ศึกษาเฉพาะเรือ่ งในพฒั นาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๙๑
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
ขอมูลความรูตอขยายออกไปพรอมทั้งผูศึกษาคนควาเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะผูรูบาลี เม่ือ
ตองการความชัดเจนแจมแจงมากกวาคําแปลที่อาจจะยังไมเปนท่ีพอใจ จะไดไปดูของตน
เดมิ ทจ่ี ะพจิ ารณาใหไ ดค วามกระจาง ตลอดจนตรวจสอบคาํ แปลนั้น ที่อาจผิดพลาด หรือไม
เพียงพอ อยางนอยจะไดชวยเปนหูเปนตา ในการแกไขปรับปรุงพระไตรปฎกฉบับ
แปลภาษาไทยน้นั ในระยะยาวตอไปดงั ในกรณีศกึ ษาดังนี้๔๒
กรณีศีล ๑๕๐ ขอ ท่ีเปนปญหาในการตีความในสังคมปจจุบัน ซึ่งมาในพระสูตร
พระองคต รัสไวในอังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาตรตอนหนงึ่ วา สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาค
ประทบั อยู ณ กูฏาคารศาลาปามหาวนั ใกลเ มืองเวสาลี คร้งั นนั้ ภกิ ษุวัชชบี ุตรรปู หน่ึงเขาไป
เฝาพระผมู พี ระภาคถึงทีป่ ระทบั ถวายบังคมพระผูม พี ระภาคแลว นั่ง ณ ท่ีควรสวนขางหนึ่ง
คร้ันแลว ทูลวา ขาแตพระองคผูเจริญ สิกขาบท ๑๕๐ ถวนน้ี ยอมมาสูอุเทศทุกก่ึงเดือน ขา
พระองคไมสามารถท่ีจะศึกษาในสิกขาบทน้ี พระเจาขา พระผูมีพระภาคตรัสถามวา ดูกร
ภิกษุ ก็ทานสามารถจะศึกษาในสิกขา ๓ คือ อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปญญา
สิกขา ๑ หรือ ฯ
ขาแตพ ระองคผเู จริญ ขา พระองคส ามารถจะศกึ ษาไดในสิกขา ๓ คือ อธิศีลสิกขา
๑ อธจิ ิตตสกิ ขา ๑ อธิปญญาสกิ ขา ๑ พระเจาขา ฯ
ดูกรภิกษุ เพราะฉะนั้นแล ทานจงศึกษาในสิกขา ๓ คือ อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิก
ขา ๑ อธิปญญาสิกขา ๑ เม่ือใดทานจักศึกษาอธิศีลสิกขาก็ดี จักศึกษาอธิจิตตสิกขาก็ดี จัก
ศึกษาอธิปญญาสิกขาก็ดี เม่ือน้ัน ทานศึกษาอธิศีลสิกขาอยูก็ดี ศึกษาอธิจิตตสิกขาอยูก็ดี
ศึกษาอธิปญญาสิกขาอยูก็ดี จักละราคะ โทสะ โมหะ เสียได เพราะละราคะ โทสะ โมหะ เสีย
ไดทานนั้นจักไมกระทํากรรมเปนอกุศล จักไมเสพกรรมที่เปนบาป คร้ันสมัยตอมาภิกษุนั้น
ศกึ ษาแลวทง้ั อธิศลี สิกขา ทั้งอธจิ ติ ตสิกขา ท้ังอธิปญญาสิกขา เม่ือภิกษุนั้นศึกษาอธิศีลสิกขาก็
ดี ศึกษาอธิจิตตสิกขาก็ดี ศึกษาอธิปญญาสิกขาก็ดี ละราคะโทสะ โมหะ ไดแลว เพราะละ
ราคะ โทสะ โมหะ เสียได เธอมิไดท าํ กรรมทเ่ี ปนอกุศล มิไดเสพกรรมท่ีเปนบาป ฯ๔๓
“สมัยหน่งึ พระผมู พี ระภาคประทับอยู ณ กูฏาคารศาลา ปามหาวัน ใกลเมืองเว
สาลี ครั้งนั้นแล ภิกษุวัชชีบุตรรูปหนึ่งเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม
พระผูมีพระภาคแลว น่ัง ณ ท่ีควรสวนขางหนึ่ง คร้ันแลวทูลวา ขาแตพระองคผูเจริญ
๔๒ พระพรหมคณุ าภรณ (ประยตุ ปยุตฺโต), รจู กั พระไตรปฎ กใหชัด ใหตรง, (กรุงเทพมหานคร:
ธรรมทาน, ๒๕๕๘), หนา ๓.
๔๓ องฺ.อ. (ไทย) ๒๐/๕๒๔/๒๖๑
๙๒ บทที่ ๓ ขอ ถกเถยี งและการตคี วามศลี ในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
สิกขาบท ๑๕๐ ถวนน้ี ยอมมาสูอุเทศ ทุกกึ่งเดือนขาพระองคไมสามารถท่ีจะศึกษาใน
สกิ ขาบทน้ี พระเจา ขา………”๔๔
สมัยหน่ึง พระผูมีพระภาคประทับอยู ณ กูฏาคารศาลา ปามหาวัน เขตกรุงเวสาลี
ครัง้ นั้น ภิกษุวชั ชบี ตุ รรูปหนงึ่ เขา ไปเฝา พระผูมพี ระภาคถงึ ที่ประทบั ถวายอภิวาทแลวนั่ง ณ
ที่สมควร ไดกราบทูลพระผูมีพระภาคดังน้ีวา ขาแตพระองคผูเจริญ สิกขาบท ๑๕๐ ถวนนี้
มาถึงวาระท่ีจะยกข้ึนแสดงเปน ขอ ๆ ตามลําดับทุกก่ึงเดือน ขาพระองคไมสามารถศึกษาใน
สิกขาบทน้ีได”๔๕
สมัยหน่ึง พระผูมีพระภาคเจา ประทับ ณ กูฏาคาร-ศาลา ในปามหาวัน ใกล
กรุงเวสาลี ครง้ั น้นั ภกิ ษุวัชชีบุตรรูปหน่ึงเขาไปเฝา ฯลฯ กราบทูลวา ขาแตพระองคผูเจริญ
สิกขาบทท่ีสําคัญ ๑๕๐ นี้ ยอมมาสูอุทเทส (คือสวดในทามกลางสงฆ) ทุกกึ่งเดือน
ขาพระพุทธเจาไมอ าจศึกษา (คอื ปฏบิ ตั ริ กั ษา) ในสกิ ขาบทมากน้ีไดพระเจา ขา ๔๖
ประเด็นมีอยูวาสิกขาบท ๑๕๐ ขอ ท่ีมาในสูอุเทศท่ีนี้เองท่ีกําลังเปนขอถกเถียง
กันในสังคมสงฆอยูปจจุบัน โดยพระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ไดยึดม่ันในความเห็น ดวย
การยกพระสูตรแปลไทย คือวัชชีปุตตสูตร และ เสขสูตรท่ี ๒ ที่แสดงคําวา สิกขาบท ๑๕๐
ถว น มาเปนขอ อา งองิ โดยกลา ววา ฉบบั แปลไทย จากฉบบั สยามรัฐน้ีเปนที่ยอมรับของมหา
เถรสมาคม โดยปฏเิ สธ การสวดปาฏโิ มกข ๒๒๗ ขอ และมักกลาวในทํานองวา “เลข ๒๒๗
ไมม ใี นพทุ ธวจนะ” ดงั ที่แสดงในบนั ทึกวดี ีโอการบรรยายธรรมตาง ๆ ของวัดนาปาพง๔๗ ซ่ึง
ความจริงแลว สิกขาบทปาฏิโมกข ๒๒๗ ขอน้ัน ไดแสดงไวเปนลําดับอยางละเอียดชัดเจน
ใน พระวินัยปฎก ๒ เลมแรก (มหาวิภังค) อยางดีแลว การสวดปาฏิโมกข ๒๒๗ ขอน้ัน
เปนพุทธวัจนะทุกขอทั้งน้ัน และมีตนบัญญัติในมหาวิภังคทุกขอ และเปนสังฆกรรมของ
คณะสงฆฝ า ยเถรวาทท่สี บื ทอดกันมาชา นานแลว และการสวดปาฏิโมกข ๒๒๗ ขอน้ัน เปน
สังฆกรรมท่ีคณะสงฆฝายเถรวาททั่วโลกมีความเห็นโดยพรอมเพรียงกัน ดวยความสามัคคี
รวมทงั้ ถูกการตรวจสอบมตสิ งฆก ารสังคยานาโดยความชอบแลวหลายครั้งและเปนปฏิปทา
ของครูบาอาจารยผูเคารพรักธรรมวินัยมาต้ังแตโบราณการแลว และเปนอริยประเพณีจาก
สมัยพระพุทธกาลจนถึงปจจุบัน ในความจริงแลว ถาจะยืนยันการปริยัติ จะตองมีการ
พิจารณาศึกษาอยางละเอียดถ่ีถวน พรอมท้ังมีการปรึกษากับนักปราชญผูที่มีความรูและ
๔๔ พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับหลวง ขอ ๕๒๔.
๔๕ จาก พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าฯ [๘๕].
๔๖ จาก พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหามกฏุ ฯ [๕๒๔].
๔๗ มูลนิธิศึกษาและเผยแพรพระพุทธศาสนา. [ออนไลน]. แหลงที่มา: http://www.
dhammahome.com/webboard/topic/26083. [๒๗ สงิ หาคม ๒๕๖๐].
ศึกษาเฉพาะเรอ่ื งในพัฒนาการแหงพระพุทธศาสนา ๙๓
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
เชี่ยวชาญท้ังหลาย อยางกวางขวาง ในพระบาลีไตรปฎกกอนจะดําเนินการไปตามความ
คิดเห็นของทานเอง ท้ังน้ีควรจะไดมีการเปรียบเทียบคําแปลกับพระไตรปฎก ฉบับอื่นๆ ท่ี
พิมพในประเทศไทยและตางประเทศ ที่ถือหลักพระไตรปฎกภาษาบาลีดวยเพราะวาการ
สวดปาฎโิ มกข ๒๒๗ ขอนนั้ เปนพุทธวจั นะทุกขอและเปนที่ไดรับการสังคายนายอมรับเปน
หลักสากลทั่วโลก ของฝายเถรวาท อาทิ ประเทศศรีลังกาและ พมา เปนตน ที่ไดถือปฏิบัติ
กนั มานานแลว
ในกรณีนี้ พระพุทธโฆสาจารย (ป.อ.ปยุตโต) ไดใหคํายามในการพิจารณาวา จุด
พิจารณา หรือคําท่ีเปนปญหาทานทานไดยกขึ้น คือ “สาธิกํ” ที่ไดอธิบายใหเห็นวาการวาง
คําแปลโดยทําการวางคํา.......... ไว ตรงน้ี หรือคําบาลีน้ี พระไตรปฎกฉบับภาษาไทย (คือ
ฉบับที่แปลเปนภาษาไทย) ซ่ึงปจจุบันมีประมาณ ๔ ฉบับ/ชุด แปลเหมือนกันบาง ตางกัน
บาง พระไตรปฎกฉบับภาษาไทย ท่ีครบชุด และเกาที่สุด คือ ฉบับที่กรมการศาสนารักษา
สบื มา เรมิ่ จากทรี่ ฐั บาลไดอ ุปถัมภคณะสงฆจัดพิมพข้ึนเปนพระไตรปฎกภาษาไทย อนุสรณ
งานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ (พ.ศ.๒๕๐๐) ถือวาเปนฉบับหลวง หรือเปนทางการ แตจะ
เรียกวาอยางไร ก็ไมเปนฉบับสยามรัฐ พระไตรปฎกภาษาไทย ที่สืบมาแต พ.ศ.๒๕๐๐ (คํา
แปลสะสมกันมานาน) ชุดดังกลาวน้ัน แปลบาลีอันเปนพุทธพจนตรงน้ีวา “สิกขาบท ๑๕๐
ถว นนี้”
สวนพระไตรปฎกภาษาไทย
ฉบับอื่นๆ ซึ่งเกิดตามมา
ภายหลังและตามปกติ มัก
แ ป ล ต า ม พ ร ะ ไ ต ร ป ฎ ก
ภาษาไทยฉบับหลวงน้ัน ใน
กรณีน้ีบางฉบับก็แปลเหมือน
ฉ บั บ ห ล ว ง แ ต บ า ง ฉ บั บ
แปลวา “สิกขาบท ที่สําคัญ
๑๕๐ นี้” บางฉบับน้ัน ในท่ีท่ี
นําบาลีพทุ ธวจนะนีไ้ ปอา งอีกแหงหนึ่งแปลวา “๑๕๐ สกิ ขาบท ทีส่ าํ เร็จประโยชน นี”้
๙๔ บทที่ ๓ ขอ ถกเถยี งและการตคี วามศลี ในพระพุทธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
คําวา “สาธิกํ” น้ี เปนคําบาลีในภาษาสามัญคําหนึ่งโดยท่ัวไป ในคัมภีรท้ังหลาย
จงึ ไมค อ ยอธบิ าย แตก ็จะเห็นวา คํา “สาธิกํ” น้ีมีความหมายตรงกับ เทากับ หรือในจําพวก
เดียวกับ “สาตเิ รก” (มสี ว นเกิน) “ปโร” (กวา) “อุตฺตรึ” (เพิ่มขึ้นไป) บางทีมาดวยกันดังเปน
ชุด บางทีก็ใชอ ธบิ ายกัน๔๘
“สาธกิ ํ” คือ “สห+อธกิ ” แปลวา พรอมดวยสวนที่เกิน มีขอที่มากขึ้นไป หรือมีเศษ
บาลีพุทธวจนะตรงนี้จึงแปลวา “สิกขาบท ๑๕๐ กับท้ังท่ีเกินออกไป น้ี” หรือแปลส้ันๆ วา
“สิกขาบท ๑๕๐ มีเศษ นี้” อรรถกถาถึงจะไมอธิบายศัพท “สาธิกํ” ก็อธิบายความตอไปวา๔๙
“ท่ีตรัสไวดังนี้ ทรงหมายถึงสิกขาบทท่ีไดทรงบัญญัติแลว ในเวลา (ที่พระวัชชีบุตรทูลถาม)
นั้น” แลวฎีกายังบอกตอไปอีกวา พุทธพจนน้ี ตรัสตามจํานวนสิกขาบทท่ีไดทรงบัญญัติแลว
ในเวลาท่ีทรงแสดงพระสตู รนั้น แตห ลังจากนนั้ มีสิกขาบท ๒๐๐ มเี ศษ สาธิกานิ ทฺเวสตานิ๕๐
ทานยังไดอธิบายศัพทท่ีปรากฏในอรรถกถาฎีกา วามีตัวคําศัพทในบาลีพุทธ
วจนะน้ันชัดเจนอยูแลว ทานยังใหแงคิดวาบางที่พระไตรปฎกภาษาไทยแปลบาลีพุทธพจน
ตรงน้ีพลาด หรือพลง้ั เผลอไป เรอื่ งความผิดพลาดอยางนี้ ไมค วรจะดวนตเิ ตียนทาน ในกรณี
น้ที านไดอ ธิบายเพิ่มเติม มีขอสังเกตไวทีหนึ่งกอน ที่วา “สาธิกํ” เปนคําบาลีในภาษาสามัญ
นั้น มีอีกคําหนึ่งที่ก็สามัญดวย และใชบอยกวา มากกวา “สาธิกํ” ดวย เปนคําที่ควรพูดถึง
เพราะมีรูปรางคลายกัน คือคําวา “สุทฺธิกํ” “สุทฺธิกํ” แปลวา ลวน มีใชบอย ท่ีคุน เชนใน
“สุทธฺ กิ ปาจิตฺติยํ” ซ่ึงบางท่ีแยกเปน Wสุทฺธิกํ ปาจิตฺติยํ” (ปาจิตตียลวน ไมมีของที่ตองสละ)
ลวน กับ ถวน ไมเหมือนกัน ก็จริง แตความเผลอๆ เพลินๆ บางทีก็มีได บางทีทานอาจจะ
นกึ ถึง “สทุ ธฺ ิกํ” ในขณะท่ี “สาธกิ ํ” ผานเขามา ก็เลยพลั้งไป แตไมวาจะอยางไร ก็เปนอันวา
พลาดไป ซึ่งบอกแลววา มเี หตผุ ลทีค่ วรเขา ใจเหน็ ใจดังนี้
เอกํ สมยํ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฏาคารสาลายํ ฯ อถโข อฺญตโร วชฺชิ
ปุตตฺ โก ภกิ ขฺ ุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ เอ
กมนฺตํ นิสินฺโน โข โส วชฺชิปุตฺตโก ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ สาธิกมิทํ ภนฺเต ทิยฑฺฒสิกฺ
ขาปทสตํ อนฺวฑฒฺ มาสํ อุทฺเทสํ อาคจฺฉติ นาหํ ภนฺเต เอตถฺ สกฺโกมิ ๑ สกิ ขฺ ติ ุนฺติ ฯ๕๑
พระไตรปฎกภาษาอังกฤษ ตอนหนึ่งวา Thus I have heard: On a certain
occasion the Exalted One was staying near Vesali in Great Grove, at the House
with the Peaked Gable. Now a certain monk who was of the Vajjian clan came
๔๘ พระพรหมคุณาภรณ (ประยตุ ปยุตฺโต). รูจ กั พระไตรปฎ กใหชดั ใหตรง, หนา ๔.
๔๙ อง.ฺ อ. (บาล)ี ๒/๒๓๙.
๕๐ ม.ฏี. (บาลี) ๒/๓๐๐.
๕๑ พระไตรปฎกภาษาบาลี ฉบบั สยามรัฐ ๒๐/๒๙๖/๕๒๔.
ศกึ ษาเฉพาะเร่ืองในพฒั นาการแหงพระพทุ ธศาสนา ๙๕
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
to see the Exalted One . . . As he sat at one side that monk said this to the
Exalted One: ‘Lord, the recital I have to make twice a month amounts to
more than a hundred and fifty rules. Lord, I can ‘t stand such a training !’๕๒
นอกจากน้ันทานพระพุทธโฆสาจารยยังไดอธิบายศัพทเพ่ิมเติมอีกวา “สาธิกํ” นี้
แยกศพั ทเ ปน “สห + อธิก” จึงแปลวา พรอมดวยสวนเกิน หรือ มีเศษ โดยทั่วไปสังเกตไดงาย
วา จะมีคําจําพวกสังขยา คือจํานวนเลขตามมาในพระไตรปฎก ท่ีอื่นก็มี เชน ในพุทธพจนวา
“สาธิกนวุติ อานนฺท ญาติเก อุปาสกา กาลกตา...” (ดูกรอานนท อุบาสกทั้งหลายในหมูบาน
ญาติกะ เกินกวา ๙๐ คน ถึงแกกรรมแลว๕๓ อรรถกถาคงประสงคใหชัดยิ่งขึ้น ยังอธิบายคํานี้
ดวยวา “สาธิกนวุตีติ อติเรกนวุติ”๕๔ ขอยกตัวอยางจากพระไตรปฎกมาดูอีกแหงหนึ่ง เปน
ความในคาถาวา “...สาธิกวีสติ โยชนานิ อาภา รตฺติมฺป จ ยถา ทิวํ กโรติ” (มีรัศมีแผไปเกิน
กวา ๒๐ โยชน และทําแมกลางคืน ใหเปนดุจกลางวัน๕๕ สวนในอรรถกถา ยอมมีมากเปน
ธรรมดา เชน “สาธิกานิ ตีณิ อฏฐิสตานิ” (กระดูกเกินกวา ๓๐๐ ทอน) ๕๖ หรือ อยางในคําวา
“สาธิกานิ ปฺญาสวสฺสานิ” (๕๐ ป มีเศษ หรือ เกินกวา ๕๐ ป)๕๗ เปนอันวา ตามหลักภาษา
หลกั ฐาน และตัวอยางการใช “สาธกิ ํ” ลว นแปลวา “เกิน” ทง้ั นั้น
สวนท่ีแปลวา “ที่สําเร็จประโยชน” นั้น คงเกิดจากความสับสนเล็กนอย คือ ใน
กรณีที่จะแปลอยางน้ัน ท่ีจริง เปน “สาธิกา” คือ เปนรูปอิตถีลิงคของ “สาธก” ซ่ึงแปลวา
“ใหสําเร็จ” ในความหมายอยางน้ี จะไมมากับสังขยา คือไมมีจํานวนเลขตามหลัง แตจะมี
คําจําพวก “อตฺถ” (ประโยชน) หรือ “กิจฺจ” (กิจ, หนาที่) นําหนา เชน “สทตฺถสฺส สา
ธิกาติ”๕๘ (... ใหสําเร็จประโยชนของตน) และ “สา....สํ วิทหนปจฺจุปฏฐานา สกิจฺจปรกิจฺจ
สาธกิ า เชฏฐสสิ สฺ มหาวฑฺฒกีอาทโยวิย” (เจตนานั้น ... มีการจัดแจงเปนปจจุปฏฐาน คือยัง
กิจของตนและกิจของผูอ่ืนใหสําเร็จ ดุจหัวหนาศิษย และชางไมใหญ เปนตน)๕๙ เปนอันสรุป
๕๒ Bloggang.com, ปญหาเรื่องการสวดปาฏิโมกขเพียง ๑๕๐ ขอ กรณี วัดหนองปาพง,
จาก พระไตรปฎกภาษาอังกฤษ ฉบับแปลโดย E. M. Hare-Pali Text Society),
[ออนไลน]. แหลงที่มา: https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=thepathofpurity &month=
02-09-2011& group=7&gblog=4 [๒๓ มกราคม ๒๕๖๐].
๕๓ ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๑๔๗๘/๔๕๐
๕๔ สํ.อ. (ไทย) ๓/๓๖๓
๕๕ ขุ.ว.ิ (ไทย) ๒๖/๕๓/๙๔)
๕๖ ขทุ ทฺ ก.อ. (ไทย) ๓๗; ฯลฯ
๕๗ จริยา.อ. (ไทย) ๒๘๐
๕๘ เถรี.อ. (ไทย) ๖๒.
๕๙ วสิ ุทฺธิ. (ไทย) ๓/๓๗.
๙๖ บทที่ ๓ ขอ ถกเถยี งและการตีความศลี ในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
คําแปลวา “ท่ีสําเร็จประโยชน” น้ัน ไมเขาหลักและไมเขากับความที่น่ี คือที่นี่ “สาธิก” มา
จาก “สห + อธิก” ไมใช “สาธิกา” ที่เปนรูปอิตถีลิงคของ “สาธก” สวนคําแปลวา “ที่
สําคัญ” ก็คือมาชวยยืนยันวา ทั้ง ๓ คําแปล วา “ถวน” วา “ที่สําเร็จประโยชน” และวา “ท่ี
สําคญั ” นั้น ควรแกไ ขไปพรอมดว ยกัน
ขอพึงพิจารณาอยางหน่ึงท่ีเหลือไว ก็คือ อยางที่บอกแลว ขางตน ขอความน้ี ท้ังที่
เปนพุทธพจนเดียวกัน คําบาลีตรงกันทุกตัวอักษร แตไปอางอยูในที่ตางกัน พอเจอใน
พระไตรปฎกแปลภาษาไทย มีขอความแปลแปลกออกไปไมเหมือนกัน (คอนขางจะตางกัน
ไกล) ถาไมไดตรวจสอบหลักฐานกับพระไตรปฎกบาลี หรือไมมีความรูบาลีท่ีจะตรวจสอบ ก็
อาจจะเขาใจไปวาเปนพุทธพจนตางหาก ตางเร่ืองกัน ความเขาใจผิด หรือไขวเขว ก็อาจจะ
เกิดขน้ึ
เปนอันยุติในเรื่องนี้วา เมื่อเกิดปญหา ก็มีคําบาลีในพระไตรปฎกตัวจริง เปนหลัก
ยืนยันไวใหตรวจสอบไดทันที คือ “สาธกมิทํ ภนฺเต ทิยฑฺฒสิกฺขาปทสตํ” และเม่ือท้ังสํารวจ
และตรวจสอบแลว ก็เปนอันวาพึงแปลพระบาลีประโยคนี้วา “สิกขาบท ๑๕๐ ทั้งยังมีเกินขึ้น
ไปอกี น้ี”
จึงเห็นไดวากรณีขอถกเถียงหรือขอวิจารณสิกขาบท ๑๕๐ นี้ เปนกรณีท่ีใหพุทธ
ศาสนิกควรพิจารณากอนทําการวิจารณ ศึกษาใหเขาใจแลวจึงทําการวิจารณ ซ่ึงเห็นไดจาก
การถกเถียงในคราวนี้แลววา ตามปกติ พระไตรปฎกแปลน้ัน ทานผูแปลโดยปกติก็พยายาม
แปลอยางดีแลว เม่ือเราจะยกพุทธพจนมาอาง เพ่ือใหสะดวกก็ไมไปเสียเวลาแปลเอง ก็ยกที่
ทานแปลไวแลวมาใชไดเลย แตถามีอะไรสะดุด หรือเฉลียวใจ ก็ตรวจสอบกับพระไตรปฎก
บาลีท่ีเปนตนทาง ถาพบอะไรผิดพลาดหรือนาจะใหชัดใหเหมาะย่ิงข้ึน ก็คนเจาะจริงจังตรง
น้ัน และปรับแกเฉพาะที่ๆ จนเสร็จไปตามปกติ การท่ีจะมีขอสะดุดหรือเฉลียวใจใหตรวจสอบ
นน้ั กเ็ พง ไปทถ่ี อยคําเนื้อความท่ีเปนสาระหรือเปนประเด็นของเรื่อง
เม่ือมีเร่ืองใหพิจารณากัน ก็ตรวจสอบ และเม่ือพบคําแปลที่พลาดก็ควรแกคําแปล
ใหตรงอยางกรณี “สิกขาบท ๑๕๐ ถว นน้ี” เปลี่ยนเปน “สกิ ขาบท ๑๕๐ พรอ มทง้ั ท่เี กนิ นี”้
๓.๔ การตีความศีล ศีล ๕
ศีลธรรมก็เหมือนสถาปตยกรรมตางๆ ซ่ึงมีทั้งสวนท่ีเปนโครงสราง สวนท่ีเปนสิ่ง
ตกแตง เหมือนอาคารซ่ึงมีโครงสรางกับสิ่งตกแตงใหมันนาอยูมากข้ึน สวยงามมากข้ึน มี
ประโยชนม ากข้นึ สิ่งทเ่ี ปนหลักคําสอนทางพระพุทธมักจะมีโครงสรางแตละเร่ืองมีแตกตาง
กัน สวนตกแตงแตกตางกัน ถาสวนโครงสรางไมดีมันก็พังไดงาย เม่ือไรก็ตามถาโครงสราง
พังแลวเราจะพยายามตกแตงอยางไร มันก็ไมมีอะไรใหตกแตงถึงแมตกแตงไดอาจไมดีเทา
ศกึ ษาเฉพาะเรื่องในพัฒนาการแหงพระพทุ ธศาสนา ๙๗
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
ของเดิมก็ได การฟน ฟศู ลี ธรรมในสังคมไทย พ.ประเวศ ไดแสดงทัศนะวา จึงไมใชการมุงทํา
ใหแ ตละคนเปนดแี ลวสงั คมท้ังหมดจะดีข้ึนเอง หากแตอยูที่วาทําอยางไรจึงจะใหโครงสราง
ของสังคมเขมแข็งจนสามารถเปนภูมิคุมกันทางสังคมได บนรากฐานของโครงสรางสังคมท่ี
เขมแขง็ น้เี องจึงจะสามารถปลูกฝงศีลธรรมไดงาย และบางครั้งศีลธรรมก็สามารถเกิดข้ึนได
เองโดยอาศัยโครงสรางทางสงั คมเปน ตัวหลอหลอมในรปู แบบของวัฒนธรรมหรอื วิถชี ีวิต๖๐
การภูมิคุมกันในท่ีนี้ไมไดหมายเอาเพียงภูมิคุมกันเพียงความอบอุนทางจิตใจ
เทาน้ัน แตสามารถสรา งภมู คิ ุม กนั รวมไปถงึ การชว ยเหลอื กันทางเศรษฐกิจ เปนความอบอุน
อันพึ่งพิงกันได ตรงสามารถเรียกตรงนี้วาเปน “ภูมิคุมกันทางสังคม” เม่ือครอบครัวแตก
ชุมชนแตก สังคมหมดภูมิคุมกัน หลังจากนั้นเปนโรคอะไรเขามาก็ระบาดรุนแรงเกิด “โรค
ของวกิ ฤตการณท างสงั คม”
ดวยเหตุนี้ศีล ๕ จึงเปนอีกทางหนึ่งที่จะเปนรากฐานของสันติในสังคม สามารถ
ทําไดดวยการนําไปเปนรากฐานในการสรางสันติควบคูไปกับการปรับโครงสรางสังคม
แนวราบ ไดแก การนําไปสูวัฒนธรรมแบบเมตตากรุณาและวัฒนธรรมแบบสันติวิธี สวน
โครงสรางในแนวด่ิง ไดแก รากฐานทางสังคมในรูปของปรามิด โดยนําไปจัดโครงสรางทาง
การเมอื ง เศรษฐกจิ สงั คม กระบวนการยตุ ิธรรม และการศึกษา เพ่ือใหเอ้ือตอการสงเสริม
โครงสรางสังคมระดับจุลภาคจนถึงระดับมหัพภาค ซ่ึงเปนการเช่ือมโครงสรางและสถาบัน
สังคมใหยึดโยงอยูกับศีล ๕ อันเปนพื้นฐานของแนวทางสันติวิธี สวนอีกรูปแบบหนึ่งคือ
รากฐานของสันติเชงิ คุณคา ซง่ึ เปนมโนธรรมสํานึกท่ีทําใหเกิดความตระหนักถึงมนุษยธรรม
และสทิ ธมิ นุษยชนสากล ทัง้ ความเสมอภาค ความยุติธรรม ภราดรภาพ สัมพันธภาพ ดุลย
ภาพและเคารพศกั ด์ิศรคี วามเปน มนษุ ย ซง่ึ จะทาํ ใหสังคมเปนแบบสวัสดิการท่ีทุกคนมีสิทธิ
เทาเทียมกัน มีความตระหนักถึงคุณคาของชีวิต และการไมใชความรุนแรงทุกกรณี ทําให
ชวี ิตปราศจากภัยคุกคาม รวมไปถึงการชวยเหลือเกื้อกูลผูท่ีไดรับความทุกขยากลําบาก ทํา
ใหมีสวัสดิภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสิน ซึ่งจะทําใหเกิด
สนั ตภิ าพเชงิ บวก
ข ณ ะ เ ดี ย ว กั น ก็ ยั ง เ ป น
แ น ว ท า ง แ ก ป ญ ห า
รากเหงาของความขัดแยง
แ ล ะ ค ว า ม รุ น แ ร ง ใ น รู ป
ของตัณหา มานะ ทิฏฐิ
๖๐ ศ.น.พ. ประเวศ วสี, ธรรมิกสังคม, (กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพมูลนิธิโกมลคีมทอง,
๒๕๔๒), หนา ๔๓.
