ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจจบุ นั ๘๕
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
ได เปนเพียงสักวาเปนธรรมชาติท่ีเปนไป หรือต้ังอยูตามลักษณะหรือกฎเกณฑของ
ธรรมชาติ คือไมม ี หรือไมควรเรียกวา ตวั ตนของมนั เอง ดังนี้ ก็เรียกวาวางจากตัวตนได รวม
ความวา ลกั ษณะทเี่ หน็ วา วางจากความเปนตัวตน หรือวางจากความหมายท่ีสมควรแกการ
ทีบ่ ุคคลใดบุคคลหน่ึงจะมอบกายถวายชีวิตจิตใจเขา ไปยึดถอื เอา นีเ้ รียกวา “เหน็ ความวาง”
ที่เปนใจความสําคัญของพุทธศาสนา ถาบุคคลใดเห็นความวางของสิ่งท้ังปวงดังนี้แลว จะ
เกิดความรูสกึ ที่เรยี กวา “ไมนา เอา ไมนาเปน ” ในสิง่ ตา ง ๆ ขนึ้ มาทันที
สุญญตา ความวางเปลา ความศูนย คือสูญจากความมตี ัวตน เวลาพระทาน
พิจารณาสังขารโดยความเปนสภาพศูนย หมายถึงพิจารณาเห็นความเปนจริงวา ส่ิงที่
เรยี กวา ตัวตนเราเขา น้ันที่แทไมมี มีเพียงการประกอบเขาแหงธาตุสี่ดินน้ําลมไฟเทาน้ันเอง
เมอ่ื เหน็ วา วางอยางนแ้ี ลว ทา นก็ไมย ึดมน่ั ถือม่ัน ดังทีห่ ลวงพอพุทธทาสกลาววาวางจากตัวกู
ของกู ไมข ึ้นอยูกบั การเกดิ ข้นึ ของศาสดาหรือศาสนาใดๆ
ความหมายของหลกั สญุ ญตาตามทัศนะของพุทธทาสภิกขุ:ธรรมที่ลึกท่ีสุดก็
คือเรื่อง “สุญญตา” นอกนั้นเรื่องต้ืน ธรรมที่ลึกจนตองมีพระตถาคตตรัสรูขึ้นมาและสอน
น้นั มแี ตสุญญตา เร่ืองนอกนัน้ เรื่องตื้น ไมจําเปนจะตองมีตถาคตเกิดข้ึนมา๘ ถามวา “ความ
วาง” หรือ “สุญญตาธรรม” คืออะไร? พุทธทาสภิกขุไดกลาวไววา ความวางในภาษาธรรม
ไมไดหมายถึง ความวางเปลาโลงเตียนไมมีอะไร เลยตามที่เขาใจกันในภาษาสามัญ หาก
หมายถงึ สภาพความจริงที่สรรพสิง่ ในโลกลวนอิงอาศัยกัน เกิดอยูและมีอยู ดวยเหตุน้ีแตละ
สิง่ จงึ ปราศจากแกนสารในตัวเอง (self-nature) หรือพูดอีกแบบหนึ่งคือไมมีอัตลักษณแยก
ตางกัน (separate identity)๙
พุทธทาสภิกขุไดใหความหมายของสุญญตาตามรูปศัพทเดิม วา สุญญตา
มาจากคํา ๒ คํา คือ สุญญ แปลวา วาง + ตา ปจจัย ในภาวตัทธิต ซ่ึงมีคําแปลประจําวา
ความ เมื่อรวมความแลว สุญญตา จึงหมายถึง ความวาง ซ่ึงความวาง ตามหลัก
พระพทุ ธศาสนานั้นมีความหมายท่ีกวางมากและไมไดมีความหมายวา ความไมมีหรือความ
ขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) แตสุญญตาน้ันแปลวา ความวาง ความวางของโลก คือ ความไมมี
ตวั ตนทีจ่ ะหาไดใ นโลก ความวางของจติ คอื จิตทปี่ ระกอบดวยปญ ญา (วา งจากกิเลส)๑๐
หนา ๓๒. ๘ พุทธทาสภิกขุ, ชุมนุมธรรมบรรยายเร่ืองความวาง, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ม.ป.ป.),
า ๑๖. ๙ พทุ ธทาสภิกข,ุ จิตวางในชวี ิตประจาํ วัน, (กรุงเทพมหานคร : รุงแสงการพิมพ, ๒๕๓๓), หน
๑๐ พุทธทาสภกิ ข,ุ สุญญตาปรทิ รรศน เลม ๒, (สุราษฎรธ านี : ธรรมสภา, ๒๕๑๙), หนา ๔๘.
๘๖ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจจบุ ัน
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
พทุ ธทาสภกิ ขุกลาวถึงสุญญตาวาเปนภาษิตของพระพุทธเจา ไมไดมุงแสดง
ความวางที่ไมมีอะไรเลย แตมุงแสดงลักษณะสุญญตาที่วางจากตัวตนท่ีเปนลักษณะของส่ิง
ท้ังหลายทั้งปวง สุญญตาจึงเปนเร่ืองสําคัญคนสวนมากเห็นวาเปนเรื่องไมสําคัญเปนเรื่อง
เบ็ดเตล็ด เล็กนอยหรือเห็นวาเปนธรรมแขนงหนึ่งของหลักธรรมใหญๆ ใชสําหรับอธิบาย
ประกอบเร่ืองน้ันๆ ทั้งยังเห็นวาเร่ืองสุญญตาไมใชหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเถรวาท
เปนหลักธรรมของพระพุทธศาสนามหายาน พุทธทาสภิกขุใหความหมายของสุญญตาไว
ดังนี้
สญุ ญตา มคี วามหมายวา วางเปลา ซึ่งกินความเลยไปถึงความเปนมายาหา
สาระอะไรอันแทจริงและแนนอนตายตัวไมได เชนนี้มันมิไดหมายความวา มันไมมีอะไรอยู
เลย แตมนั อาจจะมีอะไรๆ มากมายเทาไรก็ได เพียงแตวาทั้งหมดนั้นที่ปรากฏอยูน้ันเปนมา
ยา ครั้นไปคนหาสวนที่เปนสาระเขา กลับควานํ้าเหลว นี้เปนความหมายอันหนึ่งตามทาง
ธรรมของคําวา วางอีกความหมายหน่ึงนั้น เล็งถึงความวางโดยเฉพาะ โดยไมตองคํานึงถึง
ปรากฏการณต า งๆ คอื มองขามปรากฏการณตางๆ ไปเสียไมสนใจหรือใสใจ หรือไมรูสึกตอ
ปรากฏการณเหลาน้ันเลย หรือรูสึกอยูแตภาวะแหงความวาง ซึ่งเปนของจริงและไมไดเปน
มายาแตประการใด แตกเ็ รียกสง่ิ นัน้ วา ความวา ง๑๑
ในทรรศนะของพุทธทาสภิกขุ ความวางมี ๒ อยาง คือ ปรากฏการณที่เปน
เพียงมายา หาสาระอะไรไมได และตัวของความวางอันแทจริงคือพระนิพพานซึ่งหมายถึง
สุญญตาคือความวางจากตัวตน “ความวางกับลักษณะของความวางพรอมกันไปใน
ขณะเดียวกัน กลมเกลียวกันจนไมสามารถแยกออกไดวา สวนไหนเปนความวาง สวนไหน
เปนลักษณะของความวาง เพราะความวางท่ีแทจริงไมมีลักษณะแตประการใด”๑๒ ความ
วา งกบั ลักษณะของความวางเปนลกั ษณะเดียวกัน แตแยกกัน เพ่ืออธิบายในรายละเอียดให
เหน็ แงม มุ ตา งๆ ทัง้ ๒ อยา งเปน อันเดียวกันและอยูในขณะเดยี วกนั
พุทธทาสภิกขุยังใหทรรศนะเกี่ยวกับสุญญตาและจิตวาง มีความสัมพันธกัน
กลาวคือ คําวา สุญญตา แปลวา ความวาง ความวางของโลก คือ ความไมมีตัวตนท่ีจะหา
พบไดใ นโลก ความวางของจิต หมายความวา จติ ประกอบดวยปญญา หรือความวางจากตัว
กู ของกู คือ ความเตม็ แหงสติปญญา๑๓
๑๑ เรอื่ งเดียวกัน, หนา ๑๓-๑๔.
๑๒ เร่ืองเดียวกนั , หนา ๒๓.
๑๓ เรื่องเดียวกนั , หนา ๑๖.
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจ จบุ นั ๘๗
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นักสวนโมกขพลาราม
คําวา สุญญตา ความวาง หมายถึง ความวางจากตัวตน เปนคําท่ีรวบรวม
ความหมายของคําวา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไวท้ังหมด คือเม่ือมันไมเที่ยงเปลี่ยนแปลงอยู
เสมอ ไมมสี วนไหนทย่ี ่ังยืนถาวร เรียกวา วา งได เมือ่ เต็มไปดวยลักษณะท่ีดูแลว นาสังเวชใจ
ก็แปลวา วางจากสว นท่คี วรเขาไปยดึ ถือเอา๑๔ เมอื่ พิจารณาดูไมเห็นลักษณะที่จะคงทนเปน
ตวั ตนของมนั เองได เรียกวา วา งจากตัวตน ถาจิตมองเห็นความวางของสิ่งทั้งปวงเปนเชนน้ี
แลว จะเกิดความรูสึกวา ไมมีอะไรนาเอานาเปนในส่ิงตางๆ ขึ้นมาทันที ความรูสึกชนิดน้ีมี
อาํ นาจเพยี งพอท่จี ะคมุ ครองคนเรา ไมใหตกเปน ทาสของกิเลสหรืออารมณทุกชนิดทําใหจิต
เปนอิสระปราศจากทุกขอยูเสมอ การพิจารณาใหเ หน็ วา สงิ่ ทัง้ ปวงวางจากสาระท่ีควรเขาไป
ยึดถือน้ัน เปนตัวแกนแทของพระพุทธศาสนา เปนหัวใจของการปฏิบัติตามหลักของ
พระพุทธศาสนาท่แี ทจ รงิ ๑๕
นอกจากน้ี พุทธทาสภิกขุยังกลาววา สุญญตา แปลวา ภาวะของจิตที่วาง
จากกเิ ลส โดยเฉพาะอยา งย่ิง วางจากความรูสึกวาเปนตัวเปนตน เปนสัตว เปนบุคคล เปน
เราเปนเขา ภาวะท่ีไมม คี วามรูสึกวาเปนตัวตนหรือของตนน้ัน เรียกวาสุญญตา หมายความ
วา วา งจากความสําคัญม่ันหมายวาตัวกูหรือของกูหรือวางจาก อนังการ มมังการ อหังการก็
คอื ตวั กู มมงั การ ก็คอื ของกู๑๖
พทุ ธทาสภิกขกุ ลาวถึงความหมายของหลักสุญญตาไวค ือ
๑. ความวางทางวัตถุธาตุ เราเรียกวาเร่ืองทางฟสิกส คําวา “ความวาง”
หมายถึงไมมีอะไร, ไมมีอะไรอยางท่ีเรียกวา สุญญากาศ หรือ vacuum หมายความวาไมมี
วตั ถุอะไรเลย อยางท่ีหนงึ่ นีเ้ ปน เรื่องทางวตั ถุ มันหมายถงึ รางกายดวย คือวางจากวัตถุก็วาง
จากรางกาย คือไมม อี ะไรเลย นีม่ ันก็เปน ความวางชนดิ หนง่ึ
๒. ความวางทางจิต ก็คือวา จิตไมมีความคิดอะไรเลยเหมือนกับคนสลบ
ไสล ไมมคี วามคดิ นึกสิน้ สมปฤดี อยางน้ีเปน ความวางทางจิต
๓. ความวางของสติปญญา เปนความวางทางสติปญญา ทางธรรม,ซ่ึงผม
ชอบพูดวา ทางวญิ ญาณ,หมายถึง ความวางจากความคิดนกึ วาตัวกู - ของกู๑๗
๑๔ พทุ ธทาสภกิ ข,ุ พจนานกุ รมธรรมของพุทธทาส, หนา ๔๗๒ -๔๗๓.
๑๕ พุทธทาสภิกขุ, สุญญตาปริทรรศน, (สุราษฎรธานี : ธรรมทานมูลนิธิจัดพิมพ, ๒๕๔๑),
หนา ๗๑-๘๕.
๑๖ พุทธทาสภิกขุ, โอสาเรตัพพธรรม, พิมพคร้ังที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมทานมูลนิธิ,
๒๕๓๘), หนา ๒๐๔.
๑๗ พทุ ธทาสภกิ ขุ, ฆราวาสธรรม, หนา ๒๒๖.
