลปจจเวก
ขณะ พจิ ารณาโดยความเปนธาตุในเวลารับหรือกอนบริโภค ดงั ตอ ไปน้ี
สิ่งเหลาน้ีเปนสักแตวาธาตุตามธรรมชาติเทาน้ัน กําลังเปนไปตามเหตุปจจัย
ตามปกติ ไมวา จะเปนบณิ ฑบาต (อาหาร นํ้าดื่ม เคร่ืองดื่ม) และบุคคลผูใชสอยก็เปนเพียงธาตุ
ตามธรรมชาติเทาน้ัน มิใชสัตวอันยั่งยืน มิใชชีวบุคคลที่อมตะ วางเปลาจากตัวตน ประกอบ
กบั บิณฑบาตเดมิ ไมไดน าเกลียด สกปรก แตพอบริโภคเขาไปในรางกายอันเปอยเนาอยูเปนนิจ
จงึ เปนของนาเกลียดไปดวยกัน๒๓
ขอความในบทพิจารณาอาหาร โดยความเปนธาตุสะทอนใหเห็นวาพระพุทธ
องคใหม องสิง่ บรโิ ภค และตวั ผบู ริโภควา เปนธาตแุ ทข องท้ังสองสิ่งตางไรสาระเปนเพียงธาตุ ๔
ทั้งคู ลองนึกภาพดูอาหารท่ียังใหมสด เชน อาหารประเภทกะทิ เปนตน เก็บไวเพียงขามคืน
(คางคืน) กล่ิน รส คุณคา ก็เปล่ียนไป เกิดการเนาบูดบริโภคแลวทําใหทองเสีย หรือแมแต
อาหารอันโอชะ กล่ินหอม รสโอชา ราคาแพง คร้ันรับประทานเขาไปแลวผสมกับนํ้ายอยใน
กระเพาะอาหาร ครน้ั ถา ยอุจจาระปสสาวะออกมาลวนมีกลิ่นเหม็นเสมอกันท้ังสิ้น ไมวาอาหาร
ชนิดนั้นจะราคาแพงเพียงใดและผูบริโภคจะเปนใครก็ตาม สุดทายแลวอาหารน้ันก็บูดโดย
ธรรมชาติคนก็เนาโดยธรรมดา ของบูดและของเนามาประกอบกันก็ยิ่งจะนาเกลียดย่ิงขึ้น นี่คือ
สารัตถะหรือธาตุแทจริงๆ ของอาหารบณิ ฑบาตและผบู รโิ ภคอาหารบิณฑบาต
๒) การพิจารณาบณิ ฑบาตในเวลาบริโภค
เมื่อภิกษุสามเณรแสวงหาและรับบิณฑบาตมาเพ่ือบริโภคใชสอยไดแลว
ขณะจะบรโิ ภคในแตล ะวัน พระพทุ ธองคตรสั ใหพิจารณาสง่ิ ท่ีบริโภคใชสอยไปพรอมกับการ
บริโภค เพื่อเตือนสติใหตระหนักรูถึงแหลงที่มา คุณคา เปาหมายหรือวัตถุประสงคของการ
บริโภควา บรโิ ภคเพ่อื อะไร ขณะใชส อยจวี ร ขณะใชส อยใหค ดิ เสมอวา
จ ะ ร อ บ ค อ บ ใ น ก า ร ฉั น บิ ณ ฑ บ า ต ไ ม ใ ห เ ป น ไ ป เ พื่ อ ค ว า ม เ พ ลิ ด เ พ ลิ น
สนุกสนาน เพ่ือความมัวเมาเกิดกําลังพลังทางกาย เพื่อประดับ เพื่อตกแตง แตเพื่อให
รางกายน้ีดํารงอยูได ดําเนินไปได มิใหรางกายลําบาก เพื่ออนุเคราะหพรหมจรรย ทําได
ตามนี้ก็จะชวยระงับดับบรรเทาทุกขเวทนาเกาคือความหิวได และไมทําทุกขเวทนาใหมให
๒๓ พระบาลีเต็มวา “ยถาปจฺจยํ ปวตฺตมานํ ธาตุมตฺตเมเวตํ ยทิทํ ปณฺฑปาโต, ตทุปภฺุชโก
จ ปุคคฺ โล ธาตุมตตฺ โก นิสสตฺโต นชิ ชีโว สญุ โญ, สพโฺ พ ปนายํ ปณ ฺฑปาโต อชคิ ุจฉฺ นีโย อิมํ ปูติกายํ ปตฺวา
อติวยิ ชคิ ุจฺฉนีโย ชายติ”
ศกึ ษาเฉพาะเรอ่ื งในพัฒนาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๗๗
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
เกิดขึ้น อนึ่งความเปนไปโดยสะดวกแหงอัตตภาพรางกายน้ี ความเปนผูหาโทษไมได และ
ความเปน อยโู ดยผาสุกกจ็ กั บังเกดิ ข้ึนแกเ รา”๒๔
บทพิจารณาอาหารขณะกําลังบริโภคอยูน้ัน สังเกตเห็นไดถึงการงดเวน
จุดมุงหมายท่ีเปนคุณคาเทียมของอาหาร อันไดแก ความสนุกสนาน เพ่ิมพละกําลัง เพื่อ
ประดับตกแตงบํารุงใหรางกายสวยงาม หรือเพ่ือโชวคนอ่ืนวาตนเองมีฐานะ มีรสนิยมสูง
เปนตน นับวาไมใชประโยชนแทจริงของอาหารบิณฑบาต คุณคาแทจริงนั้นอยูท่ีการ
บรรเทาทุกขจากความหิว แลวจะไดมีเรี่ยวแรงพอที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมใหถึงที่สุดแหง
ทุกขได และจะตองไมมากเกินไปจนอึดอัดสรางทุกขใหมใหเกิดขึ้นอีก เรียกวา รูจัก
พอประมาณในการบริโภค และไมบริโภคดว ยตัณหา
๓) การพจิ ารณาบิณฑบาตในเวลาภายหลงั บรโิ ภค
เม่ือบรรพชิตไดบริโภคบิณฑบาตแลวในแตละวัน ถาลืมพิจารณาหรือ
พิจารณาไปแลวก็ตาม พระพุทธองคตรัสใหตระหนักยอนพิจารณาส่ิงบริโภคอีกครั้ง ทั้งนี้
เพ่ือเตือนสติใหตระหนักตรวจสอบวา ตนไดบริโภคใชสอยใหเกิดประโยชนอยางแทจริง
หรือไม หลงั จากบริโภคบิณฑบาตใหพิจารณาวา
บิณฑบาตท่ีเราบริโภคแลวไมท ันพจิ ารณาในวนั นี้ ถือวา เราไมไดบริโภคเพื่อ
เลน ไมไดบริโภคเพ่ือความเพลิดเพลินสนุกสนาน ไมไดบริโภคเพ่ือความมัวเมาเกิดกําลัง
พลังทางกาย ไมไดบริโภคเพื่อประดับ ไมไดบริโภคเพื่อตกแตง แตบริโภคเพื่อใหรางกายน้ี
ดาํ รงอยูได ใหอ ัตภาพเปน ไปได เพื่อไมใหรางกายลําบาก เพื่ออนุเคราะหพรหมจรรย ทําได
อยางนี้ยอ มระงับบรรเทาทุกขเวทนาเกาคือความหิวได และไมทําทุกขเวทนาใหมใหเกิดขึ้น
อนึ่ง ความเปนไปโดยสะดวกแหงอัตภาพรางกายน้ี ความเปนผูหาโทษไมได และความ
เปน อยูโดยผาสกุ ก็จะบงั เกิดมีแกเรา๒๕
การพิจารณายอนหลังแมผานการบริโภคบิณฑบาตไปแลวก็ตาม แตก็เปน
การกําจัดตัณหา คือ ความยินดีพอใจในบิณฑบาตนั้น เพื่อใหรูวาเราบริโภคบิณฑบาตนั้น
๒๔ พระบาลีเตม็ วา “ปฏสิ งฺขาโยนโิ ส ปณฺฑปาตํ ปฏิเสวามิ เนว ทวาย น มทาย น มณฺฑนาย
น วิภูสนาย, ยาวเทว อมสฺส กายสฺส ฐิติยา ยาปนาย วิหึ สุปรติยา พฺรหฺมจริยานุคหาย, อิติ ปุราณฺจ
เวทนํ ปฏิหงขฺ ามิ นวจฺ เวทนํ น อปุ ปฺ าเทสสฺ ามิ ยาตรา จ เม ภวิสฺสติ อนวชฺชตา จ ผาสุวิหาโร จาต”ิ
๒๕ พระบาลีเต็มวา “อชฺชมยา อปจฺจเวกฺขิตวา โย ปณฺฑปาโต ปริภุตฺโต โส เนว ทวาย น
มทาย น มณฺฑนาย น วิภูสนาย, ยาวเทว อมสฺส กายสฺส ฐิติยา ยาปนาย วิหึ สุปรติยา พฺรหฺมจริยานุค
หาย, อติ ิ ปรุ าณจฺ เวทนํ ปฏหิ งฺขามิ นวจฺ เวทนํ น อปุ ปฺ าเทสฺสามิ ยาตรา จ เม ภวิสฺสติ อนวชฺชตา จ
ผาสุวหิ าโร จาติ”
๗๘ บทที่ ๓ ขอถกเถียงและการตคี วามศีลในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
ตามความจําเปนของรา งกายเทา นน้ั มิไดเพ่อื ความสวยงามหรือเหตุผลอ่ืนท่ีเปนการสงเสริม
ใหเกดิ อปุ ทานความยึดม่ันแตอ ยางใด
๓. การพิจารณาเสนาสนะในปจ จยสันนิสสิตศีล