๙๘ บทท่ี ๓ ขอถกเถียงและการตีความศีลในพระพุทธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
และ อกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ โมหะ ซ่ึงศีล ๕ จะเปนตัวสกัดก้ันและทําลายรากเหงาของ
ความขัดแยง และความรุนแรง โดยรากฐานเชิงโครงสรางจะเขาไปจัดโครงสรางสังคมไมให
เออื้ ตอการใชความรุนแรง ในขณะท่ีรากฐานเชิงคุณคาจะปลุกเราใหตระหนักถึงคุณคาของ
ชีวิต เพื่อใหอยูรวมกันตามหลักมนุษยชน ซึ่งเปนรากฐานของมนุษย นอกจากนี้ยังเขาไป
จัดการกับรากเหงาที่ทําใหเกิดความขัดแยงและความรุนแรง โดยจะมีความเชื่อมโยงกันทั้ง
โครงสราง คุณคาของมนุษยและการควบคุมกิเลสภายใน ซ่ึงจะทําใหสันติภาพมีรากฐานท่ี
มน่ั คง ทั้งในระดับจุลภาคและมหัพภาคอยางย่งั ยืน
ศลี ๕ เปน พ้ืนฐานแหงการประพฤติดีของคน นับวาเปนกุศลธรรมสําคัญท่ีคนเรา
ควรประพฤติ หากจะเปรียบศลี ๕ กบั สวนประกอบของบา นกเ็ ปรียบไดกับสวนของเสาบาน
นัน่ เอง ศลี ๕ นั้นจดั เปน มนษุ ยธรรมทีจ่ ําเปน ในสงั คมมนุษย เพราะคนเรานน้ั ตองอยูรวมกัน
เปนสังคม แตละคนตองปฏิบัติตนอยูในหลักการท่ีตองชวยตนเองและคนอ่ืนใหดําเนินชีวิต
ไดอ ยางสงบสุข คือ ไมเบียดเบียนกันไมวาเร่ืองใดๆ รวมท้ังไมเบียดเบียนตนเองดวย เบญจ
ศีลจงึ เปน หลักการท่ีประเสรฐิ ท่ีจะทาํ ใหบคุ คลสงั คมอยูอ ยา งเปนสุข
ไสว มาลาทอง กลาววา เบญจศีลเปนบทบัญญัติทางสังคมที่มนุษย รุนกอน ๆ
ไดวางไว เปนหลักขอปฏิบัติสําหรับปกครองหมูคณะ เพ่ือใหหมูคณะดํารงชีวิตอยูรวมกัน
อยางมีความสุข ไมเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบกัน เบญจศีลเปนเครื่องมือสําหรับวัดความ
เปนมนุษย เปนเครื่องบงช้ีวาผูนั้นมีความเปนมนุษยสมบูรณหรือไม เปนมนุษยธรรม คือ
ธรรมท่ีเปนเครื่องวัด ความเปนมนุษย เพราะศีลแตละขอนั้นทานวางไวเพ่ือประ-โยชนแก
มนุษยใ นแตล ะทาง๖๑ ดังน้ี
๑. เบญจศลี ขอที่ ๑
๑) เพ่อื ใหมีเมตตาธรรม ไมเบียดเบยี นกนั
๒) เพอ่ื ใหชวี ิตมคี วามปลอดภัย ไมตอ งหวาดระแวงกนั และกนั
๓) เพื่อใหประกอบกจิ การงาน และประพฤติธรรมไดโดยสะดวก
๔) เพอื่ เปนพ้ืนฐานใหส ามารถชว ยเหลอื เกือ้ กูลกนั ไดตอไป
๕) เพื่อใหอยรู วมกนั ไดอยางสงบสขุ
๖) เพ่ือกาํ จัดเวรภยั ท้งั ปจจุบนั และอนาคต
๒. เบญจศีลขอท่ี ๒
๑) เพ่ือใหป ระกอบอาชีพโดยความซอ้ื สตั ยสจุ รติ
๒) เพอื่ ใหร ักและเคารพเกยี รตขิ องตนเอง
๖๑ ไสว มาลาทอง, คูมือจริยธรรม, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ กรมศาสนา
กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๒), หนา ๑๑๗-๑๒๐.
ศกึ ษาเฉพาะเรอื่ งในพฒั นาการแหงพระพุทธศาสนา ๙๙
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
๓) เพื่อใหเ คารพกรรมสิทธ์ใิ นทรัพยส ินของผูอื่น
๔) เพอ่ื ใหเกดิ ความมัน่ ใจทรพั ยสินของตนเองไมต องวติ กกังวล
๕) เพ่ือใหอยูรว มกันไดอ ยา สงบสขุ
๖) เพ่ือกําจัดเวรภัยทงั้ ปจจุบนั และอนาคต
๓. เบญจศีลขอ ที่ ๓
๑) เพอ่ื ใหเ กดิ ความซอ้ื สตั ย จรงิ ใจตอ กนั ไววางใจกนั
๒) เพ่อื ใหเคารพสิทธิความเปนสามีภรรยาของกนั และกัน
๓) เพ่ือปอ งกันการหยา ราง การแตกราว ภายในครอบครวั
๔) เพ่อื สรางความม่ันคงและความอบอุนภายในครอบครัว
๕) เพื่อใหอ ยูรว มกนั อยา งสงบสขุ
๖) เพือ่ กาํ จัดเวรภัยท้ังปจจบุ นั และอนาคต
๔. เบญจศลี ขอ ท่ี ๔
๑) เพื่อใหมีความซื้อสัตย มีความจริงใจและไวว างใจกันได
๒) เพอื่ สรางความรกั ความสามัคคใี นหมคู ณะ
๓) เพื่อปอ งกนั ผลประโยชนของกนั และกนั ไว
๔) เพอื่ ใหใชว าจาประสานประโยชนข องกันและกัน ไมทําลายกนั ดว ยคําพูด
๕) เพือ่ ใหอ ยรู วมกนั ดว ยความสงบสุข
๖) เพอ่ื กาํ จดั เวรภยั ทั้งปจจบุ นั และอนาคต
๕. เบญจศีลขอที่ ๕
๑) เพ่อื สนบั สนนุ การรกั ษาศีล ๔ ขอ ขางตนใหเกิดมขี ้ึน
๒) เพอ่ื ใหมสี ติรอบคอบสามารถควบคุมใจตวั เองได
๓) เพอ่ื ปองกันมิใหเกดิ การทะเลาะววิ าทและทํารายกัน
๔) เพ่ือปองกันสขุ ภาพทางกายและสุขภาพจติ มิใหเ สื่อม
๖) เพื่อใหอยูรวมกนั ไดอยางมคี วามสงบสขุ
๗) เพื่อกําจัดเวรภัยท้ังปจ จุบนั และอนาคต
แกว ชดิ ตะขบ ไดก ลาวไวว า นกั ปราชญในทางพระพุทธศาสนาน้ันไดช้ีจุดสําคัญ
ท่ีคนเราตองสรางฐานไวใหม่ันคงเปนพิเศษ ๕ จุด ซ่ึงเปนการปดชองทางที่จะทําใหตนเอง
เสยี หาย ๕ ทางดวยกนั โดยวิธที ่ที า นวา นกี้ ค็ อื การรกั ษาศลี ๕ คอื ศีลขอท่ี
๑. เวนจากการฆาสัตวมีชีวิตหรือหามฆาสัตว เพ่ือปองกันทางที่ตนจะเสียหาย
เพราะความโหดราย ไรเ มตตา ศีลขอที่
๑๐๐ บทที่ ๓ ขอถกเถียงและการตคี วามศีลในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
๒. เวนจากการถือเอาสิ่งของที่เจาของมิไดให ดวยอาการที่เปนโจรขโมย หรือ
หามลกั ทรัพย เพื่อปอ งกันทางทตี่ นจะเสียหายเพราะอาชีพทจุ รติ จิตคิดลักขโมย ศลี ขอ ท่ี
๓. เวนจากการประพฤติผิดในกาม หรือหามประพฤติผิดทางเพศ เพื่อปองกัน
ทางที่ตนจะเสียหายเพราะความเจา ชู สาํ สอ นทางเพศหรอื มักมากในกาม ศีลขอ ท่ี
๔. เวนจากการกลา วคําเท็จ หามพูดเท็จ เพื่อปองกันทางท่ีตนจะเสียหาย เพราะ
คําพูดดกหกหลอกลวง ศีลขอ ที่
๕. เวนจากการดื่มนํ้าเมา คือ สุราเมรัย หรือหามดื่มน้ําเมา เพื่อปองกันทางท่ีตน
จะเสียหายเพราะความมึนเมา ประมาทขาดสติยบั ยงั้ ชัง่ ใจในการทาํ ชั่ว
ตามท่ีกลาวมานี้ จะเห็นไดวาเบญจศีลน้ีมีความสําคัญยิ่งสําหรับสังคมมนุษย ถา
หากคนในสังคมต้ังม่ันอยูในเบญจศีลโดยท่ัวถึงกันแลว สังคมก็มีความม่ันคงสงบสุขอยาง
แนนอน ผูใดมีเบญจศีลผูนั้นยอมเปนท่ีพึงปรารถนาของสังคม ไมวาจะทําอะไรติดตอ
ประสานงานกับใคร จะขอความรวมมือจากใครก็ยอมไดรับความรวมมือเปนอยางดี ดวย
เหตุน้ี เบญจศีลจึงมีความสําคัญตอการเสริมสราง การพัฒนาครอบครัว ซึ่งเปนสวนยอย
ของสังคมใหม ีความมัน่ คงในการดําเนินชวี ติ ตอ ไป๖๒
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กลาววา ศีล ๕ แปลวา
สิกขาบท ผูที่ประพฤติปฏิบัติ ศึกษา และงดเวน องคแหงศีลแตละขอน้ัน จัดเปนสิกขาบท
๕ ประการ รวมเรียกวา เบญจศีล ซ่ึงแผลงมาจาก คําวา “ปฺจ สีลานิ” ในคัมภีรพระ
ไตรปฏกสวนมากเรียกวา สิกขาบท ๕ คือ องคแหงศีลอยางหนึ่งๆ ซ่ึงเปนขอหามเพ่ือการ
ฝก ตนและฝกอบรม ของพุทธศาสนิกชนฝายคฤหัสถ สําหรับการจัดระเบียบชีวิตและสังคม
ของมนุษยใหอยูในสภาพที่เอื้อตอการสรางสรรคสิ่งดีงามแกชีวิต สังคม การดําเนินชีวิตให
อยูได ศีล ๕ จงึ เปนฐานของศลี ทง้ั ปวงมี ๕ สกิ ขาบทประกอบดว ย๖๓
๑. ศลี ๕ สิกขาบทท่ี ๑ ปาณาติปาตา เวรมณี คือ เวนจากการฆา สตั ว
๒. ศีล ๕ สิกขาบทที่ ๒ อทินนาทานา เวรมณี คือ เวนจากการลักทรัพย
๓. ศีล ๕ สิกขาบทที่ ๓ กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี คือ เวนจากการประพฤติผิด
ในกาม
๔. ศลี ๕ สกิ ขาบทที่ ๔ มกสาวาทา เวรมณี คอื เวน จากการกลา วเทจ็
๖๒ แกว ชิดตะขบ, พุทธธรรมเพื่อสงเสริมเศรษฐกิจ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ
พระพุทธศาสนาแหงชาต,ิ ๒๕๕๐), หนา ๒๑๐-๒๑๒.
๖๓ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, เบญจศีล เบญจธรรม (หลกั สตู ร
ธรรมศกึ ษา ชั้นตรี), พิมพค รัง้ ที่ ๑๕, (กรงุ เทพมหานคร : มหามงกฎุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๘), หนา ๕.
ศึกษาเฉพาะเรอื่ งในพัฒนาการแหงพระพุทธศาสนา ๑๐๑
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
๕. ศีล ๕ สิกขาบทท่ี ๕ สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี คือ เวนจากการดื่ม
นาํ้ เมา
ศีล ๕ ตามนัยของพระพุทธศาสนาในสังคมไทยเราจะเห็นวาเปนการเนนหนักมิติ
เชิงปจเจกบุคคลเพียงดานเดียว เชนเวลาที่เราอธิบายถึงคนท่ีกําลังอยูในภาวะเจริญขึ้นหรือ
เส่ือมลง เรามักจะมองเพียงแควาเปนเร่ืองพฤติกรรมหรือกรรมสวนบุคคล โดยไมสนใจตั้ง
คําถามในระดับโครงสรางหรือสภาพแวดลอมทางสังคมวามีความบกพรองอยางไร สังคมไทย
ไมไดหยิบยกขึ้นมาเนนยํ้า “ในสวนของโครงสรางเชิงของสังคมเลย พระพุทธศาสนามีการนับ
ถือกันในสังคมไทยมายาวนานหลายช่ัวอายุคน แตสังคมไทยไมคอยไดเนนไปในเชิงโครงสราง
ทางสังคมมากหนัก ดวยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาไทยจึงมักถูกโจมตีเสมอวา ไมคอยมีมิติทาง
สังคมในคําสอน แตที่จริงแลวพระพุทธศาสนาเถรวาทไมไดขาดมิติทางสังคมแตอยางใด
เพียงแตใ นเมอื งไทย มิตดิ า นน้ีถูกละเลยไปเองตางหาก
๓.๕ การตคี วามแนวทางการปฏบิ ัติของเบญจศลี
๑. ศีล ๕ สกิ ขาบทท่ี ๑ ปาณาติปาตา เวรมณี
ปาณาติปาตา เวรมณี แปลวา เวนจากการทําสัตวมีชีวิตใหตกลวง เวนจากการ
ฆาสัตวทุกชนิด คําวาสัตวในท่ีน้ีหมายถึงมนุษยและสัตวเดรัจฉานที่มีชีวิตอยู แมที่สุดซ่ึงยัง
อยูในครรภทุกประเภทไมมีกําหนด สิกขาบทนี้บัญญัติขึ้นโดยมีจุดมุงหมายเพ่ือไมใหมนุษย
เบียดเบียนกัน และไมใหเบียดเบียนสัตวอ่ืนอีกดวย พึงหวังจะใหปลูกเมตตาจิตในสัตวทุก
จําพวก การตั้งใจที่จะไมทํารายตอผูอ่ืนเปนประจํา เม่ือปฏิบัติไดอยางตอเนื่องยอมเกิดเปน
ปกติความคิดท่ีจะฆาหรือทํารายกัน ก็ยอมไมเกิดขึ้นเปนการอบรมใหเกิดเมตตาจิตคิด
สงสารเหน็ ใจในสัตวอ่นื ๆ มนุษยม ีความปรารถนาดีตอกันเสมอ โดยตระหนักถึงความสําคัญ
ของทุกชีวิตท่ีอยูรวมกันในโลก ทุกชีวิตยอมตองการความสุขดวยกัน ไมมุงทํารายกัน ชีวิต
รางกายทกุ ชีวิตยอมดําเนินไปขางหนาอยางปกติ สันติสุขก็เกิดข้ึนในสังคม ตรงกันขามหาก
คนสวนใหญขาดศีลขอน้ี ยอมอยูกันอยางหวาดระแวงหาความสุขไมได ดังน้ัน ศีล ๕
ดังกลาวมานี้ จึงเปนหลักสําหรับการควบคุมพฤติกรรมทางกายไมใหกระทําผิด หรือทํา
อนั ตรายแกรา งกายชวี ิตผอู นื่ ใหเกิดเมตตาจิตคดิ ชวยเหลือกนั เกิดขน้ึ ในทางดานจติ ใจ
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแสดงวา เม่ือเพงถึง
ความเมตตาจิตเปนใหญ ปาณาติปาตาเวรมณี แปลวา เจตนางดเวนจากการฆาสัตว มี
ขอบเขตของสิกขาบททั้งโดยตรงและโดยออม ผูรักษาตองเวนเพื่อใหบริสุทธ์ิบริบูรณ คือ
การฆา การทําใหตายดวยตนเอง การทําใหบาดเจ็บสาหัส เชน ตาบอด แขนหัก การทรก
รรมดวยการใชแรงงานเกินกําลัง การกักขัง การนําสัตวไปดวยวิธีทรมาน การผลาญสัตว
๑๐๒ บทที่ ๓ ขอถกเถยี งและการตีความศีลในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
เชน ยุยงใหสูกันเพ่ือความสนุกสนาน สวนโทษหนักเบาขึ้นอยูกับสัตวที่ถูกฆา และความ
พยายามของผูฆา เรียกวา ประโยค คือ ความเพียรพยายามในการทําปาณาติบาต ซึ่งเปน
องคแหงการตัดสินวามีโทษนอยหรือมาก การฆานั้นไมวาฆามนุษยหรือสัตวถือวาเปนบาป
เหมือนกนั ซึง่ กําหนดไดจ ากหลกั ๓ ประการ คือ
๑. กําหนดโดยวัตถุมี ๓ อยาง คือ (๑) ฆามนุษยหรือสัตวที่ไมมีความผิด ไมได
ประทุษรายตนและผูอ่ืน มีโทษมาก (๒) ฆามนุษยหรือสัตวที่มีอุปการะแกตน เชน มารดา-
บดิ า วัว กระบอื ท่ชี วยทําไร ไถนา มีโทษมาก (๓) ฆา มนษุ ยหรอื สตั วท ่มี คี ุณงามความดี เชน
ผถู ือศลี ผมู ีคุณตอ สงั คมย่งิ มีคณุ มากมคี วามดีมาก ยิ่งมีโทษมาก
๒. กําหนดเจตนามี ๓ อยาง คือ (๑) ต้ังใจฆาโดยหาเหตุผลไมได เชน เขาไมมี
โทษถึงตาย ไมไดเตรียมจะทํารายตน ถือวามีโทษมาก (๒) ฆาโดยกิเลสมีกําลังกลา เชน
ดวยความโลภจึงรับจางฆาเขา มีความโลภมาก ยิ่งมีโทษมาก (๓) ฆาดวยความพยายามอัน
รายกาจ ผลาญใหเขาพินาศ พยายามมาก มีโทษมาก
๓. กําหนดโดยประโยค หมายถึง ความพยายามหาวิธีฆา ถาใชความพยายาม
มาก มีโทษมาก กลาวคือ ยิ่งทรมานมากมีโทษบาปมาก เชน การทุบตีใหบอบช้ําตองทน
ทกุ ขทรมานจนตาย มโี ทษมาก เพราะผถู ูกฆา ไดเสวยทุกขเวทนามาก๖๔
ปน มุทุกันต กลาววา ผูรักษาศีลขอน้ีนอกจากระวังไมใหศีลขาดเพราะ
ปาณาติบาตแลว วัดจากการกระทําที่เปนฉายาของปาณาติบาตได ก็ทําใหศีลของตน
บริสุทธ์ิย่ิงข้ึน ถาเวนไมไดศีลของเขาก็ดางพรอย เหมือนผาท่ีไมขาดแตสกปรก เรียกวา
ฉายาปาณาติบาต คือ (๑) การทํารายรางกาย คือ การทําใหรางกายของเขาเจ็บปวดพิกล
พิการ (๒) การทรกรรม คือ การทําความลําบากแกสัตวเกินเหตุ เชนการใชงานหนักเกิน
กําลัง (๓) กักขังในที่แคบ ไมสามารถเปลี่ยนอิริยาบถได (๔) นําสัตวไปโดยวิธีทรมาน เชน
ลากไป (๕) ผจญสัตว เชน เลนชนไก กัดปลา “การงดเวนจากการกระทําสิ่งเหลานี้เปน
บริวารของการรกั ษาศีลขอ ที่ ๑”๖๕
แกว ชิดตะขบ กลาววา หลักเกณฑในการวิจัย บุคคลผูจะลวงละเมิดผิดศีลขอท่ี
๑ หรือเรียกวาศีลขาดนั้นประกอบไปดวยองค ๕ ประการ คือ (๑) ปาโณ สัตวมีชีวิต (๒)
๖๔ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, เบญจศีล เบญจธรรม (หลักสูตร
ธรรมศึกษา ช้ันตร)ี , พมิ พคร้งั ท่ี ๑๕, (กรุงเทพมหานคร : มหามงกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หนา ๗.
๖๕ ปน มุทุกันต, พุทธวิธีครองใจคน ฉบับสมบูรณ, (กรุงเทพมหานคร : คลังวิทยา,
๒๕๑๔), หนา ๔๒๑-๔๒๒.
ศึกษาเฉพาะเรือ่ งในพัฒนาการแหงพระพทุ ธศาสนา ๑๐๓
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
ปาณสฺญิตา รวู าสตั วมีชีวติ (๓) วธกจิตตํ มจี ติ คิดจะฆา (๔) อุปกฺกโม ทําความพยายามฆา
(๕) เตน มรณํ สัตวต ายดว ยความพยายามนน้ั ๖๖
เมื่อบุคคลมีความพยายามในการฆาสัตวมีชีวิตท่ีพรอมดวยองคประกอบทั้ง ๕
ดังกลาว ศีลจึงขาด ถาไมครบองคประกอบทั้ง ๕ นี้ แมองคใดองคหน่ึง เชน ไมมีจิตคิดจะ
ฆา เชน นี้ ศีลไมข าด แตเ ปนเพียงดางพรอยเทานั้น
๒. สิกขาบทท่ี ๒ อทนิ นาทาน เวรมณี
พระมหาธเนศร รามางกูร ไดกลาวถึง อทินนาทานา เวรมณี แปลเจตนางดเวน
จากการถือส่ิงของมิไดใหดวยอาการแหงขโมยในทางปฏิบัติ หมายถึง ความประพฤติกรรม
ตางๆ ในการดําเนินชีวิตของคน โดยไมไปเบียดเบียนทรัพยสินของผูอื่นดวยการลักขโมย
เปนตน ศีลขอน้ีบัญญัติขึ้นเพื่อปองกันความประพฤติ หรือพฤติกรรมดังกลาวมีเจตนาเลี้ยง
ชีพในทางทีช่ อบ ที่เรยี กวา มีสมั มาอาชีวะ เวนการเบียดเบียนกันและกัน ผูรักษาศีลจะตอง
เวนไมก ระทาํ เพือ่ รกั ษาศลี ใหบ รสิ ุทธ์ิ ไดชื่อวา ประพฤติธรรม ไมเปนบาป ขอนี้หมายถึง การ
เวนจากการถือเอาส่ิงของท่ีเจาของไมให คือ ถือเอาดวยอาการเปนโจร ส่ิงที่เจาของไมให
กาํ หนดไวดังน๖้ี ๗
๑. ส่ิงของที่มีเจาของทั้งที่เปนวิญญาณทรัพยและอวิญญาณทรัพย อันเจาของ
ไมไดใหเ ปนสิทธ์ขิ าด
๒. ส่ิงของที่ไมใชของใคร แตสิ่งของมีผูรักษาหวงแหน ไดแก ส่ิงของท่ีเขาอุทิศ
บูชา ปชู นยี วัตถุในศาสนาน้นั ๆ
๓. สิ่งของทเ่ี ปนของในหมูอันไมพึงแบงกันได ไดแก ของสงฆและของมหาชน ใน
สโมสรสถานน้นั ๆ
เมื่อแบงถึงความประพฤติชอบธรรมในทรัพยสมบัติของผูอื่นเปนสําคัญ ก็พึง
ทราบในสิกขาบทน้ีมีขอหาม ๓ ประการ คือ โจรกรรม ประพฤติเปนโจร การเล้ียงชีพ
อนุโลมโจรกรรม กิริยาเปนฉายาโจรกรรม การกระทําในขอที่ ๑ ศีลขาด สวนขอที่ ๒ และ
ขอที่ ๓ พึงพิจารณาไดโดยเจตนา ถามุงทําลายกรรมสิทธ์ิในทรัพยสินของผูอ่ืนศีลยอมขาด
ถาไมเ จตนา ศลี ดางพรอย
๖๖ แกว ชิดตะขบ, พุทธธรรมเพ่ือสงเสริมเศรษฐกิจ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ
พระพทุ ธศาสนาแหง ชาต,ิ ๒๕๕๐), หนา ๒๐๘.