๘๘ ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมในโลกปจ จบุ ัน
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
โดยสรุปแลว สุญญตา ตามทัศนะของพุทธทาสภิกขุ หมายถึง ความวางอัน
เปน สภาวะแหง ความวางที่ปราศจากความเปนสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา เปนภาวะที่ขันธ
๕ เปนอนัตตา กลาวคือ วางจากความเปนตัวตน ตลอดจนวางจากสาระตางๆเชนสาระคือ
ความเที่ยงแท ความสวยงาม ความสุข โดยปริยาย หมายถึง หลักธรรมฝายปรมัตถ เชน
ขนั ธ ธาตุ อายตนะ และปจจยาการ แสดงตัวสภาวะใหเห็นความวางเปลา ปราศจากความ
เปนสัตว บุคคลตัวตน เรา เขา เปนเพียงธรรม หรือกระบวนการทางธรรมชาติลวนๆ
หมุนเวยี นเปล่ียนแปลงไป
๓.๔.๑.๕.๑ ลกั ษณะของสญุ ญตาตามทศั นะของพทุ ธทาสภิกขุ
เน่ืองจากมีการปฏิบัติกันในแนวยึดความวางหรือสุญญตากันอยางผิดๆ ยึด
ในความวาง พยายามทาํ ใหว า งจากความคดิ ความเห็นอยา งผดิ ๆ เหน็ วา ไมม ีสิ่งใดท่ีเปนสิ่งที่
มีอยจู ริง ทุกสิ่งเปน ของวางเปลา การกระทําใดๆ ก็ตามจะไมมีการสงผลใดๆ เกิดข้ึนเพราะ
ทุกส่งิ อยางเปนของวา งเปลา จงึ ปฏิบตั ไิ ปในลักษณะหยุดคิด หยุดนึกไปยึดความวาง แตแท
ท่ีจรงิ แลวความวา งในทนี่ ้ี ไมไดลักษณะดังท่ีเขาใจกัน เพราะเหตุน้ีพุทธทาสภิกขุจึงไดแสดง
ลกั ษณะของสุญญตาไวด งั นี้
พุทธทาสภิกขกุ ลาววา สุญญตา ความวา ง มลี ักษณะ ๒ ประการ๑๘ คอื
๑. ความวางท่ีเปนลักษณะของสิ่งทั้งปวง ดังบาลีวา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
แปลวา สิ่งทั้งปวงเปนอนัตตา โลกน้ีจึงวางโดยธรรมชาติ แตคําวา วาง ท่ีพุทธทาสภิกขุ
เขาใจในทีน่ ี้ มไิ ดหมายความวา ไมม อี ะไร แตหมายความวา มีทุกสิ่งทุกอยางมีตามท่ีเราเห็น
อยูเพียงแตวามันวางจากความหมายที่ควรจะยึดถือวาเปนตัวตนหรือของตน เพราะฉะนั้น
ในสุญญตาสตู ร จงึ เขียนกลา วไวชัดเจนวา โลกนว้ี า ง เพราะวาไมมีสวนใดท่ีควรจะยึดถือเอา
วาเปน ตัวตนหรอื เปน ของตน แตมิไดหมายความวา ไมม ีโลกน้ี หรือไมไดหมายความวา ไมมี
อะไรอยูในโลกนี้
๒. ความวางเปนลักษณะของจิตที่ไมยึดม่ันถือม่ันสิ่งท้ังปวง ขอนี้สืบตอมา
จากความวางในขอแรกนั่นคือ ส่ิงท้ังปวงรวมเอาท้ังจิตดวย วางจากความหมายท่ีควรจะ
ยดึ ถือวา เปนตวั ตนหรือของตน จติ นน้ั จงึ ไมไปยึดถือถือเอาสวนหนึ่งสวนใดในโลกน้ี วาเปน
ตวั ตนจิตนัน้ จงึ วาง เพราะจิตน้ันเห็นความวางของโลกอยูเสมอ จึงไมเกิดการปรุงแตงยึดถือ
เอาเปนตัวตน เมื่อไมมีการปรุงแตงยึดถือเอาเปนตัวตน ก็ไมอาจจะเกิดโลภะ โทสะ และ
๑๘ พุทธทาสภิกขุ, เอกสารชุดมองดานใน อันดับ ๒๖ จิตประภัสสร-จิตเดิมแท-จิตวาง
เหมือนกันหรืออยางไร, (กรุงเทพมหานคร : คณะเผยแพรวิธีการดําเนินชีวิตอันประเสริฐ, ๒๕๑๗), หนา
๒๐.
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจจบุ นั ๘๙
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สาํ นักสวนโมกขพลาราม
โมหะได ดังน้ัน ทานจึงกลาววา จิตวาง เพราะวางจากกิเลส คือ โลภะ โทสะ และโมหะ
นัน่ เอง
สภาวะทีไ่ ดชอ่ื วา สุญญตา ประกอบดว ยเหตผุ ล ๓ ประการ๑๙ คอื
๑. เพราะลุถึงดวยปญญาที่กําหนดพิจารณาความเปน มองเห็นภาวะท่ี
สงั ขารเปนสภาพวางจากความเปนสตั ว บคุ คล ตวั ตน เราเขา
๒. เพราะวา งจากจากกิเลส มีโลภะ โทสะ และโมหะ
๓. วางเพราะมสี ุญญตา คอื นพิ พานเปน อารมณ
สภาวะความวา ง ๓ ประการน้ี เปน ความวางในโลกตุ ตรมรรค
สว นความวางทีเ่ กิดจากการกําหนดหมายในใจ หรอื ทําใจเพ่อื ใหเปนอารมณ
ของจิตในการเจริญสมาบตั ิ เชน ผูเจริญอากิญจัญญายตนสมาบัติ กําหนดใจใหถึงภาวะวาง
เปลา ไมม ีอะไรเลย จดั เปน ความวา งอยางหนง่ึ ในระดบั โลกิยฌานดวยเหมอื นกัน๒๐
อีกประการหน่ึง สุญญตา ความเปนสภาพสญู หรอื ความวางเพราะเหตุคอื ๒๑
๑. ความเปนสภาพท่ีวางจากความเปนสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา เฉพาะ
อยางยิ่ง ภาวะท่ีขันธ ๕ เปนอนัตตา คือ ไรตัวมิใชตน วางจากความเปนตน ตลอดจนวาง
จากสาระตา งๆ เชน สาระคือความเท่ียง สาระคือความสวยงาม สาระคือความสุข เปนตน,
โดยปริยายหมายถึงหลักธรรมฝายปรมัตถ ดังเชนขันธ ธาตุ อายตนะและปจจยาการ (อิ
ทปั ปจจยตาหรือปฏิจจสมุปบาท) ท่ีแสดงแตตัวสภาวะใหเห็นความวางเปลาปราศจากสัตว
บคุ คล เปนเพยี งธรรมหรอื กระบวนธรรมลว นๆ
๒. ความาจากกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ เปนตน ก็ดี สภาวะท่ีวางจาก
สงั ขารทั้งหลายก็ดี หมายถงึ นิพพาน
๓. โลกุตตรมรรค ไดช ื่อวา เปนสุญญตา ดวยเหตผุ ล ๓ ประการ คอื
๓.๑ เพราะลุดวยปญญาท่ีกําหนดพิจารณาความเปนอนัตตา มองเห็น
สภาวะท่สี ังขารเปนสภาพวาง (จากความเปนสตั ว บคุ คล ตวั ตน)
๓.๒ เพราะวางจากกิเลสมรี าคะเปนตน
๓.๓ เพราะมสี ญุ ญตา คอื นพิ พาน เปน อารมณ
๑๙ พุทธทาสภิกขุ, บวชทําไม, พิมพครั้งท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๔๙), หนา
๗๕. ๒๐ พุทธทาสภิกขุ, เอกสารชุดมองดานใน อันดับ ๒๖ จิตประภัสสร –จิตเดิมแท-จิตวาง
เหมอื นกนั หรืออยางไร, หนา ๒๕.
๒๑ พุทธทาสภิกขุ, วิธีปฏิบัติเพ่ือเปนอยูดวยความวาว, (กรุงเทพมหานคร: ไพลิน, ๒๕๔๙),
หนา ๕๑.
๙๐ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมในโลกปจ จบุ นั
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
๔. ความวาง ท่ีเกิดจากความกําหนดหมายในใจ หรือทําใจเพื่อใหเปน
อารมณของจิตในการเจริญสมาบตั ิ เชน ผูเจรญิ อากิญจัญญายตนสมาบัติกําหนดใจถึงภาวะ
วางเปลาไมมีอะไรเลย
๓.๔.๑.๕.๒ ลกั ษณะของสญุ ญตาทีป่ ระกอบดวย (พทุ ธทาสภิกขุ)
๑. สุญญตาจากวัตถุ๒๒ กลาวคือ ความวางจากความไมมีอะไรเลย เปน
ความวา งทางวัตถุ ในขอนีส้ าํ หรบั คนท่ีไมเคยไดรับฟง เก่ียวกบั เร่ืองของสุญญตามากอน ก็จะ
มีความเขาใจวา ความวา งจากตวั กู คือวา งอยางไมมีอะไรเหลือ เปนการถึงเรื่องทางรางกาย
หรอื ทางวัตถุ จึงมีความคิดวา เมื่อวาง คนก็จะคิดวา ไมมีอะไรเลย จะทําใหตนเองขาดสิ่งที่
เคยไดอ ยู จึงไมส นใจในเรอื่ งความวา งตามความหมายทส่ี ูงขึ้นไปกวานนั้
๒. สุญญตาทางจิต หมายถึงจิตกําลังวางไมไดคิดอะไร ไมรูสึกอะไร ไมทํา
หนาท่ีอะไรเลย ซ่ึงมีความหมายเทากับคนท่ีตายแลว เปนเหมือนทอนไม เปนความวางอัน
เกดิ จากการอยใู นสมาบตั ทิ กุ ชนิด
๓. สุญญตาทางปญญาหรือทางวิญญาณ เปนความรูความคิดท่ีมีอยางสม
บูรณ รูสึกตัวอยูตลอดเวลา โดยมีความรูวาไมมีอะไรเปนตัวตนท่ีแทจริง ไมมีความยึดมั่น
เปนตัวตนขึ้นมาไดเปนจิตวางจากตัวตนดวยอํานาจแหสติปญญา พุทธทาสภิกขุไดกลาวถึง
ลักษณะของสุญญตาอีกลกั ษณะหนึ่ง คือ๒๓
๑) ความวา งในฐานะท่เี ปนหัวใจของพระพุทธศาสนา
พุทธทาสภกิ ขุยํา้ วา ในพระไตรปฎ กไดกลาวถึงหลักแหงสุญญตาไวหลาย
แหง และถือเปนธรรมะท่ีมีความสําคัญอีกประการหน่ึงดวย และยังไดมีพุทธภาษิตท่ีได
กลาวถึงความสําคัญนี้ คือ ตถาคตพูดแตเรื่องสุญญตาหรือเร่ืองที่เน่ืองดวยสุญญตา เร่ืองวา
เปนธรรมปฏิสังยุตตา (ธรรมะอันเก่ียวเนื่องดวยสุญญตาคือความวาง) นอกนั้นไมกลาวถึง
สุญญตา จะกลาววาสุญญตาเปนตัวแททั้งหมดทั้งส้ินก็ได เปนแคหัวใจนิดเดียวก็ได เปน
ทั้งหมดทั้งตัวของพระพุทธศาสนาก็ได นี้ขอยืนยันในขอนี้ นั่นคือการเปนหัวใจและเปนตัวแท
เพราะสญุ ญตาไมมีเปลอื ก ไมมกี ะพี้ มีแตแ กน เปนสุญญตาที่ถูกตองในพระพุทธศาสนาจึงเปน
ตัวของตัวเทาน้ัน ไมมีมากไปกวาน้ี เปนตัวแทของพระพุทธศาสนาที่ปอกเปลือกเขไปไมไดอีก
แลว อปุ มาเหมอื นเพชรทเ่ี ปน ท ง้ั หมดในตัวของตวั เองและเปนหัวใจของมันเองเปนสิ่งที่บริสุทธ์ิ
ไมม ีอะไรเจือปนและมีคา ทสี ุด
๒๒ อรุณ เวชสุวรรณ, วิวาทะระหวาง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชกับพุทธทาสภิกขุภิกขุ,
(กรงุ เทพมหานคร: แพรพ ิทยา, ๒๕๒๗), หนา ๑๖๔.
๒๓ พทุ ธทาสภกิ ข,ุ วธิ ปี ฏิบัติเพอ่ื เปนอยูดวยความวาง, (กรุงเทพมหานคร: ไพลิน, ๒๕๔๙),
หนา ๕๕-๕๗.
ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจ จบุ ัน ๙๑
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
๒) ความวา งในฐานะทเี่ ปนสภาวะสงู สุด
พุทธทาสภิกขุไดอางหลักฐานในพระบาลีอังคุตรนิกายหมวดท่ีวาดวย
เร่ืองของส่ิง ๕ อยางที่ปรากฏอยูหลายแหง ที่กลาวถึงขอความนี้คือ เย เต สุตฺตนฺตา ตถาค
เตน ภาสิตา คมฺภีรตฺถา โลกุตฺตรา สุญตปฺปฏิสํยุตฺตา ความวา พระสูตรใดๆ ท่ีตถาคตได
กลา วแลว เปนเร่อื งลึกซง้ึ มอี รรถอันลึกซง้ึ เหนือโลกแลวก็เนื่องดว ยสญุ ญตา นัน่ เอง
๓) ความวา งเปน สภาวะอันจําเปนสาํ หรับทกุ คน
พุทธทาสภกิ ขุไดกลาววา โดยความเปน จริงแลว ธรรมขอเดียวใชไดกับ
ทกุ ชนชั้น เพราะหากเปรียบกับพระเจาที่มีสอนอยูในศาสนาตางๆ แลว พระเจาองคเดียวก็
ใชไดกับคนทุกๆ ชั้น โดยไมจําเปนตองมีอยูหลายๆ องค เชนเดียวกันกับสุญญตา น้ีมีความ
จําเปนแกคนทุกๆ คนเชนกัน ท้ังบรรพชิต และคฤหัสถ เพราะท้ังสองตองเดินไปทาง
เดียวกัน อาจจะตามกันไป เพราะคฤหัสถตองหาบตองคอนรุงรังไปอยางชาๆ ลมลุก
คลกุ คลานกนั ไป สวนบรรพชิตมีลักษณะเหมอื นนก มภี าระแตเพยี งปก เทานั้น ก็ไปไดเร็วแต
กไ็ ปในทิศทางเดยี วกัน คอื ไปตามทางแหมรรคมีองค ๘ ประการ โดยมีจุดมุงหมายสูงสุดคือ
พระนิพพาน
ผูท่ีจะเห็นลักษณะของสุญญตาไดนั้น จะตองมีความวางท่ีประกอบดวย
สติปญญา ซึ่งผูที่เห็นโลกตามความเปนจริงวา เปนของวางในท่ีน้ีพุทธทาสภิกขุไดแสดงให
เหน็ วาลกั ษณะของความวาง ๓ ประการคอื ๒๔
๑. ความวางในความหมายของปริยัติ คือ การรูว า ไมมอี ะไรเปน ตัวตน
๒. ความวา งในความหมายของปฏิบัติ คือ จติ ที่กําลงั ปลอ ยไมจับฉวยอะไร
๓. ความวางในความหมายของปฏิเวธ คือ จิตที่บรรลุถึงความสะอาด สวาง
และสงบ
ดงั น้ัน ถา บุคคลใดมคี วามรูทถ่ี กู ตองและรูจริงแลว ยอมปลอยวาง ยอมบรรลุ
ถึงผลทันที นี้คือ ความวางทั้ง ๓ ประการ เปนเหตุเปนปจจัยตอกันที่จะนําไปสูความวาง
หรือหลักแหงการศึกษาทั้ง ๓ ประการน้ี ตองรวมเขาเปนหนึ่ง จึงจะสําเร็จประโยชน จะ
เลือกปฏิบัติเพียงอยางใดอยางหน่ึงไมได ดังน้ันจะตองเร่ิมดวยการมีญาณทัศนะ คือ มอง
เห็นแจมแจงตามความเปน จริงวา โลกเปน ของวา ง แลวการปลอยวางและการบรรลุผลยอม
มาเอง
๒๔ พุทธทาส, สุญญตาธรรม ฉบับยอ ยอโดยภิกขุ ฉ.ช. วิมุตตยานันทะ, พิมพคร้ังท่ี ๒,
(กรุงเทพมหานคร: สํานักพมิ พส ขุ ภาพใจ, ๒๕๕๔), หนา ๑๘๕.