พระสมั มาสมั พทุ ธเจาไดทรงบัญญัติวิธีบริโภคที่ดี เพื่อความบริสุทธ์ิบริบูรณ
คือ ศีลท่ีเรียกวา ปจจัยสันนิสสิตศีล ปรือปจจเวกขณศีล คือ โดยการพิจารณาปจจัย ๔
โดยเฉพาะเสนาสนะควรมีการพิจารณาในกาลทั้ง ๓ คือ (๑) ในเวลารับ (๒) ในเวลาใชสอย
และ (๓) ในเวลาหลังจากใชแ ลว ดังน้ี
๑) การพจิ ารณาเสนาสนะในเวลารับ
มนุษยจําเปนตองบริโภคใชสอย แตการพิจารณาในเวลารับมาหรือกอน
บริโภคใชสอย จําเปนกวา พระพุทธองคตรัสยํ้าใหพิจารณากอนเพ่ือรูเทาทันโทษภัยและ
คํานึงถึงคุณคาของสิ่งบริโภคใชสอย กอนบริโภคใชสอยใหพิจารณาท้ังส่ิงบริโภคและตัว
ผูบริโภคเอง เพื่อใหรูวาแทที่จริงแลวทั้งส่ิงบริโภค และตัวผูบริโภค เมื่อพิจารณาอยาง
ละเอียดลึกซึ้งแลวก็เปนเพียงธาตุวางจากตัวตน ประกอบขึ้นดวยเงื่อนไขแหงธาตุปจจัย
เทานนั้ บรโิ ภคใชสอยแบบปลอยวาง ไมยึดมั่นถือมั่นทั้งในส่ิงที่บริโภคและตัวผูบริโภค เมื่อ
ผูบรโิ ภคมีตัวตน การใชส อยกม็ ุง จะเพอ่ื พอกพูนรกั ษาตัวตนดวยการบริโภคใชสอยอยางไมมี
สติสัมปชัญญะ ทําใหละเมิดคุณธรรมในตน ละเมิดจริยธรรมสังคมและทําลายสิ่งแวดลอม
ในท่ีสุด ถาเสพบริโภคใชสอยโดยปราศจากตัวตน ปลอยวาง ไมพอกพูนอัตตา บริโภคใช
สอยเพื่อคุณคาท่ีแทจริง คําวา “กอนบริโภคใชสอย” มีความหมายกวางท้ังขณะแสวงหา
ขณะรับและขณะเก็บรักษาไวเพื่อบริโภคใชสอย พระพุทธองคตรัสแนวทางปฏิบัติไวในบท
ธาตปุ ฏกิ ลู ปจจเวกขณะ พิจารณาโดยความเปนธาตใุ นเวลารับหรอื กอนบรโิ ภค ดังตอ ไปนี้
ส่งิ เหลา นี้เปน สักแตวาธาตุตามธรรมชาติเทาน้ัน กําลังเปนไปตามเหตุปจจัย
ตามปกติ ไมว า จะเปน เสนาสนะ และบุคคลผูใชสอยเสนาสนะก็เปนเพียงธาตุตามธรรมชาติ
เทาน้ัน มิใชสัตวอันยั่งยืน มิใชชีวะบุคคลที่อมตะ วางเปลาจากตัวตน ประกอบกับจีวร
เหลานี้เดิมไมไดนาเกลียด สกปรก เปอยยุย แตพอถูกใชสอยสวมใสกับกายอันเปอยเนา
สกปรก เหมน็ คาว จึงพลอยกลายเปนของนาเกลียดไปดวยกนั ๒๖
จากขอความในบทพิจารณาเสนาสนะ (ท่ีอยูอาศัย) สะทอนใหเห็นวา พระ
พุทธองคใ หพ จิ ารณาเสนาสนะและผูใชสอย โดยธรรมชาติหรือธาตุแทตางไรสาระเปนเพียง
ธาตุ ๔ ท้ังคู ปกติผุพัง โยกคลอน ไมมั่นคง คร้ันถูกมนุษยใชก็ยิ่งผุพังเส่ือมเร็วย่ิงขึ้น สมมติ
๒๖ พระบาลีเต็มวา “ยถาปจฺจยํ ปวตฺตมานํ ธาตุมตฺตเมเวตํ ยทิทํ เสนาสนํ, ตทุปภฺุชโก จ
ปุคฺคโลธาตมุ ตฺตโก นิสสตฺโต นิชชีโว สุญโญ, สพฺพานิ ปน อิมานิ เสนาสนานิ อชิคุจฺฉนียานิ อิมํ ปูติกายํ
ปตวฺ า อติวยิ ชิคจุ ฉฺ นียานิ ชายนตฺ ิ”
ศกึ ษาเฉพาะเรือ่ งในพัฒนาการแหงพระพุทธศาสนา ๗๙
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
วา เสนาสนะหรือบา นท่ีใชอยูไมไดใสใ จดแู ลรักษาเลย ปลอยใหร กรงุ รงั ท้ิงเศษขยะอาหารไม
เปนที่ยอมเนาเหม็น เชน สลัม ชุมชนแออัด หรือแมแตบานเศรษฐีก็ตาม ถาปราศจากการ
ดูแลก็ยอ มรกรา งในทส่ี ดุ แมจะดแู ลอยา งดีนานปไ ปยอ มผุพัง ทรดุ โทรม เสื่อมสลายไป น่ีคือ
สารตั ถะหรอื ธาตแุ ทจ ริงๆ ของสองสงิ่ คอื เสนาสนะและผูใชสอยอยูอาศัย
๒) การพจิ ารณาเสนาสนะในเวลาบริโภค
เม่ือภิกษุสามเณรแสวงหาและรับปจจัย ๔ มาเพื่อบริโภคใชสอยไดแลว
ขณะจะบริโภคใชส อยในแตละวนั พระพุทธองคตรัสใหพิจารณาส่ิงท่ีบริโภคใชสอยไปพรอม
กับการบริโภค เพื่อเตือนสติใหตระหนักรูถึงแหลงท่ีมา คุณคา เปาหมายหรือวัตถุประสงค
ของการบรโิ ภคใชส อยวา บรโิ ภคใชสอยเพ่อื อะไร ดังนี้
เราจะรอบคอบในการใชสอยเสนาสนะ เพียงเพ่ือบําบัดความรอน เพ่ือ
บาํ บดั สมั ผัสอันเกดิ จากเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตวเล่ือยคลานทั้งหลาย และเพ่ือบรรเทา
อนั ตรายอนั จะพงึ มจี ากดนิ ฟาอากาศ และเพื่อความเปน ผูอยูใ นทีห่ ลกี เรน สาํ หรบั ภาวนา๒๗
ขณะใชสอยเสนาสนะตา งๆ ควรตระหนักถึงคุณประโยชนที่แทจริงเพียงเพื่อ
ปองกันความหนาวรอน สัตวท่ีมีอันตรายตางๆ รวมท้ังสภาพดินฟาอากาศท่ีอาจเปน
อันตรายตอการประพฤติธรรม เพราะไมวาจะเปนที่พักอาศัย รวมทั้งเคร่ืองใชสอยตางๆ มี
ไวเพียงเพอื่ อาํ นวยความสะดวกแกการเจรญิ ภาวนาใหถึงจุดหมายคือการบรรลุธรรมในท่ีสุด
๓) การพจิ ารณาเสนาสนะในเวลาภายหลังบรโิ ภค
เม่ือบรรพชิตไดบริโภคใชสอยจีวรแลวในแตละวัน ถาลืมพิจารณาหรือพิจารณา
ไปแลวก็ตาม พระพุทธองคตรัสใหตระหนักยอนพิจารณาสิ่งบริโภคใชสอยอีกคร้ัง ทั้งนี้เพ่ือ
เตือนสติใหตระหนักตรวจสอบวา ตนไดบริโภคใชสอยใหเกิดประโยชนอยางแทจริงหรือไม
หลังจากบรโิ ภคจีวร หลงั จากการใชสอยใหพ จิ ารณาวา
“เสนาสนะใดอันเราใชสอยแลวไมทันพิจารณาในวันนี้ เสนาสนะน้ันเราใชสอย
แลวเพียงเพื่อบําบัดความหนาว เพ่ือบําบัดความรอน เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ
ยุง ลม แดดและสัตวเลื่อยคลานท้ังหลาย และเพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดิน
ฟา อากาศ และเพอื่ ความเปน ผยู ินดอี ยไู ดใ นท่หี ลีกเรน สําหรับภาวนา”๒๘
๒๗ พระบาลีเต็มวา “ปฏิสงฺขาโยนิโส เสนาสนํ ปฏิเสวามิ ยาวเทว สีตลฺส ปฏิฆาตาย,
อุณหฺ สฺส ปฏิฆาตาย ฑํสมกสวาตาตปสิรึ สปสมผสสฺ านํ ปฏิฆาตาย, ยาวเทว อุตุปริสฺสยวิโนทนํ ปฏิสลฺลา
นารามตถ”ํ
๒๘ พระบาลีเตม็ วา “อชฺชมยา อปจฺจเวกฺขิตวา ยํ เสนาสนํ ปฏเิ สวามิ ยาวเทว สีตลฺส ปฏิฆา
ตาย, อุณฺหสฺส ปฏิฆาตาย ฑํสมกสวาตาตปสิรึ สปสมผสฺสานํ ปฏิฆาตาย, ยาวเทว อุตุปริสฺสยวิโนทนํ
ปฏิสลลฺ านารามตถํ”
๘๐ บทที่ ๓ ขอถกเถยี งและการตีความศลี ในพระพุทธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
การพิจารณายอ นหลงั แมผ านการบริโภคใชสอยเสนาสนะไปแลวก็ตาม แตก็เปน