๖๗ พระมหาธเนศร รามางกูร, “การประยุกตใชและการยึดม่ันหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
ในการดําเนินชีวิตของคนในชุมชนภูเวียง จังหวัดขอนแกน”, ภาคนิพนธ ศศ.ม. (พัฒนาสังคม), (บัณฑิต
วทิ ยาลยั สถาบันบัณฑิตพฒั นบรหิ ารศาสตร, ๒๕๔๗), หนา ๓๘-๓๙.
๑๐๔ บทท่ี ๓ ขอถกเถยี งและการตคี วามศลี ในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
โจรกรรม หมายถงึ การถอื เอาส่ิงของท่ีไมมีผูใหดวยการกระทําอยางโจรทุกอยาง
จัดเปน โจรกรรม ในทางพระพุทธศาสนาไดร วบรวมไวดังนี้
๑. ลกั ไดแก กิรยิ าการขโมยของคนอื่นท่ีเจาของไมเ ห็น มชี อื่ เรียกตางกนั
๒. ขโมย ในเวลาท่เี จา ของทรพั ยวางทรัพยไ ว หยิบทรัพยไ ปไมใ หเ ขารู
๓. ยอ งเบา เวลาสงัดแอบเขา ไปในบาน แลว หยบิ ฉวยเอาสง่ิ ของของเขา
๔. ตดั ชวง งัดหรอื เจาะประตูหนาตา งท่ปี ดอยู แลว เขา ไปหยิบเอาของไป
๕. ฉก ไดแก กิริยาแหงการขโมยทรัพยของคนอ่ืนท่ีเจาของเขาไมให เขา
มองไมเห็น มีช่ือเรียกตางกัน ดังน้ี (๑) วิ่งราว คนถือของกําลังเผลอ เขาแยงแลววิ่งหนีไป
(๒) ตชี งิ ตเี จา ของทรพั ยใหเ จบ็ ตัวแลวถือเอาของไป (๓) กรรโชกกิริยาแหงการแสดงอํานาจ
หรือใชอาวุธขมขู เปนตน เรียกวา ขูหรือจี้ (๔) ปลน ไดแก รวมพวกกันหลายคนมีศาสตรา
วธุ เกบ็ เอาของผอู ืน่ ดวยอํานาจ (๕) ตู ไดแก อางกรรมสิทธิ์ยืนยันเอาของคนอ่ืนมาเปนของ
ตน (๖) ฉอ ไดแก กิริยาท่ีถือเอาทรัพยของคนอ่ืน เชน รับของแลวโกงเอาเสียอางวาเปน
ของตน (๗) หลอก ไดแกกิริยาที่พูดปดเพื่อถือเอาของผูอ่ืน (๘) ลวง ไดแก กิริยาท่ีถือเอา
ของของผูอ่ืนดวยแสดงของอยางใดอยางหน่ึงใหเขาใจผิด เชน ใชเคร่ืองชั่ง เคร่ืองตวงโกง
(๙) ปลอม ไดแก กิริยาท่ที ําของเทียมแบบใหคนอืน่ เห็นวาเปนของจริง แลวเปล่ียนไป (๑๐)
ตระบดั ไดแ ก กริ ิยาท่ยี ืมของคนอืน่ ไปใชแลวเอามาเปนของตน เชน ยืมของแลวไมสงคืน กู
เงินแลว เบยี้ วไมสงดอกสง ตน ทนุ เดิม (๑๑) เบยี ดบัง ไดแ ก กิรยิ าทีถ่ ือเอาเศษ เชน ทานใชให
ไปเก็บเงินคาเชาบานไดมา แตใหเจาของนอย (๑๒) ลักลอบ ไดแก กิริยาท่ีลักลอบเอาของ
ตอ งหา มหลบหนี (๑๓) สบั เปลยี่ น ไดแก กิรยิ าท่ีเอาสง่ิ ของของตนท่ีไมดีเอาไวแทน แลวเอา
ของท่ีดีของผูอื่น (๑๔) ยักยอก ไดแก กิริยาที่ยักยอกทรัพยส่ิงของของตนท่ีจะถูกยึดเอาไว
เสียที่อนื่ เพือ่ หวังสิ่งของมาเปนของตน
โจรกรรมมีลักษณะตางประเภทดังกลาวมาน้ี บุคคลทําเอง ใชใหผูอ่ืนทําไป
รวมกับเขาเหลาน้ี ช่ือวาประพฤติผิดโจรกรรมทั้งส้ิน แมทรัพยจะเปนของตนก็มีโอกาสจะ
เปนของโจรกรรมได เชน ในขอที่ ๑๑ เม่ือถึงเวลาเสียภาษีแตกลับหลบเลี่ยงไมไปเสียภาษี
ตามกําหนด ซึ่งทรัพยสวนที่เสียภาษีไปนั้นไดมาโดยโจรกรรม เมื่อกลาวโดยรวมจัดเปน
กรรมมีโทษหนักเปนช้ันตางกัน ๓ ชั้น ไดแก วัตถุ เจตนา ประโยค คือ (๑) โดยวัตถุ
หมายถึง ถาของที่ทําการโจรกรรมน้ันมีคามาก สรางความเสียหายใหแกเจาของทรัพยมาก
ก็มีโทษมาก (๒) โดยเจตนา หมายถึง ถาถือเอาโดยความโลภมีเจตนากลาก็มีโทษมาก (๓)
โดยประโยค หมายถงึ ถาถอื เอาโดยการฆา ทาํ รา ยเจาของทรัพยหรือประทุษรา ย
เคหสถาน และพัสดขุ องเขากม็ โี ทษมาก ผูรักษาศีลขอนี้นอกจากจะระวังไมใหศีล
ขาด เพราะทําโจรกรรมแลว ก็พึงงดเวนจากการดําเนินชีวิตหรือการเลี้ยงชีพแบบอนุโลม
ศึกษาเฉพาะเร่อื งในพฒั นาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๑๐๕
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
โจรกรรม จะทําใหศีลของตนไดบริสุทธิ์ย่ิงขึ้น เวนไมไดก็ทําใหศีลดางพรอย ดังน้ี การเลี้ยง
ชีพแบบอนุโลมโจรกรรม คือ การแสวงหาทรัพยโดยทุจริตในทางท่ีไมบริสุทธ์ิ นับเขาใน
อาการเปนโจรจัดเปน ๒ ลักษณะ คือ อนุโลมโจรกรรมและกิริยาเปนฉายาโจรกรรม ดังนี้
อนโุ ลมโจรกรรมนบั เขา ในอาการเปน โจรมี ๓ ประเภท คือ
๑. สมโจร ไดแก การกระทําอุดหนุนการโจรกรรม เชน การรับซื้อของโจร ขอน้ี
เปนเหตุปจ จยั แหงโจรกรรม
๒. ปอกลอก ไดแก การคบคนดวยอาการไมซื้อสัตยหวังทรัพยของเขาฝายเดียว
เม่อื เขาลม สลายแลว ไมช ว ยเหลอื แตกลับทิ้ง ขอนเี้ ปนปจ จัยใหคนตกยาก
๓. รับสินบน ไดแก การถือเอาทรัพยสินเงินทองท่ีเขาใหเพื่อเอาไปชวยทําธุระ
ในทางทไี่ มช อบธรรม เชน ขา ราชการรบั สนิ บนประชาชน ขอน้ีเปนปจจัยใหบุคคลประพฤติ
ผดิ ทางธรรมกิริยาเปนฉายาโจรกรรม นับเขาในกิริยาเปนโจรมี ๒ ประเภท คือ (๑) ผลาญ
ไดแก กริ ิยาทท่ี าํ ความเสียหายแกทรัพยสินเงินทองของคนอื่น เชน เผาบาน กีดกัน กอกวน
โดยไมใ หค นอื่นไดท ํางานเลยี้ งชพี เปนตน (๒) หยิบฉวย ไดแก การถือเอาทรัพยสินเงินทอง
ของผูอ่ืนดวยความมักงาย หรือถือเอาโดยวิสาสะ เพราะการคุนเคยโดยไมบอกเจาของ คิด
เอาเองวา เจา ของเขาไมวาอะไร
หลักเกณฑในการวินิจฉัยในความขาดแหงศีลขอที่ ๒ ประกอบดวยองค ๕
ประการ คอื
๑. ปรปริคคฺ หิตํ ของนัน้ มีเจา ของหวงแหน
๒. ปรปรคิ คฺ หติ สญฺ ติ า รวู า เจาของหวงแหน
๓. เถยฺยจิตตฺ ํ มีจิตคิดจะลกั
๔. อปุ กฺกโม พยายามเพื่อจะลักใหได
๕. เตน หรณํ ไดของนน้ั มาดวยความพยายามนัน้
๓. สิกขาบทท่ี ๓ กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอธิบายไววา สิกขาบท
น้ีบญั ญตั ขิ ึ้นดวยหวงั ปอ งกันการแตกราวในหมูมนุษย ทําใหเขาไววางใจกัน ชายกับหญิงแม
ไมไดเปนญาติกันก็ยังมีความรักใครเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ดวยอํานาจของปฏิพัทธในทาง
กาย เม่ือชายอน่ื ทําชดู วยภรรยาของทาน สามกี ับภรรยาก็ยอมแตกแยกกันเปนธรรมดาสามี
ยังจะผูกใจเจ็บกับชายชู เกิดเปนศัตรูข้ึน ถาความซื่อตรงในขอนี้ไมพึงมีในหมูมนุษย ท่ีสุด
สามีภรรยากจ็ ะไมก ลา ไวว างใจในกันและกัน๖๘
๖๘ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส, เบญจศีล เบญจธรรม (หลักสูตร
ธรรมศึกษา ชัน้ ตรี). พิมพคร้งั ที่ ๑๕, (กรงุ เทพมหานคร : มหามงกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘), หนา ๒๕.
๑๐๖ บทที่ ๓ ขอถกเถยี งและการตคี วามศลี ในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
พระมหาธเนศร รามางกูร กลา ววา กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี แปลวา เจตนางด
เวนจากการประพฤติผิดในกาม ในทางปฏิบัติ หมายถึง ความประพฤติการดําเนินชีวิตของ
ตน โดยไมเบียดเบียนผอู น่ื ทางดานคคู รอง และไมล ะเมิดกรรมสิทธิใ์ นบุคคลผูที่เปนที่รักของ
ผูอื่น มีขอบเขตหรือขอหามของสิกขาบทนี้ ทั้งหญิงชายยอมประพฤติผิดในกามดวยกันทั้ง
๒ ฝา ย ในอรรถกถา “อัฏฐ-สาลนิ ”ี ไดแ บงประเภทของชายและหญิง ดังนี้๖๙
๑) หญิงตองหามสําหรับชายมี ๓ จําพวก คือ หญิงมีสามีโดยท่ีสุด แมแตภรรยา
เชา ช่ัวคืนกถ็ ือวา มเี จาของ หญงิ ผูพ ิทักษรักษา เชน บิดามารดาหรือญาติเปนตนรักษา หญิง
ที่จารีตหาม เชน แม ยา ยาย ทวด ลูก หลาน เหลน ภิกษุณี ฯลฯ “หญิงท้ัง ๓ ประเภทน้ี
เมอ่ื ชายประพฤตลิ วงเกนิ จะโดยเขายนิ ยอมหรือไมยนิ ยอมกต็ ามศีลยอมขาด”
๒) ชายตองหามสําหรับหญิงมี ๒ จําพวก คือ ชายอื่นทุกคนนอกจากสามีของตน
สําหรับหญิงทีม่ ีสามีชายท่ีจารตี ตองหา ม เชน ภกิ ษุ สามเณรและนักบวชตางศาสนา สําหรับ
หญิงทุกประเภท “ชาย ๒ ประเภทน้ีเปนวัตถุแหงกาเมสุมิจฉาจารของหญิง คือผิดศีล เวน
ไวแ ตถูกขม ขืนไมเ ตม็ ใจ สวนการเคลา คลงึ หรือพูดเก้ียวแมศีลไมขาดยอมทําใหศีลดางพรอย
ได” หลกั เกณฑใ นการวนิ ิจฉยั ศลี ขอ นี้จะขาดไดตองประกอบดวยองค คือ กาเมสุมิจฉาจาร
มีองค ๔ คือ (๑) อคมนียวตฺถุ หญิง (ชาย) ตองหาม (๒) ตสฺมึ เสวนจิตฺตํ จิตคิดจะเสพ (๓)
เสวนปฺปโยโค ประกอบการเสพ (๔) มคเฺ คน มคฺคปฺปฏิปตตฺ ิ มรรคจรดกัน
๔. สิกขาบทที่ ๔ มสุ าวาทา เวรมณี
มุสาวาทา เวรมณี แปลวา เจตนางดเวนจากการพูดเท็จในทางปฏิบัติ หมายถึง
ความประพฤติ การดําเนินชีวิตท่ีปราศจากการเบียดเบียนผูอ่ืนดวยวาจาที่เปนเท็จ
หลอกลวง เปนสาเหตุตัดรอนทําลายประโยชนของผูอ่ืน แตมีความซื้อสัตย มีสัจจะ รักษา
สัจจะ พูดแตค ําจรงิ คํามปี ระโยชน คํามีสมานสามัคคี เปนตน เทาน้นั
ปน มุทุกันต กลาววา เพ่ือสะดวกในการปฏิบัติสามารถจําแนกกิริยาที่เปน
มุสาวาทไว ๗ วิธีดงั ตอไปนี้
๑. ปด คอื โกหกชดั ๆ เชนไมร วู ารู ไมเหน็ วา เห็น
๒. ทนสาบาน คือ แสดงตัวฝกความจริง เชน ทําผิดหลายคนแตผูทําผิดไมชอบ
รับผิด
๓. ทําเลห กระเทห คือ โกหกดวยการแสรงทํากิริยาอาการใหคนอ่ืนตีความผิดไป
เอง เชน ทําทีเปนคนพิการใหไมต อ งถูกเกณฑเ ปน ทหาร
๖๙ พระมหาธเนศร รามางกูร, “การประยุกตใชและการยึดม่ันหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
ในการดําเนินชีวิตของคนในชุมชนภูเวียง จังหวัดขอนแกน”, ภาคนิพนธ ศศ.ม. (พัฒนาสังคม), (บัณฑิต
วทิ ยาลยั : สถาบันบัณฑิตพฒั นบรหิ ารศาสตร, ๒๕๔๗), หนา ๓๘-๓๙.
ศึกษาเฉพาะเรือ่ งในพฒั นาการแหงพระพุทธศาสนา ๑๐๗
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
๔. มารยา คือ แสดงทวงทีหลอกลวงคนอ่ืนใหเขาใจผิด เชน เจ็บนอยแตครวญ
ครางมาก
๕. ทําเลส คอื แสดงในใหคนอนื่ เขา ใจผิด เชน พดู เลนสาํ นวนวกไปวนมา
๖. เสรมิ ความ คือ เรอ่ื งมมี ูลนอ ยแตพดู ใหเหน็ เปนมาก
๗. อาํ ความ คอื เรื่องมากแตพ ูดใหเ หน็ เปนนอ ย ปดความบกพรองของตน๗๐
นอกจากงดเวนจากมสุ าวาท ๗ อยางน้แี ลว ผูรักษาศีลขอ น้ีควรเวนจากการแสดง
อนั มลี ักษณะประหนึง่ มุสาวาท ซงึ่ เรยี กวา ฉายามสุ าวาท ซ่งึ จะทําใหศลี ของตนมัวหมอง คือ
อนุโลมมสุ า ไดแก การท่อี าจทําใหผฟู ง เขาใจผดิ ตามความจริง เชน การคยุ โวโออวดเกินควร
ปฏสิ สวะ ไดแ ก การรบั คาํ คนอน่ื แลว ภายหลังไมทาํ และไมอ ยากคืนคําใหเปนกิจจะลักษณะ
แมจะมีเหตุจําเปนก็ไมพนทําใหเปนคนโกหกเขา มีการแสดงออกบางอยางที่ไมเปนความ
จรงิ แตไ มผิดศลี เพราะผแู สดงออกไมมเี จตนากลาวเท็จ คือ (๑) ยถาสัญญา พูดไปตามที่ตน
จาํ ไดอยา งนน้ั เขาใจอยางน้นั (๒) โวหาร พดู ไปตามแบบฟอรมของการพูดในสังคม เชน ลง
ทายจดหมายวา “ขอแสดงความนับถืออยางสูง” ทั้งๆ ท่ีตนมิไดนับถือเขาเลย (๓) นิยาย
เลานทิ านซงึ่ ผกู ขน้ึ เพอ่ื ฟงกันเพลนิ ๆ (๔) พล้งั พูดพล้ังไป
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอธิบายวา สิกขาบทขอ
น้ที รงบญั ญตั ดิ วยหวังหา มความตดั ประโยชนทางวาจา คนทั้งหมดยอมชอบนับถือความจริง
ทุกคนไตถามขอความอะไรกับใคร ฟงใครบอกเลาอะไรก็เพื่อตองการความจริง จะใหใคร
เชื่อถอยคําของตนก็ตองอางความจริงขึ้นต้ังปฏิญญา เม่ือความประสงคของตนเปนเชนนี้
ผใู ดฝนความรสู กึ ของตนพดู มุสาแกค นอนื่ ขอ นีเ้ ปน การตัดประโยชน ทานจัดวา เปน บาป๗๑
หลกั เกณฑในการวินิจฉยั ศีลขอมุสาวาทนี้ จะขาดไดตองประกอบดวยองค ๔ คือ
(๑) อตฺถู วตฺถุ เร่อื งไมจริง (๒) วสวํ าทนจิตฺตํ จติ คิดจะพูดใหผิด (๓) ตชฺโ วา-ยาโม พยายาม
พดู ออกไป (๔) ปรสฺสตทตฺถวิชานนํ คนอื่นเขาใจเนื้อความน้ัน “เมื่อการพูดหรือการทําเท็จ
ครบองค ๔ นี้ ศลี จึงขาด”๗๒
๗๐ ปน มุทุกันต, พุทธวิธีครองใจคน ฉบับสมบูรณ, (กรุงเทพมหานคร: คลังวิทยา,
๒๕๑๔), หนา ๔๒๕-๔๒๖.
๗๑ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส.เบญจศีล เบญจธรรม (หลักสูตร
ธรรมศึกษา ชั้นตรี). พมิ พคร้งั ท่ี ๑๕. (กรงุ เทพมหานคร : มหามงกฎุ ราชวิทยาลัย. ๒๘๓๘), หนา ๓๐.
๗๒ พระมหาธเนศร รามางกูร, การประยกุ ตใชแ ละการยึดม่นั หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา
ในการดําเนินชีวิตของคนในชุมชนภูเวียง จังหวัดขอนแกน, ภาคนิพนธ ศศ.ม.(พัฒนาสังคม), (บัณฑิต
วทิ ยาลยั : สถาบนั บณั ฑิตพัฒนบรหิ ารศาสตร, ๒๕๔๗), หนา ๔๓.
๑๐๘ บทท่ี ๓ ขอถกเถียงและการตคี วามศลี ในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
๕. สิกขาบทท่ี ๕ สรุ าเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี
สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี แปลวา เจตนางดเวนจากของมึนเมา คือ
สรุ าเมรยั อันเปนท่ตี ง้ั แหงความประมาท
ในทางปฏิบัติ หมายถึง ความประพฤติ หรือการดําเนินชีวิตท่ีปราศจากการ
เบียดเบียนตนเอง ดวยการด่ืม สูบ ฉีด ส่ิงที่เปนพิษใหโทษแกรางกาย คือ ยาเสพติดทุก
ประเภทอันเปนเหตใุ หเกิดความประมาทพลาดพล้ัง มัวเมา เสียสติสัมปชัญญะ๗๓ ทําใหเสีย
คุณภาพความเปนคน แตมีสติระวังมิใหติดส่ิงเสพติดเหลานั้น ท้ังสามารถควบคุมใจ คุม
อารมณมิใหเปนทาสของส่ิงเหลาน้ันดวย มีขอหามหรือขอบเขตทั้งโดยตรงและโดยออม
โดยตรง คือ มัวเมา ไดแก สุรา น้ําเมาที่กลั่นเรียกกันวา เหลา เมรัย นํ้าเมาที่ยังไมไดกลั่น
ไดแก เบียร สาโท นํ้าตาลเมา กระแช ฯลฯ โดยออม หมายถึง ยาเสพติดใหโทษทุกชนิด
เชน ฝน กัญชา ไอระเหย เปนตน อันหามไวในศีลขอน้ี กิริยาท่ีไมเฉพาะการด่ืมอยางเดียว
แตห มายถงึ การสูบ และฉีดดวย หลักเกณฑการวินิจฉัย ศีลขอ สุราเมรยมัชชปนาทัฏฐานา
นี้จะขาดไดตอ งประกอบดวยองค ๔ คือ (๑) มทนยี ํ น้าํ เมา (๒) ปาตุกมฺมยตาจิตตํ จิตคิดจะ
ดมื่ นํ้าเมา (๓) ตชฺโช วายาโม พยายามด่มื นํ้าเมา (๔) ปตปฺปเสวนํ นา้ํ เมานนั้ ลว งลําคอลงไป
๓.๖ วธิ ปี ฏิบัตริ ักษาศลี ๕
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กลาววา การรักษาศีล
ปฏิบัติตามศีล ๕ หมายถึง การมีเจตนางดเวนจากการทําชั่ว ๕ ประการ ศีลจะเกิดขึ้น
เพราะมวี ริ ัติ คอื เจตนาท่ีจะงดเวนจากโทษนนั้ ๆ เวรนั้นๆ มี ๓ ประการ คอื
๑. สมาทานวิรัติ หมายความวา ความละเวน ดวยถอื คอื สมาทานหรอื รบั เอาดวย
ตนเองก็ไดดวยการรับจากผูอื่นก็ได หมายความวา ต้ังใจกอนวาจะรักษาศีลเมื่อไปประสบ
กับเหตุการณ ท่ีจะทําใหศีลขาดก็ไมทําเพราะถือวาสมาทานศีลไวแลวจะกลัวศีลขาด การ
กระทําเชนน้ี เรียกวา “สมาทาน” ในปจจุบันนี้มีการปฏิบัติกันมาก คือ สมาทานกับ
พระสงฆหรือสมาทานเองก็ได
๒. สมั ปต ตวริ ัติ หมายความวา การงดเวนจากวัตถุอันถึงเขา ขณะประจวบเขาใน
ทันทีทันใดกับเหตุท่ีจะทําใหศีลขาด คือ งดเวนดวยเหตุการณที่เกิดข้ึนเฉพาะหนา
หมายความวา แตเดิมไมไดรักษาศีลไมไดสมาทานศีล เม่ือประสบเหตุท่ีกําลังลวงศีลน้ันก็
ตัง้ ใจงดเวนในขณะน้ัน เชน เห็นทรัพยของผูอ่ืนวางไวตนหยิบถือเอาไป แตมาคิดวาคนอยาง
ตนไมเคยขโมยของๆ ใคร การต้ังใจงดเวนเหตุการณท่ีประจวบเขาเชนนี้ เรียกวา สัมปตต
วริ ัติ
๗๓ เร่อื งเดยี วกนั , หนา ๔๔.
ศกึ ษาเฉพาะเรือ่ งในพฒั นาการแหงพระพุทธศาสนา ๑๐๙
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๓. สมุจเฉทวิรัติ หมายความวา ละเวนไดเด็ดขาด ไดแก การละเวนของพระ
อริยบุคคลต้ังแตพระโสดาบันข้ึนไป ทานงดเวนจากการประพฤติผิดศีลหาไดอยางเด็ดขาด
โดยไมตอ งสมาทาน เพราะจิตของทา นเหลานนั้ เหน็ โทษของการไมม ีศลี อยา งแทจรงิ ๗๔
ดังน้ัน ทุกศาสนามีขอหามที่ไมควรปฏิบัติและมีขอควรปฏิบัติ หรือตองปฏิบัติ
ดวยกันท้ังน้ัน ขอควรปฏิบัติเปนฝายของพระธรรมคําสอน สวนขอเวนไมควรปฏิบัติเปน
ฝา ยศีลหรือวินัย พรอมขอบัญญัติของศาสนาน้ันๆ สําหรับศาสนาพุทธขอท่ีควรเวน ไมควร
ปฏิบัติ เรียกวา ศีล อันเปนขอปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ ใหเรียบรอย ซ่ึงศีลจะเกิดข้ึนไดก็
ตองอาศัยสมาทานการงดเวนที่เรียกวา วิรัติ ๓ ประการ คือ งดเวนขณะประจวบพบเขา
ในทันที เชน เห็นสตั วท่ีพอจะทํารา ยได คิดจะทาํ รา ยแตเ วนไมฆา ไมท ํารา ย เรียกวา สัมปตต
วิรัติ การงดเวนดวยการสมาทาน หมายความวาต้ังใจไวกอนวาจะรักษาศีล เม่ือพบ
เหตกุ ารณอนั ชวนใหผดิ ศลี เพราะวาตนไดปฏิญาณสมาทานศีลไวเปนตนนี้เรียกวา พระอริย
เจา ศีลหานั้นบุคคลจะลวงไดก็เพราะจิตมีกิเลสทําใหอยากกระทําผิด พระอริยเจาทานละ
กิเลสได จึงหมดปญญาท่ีจะผิดศีล เรียกวา สมุจเฉทวิรัติ ฉะนั้น ผูปฏิบัติตามศีลหาตองมี
วริ ตั ิขอ งดเวนนี้
สรปุ ไดวา การรักษาเบญจศีลน้ันจําเปนตองมีหลักของวิรัติท้ัง ๓ ขอดังกลาว ขอ
งดเวนจากความชั่วทั้งปวง ซ่ึงกําหนดไดตามเหตุการณที่ตนมีเจตนาปฏิบัติศีล ๕ สะอาด
บริสุทธ์ิแหงจิตใจ ถาไมมีวิรัติแลวเมื่อประสบกับสิ่งที่เขามาในที่กอใหเกิดความทุจริตดวย
กาย วาจา และใจ จะไมมีสิ่งยับย้ังอาจลวงละเมิดแหงองคศีล เบญจศีลเปนบทบัญญัติทาง
สังคมที่มนุษยทุกยุคทุกสมัย ไดวางไวเปนหลักปฏิบัติสําหรับการปกครองหมูคณะ เพื่อให
หมูคณะดํารงชีวิตอยูรวมกันอยางสันติสุข ไมเบียดเบียน กัน ไมเอาเปรียบกัน เบญจศีลน้ี
เปนเคร่ืองมืออยางดีสําหรับวัดความเปนมนุษย เปนเครื่องบงช้ีวาผูนั้นมีความเปนมนุษย
สมบูรณหรือไม โดยเรียกวา “มนุษยธรรม” คือ ธรรมท่ีเปนเครื่องกําหนดความประพฤติ
ของมนุษย ธรรมสําหรับวัดความเปนมนุษยของคน ท้ังน้ีเพราะศีลแตละขอนั้นทานวางไว
เพอ่ื ประโยชนแ กม นษุ ย “วริ ตั ิ” จึงเปนเคร่ืองบง ช้วี า มีศีล ๕ ดงั น้ี
๓.๗ ผลลัพธข องการรกั ษาศลี
การรักษาศีลๆ ยอ มอาํ นวยประโยชนแกผูนั้นมากมายเปนประโยชนในชาติน้ี คือ
มีความเย็นใจไมเดือดรอนเพราะเปนผูมีศีล ศีลกอใหเกิดความสงบสุขของสังคม คือเพื่อ
ปองกันการลวงละเมิดสิทธิของผูอื่น อันจะสงผลใหเกิดการทะเลาะเบาะแวง ความ
๗๔ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, เบญจศีล เบญจธรรม (หลักสูตร
ธรรมศกึ ษา ชน้ั ตร)ี , พมิ พครง้ั ที่ ๑๕, (กรุงเทพมหานคร : มหามงกุฎราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๐), หนา ๕๖.