๙๒ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจจุบัน
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
สรุปแลว ลักษณะของสุญญตาตามทัศนะของพุทธทาสภิกขุ คือ สรรพสิ่งที่
เกิดขึ้นมาน้ันเปนส่ิงที่วาง ทุกส่ิงอยางท่ีอาศัยกันเกิดข้ึนน้ันลวนเปนของวางหรือเปนสุญญ
ตานอกจากน้ี สุญญตายังเปนความวางเปนลักษณะของสิ่งท้ังปวง เปนจิตที่ไมยึดม่ันถือม่ัน
ส่ิงท้ังปวง ความไมมีอะไรเลย เปนความวางทางวัตถุ และสุญญตาเปนความรูความคิดท่ีมี
อยอู ยางสมบูรณ รสู ึกตวั อยตู ลอดเวลา เปน ท้ังปริยัติ ปฏิบตั ิและปฏเิ วธ
๓.๔.๑.๕.๓ หลกั การปฏบิ ัตเิ พื่อเขาถึงสญุ ญตา (พทุ ธทาสภิกขุ)
สุญญตาเม่ือมองในมุมมองทางดานของปรัชญา จะถูกยกใหเปนแนวคิด
ทางดานของปรชั ญา เพราะเหตทุ ี่ คําวา ปรัชญา มีความหมายวา ความรู ซึ่งหมายถึงความ
รทู ่ีเกี่ยวของกับส่ิงตางๆ ที่เก่ียวกับมนุษยทั้งที่เปนอดีตปจจุบันและอนาคต ท้ังที่อยูในภพนี้
และภพหนา๒๕ ในเรื่องน้ีพุทธทาสภิกขุไดกลาวสนับสนุนเก่ียวกับเร่ืองของปรัชญาวา
ปรัชญา คือ สิ่งที่เห็นแจงดวยการพิสูจนและทดลองไมได ตองอาศัยการคํานึง คํานวณไป
ตามหลักการแหงเหตุผลระบบหนึ่ง๒๖ น้ันยอมหมายความวาแนวปรัชญาน้ันเปนเพียง
ความรูในบางส่ิงบางอยาง แตไมไดคํานึงถึงหลักการปฏิบัติ สวนคําวาศาสนาน้ันหมายถึง
ระเบียบวิธีการปฏิบัติ๒๗ ถึงความหมายดังกลาวนี้ ชี้ใหเห็นวา คําวาปรัชญากับศาสนา มี
หลักการคือ ปรัชญาจักใชในภาคทฤษฎี สวนหลักการทางศาสนาจักใชในภาคปฏิบัติ เมื่อ
กลาวถึงสุญญตาตามมุมมองทางศาสนาแลว สุญญตาจึงเปนแนวทางแหงการประพฤติ
ปฏบิ ตั ิในชวี ติ ประจาํ วนั ตามหลกั ของศาสนา
หลักการที่จะตองปฏิบัติเพ่ือเขาถึงหลักสุญญตานั้น พุทธทาสภิกขุกลาววา
ผูปฏิบัติจักตองมีการตั้งจิตไวท้ังภายในและภายนอกเอาใจใสสุญญตาท้ังภายในและ
ภายนอกและฝกฝนจนมีสัมปชัญญะ พุทธทาสภิกขุไดกลาวอธิบายถึงคําวาสุญญตาทั้ง
ภายในและภายนอกไววา คําวาสุญญตาภายใน คืออารมณที่อาศัยเบญจขันธของตนเอง
สวนสญุ ญตาภายนอก คือ อารมณทอ่ี าศัยเบญจขันธข องบคุ คลอืน่ ๒๘ และคําวาฝกจิตใหเกิด
สัมปชัญญะ คือ การฝกจิตในเกิดความรูสึกตัว ไมหลงลืม รูสึกตัวอยูเสมอทุกขณะจิตวา
กําลังทําอะไรอยูท่ีเกี่ยวของกับปจจุบัน ไมสงใจไปในอดีตหรืออนาคตสติสัมปชัญญะ เปน
สตทิ ี่มปี ญ ญาสนับสนุนใหนอมนําเขามาดูจิตใจตัวเองมองตัวเองในการกระทํา การพูด การ
๒๕ สนั่น ไชยานุกลู , ปรชั ญาอนิ เดีย, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพการศาสนา, ๒๕๒๔), หนา ๒.
๒๖ พุทธทาสภิกขุ, คูมือมนุษยฉบับสมบูรณ, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๓๘), หนา
๒๒๔.
๒๗ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา ๒.
๒๘ พุทธทาสภิกขุ, การปฏิบัติเพ่ือความมีจิตวาง, (กรุงเทพมหานคร: ไพลิน, ๒๕๔๘), หนา
๑๓.
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมในโลกปจ จบุ นั ๙๓
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานักสวนโมกขพลาราม
คิด เปนสภาวะท่ีรูเทาทัน ไมหลงผิดไปตามกิเลส ตัณหาและอารมณท่ีมากระทบ เมื่อมี
สมาธิสมบูรณแลว จึงจะเกิดสัมปชัญญะข้ึนได ดังน้ัน ผูที่จะเขาถึงสุญญตาไดจะตองฝกจิต
ใหเห็นความวางในเบญจขันธท้ังที่อยูในตัวเองและของบุคคลอ่ืน เปนการปฏิบัติเพื่อมุงให
จติ เห็นความวา งหรือใหเ กดิ สัมปชญั ญะหรือฝกอบรมใหจติ เห็นความวา ง
พระพุทธเจาไดตรัสถึงการปฏิบัติเพ่ือเขาถึงสุญญตาและความสําคัญของ
สุญญตาไววาพาหิยะเม่อื เธอเห็นรปู กส็ กั แตวารูป ฟงเสยี งสักแตวาฟง รบั รูอารมณท่ีไดรับรูก็
สักแตวารับรู รูแจงธรรมารมณท่ีรูแจงก็สักแตวารูแจง เม่ือน้ันเธอก็จะไมมี เม่ือใดเธอไมมี
เมื่อนนั้ เธอก็จะไมย ึดตดิ ในส่ิงนั้น เมอ่ื ใดเธอไมยึดติดในส่ิงน้ัน เม่ือนั้นเธอจักไมมีในโลกน้ีไม
มีในโลกอ่ืน ไมมใี นระหวางโลกโลกท้งั สอง นเี้ ปน ท่ีสุดแหงทกุ ข๒๙
จากพุทธภาษิตขางตน พุทธทาสภิกขุไดอธิบายวา พระโยคาวจร ครั้น
กําหนดไดวาสังขารท้ังหลายท้ังปวงเปนของสูญ (วางเปลา) ดวยปฏิสังขานุปสสนาญาณ
(ญาณอันคาํ นึง พจิ ารณาหาทางหลดุ พน คือ เม่ือตอ งการจะพนไปเสียจากสังขารจึงกลับหัน
ไปยกเอาสังขารท้ังหลายขึ้นมาพิจารณากําหนดดวยไตรลักษณเพ่ือมองหาอุบายท่ีจะปลด
เปลอ้ื งหรือหาทางหลุดพน ) อยางน้ีแลว จึงกําหนดสุญญตา เปน ๒ เง่ือนอีกวา สังขารนี้วาง
เปลาจากอัตตะ (ตัวตน) ก็ดี จากอัตตนิยะ (ของๆ ตน) ก็ดี๓๐ จากขอความน้ี เปนการยืนยัน
วา ผูท่ีจักเขาถึงสุญญตาไดน้ัน จักตองปฏิบัติใหถึงข้ันปฏิสังขานุปสสนาญาณ จึงจะเขาถึง
สุญญตาหรือเหน็ สุญญตาได๓๑
๓.๔.๑.๕.๔ สญุ ญตาสําหรับฆราวาส
มีฆราวาส คหบดี พวกหนึ่งเขาไปเฝาพระพุทธเจา และทูลขอรองที่จะไดรับ
ธรรมะท่ีเปนประโยชนเกื้อกูลตลอดกาลนาน แกพวกฆราวาสที่ครองเร่ือง แออัดอยูดวยดวย
บุตร ภรรยา ลูบไลกระแจะจนั ทนของหอม พระพุทธเจา ก็ไดต รัสสูตรนี้ คอื สตู รเรื่องสญู ญตา
เม่ือเขาวามันยากไป ก็ทรงลดลงมาเพียงเรื่องโสตาปตติยังคะ คือขอปฏิบัติ
เพ่ือความเปนพระโสดาบัน กลาวคือใหเขาถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ แทจริงแลวก็มี
ศีลชนิดเปน อรยิ กันตศีลคือ เปนที่พอใจของพระอริยเจาไดจริง แตแลวมันก็กลายเปนวาถูก
พระพุทธเจา ลอ เขา บวง เขา กบั ของพระองคไ ดส นทิ
๒๙ ข.ุ ข.ุ (ไทย) ๒๕/๑๐/๑๐๓.
๓๐ พุทธทาสภกิ ขุ, การปฏิบตั เิ พื่อความมีจติ วาง, หนา ๑๕.
๓๑ พระมหาวิเชียร ชุตินฺธโร, “การศึกษาเชิงวิเคราะหเรื่องสุญญตาในคัมภีรมหายาน : ศึกษา
เฉพาะที่ปรากฏในคัมภีรวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร”, วิทยานิพนธพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิต
วทิ ยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๕), หนา ๓๔.
๙๔ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจจบุ ัน
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นักสวนโมกขพลาราม
พูดอยางโวหารหยาบๆ ของพวกเราก็คือวา พระพุทธเจาทานตมคนพวกน้ี
สนิทคอื วา เขาไมเ อาเรื่องสญุ ญตา พระองคก ย็ นื่ เรือ่ งที่หลีกสุญญตาไมพน คือบวงท่ีจะคลอง
เขาไปสูสุญญตาใหคนเหลาน้ีไป ใหเขาไปทําอยางไรที่จะเขาใหถึง พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ ที่แทจริง และมีศีลท่ีเปนท่ีพอใจของพระอริยเจาได มันก็มีแตเรื่องนี้คือ มองเห็น
ความไมนายึดมนั่ ถือมน่ั ไปเรือ่ ยๆ
ทนี่ ีเ้ รามาคดิ ดวู า พระพทุ ธเจาเปนผูผิดหรือเปลา ในการท่ีพูดวา เรื่องสุญญ
ตานเ้ี ปนเร่อื งสาํ หรับฆราวาส
ถาพระพุทธเจาถูก พวกเราสมัยน้ีก็เปนคนบาๆ บอๆ ไปท้ังหมด คือผิดไป
ทั้งหมด เพราะไปเห็นวา เรื่องสูญญตาน้ันไมใชเร่ืองสําหรับพวกเราฆราวาสท่ีครองเรือน
เรอ่ื งสุญญตาเปน เร่อื งของผูท่ีจะไปนิพพานท่ีไหนก็ไมรู น่ีแหละเรากําลังพูดกันอยูนี้คือเร่ือง
ที่เปนประโยชนเกื้อกูลแกฆราวาสโดยตรง แลวใครจะเปนฝายผิดฝายถูก ถาพระพุทธเจา
เปนฝายถูก เราก็ตองยอมพิจารณาเร่ืองสุญญตาวาจะเปนประโยชนเกื้อกูลตลอดการนาน
แกฆ ราวาสอยา งไร
ทางท่ีจะพิจารณาเรื่องน้ี ก็จะตองมองกันไปตั้งแตวา ใครมันทุกขมากที่สุด
รอนมากท่ีสุด หรืออยูในใจกลางเตาหลอมยิ่งกวาใคร มันก็ไมมีใครนอกจากพวกฆราวาส
แลวเม่ือเปนดังนี้แลวใครเลาที่จะตองการเครื่องดับไฟ หรือวาส่ิงที่จะมากําจัดความทุกข
ดวยประการท้ังปวง มันก็พวกฆราวาสน้ันแหละ พวกท่ีอยูกลางกอบไฟจึงตองหาเคร่ืองดับ
ไฟใหพบในทามกลางกองไฟ มันด้ินไปท่ีไหนไมได. เพราะไมมีอะไรนอกจากไฟ, ไมมีอะไร
นอกจากธรรมชาติชนิดท่ีไปยึดเขาแลว เปนไฟทั้งน้ันเพราะฉะนั้นจะตองหาจุดที่เย็นท่ีสุดที่
กลางกองไฟน่นั เอง มันกค็ ือความวา งจากตัวตนของตน คอื สุญญตา
ฆราวาสตอ งหาใหพบสญุ ญตา ตองอยใู นขอบวงของสุญญตาถาไมอยูตรงจุด
ศูนยกลางของสุญญตาได อยางนอยอยางเลวท่ีสุด ก็ควรจะอยูในขอบวงของสุญญตาคือรู
เรื่องความวางตามสมควรที่จะรู น่ีแหละจึงจะนับวาเปนประโยชนสุขตลอดกาลนานของ
พวกฆราวาส
พวกน้ีเจาไปถามวา อะไรจะเปนประโยชนสุขเกื้อกูลสิ้นกาลนานแกพวกขา
พระองค? พระพุทธเจาตรัสตอบวา “สุญญตปฺปฏิสํยุตฺตา โลกุตฺตรา ธทฺมา” แปลวา ธรรม
ทั้งหลายท่ีอยูเหนือวิสัยโลก ที่เน่ืองเฉพาะอยูดวยสุญญตา. โลกุตฺตรา-อยูเหนือวิสัยโลก ก็
คือวามันอยูเหนือไฟ. เพราะเราหมายความในที่น้ีวา โลกน้ีมันคือไฟ ฉะน้ัน โลกุตฺตรา ตอง
อยูเหนอื ไฟ. และท่ีวาเนื่องเฉพาะอยูดวยสุญญตาน้ันมันยอมตองถึงตัวความวาง, ความวาง
จากความยึดม่ันถอื ม่นั วาตัวเราหรือวา ของเรา
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจ จบุ นั ๙๕
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
ดังนั้น “สุญญตาตปฺปฎิสํยุตฺตา โลกุตฺตรา ธมฺมา” นั้น จึงคือของขวัญ
สาํ หรับฆราวาสโดยตรง ทีพ่ ระพทุ ธเจา ทา นทรงมอบใหโ ดยตรง เปนพระพุทธภาษิตท่ียืนยัน
อยูอยางนี้. ขอใหลองคิดดูใหมวามันจําเปนเทาไรท่ีจะตองสนใจ และมีเพียงเร่ืองเดียวจริง
หรอื ไม ไมตองพดู ถึงเร่ืองอนื่ กนั เลย.