การกําจัดตัณหา คือ ความยินดีพอใจในเสนาสนะนั้น เพื่อใหรูวาเราใชสอยเสนาสนะน้ัน
ตามจําเปนเทานั้น มิไดเพ่ือความสุขสบายหรือเหตุผลอ่ืนที่เปนการสงเสริมใหเกิดอุปทาน
ความยดึ มัน่ แตอยา งใด
๔. การพิจารณาคิลานเภสัชในปจจยสนั นิสสติ ศีล
พระสมั มาสัมพทุ ธเจาไดทรงบัญญัติวิธีบริโภคท่ีดี เพ่ือความบริสุทธ์ิบริบูรณ
คือศีลที่เรียกวา ปจจยสันนิสสิตศีล หรือปจจเวกขณศีล คือ โดยเหตุท่ีเปาหมายสําคัญของ
การบวช คือ การหลีกออกจากกาม ดังนั้น เม่ือภิกษุสามารถปฏิบัติตนใหสมบูรณดวยอาชีว
ปาริสทุ ธิศีลแลว ก็จําเปนจะตองรูจักบริโภคคิลานเภสัชที่ไดมาอยางฉลาดอีกดวย ท้ังน้ีเพ่ือ
ยกตนใหพน จากการเปนทาสของกามไดอยางแทจริง พระสัมมาสัมพุทธเจาจึงตรัสสอนการ
บริโภคปจจัย ๔ หรือปจจัยสันนิสสิตศีลใหกับภิกษุ โดยใหพระภิกษุพิจารณาวัตถุประสงค
ในการบริโภคคิลานเภสัช ก็เพื่อระงับอาพาธหรือโรคตางๆ อันเปนบอเกิดแหงทุกขเวทนา
ดังน้ัน กอนท่พี ระภกิ ษจุ ะบริโภคจะตอ งพิจารณาอยางรอบคอบจนม่ันใจวา เมื่อบริโภคแลว
ทกุ ขเวทนาในตนจะถูกระงับอยา งแทจริง การพิจารณาปจจัย ๔ โดยเฉพาะคิลานเภสัชควร
มกี ารพิจารณาในกาลทง้ั ๓ คือ (๑) ในเวลารับ (๒) ในเวลาใชสอย และ (๓) ในเวลาหลังใช
แลว ดังน้ี
๑) การพิจารณาคิลานเภสชั ในเวลารบั
มนุษยจําเปนตองบริโภคใชสอยคิลานเภสัช แตการพิจารณาในเวลารับมา
หรือกอนบริโภคใชสอยจําเปนกวา พระพุทธองคตรัสยํ้าใหพิจารณากอนเพ่ือรูเทาทันโทษ
ภยั และคาํ นงึ ถึงคณุ คาของส่งิ บริโภคใชสอย กอนบริโภคใชส อยใหพ จิ ารณาทัง้ ส่ิงบริโภคและ
ตัวผูบริโภคเอง เพ่ือใหรูวาแทที่จริงแลวท้ังสิ่งบริโภค และตัวผูบริโภค เมื่อพิจารณาอยาง
ละเอียดลึกซึ้งแลวก็เปนเพียงธาตุวางจากตัวตน ประกอบข้ึนดวยเงื่อนไขแหงธาตุปจจัย
เทานั้น บริโภคใชสอยแบบปลอยวาง ไมยึดม่ันถือม่ันท้ังในสิ่งท่ีบริโภคและตัวผูบริโภค เมื่อ
ผูบริโภคมีตวั ตน การใชส อยกม็ งุ จะเพื่อพอกพนู รกั ษาตัวตนดว ยการบริโภคใชสอยอยางไมมี
สติสัมปชัญญะ ทําใหละเมิดคุณธรรมในตน ละเมิดจริยธรรมสังคมและทําลายสิ่งแวดลอม
ในที่สุด ถาเสพบริโภคใชสอยโดยปราศจากตัวตน ปลอยวาง ไมพอกพูนอัตตา บริโภคใช
สอยเพื่อคุณคาแท อยางไรก็ตามคําวา กอนบริโภคใชสอย มีความหมายกวางรวมถึงขณะ
แสวงหา ขณะรับ และขณะเก็บรักษาไวเพื่อบริโภคใชสอยดวย พระพุทธองคตรัสแนวทาง
ปฏิบัติไวในบท ธาตุปฏิกูลปจจเวกขณะ พิจารณาโดยความเปนธาตุในเวลารับหรือกอน
บริโภค ดงั ตอไปน้ี
ศึกษาเฉพาะเรอ่ื งในพฒั นาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๘๑
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
สงิ่ เหลาน้ีเปน สักแตว าธาตตุ ามธรรมชาติเทาน้ัน กําลังเปนไปตามเหตุปจจัย
ตามปกติ ไมวาจะเปนคิลานเภสัช และบุคคลผูบริโภคก็เปนเพียงธาตุตามธรรมชาติเทาน้ัน
มิใชสัตวอันย่ังยืน มิใชชีวะบุคคลท่ีอมตะ วางเปลาจากตัวตน ประกอบกับคิลานเภสัชเดิม
ไมไดนาเกลียดสกปรก แตพอบริโภคเขาไปในรางกายอันเปอยเนาอยูเปนนิจจึงพลอย
กลายเปน ของนาเกลยี ดไปดวยกนั ๒๙
ขอความในบทพิจารณาคิลานเภสัช (ยารักษาโรค) สะทอนใหเห็นวา พระ
พทุ ธองคใ หพ จิ ารณาส่งิ ท่ถี ูกบริโภคและผบู รโิ ภค โดยธาตุแทแลวตางไรสาระคือเพียงธาตุ ๔
ทั้งคู ปกติคิลานเภสัชก็เสื่อมสภาพไป คร้ันมาประกอบเขาดวยการบริโภคก็ยิ่งเส่ือมเร็วยิ่ง
กวา เดิม สมมตวิ า เปดยาท้งิ ไวน านเกบ็ ไวในที่รอนเกินไป ยาก็จะเสื่อมสภาพเร็วข้ึนประกอบ
กบั มนษุ ยป วยไขส ังขารทรดุ โทรม ซ่ึงแมไ มปว ยไขก็เนา เหมน็ อยูแลว ก็จะเกิดความสกปรกมี
กลิ่นเนาเหม็นเร็วข้ึน ไมวาคิลานเภสัชนั้นจะมีราคาแพงสักเพียงใด นํามาจากไหน และ
บุคคลบริโภคจะเปนใครก็ตาม สุดทายแลวก็เนา เสื่อมท้ังคู น่ีคือสารัตถะหรือธาตุแทจริงๆ
ของคิลานเภสัชและผบู รโิ ภค
การพิจารณาใหเห็นธาตุแทของสิ่งบริโภคใชสอยและผูบริโภคใชสอย
นอกจากจะมีวัตถุประสงคเพื่อเตือนสติผูบริโภคใชสอยใหมีสติสัมปชัญญะรูเทาทัน ไมปรุง
แตงเกินความเปนจริงวาส่ิงตางๆ เหลาน้ี เม่ือวาตามความเปนจริงแลวก็เปนเพียงธาตุ ๔
ประกอบเขากันเทานั้นและใหรูประมาณในการแสวงหา รับมา เก็บรักษา เพ่ือบริโภคใช
สอยมใิ หม ากจนเกินไปและนอ ยเกินไปมุง ใหเ กดิ ความพอดี จึงจะเปน ประโยชนอ ยา งแทจ ริง
๒) การพิจารณาคิลานเภสชั ในเวลาบริโภค
เม่ือภิกษุสามเณรแสวงหาและรับปจจัย ๔ มาเพ่ือบริโภคใชสอยไดแลว ขณะ
จะบริโภคใชส อยในแตละวัน พระพุทธองคตรัสใหพิจารณาส่ิงท่ีบริโภคใชสอยไปพรอมกับการ
บริโภค เพ่ือเตือนสติใหตระหนักรูถึงแหลงท่ีมา คุณคา เปาหมายหรือวัตถุประสงคของการ
บรโิ ภคใชส อยวา บรโิ ภคใชสอยเพ่ืออะไร ขณะใชสอยจวี ร ขณะใชส อยใหคิดเสมอวา
จะรอบคอบในการบรโิ ภคใชส อยคิลานเภสัช เพียงเพ่ือบําบัดทุกขเวทนาอัน
เกดิ ข้ึนแลว มอี าพาธตา งๆ เปน มูล เพ่อื ความเปน ผไู มม ีโรคเบียดเบยี น เปน อยา งหนง่ึ ๓๐
๒๙ พระบาลีเต็มวา “ยถาปจฺจยํ ปวตฺตมานํ ธาตุมตฺตเมเวตํ ยทิทํ คิลานเภสชฺชปริกขาโร,
ตทุปภุ ฺชโก จ ปคุ ฺคโลธาตุมตตฺ โก นิสสตโฺ ต นิชชโี ว สญุ โญ, สพฺโพ ปนายํ คลิ านเภสชฺชปริกขาโร อชิคุจฺ
ฉนียานิ อมิ ํ ปูตกิ ายํ ปตวฺ า อตวิ ยิ ชิคุจฺฉนยี านิ ชายติ”
๓๐ พระบาลีเตม็ วา “ปฏิสงฺขาโยนิโส คิลานปจจฺ ยเภสชฺชปรกิ ขารํ ปฏิเสวามิ ยาวเทว อุปฺปนฺ
นานํ เวยยาพาธกิ นํ ปฏิฆาตายอพฺยาปชฌฺ ปรมตายาติ”
๘๒ บทท่ี ๓ ขอถกเถียงและการตีความศีลในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
บทพิจารณาในขณะบริโภคใชสอยคิลานเภสัชรักษาโรคที่เบียดเบียนเทานั้น