๑๑๐ บทที่ ๓ ขอ ถกเถยี งและการตคี วามศีลในพระพุทธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
หวาดระแวง และความวุนวายในสังคมท่ีเปนเชนน้ีก็เพราะศีลเม่ือบุคคลนําไปปฏิบัติยอม
สามารถพัฒนาจิตใจของผูถือปฏิบัติใหมองเห็นคุณคาของ สัพพสิ่งอยางถองแท สวน
ประโยชนในหนานนั้ กจ็ ะมสี ุคตเิ ปน หรือยังหรือกระทั้งสูพระนิพพานก็เพราะศลี
สาํ ลี รกั สทุ ธี กลาววา ศีลทกุ ระดับนับต้ังแตศลี ๕ จนถึงศีล ๒๒๗ ไลต้ังแตจุลศีล
ไปจนถึงมหาศีล ถาหากผูใดสามารถรักษาคือนําไปปฏิบัติอยางครบถวนสมบูรณ ถึงพรอม
ดว ยศลี จนเปนปกติศีล เปนนิจศีลพัฒนาถึงขั้นปาริสุทธิศีลเปนศีลขั้นอธิศีล ศีลนั้นยอมชวย
ขัดเกลาบํารุงรักษาผูรักษา คือเรารักษาศีล ศีลยอมรักษาเราไมใหตกในท่ีชั่วแนนอน
นอกจากนั้นยังมีผูรูอีกหลายทานไดกลาวถึงอานิสงสของการรักษาศีลไวมากมายหลายที่
หลายแหง แตก พ็ อสรุปรวมไดว า
๑. ศีลขอที่ ๑ การไมฆาสัตวตัดชีวิตน้ัน ทําใหเปนคนอายุยืนไมมีโรคภัยไขเจ็บ
เบียดเบียน ไมมีใครปองราย มีแตคนเมตตาปราณี คอยโอบเอ้ือเจือจุนและไดรับการ
สงเคราะห อนเุ คราะหอยเู สมอ ไมม ีศัตรู
๒. ศีลขอที่ ๒ จะเปนคนรักษาทรัพยไดดี ไมมีใครคิดลักขโมย ไมมีใครเอารัดเอา
เปรียบคอยโกงกิน มีแตคนคอยดูแลใหความชวยเหลือ แมไมอยูก็คอยรักษาดูแลทรัพยสมบัติ
ใหทรัพยสินไมเกิดความเสียหาย ไมวาจะเกิดภัยใดๆ ก็ไมอาจทําลายใหสูญส้ิน เชน วาตภัย
อัคคภี ัย โจรภัย ตลอดจนอทุ กภยั กไ็ มมี แมจะเกดิ กไ็ มเกิดเปนเหตุใหแ คลว คลาดจนได
๓. ศีลขอที่ ๓ จะเปนคนมีสุขภาพกาย สุขภาพใจดี ไมพะวง ไมกังวลกับลูกกับ
เมีย ลูกเมียไมสรางความลําบากใจ คนในครอบครัวมีความรักสามัคคีปรองดอง รักกันเปน
อันหนงึ่ อันเดียวกัน สามี/ภรรยาไมนอกใจ ไมมีใครมาทาํ ใหกลัดกลุม เสยี ใจ คนท่ีอยูในความ
ปกครองกว็ า นอนสอนงาย มีภรรยาก็ไมเ ปนคนมกั มากในกาม มลี กู ก็เชอ่ื ฟงในโอวาท
๔. ศีลขอที่ ๔ ทําใหเปนคนพูดจาไพเราะมีวาทศิลป พูดแลวมีอํานาจ มีพลัง มี
ความหลังเหมือนมีมนตศักดิ์สิทธิ์อยูในวาจา พูดกับใครแลวมีเสนหในตัว มีเสียงดังเสียงดี
กองกงั วาน สดใส พลงั กอ งดังไกลไมแหบพรา
๕. ศีลขอที่ ๕ เปนผูมีสติปญญาดีเลิศ มีความคิดความอานเหนือกวาคนทุศีล
ท่ัวไป รางกายสะอาดสดใส ผิวพรรณเปลงปล่ังเนียนนวล ไมเปนคนคิดมาก ไมคิดฟุงซาน
ไมเ ปนโรคประสาทโรคบา ไมเปนคนจูจีข้ บี้ น มีสติสัมปชญั ญะมน่ั คง ไมข ้ีหลงขีล้ ืม๗๕
สรุปไดวา การรักษาศีลอยางมั่นคงไมใหบกพรองดางพรอยนั้นยอมไดอานิสงส
ทันที ขณะปฏิบัติ ขณะรักษา ไดรับผลตั้งแตวินาทีแรกจนถึงอนาคตชาติ (ชาติหนา)
บางครั้งอาจไมช ดั เจนเรือ่ งอานสิ งส เพราะไมปรากฏเปนรูปธรรมใหเห็นและสัมผัสแตะตอง
๗๕ สําลี รักสุทธี, ศีลสุดยอดวินัยของศาสนาพุทธ, (กรุงเทพมหานคร : พัฒนาศึกษา,
๒๕๔๙), หนา ๑๒๐-๑๒๑.
ศึกษาเฉพาะเรื่องในพัฒนาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๑๑๑
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
ไดทนั ทีทันใด หากแตเ รือ่ งของนามธรรมทเ่ี ขา ใจไดยาก ผทู ่ีจะเขาใจมองเห็นไดจะตองเขาใจ
ธรรมชาติของศีลธรรม รูซึ่งถึงความหมายของนามธรรมและสัมผัสไดถึงเร่ืองจิตพอสมควร
อานิสงสของศลี แมจ ะเกดิ ข้ึนไดทันทีท่ีรักษาได แตก็ไมเหมือนการซื้อขายสินคาท่ีปรากฏผล
จากการแลกเปลี่ยนวัตถุไดทันที และผลนั้นจะเกิดท่ีใจคน ที่มีความละเอียดออนกับเรื่องนี้
อยางเขาใจเทาน้นั จงึ จะยอมรบั อานสิ งสของการรักษาศีลทป่ี รากฏในปจจบุ ัน
๓.๘ ประเดน็ ขอ ถกเถียงและการตคี วามศลี ๕ ในพระพทุ ธศาสนา
การศึกษาวเิ คราะหแนวคดิ เกี่ยวกับศลี หาความหมายของศีลในทางพระพุทธศาสนา
และแนวคิดศีลกับเจตนารมณทางสังคมของกลุมนักคิดและนักวิชาการ กลุมผูวิจัยไดนําเสนอ
มาแลวในขางตน และในลําดับตอไปนี้ กลุมผูวิจัยจะไดนําเสนอ การตีความศีลหาของ
เครือขายพุทธศาสนิกเพื่อสังคมนานาชาติ และแนวคิดในการตีความศีล ๕ แนวใหมของ
เครือขายพุทธศาสนิกเพื่อสังคม ซ่ึงสวนใหญไดรับอิทธิพลจากแนวคิดของบุคคลสําคัญอยาง
นอย ๒ ทานดวยกัน คือ พระธรรมปฎก หรือ พระพุทธโฆสาจารย(ป.อ.ปยุตฺโต) ตําแหนง
ปจจุบนั เสนอไวในเรื่องศีลกบั เจตนารมณข องสังคม
พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) สมณศักด์ิปจจุบัน คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย
เปนพระสงฆอีกทานหนึ่งที่พยายามเสนอแนวคิดและฟนฟูศีลในมิติทางสังคมของ
พระพทุ ธศาสนาใหก ลับคืนมาใหม ซง่ึ ทา นมองวาเปนส่ิงท่ีมีอยูแลวแตถูกมองขามไปหรือถูก
มองในเชิงปจเจกจนเกินไป เปนท่ีทราบกันดีวา เรื่องศีลหรือวินัยที่อธิบายตามจารีต
ประเพณีในสังคมไทย สวนใหญก็จะเนนเรื่องของความดีงามสวนบุคคลเปนสําคัญ โดยมอง
เพียงวาสังคมที่ดีเกิดจากการมีปจเจกชนท่ีดีหลายคนมารวมกัน สวนมิติของศีลในดานการ
จดั วางระบบหรือโครงสรางทางสังคมเพื่อสภาพแวดลอมใหเอ้ือตอการพัฒนาคนแทบจะไม
มีการกลาวถึงเลยในสังคมไทย พระธรรมปฎก ไดใหความสําคัญตอเร่ืองนี้มาก โดยทานได
อุทิศพ้ืนที่ในหนังสือพุทธธรรมถึงหนึ่งบท (๒๐ หนากระดาษ) สําหรับอธิบายมิติทางสังคม
ของศีลหรือวินัยเปน การเฉพาะ โดยต้ังช่ือบทวา “ศีลกับเจตนารมณทางสังคม”๗๖ (ตางจาก
พุทธทาสภิกขุที่มองวาธรรมชาติมีเจตนารมณทางสังคม) ทานมองวา หลักคําสอนของ
พระพุทธศาสนาท่ีสะทอนมิตทิ างสงั คมของพระพุทธศาสนาไดอยางเดนชัดที่สุด คือ หลักคํา
สอนในข้ันของศลี หรอื วินัย ดังคํากลา วของทา นทีว่ า
คําสอนและหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา สวนท่ีเกี่ยวของกับสังคม และ
สะทอนเจตนารมณของพระพุทธศาสนาในดานความสัมพันธทางสังคมมากที่สุดก็คือ คํา
๗๖ พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ.
(กรงุ เทพมหานคร: สาํ นกั พมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๒), หนา ๔๓๑-๔๕๑.
๑๑๒ บทที่ ๓ ขอถกเถยี งและการตคี วามศีลในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
สอนและหลักปฏิบัติในขั้นศีล เพราะศีลเปนระบบการควบคุมชีวิตดานนอกเก่ียวดวยการ
แสดงออกทางกายวาจา เปนระเบียบวาดวยความสัมพันธกับสภาพแวดลอม โดยเฉพาะ
อยางย่ิงความสัมพันธระหวางมนุษยดวยกัน การดําเนินกิจการตาง ๆ ของหมูชน การจัด
สภาพความเปนอยูและสิ่งแวดลอมใหเรียบรอยและเก้ือกูลแกการดํารงอยูดวยดีของหมูชน
น้ัน และแกความผาสุกแหงสมาชิกทั้งปวงของหมูชน อันจะเอ้ืออํานวยใหทุกคนสามารถ
บาํ เพ็ญกิจกรณียทด่ี ีงามย่ิง ๆ ข้ึนไป๗๗
ทา นใหมุมมองอีกวา ถาเราไมเขาใจเจตนารมณของศีลในทางสังคมแลว ไมเพียง
เจตนารมณน้ันจะไมขยายกวางออกไปสูการปฏิบัติในสังคมคฤหัสถเทานั้น แมแต
เจตนารมณสวนท่ีมีอยูแลวในวินัยของสงฆเอง ก็จะเลือนลางเหลืออยูเพียงในสภาพของ
พิธีกรรมเทาน้ัน ดวยเหตุนี้ การท่ีจะฟนฟูศีลหรือวินัย ไมควรเนนแตเพียงความเครงครัด
ดานรูปแบบเพียงอยางเดียว ส่ิงท่ีควรทําเพิ่มเติมคือการรักษาเจตนารมณทางสังคมของศีล
หรือวินัยของสงฆใหคงอยู ไมใหเลือนลางเหลืออยูแตในรูปของพิธีกรรมอยางแหงแลง
นอกจากน้ัน ควรขยายเจตนารมณทางสังคมของศีลใหกวางออกไปสูการปฏิบัติในสังคม
คฤหัสถรอบนอกดวย โดยจัดสรรวินัยที่เปนระบบชีวิตและระเบียบสังคมแบบพุทธของ
ชาวบาน ใหเ กิดมขี ึ้นอยา งเหมาะสมกับสภาพแวดลอ มของกาลสมยั ๗๘
วินัยของพระสงฆ เปนระบบท่ีครอบคลุมชีวิตดานนอกของภิกษุสงฆทุกแงทุกมุม
เร่ิมตั้งแตกําหนดคุณสมบัติ สิทธิ หนาที่ และวิธีการรับสมาชิกใหมเขาสูชุมชนคือสงฆ การ
ดูแลฝกอบรมสมาชิกใหม การแตงต้ังเจาหนาท่ีทํากิจการของสงฆพรอมดวยคุณสมบัติและ
หนาท่ีที่กําหนดให ระเบียบเกี่ยวกับการแสวงหา จัดทํา เก็บรักษา แบงสรรปจจัย ๔
ระเบยี บการรับและการจดั แบงสวนอาหาร การทาํ จวี รและขอปฏิบัติเก่ียวกับจีวร ขอปฏิบัติ
ของคนไขและผูรักษาพยาบาลไข การจัดสรรที่อยูอาศัย ขอปฏิบัติของผูอยูอาศัย ระเบียบ
การกอสรางที่อยูอาศัย การดําเนินงานและรับผิดชอบในการกอสราง การจัดผังท่ีอยูอาศัย
ของ ชมุ ชนสงฆวา พึงมีอาคารหรือส่ิงกอสรางใด ๆ บาง ระเบียบวิธีดําเนินการประชุม การ
โจทหรือฟองคดี ขอปฏิบัติของโจทก จําเลยและผูวินิจฉัยคดี วิธีดําเนินคดีและตัดสินคดี
การลงโทษแบบตาง ๆ เปนตน เหลาน้ีลวนแตเปนเรื่องที่ดําเนินตามเจตนารมณทางสังคม
ของศลี ท้งั สิ้น๗๙
๗๗ เรื่องเดยี วกัน, หนา ๔๓๑.
๗๘ เร่อื งเดียวกัน, หนา ๔๕๑.
๗๙ เรอื่ งเดียวกัน, หนา ๔๔๘-๔๔๙.
ศึกษาเฉพาะเร่ืองในพฒั นาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๑๑๓
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
พุทธทาสภิกขุ และพระธรรมปฎก มีจุดเนนในเร่ืองเจตนารมณทางสังคมของ
พระพุทธศาสนาแตกตางกัน คือ ทานแรกเนนท่ีธรรมหรือธรรมชาติวามีเจตนารมณทาง
สงั คม สว นทานหลังเนนเร่ืองบัญญัติหรือวินัยวามีเจตนารมณทางสังคม กลาวคือ พุทธทาส
ภกิ ขมุ องวาการทพี่ ระพุทธเจาทรงบัญญัติวินัยใหเจตนารมณทางสังคม ก็เพราะเจตนารมณ
ของธรรมกําหนดใหตองบัญญัติอยางนั้น สวนพระธรรมปฎก มองวาศีลหรือวินัยมี
เจตนารมณทางสงั คม แตไ มไดย ืนยันวาธรรมมเี จตนารมณทางสังคมหรือไม เพียงแตบอกวา
การบัญญัติวินัยท่ีดีตองตั้งอยูบนฐานของธรรม คือตองเกิดจากความรูความเขาใจอยาง
ถกู ตอ งในธรรม ดังทที่ า นกลา วไวว า
ธรรมจึงเปนทั้งฐานของวินัย และเปนทั้งจุดหมายของวินัย (๑) ท่ีวาเปนฐาน
หมายความวา ตองรูความจริงของกฎธรรมชาติ จึงจะสามารถมาจัดตั้งวางระบบแบบแผน
ในหมูมนุษยเพ่ือใหมนุษยไดประโยชนจากธรรมน้ันได ถาไมรู การจัดตั้งก็ผิดพลาดหรือไร
ความหมาย (๒) ทีว่ า เปนจุดหมายคือ การที่ใหมนุษยมาอยูรวมกัน และมีการจัดตั้งระเบียบ
แบบแผนท้งั หมดนั้น ก็เพ่อื ชว ยใหมนุษยเขาถงึ และไดรับประโยชนจากธรรมน่นั เอง๘๐
จะเหน็ วา การทพี่ ระธรรมปฎกบอกวาธรรมเปนรากฐานของวินัยนั้น ดวยเหตุผล
ที่วา วินยั ถูกบัญญัติขึน้ โดยพระพุทธเจาผูทรงรคู วามจริงของธรรมหรอื กฎธรรมชาติ และการ
ที่พระองคบัญญัติวินัยใหมีเจตนารมณทางสังคมนั้น ทานก็ไมไดยืนยันวา เพราะกฎ
ธรรมชาตมิ เี จตนารมณทางสังคมบังคับอยู จึงตองบัญญัติวินัยใหมีเจตนารมณตามนั้น ทาน
เพียงแตบ อกวา การบญั ญัติจดั วางวินัยใหมีเจตนารมณทางสังคม จะเปนสภาพแวดลอมที่ดี
(ปรโตโฆสะ) หรือเกื้อกูลใหคนท่ีอยูในสังคม (สังฆะ) ไดพัฒนาตนใหเขาถึงความจริงของ
ธรรมชาติไดเร็วขึ้น ๓) แนวคิดสังคมคือโครงสรางของศีลธรรม : ผูท่ีเสนอแนวคิดน้ีข้ึนมา
คือ นายแพทย ประเวศ วสี โดยไดรับอิทธิพลท้ังจากแนวคิดของพุทธทาสภิกขุ และพระ
ธรรมปฎกดังที่กลาวมาแลว นพ. ประเวศ มองวา ศีลธรรมหรือศาสนาเหมือนกับสถาบัน
ทางสังคมอื่น ๆ คือตองมีองคประกอบสําคัญ ๒ สวน ไดแก (๑) สวนที่เปนโครงสราง และ
(๒) สวนท่ีเปนเคร่ืองตกแตง สวนท่ีเปนโครงสรางก็คือสถาบันทางสังคม เชน สถาบัน
ครอบครัว สถาบนั ชมุ ชน และสว นทเ่ี ปนเครือ่ งตกแตง ไดแก หลักศีลธรรมหรือหลักคําสอน
ทางศาสนาท่ีเรานํามา อบรมส่ังสอนกัน สวนที่ถือวาสําคัญท่ีสุด คือสวนท่ีเปนโครงสราง
เพราะเปนหลักคํ้าประกันหรือเปนฐานรองรับศีลธรรม ถาสวนที่เปนโครงสรางน้ีลมสลาย
เสียแลว กไ็ มสามารถท่ีจะปลูกฝง ศีลธรรมใหเ กดิ ขึ้นในสงั คมได
๘๐ พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), นิติศาสตรแนวพุทธ, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท
สหธรรมกิ จาํ กดั , ๒๕๓๙), หนา ๑๘.
๑๑๔ บทที่ ๓ ขอถกเถยี งและการตคี วามศีลในพระพุทธศาสนา
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
พระติช นัท ฮันห: สังคมอินเดียโบราณอันเปนบริบทแวดลอมแหงการเกิดข้ึน
ของพระพุทธศาสนา เปนสังคมแบบเกษตรกรรม สภาพของปญหาและความซับซอนของ
ปญหาไมอาจจะเทียบไดกับปญหาของสังคมปจจุบัน แนนอนวาศีล ๕ ซึ่งเปนหลักพุทธ
จริยธรรมทมี่ ุงเนนการแกป ญ หาสงั คม จงึ ถูกออกแบบมาใหส อดคลองกับปญหาจริยธรรมใน
สงั คมเกษตรกรรม สามารถใชอธบิ ายปรากฏการณท างศีลธรรมที่เปนความผิดตรงไปตรงมา
เทา นั้น เชน ศลี ขอ ปาณาติบาต พระอรรกถาจารยไดสรางเกณฑตัดสินไววา (๑) สัตวมีชีวิต
(๒) รูวาสัตวนั้นมีชีวิต (๓) มีจิตคิดจะฆา (๔) พยายามฆา (๕) สัตวตายดวยความพยายาม
ฆานั้น๘๑ ถา ครบองคประกอบทั้ง ๕ ประการนี้จึงถือวาละเมิดศีลขอนี้ เกณฑวินิจฉัยเหลาน้ี
สามารถอธิบายปญหาทาง จริยธรรมในสังคมเกษตรกรรมซึ่งเปนปญหาแบบงาย ๆ
ตรงไปตรงมา แตเ มื่อสงั คมเร่ิมเปลีย่ นแปลงจากสังคมเกษตรกรรมโบราณมาเปนสังคมแบบ
ใหมทคี่ อย ๆ ทวีความซับซอนมากยง่ิ ขึ้น จึงมีคําถามตามวา การฆาในศีลขอนี้มีความหมาย
แคไหน มีความหมายตรง ๆ ตามตัวอักษรเทานั้น (คือลงมือฆาดวยอาวุธ ยาพิษ หรือ
อปุ กรณพเิ ศษอนื่ ๆ) หรือวาการฆาอาจครอบคลุมมาถึงการปลอยใหตายอยางท่ีเรียกกันใน
ปจจุบันวาการุณฆาตแบบลบ (negative euthanasia) หรืออาจรวมถึงการปลอยสารพิษ
จากโรงงานแลวสรา งมลพิษที่บ่ันทอนสุขภาพของผูคน แมการุณฆาตแบบบวกอันไดแกการ
ทําใหตายเพราะความเมตตาก็อาจกอใหเกิดคําถามไดวาผิดศีลขอปาณาติบาตหรือไม๘๒ นี่
คือสวนหน่ึงของปญหาทาทายในสังคมยุคใหมที่ทําใหชาวพุทธหลายทานใหความสนใจกับ
การตีความศีล ๕ แนวใหมใหสามารถตอบประเด็นปญหาทางจริยธรรมที่เกิดข้ึนใหม ๆ ได
ดังคํากลาวของพระติช นัท ฮันห ที่วา “ศีลหาเปนของเกาแกมาก ซ่ึงยอนกลับไปไดถึงสมัย
พุทธกาล พวกเรารูสึกวามันควรไดรับการพูดเสียใหม ควรไดรับการพูดถึงอีกครั้งใน
ความหมายท่เี ขา ใจไดง า ยขึ้นสําหรบั คนในปจ จุบัน”๘๓
พระติช นัท ฮันห มีการตีความศีล ๕ แนวใหม ดังน้ัน การตีความศีลขอ
ปาณาติบาต : หลักการสมาทานศีลขอท่ี ๑ วา “ดวยความตระหนักรูถึงความทุกขทรมาน
อันเกดิ จากการทาํ ลายชีวติ ฉนั ขอตงั้ สัตยปฏญิ าณวา จะบมเพาะความกรณุ า และเรียนรูวิธีท่ี
จะปกปอ งชีวิตของผูคน สรรพสัตว พืช และแรธาตุ ฉันต้ังจิตม่ันท่ีจะไมทําลายชีวิต ไมยอม
ใหผูอ่ืนทําลายชีวิต และจะไมมองขามการทําลายชีวิตโลกน้ี ในมโนสํานึกและวิถีชีวิตของ
๘๑ ข.ุ ข.ุ อ. (บาลี) ๒๒-๒๓.
๘๒ สมภาร พรมทา, พุทธปรัชญา มนุษย สังคม และปญหาจริยธรรม ธรรม,
(กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพจ ฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๒), หนา ๓๕๐-๓๕๑.
๘๓ พทุ ธศาสนาสําหรับสังคมสมัยใหม, สนทนากับติช นัท ฮันห, เสขิยธรรม ๔๗, (มกราคม-
มีนาคม, ๒๕๔๔) : ๒๖.
ศึกษาเฉพาะเรือ่ งในพัฒนาการแหงพระพุทธศาสนา ๑๑๕
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
ฉนั ”๘๔ จะเหน็ วา ขอบเขตของศลี ขอ นใ้ี หครอบคลุมมิติทั้ง ๔ ดาน (๑) จิตใจที่ตระหนักรูถึง
ความทุกขของสัตวที่จะไดรับจากการถูกฆาหรือถูกเบียดเบียน (๒) การงดเวนไมเบียดสัตว
(๓) การปกปองสัตวไมใหไดรับการเบียดเบียน และ (๔) การขัดขวางมิใหผูอ่ืนฆาหรือ
เบยี ดเบียนสัตว
นอกจากนั้น ความเมตตากรุณาถือวาเปนรากฐานสําคัญท่ีจะทําใหรักษาศีลได
อยางย้ังยืน ดังคํากลาวของทานท่ีวา สุลักษณ ศิวรักษ มองวา ศีลขอนี้นอกจากจะหมายถึง
การไมฆาสัตวแลว ยังขยายความไปถึงความขัดแยงท้ังภายในและภายนอกท่ีนําไปสูการใช
ความรุนแรงหรือขบวนการที่สนับสนุนความรุนแรงในสังคม เชน การผลิตอาวุธสงคราม
และอาวธุ ทกุ อยางทีน่ ําไปสูก ารคุกคามส่งิ มชี วี ติ ๘๕
การตีความศีลขออทินนาทาน : หลักการสมาทานศีลขอที่ ๒ วา “ดวยการ
ตระหนักถึงความทุกขทรมานอันเกิดจากการขูดรีด การลักขโมย และการกดขี่ ฉันตั้งสัตย
ปฏิญาณวาจะบมเพาะความรักความเมตตา และเรียนรูวิธีท่ีจะทําใหผูคน สรรพสัตว พืช
และแรธาตุ ฉันต้ังสัตยปฏิญาณท่ีจะเอ้ือเฟอเผ่ือแผโดยการแบงเวลา พลังงาน และวัตถุ
ใหแกผูท่ีมีความจําเปนตองใช ฉันต้ังจิตมั่นที่จะไมลักขโมยและไมครอบครองส่ิงท่ีควรเปน
ของผูอ่ืน ฉันจะเคารพในทรัพยสมบัติของผูอื่น และจะปองกันไมใหผูอื่นหาประโยชนจาก
ความทุกขทรมานของเพ่ือนมนุษย หรือความทุกขทรมานของสรรพส่ิงตาง ๆในโลกน้ี”๘๖
จะเห็นวา ขอบเขตของศีลขอที่ ๒ ตามทัศนะของพระติช นัท ฮันห ครอบคลุมถึงมิติถึง ๔
ดาน (๑) ดานจิตสํานึกที่ตระหนักถึงความทุกขทรมานของสัตวที่จะไดรับจากการถูกลัก
ขโมย (๒) ดานการแบงปนเวลา พลังงาน และสิ่งของใหแกผูจําเปนตองใช (๓) ดานการงด
เวนจากการขโมยทรัพยสินของผูอ่ืน (๔) ดานการปองกันไมใหผูอื่นหาผลประโยชนจาก
ความทุกขทรมานของเพื่อนมนุษย
การตีความศีลขอกาเมสุมิจฉาจาร: หลักการสมาทานศีลขอท่ี ๓ วา “ดวยการ
ตระหนักรูถึงความทกุ ขท รมานอันเกิดจากการประพฤติผิดในกาม ฉันตั้งสัตยปฏิญาณวาจะ
มีความรับผิดชอบและเรียนรูวิธีที่จะคุมครองปองกันความปลอดภัยและเกียรติยศของ
๘๔ ติช นัท ฮันห เขียน, แปลโดย ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน,ศานติในเรือนใจ : เรียนรูศิลปะ
การดาํ เนินชีวติ อยา งมีสติและผาสุก, (กรงุ เทพมหานคร : สํานกั พมิ พม ลู นิธโิ กมลคมี ทอง, ๒๕๔๓), หนา
๘๘-๑๐๓.