ในบาลีสังยุตตนิกายนั้น ไดตรัสยืนยัน ไดตรัสยืนยันไวชัดวา สุญญตา คือ
นิพพาน นิพพานคือสุญญตา; ในที่แหงนั้นมันมีเรื่องท่ีจะตองใหตรัสอยางน้ัน ซึ่งเปนความ
จริงงายๆ วา นพิ พานคือสญุ ญตา สญุ ญตาคอื นิพพาน ก็หมายถึงวางจากกิเลส และวางจาก
ความทุกข ฉะน้ัน นิพพานนั่นแหละคือเรื่องสําหรับฆราวาส ถาฆราวาสยังไมรูความหมาย
นิพพาน ยังไมไดอยูในขอบวงของนิพพานก็แปลวาอยูกลางกองไฟมากกวาคนพวกไหน
หมด๓๒
๓.๔.๑.๖ ธมั มฏั ฐติ ตา
ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตาคือ การที่สิ่งท้ังหลายเกิดข้ึน ตั้งอยูและดับสลาย
ไปเปน กฎธรรมชาตหิ รือภาวะที่ยืนตัวเปนหลักแนนอนอยูโดยธรรมดา เปนกฎธรรมดาหรือ
กําหนดแหงธรรมดา ไมข้ึนอยูกับผูสรางผูบันดาล ไมข้ึนอยูกับการเกิดขึ้นของศาสดาหรือ
ศาสนาใดๆ ดงั พทุ ธวจนะวา "ไมวาตถคตท้ังหลาย (พระพุทธเจาทั้งหลาย) จะเกิดข้ึนหรือไม
ก็ตาม กฎธรรมชาติ กฎธรรมดาน้นั กย็ งั อยู
๓.๔.๑.๖.๑ ประโยชนข องการเรยี นรูเ รอื่ งธัมมฏั ฐิตตา
การเรยี นรเู ร่อื งธัมมฏั ฐิตตาทาํ ใหร แู ละเขา ใจในสรรพสิ่งวามีการต้ังอยู ดํารง
อยูตามธรรมดาของมันเอง ไมมีผูสรางผูบันดาล อะไรทั้งส้ิน ทําใหเขาใจถึงสภาวะท่ีเปน
หลักแนนอนอยูโดยธรรมดา เปนกฎธรรมดาหรือกําหนดแหงธรรมดา ไมมีใครสมารถสราง
และบนั ดาลไดดังพุทธวจนะท่ีไดกลา วแลวในขา งตน
๓.๔.๑.๗ ธมั มนิยามตา
การทสี่ ิ่งท้งั หลายเกดิ ขึ้น ตั้งอยูและดับสลายไปเปนกฎธรรมชาติ หรือภาวะ
ทีย่ ืนตวั เปนหลกั แนนอนอยูโดยธรรมดา เปนกฎธรรมดาหรือกําหนดแหงธรรมดา ไมขึ้นอยู
กบั ผสู รา งผบู นั ดาล ไมข ้นึ อยกู บั การเกิดขึน้ ของศาสดาหรือศาสนาใดๆ ดังพุทธวจนะวา “ไม
วาตถคตทัง้ หลาย (พระพุทธเจา ทัง้ หลาย) จะเกิดขึ้นหรือไมก็ตาม กฎธรรมชาติ กฎธรรมดา
นน้ั กย็ งั อย”ู
๓๒ พทุ ธทาสภิกขุ, แกนพุทธศาสน, (กรงุ เทพมหานคร: สขุ ภาพใจ, ๒๕๔๘), หนา ๑๐๐-๑๐๓.
๙๖ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจจบุ นั
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
ธัมมนิยามตา คือ การที่สิ่งท้ังหลายเกิดขึ้น ตั้งอยูและดับสลายไปเปนกฎ
ธรรมชาติหรือภาวะที่ยืนตัวเปนหลักแนนอนอยูโดยธรรมดา เปนกฎธรรมดาหรือกําหนด
แหงธรรมดา ไมขึ้นอยูกับผสู รา งผบู ันดาล
๓.๔.๑.๗.๑ ประโยชนของการเรียนรเู ร่ืองธมั มนิยามตา
การเรียนรูเรื่องธัมมนิยามตา ทําใหเขาใจวา การท่ีสรรพส่ิงยอมเปนไปตาม
ธรรมชาติที่ทําใหเปนไปซึ่งกฎตายตัวแหงธรรมชาติ แหงธรรม กฏเกณฑอันเด็ดขาดของ
ธรรมชาติบังคับท้ัง ๕ ประการ จึงทําใหสรรพสิ่งแตกตางกัน นิยามทั้ง ๕ น้ันคือ อุตุ พีช
กรรม จติ ธรรม อันเปน ตัวกําหนดใหส รรพส่งิ เกิดความแตกตางกันนัน่ เอง
๓.๔.๑.๘ อตมั มยตา
สวนหนึ่งจากหนังสือ “อตัมยตาที่ควรรูจักกันไวบาง” ของทานพุทธทาส
ภิกขุ (อตัมยตา เปนคําท่ีทานพุทธทาสคนพบในพระไตรปฎกและนํามาเผยแพร เปนคํา
บอกตัดขาดไมเอาอกี แลวกับกเิ ลสทํานองวา “กูไมเ อากะมึงอกี แลวโวย”)
ทําไมตองรูเรื่องนี้ตองทําความเขาใจกันเล็กนอย เกี่ยวกับเรื่องธรรมะท่ีสูง
ซ่ึงมักจะถูกถือกันวา ไมควรเอามาพูดกับคนทั่วไป หรือวาคนแรกศึกษา ก็มีคนเขาคัดคาน
แมท่ีสุดแตเร่ือง อนัตตา สุญญตา เขาก็ยังวาไมควรจะเอามาพูดกับคนแรกศึกษา เคยถูก
คัดคานมาแลว แตเราก็ไมถือเอาเปนเรื่องสําคัญ เพราะวามันเปนเร่ืองชั้นหัวใจ ก็ควรจะ
ทราบไวบาง แลวมันก็เปนเรื่องสูงสุด ถึงขนาดที่วา ถาไมมีเร่ืองนี้ก็ไมมีพุทธศานา ไมมี
ศาสนาอ่นื ทสี่ อนสงู ขึน้ มาจนถงึ นี้ นมี้ นั มาสอนสงู สุดแลว ไมมีใครจะสอนใหสูงไปกวาน้ีไดอีก
ตอไป พระพุทธเจาเม่ือกอนจะตรัสรูเปนพระพุทธเจา เท่ียวศึกษาในสํานักครูบาอาจารย
ตางๆ คนสุดทายก็สอนเรื่อง เนวสัญญานาสัญญายตนะ พระพุทธเจา (พระสิทธัตถะ ยังไม
พอใจ ก็จงึ บอกลา แลวก็ไปหาเอง ก็พบสูงถึงเร่ือง “อตัมมยตา” คือระงับเสียซึ่งภพทั้งปวง
มนั สูงกวาเนวสญั ญานาสญั ญายตนะ และกไ็ มป รากฏวา ใครจะสอนไปไดมากกวา น้อี ีก
เราก็ควรจะทราบไวในฐานะเปนหลักหัวใจ เปนเน้ือเปนตัวดวย เปนหัวใจ
ดว ย ของพระพทุ ธศาสนา ยง่ิ กวา นั้นมันก็มีทางทจ่ี ะนํามาใชได แมแตคนธรรมดาสามัญ คน
ทําไร ทํานา ทําสวน ใชอตัมมยตา ไดตามสมควรแกอัตตภาพความหมายของอตัมมยตา
ตามตัวหนังสือก็แปลวา “ไมสําเร็จมาแตปจจัยเคร่ืองปรุงแตงนั้นๆ” มันยังฟงไมคอยจะรู
เรื่องก็คือ ไมสําเร็จมาแตปจจัยท่ีเขามาปรุงแตงใหเปนอยางน้ันอยางนี้ หมายความวา
ปจจัยปรุงแตงไมได ถาปจจัยปรุงแตงได จิตมันก็เปนไปตามที่ปจจัยปรุงแตง มันผิดจากจิต
เดิม มันก็ตองเปนทุกข จิตเดิมแทไมมีกิเลส ตามปกติไมมีกิเลส แตถามีอะไรมาเปนปจจัย
ปรุงแตง มันก็กลายผิดจากจิตเดิม ก็คือใจท่ีใหมขึ้นมา มันเปนไปตามปจจัยท่ีปรุงแตง คือ
เปน ทุกขนัน่ เอง
ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจจุบัน ๙๗
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
ภาวะทเี่ รียกวา “อตัมมยตา” คือภาวะท่ีอะไรเขามาปรุงแตงไมได เปนจิตท่ี
ไมถ กู ปรุงแตง๓๓ คือจติ เดิมแทจ ิตเดมิ แทน ้นั ประภัสสรหลักสําคัญท่ีสุดมันมีวา จิตแทๆ หรือ
จิตท่ีไมมีอะไรเขาไปปรุงดวยนั้น มันไมมีความทุกข เรียกวา จิตประภัสสร มันไมมีความ
ทุกข แตถ า วา ไปเกิดอะไรขึน้ มันก็ไมประภัสสร มันเปนไปตามสิ่งที่เขามาเกี่ยวของปรุงแตง
มันก็เปน ทกุ ข ถาไมมีอะไรมาปรุงแตง มันคงเปนประภัสสร ไมมีทุกข ถาไมใหมีอะไรเขามา
ปรุงแตงได ก็ตองมีอตมั มยตาที่วา น้ี
สง่ิ ทเี่ ขามาปรงุ แตง จิตปจจยั ปรุงแตงจากภายใน ไดแกสิ่งท่เี รยี กวา
“ตณั หา” คือความอยาก
“มานะ” สําคญั หมายมน่ั วาอยางน้นั อยางนค้ี ือ ดีกวา เลวกวา เสมอกนั
“ทฏิ ฐ”ิ คือความคิดเหน็ วา เปนอยางนั้นอยางนี้
ถา “ตัณหา” มาปรุงแตง มันก็คือ “อปุ าทาน” แลว กเ็ ปน “ทกุ ข”
ถา “มานะ” มาปรุงแตง มันกเ็ กิด “ตัวตน” ยกหชู ูหาง
ถา “ทฏิ ฐ”ิ มาปรงุ แตง มนั กเ็ ปน “มิจฉาทฏิ ฐิ”
คําวาทิฏฐินี่หมายถึงมิจฉาทิฏฐิทิฏฐิ นี่มี ๒ ชนิด ถาเปน “สัมมาทิฏฐิ” มัน
ปรุงแตงท่ีจะไปสูนิพพาน ก็แปลวามันก็ตองละสภาพเดิมดวยเหมือนกันแตวามันเปนไป
ในทางที่ดีปจจัยปรุงแตงจากภายนอก ที่เปนรูปธรรม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ตลอดเวลา คนธรรมดาถกู ปจจัย ๕ อยางนี้ ปรุงอยูเสมอ
บางเวลาก็เปน ปจ จัยภายในปรุงแตง ทั้งนี้เพราะเรามีตา มีหู มีจมูก มีล้ิน มี
กาย ถาไมมีอายตนะเหลาน้ี มันก็ไมรูสึกอะไรไดไมถูกปรุงแตงเพราะเห็นเปน ตถตา “เชน
น้ันเอง” สิ่งที่เปนไปตามธรรมชาติท่ีเกิดเปนอุบัติเหตุขึ้น นํ้าทวม ไฟไหม พายุราย ที่ทําให
ตายกันมากๆ ส่ิงเหลาน้ีก็มีอํานาจปรุงแตงจิตเหมือนกัน ใหโกรธ ใหกลัว ใหสะดุง
หวาดเสยี ว ถามี “อตัมมยตา” ก็ไมหว่ันไหว “มันเปนเชนน้ันเอง”“มันเปนเชนนั้นเอง” จะ
มีอยางแปลกประหลาด อยางไรก็ไมหวั่น เวทนาเปนจุดเริ่มการปรุงแตง สิ่งปรุงแตงมันมา
สรุปอยูที่เวทนา มันจะมีอะไรก็ตาม รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส อะไรก็ตาม มันจะเกิดเปน
เวทนา แลว เวทนานน้ั มนั ปรุงแตง ตวั กู ของกู กเ็ ปนทกุ ข ถา เวทนาปรงุ แตง ไมได ก็เทานั้นละ
จบหมด
๓๓ เสถียรพงษ วรรณปก, สองอาจารยผ ูย ่ิงใหญ, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสาร, ๒๕๔๙), หนา
๘๔.