เพื่อใหผูบริโภคมีสติปญญารูเทาทันไมบริโภคใชสอยดวยความหลุมหลงมัวเมา รูจัก
ประมาณในความพอดีไมมากเกินไปไมนอยเกินไป ระมัดระวังในการรับและบริโภคใชสอย
มุง ใหเกิดประโยชนอ ยา งแทจ ริง
๓) การพจิ ารณาคลิ านเภสัช ในเวลาภายหลงั บริโภค
เมื่อบรรพชิตไดบริโภคใชสอยคิลานเภสัชแลวในแตละวัน ถาลืมพิจารณา
หรอื พิจารณาไปแลวก็ตาม พระพุทธองคตรัสใหตระหนักยอนพิจารณาสิ่งบริโภคใชสอยอีก
ครั้ง ทั้งน้ีเพื่อเตือนสติใหตระหนักตรวจสอบวา ตนไดบริโภคใชสอยใหเกิดประโยชนอยาง
แทจริงหรอื ไมห ลงั จากบรโิ ภคคลิ านเภสชั หลังจากการใชส อยคลิ านเภสชั ใหพ ิจารณาวา
คิลานเภสัชใด อนั เราบริโภคใชสอยแลว ไมทันพิจารณาในวันน้ี คิลานเภสัช
น้ันเราใชสอยแลว เพียงเพ่ือบําบัดทุกขเวทนาอันเกิดขึ้นแลว มีอาพาธตางๆ เปนมูล เพ่ือ
ความเปน ผูไมม โี รคเบียดเบยี น เปนอยางยิง่ ๓๑
การพจิ ารณายอนหลังแมผานการบริโภคคิลานเภสัชไปแลวก็ตาม แตก็เปน
การกําจดั ตณั หา คือ ความยินดีพอใจในคิลานเภสชั น้ัน เพือ่ ใหรูวาเราบริโภคคิลานเภสัชนั้น
ตามความจาํ เปนแกการรักษาโรคภยั เทานัน้ มิไดเ พื่อความสวยงามหรือเหตุผลอ่ืนที่เปนการ
สงเสริมใหเกิดอุปทานความยึดม่ันแตอยางใด เพื่อใหผูบริโภคใชสอยมีสติสัมปชัญญะ
พิจารณายอนถึงสิ่งที่บริโภคใชสอยประจําวัน ที่ลืมพิจารณาหรือพิจารณาตอกยํ้าเพื่อให
ตระหนักรูถึงแหลงท่ีมา ความบริสุทธ์ิของการแสวงหาประมาณในความพอดี ในการรับมา
ระมัดระวังในการบริโภคใชสอยพอประมาณ ที่เหลือน้ันใหถือวาเปนสวนเกินที่จะตองสละ
หรือแบงปนแกผ น่ื มงุ ใหเกดิ ประโยชนสูงสดุ
จากบทพิจารณาการบริโภคใชสอยคิลานเภสัชท้ัง ๓ บท คือ บทพิจารณา
กอนบรโิ ภคใชสอยหรอื ขณะรับและแสวงหา (ธาตปุ จจเวกขณะ) บทพจิ ารณาขณะบริโภคใช
สอย (ตังขณิกปจจเวกขณะ) และบทพิจารณาหลังจากการบริโภคใชสอย (อตีตปจจเวก
ขณะ) ไดสะทอนใหเห็นวา พระพุทธองคไดทรงวางหลักการใหพุทธศาสนิกชนไดเตือนตน
ใหตระหนกั สํานกึ พจิ ารณาการบรโิ ภคใชส อยคิลานเภสัช เพอื่ กอ ใหเกดิ ประโยชนสูงสดุ
เรือ่ งของการบรโิ ภคคิลานเภสัชนี้ มีส่ิงที่ตองระมัดระวังอยางย่ิง โดยเฉพาะ
ในสภาพสังคมปจจุบัน ซ่ึงมีการใชยาที่เปนโทษแกรางกายกันอยางกวางขวาง โดยเฉพาะ
อยางยงิ่ ยาประเภทที่เรยี กกันวา “ยาเพ่มิ พลังหรือยาขยัน” และ “ยาอายุวัฒนะ” น้ัน ที่แท
๓๑ พระบาลีเต็มวา “อชฺชมยา อปจจฺ เวกฺขติ วา โย คิลานเภสชฺชปรกิ ขาโร, ปรภิ ุตโฺ ต, โส ยาว
เทว อปุ ปฺ นฺนานํ เวยยาพาธกิ านํ เวทนานํ ปฏิฆาตาย, อพฺยาปชฺฌปรมตายาต”ิ
ศึกษาเฉพาะเรื่องในพฒั นาการแหงพระพทุ ธศาสนา ๘๓
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
คอื ยาทก่ี อ ใหเกดิ ทกุ ขเวทนามใิ ชระงับทกุ ขเวทนา ฉะนน้ั กอ นจะบรโิ ภคจะตองพิจารณาให
ดีวา สิง่ นั้นเปนคิลานเภสัชทเ่ี หมาะกับตนหรอื ไม
ปจจัยสันนิสสิตศีลนี้ จึงมุงเนนใหพระภิกษุบริโภคใชสอยปจจัยสี่อยางถุ
กตองเหมาะสม โดยการใหภิกษุพิจารณาโดยแยบคาย ถึงวัตถุประสงคท่ีถูกตองของการ
บริโภคเสียกอ น แลว จงึ บรโิ ภคใชสอยปจ จยั นน้ั ๆ ซง่ึ จะเห็นไดวาปจจัยนิสสิตศีลน้ี พระภิกษุ
จะสามารถบาํ เพ็ญใหส าํ เร็จบรบิ รู ณไดกด็ ว ยปญ ญา
ดังน้ัน การบริโภคคิลานเภสัชหรือปจจัย ๔ เพ่ือสนับสนุนการบรรลุธรรม
หมายถึง พฤตกิ รรมในการกิน ใช เสพ บริโภค ตองพัฒนาใหเปนพฤติกรรมที่เกิดจากความ
เปนผูรูจักประมาณในการบริโภค หรือใชสอยแบบพอดี ที่เรียกวา มัตตัญุตา ตลอดจนใช
สอยส่ิงตางๆ อยางประหยัด ซึ่งทําใหไดประโยชนมากท่ีสุด แบบนี้เปนการบริโภคแบบมี
คุณคาแท โดยอาศัยขอวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจาทรงอนุญาตไว ไมมีการบังคับ แลวแตผูใด
จะสมัครใจปฏิบัติ เปนอุบายวิธีกําจัดขัดเกลากิเลสและการบริโภคปจจัย ๔ เพ่ือความ
บรสิ ทุ ธ์ิ ทาํ ใหเกิดความมักนอยสันโดษยิ่งขึ้น ไมสะสม เพ่ือใหเบาสบายไปมาไดสะดวกไมมี
ภาระมาก
๔. ปจจัยสันนิสิตศีล (ศีลท่ีเกี่ยวกับปจจัย ๔ ไดแก ปจจัยปจจเวกขณ คือ
พิจารณาใชสอยปจจัยสี่ ใหเปนไปตามความหมายและประโยชนของส่ิงน้ัน ไมบริโภคดวย
ตัณหา - pure conduct as regards the necessaries of life)๓๒ ปจจัยสันนิสิตศีล คือ
การพิจารณาปจ จยั ๔ อันไดแก อาหารที่อยูอาศัย เคร่ืองนุงหม และยารักษาโรค ใหเปนไป
ตามวัตถุประสงคของการใชท่ีแทจริงกอนที่จะบริโภค ซึ่งศีลนี้สําเร็จไดดวยปญญา เปน
คุณธรรมท่ีจะชวยประคับประคองชีวิตของบรรพชิตและคฤหัสถใหมีความหมดจดผองใส
และรมเย็นเปนสขุ ไดตลอดเวลา การปฏิบัติตามหลักปจจัยสันนิสสิตศีล สามารถนํามาปรับ
ใชเพื่อการพัฒนาชีวิตใหมีความสุขไดปาริสุทธิศีลท้ังส่ี. ปาติโมกขสังวร คือ ความสํารวมใน
พระปาติโมกข เวนขอท่ีพระพุทธเจาทรงหาม ทําตามขอที่ทรงอนุญาต ไมลวงละเมิด
สิกขาบทบญั ญัติ รวมทัง้ สกิ ขาบท ท่ีมานอกพระปาติโมกข อินทรียสังวร คือการรูจักระวัง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในเวลาท่ีไดเห็นรูป ฟงเสียง ดมกล่ิน ลิ้มรส ถูกตองโผฎฐัพพะ รู
ธรรมารมณดวยใจ ไมใหยินดีในสวนท่ีนาปรารถนา ไมใหยินรายในสวนที่ไมนา
ปรารถนา เรียกวา สํารวมอินทรีย อาชีวปาริสุทธิศีล แปลวา ศีลกลาวคือความสะอาด
หมดจดแหงอาชีวะ อาชีวะในท่ีนี้หมายถึงวิธีท่ีจะไดจจนุปจจัยมาบริโภคของภิกษุ สวนวิธี
บริโภคดวยดีอยางไรนั้น ทานจัดเปนศีลอีกขอหน่ึง เรียกวาปจจยสันนิสสิตศีล หรือปจจย
๓๒ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม,
(กรุงเทพมหานคร: สาํ นกั พิมพม หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๒), หนา ๑๒๑.