๘๕ อางใน Kenneth Kraft, ed., Inner Peace, Inner World : Assays on Buddhism
and Non-violence, p. 127-133.
๘๖ ติช นัท ฮันห เขียน, แปลโดย ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน, ศานติในเรือนใจ : เรียนรูศิลปะ
การดาํ เนินชวี ติ อยางมีสตแิ ละผาสกุ . หนา ๘๘-๑๐๓.
๑๑๖ บทท่ี ๓ ขอ ถกเถียงและการตคี วามศลี ในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
ปจเจกบุคคลคูสมรส ครอบครัว และสังคม ฉันตั้งใจที่จะไมมีเพศสัมพันธโดยปราศจาก
ความรักและพันธสัญญาท่ียาวนาน เพื่อท่ีจะปกปกรักษาความสุขของตนเองและผูอ่ืน ฉัน
ตั้งจิตมั่นท่ีจะเคารพในพันธสัญญาของฉันและผูอื่น จะทําทุกอยางตามกําลังความสามารถ
ในอันที่จะปองกันเด็ก ๆ จากการถูกทารุณกรรมทางเพศ และปองกันไมใหคูสมรสและ
ครอบครัวแตกแยกเนื่องจากการประพฤติผิดทางเพศ” จะเห็นวา หลักการสมาทานนี้ ได
แบงมิติของศีลขอกาเมสุมิจฉาจารเปน ๔ ดาน คือ (๑) ดานความตระหนักรูถึงความทุกข
ทรมานอันเกิดจากการประพฤติผิดในกาม (๒) ดานการตั้งปฏิญาณที่จะรับผิดชอบและ
ปกปองคุมครองความปลอดภัยและเกียรติยศของปจเจกบุคคล คูสมรส ครอบครัว และ
สังคม (๓) ดานความเคารพในพันธสัญญาของตนเองและคนอ่ืน (๔) ดานการปองกันเด็กๆ
จากการถกู ทารุณกรรมทางเพศ (๕) ดานการปองกันคสู มรสไมใหแตกแยกจากการประพฤติ
ผดิ ทางเพศ๘๗
การตีความศีลขอมุสาวาท : หลักการสมาทานศีลขอนี้วา “ดวยการตระหนักรู
ถึงความทุกขจากการกลาวถอยคําท่ีขาดความยั้งคิดและระคายหูผูอ่ืน ฉันต้ังสัตยปฏิญาณ
วาจะกลา ววาจาทไ่ี พเราะและฟงอยา งตง้ั ใจเพอื่ ทีจ่ ะนาํ มาซง่ึ ความสดชื่นรื่นเริงและความสุข
ของผูอื่น และบรรเทาความทุกขทรมานของพวกเขาดวยการรูวาถอยคํานั้นสามารถ
สรางสรรคไ ดทั้งความสุขหรอื ความทุกขทรมาน ฉันตั้งสัตยปฏิญาณที่จะเรียนรูการพูดความ
จริงดวยถอยคําท่ีบันดาลใหเกิดความม่ันใจในตนเอง ความสดชื่นร่ืนเริงและความหวัง ฉัน
ตง้ั จติ มั่นที่จะไมก ระจายขา วทีฉ่ นั ไมรจู ริง และไมวิพากษว จิ ารณหรือตําหนิติเตียนในสิ่งที่ฉัน
ไมแนใจ ฉันจะละเวนจากการพูดจาซ่ึงอาจเปนสาเหตุใหเกิดความแตกแยก หรือความ
ขัดแยงหรือทําใหครอบครัวหรือชุมชนแตกสลาย ฉันจะพยายามทุกวิธีทางท่ีจะ
ประนีประนอม และแกไขความขดั แยงตา ง ๆ ไมว าจะใหญหรอื เลก็ เพยี งใด”๘๘
หลักการสมาทานน้ี แยกไดเปน ๔ ดาน คือ
(๑) ดานจิตสาํ นึกที่ตระรถู ึงความทกุ ขท รมานของสัตวอันเกิดจากการพูดปด และ
การพดู ทีร่ ะคายโสตคนอนื่
(๒) ดานการต้ังสตั ยปฏญิ าณทจ่ี ะกลาวถอ ยคําไพเราะและฟงคนอื่นพูดดวยความ
ตั้งใจ
(๓) ดานการละเวนจาการกระจายขาวที่ตนไมรูจริง จากการวิพากษวิจารณและ
การตาํ หนิตเิ ตยี น จากการพูดจาสอ เสยี ดใสรายปา ยสใี หเ กิดความขัดแยงและแตกแยก
(๔) ดา นความพยายามท่ีจะหาทางประนปี ระนอมและแกไขความขัดแยงตา ง ๆ
๘๗ อางแลว .
๘๘ อางแลว.
ศึกษาเฉพาะเร่อื งในพัฒนาการแหงพระพทุ ธศาสนา ๑๑๗
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
การตีความศีลขอสุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน : หลักการสมาทานศีลขอนี้วา
“ดวยการตระหนักรูถึงความทุกขอันเกิดจากการบริโภคท่ีขาดสติ ฉันต้ังสัตยปฏิญาณที่จะ
รกั ษาสขุ ภาพท้งั ทางรางกายและจิตใจเพอื่ ตวั ฉันเอง ครอบครัวและสังคมของฉันโดยการกิน
ด่ืม และบรโิ ภคอยา งมสี ติ ฉันตั้งสัตยปฏิญาณที่จะบริโภคแตส่ิงท่ีถนอมรักษาศานติ ความมี
สขุ ภาพดแี ละความสดชืน่ รืน่ เรงิ ในรา งกายและจิตสํานึกของฉันและในรางกายและจิตสํานึก
ของครอบครัวและสังคม ฉันตัง้ จติ มั่นทีจ่ ะไมด ่มื เหลา หรอื เคร่ืองดองของเมาอื่นใด หรือเสพ
รบั อาหารหรือสง่ิ อ่ืน ๆ ท่มี พี ิษภยั เชน รายการโทรทัศน นิตยสาร หนังสือ ภาพยนตร และ
การสนทนา ฉันตระหนักวาการบ่ันทอนทําลายรางกาย หรือจิตสํานึกของฉันดวยพิษภัย
เหลานี้เปนการไมซ่ือสัตยตอบรรพบุรุษพอแม สังคมของฉัน รวมทั้งคนรุนตอไปดวย ฉันจะ
ทาํ การเปลยี่ นแปลงความรุนแรง ความหวาดกลวั ความโกรธ และความสับสนในตัวฉันและ
ในสังคม ดวยการฝกการบริโภคเพื่อตัวฉันและสังคม ฉันตระหนักวาอาการท่ีถูกตอง
เหมาะสมนั้นเปน สิ่งสําคัญยง่ิ ในการเปล่ยี นแปลงตนเองและสงั คม”๘๙
มิติของศีลขอน้ีในทัศนะของพระติช นัท ฮันห มี ๔ ดาน คือ (๑) ดานความ
ตระหนักรูถึงความทุกขอันเกิดจากการบริโภคที่ขาดสติ (๒) ดานการต้ังสัตยปฏิญาณที่จะ
รักษาสุขภาพกายและจิตใจของตัวเอง ครอบครัวและสังคม โดยการกิน ด่ืม และบริโภค
อยางมีสติ (๓) ดานการตั้งสัตยปฏิญาณท่ีจะบริโภคแตส่ิงที่ทําใหรางกายและจิตใจของตน
ครอบครัว และสังคม มีสุขภาพดีและราเริงแจมใส (๔) ดานการต้ังจิตมั่นท่ีจะไมดื่มเหลา
เคร่อื งดองของเมา อาหาร หรือส่งิ อ่ืน ๆ ท่ีมพี ิษภัย เชน รายการโทรทัศน นิตยสาร หนังสือ
ภาพยนตร และการสนทนา (๕) ดานการตระหนักวา การบั่นทอนทําลายรางกาย หรือจิต
วิญญาณของตนดวยพิษภัยเหลาน้ีเปนการไมซื่อสัตยตอบรรพบุรุษ พอแม และสังคม
รวมท้ังคนรุนตอไป (๖) ดานความต้ังใจท่ีจะเปล่ียนแปลงความรุนแรง ความหวาดกลัว
ความโกรธ และความสับสนในตัวเองและสังคม ดวยการฝก การบริโภค
เม่ือวาโดยสรุปแลว แมกลุมชาวพุทธเพื่อสังคมจะใหความหมายศีล ๕ แตกตาง
กันบางในรายละเอียด แตมีความเห็นรวมกันอยางหนึ่งวา ศีล ๕ มีสวนประกอบ ๒ อยาง
คือ สว นทเ่ี ปนเจตนารมณด ั้งเดิมของศีล และสว นทเ่ี ปน คําอธิบายหรือคํานิยามของศีล สวน
ที่เปนเจตนารมณของศีล คือ ความมีสติ ความรักความสงสาร (กรุณา) ปรารถนาที่จะให
มนุษยและสรรพสัตวอยูรวมกันอยางมีความสุข ไมมีการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน หรือถา
พูดอยา งรวบรดั เจตนารมณข องศลี กค็ ือเรื่องของสงั คมนัน่ เอง
๘๙ อางแลว .
๑๑๘ บทที่ ๓ ขอถกเถียงและการตีความศลี ในพระพทุ ธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
สวนที่เปน เจตนารมณน ี้จะแกไขเปลยี่ นแปลงไมไ ด สวนคํานิยามของศีล หมายถึง
การนิยามความหมายของศีลแตละขอใหสอดคลองกับปญหาสังคมแตละยุคสมัย ชาวพุทธ
กลุมน้ีมองวา ในอดีตความหมายของศีล ๕ ไดรับการนิยามใหเหมาะสมกับสังคมแบบ
เกษตรกรรมที่มีปญหาไมสลับซับซอนอะไรมากนัก แตปญหาสังคมยุคใหมมีความ
สลับซบั ซอนมาก การฆา การลักทรพั ย การประพฤติผิดในกาม การโกหกหลอกลวง และสิ่ง
มอมเมาประชาชน ก็มีรูปแบบท่ีซับซอนแนบเนียนจนแทบจะดูไมออกวาผิดศีลหรือไมผิด
ดว ยเหตนุ ี้ ความหมายของศลี ๕ ในสังคมปจ จบุ ันจะตอ งไดรับการนิยามใหมเพ่ือใหสามารถ
ตอบปญ หาสังคมยคุ ใหมได
๓.๙ วิเคราะหก ารตคี วามศลี ๕ ของพุทธศาสนิกชน
พระพุทธเจาตรัส เรื่องศีล ๕ ไวในสมัยพุทธกาล เปนการแสดงขึ้นมาทามกลาง
สภาพปญหาสังคมแบบหนึ่งซ่ึงแตกตางจากปญหาสังคมสมัยปจจุบันมาก ดังนั้น ศีล ๕ ที่
พระองคแสดงจึงมีลักษณะกวางๆ โดยเนนไปท่ีการมีจิตสํานึกแบบเอาใจเขามาใสใจเราวา
คนอ่ืนเขารักสุขเกลียดทุกขฉันใด เราก็รักสุขเกลียดทุกขฉันน้ัน คนอ่ืนยอมไมชอบใจเมื่อ
ของเขาถูกขโมย ภรรยาสามีถูกลวงละเมิด และถูกหลอกลวงดวยวาจา ฉันใด เราก็ไมชอบ
ใจเม่ือของถูกขโมย ภรรยาสามีถูกละเมิด และถูกหลอกลวง ฉันนั้น จิตสํานึกน้ีเองเปน
รากฐานสาํ คัญในการรกั ษาศลี ๕ ดงั พทุ ธพจนท ่วี า
อริยสาวก พิจารณาเห็นดังน้ี ‘เราอยากเปนอยู ไมอยากตาย รักสุขเกลียดทุกข
ขอ ทบี่ คุ คลพึงปลงชวี ติ เราผูอยากเปนอยู ไมอยากตาย รักสุขเกลียดทุกขนั้น ไมเปนท่ีรัก ไม
เปนทพ่ี อใจของเรา อนึ่ง ขอ ท่ีเราพงึ ปลงชีวติ ผูอ ่นื ผอู ยากเปนอยู ไมอ ยากตาย รักสุขเกลียด
ทุกขน ั้น ก็ไมเ ปนทรี่ กั ไมเปนที่พอใจแมของผูอ่ืน สิ่งใดไมเปนที่รักไมเปนท่ีพอใจของเรา ส่ิง
น้ันก็ไมเปนท่ีรัก ไมเปนท่ีพอใจแมของผูอ่ืน ส่ิงใดไมเปนท่ีรัก ไมเปนท่ีพอใจของเรา เราจะ
นําสิ่งนั้นไปผูกมัดกับผูอ่ืนไดอยางไร’ อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นอยางนี้แลว เปนผูเวนขาด
จากการฆาสัตวเองดวย ชักชวนผูอ่ืนใหงดเวนจากการฆาสัตวดวย กลาวสรรเสริญการงด
เวนจากการฆาสตั วดว ย๙๐
ในยุคตอมาเม่ือสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป ปญหาการถกเถียงกันเกี่ยวกับวา
พฤติกรรมอยางไรผิดหรือไมผิดศีล ๕ หรือถาบอกวาผิดหรือไมผิดมีหลักอะไรเปนเกณฑ
ตดั สิน ปญ หาในลักษณะนคี้ งจะหาเหตุผลมาอธบิ ายใหเ ปน ทีย่ ุติไดยากพอสมควร พระอรรถ
กถาจารยผูแตงคมั ภรี อ ธิบายขอความในพระไตรปฎ ก คงจะมองเห็นวาปญ หายุงยากน้ี จึงได
แสดงองคห รอื เกณฑตัดสนิ ศลี ๕ แตล ะขอ ไวดงั น้ี
๙๐ สํ.มหา. (ไทย) ๑๙/๑๔๕๙/๓๕๔.
ศึกษาเฉพาะเรอ่ื งในพัฒนาการแหง พระพุทธศาสนา ๑๑๙
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๑) ปาณาติบาต มีองค ๕ คือ (ก) สัตวมีชีวิต (ข) รูอยูสัตวมีชีวิต (ค) มีจิตคิดจะ
ฆา (ง) มคี วามพยายามในการฆา (จ) สตั วต ายดว ยความพยายามนนั้
๒) อทินนาทาน มีองค ๕ คือ (ก) ของผูอ่ืนหวงแหน (ข) รูอยูวาเขาหวงแหน (ค)
มีจติ คิดจะลัก (ง) มีความพยายามลัก (จ) ลักของไดด ว ยความพยายามนน้ั
๓) กาเมสมุ ิจฉาจาร มีองค ๔ คือ (ก) สตรีหรือบุรุษท่ีไมควรละเมิด (ข) จิตคิดจะ
เสพ (ค) มีความพยายามในการเสพ (ง) ยังมรรค คือ อวยั วะสบื พนั ธใุ หถ งึ กนั
๔) มุสาวาท มอี งค ๔ คอื (ก) เรือ่ งไมจ รงิ (ข) จติ คดิ จะกลา วใหค ลาดเคลอ่ื น
(ค) มคี วามพยายามทจ่ี ะกลาวใหคลาดเคลือ่ น (ง) ผูอื่นเขา ใจความที่พดู นนั้
๕) สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน มีองค ๕ คือ (ก) สิ่งนั้นเปนของเมา (ข) จิตใครจะ
ดื่ม (ค) มคี วามพยายามในการดม่ื (ง) กลืนใหล ว งลาํ คอลงไป๙๑
นอกจากแสดงเกณฑส ําหรบั ตัดสินวาผดิ หรอื ไมผ ดิ ศีลแลว พระอรรถกถาจารยยัง
ไดแสดงเกณฑตัดสินในแงของการผิดศีลท่ีมีโทษมากและโทษนอยดวย โดยวางเกณฑการ
ตัดสินไวดังน้ี (๑) คุณ : ฆาสัตวมีคุณมาก ก็มีโทษมาก ฆาสัตวมีคุณนอยหรือไมมีคุณ ก็มี
โทษนอย เชน ฆาพระอรหนั ตม ีโทษมากกวา ฆา ปุถุชน ฆา สัตวชวยงานมีโทษมากกวาฆาสัตว
ดุรา ย (๒) ขนาดกาย : สําหรับสัตวจําพวกดิรัจฉานทั่วไปที่ไมมีคุณเหมือนกัน ฆาสัตวใหญก็
มีโทษมาก ฆาสัตวเล็กมีโทษนอย (๓) ความพยายาม : ถามีความพยายามในการฆามากก็มี
โทษมาก ถา มีความพยายามในการฆา นอ ยก็มีโทษนอย (๔) กิเลสหรือเจตนา : ถากิเลสหรือ
เจตนาแรงก็มีโทษมาก ถากิเลสหรือเจตนาออนก็มีโทษนอย เชน ฆาสัตวดวยโทสะ มีโทษ
มากกวาฆา ดวยปองกันตัว๙๒
แมในศีลขออื่น ๆ พระอรรถกถาจารยก็กลาวถึงการละเมิดท่ีมีโทษมากหรือโทษ
นอ ยไวแ นวเดยี วกัน เชน อทนิ นาทานมีโทษมากหรือนอยตามคุณคาของสิ่งของ คุณความดี
ของเจาของ และความพยายามในการลัก กาเมสุมิจฉาจาร มีโทษมากหรือนอยตามคุณ
ความดีของคนที่ถูกละเมิด ความแรงของกิเลสและความเพียรพยายาม มุสาวาทมีโทษมาก
หรือนอ ย แลวแตประโยชนท่จี ะถกู ตัดรอนเปน เรื่องใหญหรือเร่ืองเล็กนอย และแลวแตผูพูด
เชน คฤหัสถจะไมใหของของตน พูดไปวาไมมี ก็ยังมีโทษนอย ถาเปนพยานเท็จมีโทษมาก
สาํ หรับบรรพชติ พูดเลนมโี ทษนอย จงใจบอกของที่ไมเ คยเหน็ วา เห็น มีโทษมาก สําหรับการ
ดื่มของเมา มีโทษมากนอยตามอกุศลจิตหรือกิเลสในการท่ีจะดื่ม ตามปริมาณที่ด่ืม และ
๙๑ ข.ขุ.อ. (บาลี) ๒๒., ขุ.อิติ.อ. (บาลี) ๒๙๙-๓๐๔., มงฺคล.(บาลี) ๑/๑๙๙-๒๒๔/๒๐๐-๒๑๗.
อางใน พระมหาสมบูรณวุฑฺฒิกโร,ดร., พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม, https://www.gotoknow.org/posts
/396207. [วันท่ี ๑๕ มิถนุ ายน ๒๕๖๐].
๙๒ ข.ข.ุ อ. (บาล)ี ๒๒., ข.ุ อิต.ิ อ. (บาลี) ๒๙๙-๓๐๔., มงคฺ ล.(บาล)ี ๑/๑๙๙-๒๒๔/๒๐๐-๒๑๗.
๑๒๐ บทที่ ๓ ขอ ถกเถยี งและการตีความศลี ในพระพุทธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
ตามผลท่ีจะกอใหเกิดการกระทําผิดพลาดช่ัวราย ถามองในแงของการสรางจิตสํานึกหรือ
ความรูแบบเอาใจเขามาใสใจเรา ถือวาเปนจิตสํานึกท่ีตระหนักรูและมีความรับผิดชอบตอ
ตนเองและสงั คม
ดังขอความของพุทธพจนท่ียกมาขางตนวา “อริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นอยางน้ี
แลว เปน ผเู วนขาดจากการฆาสตั วเองดวย ชักชวนผูอ่ืนใหงดเวนจากการฆาสัตวดวย กลาว
สรรเสริญการงดเวนจากการฆาสัตวดวย” (ในศีลขออื่น ๆ ก็มีขอความอยางเดียวกันนี้)
ผูเขียนมองวา พุทธพจนน้ีคอนขางจะสอดคลองกับการตีความศีล ๕ แนวใหมของพระติช
นัท ฮันห ที่กลาวมาแลวขางตน การตีความของพระอรรถกถาจารยในยุคหลังพุทธกาลท่ี
เนนการสราง กฎเกณฑท่ีรอบคอบรัดกุม แมจะมีประโยชนในแงท่ีใหความสะดวกในการ
วินิจฉัยหรือชี้ชัดลงไปวาพฤติกรรมน้ันๆ เขาขายผิดศีลหรือไมผิด แตในขณะเดียวกัน
กฎเกณฑเหลาน้ีก็มีสวนทาํ ใหศลี แตละขอ มลี กั ษณะหยุดนิ่งตายตัวและมีขอบเขตคับแคบลง
จนกลายเปนเร่ืองของพฤติกรรมสวนตัวของแตละบุคคล และเกณฑสําหรับวินิจฉัยการ
ละเมิดศีลแตละขอก็มุงการตัดสินพฤติกรรมทางศีลธรรมท่ีบุคคลหน่ึง ๆ กระทําขึ้นเทาน้ัน
บางครั้งการรักษาศีลก็กลายเปนเพียงการเฝาระวังพฤติกรรมของใครของมันไมใหเขาขาย
การผิดศีลตามเกณฑที่ต้ังเอาไวเหมือนกับการระวังตนไมใหผิดกฎหมายบานเมือง ซึ่งการ
รักษาศลี แบบน้ีอาจจะไมไ ดม าจากจิตสํานึกทมี่ องกวางออกไปถึงประโยชนท่ีสังคมจะไดรับก็
ได ในท่ีสุดจิตสํานึกหรือเจตนารมณอันกวางขวางที่อยูเบ้ืองหลังการรักษาศีล ๕ ท่ี
พระพทุ ธเจา แสดงไวกห็ มดความสําคญั ลง
ปจจุบันการขยายขอบเขตของศีลหรือวินัยเพื่อใหครอบคลุมประเด็นปญหาใหม ๆ
ในสังคมไมใชวาจะไมเคยเกิดข้ึนในสมัยพุทธกาล แมพระพุทธเจาเองก็ทรงปรับปรุงแกไขพระ
วินัยท่ีพระองคทรงบัญญัติไวเองบอย ๆ ในกรณีท่ีพฤติกรรมการละเมิดพระวินัยของพระภิกษุ
มีความซับซอนมากขึ้น เชน ปาราชิกขอท่ี ๑ ที่วาดวยการหามเสพเมถุน คร้ังแรกบัญญัติ
ข้ึนมาหามไมใหภิกษุเสพเมถุนกับสตรีเพศ โดยปรารภเหตุที่พระสุทินไปเสพเมถุนกับภรรยา
เกาของตน ตอมาปญหาการเสพเมถุนของภิกษุมีความซับซอนมากข้ึน พระพุทธเจาจึงทรง
ขยายขอบเขตของวินัยขอน้ีใหครอบคลุมท้ังการเสพเมถุนกับมนุษยและสัตวเดรัจฉานตัวเมีย
ซึ่งเรียกวา “อนุบัญญัติ” ถาพุทธศาสนิกชนยังตีความโดยยึดตามเจตนารมณของศีล ๕ ท่ี
พระพุทธเจาแสดงไวในพุทธพจนขางตนก็ยังสามารถรักษาอรรถของเน้ือหาไวได ผูเขียน
มองวามีเหตุผลเพียงพอที่จะสามารถทําไดอยางนั้น แตจะมีปญหาอยางหน่ึงตามมา คือ
เนื่องจากวาพุทธศาสนิกชนในสังคมปจจุบัน ไดตีความศีล ๕ ในแงของการขยายขอบเขต
ความหมายของศีลเทา นัน้ โดยไมไดสรางกฎเกณฑสําหรับวินิจฉัยปญหาเหมือนอยางท่ีพระ
อรรถกถาจารยเคยทาํ มาแลว ดังน้ัน เม่ือนําเอาไปใชในสถานการณของปญหาจริยธรรมจริง ๆ
ศกึ ษาเฉพาะเร่อื งในพัฒนาการแหงพระพุทธศาสนา ๑๒๑
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
จะสรางปญหาในการตัดสินขึ้นมาทันที ใหยึดเกณฑคือเจตนารมณพ้ืนฐานของศีล ๕ เปนตัว
ตดั สนิ ถาการกระทาํ ใดกต็ ามท่ไี มเ ปน ไปโดยสอดคลอ งกับเจตนารมณของศีลที่มุงประโยชนสุข
ของบคุ คลและสังคม ใหถอื วา การกระทํานน้ั เปนการละเมิดศีลฤ
ตารางท่ี ๓.๑ เปรียบการตคี วามศลี หาแบบเดิมกับการตีความแบบใหม๙๓
ศลี หา การตคี วามแบบเดิม (อรรถกา) การตคี วามแบบใหม
๑. ปาณาติบาต ปาณาติบาต หมายถึง การท่ี ป า ณ า ติ บ า ต น อ ก จ า ก จ ะ
บุคคลหน่ึงลงมือฆาสัตวอ่ืนให หมายถึงการพรากชีวิตของคน
ตาย โดยมีเกณฑการตัดสินที่ อื่นแลว ยังครอบคลุมการใช
ชัดเจน ๕ ประการ คือ ความรุนแรงในรูปแบบตาง ๆ
๑) สตั วมชี ีวิต เชน การคาอาวุธสงคราม การ
๒) รูอยูวา สตั วม ีชีวติ กอสงคราม การใชแรงงานเด็ก
๓) มจี ติ คดิ จะฆา การกดข่ีขมเหงผูใชแรงงาน การ
๔) มีความพยายามในการฆา ตัดไมทําลายปา การทําลาย
๕) สตั วตายดว ยความพยายามนนั้ ส่ิงแวดลอม การเสนอภาพขาว
ความรนุ แรง
๒. อทินนาทาน อทินนาทาน หมายถึง การท่ี อ ทิ น น า ท า น น อ ก จ า ก จ ะ
บุคคลหนึ่งไปลักขโมยทรัพยของ หมายถึงการลักทรัพยคนอ่ืน
คนอ่ืน โดยมีเกณฑตัดสิน ๕ โดยตรงแลว ยังหมายถึงการแยง
ประการ คอื ชงิ ทรัพยากร การปน หนุ การเกง็
๑) ของผอู นื่ หวงแหน กําไรคา เงนิ การละเมิดทรัพยสิน
๒) รูอยูว า เขาหวงแหน ทางปญหา การขโมยขอมูล
๓) จิตคดิ จะลกั ขาวสารอันเปนความลับสวน
๔) มีความพยายามลกั บคุ คล เปนตน
๕) ลกั ของไดด วยความพยายามน้ัน
๓.กาเมสมุ จิ ฉาจาร กาเมสุมิจฉาจารเนนการที่บุคคล กาเมสุมิจฉาจาร นอกจากจะ
๙๓ พระมหาสมบูรณ วุฑฺฒิกโร,ดร., พระพุทธศาสนาเพ่ือสังคม (ตอน ๖). [ออนไลน].