๙๘ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมในโลกปจจุบนั
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
เวทนาคํานี้มันมีความหมายเหลือประมาณ เวทนานี่มันเปนนายเหนือสัตว
ทุกตัว และคนทุกคนในโลก รวมท้ังเราดวย เราทําอะไรๆ ตางๆ มันก็ทําไปเพื่อสุขเวทนา
จะหาเงิน หาทรัพยสมบัติ เกียรติยศช่ือเสียง บุตรภรรยาสามีอะไร มันก็เวทนาทั้งน้ัน
ตองการเวทนานี่แหละ อุตสาหเลาเรียน ทําการงาน อุตสาหสะสมเงิน ทําอะไรตางๆ สิ่งที่
มุงหมายแทจริงคือสุขเวทนา เวทนาเปนตัวรายที่จะปรุงใหเปนอะไรก็ได เวทนาท่ีพอใจก็
ปรุงไปอยางหน่ึง เวทนาที่ไมพอใจก็ปรุงไปอยางหน่ึง ที่ยังไมรูวาพอใจหรือไมพอใจ ก็ให
สงสยั ใหโ ง ใหหลงอยูน นั่ แหละ ติดอยนู ่นั เอง
ถา มีเวทนาแลว มันกเ็ กดิ ตัณหา มันก็เกิดกิเลสนานาชนิด กามตัณหาก็เกิดราคะ ภวตัณหา
ก็เหมือนกัน ใหเกิดโลภะ วิภวตัณหาก็ใหโทสะ หรือโกธะ มันปนๆ กันมันก็เกิดโมหะ มี
เวทนาเกิดก็มตี ณั หาครบถว น เกิดตัณหาแลว ก็เกิดอุปาทานครบถวน มีอุปาทานก็เกิดภพ มี
ความท่จี ะตองปรุงแตงเปนตวั กูครบถว น กเ็ กิดชาติออกมาเปน ตัวกู
วันหน่ึงเกิดกันกี่หนกี่ครั้งลองสังเกตดู ท่ีจริงพูดไดเลยวา มันเกิดใหมทุก
คราวที่ไดร ับอารมณถามีสติปญญาพอ ก็มีอตัมมยตาไดจิตของเราจะอยูในโลกท่ีเต็มไปดวย
สิ่งที่มันจะปรุง ส่งิ ท่มี นั มอี ํานาจในการปรุงเต็มไปหมด ไมวาที่ไหน มีอตัมมยตาคอยปองกัน
ได รกั ษาอตัมมยตาไวได ปองกันไมใหเกิดการปรุงข้ึนมา สติน่นั แหละเปนเคร่ืองปองกัน เอา
สติปญญามาเปนอาวุธ ตัดมันออกไปเสียอารมณน้ัน อารมณนั้นก็ไมปรุง ไมมีโอกาสที่จะ
ปรุง จิตนั้นกส็ บาย กไ็ มมีความทุกข ใชอตัมมยตาเปนเหมือนกับมนตคาถาอันศักด์ิสิทธ์ิ ขับ
ไลผีคือกิเลสนั้นออกไป ส่ิงท่ีเปนเสนห ท่ีจะเขามาครอบงําจิตใจใหหลงไปน้ัน มันก็เปนผี
ชนดิ หน่ึงเหมอื นกนั
อตัมมยตาสามารถขับไลผ ไี ดท ุกชนดิ เราตอ งสนใจมันไวบาง เกิดมานานแลว
หลายปแลว ก็ควรเห็นอะไรเปนอะไร มันหลอกอยางไร มันหลงไดโดยวิธีใด ก็รูเทารูทันมัน
ไว ศกึ ษาเรอ่ื ง อนิจจัง ทุกขงั อนัตตา อยูเสมอ มันก็หลงไมได เห็นวา โอธรรมดาน้ี ไมเท่ียง
เปนทุกข แลวมันก็เปนอยางน้ันเอง เห็นสุญญตา วางจากตัวตน เปน ตถาตา เปนเชน
น้ันเอง เชน นนั้ เอง สนใจศึกษาไวเถิด เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นจะชวยใหเกิดอตัมมย
ตาไดโดยงายอยูในโลก แตเหนือโลกไมมีอะไรมาปรุงแตงได น้ันแหละโลกุตตระ เหนือโลก
เปนโลกุตตระ ถายังปรุงแตงไดก็อยูในโลก หรือเปนโลกียะ คืออยูใตวิสัยโลก อยูกับโลกก็
อยา อยใู ตโ ลก อยูเหนอื โลกดกี วา ไหนๆ ก็ตองอยูใ นโลกแลว มอี ตัมมยตาสําหรับจะไมใหจม
ไปในโลก แตจ ะอยเู หนือโลกกันเถิด
อตัมมยตา คือ ภาวะของจิต ท่ไี มมอี ะไรมาทําใหเ ปน บวกหรอื เปนลบ คงอยู
ในความถูกตองตามปกติ. ไมบวกไมลบ คือไมพายแพแกฝายใดฝายหนึ่ง ถาบวกไปหลงรัก
ก็แพดวยความรัก, ถาลบไปโกรธไปเกลียดดวยความโกรธ ก็แพดวยความโกรธและความ
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจจุบนั ๙๙
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานักสวนโมกขพลาราม
เกลียด ท้ังบวกท้ังลบมันเปนความพายแพในทางจิตใจ; ถามันเปนอิสระไมพายแพ มันคงที่
เปน อตมั มยตา คงที่ไมเ ปล่ยี นแปลงไปตามสง่ิ ท่ีเขามายว่ั ยุ หรือปรุงแตง
ถามนุษยในโลกรูจักทําจิตใจอยางนี้ จะไมเห็นแกตัวจะไมเกิดวิกฤตการณ
อันเกิดมาจากความเห็นแกตัว ดังนั้น จึงถือวา เปนถอยคําที่ควรมีอยูในปทานุกรมธรรมดา
แมของเด็ก ๆ ใหเด็ก ๆ เร่ิมรูจัก เร่ิมสนใจ เริ่มเห็นประโยชนของความมีจิตใจคงท่ี ไม
เปล่ียนแปลงไปตามส่ิงท่ีเขามาย่ัวใหรัก ใหโกรธ ใหเกลียด ใหกลัว ใหต่ืนเตน ใหวิตกกังวล
ใหอาลัยอาวรณ ใหอิจฉาริษยา ใหหวง ใหหึง น่ีอตัมมยตา ภาวะของจิตท่ีไมมีอะไรมาปรุง
แตง ใหเปล่ียนแปลงเปนบวก หรือเปน ลบ หมายความวา ไมยนิ ดยี ินราย, ไมดีใจไมเสียใจ ก็
ไมเกดิ ความเหน็ แกต วั ไมเ กิดตวั กบู วก แลว เห็นแกได, ไมเกิดตัวกลู บ แลวเห็นแกทําลาย จึง
เปน ทางแหงสนั ติสขุ
อตัมมยตา แกปญ หา ไดทุกเร่อื ง
ไมข นุ เคอื ง ของขดั หัดทาํ ไว
เปนสภาพ สภาวะ ท่ีอะไรๆ
ไมส ามารถ ปรุงแตงจติ ใจไดเ ลย
ไมเปน บวก ไมเปนลบ ภพจบสิน้
ไมม หี ยิน ไมมหี ยาง อยวู างเฉย
ไมม ดี ี ไมม ีชวั่ เหลืออยเู ลย
จิตเปดเผย ไมม ีคู อยูเ ดยี วดาย
เปน สภาพ สภาวะ ละของคู
มแี ตรู เหน็ รู ดไู สว
ไมมีใช หรอื ไมใช ใหร่าํ ไร
เพราะวาใจ เหน็ อตมั มยตา
เปน ชวี ิต ท่ีไมคดิ กัดเจาของ
ไมส นอง ตอบรบั กลับไปมา
สงบเยน็ ไมเ ตนแรง ไมเตนกา
ไมหลงบา ไมหลงดี ไมมตี น
ไมม ตี วั ใหเหน็ ก็จะไม เหน็ แกตัว
ไมเ มามัว ไมหลงใหล ไมสบั สน
๑๐๐ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจจบุ ัน
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
ไมม โี ลก ไมม สี ัตว ไมม ีคน
มีแตธรรม เออลน พน พรมโปรย
๓.๔.๑.๘.๑ ประโยชนข องการเรยี นรูเร่ืองอตมั มยตา
การเรียนรูเรื่อง อตัมมยตา ทําใหเขาใจสภาวะของระดับจิตสูงสุด กลาวคือ
เปนระดบั ท่ีไมย ดึ ถือหรือยึดติดตอ สิง่ ทง้ั ปวง เปนสภาพจิตท่ีอะไรๆปรุงแตงใหเปนทุกขไมได
อีกตอไป เปนจิตแหงพระอรหันต นั่นเอง ซึ่งคํานี้ทานพุทธทาสภิกขุ แปลเสียอยางถึงใจวา
“กูไมเอากับมึงแลวโวย” หมายความวา เราไมทุกขกับมันอีกแลวจิตสามารถหลุดพนจาก
ทกุ ขไ ดอ ยางสิ้นเชงิ
๓.๔.๑.๙ ตถตา
ทานพุทธทาสภิกขุถือวาธรรมที่เปนหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ “สพฺเพ
ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย สรรพสิ่งไมควรยึดม่ันถือม่ัน” เพราะสอดคลองกับไตรลักษณะ
สํานักสวนโมกขพลาราม ความเปนเชนนั้นเอง ความท่ีส่ิงทั้งหลายเปนเหตุปจจัยแหงกัน
และกัน เมือ่ มเี หตปุ จ จัยมันก็เกิดขึ้นดํารงอยูและเปนไปตามกฎธรรมดา เมื่อหมดเหตุปจจัย
มันก็ดับ ไมไดขึ้นอยูกับการดลบันดาลของใครดังพุทธวจนะวา “ไมวาตถาคตทั้งหลาย
(พระพุทธเจาท้ังหลาย) จะเกิดขนึ้ หรือไมกต็ าม กฎธรรมชาติ กฎธรรมดานั้นก็ยังอย”ู
“สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภนิ เิ วสาย” นแ้ี ลวก็เปนอนั วา ไดยินไดฟ งทง้ั หมด ถาได
ปฏิบัติในขอนี้ก็เปนอันวาไดปฏิบัติท้ังหมด ถาไดผลมาจากขอน้ีก็คือ ไดผลท้ังหมด เพราะ
นน้ั เราไมตองกลัววามันจะมากมายเกินไปจนเราเขาใจไมได เหมือนกับที่พระพุทธเจาทาน
เปรียบเทียบวา ส่ิงท่ีตรัสรูน้ันเทากับใบไมท้ังปาทั้งดง แตสิ่งท่ีนํามาสอนใหพวกเธอปฏิบัติ
นนั้ กํามอื เดยี ว ก็หมายถึงหลักที่ไมใหยืดมั่นถือม่ันในส่ิงใด โดยความเปนตัวตน หรือของตน
น่ันเอง๓๔
ตถตา ความเปนเชนนั้นเอง เม่ือผูส่ือขาวถามวา ทานคิดอยางไรกับการท่ี
พลตรีจําลอง ศรีเมือง,ออกมาขับไลทาน ทานนายกเหล่ียม เอยนายกแหงประเทศไทย
กลาวสน้ั ๆ วา ตถตา มนั เปน เชนนัน้ เอง ทาํ เอาผูส่ือขา วงงไมรูวาเปนเชนไร ๓๕
ตถตา เปนการอธิบายความท่ีสิ่งท้งั หลายเปนเหตุปจจัยแหงกันและกัน เมื่อ
มีเหตปุ จ จยั มนั ก็เกิดขึน้ ดาํ รงอยูและเปนไปตามกฎธรรมดา เม่ือหมดเหตุปจจัยมันก็ดับ การ
ท่ีมันจะเกิด จะคงอยูหรือจะดับไมไดข้ึนอยูกับการดลบันดาลของใคร ไมขึ้นอยูกับการ
ขอรองออนวอน หรือความตองการของใคร เม่ือเหตุปจจัยมันสุกงอมแลว ไมอยากไปก็
จาํ ตองไป เพราะทกุ อยางเปนตถตา = มันเปนเชน นัน้ เอง
๓๔ พุทธทาสภิกข,ุ แกน พทุ ธศาสน, (กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๔๘), หนา ๗๓.
๓๕ พทุ ธทาสภกิ ขุ, อิทัปปจจยตา, (กรุงเทพมหานคร: สขุ ภาพใจ, ๒๕๔๙), หนา ๑๐๔.