๘๔ บทที่ ๓ ขอถกเถียงและการตีความศีลในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
เวกขณศีล ปจ จยั สค่ี อื เคร่ืองนุงหม อาหาร ที่อยูรวมทั้งเครื่องใชสอยและยาแกโรค, เปนสิ่ง
ท่ภี ิกษุจะตองแสวงหาใหถ ูกตอ งตามบัญญัติ ซ่ึงสมควรแกส มณภาพ. เมื่อแสวงหาไมควร คือ
เปนการนอกรีตของสมณะไป แมจ ะถูกตองตามวิธีท่ีชาวโลกเขาแสวงกัน ก็ช่ือวาเสียอาชีวะ
เปนอาชีวะวิบัติ หรือไมมีอาชีวปาริสุทธิศีล. สวนที่แสวงหามาได แมโดยทางสมควร แต
บริโภคโดยวิธที ี่ไมสมควร ถงึ จะไมเ สียอาชวี ปารสิ ุทธศิ ีล กย็ ังขาดในสว นปจ จยเวกขณศลี ๓๓
การควบคมุ ตน ใหม สี ติระลึก เพียงเพ่ือยังอัตตภาพ ใหเปนไปในการบริโภค
ปจจัยนั้นๆ ไมบริโภคดวยตัณหา เรียกวา ปจจยสันนิสสิตสีล รวมเรียกวา ปาริสุทธิศีลส่ี
หรือ จตุปาริสุทธิศีล เรียก ภาวะแหง การกระทําจริงๆ ตามน้ีวา สีลสิกขา อันไดแก การ
บังคบั ตัวเองโดยตรง เปนเหมอื น ถากโกลน กลอมเกลา ในขน้ั ตน แตประสงคเฉพาะสวน ท่ี
เปน ไป ทางกาย และวาจา เทาน้นั ๓๔
การบริโภคปจจัย ๔ อันบริสุทธิ์ดวยการพิจารณา ที่พระศาสดาตรัสไวโดยนัยวา
"ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแลว สพจีวร วาเพียงเพื่อบําบัดความหนาว" ๒ ดังน้ีเปนตน นี้
ชือ่ วา ปจ จยสนั นสิ ิตศีล๓๕
ดงั นัน้ ความสาํ คัญปาริสทุ ธศิ ีล ผูประพฤตธิ รรม คอื ปารสิ ุทธศิ ลี ๔ นี้ ตามสมควร
แกภาวะของตนๆ เพ่ือขัดเกลาศีลใหบริสุทธิ์ เม่ือศีลบริสุทธิ์แลว ก็เปนเหตุใหจิตบริสุทธ์ิ
และปญญาบริสุทธิ์โดยลําดับจนกระท้ังเปนผูบริสุทธิ์จากกิเลสท้ังปวง เปนไปเพ่ือทําที่สุด
แหงทกุ ข คอื เพ่อื พนจากทกุ ขโ ดยส้นิ เชงิ
จึงเหน็ วาประเภทของศลี ในพุทธศาสนาไดมีการกําหนดข้ันตอนของแตละขึ้นเพื่อ
แยงการปฏิบัติใหชัดเจนน้ันเอง ดังที่กลาวมาแลวในขางตนวา ปาฏิโมกขสังวรศีล เปนการ
สํารวมในพระปาติโมกข เวนขอที่พระพุทธเจาทรงหาม ทําตามขอที่ทรงอนุญาต ไมลวง
ละเมิดสิกขาบทบัญญัติ ในสวนของศีล ๒๒๗ ขอเปนศีลหรือขอหามของภิกษุสงฆเถรวาท
ตามพระวนิ ยั บญั ญตั ิ อนิ ทรยี สังวร เปน การสํารวมในความเปน ใหญ, สภาวธรรมท่ีเปนใหญ
ในกจิ ของตน, สภาวธรรมท่ีเปนเจาของหนาที่อยางหนึ่งๆ เชน ตาเปนใหญหรือเปนเจาของ
หนาที่ในการเห็น หูเปนใหญหรือเปนเจาของหนาท่ีในการไดยิน จมูกเปนใหญหรือเปน
เจาหนาท่ีในการ ดม ล้ินเปนใหญหรือเปนเจาของหนาท่ีในการ ลิ้มรส โดยท่ัวไป อินทรีย
หมายถึง อินทรีย ๖ ปจจยสันนิสิตศีลเปนการสํารวมในการหาเล้ียงชีวิตในทางท่ีชอบ
๓๓ ม.ู ม. (ไทย) ๑๒/๔๖๔/ ๔๙๘.
๓๔ พุทธทาสภิกขุ, ชุมนุมเรื่องสั้นพุทธทาสภิกขุ, พิมพคร้ังท่ี ๔ (กรุงเทพมหานคร:
สํานักพมิ พสุขภาพใจ, ๒๕๓๘), หนา ๔๕.
๓๕ สุทธมิ รรค, มหามกุฏราชวทิ ยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ สิงหาคม ๒๕๐๘ ๑ ตอน ๑ -
หนา ๓๓.