แหลงที่มา: https://www.gotoknow.org/posts/396207
๑๒๒ บทที่ ๓ ขอถกเถยี งและการตีความศีลในพระพุทธศาสนา
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. Controversy and Interpretation of the Precepts in Buddhism
ศลี หา การตคี วามแบบเดิม (อรรถกา) การตีความแบบใหม
หนึ่งประพฤติผิดทางเพศตอสตรี หมายถึงการละเมิดภรรยาสามี
หรือบุรุษท่ีเปนคูครองของคนอ่ืน ของคนอื่นแลว ยังหมายถึงการ
มีเกณฑต ดั สิน ๔ ประการ คาประเวณี ส่ือลามกอนาจาร
๑) สตรีหรือบรุ ุษที่ไมควรละเมิด ความมัวเมาในการเสพบริโภค
๒) จติ คดิ จะเสพ การมีเพศสัมพันธโดยปราศจาก
๓) มีความพยายามในการเสพ พันธสัญญาและความรับผิดชอบ
๔) ยังอวยั วะสืบพนั ธใุ หถ ึงกัน และส่ือบันเทิงท่ีทําใหม ัวเมาหรือ
ยั่วยุกามารมณ เปนตน
๔. มุสาวาท มุสาวาท เนนการพูดเท็จของ มุสาวาท นอกจากจะหมายถึง
บุคคลหน่ึงตออีกบุคคลอื่น มี การพูดเท็จแบบตรง ๆ แลว ยัง
เกณฑตดั สิน ๔ ประการ คือ ห ม า ย ถึ ง ก า ร ป ก ป ด ข อ มู ล
๑) เรอื่ งไมจริง ขาวสาร เสนอการเสนอขาวสาร
๒) จิตคิดจะกลา วใหคลาดเคลอ่ื น เพียงดานเดียว การโฆษณาเกิน
๓) มีความพยายามที่จะกลาวให ความจริง การแสวงหาประโยชน
คลาดเคล่ือน จากความไดเปรียบดานขอมูล
๔) ผอู นื่ เขา ใจความที่พดู นัน้ ขาวสาร เปน ตน
๕. สุราเมรยมัชช- สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน เนน สรุ าเมรยมชั ชมาทัฏฐาน นอกจาก
ปมาทฏั ฐาน ใหปจเจกบุคคลแตละคนงดเวน จะหมายถึงการเสพสุราและของ
จากการเสพสุราและของมึนเมา มึนเมาแลว ยังหมายถึง การหลง
อันเปน ท่ตี ัง้ แหง ความประมาท มี มัวเมาในการเสพส่ือบันเทิง การ
เกณฑต ดั สนิ ๕ ประการ คือ โฆษณาสินคาทม่ี อมเมาประชาชน
๑) สิ่งนัน้ เปน ของเมา การคา ขายของมึนเมา เปนตน
๒) จติ ใครจะดื่ม
๓) มีความพยายามในการดม่ื
๕) กลืนใหล ว งลําคอลงไป
บทที่ ๔
แนวคดิ จิตประภสั สรในพทุ ธศาสนาเถรวาทและมหายาน
The concept of Mental Propitiation in Theravada
and Mahayana Buddhism
บทนาํ
แนวคดิ เรอื่ งจติ ประภสั สรเปนธรรมชาตชิ นิดหนงึ่ ท่เี ปน นามธรรมไมม ีรูปรางอาศัย
อยูในรางกายของสัตวทั้งหลาย มักด้ินรน กวัดแกวง รักษายาก หามไดยาก มักตกไปใน
อารมณท ่ีตนปรารถนา เกิดเร็ว ดับเร็ว เท่ียวไปไกลและเท่ียวไปดวงเดียว แตเปนธรรมชาติ
ท่ีฝก ได มีคนเปนจํานวนไมนอยท่ีเขาใจวา จิตของมนุษยเม่ือเริ่มเกิด คือถือกําเนิดในครรภ
มารดาน้ันบริสุทธิ์ ไมมีความตองการใดๆ แตเม่ือโตขึ้นจิตก็เศราหมอง เพราะอุปกิเลสมีโล
ภะเปนตนจรมารบกวน ทําใหตองการสิ่งโนนสิ่งนี้ไมมีท่ีส้ินสุด เม่ือกลาวถึงเร่ืองจิต
ประภัสสร ซ่ึงหมายถึง จิตผุดผอง หรือผองใส ผูที่เจริญวิปสสนาภาวนา จนถึงข้ันอัปปนา
สมาธแิ ลว จะรูวา จิตนน้ั ใสสะอาด บรสิ ุทธิ์เม่ือเกิดสภาพจิตหรือเจตสิกที่เปนกิเลสข้ึน จิตจึง
ขุนมัวและดูทึบ ดังที่สามัญชนรูสึกกันอยู ดังนั้นปรัชญาของพราหมณและปรัชญาของ
มหายานจึงถอื วา จติ เปนธรรมชาติบริสุทธม์ิ าแตเ ดิมแลว ไดมีการกลาวถึงจิตบริสุทธิ์หรือจิต
เดิมแท หรือเน้ือแทของจิตวา เปนตัวตนท่ีแทจริงของคนเรา พระพุทธศาสนามหายานมี
ทรรศนะเก่ียวกับจิตเดิมแทน้ี (จิตประภัสสร) วาเปนธรรมชาติที่มีความเปนพุทธะอยูในตัว
เปนจติ ดง้ั เดิมที่สะอาด สวาง บรสิ ุทธิ์ ผองใส และเปนธาตบุ ริสุทธ์ิ ท่ีเห็นสภาพจิตกวัดแกวง
ไปมาน้ันก็เพราะถูกกิเลสครอบงํา เมื่อปฏิบัติไปถึงท่ีแลว กิเลสท้ังหลายที่ครอบงําก็จะถูก
ทําลายไปแลวจะพบกับจิตเดิมแท ท่ีสวาง สะอาด สงบ ในขณะเดียวกันการปรากฏการณ
ของจติ นนั้ ถอื วาเปนการสรา งสรรคข องจติ
๔.๑ ความหมายของจิตประภสั สร
พุทธวจนะวา “จิตน้ีประภัสสร แตจิตนั้นแลเศราหมอง เพราะอุปกิเลสที่เกิดข้ึน
ภายหลัง”๑ ความตรงนี้อาจทําใหเขาใจไดวา จิตประภัสสรมีมาต้ังแตดั้งเดิม หรือ จิตจะ
ประภัสสรไดก็ตอเมื่อเขาถึงอัปปนาสมาธิ จึงจะรูไดวาเคยเศราหมอง เพราะมีอุปกิเลสมา
๑ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๔๙-๕๒/๙-๑๐.
๑๒๔ บทที่ ๔ แนวคดิ จิตประภสั สรในพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. The concept of Mental Propitiation in Theravada and Mahayana Buddhism
พองพาน ทานพุทธทาสไดกลาวไววา “จิตน้ีตามธรรมชาติแทๆ มันก็มิไดมีกิเลสติดมา
นับเปนจิตท่ีเกล้ียงท่ีวางจากกิเลส กอนแตท่ีจะเกิดกิเลส มีลักษณะประภัสสร”๒ และ
“ทารกน้ันไมมีความรูเรื่องเจโตวิมุตติ ไมมีความรูเร่ืองปญญาวิมุตติสําหรับจะควบคุมไมให
เกิดกิเลส”๓ จาํ เปน ตองตีความเพื่อใหชัดเจนวาทุกคนเมื่อเกิดมายอมมีจิตประภัสสรอยูเดิม
แลว ดังพุทธพจนบทหนึ่งวา ภิกษุ ท. ! จิตนี้ เปนธรรมชาติประภัสสร แตจิตน้ันแล เขาถึง
ความเศราหมองแลว เพราะอุปกิเลสอันเปนอาคันตุกะจรมา…๔ จิตท่ีมีธรรมชาติประภัสสร
ซ่ึงมีความละเอียด มีความสวางไสว มันเหมือนกับมีตัวตนแตมันไมใชมีตัวตน พระพุทธเจา
ยกอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบกับนักมายากลหรือพยับแดด จิตน้ีทําใหเราเขาใจไปวา มันมี
ตัวตน มันมีของเดิม มันมีของใหม มันเปนของฉัน มันเปนของเขา มันเปนอยางนั้นมันเปน
อยางน้ี ทาํ ใหเราเขาใจไป แตว า “ตวั มนั จรงิ ๆ ไมมีอะไร” คาํ ท่วี า “มนั ไมมีอะไร” ตรงน้ีละ
ท่ีเรียกวา มันมีความเปน ประภัสสร เพราะมันทําใหเรารูสึกวา มันเศราหมองได มันดีได มัน
เปนตัวตนขึ้นมา และถาเปนเชนนั้นจริง กิเลสหรืออนุสัยกิเลสทั้งหลายนั้นเกิดข้ึนมาจาก
ตรงไหน และเกิดข้ึนไดอยางไร ในขณะเดียวกัน การตีความวาจิตไมบริสุทธ์ิมาแตเดิมก็ตั้ง
คําถามวา แสดงวาจิตเศราหมองโดยธรรมชาติ แลวความเศราเกิดเมื่อไร เปนเน้ือเดียวกับ
จิตใชหรือไม ถาเปนเน้ือเดียวกับจิตแลวเราจะกําจัดกิเลสไดอยางไร เหมือนนํ้ากับความ
สกปรกเปนเน้ือเดยี วกัน จึงทาํ ใหเ กิดคาํ ถามตอ ไปอีกวา แนวความคิดของจิตประภัสสรที่ถูก
ทาํ ใหเ ศราหมองเกิดขึน้ มาจากตรงไหนไดอยา งไร และจะมีวธิ ปี อ งกนั หรอื ไม อยา งไร
คําวา “จติ ประภัสสร” สามารถแบงออกเปน ๒ คาํ ไดแ ก คําวา “จิต” และคําวา
“ประภสั สร” ในคมั ภรี อ ภิธัมมตั ถวภิ าวินี ทานพระอนุรุทธาจารยไดใหความหมายของคําวา
“จติ ” ดงั ตอไปนี้ คือ
ความหมายวา คิดหรือรูอารมณ มีขอความรองรับไววา“ธรรมชาติใดยอมคิด
อธิบายความวา ยอมรูแจงอารมณ” ความหมายวา กอหรือสราง มีขอความรองรับวา “ท่ี
ชื่อวาจิตเพราะกอ/สรางใหวิจิตร” ความหมายวา เก็บ หรือสั่งสม มีขอความรองรับวา “ที่
ช่ือวาจิต เพราะสั่งสมสันดาน (การสืบตอ) ของตน หรือที่ชื่อวา จิต เพราะส่ังสมไวดวย
กรรมและกิเลส” และความหมายวา วิจิตร มีขอความรองรับวา ที่ชื่อวา จิต เพราะรักษาไว
ซ่ึงความวิจิตร หรือ ช่ือวาจิต เพราะมีอารมณอันวิจิตร หมายถึงวิจิตรท้ังตัวของจิตเองและ
อารมณทจี่ ติ ปรงุ แตง ขน้ึ ๕
๒ พุทธทาสภกิ ขุ, จติ น้ปี ระภสั สร, (กรุงเทพมหานคร: สขุ ภาพใจ, ๒๕๕๐), หนา ๔๓.
๓ อางแลว หนาเดยี วกัน.
๔ เอก.อ.ํ (ไทย) ๒๐/๑๑–๑๒/๕๒–๕๓.
๕ อภ.ิ สงฺ.อ. (บาลี) -/๑๑๐, วภิ าวนิ ี. (บาลี) ๑๖๕-๑๖๖, ทปี นฎี ีกา (บาลี) ๙.
ศึกษาเฉพาะเร่อื งในพัฒนาการแหงพระพุทธศาสนา ๑๒๕
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
จากความหมายของจิตดังกลาวขางตนนี้ สามารถนิยามความหมายไดถึง ๔
ประการดวยกัน ไดแก (๑) คิด (๒) กอหรือสราง (๓) สั่งสม (๔) วิจิตร เมื่อรวมกันเปนการ
ตอเนื่องจะไดความวา การรับรูถึงส่ิงที่มากระทบซึ่งเรียกชื่อวาอารมณ แลวกอหรือสราง
อารมณนั้นใหเปนเรื่องราวอยางตอเน่ืองแลวนําไปเก็บหรือส่ังสมเร่ืองน้ันไว ตอมาก็แสดง
ความวิจิตรพิสดารที่สั่งสมไวในตัวเองออกมาและไปรับอารมณทางตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ
ขึ้นมาใหมอ ีก ดังทีท่ านพระโสภณมหาเถระ (มหาสสี ยาดอ) ไดใหความหมายแบบรวมไวว า
จติ คือ สภาวะรสู ่ิงตา งๆ ทางตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ โดยผานทวารหรือประตู ๖
บานเหมือนคนอยูในบานน่ังดูส่ิงที่อยูนอกบานผานประตู การรูสีผานตาเปนการเห็น การรู
เสียงผานหูเปนการไดยิน การรูกลิ่นผานจมูกเปนการรูกล่ิน การรูรสผานลิ้นเปนการลิ้มรส
การรูสงิ่ ที่ผา นรา งกายเปน การสมั ผสั และการรบั รูทางใจเปนการนึกคิด๖
หลวงพอพุทธทาสภิกขุไดใหความหมายของจิตไววา “ธาตุท่ีมีคุณสมบัติรู เปน
นามธรรมคือไมมีรูปรางทางวัตถุ ธาตุจิตมีหนาท่ีรู จิตตองทําหนาท่ีรูสึกรูแจง รูสึกเกิดขึ้น
เฉพาะกาลเฉพาะเวลากรณี และเปนประภัสสรอยูตามธรรมชาติ แตเปล่ียนได เศราหมอง
ไดตามสง่ิ ทีเ่ ขา ไปเกีย่ วของในฐานทเี่ ปนเจตสกิ ธรรม”๗
จิต คือ การรูอารมณ การขยับเขยื้อนเคล่ือนไหวไปตามอารมณตางๆ มีช่ือเปน
ภาษาบาลีวา นามะ คือนามธรรมท่ีเรียกท่ัวไปวา จิต (นามธรรมท่ีมีสภาพรู)๘ จิตใน
ความหมายวา “ธรรมชาติที่รูอารมณสภาพที่นึกคิด ความคิด ใจ”๙ จิตเปนธรรมชาติท่ีคิด
ธรรมชาติที่รูอารมณ ธรรมชาติท่ีสะสมการสืบตอของตนไวดวยอํานาจชวนวิถี และ
ธรรมชาติที่ทําใหวิจิตร”๑๐ จิตคือสิ่งที่คิดถึงเร่ืองราวดังคํานิยามที่วา อารมฺมณํ จินฺเตตีติ
จิตฺตํ จิตคือธรรมชาติที่คิดถึงอารมณ อารมณคือส่ิงท่ีจิตคิด ๖ ประการ คือ รูป เสียง กลิ่น
๖ พระโสภณมหาเถระ (มหาสสี ยาดอ), มหาสติปฏ ฐานสตู ร ทางสูพระนิพพาน, ตรวจชาํ ระ
โดย พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม, ป.ธ.๙, MA.,Ph.D.), แปลและเรยี บเรียงโดย พระคันธสาราภิวงศ,
(กรุงเทพมหานคร: หา งหุนสว นจํากดั ไทยรายวนั การพิมพ, ๒๕๔๙), หนา ๒๖๕.
๗ พุทธทาสภกิ ขุ, บรมธรรม ภาคปลาย, พิมพค รั้งที่ ๕, (กรงุ เทพมหานคร: ธรรมทานมลู นธิ ,ิ
๒๕๔๑), หนา ๕๑๒-๕๑๖.
๘ พระอาจารย ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ธัมมาจริยะ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ,
ธรรมกถา การปฏิบัติวิปสสนากัมมัฎฐานตามหลักสติปฎฐาน ๔, (ชลบุรี : คณะศิษยวิเวกอาศรม,
๒๕๔๑), หนา ๒๘-๒๙.
๙ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท, พิมพ
คร้ังที่ ๑๕, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพบ รษิ ัทสหธรรมกิ จาํ กดั , ๒๕๕๓), หนา ๖๒.
๑๐ พระธรรมกติ ติวงศ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต), พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธ
ศาสน ชุด ศัพทวิเคราะห, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พเ ล่ยี งเชยี ง, ๒๕๕๐), หนา ๒๔๗.
๑๒๖ บทท่ี ๔ แนวคดิ จิตประภสั สรในพทุ ธศาสนาเถรวาทและมหายาน
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. The concept of Mental Propitiation in Theravada and Mahayana Buddhism
รส สัมผสั และธรรมารมณ (จินตภาพ)”๑๑ ในขณะเดียวกันทานพระมหาสมบูรณ วุฑฺฒิกโร
(พรรณา) ไดตคี วามความหมายของจิตวา ความหมายของจิตดังกลาวนี้ถูกนิยามข้ึนบนฐาน
คิดที่วา จิตมีโครงสราง-หนาท่ีแตกตางกันหลายระดับ จิตบางระดับทําหนาที่รับรูโลกทาง
อายตนะ บางระดับทําหนา ท่ีปรุงแตงโลกท่รี ับรใู หวิจติ รพสิ ดาร และบางระดับทําหนาที่เปน
ทเี่ กบ็ สง่ั สมผลแหงการกระทําทงั้ หมดทง้ั ทด่ี ี และไมด๑ี ๒
จากประเด็นความหมายของจิตทั้งหมดที่ยกมาขางตนดังกลาว แสดงใหเห็นวา
จิตก็คือ นามธรรมท่ีสามารถรูอารมณหรือสิ่งท่ีมากระทบได หรือรูส่ิงตางๆ คือ รูป เสียง
กลิ่น รส สมั ผสั และธรรมารมณท ีผ่ า นมาทางตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ เม่ือกลาวถึงธรรมชาติ
ของจติ มอี ยู ๔ อยา ง ไดแ ก
๑) ไปไดไ กล (ทรู งฺคมํ) หมายถงึ พฤตกิ รรมการรับรอู ารมณข องจิตอาจกลาวไดวา
จิตสามารถไปรับรูอารมณที่อยูหางออกไปไกลได แมเร่ืองในอดีตไดผานมานานแลว หรือ
เรอ่ื งท่ยี งั มาไมถ งึ ในอนาคต จติ นน้ั สามารถรับเอาเรือ่ งนั้นมาเปน ของอารมณได
๒) เที่ยวไปผูเดียว (เอกจรํ) หมายถึง การเกิดดับเปนขณะๆ ของจิตอาจกลาวได
วา จิตมีธรรมชาติเกิดดับทีละดวง เมื่อจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแลวก็ดับไป จะเปนปจจัยใหจิต
ดวงอน่ื เกิดข้นึ ในรูปกระแสท่ตี อเน่อื ง
๓) ไมมีสรีระ (อสรีรํ) หมายถึง ความไมมีรูปรางหนาตาของจิต หมายความวา
จิตเปนส่ิงนามธรรม จึงไมมีสรีระรางกาย ไมมีรูปรางสัณฐาน ไมมีน้ําหนัก ไมมีสี ไมมีกลิ่น
และไมมีการกนิ ที่ ซ่ึงตา งจากสิ่งรปู ธรรมท้งั หลาย
๔) มีถ้ําเปนที่อาศัย (คูหาสยํ) หมายถึง จิตมีถ้ําเปนที่อาศัย หมายถึงการอยู
รว มกนั ระหวางนามกับรูปในขันธ ๕ ก็ได ในอรรถกถาธรรมบททานกลาวไววา คําวา “ถ้ํา”
คอื ที่ต้งั อยู หรอื ฐานอันเปน ท่ีตั้งของจติ ไดแ ก หวั ใจ๑๓
สวนคําวา “ประภัสสร” แปลวา “ผุดผอง” หรือ “ผองใส” หมายถึงมีแสงสวาง
หรือมีรัศมี โดยปกติหรือธรรมชาติ คําวา “ผุดผอง”น้ี เหมือนกับคําท่ีพระมหาโมคคัลลาน
เถระถามเทพธดิ าองคห น่งึ ในประภัสสรวมิ านวา
๑๑ พระเทพโสภณ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), ตามรอยธรรมครอบ ๕๐ ป, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘), หนา ๑๗๒.
๑๒ พระมหาสมบูรณ วุฑฺฒิกโร (พรรณา), “จิตตมาตรของนิกายโยคาจาร: การศึกษาเชิง
วิเคราะหบนฐานแนวคิดเร่ืองจิตในพระพุทธศาสนายุคตน”, วิทยานิพนธพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต,
(บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๒), หนา ๑๐๔-๑๐๕.
๑๓ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๓๗/๒๒., ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗/๓๗., ดูรายละเอียดใน ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๑/
๒๒๘-๒๒๙.
ศกึ ษาเฉพาะเรื่องในพฒั นาการแหงพระพุทธศาสนา ๑๒๗
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
เทพธดิ าผมู ีรัศมงี ามผดุ ผอ ง
ทรงพัสตราภรณส ีแดงสดใส มฤี ทธมิ์ าก
มรี างกายสวยงามดุจลูบไลด วยจุรณแกน จันทน
เธอเปน ใครมาไหวอาตมาอยู๑๔
หากคงคําวา ประภัสสร เหมือนเดิม มีปรากฏในอปราทิฏฐิสูตร สังยุตตนิกายส
คาถวรรค ความวา
ทานพระมหาโมคคัลลานะไดก ลา วกับพรหมนั้นดวยคาถาวา
ผูมีอายุ แมในวนั น้ี ทานกย็ งั มีทิฏฐเิ หมือนครั้งกอนหรือ
ทา นยังเหน็ พระรัศมอี นั ปภสั สร (ของพระผูมีพระภาค)
กาวลว งรัศมอี ื่นในพรหมโลกหรือ๑๕ และในสังขปาลชาดก อาฬารดาบสกราบทูล
วา ขอถวายพระพร นรเทพมหาบพิตร ณ ทามกลาง สวนมะมวงท้ัง ๔ ทิศ มีนิเวศนเล่ือม
ปภสั สรสรา งดวยทองคาํ ๑๖
คําวา “ผดุ ผอ ง” และ “ปภัสสร” ที่ยกมาขางตน มีความหมายเหมือนคําวา “อา
ภัสสรพรหม” ซ่ึงมีรากศัพทคลายกัน แปลวา พรหมผูมีรัศมีแผออกมา ดังประโยคที่วา
“จิตฺตโชตนนฺติ จิตฺตสฺส ปภสฺสรภาวกรณํ แปลวา ท่ีช่ือวา การทําจิตใหสวาง คือการทําจิต
ใหเ ปนประภัสสร”๑๗ และประโยคท่ีวา “ปภสฺสรานีติ ปภาสนสีลานิ ชุติมนฺตานีติ วุตฺตํ โห
ติ ในบทวา ปภสฺสรานิ แปลวา เปลงประกายเปนปกติ กลาวคือ มีความโชติชวง”๑๘
นอกจากนี้มีศัพทวิเคราะหตามหลักไวยากรณบาลี ท่ีช้ีใหเห็นความสวาง ดังเชนประโยควา
“ปภา สรติ เอตสฺมาติ ปภสฺสโร แปลวา ส่ิงท่ีชื่อวาประภัสสรเพราะเปนท่ีแผออกมาของ
รัศมี”๑๙ หรือแปลวา “ผูเปนแดนซานออกแหงรัศมี และประโยควา “ปภสฺสโร อสฺส อตฺถีติ
แปลวา ผรู ศั มีอนั ซา นออก”๒๐
๑๔ ขุ.วิ. (บาลี) ๒๖/๖๙๗/๖๘., ขุ.วิ. (ไทย) ๒๖/๖๙๗/๘๐.
๑๕ สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๖/๒๔๒., สํ.ส. (บาลี) ๑๕/๑๗๖/๑๗๕.
๑๖ ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๑๖๐/๖๒๑., ขุ.ชา. (บาลี) ๒๗/๑๖๐/๔๔๖.
๑๗ ท.ี ม.ฏีกา (บาลี) ๒/๙๐/๙๒.
๑๘ ขุ.จู.อ. (บาลี) ๑/๑๓๔.
๑๙ พันตรี ป. หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ-ไทย, (กรุงเทพมหานคร: อาทรการพิมพ,
๒๕๔๐), หนา ๔๔๙.
๒๐ พระธรรมกติ ติวงศ (ทองดี สรุ เตโช ป.ธ.๙, ราชบณั ฑิต), พจนานกุ รมเพอื่ การศกึ ษาพุทธ
ศาสน ชุด ศพั ทว เิ คราะห, หนา ๔๐๒.