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจ จุบนั ๑๐๑
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานักสวนโมกขพลาราม
จะยนื ยันอยางไรวาไมไ ม
ชอ กุหลาบกําลงั ใจหลายหลากสี
กลางเสยี งรอ ง...สู ส.ู ..อยมู ากมี
ตถตาช้.ี ..มันเปนเชนน้นั เอง
๓.๔.๑.๙.๑ ประโยชนข องการเรยี นรูเร่อื งตถตา
การเรียนรูเรื่อง ตถตา ทําใหเขาใจวาทุกส่ิงทุกอยางก็เปนเชนนั้นเอง ตถตา
เปนการอธิบายความที่สิ่งทั้งหลายเปนเหตุปจจัยแหงกันและกัน เมื่อมีเหตุปจจัยมันก็
เกิดข้ึนดํารงอยูและเปนไปตามกฎธรรมดา เมื่อหมดเหตุปจจัยมันก็ดับ การที่มันจะเกิด จะ
คงอยูหรือจะดับไมไดข้ึนอยูกับการดลบันดาลของใคร เพราะทุกอยางเปนตถตา คือ มัน
เปน เชน นน้ั เอง
๓.๕ หลกั การดาํ เนนิ ชีวติ ท่ัวไป
๓.๕.๑ หนาทีข่ องชีวติ
พุทธทาสภิกขุกลาววา ชีวิตท่ีกําลังทองเที่ยวไปในวัฏสงสารสาครแหงความทุกข
นัน้ มคี วามจรงิ ทค่ี วรเขา ใหถ ึง คือ การพยายามหาทางใหเกิดความรูเอาชนะความทุกขใจได
น่ัน คอื หนา ท่ขี องมนษุ ยท ้งั มวล
สวนการประกอบการงานภายนอก เชน งานอาชีพหาเลี้ยงกันในครอบครัวเปน
ตน นนั้ เปนเพยี งงานอดเิ รกของชีวติ ที่กําลังผานวัฏสงสารแผล็บๆ ไป ทั้งน้ีเพราะผลจากงาน
เหลา น้ันแมสมบูรณแลวก็ยังบําบัด “ความหนัก” ของจิตไดนอยเหลือเกิน สวนผลท่ีไดจาก
การศกึ ษาและรูสัจจะสภาวะของชีวิตนั้นยอ มใหส่ิงท่ีชวี ติ ตอ งเผชญิ
ศานติสุขที่แทจริง คือ การที่ใจเปนอิสระเหนือ “เหย่ือ” ของโลกทุกชนิดเมื่อรับ
ใชพระศาสนากเ็ ทา กับรับใชพ ระพุทธเจา ในเบื้องสูงรับใชพระพุทธเจา แตในเบื้องตําเรารับ
ใชโลก อุตสาหกระทําเหน็ดเหน่ือยลําบากยากเข็ญนี่ก็เพ่ือจะใหเปนประโยชนแกโลก
เสียสละทกุ อยางเพื่อใหเปนประโยชนแกโลกอยา งนี้เรยี กวา รับใชโลก
ทํางานดวยจิตวาง ทํางานดวยจิตที่ไมมีตัวเอง ไมมีตัวกู-ของกู ทําไปดวย
สติปญญาที่เหลืออยูในจิตใจหลังจากการตรัสรูแลวก็เรียกวาทํางานเพ่ืองาน ทําหนาที่เพ่ือ
หนา ที่ เรียกภาษาธรรมะวาทํางานดวยจิตวา ง ไมเ ก่ยี วกับตวั กู-ของกู งานนั้นมันกส็ นุกแลวก็
ไมโกงใครดวย๓๖
๓๖ พุทธทาสภิกขุ, สวนโมกข อุดมรคติ ชีวิตและความทรงจํา, พิมพครั้งที่ ๒,
(กรุงเทพมหานคร: สขุ ภาพใจ, ๒๕๔๙), หนา ๖.
๑๐๒ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจ จุบนั
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานักสวนโมกขพลาราม
๓.๕.๒ ปฏบิ ัติบชู า
พระพทุ ธองคต องการใหเ ราบชู าดว ยการปฏบิ ตั ิ การปฏิบัตินั้นก็เพ่ือชวยใหทุกคน
รอดใหโ ลกมนั รอด๓๗
การวาดวัด ถาวา มจี ิตใจกวาดเพ่อื ใหว ดั เหมาะสม เปน อยสู ะดวกสบายในการเผย
แผนก้ี ร็ บั ใชพระพทุ ธเจา พวกที่กวาดวัด แกกๆๆ อยู ถาเพ่ือใหกวาดน้ันมันมีความคิดสูงขึ้น
ไปอีกนะ “กวาดกิเลส กวาดความเห็นแกตัว” แมครัวน่ังขอดเกล็ดปลาก็ต้ังจิตวา “ขอด
เกลด็ ความเหน็ แกตวั ” นั่นจะเปน แมครัวทท่ี าํ หนาท่ีถูกตอ ง
ก็มีหลายคนบาหรือดีก็ไมรู ชวยกวาดอยูบอยๆ แตถาเขามีเจตนาวาจะรับใช
พระพุทธเจาละก็ใชได น่ันเขาจะกวาดความเห็นแกตัว กวาดความเห็นแตตัว กวาดกิเลส
ออกไปจากใจ๓๘ ถา ไมมีธรรมะแลว ไปทาํ อะไรเขากม็ ีความทุกขท้ังนั้น หรือแมแตจะมีเงินมา
ก็จะมีเงินเพื่อความทุกข หรือแมแตจะไดดิบไดดีมีเกียรติก็จะเปนการไดดิบไดดี หรือมี
เกียรติท่ีเปนความทุกข ถาหากวาขาดธรรม เพราะวาเขาไมรูจักวางจิตใหไวในลักษณะท่ี
เหมาะสมเพราะฉะนั้นมีเงินมาก็มีมาสําหรับวิตกกังวล เพราะวาเม่ือจะใชก็ใชไปผิดๆ หรือ
เม่ือเอามาเก็บไวก็เปนหว ง๓๙
เราจะตอสูอยูในโลกไดโดยที่ไมตองเปนทุกขเพราะทุกอยางมันถูกตองและแมวา
เราจะจัดโลกใหเปนไปตามความตองการของเราไมได คือโลกมันจะเลวรายสุดเหวี่ยง
อยางไร เราก็ยังไมเ ปนทุกข ถาเรารูจักทําจิตใจตามหลักท่ีพระพุทธเจาสอนไว คือ วาจะยิ้ม
อยูได แมในกลางกองเพลิง กลางกองไฟ จนกระท่ังด้ังจิตดวงสุดทาย มันก็ยังยิ้มอยูได
นนั่ เอง
๓.๕.๓ งานเรงดว น
พุทธทาสภิกขุเนนย้ําเสมอวาควบคุมอายตนะ ๖ ได สวรรคก็เกิดข้ึน น่ีคือขอ
ปฏิบัติควบคุมอายตนะท้ัง ๖ ไดก็ไมมีนรกขึ้นมา ทําใหถูกตองตามเร่ืองของอายตนะ ก็จะ
ไดร ับผลสมตามประสงคกม็ ีสง่ิ ท่ีเรียกวา สวรรค
๓๗ เร่อื งเดียวกนั , ๒๑.
๓๘ เรื่องเดียวกัน, ๒๒..
๓๙ พุทธทาสภิกขุ, พทุ ธทาสภิกขุหลกั พทุ ธธรรม, (กรงุ เทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๓๔), หนา
๑๒.
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจจุบัน ๑๐๓
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานักสวนโมกขพลาราม
ชาวพทุ ธมงุ ตรงไปยังหวั ใจของพระพุทธศาสนา ไมตองมีพิธีรีตองทําแตพอดีกับท่ี
มนั จะดบั ทกุ ขไดอ ยางไร๔๐
ทานอุปมาใหเห็นวาไมควรเปนเชนวาท่ีลุกเขย ที่คิดไปแสดงตัวใหเปนที่พอใจแก
พอตาแมยายแลวจะแตงงานน่ันนะ มันทําดีเกินไปมันจะทําไมตับปงปลา น้ีเอามาน่ังเหลา
นนั่ เหลา แลว มาขดั กระดาษทราย แลวมันก็ทาน้ํามัน สําหรับไมตับปงปลา เลยถูกไล ถูกไล
ออกไปจากบาน แลวชายหนุมอีกคนหนึ่งเขามา เขาไมทําอะไร เพียงแตผาแกรกเดียว ผา
อีกแกรก หนง่ึ คาบปลาไดแลวก็ใชได น่ีเจาของบานเขาเลยยินดีใหลูกสาว เพราะวาคนแรก
ทําดีเกนิ ไป มันทาํ ดีเกนิ ไป ทํามากเกนิ ไป ไมตรงกับเรอ่ื ง ไมต รงกบั หัวใจของเรือ่ ง๔๑
๓.๕.๔ ชีวิตทางสงั คม
การดําเนินชีวิตตรงไปสูจิตทุกคนตองพึ่งตนเอง แตในสวนอื่นๆ สังคมพุทธพ่ึงพา
กันและกันเปนสังคมแหง “สงฆ” เร่ืองนี้พุทธทาสภิกขุอธิบายวา ในรายละเอียดท่ีจะ
ชวยเหลือซ่ึงกันและกันผูกพันสังคมนั้น ในพระพุทธศาสนานี้มีหลักธรรมอยูหลายหมวด
ยกตัวอยางมาสักหมวดหน่ึงซ่ึงเรียกวาสังคหวัตถุ๔๒ คือส่ิงที่จะใชสําหรับสงเคราะหคือ
ผูกพันกัน
สังคหวัตถุ ก็วัตถุสําหรับสงเคราะห วัตถุน้ีไมจําเปนจะตองเปนสิ่งของ มี
ความหมายเหมือนกับวาตัวเรื่องตัวราวจะเปนนามธรรมก็ได เปนวัตถุธรรมก็ได วัตถุเปน
ท่ีต้ังแหงการกระทํา อยางนี้ก็เรียกวาหลักเกณฑเปนอุดมคติอยางน้ีก็ไดสังคหวัตถุมีอยู ๔
อยา ง คอื ทาน ปย วาจา สมานตั ตา อตั ถจริยา
ทาน คือ การเอื้อเฟอเผ่ือแผ, ปยวาจา แปลวา พูดจาดวยความรัก, สมานัตตา
ทําตนเปนผูเสมอกัน ไมยกตนขมเขา, ทําตนเปนเพื่อเกิดแกเจ็บตายดวยกันก็เรียกวา
สมานัตตตา แปลวา มีตนอันเสมอกัน, อัตถจริยา คือ ประพฤติประโยชน เมื่อรูสึกอยางนี้
แลวก็ไมอยเู ฉยๆ เปน สังคมธรรม คือธรรมะท่จี ะตองประพฤติตอ สงั คม
ถาเปนพุทธบริษัทจะตองนึกถึงโลกสวนรวม เพราะวาเปนพระพุทธประสงควา
การเกิดข้ึนของพระพุทธองคน้ัน เพื่อประโยชนทั้งแกเทวดาและมนุษย คือมันท้ังโลก ทั้ง
๔๐ พุทธทาสภิกขุ, หัวใจของธรรมะ โดยหลักพ้ืนฐาน, (กรุงเทพมหานคร: การพิมพพระนคร,
๒๕๒๘), หนา ๑๔.
๔๑ เรอื่ งเดียวกนั , ๑๕.
๔๒ พทุ ธทาสภกิ ข,ุ ศีลธรรมกับการแกปญ หาศลี ธรรม, (กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๔๘),
หนา ๒๘.
๑๐๔ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมในโลกปจ จบุ นั
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นักสวนโมกขพลาราม
โลกเทวดา ทง้ั มนุษย ทานประสงคอยางนั้น ดังนั้นผูท่ีเสร็จหนาที่ของตนแลวก็ตาม หรือยัง
ไมเ สร็จหนาท่ีของตนกต็ าม จะตองนึกถึงผอู ่ืนดวย จะตองถึงโลกดว ย๔๓
๓.๕.๕ ยอดสิง่ ปรารถนาในชีวติ
ทานอธิบายวายอดสุดของส่ิงปรารถนา เราเล็งเอายอดสุดของสิ่งท่ีจะปรารถนา
ดังท่ีเรียกเมื่อการบรรยายคราวแรกวา “ดีท่ีสุดของมนุษย” อันนี้บางพวกหรือบางฝายเขา
ถอื เอาความสขุ ทม่ี เี หย่ือเปน ความสขุ โดยเฉพาะก็คอื กามารมณอีกนั่นเอง เขาเรียกวา “สา
มิสสุข” คือ สุขที่ประกอบอยูดวยอามิสหรือเหย่ือ สุขที่มีเหย่ือเรียกวา “สามิสสุข” สวน
พทุ ธศาสนาเลง็ ถงึ สุขท่ไี มม ีเหยอ่ื เรียกวา “นริ ามิสสุข” สุขทไี่ มมีเหยอื่ คอื นพิ พาน
สุดโตง นนั้ คือผดิ อยูอยางสุดโตง ไมมีอะไรจะผิดย่ิงไปกวานั้นอีกแลว ตอเม่ือเดิน
ไปดว ยสตปิ ญญา สมั มาทิฏฐิ ตรงกลางเทา นั้น จงึ จะเปนเรื่องที่ไมผ ิด
ชีวิตอัตภาพ จะตองไดรับการบริหารใหถูกตอง ใหมันอยูที่พอเหมาะพอสมอยา
ไปตามใจมัน แตก็อยาไปกดขข่ี ม แหงมัน ฟงดูใหดีเถิดวา หมายความวา อยางไร๔๔
ท่ีวา ไมไปไหน ไมอยูท่ีไหน นั่นหมายความวา มันไมมีความรูสึกวาฉันไปไหน
เพราะความอยากอะไร ฉันอยทู ่ไี หนเพราะความอยากอะไร ความหวงั อะไร ท้ังท่ีรางกายมัน
ก็อยูในเมืองนั้น อยูเมืองนี้ อยูวัดนั้น อยูวัดน้ี เดินไปหาคนนั้น พูดจากับคนน้ี เพราะฉะน้ัน
เขาจึงมีโวหารพูดขึ้นมาสําหรับช้ันน้ีวาไมไดอยูที่ไหน ไมไดไปท่ีไหน ไมตองการอะไรเลยไม
หวังอะไรเลย จึงเปนจิตท่ีอิสระหลุดพัน หรือฟรีถึงท่ีสุดแลวก็สงบอยางย่ิง เปนทุกขศูนย
เปน สุขโดยสมมุติวาเปนสุขอยางยิ่งอยูในตัวส่ิงน้ัน น้ีท่ีสุดปลายทางคือ summon Bonum
อยางแทจ รงิ นนั่ เอง
๓.๕.๖ กระแสชีวติ คนตาดขี ีค่ อคนตาบอด
ชีวิตคือ เร่ืองของส่ิงเหลานี้ กิริยาอาการปรุงแตงอันมากมายของเหลาน้ี วาส่ิงน้ี
คอื ชีวิต..ชีวติ ธาตุทาํ ใหเ กิดอายตนะ อายตนะทําใหเ กดิ ขันธ ขันธทําใหเกิดปฏิจจสมุปบาท
หรือ มีอาการแหงปฏิจจสมุปบาท มีปฏิจจสมุปบาทก็คือมีทุกขเรารู ๕ เรื่องนี้แหละ เรื่อง
ชีวติ โดยสมบรู ณ ทา นพุทธทาสภกิ ขอุ ปุ มาเหมอื นตนตาบอด๔๕
๔๓ เรื่องเดยี วกนั , หนา ๒๙.