ศึกษาเฉพาะเร่ืองในพัฒนาการแหงพระพทุ ธศาสนา ๘๕
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
(อาชีพสุจริต) และอาชีวปาริสุทธิศีลเปนการสํารวมในการใชสอยปจจัยใหเปนไปตาม
ประโยชนที่แทของส่ิงนั้น ไมบริโภคดวยตัณหา เชน ไมบริโภคดวยความอยากรับประทาน
ไมบริโภคดวยความอยากใชสอย และศีลในพระพุทธศาสนาแบงตามจํานวนของศีลได ๕
ประเภท คือ ศลี ๕ หรอื เบญจศลี เปนพื้นฐานของศีลทงั้ ปวง กาํ หนดเปน ศีลสําหรับฆราวาส
ศีล ๘ หรือศีลอุโบสถเปนศีลสําหรับฝกตน ใหรูจักใชชีวิตพัฒนาจิตใจ และปญญาใหดี
ยิ่งข้ึนไป ศีล ๑๐ สําหรับสามเณรสมาทานรักษาเพื่อเตรียมเปนภิกษุ ศีล ๒๒๗ เรียกวา
ปาฏิโมกขสังวรศีลเปนพุทธบัญญัติเพื่อสํารวมในพระปาฏิโมกข สําหรับบุรุษผูอุปสมบทใน
พระพทุ ธศาสนา ศลี ๓๑๑ เปนพทุ ธบญั ญัติ ในสว นของสตรที บ่ี วชเปน ภกิ ษุณี
นอกจากน้ีศีลในทางพระพุทธศาสนาไดแบงประเภทของศีล ไวมีอยูหลายชั้น
หลายระดับ จัดแบง ไดห ลายประเภท เพอื่ ใหเหมาะกับวถิ ชี วี ติ และสังคมปจจุบนั เชน
ศีล ๕ หรือเบญจศีล เปนศีลข้ันพื้นฐานของศีลท้ังปวง กลาวคือ ศีลทุกประเภท
ไมวาจะเปนศีลของอุบาสก อุบาสิกา พระภิกษุ สามเณร ตลอดจนศีลของพระภิกษุณี นั้น
ตองอยูบนพ้ืนฐานของศีล ๕ สําหรับศีล ๕ นี้กําหนดเปนศีลสําหรับฆราวาสผูครองเรือน
ทั่วไปท่ีควรรกั ษา มีช่อื เรยี กวา นจิ ศีล ศลี ที่ควรรักษาเปนนิจ ปกติศีล ศีลท่ีควรรักษาใหเปน
ปกติบา ง เรยี กวา มนสุ สธรรม หรือมนษุ ยธรรม คือ ธรรมของมนษุ ย หรอื ทําใหเปน มนุษย
ศีล ๘ (อัฐศีล) หรือศีลอุโบสถ เปนศีลที่มีพ้ืนฐานจากศีล ๕ โดยเนนการไมเสพ
กาม การรูจ กั รับประทานอาหารจาํ กดั เวลา การหัดลดละการหาความสุขจากสิ่งบันเทิง การ
งดใชเคร่ืองน่ัง เครื่องนอนฟูกหรูหรา เปนการฝกตนใหรูจักใชชีวิตท่ีเปนอิสระไดมากขึ้น
สามารถอยูดีมีสุขได โดยไมตองพึ่งพาวัตถุภายนอกมากเกินไป ศีล ๘ น้ี เปนเคร่ืองเสริม
โอกาสในการพัฒนาชีวิตทางดาน จิตใจ และปญญา เปนศีลสําหรับฝกตนใหดีย่ิงขึ้นไปกวา
คฤหัสถปกตทิ ั่วไป
ศีลยังแบงตามจุดหมายของการรักษาได ๒ ประเภทสําคัญ ไดแก โลกิยศีล
และโลกุตตระศีล จุดมุงหมายใหผูปฏิบัติยกระดับชีวิตใหพัฒนาดีข้ึน และการอยูอยางมี
ความสุขในโลก เรียกวา โลกยิ สุข (สขุ ในโลก) ศีลที่ผูปฏิบัติมุงถึงการปฏิบัติ เพ่ือดับกิเลสอา
สวะทั้งปวง ซ่ึงเรียกวา โลกุตตระศลี เปน ตน
๓.๒ ขอ ถกเถียงและการตคี วามศีลของนครโกสมั พี
ความหมายของการถกเถียงและการตีความศีลในพระพุทธศาสนาสามารถ
รวบรวมและวิเคราะหความหมายไดหลายนัยมีวาจะเปนการถกเถียงกันแงทิฏฐิ มานะอาจ
รวมไปถึงการทะเลาะ การแกงแยง การวิวาท กัน ซ่ึงอาจเปนจุดชวนในการแตกแยงเลยก็
เปนได ชุดของความหมายท่ีมีหลายนัยดังกลาวน้ัน จัดไดวาเปนขอถกเถียงในมิติของ
๘๖ บทที่ ๓ ขอถกเถียงและการตคี วามศีลในพระพุทธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
พระพุทธศาสนา และเม่ือนํามาเทียบเคียงกับขอถกเถียงท่ัวไป จะพบวาขอเถียงใน
ความหมายของพระพุทธศาสนามีนัยท่ีกวางขวางกวากัน เพราะวากรอบขอถกเถียงใน
พระพุทธศาสนานั้นกินความตั้งแตความถกเถียงภายในและภายนอกในทุกๆ มิติ กินความ
ในแงของธรรมและวินัย ขอถกเถียงที่ปรากฏขึ้นในพระพุทธศาสนามีวิธีการจัดการ คือ
อธิกรณ แปลวา ภารกิจที่พึงทําใหสงบใหเรียบรอยเหมาะสม อธิกรณ คือ เปนช่ือแหง
เรือ่ งท่ีเกิดขึน้ แลวจะตอ งจัดตองทําใหลลุ ว งไป มี ๔ ประการ คือ ๑. วิวาทาธิกรณ คือวิวาท
ไดแกการเถียงกันปรารภพระธรรมวินัยน้ี จะตองไดรับชี้ขาดวาถูกวาผิด หรือเรียกอีกอยาง
วาเปน การถกเถยี งกนั ดวยเร่อื งพระธรรมวินัย ๒. อนุวาทาธิกรณ คือ ความโจทกกลาวหา
กันดวยปรารภ พระธรรมวนิ ยั น้ีจะตองไดรับชี้ขาดวาถูกวาผิด หรือเรียกอีกอยางวาเปนการ
ถกเถียงกันดวยเรื่อง อาบัติ ๓. อาปตตาธิกรณ คือ กิริยาที่ตองอาบัติหรือถูกปรับอาบัติน้ี
จะตองทําคืน คือทําใหพนโทษหรือเรียกอีกอยางวาเปนการถกเถียงกันดวยเร่ืองการปรับ
อาบัติและวิธีการออกหรือพนจาก อาบัติ ๔. กิจจาธิกรณ คือกิจธุระท่ีสงฆจะพึงสามัคคี
รว มกนั ทํา เรียกวา สงั ฆกรรม เชนใหอปุ สมบท น้ีจะตอ งทาํ ใหสําเร็จ
กรณีขอขอถกเถียงเรื่องธรรมวินัยของ
ภกิ ษุพระสงฆว ัดโฆษิตาราม นครโกสัมพี
โดยภิกษุท้ังสองฝายคือ พระวินัยธร กับ
พระธรรมธร หรือเรียกวาพระธรรมกถึก
ซ่ึ ง ทั้ ง ส อ ง ฝ า ย ต า ง ก็ มี ลู ก ศิ ษ ย ม า ก
ดวยกันท้ังคู สาเหตุเกิดจากนํ้าชําระใน
เว็จกุฏี หรือน้ําใชในกุฏีของพระธรรม
กถึก พระธรรมกถึกนํานํ้าไปชําระแลว
เหลือท้ิงไวซ่ึงมีบัญญัติใหใชนํ้าและไมใหเหลือนํ้าทิ้งไวในภาชนะ ฝายพระวินัยธรเขาไปที
หลัง ไปพบนา้ํ ทเ่ี หลือนนั้ จงึ พดู วา ทา นเหลอื นาํ้ ทง้ิ ไวใ นภาชนะการทําอยางน้ันตองอาบัติทุก
กฎ พระธรรมกถึกกต็ อบวาทานไมรูวาการทําอยางน้ันเปนอาบัติเพราะเหตุท่ีกระทํานั้น แต
วาเม่ือเปนอาบัติทานก็จะแสดงอาบัติคืน พระวินัยธรก็บอกวาเม่ือไมจงใจก็ไมเปนไร แลวก็
แยกจากกนั
ฝายพระวินัยธรเมื่อกลับมาแลวก็มาแจงแกบรรดาลูกศิษยของตนวา พระธรรม
กถึกตองอาบัติแลวไมรูวาเปนอาบัติแลวฝายลูกศิษยก็นําความนั้นไปบอกแกลูกศิษยของ
ฝายพระธรรมกถึกวาปชฌายของพวกทานตองอาบัติแลวไมรูวาเปนอาบัติ เมื่อลูกศิษยพระ
ธรรมกถึกไดฟงดังน้ันก็นําเหตุน้ันกลับไปเลาใหพระธรรมกถึกฟง พระธรรมกถึกก็บอกวา
พระวินยั ธรบอกแกตนแลววาไมเปนอาบัติเพราะไมไดจงใจ แตเหตุไรพระวินัยธรจึงกลับมา
ศกึ ษาเฉพาะเรือ่ งในพัฒนาการแหง พระพุทธศาสนา ๘๗