๑๒๘ บทท่ี ๔ แนวคดิ จติ ประภสั สรในพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. The concept of Mental Propitiation in Theravada and Mahayana Buddhism
ดังน้ัน คําวา “ประภัสสร” จึงแปลวามีแสงสวางหรือมีรัศมี และมีคําวา “ปกติ”
ซึ่งแปลวา ธรรมชาตเิ ดิม เขา มาดว ย จงึ ไดค วามหมายวา มแี สงสวางเปนปกติหรือมีรัศมีโดย
ธรรมชาติ เม่ือนําคําทั้งสองคือ จิตและประภัสสร มารวมกันเขาก็ไดความวา “จิต
ประภัสสร” จึงความวา จิตที่ผุดผอง หรือมีรัศมีอันซานออกมา เปนสิ่งท่ีคิดถึงเรื่องราว
ตางๆ คอื รปู เสยี ง กล่นิ รส สัมผัส และธรรมารมณ ท่ีผานมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ
ใจ ท่ียังผุดผองตามปกติอยู เปรียบเหมือนนํ้าใสสะอาดบริสุทธิ์ หรือมีแสงสวางอยู เปน
นามธรรมที่สามารถรูอ ารมณหรอื สง่ิ ทม่ี ากระทบ แตในขณะน้ัน เปนเพียงสภาพการเห็น ได
ยิน รูกลิ่น ล้ิมรส สัมผัส และนึกคิดเทาน้ัน แตสามารถสองสวางสิ่งนั้นใหปรากฏในโลก สิ่ง
ตา งๆ ในโลกนม้ี อี ยูเพราะถูกจิตประกาศเปดเผยออกมาเปรยี บเหมือนแสงไฟสองสวา งโลกนี้
๔.๒ จติ ประภัสสรในพระไตรปฎก
เมือ่ ทราบถึงความหมายของจติ ประภัสสรแลว ประเดน็ ตอมาคือ จิตประภัสสรใน
พระไตรปฎ กเปน อยา งไร ผูเขียนจึงไดศกึ ษาวเิ คราะหจ ิตประภสั สรในพระไตรปฎ กตอ ไปนี้
พระพุทธองคไดตรัสถึงจิตประภัสสรวา “ภิกษุทั้งหลาย จิตน้ีผุดผอง แตจิตน้ัน
เศราหมองแลว เพราะอปุ กเิ ลสทจ่ี รมา”๒๑
จากพุทธพจนที่ยกมาขางตนน้ีจะเห็นวา พระพุทธองคไดตรัสถึงจิตในจุดเร่ิมที่วา
“จิตนผี้ ดุ ผอง” คาํ วา ผดุ ผอ ง หมายถงึ จิตทย่ี งั ใสสะอาด บริสุทธิ์ หรอื จติ ท่ีมีรศั มี มีแสงสวาง
ซานออกมา ซ่ึงแสดงวา จิตประภัสสรนั้น เปนจิตท่ียังมีความใสสะอาด เปรียบเหมือนน้ําที่
ยงั ใสสะอาดอยใู นเบอ้ื งตน ยงั ไมมีสงิ่ ใด เชน ฝนุ ละออง เปนตน มาเจอื ปน และจิตประภัสสร
น้ัน มีกระบวนการทํางานอยูตลอดเวลา คือ การเกิดดับอยูตลอดทั้งคืนและวัน ดังมีพุทธ
พจนว า
ตถาคตเรียกสง่ิ นี้วา จิตบาง มโนบาง วญิ ญาณบาง จติ เปน ตน น้นั ดวงหนึ่งเกิดขึ้น
ดวงหนงึ่ ดบั ไปตลอดทงั้ คืนและวัน เปรียบเหมือนลิงเมื่อเที่ยวไปในปาเล็กและปาใหญจับกิ่ง
ไมป ลอ ยก่ิงไมน้ันแลว ยอมจับก่ิงอื่น ปลอยก่ิงนั้นแลวยอมจับกิ่งอื่นตอไป ฉะน้ัน ตถาคตจึง
เรียกสิ่งนี้วา จิตบาง มโนบาง วิญญาณบาง จิตเปนตนนั้น ดวงหน่ึงเกิดข้ึน ดวงหน่ึงดับไป
ตลอดทง้ั คนื และวัน๒๒
จากพุทธพจนขางตนน้ี คําวา “จิต มโน วิญญาณ” เปนคําท่ีพระพุทธเจาใชเรียก
จิตท่ีเปล่ียนแปลงไปในการทํางาน คือมีการเกิดดับอยูทั้งตลอดท้ังกลางคืนและกลางวัน
และพระพุทธองคไดเปรียบเทียบจิตดวยเร่ืองลิงท่ีเท่ียวไปในปาเล็กและปาใหญ จับก่ิงไม
๒๑ อง.ฺ เอกก. (ไทย) ๒๐/๔๙/๙. อง.ฺ เอกก. (บาลี) ๒๐/๔๙/๙,
๒๒ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๑/๑๑๖. ส.ํ น.ิ (บาล)ี ๑๖/๖๑/๙๒,
ศกึ ษาเฉพาะเร่ืองในพฒั นาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๑๒๙
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
ปลอ ยก่งิ ไมนั้นแลว ไปจบั อกี ก่งิ อ่ืน ปลอ ยกงิ่ นั้นแลว ไปจบั ก่ิงอนื่ ตอ ไปเรือ่ ยๆ จะเห็นวา คําวา
จิต มโน วิญญาณ เปนคําท่ีพระพุทธองคเรียกช่ือจิตท่ีมีกระบวนการทํางานอยูตลอดเวลา
คอื ดวงหนึง่ เกดิ ขน้ึ ดวงหนึง่ ดับไป
จิตระดับของความคิด ชื่อวา “มโน”๒๓ โดยเรียกวา “ชวนจิต” ซ่ึงหมายถึงจิต
ระดับท่ีคิดปรุงแตงอารมณหรือเสพอารมณท่ีรับรูทางอายตนะ จิตระดับนี้ไมไดอยูในภาวะ
ของมันลวนๆ เหมือนจิตระดับมูลฐานและไมใชจิตท่ีรับรูโลกทางอายตนะ หากแตเปนจิตท่ี
ทํางานจัดการกับอารมณท่ีรับทางอายตนะอีกชั้นหนึ่ง เชน การใชความคิด การใชเหตุผล
การสรางจินตนาการ การคิดปรุงแตง เปนตน จิตดังกลาวน้ี อาจหมายถึง “ใจ (มโน)” ดัง
จะสงั เกตไดจ ากคาํ เหลา น้ี เชน “มโนปุพพังคมา” ใจมาถึงกอน หรือใจเปนผูนํา “มโนมยะ”
สําเร็จมาจากใจ หรือสรางมาจากใจ (mind-made) “มนสิการ” การทําไวในใจ หรือการ
คิดในใจ “มโนสัญเจตนา” การต้ังเจตจํานงทางใจ“มโนกรรม” กรรมทางใจ “มโนสังขาร”
การคิดปรุงแตงทางใจ หรือ “มโนวิตักกะ” การตรึกในใจ คําเหลานี้ลวนแลวแตบงบอกวา
มโนเปน จติ ทกี่ าํ ลงั ทาํ งานใชความคดิ อยูภายในทงั้ สน้ิ ดังขอความในคาถาธรรมบทท่ีวา “มน
สา เจ ปทุฏเฐน”๒๔ แปลวา ถาบุคคลมีมโน (ใจ) อันโทษประทุษรายแลวหมายถึงมโน (ใจ)
ทีถ่ ูกอปุ กิเลสประทุษรา ยหรือถกู ครอบงําดวยอุปกิเลส นอกจากนี้ยังมีพุทธพจนที่สะทอนให
เหน็ การทาํ งานของจติ ท่ีเรียกวา ใจ ไดเ ปน อยา งดี ดงั ความวา
ถาภิกษุยับยั้งความวติ ก (มโนวิตกเฺ ก) ในใจไวได
เหมือนเตา หดอวยั วะไวในกระดองของตน
กจ็ ะไมมตี ัณหาและทฏิ ฐิอาศยั ไมเบยี ดเบยี นสัตวอ น่ื
ดบั สนทิ แลว (นิพพาน) ไมพงึ วารายใคร๒๕
พุทธพจนขางตนน้ี แสดงใหเห็นวา จิตระดับท่ีทํางานอยูภายในหรือมโน ถือวา
“เปนชวงสําคัญท่ีสุดในพระพุทธศาสนาเถรวาท เพราะเปนจุดหัวเล้ียวหัวตอระหวาง
เสนทางแหงสังสารวัฏกับเสนทางแหงพระนิพพาน อุปมาเร่ืองเตาสามารถมองไดสองมุม
คือ เตาท่ีโผลหัวออกนอกกระดองเปนเตาที่อยูในภาวะเส่ียงตอภัยอันตรายรอบดาน สวน
เตาท่ีหดหัวเขาไปอยูในกระดองเปนเตาท่ีอยูในภาวะไดรับการคุมกันอันตราย เชนเดียวกับ
คนที่ปลอยจิตใหตกอยูในโลกแหงการคิดปรุงแตงสรางสรรค (มโนวิตักกะ) ภายใตการ
ครอบงําของตัณหาและทิฏฐิ เปนคนที่อยูทามกลางความเส่ียงตอภัยแหงสังสารวัฏ สวนคน
๒๓ ดรู ายละเอียดใน พระมหาสมบูรณ วุฑฺฒิกโร (พรรณา), “จิตตมาตรของนิกายโยคาจาร:
การศึกษาเชงิ วิเคราะหบ นฐานแนวคิดเรือ่ งจติ ในพระพุทธศาสนายคุ ตน ”, หนา ๑๐๘-๑๐๙.
๒๔ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑/๒๓. ขุ.ธ. (บาล)ี ๒๕/๑/๑๕.
๒๕ สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗/๑๖. สํ.ส. (บาลี) ๑๕/๑๗/๙.
๑๓๐ บทท่ี ๔ แนวคิดจติ ประภสั สรในพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. The concept of Mental Propitiation in Theravada and Mahayana Buddhism
ทีค่ ุม ครองจติ ของตนดวยสตแิ ละปญญาเปนคนท่ีอยูทามกลางการรักษาความปลอดภัยหรือ
อยใู นเสนทางแหงพระนิพพาน๒๖ มโนทถ่ี ูกครอบงาํ ดวยอุปกิเลสน้ีเอง คือจิตในชวงท่ีทํางาน
รับรสู ่งิ ตา งๆ อยูภายใน ซง่ึ เรยี กวา “ชวนจิต” ในคัมภีรพระอภิธรรม ชวนจิต หมายถึงจิตที่
เสพอารมณหรือปรุงแตงอารมณแปลตามศัพทวา จิตท่ีแลนไป หมายถึง จิตท่ีเสพอารมณ
จิตที่กระทําการหรือจัดการกับขอมูลท่ีรับรูทางอายตนะ คําน้ีที่มีความหมายกวาง หมาย
รวมทั้งจิตของปุถุชนและจิตของพระอรหันต ตางกันตรงท่ีชวนจิตของปุถุชนสวนใหญจะ
เสพอารมณภายใตอิทธิพลของกิเลส สวนชวนจิตของพระอรหันตเสพอารมณแบบบริสุทธ์ิ
ไมมีการคิดปรุงแตงดวยกิเลส ดังน้ัน การเสพอารมณของพระอรหันตจึงไมถือวาเปนการ
สรางกรรม หากแตเปนเพียงกิริยาเทาน้ัน (กิริยาชวนะ) วงจรแหงสังสารวัฏในชีวิตของ
ปุถุชนไมวาจะเปนกิเลส กรรม และวิบาก ก็เกิดข้ึนในชวงชวนจิตน้ี จิตจะเศราหมอง จะ
ผอ งแผว หรอื จะตรสั รู ก็เกดิ ขึ้นในชวงชวนจิตน้ี
เมื่อกลา วถึงกิเลส หมายถึงส่ิงท่ีทําใหจิตเศราหมอง ตามปกติจิตน้ีประภัสสรหรือ
ผุดผองตามธรรมชาติ แตเศราหมองเพราะมีกิเลสเขามาแปดเปอน กิเลสมี ๓ ชั้น คือ กิเล
สานุสัย ปริยุฏฐานกเิ ลส วีตกิ มกิเลส
๑) กเิ ลสอยา งละเอียด (กเิ ลสานุสยั ) คือ ความตงั้ ใจม่ันและความปกใจมั่นในจักขุ
ในรูป ในจักขุวิญญาณ และในธรรมที่พึงรูแจงทางจักขุวิญญาณ เปนตน๒๗ ซึ่งมีอยู ๗
อยาง๒๘ ไดแกความปรารถนา ความตองการ ความอยากไดในสิ่งท่ีนาใครนาปรารถนา ๕
อยางคือ ปรารถนาและตองการอยากไดอยากเห็น ไดยิน ลิ้มลองรส ดมกล่ิน และอยาก
สัมผัสสิ่งที่ดีๆ ที่นาพอใจทางตา หู จมูก ล้ิน กาย (กามราคานุสัย), ความยินราย ความ
หงุดหงิด ความขัดใจ ขัดเคือง ความไมพอใจตางๆ ความโกรธ โมโห ฯลฯ (ปฏิฆานุสัย),
ความเห็นผิดจากความเปนจริงตางๆ (ทิฏฐานุสัย), ความลังเลสงสัยลังเลใจในสิ่งท่ีควรเช่ือ
(วิจิกิจฉานุสัย), ความถือตัวจัดความเยอหย่ิง สําคัญตนเองวาเปนผูประเสริฐกวาผูอื่นโดย
ชาติ ตระกลู รปู ราง ทรัพยส มบัติ เปน ตน (มานานุสัย), ความติดใจในภพ คือ การเวียนวาย
ตายเกดิ เชน ยงั อยากเปน มนษุ ย (ภวราคานุสัย) และความไมรแู จง (อวชิ ชานสุ ัย)๒๙
จากท่ีกลาวมาขางตนน้ี อาจกลาวไดวา กิเลสอยางละเอียด ก็คือกิเลสที่นอน
เนื่องอยูในขันธสันดาน เปนกิเลสที่เขาใจไดยากท่ีสุด เพราะเปนกิเลสนอนสงบนิ่งอยูอยาง
๒๖ ดรู ายละเอียดใน พระมหาสมบูรณ วุฑฺฒิกโร (พรรณา), “จิตตมาตรของนิกายโยคาจาร:
การศึกษาเชงิ วเิ คราะหบ นฐานแนวคิดเรื่องจิตในพระพทุ ธศาสนายคุ ตน”, หนา ๑๐๘-๑๐๙.
๒๗ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๐๑/๑๒๐. ม.อ.ุ (บาลี) ๑๔/๑๐๑/๘๔.
๒๘ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๓๐/๓๓๗. ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๓๓๐.
๒๙ สํ.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๕๓-๖๒/๑๔.
ศกึ ษาเฉพาะเรือ่ งในพัฒนาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๑๓๑
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
เรนลบั เงยี บเชียบ โดยไมป รากฏออกมาทางหน่ึงทางใดเลย แตจะส่ังสมไวในภวังคจิต (life
continuum) หรือจิตไรสํานึก (the unconscious) ของมนุษยเรา เปรียบเสมือนน้ําใสท่ีมี
ตะกอนนอนกนอยู ตะกอนก็เหมือนกับกิเลสอยางละเอียด (อนุสัยกิเลส) ตอเม่ือกิเลสนั้น
แปรเปล่ียนสภาพจากการนอนเนื่องน่ิงสงบอยูมาปรากฏเกิดข้ึนทางใจเม่ือมีส่ิงตางๆ มา
กระทบตา หู จมูก ลิ้น กายหรือใจก็ตาม กิเลสท่ีปรากฏทางใจเหลานี้ เรียกวา กิเลส
ระดบั กลาง (ปรยิ ฏุ ฐาน) ตอเมอ่ื กเิ ลสระดับกลาง มกี ําลงั แรงมากเขา ๆ ก็จะเปนแรงขับ หรือ
ลวงออกมาทางกายไดแกทางการกระทํา และทางวาจาไดแกทางคําพูดซึ่งเปนกิเลสอยาง
หยาบน่นั เอง ฉะนั้น จงึ กลาวไดวา กิเลสอยางละเอียดหรืออนุสัยเปนตัวบงการใหญท่ีสุดซ่ึง
อยเู บอื้ งหลัง
๒) กิเลสอยางกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส) คือ ความตองการบํารุงบําเรอดวยรูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ชอบใจ จะเรียกวา สุขนิยม บริโภคนิยม และวัตถุนิยมก็ได (กาม
ฉันทะ), ความอาฆาตมาดรายผูกเวร อยากทําลายฝายตรงขามท่ีไมชอบใจไมถูกใจตนเอง
(พยาบาท), ความหดหู เซ่ืองซึม เพิกเฉย ไมรับรู ไมสนใจไมอยากยุง ทอแท (ถีนมิทธะ)
ความฟุงซาน รอนใจ/อยากเอาชนะฝายตรงขาม (อุทธัจจกุกกุจจะ), ความหวาดระแวง
สงสัยไปหมด ไมวาใครจะทําดี เสนอโครงการส่ิงดีๆ อะไรเปนตน (วิจิกิจฉา) ทั้ง ๕ น้ี
เรียกช่ืออีกอยางหนึ่งวา “นิวรณ ๕”๓๐ ซึ่งมีอยูภายในจิตใจมนุษยเรานิวรณท้ัง ๕ นี้ จะ
แสดงตวั ใหเหน็ กต็ อเมื่อมนุษยเราอยูใ นท่ีเงยี บสงัด หรือเขา สูการปฏิบัติธรรม ดังมีพุทธพจน
ท่ีวา “ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยูในปาก็ดี อยูที่โคนไมก็ดี อยูในเรือนวางก็ดี ยอมพิจารณาเห็น
ดังนี้วา เรามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลส (กิเลสเปนเครื่องครอบงํา) ใดครอบงําแลว ไมพึงรูเห็น
ตามความเปนจริง ปริยุฏฐานกิเลสนั้นที่เรายังละไมไดในภายในมีอยูหรือ”๓๑ นอกจากนี้
นวิ รณท้ัง ๕ ยงั เปนตวั การณท ี่คอยตัดรอนขวางก้นั การทาํ งานไมใหม ีประสิทธิภาพ หรือเปน
สิ่งกั้นจิตใจไมใหบรรลุความดี๓๒ เปนเคร่ืองทําจิตใหเศราหมองและทอนกําลังปญญา๓๓
พุทธองคทรงเปรียบทั้งนิวรณ ๕ ประการดังตอไปน้ี๓๔ คือ (๑) เปรียบเหมือนคนกูหน้ีมา
ลงทุน๓๕ (๒) เปรียบเหมือนคนไขอาการหนัก บริโภคอาหารไมได ไมมีกําลัง๓๖ (๓) เปรียบ
๓๐ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๒/๓๑๖-๓๑๗. ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๒/๒๕๕-๒๕๖,
๓๑ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๙๓/๕๓๓. ม.ม.ู (บาลี) ๑๒/๔๙๓/๔๓๗-๔๓๘,
๓๒ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๗๘/๑๐๔., สํ.ม. (บาลี) ๑๙/๑๗๘/๕๖.
๓๓ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๗๑/๔๙., ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๗๑/๔๑.
๓๔ ท.ี สี. (ไทย) ๙/๒๒๓/๗๕., ท.ี สี. (บาลี) ๙/๒๒๓/๗๔.
๓๕ ที.ส.ี (ไทย) ๙/๒๑๘/๗๔., ท.ี ส.ี (บาลี) ๙/๒๑๘/๗๒.
๓๖ ที.ส.ี (ไทย) ๙/๒๑๙/๗๔., ท.ี ส.ี (บาลี) ๙/๒๑๙/๗๓.
๑๓๒ บทที่ ๔ แนวคดิ จติ ประภสั สรในพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. The concept of Mental Propitiation in Theravada and Mahayana Buddhism
เหมือนคนตองโทษถกู คุมขังใน๓๗ (๔) เปรียบเหมอื นคนที่ตกเปน ทาส พึ่งตัวเองไมได ตองพึ่ง
ผอู ่ืน จะไปไหนตามใจชอบก็ไมได๓๘ และ (๕) เปรียบเหมือนคนมีทรัพยสมบัติ เดินทางไกล
กนั ดาร หาอาหารไดยาก มีภยั เฉพาะหนา๓๙
จากที่กลาวมาขางตนน้ีจะเห็นไดวา นิวรณ ๕ ประการนี้ เปนกิเลสระดับกลางที่
อยูภายในใจ ไมไ ดแ สดงออกมาทางกาย วาจา ของบุคคล
๓) กเิ ลสอยางหยาบ (วีติกมกิเลส) คือ กิเลสท่ีเกิดข้ึนและออกมาเปนพฤติกรรมทาง
กายและวาจา เชน การฆาสัตว การลักขโมย การประพฤติผิดในกาม การพูดปด การพูดคํา
หยาบการพูดสอเสียด การพูดเพอเจอ การดื่มสุรายาเมา และการใชสารเสพติด เหลานี้เรียก
อีกอยางหน่ึงวา“อกุศลกรรมบถ”๔๐ อกุศลกรรมบถนี้เกิดขึ้นรุงเรืองในยุคท่ีมนุษยอายุสั้นลงๆ
และสังคมวุนวาย ดังขอความในจักวรรดิสูตรวา “ในเม่ือมนุษยมีอายุขัย ๑๐ ป กุศลกรรมบถ
๑๐ จักอันตรธานไปหมดสิ้นอกุศลกรรมบถ ๑๐ จักเจริญรุงเรืองเหลือเกิน”๔๑ และจัดไดวา
เปน ไปในฝา ยเส่ือม๔๒ เพราะทําใหมนษุ ยมีพฤติกรรมไมเสมอเหมือนกัน๔๓
จากท่ีกลาวถึงกิเลส ๓ ช้ันขาง เพ่ือช้ีใหเห็นวา กิเลสที่จรมาน้ันมีอํานาจท่ีจะสั่ง
การใหจ ิตเปน ไปตามอํานาจ เมือ่ ใดทจ่ี รหรือแทรกเขา จิตได ก็สามารถทําจิตใหเปนอยางนั้น
อยา งน้ไี ดท ันที
๔.๓ จิตประภสั สรในอรรถกถา
จิตประภสั สรอนั เปนท่เี ขาใจกนั วา เปนจติ ท่ีผุดผองตามปกติเหมือนน้ําใสสะอาด แต
ในชวงท่ีทํางาน ซึ่งมีอยู ๔ ระดับ เชน ระดับกามาวจร เปนตน ไดถูกเจตสิกธรรมฝายชั่ว คือ
อุปกิเลสที่จรมาซึ่งตองทํางานรวมกับจิต หรือปรุงแตงจิต ทําจิตใหเศราหมองที่เรียกวา ใจช่ัว
ซ่งึ พรอมทีจ่ ะแสดงพฤติกรรมออกมาทางกายและวาจา ดงั ที่พระอรรถกถาจารยก ลาววา
ใจ หมายถึง จิต ๔ ระดับ คือจิตระดับกามาวจรภูมิ จิตระดับรูปาวจรภูมิ จิต
ระดบั อรปู าวจรภมู ิ และจติ ระดบั โลกตุ ตรภูมิ แตใ นที่น้ีหมายเอาจิตท่ีมีโทมนัสประกอบดวย
ปฏิฆะ เดิมทีเดียวจิตน้ันเปนภวังคจิต คือเปนจิตท่ีผองใส (ปภัสสรจิต) แตเม่ือถูกเจตสิก
๓๗ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๒๐/๗๔., ท.ี สี. (บาลี) ๙/๒๒๐/๗๓.
๓๘ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๒๒๑/๗๕. ที.ส.ี (บาลี) ๙/๒๒๑/๗๓.
๓๙ ที.ส.ี (ไทย) ๙/๒๒๒/๗๕., ท.ี ส.ี (บาลี) ๙/๒๒๒/๗๓-๗๔.
๔๐ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๓/๗๓., ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๑๐๓/๖๑.
๔๑ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๓/๗๓., ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๑๐๓/๔๓.
๔๒ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๖๐/๔๓๑., ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๖๐/๒๘๙.
๔๓ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๔๐/๔๗๓., ม.ม.ู (บาลี) ๑๒/๔๔๐/๒๙๒.
ศึกษาเฉพาะเร่อื งในพัฒนาการแหง พระพุทธศาสนา ๑๓๓
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
ธรรมฝายช่วั กลาวคืออุปกิเสสธรรมจรมากระทบเขา ก็กลายเปนจิตเศราหมองท่ีเรียกวา ใจ
ชั่ว ซ่ึงพรอ มที่จะแสดงพฤติกรรมออกมาทางกายและวาจา๔๔
พระอรรถกถาจารยไดขยายความจากพุทธพจนเกย่ี วกับ ”จิตประภัสสร”๔๕ วา
ภวังคจิตแมจะบริสุทธ์ิโดยธรรมชาติ (ปกติปริสุทฺธมฺป) ก็ช่ือวาเปนอันเศราหมอง เพราะ
อุปกิเลสท่ีจรมา ซึ่งเกิดขึ้นเพราะจิตสหรคตดวยกิเลสมีโลภะเปนตน อันมีความกําหนัดขัด
เคอื งและความหลงเปนสภาวะ ในขณะแหงชวนจิต เหมือนมารดาบิดาและอุปชฌายอาจารยผู
สมบรู ณดวยอาจาระ (แต) กลบั มาไดความเสียชื่อเสยี ง เพราะบุตรเปน ตน ฉะนแี้ ล๔๖
จิตประภัสสร ท่ียกข้ึนมาแสดงในที่นี้จึงหมายถึง “ภวังคจิต”ซ่ึงมีความหมายวา
จิตท่ีเปนองคแหงภพ หรือจิตที่รักษาความสืบเน่ืองของชีวิต คือต้ังแตปฏิสนธิจนถึงจุติ (คือ
เกิดมาจนกระทั่งตายไป) มีความสะอาดบริสุทธิ์โดยธรรมชาติ (ปกติปริสุทฺธิ) ท่ีเรียกวา
“ประภัสสร” แตพ อถกู กิเลสท่จี รเขามาก็เศราหมองไป คือในชวงเวลาท่ีจิตรับอารมณ (ชวน
วิถี) ทานจึงเปรียบเทียบกับมารดาบิดาและอุปชฌายอาจารยผูสมบูรณแบบหรือ
เพียบพรอมดวยอาจาระหรือมารยาทดีงาม แตตองมาเสียชื่อเสียง เพราะบุตรเปนตน ซึ่ง
หมายความวา มารดาบิดาและอุปชฌายอ าจารยผูซึ่งเพียบพรอมดวยความประพฤติท่ีดีงาม
ตองเสื่อมเสียช่ือเสียงจากที่เคยเปนคนดีมากอนเพราะการกระทําของบุตรและสัทธิวิหาริก
อนั เตวาสกิ ถึงแมค วามเสียช่ือเสียงไมไดเกิดข้ึนภายในตัวมารดาบิดาและอุปชฌายอาจารย
ก็จริง แตก็สงผลกระทบมาถึงตัวทานเชนกัน เพราะบุตรและสัทธิวิหาริกอันเตวาสิกอยูใน
การดูแลของทาน คือทานก็ถูกตําหนิไดวาไมส่ังสอนอบรมบุตรและสัทธิวิหาริกอันเตวาสิก
ดงั นัน้ ภวงั คจิตท่ีบริสทุ ธิอ์ ยโู ดยปกติ (ธรรมชาต)ิ อยแู ลว แตกิเลสเขา มาทําใหจ ิตเศราหมอง
ไป ในชวงเวลาที่ภวังคจิตทํางานสงตอถึงวิถีจิต คือต้ังแตอดีตภวังคมาถึงชวงโวฏฐัพพนจิต
(จิตท่ีตัดสินอารมณ) ถือวาระหวางน้ีจิตยังมีความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติของตนอยู เพราะ
จัดเปนวิบากพนวิถี กิริยาจิต วิบากจิต และกิริยาจิต แตพอถึงชวงชวนจิต (จิตที่เสพ
อารมณ) จิตจึงถูกทําใหเศราหมองดวยกิเลสตางๆ ที่จรเขามา ในชวงชวนจิตน้ีถือวา เปน
ชว งกระบวนการทาํ งานของจิต ซงึ่ ไปรบั อารมณเขามาทางทวาร ถาความเศราหมองเกิดขึ้น
เฉพาะชวงชวนจติ ตามคาํ อธบิ ายของทา นพระอรรถกถาจารย ก็แสดงวาภวังคจิตเศราหมอง
ในชวงรอยตอที่จะขึ้นสูชวนจิตนั่นเอง ภวังคจิต มีอยู ๓ คือ อดีตภวังค ภวังคจลนะ และ
ภวังคุปจเฉทะ ต้ังแตภวังคจิตทั้ง ๓ มาถึงโวฏฐัพพนจิตนี้ ช่ือวา เปนจิตประภัสสรอยู ดัง
ตวั อยา งกระบวนการของจิตทางปญ จทวารวิถี อติมหันตารมณ เชน โสตทวาร (ทางหู) เปน
๔๔ ข.ุ ธ.อ. (บาลี) ๑/๒๐.
๔๕ อง.ฺ เอกก. (ไทย) ๒๐/๔๙/๙., อง.ฺ เอกก. (บาล)ี ๒๐/๔๙/๙.
๔๖ อง.ฺ เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๔๙/๕๓.