๔๔ พุทธทาสภิกขุ, ทางประเสริฐสําหรับดําเนินชีวิต, พิมพครั้งท่ี ๑, (กรุงเทพมหานคร:
สุขภาพใจ, ๒๕๕๓), หนา ๒๐-๒๑.
๔๕ พทุ ธทาสภิกขุ, การควบคุมกระแสแหงชีวิต, พิมพคร้ังที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ,
๒๕๕๐), หนา ๑๖.
ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมในโลกปจจุบนั ๑๐๕
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
รูปแบบชีวิตมีแตกตางก้ันไป สมณะ คือ ผูท่ีหลักจากความไมสงบ ไปมีชีวิตอยู
อยางมีความสงบ เพราะฉะน้ันจึงเปนนักบวชและเรียกวาสมณะตามความหมายของคําวา
“สมณะ” แปลวา สงบ พวกพราหมณเ ขาก็อยูบานเรอื นมีบตุ รภรรยาเหมือนคนธรรมดา แต
ต้ังอยูในฐานะเปนปูชนียบุคคล คงท้ังหลายนับถือบูชา เขาก็เอาอะไรไปให เอาขาวไปให
เอาเงิน เอาอะไรไปให จนพวกพราหณเปนอยูไดโดยไมตองทําอาชีพ สวนพวกสมณะนี้
โดยท่ัวไปเขาก็ใหทาน คือวา เขาถือวาเปนผูทําประโยชนแลวเขาก็อยากจะเอาบุญเขาก็ให
ทาน๔๖
คนตาดี คอื จิตทม่ี ปี ญ ญาเหน็ ความเปนจรงิ ความธรรมดาของชีวติ
ส่ิงไมพ งึ ปรารถนาในชวี ิตชาวพุทธ
การเวียนวาย ไมเปนส่ิงพึงปรารถนาในชีวิตชาวพุทธ พุทธทาสภิกขุไดจําแนก
ลกั ษณะการเวียนวายในชีวติ ดงั นี้
(๑) ถาวาดวยอารมณ การเวียนวายก็เวียนวายไปในรูป เสียง กล่ิน รส
โผฏฐัพพะธัมมารมณ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางล้ิน ทางกาย ทางใจคือสิ่งท่ีเปนเหย่ือที่
เขามาลอใหรักหรอื ใหเกลยี ด ใหรกั หรอื ใหชัง
(๒) วาโดยสถานที่หรือแดน ก็เวียนวายในสุคติ ทุคติ คิดอยารงไรไดอยาง
นน้ั คดิ อยา งสัตวเ ดรจั ฉานก็เกิดเปน สัตวเดรัจฉานขึ้นมาทันที คิดอยางเปนคน รอนใจก็เปน
สัตวน รกขึ้นมาทนั ที กลัวก็เปน อสรุ กายทนั ที หิวกเ็ ปนเปรตทันที
(๓) การเวียนวายนี้ ถาวาโดยกิริยาอาการ มันก็แบงเปน กิเลส กรรม และ
วบิ าก กิเลส คอื ความอยาก กรรมคอื การกระทําลงไปตามอํานาจของความอยาก วิบากคือ
ผลทเ่ี ดข้ึนจากกรรมนั้น วิบากก็ทําใหเกิดกิเลสรายใหมอีก คือมีกิเลสอีก ทํากรรมอีก ไดผล
กรรมอีก แลวก็เกิดกิเลสอีก ทํากรรมอีก ไดผลอีก เปนวงกลมอยางน้ี เปนวงกลมอยางน้ี
เรียกวา “ไตรวัฏฏ” ในวันหน่ึงๆ เรามีกี่วัฏฏะ ในวันหนึ่งเราอยาก แลวเราทํา แลวไดผล
แลว อยากอกี แลวทาํ อกี แลวไดผ ลอกี
(๔) ถาวาโดยผลท่ีไดมาเปนปฏิกิริยาออกมา ก็คือ เกิด แก เจ็บ ตาย มันจะ
เวยี นอยใู นเรือ่ งเกิดแกเ จบ็ ตาย ในฐานะเปน ผลของวัฏฏะ ไมไดหมายแตทางรางกายนี้อยาง
เดียว ใหหมายถึงทางจิตใจดวย ตัวกูมันเปนอุปาทานเกิดขึ้นมา แลวเด๋ียวตัวกูมันก็คอยๆ
เสื่อม ก็คอยๆ เปล่ียน แลวตัวกูมันก็ดับลงไป เดี๋ยวตัวกูมันก็เกิดขึ้นมาอีก มันก็เปลี่ยนไป
เดยี วมันกด็ ับลง
๔๖ พทุ ธทาสภิกขุ, หลักพุทธธรรม, (กรงุ เทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๓๔), หนา ๑๖๒-๑๖๓.
๑๐๖ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจ จุบัน
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
(๕) นัยสุดทายก็คือ วาเม่ือดูโดยสภาวธรรม การเวียนวายนี้ก็ไมมีอะไร
นอกจากการเกดิ ข้ึน เปลี่ยนไป และดับลง
๓.๕.๗ คาํ เปรียบชวี ิต
การดําเนินชีวิตของพุทธบริษัททุกรูปแบบเปนไปเพ่ือความดับทุกขประการเดียว
เทาน้ัน แตพุทธทาสภิกขุเปรียบเทียบการดําเนินชีวิตไปสูเปาหมาย คือ ความดับทุกข
ดงั ตอไปนี้๔๗
สําคัญท่ีสุด คือ มีมากสุดท่ีใชพูดกัน ก็คือวา ชีวิตน้ีเหมือนกับการเที่ยวเรือไปใน
ทะเล ลงเรอื ไปในทะเลก็เพอ่ื ไปหาอะไรอยางใดอยา งหนึง่ ทมี่ คี ามากที่สุดสําหรับเขา จนกวา
จะได
ชีวิตน้เี หมอื นกบั เดนิ ทางไกล เดินทางวิญญาณ เดินทางนามธรรม เดินอยูภายใน
จนกวาจะถึงจุดหมายปลายทาง การปฏิบตั อิ รยิ มรรคเปน การเดนิ ทางอยูข างใน
ชีวิตเปรียบเหมือนกับวาออกไปสูฝงโนน นิพพานเปนชื่อของปาระ คือฝงโนน
โลกิยะเปนชอ่ื ของตรี ะ คือฝง นี้
ชีวิตเปรียบเหมือนออกจากโลกไปสูโลกอุดร โลกหรือโลกิยะนี้มันเหลือทน ทีนี้
ตองการจะออกไปเสียจากโลก ไปสนู อกโลก คือ โลกตุ ตระ
ชีวิตหรอื การปฏิบตั ธิ รรมเหมอื นกับการทาํ นา แตทาํ นาตามแบบของพระพุทธเจา
ยังไมรูจัก เปนการทํานาท่ีมีอมตะเปนขาวเปลือก ทํานาที่มี อมตะ เปนผล มีศรัทธา เปน
ขาวพืชเปนขาวกลา เปนเม็ดขาวพืช มีตบะเปนนํ้าฝน มีปญญา เปนตัวไถสําหรับไถนา
เพราะมันคม มีหิริ ความละอายบาปท่ีทําใหงามเปนงอนไถ มี ใจ เปนเชือกชักไถ มีครบทุก
อยางเหมือนกันแลวมีการบรรลุมรรคผลน้ีเปนการส้ินฤดูทํานา หยุดการทํานา ไดผลเปน
ขาวเปลือก เปนอมตะวาชีวิตน้ีเหมือนกับการรักษาตนใหหายจากโรค เพราะเราเกิดมาก็
มีโลภะ โทสะ โมหะ เกดิ ข้ึนงอกงามข้ึนมาเร่ือยก็เปนโรคท่ีเจริญขน้ึ เรื่อย
ชีวิตนี้เหมือนกับการถอนลูกศรท่ีกําลังเสียบอยู มันมีความทุกข มันจะตองดับ
ทกุ ข ทุกขมันเกิดจากอะไร ก็ตองแกท่ีน่ัน ไมตองมัวถามวาตายแลวเกิด หรือไมเกิดเปนตน
มันควรจะถามวา ท่ีเกิดอยูน่ีทําอยา งไร ถาทําใหเสรจ็ เรื่องมนั กจ็ บ
ชีวิตเหมือนกับการดับไฟที่ไหมอยูที่ศรีษะราคัคคินา รอนดวยไฟ คือ ราคะ โท
สคั คินารอ นดว ยไฟ คอื โทสะ โมหคั คินา รอ ยดว ยไฟ คอื โมหะ หมายถึงมนั รอนมนั เผา
๔๗ พุทธทาสภิกขุ, สนั ทัสเสตพั พธรรม, (สุราษฏรธ านี: ธรรมทานมูลนธิ ิ, ๒๕๓๘), หนา ๑๗๘.
ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจ จุบัน ๑๐๗
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
ชีวิตนี้เปรียบเหมือนการพยายามติดตามฆายักษมาร กิเลสมาร ขันธมาร สังขาร
มาร มัจจุราชมาร เทวปุตตมาร ลวนแตเปนมารทั้งน้ัน กิเลสก็เปนมาร รางกายตาม
ธรรมชาตกิ ็เปน มาร ผลกรรมกเ็ ปนมาร ความตายก็เปน มาร
ชีวิตน้ีเปรียบเหมือนการทําลายเปลือกหุมฟองไข ออกจากท่ีมืดมาสูที่สวาง
พระพุทธเจา ทานเปน บคุ คลแรก เปนลูกไกตวั แรกทท่ี ําลายเปลอื กฟอง คืออวชิ ชาออกมาได
ชีวิตนี้มันเหมือนกับการหาจุดเย็นที่สุดในกลางเตาหลอม เต็มอยูดวยไฟ คือ
โลภะ โทสะ โมหะ ยิง่ สมยั น้ีแลว ไฟรอนจัดขึน้ ทุกที
หาหีพบเพชรท่ีมีอยูแลวท่ีหนาผาก ความหมายในทางภาษาธรรมมันมีอยูวา ใน
รางกายนี้ มันมีความดับทุกข หรือนิพพานอยูแลว คูกันกับความทุกข ชีวิตท่ีแทจริงนั้น ถา
ทําใหดีแลว มันเหมือนกับหาใหพบเพชรท่ีมีอยูหนาผาก มันไมยากเย็นลําบาก มันไม
เหลอื วิสยั มันไมอ ะไรเลย
๓.๖ ดานการศาสนา
พุทธทาสภิกขุไดแสดงทัศนะวา ศาสนา คือ ส่ิงท่ีทําใหมนุษยไดรับส่ิงที่ดีท่ีสุด
สําหรบั มนษุ ยต ามที่เขาควรจะได คาํ วา ส่ิงท่ีดที ส่ี ุดสําหรับมนุษยควรจะไดน้ีดูพวกเราไมคอย
จะสนใจนัก ฉะน้ัน ขอใหสนใจกันใหพอสมควรก็จะเกิดความกระตือรือรนในการที่จะไดสิ่ง
ท่ีดีที่สุดมนุษยควรจะไดรับจากพระศาสนา วิชาความรูทางจิต ถามีส่ิงท่ีเรียกวาศาสนา
มนุษยเ ราในโลกนีก้ ็จะไมเ กดิ โรค ชนดิ ทมี่ มี ูลมาจากจติ ใจ เชน วิตกกงั วลมากเกิดไปโลภมาก
เกินไป ตะกละในเหย่ือในอารมณมากเกินไป หรือไปกระทําอบายมุขอยางอื่นๆ อีกหลายๆ
อยางจนกระทั่งเกิดความเจ็บปวยในทางกาย เชน ชอบเท่ียวกลางคืน ก็จะมีการเจ็บปวย
หรือไดรับอันตรายอีกหลายอยางหลายประการอยางนี้ ถามีพระศาสนาคุมครองแลวก็ไม
ตองเปนโรคเจ็บปวยในทางรา งกายชนดิ นนั้ ฉะนั้น ขอใหถือวา พระศาสนาน้ันเปนสิ่งบําบัด
โรค หรือปองกันโรคในความหมายหนง่ึ ดว ย๔๘
ศาสนานี้คือคําสั่งสอนน้ี มันก็ถูกอยางย่ิงดวยเหมือนกัน คือสอนใหรูท่ีควรจะรู
สอนใหปฏิบัติ สอนใหเปน สขุ ชนิดที่ไมม คี วามสุขอยา งอื่นเสมอเหมือน
สอนใหร ูเรอ่ื งทีส่ ําคัญ ก็คอื เรอื่ งความทกุ ข เร่อื งเหตุใหเกิดความทุกข เร่ืองความ
ดับสนทิ แหงความทุกขแ ละเรอื่ งหนทางใหถ ึงความดับสนิทแหงความทุกข
๔๘ พุทธทาสภิกขุ, บางแงมุมของศาสนาในทัศนะพุทธทาส, (กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ,
๒๕๔๓), หนา ๔๔.