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
พดู วา ตนเองเปนอาบัติ เทากบั พระวินยั ธรพูดมสุ าวาท พวกลูกศิษยพ ระวินัยธรไดฟงดังนั้นก็
นําเหตนุ น้ั ไปเลา สพู ระวินยั ธรฟง ท้ังสองฝายกเ็ กดิ การทมุ เถียงกนั จนแตกกันเปน สองฝาย
ฝายพระวินัยธรไดโอกาสจึงลง อุกเขปนียกรรม ลงโทษแกพระธรรมกถึกในเหตุ
เพราะไมเห็นเปนอาบัติ เพ่ือจะเอาชนะพระธรรมกถึก แตก็ทําไมสําเร็จตามความมุงหมาย
ฝายพวกลูกศิษยของพระธรรมกถึกกลับเห็นวาอาจารยของตนถูกลงอุกเขปนียกรรมโดย
ไมไดรับความเปน ธรรม ในขณะเดียวกันฝา ยพระวินัยธรก็ยืนยันวาพวกตนไดทํากรรมนั้นไป
โดยความชอบธรรม จึงเกิดการทะเลาะทุมเถียงกันวิวาทาธิกรณซอนขึ้นมาอีกดวยขอที่วา
“น้เี ปน วินยั นไี้ มใชว นิ ัย”
พระผมู ีพระภาคเจา ทรงทราบเหตุแลวไดเสด็จไปยังสํานักของพระวินัยธร ทรงช้ี
โทษของการทําอุกเขปนียกรรมงายๆ แกภิกษุเหลาน้ันและตรัสแนะใหพิจารณาดูกอนวา
ภิกษุท่ีถูกลงอุกเขปนียกรรมนั้นเปนเชนไร ถาเห็นวา ทานเปนพหูสูต มีคนเคารพมาก นับ
ถือมาก มีบริวารมาก ถูกลงอุกเขปนียกรรมแลว สงฆจักแตกแยกกันหรือราวรานกัน ใน
กรณเี ชนน้ีไมค วรลงอุกเขปนียกรรมแกภกิ ษุน้ัน โดยมุงเอาความสามคั คแี หง สงฆเ ปน ทตี่ งั้
จากนนั้ พระผูมพี ระภาคเจาไดเสด็จไปยังสํานักของพระธรรมกถึกและภิกษุผูเปน
ลูกศิษย ซ่ึงถูกพระวินัยธรลงอุกเขปนียกรรม ทรงชี้โทษของความเปนคนด้ือ ไมยอมรับผิด
พรอมกับตรสั แนะวา พระวินยั ธรน้นั เปน ผเู ชน ไร ถาเหน็ วาเปนพหูสูต ทรงธรรม ทรงวินัย ก็
คงไมม อี คติตอ พวกทา นเปนแน
แมวาพระองคจะทรงไกลเกลี่ยอยางนั้นแลว ก็ไมอาจทําใหท้ังสองฝายเขาใจ
ปรองดองกนั ได จึงทรงเบือ่ หนายและไดเ สดจ็ ไปประทบั อยูยัง ปารักขิตวัน เขตบานปาริเลย
กะ ทรงประทบั อยูสําราญพระอิริยาบถแลว กเ็ สดจ็ ออกจากทน่ี ้ัน ไปประทบั ณ กรุงสาวตั ถี
เม่ือพระบรมศาสดาเสด็จไปจากเมืองโกสัมพีแลว ชาวเมืองโกสัมพีไดพรอมกัน
ลงโทษพวกภิกษุท่ีทะเลาะกันจนเปนเหตุใหพระพุทธเจาเสด็จหนีไป ทําใหเส่ือมจาก
ประโยชนของพวกตน ไมทําการอุปถัมภบํารุงดวยขาวปลาอาหารทําใหพวกภิกษุนั้นอด
อยาก เม่ือภิกษุเหลานั้นถูกลงโทษจากชาวเมืองก็ทนไมไหว กลับไดสติข้ึนมา พอออก
พรรษาก็พากันไปสูกรุงสาวัตถีออนวอนพระอานนทใหพาไปเขาเฝาพระผูมีพระภาคเจา
พรอมดวยคณะพระภิกษุไดมากราบทูลอาราธนาพระผูมีพระภาคใหเสด็จกลับพระเชตวัน
มหาวิหารและทูลขอขมาพระผูมีพระภาคเจาและระงับอธิกรณนั้น พระธรรมกถึกและพระ
วินัยธร พรอมดวยเหลาศิษยก็ยินยอมขอขมาตอกันไมมีความเห็นแตกแยกกันเพราะไดรับ
โทษของความแตกแยกกันเปนบทเรียนแลว น่นั เอง
๘๘ บทท่ี ๓ ขอ ถกเถียงและการตีความศีลในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
จากกรณียงั กลาวมาน้ีจึงเห็นวาได ขอถกเถียงมักจะเจือปนไปดวยทิฏฐิ (ความเห็น)
หรือ “ลัทธิ” ทิฏฐิในบริบทนี้ไดแกทิฏฐิในแง “ลบ” ประกอบไปดวยสักกายทิฏฐิ ๒๐
มิจฉาทิฏฐิ ๑๐ อนั ตคาหกิ ทฏิ ฐมิ ีวตั ถุ ๑๐ จนถึงทิฏฐิ ๖๒๓๖ การท่ีมนุษยยึดม่ันถือม่ันในทิฏฐิ
(ทิฏุปาทาน) อยางใดอยางหน่ึงดังท่ีไดกลาวแลว จึงทําใหเกิดการทะเลาะวิวาทกันในกลุม
ของคนท่ีมีความเห็นแตกตางกันแตไมยอมรับ๓๗ความคิดเห็นของ คนอ่ืน เนื่องจากบุคคล
แตละคนมีจุดยืนของตัวเอง ดวยเหตุผลดังกลาว พระพุทธเจาทรงย้ําวา “ชนเหลาใดยัง
ถือทิฏฐิ๓๘ ชนเหลาน้ัน ยอมเที่ยวกระทบกระท่ังกันในโลก”๓๙ และ “สัตวท้ังหลายผูยึดถือ
ในทฏิ ฐิท้ังหลายวา ยอดเย่ียม ยอมทําทิฏฐิใดใหย่ิงใหญในโลกกลาวทิฏฐิอ่ืนทุกอยางนอกจาก
ทิฏฐิน้ันวาเลว เพราะฉะน้ัน สัตวเหลานั้นจึงไมลวงพนการวิวาทไปได”๔๐ ดังจะเห็นไดจาก
กรณขี องพราหมณท ี่ถอื ทิฏฐติ างกันวา สิ่งทั้งปวงเปนที่พอใจแกเรา สิ่งท้ังปวงไมเปนที่พอใจ
แกเรา บางสิ่งเปนท่ีพอใจแกเรา และบางส่ิงไมเปนที่พอใจแกเรา” จึงทุมเถียงกัน เมื่อทุม
เถียงกัน ทําลายกนั และเบียดเบยี นกนั ๔๑
เมื่อโดยรวมแลวจะเห็นวาขอเท็จจริงหรือขอมูลนี้ ถือไดวาเปนตัวแปรสําคัญที่
จะกอใหเกิดขอถกเถียง ซึ่งเหตุปจจัยหลักท่ีจะนํามาซึ่งขอถกเถียงเพราะวา การวิเคราะห
การตคี วาม การแปรผลขอมูล และการสื่อสารที่ผิดแผกแตกตางออกไปจากขอเท็จจริงท่ีคง
อยู หรือในทิศทางตรงกันขาม เราอาจจะเขาใจ ซ่ึงความเขาใจอาจจะเกิดจากการตีความ
วิเคราะห หรือไดรับความบอกเลา จากบุคคลที่นาเชือ่ ถือ แตเ มอื่ มีบางคนไดนําขอมูลที่เปน
ชัน้ ปฐมภูมมิ าชีแ้ จง เราอาจจะไมย อมรบั และมองวาขอมูลดังกลาวน้ันอาจจะไมใชขอมูลท่ี
แทจริงก็ได
อยางไรก็ตามขอมูลท่ีเปนช้ันปฐมภูมิถือวาเปนขอมูลท่ีสําคัญในการแปล
ความหมาย ในท่ีน้ีผูเขียนไดนํากรณีภิกษุโกสัมพีมาเปนการศึกษา จากการศึกษาแลวก็จะ
มองเห็นประเด็นหลกั ๆ ไดด ังน้ี
๓๖ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๗๔/๔๙๒-๔๙๔.
๓๗ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๑๕/๓๔๑: บาลีใชคําวา “ไมยอมรับธรรมของคนอื่นเลย” อธิบายวา
“ไมยอมรับ คือไมเหน็ ตามไมคลอ ยตาม ไมยินดีตามธรรม คอื ทฏิ ฐิ ปฏปิ ทา มรรค ของผอู ่นื
๓๘ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๘๒/๒๔๔-๒๔๕: ซ่ึงทฏิ ฐิตามนัยน้ีก็คือ “โลกเท่ยี ง... หรือหลงั จากตาย
ไปแลวตถาคตจะวาเกิดอีกก็ไมใช จะวาไมเกิดอีก ก็ไมใช” เปนตน เมื่อยืดถือจึงกระทบกระทั่งกัน ทํา
รายกนั ดว ยอํานาจแหงทฏิ ฐิ
๓๙ ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๘๒/๒๔๓.
๔๐ ข.ุ สุ. (ไทย) ๒๕/๘๐๓-๘๐๗/๖๙๔.
๔๑ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๐๒-๒๐๔/๒๓๙-๒๔๒.