๑๓๔ บทที่ ๔ แนวคิดจิตประภสั สรในพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. The concept of Mental Propitiation in Theravada and Mahayana Buddhism
อดีตภวังคจากอดีตอารมณ (หรือส่ิงเรา) ท่ีมากระทบทางหูจะกอใหเกิดการหวั่นไหวตอ
ภวังคเกา หรือภวังคเกิดจนกลาย (หมายเลข ๑) เปนภวังคจลนะ หรือภวังคไหว จิตเตรียม
ทิ้งอารมณเ กา เพือ่ จบั อารมณใหมท่ีมากระทบ (หมายเลข ๒) ภังคุปจเฉทะ ตัดกระแสภวังค
เกาจะข้ึนวิถีแลว แตยังมิไดพนจากภวังค (หมายเลข ๓) ปญจทวาราวัชชนะ หรือประตูรับ
อารมณท้ัง ๕ อันไดแก ตา หู จมูก ล้ิน กาย (หมายเลข ๔) ในกรณีน้ีเปนตัวอยางของเสียง
ท่ีมากระทบกับหูคือโสตวิญญาณ หมายความวา เสียงไดเกิดขึ้นทางหูแลว ข้ันนี้มีเพียงรูแต
ไดยินเทานั้น ยังไมรูวาเปนเสียงอะไร หรือเร่ืองอะไร (หมายเลข ๕) สัมปฏิจฉันน จิตดวงน้ี
เพียงแตรบั อารมณต อจากโสตวิญญาณเพอื่ สงมอบใหสนั ตีรณะ พิจารณา (หมายเลข ๖) สัน
ตีรณะ ไดแกการพิจารณาอารมณเพียงแตพิจารณาเทาน้ัน เชน พิจารณาวาเปนเสียงดี
หรือไมดี (หมายเลข ๗) โวฏฐพั พนะ หมายความวา ตัดสินอารมณเด็ดขาดแลววา เสียงที่มา
กระทบนนั้ จะทําใหจิตเปน กศุ ลหรืออกุศลเปน บญุ หรือบาป ถาเปรียบเทียบกับคนก็เหมือนผู
พิพากษาตัดสินคดีวา ผิดหรือไมผิด เมื่อตัดสินลงไปแลว โจทกจําเลยไมอาจโตแยงไดเลย
(หมายเลข ๘) ชวนะ หมายถึง การเสพอารมณหรือกินอารมณเมื่อโวฏฐัพพนะตัดสินแลวก็
ลงมือกินทันที ถาเปนเสียงท่ีดี เชน คํายกยองชมเชยก็เกิดความยินดี ถาเปนเสียงดาก็โกรธ
บาปหรือบุญอกุศลหรือกุศล โลภะ โทสะ โมหะ หรืออโลภะ อโทสะ อโมหะ ก็เกิดขึ้นท่ีชว
นะท้งั ๗ ดวงนี้ (หมายเลข ๙)จติ ดวงอื่นจะไมเกิดเปนบาปเปนบุญ สวนตทาลัมพนะเปนจิต
ที่รับหรือหนวงอารมณตอจากชวนะหลังจากนั้นจิตก็เปนภวังคตอไป (หมายเลข ๑๖ และ
๑๗) หนุนเวียนกันอยูอยางนี้เปนวิถีจิตเกิดข้ึน ๑๗ แลวก็เปนภวังคตอไป “ภวังคจิตแมจะ
เกิดติดตอกันนับไมถวน แตขณะที่ จิตรับอารมณก็มีภวังคจิตเกิดขึ้นเพียง ๒ ขณะ (ดวง)
เทาน้ัน คือ (๑) ขณะกอนรับอารมณ (๒) ขณะรับ อารมณเสร็จแลว”๔๗ ดังมีรูปแสดง
กระบวนการของจติ ทางปญจทวารวิถี อตมิ หันตารมณ ดังน้ี
๔๗ ดูรายละเอียดใน พระพุทธโฆสเถระ รจนา, คัมภีรวิสุทธิมรรค, สมเด็จพระพุฒาจารย
(อาจ อาสภมหาเถร) แปลและเรียบเรียง, พิมพครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท ธนาเพรส จํากัด,
๒๕๕๓), หนา ๓๒-๓๓.
ศกึ ษาเฉพาะเร่ืองในพฒั นาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๑๓๕
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
๑. อดีตภวังคะ ภวังคจ ากอดีต ขณะกอ นรับอารมณ เปนชวงท่จี ติ
วบิ ากพนวิถี ... … ๒. ภวงั คจลนะ ภวังคไหว ประภสั สรอยู
๓. ภวังคปุ จ เฉทะ ตดั กระแสภวงั ค
- กริ ิยา ... … ๔. ปญจทวาราวัชชนะ การรบั อารมณใหมท่มี ากระทบ
๕. ปญจวิญญาณ (จกั ขุ, โสต, ฆาน, ชิวหา, กาย)
๖. สัมปฏจิ ฉันนะ การรบั อารมณต อ จากโสตวิญญาณ
- วบิ าก ... ... ๗. สนั ตีรณะ การพิจารณาไตสวนอารมณ
- กริ ิยา ... ... ๘. โวฏฐัพพนะ การตัดสนิ อารมณ
๙. ชวนะ
๗ วถิ ี กุศล ๑๐. ชวนะ การเสพอารมณ
อกุศล ๑๑. ชวนะ
หรือกริ ยิ า ๑๒. ชวนะ
๑๓. ชวนะ
๑๔. ชวนะ
๑๕. ชวนะ
- วิบาก ... ... ๑๖. ตทาลมั พนะ การยึดหนว งอารมณต อ จากชวนะ
๑๗. ตทาลมั พนะ
- วิบาก ... ... - ภวงั ค ขณะรับอารมณเ สร็จ
- ภวังค
ตัวอยางของปญจทวารวิถีที่แสดงใหเห็นขางตนน้ี เปนอติมหันตารมณ คือ เปน
อารมณที่มีวิถีจิตเกิดมากที่สุดไดถึง ๗ วิถี และจะต้ังอยูในอารมณไดมากถึง ๑๔ ขณะจิต
เมื่อรวมจิตที่พนวิถีอีก ๓ ขณะจิต ก็จะไดเปน ๑๗ ขณะจิตพอดี ดังนั้น จึงเปนไปไดวา จิต
ประภสั สรอยูระหวา งภวงั คจติ ถึงโวฏฐัพพนจิต
พระอรรถกถาจารยไดอธิบายเกี่ยวกับภวังคจิตตอไปวา ภวังคจิตนั่นแล ชื่อวาจิต
(จิตฺตํ) คําวา หลุดพนแลว (วิปฺปมุตฺตํ) ไดแก ภวังคจิตนั้นไมกําหนัด ไมขัดเคือง ไมหลง
ในขณะแหงชวนจิต เกดิ ขนึ้ ดว ยอํานาจกุศลจิตท่ีเปนญาณสัมปยุตอันเปนติเหตุกะเปนตน ก็
ชื่อวาเปนอันหลุดพนแลวจากอุปกิเลสท้ังหลายท่ีเกิดขึ้นภายหลังภวังคจิตนี้ทานเรียกวา
หลุดพนแลวจากอุปกิเลสท้ังหลายที่เกิดขึ้นภายหลัง ดวยอํานาจกุศลจิตที่เกิดขึ้นในขณะ
๑๓๖ บทที่ ๔ แนวคิดจิตประภสั สรในพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร. The concept of Mental Propitiation in Theravada and Mahayana Buddhism
แหง ชวนจิต เหมือนมารดาเปน ตน เปนผูไดรบั การสรรเสริญ และไดช่ือเสียงวาทานเหลาน้ีดี
แท ใหบุตรเปนตนของตนศึกษา สั่งสอน พรํ่าสอนอยู เพราะอํานาจบุตรเปนตนเปนผูมีศีล
สมบรู ณด ว ยความประพฤติ ฉะนีแ้ ล
จากขอความที่ยกมาขางตนนี้จะเห็นวา ภวังคจิต เปนจิตหลุดพนจากอุปกิเลส
ดวยอํานาจกุศลจิตท่ีประกอบดวยความรู (ญาณสัมปยุต) อันมีความไมโลภ ความไมโกรธ
ความไมหลงเปนตน เปนเหตุ (ติเหตุกะ) กุศลจิตท่ีประกอบดวยความรูนั้น จะเกิดข้ึนไดก็
ตองมีกําจัดอุปกิเลสหรือมลทินที่จรเขามาทําใหจิตเศราหมอง ดังอุปมาที่พระพุทธเจาทรง
ยกขึ้นมาเปรยี บเทยี บวา
ผูมีปญญา พึงกําจัดมลทินของตน ทีละนอย ทุกขณะ โดยลําดับ เหมือนชางทอง
กาํ จดั สนิมทอง ฉะนน้ั ๔๘
นกท่ีเปอนฝนุ ยอมสลัดละอองธลุ ีท่ีแปดเปอนใหตกไป ฉันใด ภิกษุผูมีความเพียร
มสี ติ ยอมสลดั ละอองธุลีคอื กิเลสท่ีแปดเปอนใหตกไป ฉนั นัน้ ๔๙
สาเหตุของการที่จิตถูกกิเลสที่จรมาทําใหเศราหมอง เพราะจิตไดทองเที่ยวไปใน
สังสารวัฏท่ีตามไปดูรูไมได และการท่ีจิตเปนไปอยางนั้น ไมมีใครมาบังคับบัญชาได
นอกจากสังโยชนเปนตัวผูกมัดไวนั่นเอง จึงเปนไปไดวา สังโยชนคือผูอยูเบ้ืองหลังของการ
ทําจิตใหเ ศรา หมอง ดงั น้นั ผวู จิ ยั จงึ ขอกลาวถึงเรือ่ งสังโยชน ๑๐ ประการ
สังโยชน คือ ธรรมท่ีมัดสัตวไวกับทุกข ดังมีพุทธพจนวา ภิกษุท้ังหลาย สังโยชน
(ธรรมท่มี ัดสตั วไ วก บั ทุกข) ๑๐ ประการน้ี
สังโยชน ๑๐ ประการ อะไรบา ง คือ โอรมั ภาคยิ สังโยชน(สังโยชนเบ้อื งตา่ํ ) ๕
ประการ อทุ ธัมภาคยิ สังโยชน (สังโยชนเ บือ้ งสูง) ๕ ประการ
โอรัมภาคิยสงั โยชน ๕ ประการ อะไรบา ง คือ
๑. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นวาเปนตัวของตน)
๒. วิจกิ ิจฉา (ความลังเลสงสยั )
๓. สีลัพพตปรามาส (ความถอื มั่นศลี พรต)
๔. กามฉนั ทะ (ความพอใจในกาม)
๕. พยาบาท (ความคดิ ราย)
โอรัมภาคยิ สังโยชน ๕ ประการน้ี
อทุ ธมั ภาคิยสังโยชน ๕ ประการ อะไรบา ง คือ
๑. รปู ราคะ (ความตดิ ใจในอารมณแหงรปู ฌาน)
๔๘ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๒๓๙/๕๘., ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๒๓๙/๑๐๖.
๔๙ สํ.ส. (บาลี) ๑๕/๒๒๑/๒๓๗-๒๓๘., ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๒๒๑/๓๒๓.
ศกึ ษาเฉพาะเร่อื งในพัฒนาการแหง พระพทุ ธศาสนา ๑๓๗
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๒. อรูปราคะ (ความติดใจในอารมณแหงอรูปฌาน)
๓. มานะ (ความถือตัว)
๔. อทุ ธจั จะ (ความฟุงซาน)
๕. อวชิ ชา (ความไมรแู จง)
อทุ ธมั ภาคิยสังโยชน ๕ ประการนี้
ภิกษุท้งั หลาย สังโยชนมี ๑๐ ประการนแ้ี ล๕๐
สวนวิธกี ารทีจ่ ะทําใหจ ติ หลุดพน จากสังโยชน มีหนทางเดียวเทาน้ัน คือการเจริญ
สติปฏฐาน ๔ ซ่ึงพระพุทธองคตรัสไวในมหาสติปฏฐานสูตรวา ทางนี้เปนทางสายเอก เพื่อ
ความบริสุทธิ์แหงเหลาสัตว เพ่ือลวงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกขและโทมนัส เพ่ือบรรลุ
ญาณธรรม๕๑ เพือ่ ทําใหแจงพระนิพพาน ทางน้ี คือ สติปฏฐาน๕๒
พระพุทธเจาก็ทรงแสดงการเจริญสติปฏฐานท้ัง ๔ ประการไววา ภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงการเจริญสติปฏฐาน ๔ ประการ เธอทั้งหลายจงฟง การเจริญสติปฏฐาน ๔
ประการ เปนอยา งไร คือ ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้
๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌา
และโทมนัสในโลกได
๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กาํ จดั อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกได
๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู มีความเพียรมีสัมปชัญญะมีสติ กําจัดอภิชฌาและ
โทมนัสในโลกได
๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้ังหลายอยู มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กาํ จัดอภชิ ฌาและโทมนัสในโลกได
ภกิ ษทุ ั้งหลาย การเจริญสติปฏฐาน ๔ ประการ เปน อยา งนี้แล๕๓
จากพุทธพจนขางตนนี้ แสดงใหเห็นวาการเจริญสติปฏฐาน ๔ ประการ เปน
วิธีการแหงจิตประภัสสร ไดแก (๑) กายานุปสสนาสติปฏฐาน การมีสติเขาไปต้ังตามดูกาย
๕๐ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑๓/๒๑., องฺ.ทสก. (บาลี) ๒๔/๑๓/๑๔. ม.มู.อ. (บาล)ี ๑/๘/๔๗, ที.
ปา.ฏีกา (บาลี) ๓๔/๑๓.
๕๑ ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑/๓๑๘-๓๑๙., ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๒๑๔/๑๙๗. (ญายธรรม หมายถึง
อรยิ มรรค)
๕๒ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๓/๒๔๘, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑-๓๐๒. (สติปฏฐาน แปลวา
ธรรมเปนทีต่ ้ังแหงสติ หรือการปฏบิ ตั มิ ีสตเิ ปน ประธาน)
๕๓ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๔๐๕/๒๖๒. ส.ํ ม. (บาลี) ๑๙/๔๐๕/๑๑๑.
๑๓๘ บทท่ี ๔ แนวคดิ จิตประภสั สรในพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. The concept of Mental Propitiation in Theravada and Mahayana Buddhism
เพื่อใหเห็นวากายนี้สักแตวาเปนกายเทานั้น ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา (๒) เวทนา
นุปสสนาสติปฏฐาน การมีสติเขาไปต้ังตามดูเวทนา เพ่ือใหเห็นวาเวทนานี้สักแตวาเปน
เวทนาเทา น้ัน ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา (๓) จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน การมีสติเขา
ไปตั้งตามดจู ิต(ความคิด)เพ่ือใหเห็นวา จิตนี้สักแตวาเปนจิตเทานั้น ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน
เรา เขาและ (๔) ธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน การมีสติเขาไปต้ังตามดูธรรม(อารมณท่ีเกิด
ข้ึนกับจิต) เพื่อใหเห็นวา ธรรมนี้สักแตวาเปนธรรมเทานั้น ไมใชสัตว บุคคล ตัวตนเรา เขา
นอกจากน้ีอาจกลาวไดวา สติปฏฐานท้ัง ๔ ประการ เปนวิธีการปฏิบัติธรรมในสมัยที่พระ
พุทธองคยังทรงพระชนมอยู และเปนวิธีการปฏิบัติท่ีไดผลหรือมีอานิสงสสูงสุด ไดแก เปน
พระอรหันตบุคคลในปจจุบัน และเม่ือยังมีชีวิตอยูก็จะไดเปนพระอนาคามีบุคคล ดังพระ
พุทธพจนวา“ภิกษุท้ังหลาย บุคคลผูเจริญสติปฏฐาน ๔ ตลอด ๗ ป... ตลอด ๗ เดือน...
ตลอด ๗ วัน พึงหวังไดผลอยาง ๑ ใน ๒ อยาง คือ อรหัตตผลในปจจุบัน หรือเมื่อยังมี
อปุ าทานเหลอื อยู ก็จกั เปน อนาคามี”๕๔
ตอมาไดเกิดมีวิธีการปฏิบัติธรรมอยางหนึ่งเรียกวา “วิปสสนากัมมัฏฐาน ซ่ึงเปน
การงานอยางหน่ึงท่ีกอใหเกิดการเห็นแจงชีวิตโดยอาการพิเศษ”๕๕ “คือตามความเปนจริง
วามีลักษณะของความไมเท่ียง (อนิจจัง) ความเปนทุกข ( ทุกขัง) และความไมใชตัวตน
(อนัตตา)”๕๖ “ความเห็นแจงเชนนี้สามารถทําใหเกิดปญญา อันจะนําไปสูความพนทุกข
และปญญาท่ีเกิดขึ้นสามารถทําลายกิเลสตางๆ คือความโลภ ความโกรธ และความหลง
หรือใหล ดนอยลงจนหมดไปในทส่ี ดุ ”๕๗
การเจริญวิปสสนากรรมฐานสามารถปฏิบัติไดโดยการเอาสติไปตั้งไวท่ีฐานท้ัง ๔
คือ (๑)กาย (๒) เวทนา (๓) จติ และ (๔) ธรรม จุดมุงหมายท่ีสําคัญของวิปสสนากัมมัฏฐาน
ไดแ กการพัฒนาสติ คือ การระลกึ ได และสัมปชัญญะ คอื ความรูตัวทั่วพรอม อยางเชนการ
ยืน การเดิน การนั่ง การนอน การรับประทานอาหาร การคู การเหยียด การนุงหมเสื้อผา
การอาบน้ําตลอดจนการถายอุจจาระและปสสาวะ เปนตน สิ่งท่ีสําคัญอีกอยางหนึ่ง คือ
๕๔ ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๔๐๔/๒๖๘., ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๔/๓๓๘–๓๔๐.
๕๕ ขุ.ปฏิ.อ. (บาลี) ๑/๑๕๕/๓๒๘., อภ.ิ สงฺ.อ. (บาลี) ๑๐๐/๑๐๐.
๕๖ ม.ม. (บาลี) ๑๓/๒๐๕/๑๘๑., ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๐๕/๒๔๓.
๕๗ U Janakabhivamsa Sayadaw, The ICD-10 Classification of Mental and
Behavioral Disorders : Clinical Descriptions and Diagnostic Guidelines, (Geneva
:World Health Organization, 1992), pp. 30-31, Mahasi Sayadaw, The Great Discourse on
the Turning of the Wheel of Dhamma (Dhammacakkappavattana Sutta), (Bangkok
:Buddhadhamma Foundation, 1996), pp. 71-78. อางใน พระมหาไสว ญาณวีโร, คมู อื หลักปฏิบัติ
วิปสสนากมั มัฏฐาน, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพก ารศาสนา, ๒๕๔๔), หนา ๖๙.
ศกึ ษาเฉพาะเรอ่ื งในพฒั นาการแหงพระพุทธศาสนา ๑๓๙
Selected Topics in Development of Buddhism
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
การกําหนดรูอารมณ หรือส่ิงเราท่ีมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เพื่อมิใหกิเลส
เกิดขนึ้ จนทําใหจ ติ ขนุ มัวและเศราหมอง๕๘
จากทก่ี ลาวมาขางตนน้ี จะเห็นวา การปฏบิ ัตวิ ิปส สนากัมมัฏฐานตองอาศัยรูปกับ
นามเปน อารมณ สวนการเจริญสติปฏฐานมีปรากฏในมหาสติปฏฐานสูตรอันเปนพระสูตรที่
มคี วามสาํ คัญมากตอ การปฏิบตั ิวิปส สนากมั มฏั ฐาน
๔.๔ ความหมายของจติ เดิมแท
๔.๔.๑ ความหมายของคําวา “จิต”
คําวา “จิตเดิมแท” สามารถแยกออกเปน ๒ คํา คือ คําวา “จิต” และคําวา “เดิม
แท”ในนิกายโยคาจารไดใหความหมายคําวา “จิต” ไวหลายนัย ดังขอความในสัมธินิรโมจน
สูตรท่ีวา “ที่ชื่อวาจิต เพราะพอกพูน (อาจิต) และส่ังสม (อุปจิต) อารมณ ๖ คือ รูป เสียง
กลิ่น รส โผฏฐัพพ และธรรมารมณ”๕๙ และขอความในคัมภีรตริสวภาวนิรเทศที่วา “อาลย
วิญญาณเรียกวาจิต เพราะสั่งสมพีชะแหงสังกิเลสและวาสนา ปวัตติวิญญาณเรียกวาจิต
เพราะเปน ไปโดยอาการอันวจิ ิตร”๖๐
จากขอความขางตนนี้ นิกายโยคาจารใหความหมายของคําวา “จิต” เปนช่ือเรียก
ใหสอดคลองกับพฤติกรรมการทํางานของจิตในเร่ืองของการส่ังสมพอกพูนขอมูลแหง
ประสบการณที่รับรูทางอายตนะ รวมทั้งสั่งสมกิเลส วิบากกรรม และความเคยชินตางๆ
(วาสนา) ซึ่งความหมายของจิตในขอนี้ เรียกการทํางานของอาลยวิญญาณ สวนความหมายวา
“วิจิตร” เรียกการทํางานของปวัตติวิญญาณ หมายถึง จิตที่ข้ึนสูการรับรูอารมณทางอายตนะ
(วิญญาณ ๖) และจิตท่ีปรุงแตงอารมณ (มนัส) และจิตมีความหมายกวางและครอบคลุมไปถึง
๕๘ Bhaddhanta Asabha, The Practice of Vipassana Meditation for Mindfulness
Development, (Bangkok : Sahadhammika, 2001), pp. 4-14, อางใน พระมหาไสว ญาณวีโร,
คมู ือหลกั ปฏบิ ตั วิ ปิ สสนากมั มฏั ฐาน, หนา ๗๐-๑๐๒.
๕๙ สัมธินิรโมจนสูตร อางใน William S. Waldron, The Buddhist Unconscious,
(London:Routledge Curzon, 2003), p. 96. อางใน พระมหาสมบูรณ วุฑฺฒิกโร (พรรณนา), “จิตต
มาตรของนิกายโยคาจาร: การศึกษาเชิงวิเคราะหบนฐานแนวคิดเร่ืองจิตในพระพุทธศาสนายุคตน”,
วิทยานิพนธพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๕๒), หนา ๑๑๓.
๖๐ ตริสวภาวนิรเทศ อางใน Thomas E. Wood, Mind Only, (Delhi: Motilal
Banarsidass Publishers Private Limited, 1994), pp. 32-33. อางใน พระมหาสมบูรณ วุฑฺฒิกโร
(พรรณา), “จิตตมาตรของนิกายโยคาจาร : การศึกษาเชิงวิเคราะหบนฐานแนวคิดเรื่องจิตใน
พระพทุ ธศาสนายคุ ตน ,” หนา ๑๑๓.
๑๔๐ บทที่ ๔ แนวคดิ จิตประภสั สรในพทุ ธศาสนาเถรวาทและมหายาน
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร. The concept of Mental Propitiation in Theravada and Mahayana Buddhism
วิญญาณ เหมือนกับวาวิญญาณอยูภายใตจิตอีกท่ีหน่ึง เพราะหลักการจิตเดียวซ่ึงมีวิญญาณที่
ทําหนาท่ีแตกตางกัน ในลังกาวตารสูตร ไดใหความหมายของจิตวา หมายถึงระบบของความรู
สาํ นึกทั้งหมดท่ีเกิดขึ้นและดําเนินไปตามกฎเกณฑหรือหนาท่ีตามธรรมชาติ๖๑ ซึ่งทาน ดี.ที. ซู
สุกิ ไดขยายความวา จิต มาจากรากศัพทวา “จิ” หมายถึง (๑) รับรู คือ การรับรูอารมณทาง
อายตนะ (๒) สั่งสม พอกพูน คือ การส่ังสมพอกพูนผลกรรมตางๆ มาเก็บไวในจิต (จิตฺเตน
จียเต กมฺมมฺ) (๓) คิด หมายถึงคิดอารมณที่รับรูเขามาทางอายตนะ และ (๔) วิจิตร
หมายถึง การสรางหรือการปรงุ แตงอารมณทร่ี ับเขา มาหรอื ทีเ่ กบ็ สง่ั สมไวใหว ิจติ รพสิ ดาร๖๒
๔.๔.๒ ความหมายของคําวา “เดิมแท”
คําวา “เดิมแท” หมายถึง “ประภัสสร” สวางหรือมีรัศมี เชน “shining” หรือ
“very bright” หรือ “luminous” หรือ “radiant”๖๓ มีคําเรียกวา “ปฺรกฤติปฺรภาสฺวร”
แปลวา ประภัสสร หรือเปลงประกายโดยธรรมชาติ (luminous by nature) และคําวา
“ปฺรกฤติปริศุทฺธ” แปลวา บริสุทธ์ิโดยธรรมชาติ (pure by nature)๖๔ อีกอยางหน่ึงคําวา
“เดิมแท” หมายถึง ปกติ ภาษาสันสกฤต เรียกวา “ปฺรกฤติ” (ประกฤติ) แปลตามศัพทวา
“การกระทําอันเปนปฐม” (ปฐมํ กติ ปกติ)๖๕ หมายถึง รูปแบบธรรมชาติด้ังเดิม) original or
natural form) หรือสภาวะตามธรรมชาติ (natural state or condition)๖๖ จากความหมาย
ดังกลาวมาอาจสรุปไดวา เดิมแท ก็คือ สวาง เปลงประกายหรือบริสุทธ์ิเปนปกติอยูอยางน้ัน
๖๑ Lańkāvatāra Sūtra, (tran) by D.T. Suzuki, (London and Boston: Routledge
& Kegan Paul LTD, 1973), pp. XXI-XXII. อางใน สุมาลี มหณรงคชัย. พุทธศาสนามหายาน, (ฉบับ
ปรบั ปรุงแกไ ข),พิมพค ร้งั ที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร: สาํ นักพิมพศยาม, ๒๕๔๖), หนา ๑๑๖.
๖๒ D.T. Suzuki, Studies in the Lańkāvatāra Sūtra, (London and Boston:
Routledge & Kegan Paul LTD, 1972), pp. 176, 190, 250, 398-399, 439. อางใน พระมหา
สมบูรณ วุฑฺฒิกโร (พรรณนา),“จิตตมาตรของนิกายโยคาจาร : การศึกษาเชิงวิเคราะหบนฐานแนวคิด
เรื่องจติ ในพระพุทธศาสนายคุ ตน,” หนา ๑๑๔.
๖๓ T.W. Rhys Davids and William Stede, Pali-English Dictionary, (Delhi:
Motilal Banarsidass Publishers Private Limited, 1994), p. 415 และ Sir Monier Monier-
Williams, Sanskrit English Dictionary, (London: Routledge Curzon, 2003), p. 684.
๖๔ อางใน Walpola Rahula, Zen & the Taming of the Bull, (Colombo: Print &
Print Graphics (Pvt) Ltd., 2003), p. 83. อา งใน พระมหาสมบูรณ วุฑฺฒิกโร (พรรณนา), “จิตตมาตร
ของนิกายโยคาจาร : การศึกษาเชิงวิเคราะหบนฐานแนวคิดเรื่องจิตในพระพุทธศาสนายุคตน,” หนา
๑๑๔.
๖๕ พันตรี ป .หลงสมบุญ, พจนานุกรม มคธ – ไทย, (กรุงเทพมหานคร : อาทรการพิมพ ,
๒๕๔๐), หนา ๔๐๙.
๖๖ T.W. Rhys Davids and William Stede, Pali-English Dictionary, p. 379.