ศึกษาเฉพาะเร่ืองในพฒั นาการแหงพระพุทธศาสนา ๘๙
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
ประเด็นที่เกิดข้ึนในกรณีโกสัมพีศึกษา พบวา แรกเร่ิมเดิมทีน้ัน พระวินัยธรได
บอกพระธรรมกถึกวา การที่พระธรรมกถึกเหลือนํ้าชําระเอาไวในกระบวยน้ันไมจัดวาเปน
อาบัติเพราะไมไดตั้งใจ ซงึ่ พระธรรมกถกึ ก็คลอยตามประเด็นดังกลาว แตเม่ือกาลเวลาผาน
ไป พระวนิ ัยธรกลบั นาํ เสนอขอมูลใหมว า สงิ่ ที่พระธรรมกถกึ ทาํ นั้น เปนการตองอาบัติทั้ง ๆ
ที่ไมร ู
ตัวแปรสําคัญท่ีใหเกิดสถานการณเชนนี้ก็เพราะพระวินัยธร และพระธรรมกถึก
เขาถึงขอมูลที่แตกตางกัน พระวินัยธรทราบวาพระพุทธเจาไดบัญญัติวินัยขอดังกลาว แต
พระธรรมกถึกไมทราบขอเท็จจรงิ ดังกลา ว การท่ที งั้ คูเขาถงึ ขอมูลทแ่ี ตกตางกันนั้น ไดทําให
ปฐมบทของการถกเถยี งไดเ กิดข้นึ นอกจากน้ัน ขอถกเถียงไดปะทุข้ึนมาอีกเมื่อพระวินัยธร
ไดแปรขอมูลอันเปนประเด็นสวนตัวของทั้งคูไปสูลูกศิษยของทาน การแปรขอมูลดังกลาว
จะไมเ กดิ ขอถกเถียงเลย หากเต็มไปดว ยขอ มลู ท่ีเต็มไปดวยขอเทจ็ จรงิ
ประเดน็ ความขัดแยงไดลุกลามข้นึ เม่ือพระธรรมกถึกมองวา ตนเองไมไดรับความ
เปนธรรมจากการนําเสนอขอมูลดังกลาว เพราะขอมูลดังกลาวไดทําใหเกิดภาพลบแก
ตนเอง ดังน้ัน การนําเสนอขอมูลของพระธรรมกถึกในช้ันน้ี แทนท่ีจะตอบคําถามใหแก
ขอมูลท่ีเกิดข้ึนแกลูกศิษยตามความเปนจริงเพียงเทาน้ัน แตสิ่งท่ีนําเสนอเพ่ิมเติมจาก
ขอมูลดังกลาวก็คือ “ทานพูดเท็จ” ประเมินคําพูดในลักษณะนี้พบวา เต็มไปดวยอารมณ
และความรูสึกท่ีวาตัวเอง “ถูกแฉ” หรือ “ถูกหักหลัง” สรุปก็คือ “เมื่อทานปรับอาบัติทุก
กฎผมได ทําไมผมจะปรับอาบัติปาจิตตียทานไมได” ซึ่งวิธีการน้ีเปนการเผชิญหนาใน
ลักษณะของการหนามยอกเอาหนามบง หรือตาตอตาฟนตอฟน อุณหภูมิของวิวาทะจึง
เพม่ิ ข้นึ อยางรวดเร็ว
นอกจารกรณีภิกษุโกสัมพีแลวมีอีกแลวกรณี เชน กรณีที่กอใหเกิดสังคายนาคร้ัง
ท่ี ๑ และครงั้ ท่ี ๒ จะพบขอ เท็จจรงิ เก่ยี วกบั ความขดั แยง ดา นขอมลู ดังนี้
กรณีการสังคายนาคร้ังที่ ๑ น้ัน เมื่อวิเคราะหจากพฤติกรรมของพระปุราณะ
พบวา ทานยึดมั่นและถือเอาตามท่ีตัวเองเคยไดยินไดฟงมาวาควรปฏิบัติตามสิกขาบท ๘
ประการท่ีพระพุทธเจาไดตรัสไวตลอดไป ในขณะท่ีพระมหากัสสปเถระ และคณะได
ช้ีใหเห็นวาขอเท็จจริงหรือขอมูลดังกลาวน้ัน พระพุทธองคทรงอนุญาตใหพระภิกษุปฏิบัติ
ไดเฉพาะในยุคขาวยากหมากแพงเทานั้น และถึงแมวาพระมหากัสสปเถระจะยกเหตุผล
อันใดมาชี้แจง แตพระปุราณะก็ไมยอมปฏิบัติตาม จะขอปฏิบัติตามมติของตนเองเทาน้ัน
ซ่งึ ประเดน็ ความขัดแยง ของพระเถระทัง้ สอง กลุมน้ี จึงเกิดข้ึนจากการยืนยันแหลงที่มาของ
ขอ มลู ทีแ่ ตกตางกัน
๙๐ บทท่ี ๓ ขอ ถกเถยี งและการตคี วามศลี ในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
กรณีการทําสังคายนาครั้งท่ี ๒ จะเห็นวา วัตถุ ๑๐ ประการท่ีพระภิกษุเมืองวัชชี
ไดนําเสนอน้ันสอดรับกับส่ิงท่ีพระพุทธเจาไดตรัสเองไวใน ๕ ประการหลักดวยกัน
ขอเท็จจริงหรือขอมูลดังกลาวนั้นเปนขอมูลท่ีแตกตางกันอยางสิ้นเชิงกับหลักการที่ปรากฏ
ในพระไตรปฎกตามท่ีพระสงฆกระแสหลักนํามากลาว และชี้ใหเห็นถึงความผิดปกติของ
กลมุ พระภกิ ษเุ มืองวชั ชี การท่ีฝายพระภิกษุเมืองวัชชีเขาถึงขอมูลที่ผิดพลาดดังกลาว ไดทํา
ใหเกิดการถกเถียงกันอยางรุนแรง กลายเปนความขัดแยงจนนําไปสูการสังคายนาครั้งที่ ๓
ประเด็นท่นี า สนใจอีกประเด็นหน่ึงกค็ ือ “พระอรหันตคิดตางกัน หรือมีมุมมองที่
แตกตางกันไดหรือไม” จากการศึกษาคนควาทําใหไดรับคําตอบวา “คิด หรือมีมุมมองที่
แตกตา งกันได” ส่ิงที่ ทําใหพ บคาํ ตอบในลักษณะน้ีก็เพราะคําวา “บัญญัติ” หรือ “ความ
จริงเชิงสมมติ” นั้นเปนกุญแจสําคัญท่ีนําเราไปสูคําตอบดังกลาวคําวา “บัญญัติ” หรือ
“ความจริงเชิงสมมติ” เปนส่ือกลางในการที่จะใชเปนสะพาน หรือเปนคูมือสําหรับเรียนรู
หรือเขาใจรวมกันระหวางมนุษยกับมนุษยดังที่พุทธทาสภิกขุใชคําวา “ภาษาคน” ฉะนั้น
เมื่อวิเคราะหในบริบทนี้ทําใหเกิดคําถามวา “เปนไปไดหรือไมวาผูท่ีเขาใจโลกแหงปรมัตถ
จะสามารถเขาใจโลกแหงสมมติไดท ง้ั หมด”
กลาวโดยสรุปแลวขอถกเถียงที่เกี่ยวกับความคิดเห็น จัดไดวาเปน “ธรรมดา”
หรือ “ธรรมชาติ” ของมนุษย ไมวาจะเปนมนุษยในระดับที่เปนปุถุชนหรือพระอรหันตก็
ตาม สาเหตทุ เ่ี ปนเชน นก้ี ็เพราะวามขี อจํากัดในการรับรูเรื่องราวตางๆ ในโลกน้ีแตกตางกัน
ดังน้ันการถกเถียงกันนั้นเปนเร่ืองธรรมดา คือ มันเปนธรรมชาติของส่ิงท้ังหลาย ท่ีแตละ
อยางมีความเปนไปของมัน เมื่อตางฝายก็ตางมุมมอง หรือมองคนละทางก็ยอมมีการ
ถกเถียงกนั เปน ธรรมดา
๓.๓ ขอถกเถียงและการตีความศีล ๑๕๐ ขอ
คัมภีรพระไตรปฎกเปนคูมือท่ีชวยใหพระภิกษุ สามเณรและญาติโยมเขาถึง
เนื้อหาสาระสําคัญของพระไตรปฎก การศึกษาพระไตรปฎก เปนการเกื้อกูลหรือสืบทอด
พระธรรมวินัยพรอมเปนการเผยแผพระพุทธศาสนาเปนอยางดี ไมวาจะอยางไรก็ตาม
พระไตรปฎกฉบับแปลจะเปน ไดแคคูมือศึกษาพระไตรปฎก เปนส่ือท่ีจะเขาถึงพระไตรปฎก
และเปนเคร่ืองมอื ใชพระไตรปฎก แตเหนือข้ึนไป ที่ศูนยรวมกลาง เราก็มีพระไตรปฎกบาลี
เปนหลักประกัน เปนมาตรฐาน เปนที่อางอิงสิ้นสุด เนื่องจากพระไตรปฎกฉบับบาลีเปน
มาตรฐานตัดสินในการแสดงหลักฐาน ถึงแมจะนําความท่ีเปนคําแปลจากพระไตรปฎก
ภาษาไทยมาแสดง แตเ มือ่ จะอางอิงที่มาควรอางพระไตรปฎกบาลี อยางนอยเพื่อใหผูศึกษา
จะไดสามารถยอนไปถึงแหลงขอมูลที่แทจริง ทั้งเปนที่สอบเทียบและเปนจุดโยงท่ีจะหา