๑๐๘ ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมในโลกปจจุบนั
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นักสวนโมกขพลาราม
ท่ีวาสอนใหรับประโยชนสุข ชนิดที่ไมเหมือนใครนั้น ก็คือ ใหไดรับประโยชนสุข
จากพระนพิ พาน
สิ่งที่เรยี กวา ศาสนาน้นั คือคําส่ังสอน ในลกั ษณะ ๓ ประการ ดังที่กลาวมาแลวที่
เรียกเปนภาษาบาลีวา ปริยัติศาสนา-ศาสนาสอนใหรู ปฏิบัติศาสนา-ศาสนาสอนใหปฏิบัติ
ปฏเิ วธศาสนา-ศาสนาสอนใหร แู จง ตลอด ซง่ึ ผลแหงการปฏบิ ัติ
๓.๖.๑ ศลี ธรรม กฎหมาย และศาสนา
ส่ิงท่ีเรียกวาศีลธรรมหรือกฎหมายสอบประเภทแรกน้ียังคงผูกพันอยูกับสังคม
เสมอมีหลักเกณฑใ นทางท่จี ะผูกพนั คนอยูกับสงั คมมนษุ ยเ สมอ แตท ่ี เรียกวาศาสนา
อนั ที่สามนี้ มันสง คนออกไปนอกสังคมได คือมีจิตใจท่ีอยูนอกการผูกพันของสังคมได คือ มี
จิตใจท่ีอยูนอกการผูกพันของสังคม จนไปอยูกับพระเปนเจาในโลกพระเปนเจา หรือวา
บรรลุมรรคผล นิพพานไปเลยซึ่งเปนการพนจากความผูกพันของสังคม เพราะน้ันจึงเกิด
เครอ่ื งที่เรียกวา เหนือโลกนอกโลกขึน้ มา
ขอใหทา นทงั้ หลายคิดดใู หดวี า หลักของศาสนาน้นั ไมไดถ ือวา เรามีชีวิตอยู เพราะ
อาหารท่ีเรากินเขาไปเลี้ยงรางกายอยางเดียว น่ันมันเปนเพียงใหชีวิตทางรางกาย ยังไมมี
ความหมายแหงความเปนมนุษยที่ถูกตอง ถาจะมีชีวิตเปนมนุษยใหถูกตอง มันตองมีอีก
อยา งหน่งึ ซ่งึ ทําใหเปน มนษุ ยน ั้นคอื ธรรมะ นั้นคือศาสนา นั้นคือคําสั่งสอนของพระเปนเจา
ทกุ ๆ คํา พอเราปฏบิ ตั ติ ามท้ังหมดน้ี มันกลายเปน ชีวติ ที่แทจรงิ ข้นึ มา เมอ่ื ตะกไ้ี มใชชีวิตจริง
ชีวิตเนื้อหนังรางกายท่ีมีมูลมาจากอาหารน้ี มันเปนชีวิตชนิดที่เปนเพียงเปลือกหรือวัตถุ
กอนวัตถุเทาน้ันแตความหมายท่ีแทจริงของชีวิต คือ ความเปนอยูที่ความดี ความงาม คือ
สิ่งดีที่สุดที่มนุษยค วรจะได นน้ั เรยี กวา ชวี ิต
การหาอาหารกนิ การแสวงหาความสุขจากการนอน การรูจักข้ีขลาดหนีอันตราย
การประกอบเมถนุ ธรรม เหลา น้ีมไี ดเสมอกนั ระหวา งคนกับสัตว แลวประโยคท่ีสําคัญท่ีสุดก็
วา “ธมฺโม หิเตสํ อธิโก วิเสโส” วาธรรมะเหลาน้ันที่ทําคนใหผิดแปลกแตกตางจากสัตว
“ธมฺเมน หนี า ปสภุ ีสมานา” เมือ่ เอาธรรมออกไปเสยี แลว คนทีเ่ สมอกนั กับสตั ว”
๓.๗ ดานการเมือง
การเมืองที่แทจริงสําหรับมนุษยตองตั้งฐานอยูบนรากฐานทางศาสนาของทุก
ศาสนาท่ีมีอยูวา “สัตวท้ังหลายเปนเพื่อนทุกข เกิด แก เจ็บ ตาย ดวยกันท้ังหมดท้ังส้ิน”
นักการเมืองท่ีมีธรรมสัจจะขอน้ีอยูในใจยอมเปนนักการเมืองของพระเจา การเคล่ือนไหว
ของเขาทุกกระเบียดนิ้วมีแตบุญกุศล จนกระทั่งกลายเปนปูชนียบุคคลไป ระบบ
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจ จบุ ัน ๑๐๙
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
ประชาธปิ ไตยนี้จะเลวรา ยทีส่ ดุ กวาระบบไหนมด ถาไมประกอบไปดวยธรรม คือตางคนตาง
ใชกิเลสยื้อแยงกันเทาน้ันเอง ขอใหนักการเมืองท่ีถือลัทธิการเมืองระบบไหนก็ตามจัดแจง
ปรับปรุงกระทําใหระบบการเมืองนั้นๆ ประกอบอยูดวยธรรม น้ีคือธรรมะสําหรับ
นักการเมือง เร่ืองประชาธิปไตยน้ีดูเจตนารมณก็ดีอยู แตพอเขาใจผิดก็กลายเปนอันตราย
ทําใหคนเปนบาเสรีภาพ ระบบการเมืองที่มีอยูในโลกเวลาน้ีจะเปนประชาธิปไตยก็ดี เปน
คอมมิวนิสตก็ดี เปนนายทุนก็ดี เปนกรรมกรก็ดี ทุกๆ คูมันไมเปนไปในลักษณะที่วา “เรา
เปนเพ่ือนเกิด แก เจ็บ ตายดวยกัน” จึงมีแตการเอาเปรียบแลวก็มีการตอสูเปนคูกัน ฟด
เหวีย่ งกันไปไมมที ี่สิ้นสดุ
๓.๗.๑ บทนิยาม “การเมือง” ตามแนวทางศาสนา
“สงิ่ ทีเ่ รยี กวาการเมือง เรามีความหมายหรือบทนิยมโดยเฉพาะตามแนวทางของ
ศาสนา แตก็คงจะมีใจความท่ีตรงกันโดยหลักทั่วๆ ไปวา การเมือง น่ันคือ การจัดถูกตอง
ตามกฎของธรรมชาติ เพอื่ คนมากจะอยรู ว มกันอยา งผาสกุ
คําวา สังฆะ พระสงฆ ตัวหนังสือแปลวา หมู หรือ พวก มันไมไดแปลวา เด่ียว
คนเดยี ว เมอ่ื อยเู ปน หมู เปนพวก มนั กต็ องมีอะไรทีจ่ ะเปน เคร่อื งยดึ เหน่ยี ว หรือมีหลักธรรม
สัจจะอันใดอันหนึ่งจะทําใหคณะสงฆตั้งอยูไดเปนหนวยเดียว จากสวนประกอบของหนวย
หลายรอยหลายพนั หลายหมนื หนวย ดึงเขาเปนสงั คมทถ่ี กู ตอ ง ท่ีอยรู วมกันอยา งผาสกุ
ถาจะดูใหดีก็จะย่ิงเห็นมากขึ้นไปอีกวา น่ีมันเปนการสอดคลองกับธรรมชาติมาก
ทสี่ ดุ และยังจะปอ งกันเหตุการณเลวรายทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในอนาคตขางหนา
จะแกปญหาไดตองไมเปนทาสของวัตถุกันท้ังนายทุกและชนกรรมาชีพ เด๋ียวน้ี
พดู ผา ซากลงไปไดเลย แลวก็มองเห็นดวย มองเห็นไดจริงดวยวา นายทุนก็เปนทาสวัตถุชน
กรรมาชีพก็เปนทาสฝายวัตถุกันเสียเทาน้ัน ก็หมดความเปนนายทุน หรือความเปนชน
กรรมาชีพท้ังนายทุนและชนกรรมาชีพ กลายเปนผูท่ีตองการท่ีจะรํ่ารวยดวยบุญ เสียอยาง
เดียวเทา นน้ั หมดปญหา
เจตนารมณข องการเมอื งตองเปนศลี ธรรม อยา ลืมวาการเมอื งน้ีเราใหความหมาย
วามันเปนเรื่องถูกตองของการปฏิบัติของมนุษยในการเปนอยูรวมกนอยางมากๆ อยาง
ผาสกุ เพราะวาทําถูกตองตามกฎของธรรมชาติ เจตนารมณของการเมืองเปนอยางนั้น ตอง
เปนตามความประสงคของทกุ คนท่ีอยรู วมกัน
แมแตธ รรมชาติ ถา วาเราจะมองดูธรรมชาติในฐานะท่ีใหมันมีเจตนาก็จะตองรูสึก
วาจะตองมองเห็นวามันมีเจตนาเพ่ือสันติภาพ สีลภาวะ หรือภาวะแหงความปกติน้ีเปน
๑๑๐ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมในโลกปจจุบัน
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
วัตถุประสงคของธรรมชาติ ถาผิดปกติวุนวายแลวไมใชวัตถุประสงคของธรรมชาติและไม
ตรงกับความหมายของคําวา “ศลี ”
ฉะนั้นการเมืองนี้ถามันบริสุทธ์ิมันก็เพื่อความสงบ หรือสันติภาพของมนุษย
น่นั เอง ถาการเมืองไมประกอบอยดู วยธรรมะ หรือพระธรรมแลว มันก็เปนระบบโจรท่ีปลน
ธรรมชาติ โจรทที่ ําลายธรรมชาติ โจรทําลายทรัพยสมบัตขิ องพระเจา นั่นเอง
อุดมคตติ อ งเปนไปตามธรรมสจั จะของธรรมชาติในท่ีสุดนี้ใหมองเห็นส่ิงท่ีเรียกวา
อุดมคติเสียใหมอยางถูกตอง วาอุดมคตินั้นเราชอบกันนักหนา เราบูชากันนักหนา แตแลว
มันก็ผิดได ถาอุดมคตินั้นมันเปนเพียงสัจจาภินิเวส เปนความจริงเฉพาะ คนท่ียึดถือ ดื้อรั้น
ไปคนเดียว เชน อดุ มคตทิ างการเมือง พวกหน่ึงสายหนึ่งนี้ มันเปนสัจจาภินิเวสทั้งนั้น ไมใช
ของจรงิ ของพระเจา อยางนี้เปน อุดมคติท่ใี ชไมได
ฉะนนั้ อุดมคติทางการเมืองมันจึงเปนปญหาอยูมันถูกหรือผิด น้ีมันมีปญหายู แต
เราจะทําใหหมดปญหาไดไมยาก โดยทําใหมันประกอบไดดวยธรรมซ่ึงมีรากฐานอยูท่ีความ
ไมเห็นแกตัว ทุกอยางมอบใหพระเจามอบใหธรรมะ มอบใหความถูกตอง หรือความ
ยุติธรรมอยาเอาตวั กเู ปนใหญ เปนตัวกนู ิยม
๓.๗.๒ วิพากษก ารเมอื ง
พทุ ธทาสภิกขุ ไดวิพากษการเมืองในปจจุบันไววา เราจะมองดูระบบการเมืองใน
โลกปจจุบันกันสักสามแงคือ ดูท่ีตนเหตุของมัน ดูที่ความเจริญของมัน แลวก็ดูที่มันพัวกัน
อยางสับสน แงอยางแรกที่วาตนเหตุของปญหาการเมืองทั้งโลกนี้มันมีอยูที่ไหน อาตมา
อยากระบลุ งไปวา โดยเฉพาะปจ จุบนั นีไ้ ปหลับหหู ลบั ตาหลงใหลในเรอ่ื งความเจริญทางวัตถุ
มากเกินไป ไมมีใครรูสึกตัว ไมมีใครละอายในการท่ีจะกอบโกยวัตถุ เมื่อตกเปนทาสของ
กิเลส หรือตกเปนทางของวัตถุเสียแลว จิตใจก็ไมอาจจะรูสึกละอายไดก็ไมรูสึกกลัวดวย
เปนทาสของเนื้อหนังมันก็ละทิ้งพระเจา พวกฝร่ังเขาเคยมีพระเจา เขาก็ละทิ้งพระเจาเขา
จดั ใหพระเจา ตายแลว ไมมีอยแู ลว ฝายตะวนั ออกนกี้ ็ละทงิ้ พระธรรมซงึ่ มีฐานะอยางเดียวกัน
พระเจาละทิ้งศาสนา ละท้ิงพระธรรม แมแตวัฒนธรรมของบรรพบุรุษฝายตะวันออก อยาง
จนี อยางไทยแทน ี้ มันถูกละท้ิงไป ไปเปน ทาสของเนอ้ื หนัง
ที่น้ีแงท่ี ๒ มองดูถึงความเจริญ ตนเหตุอันน้ันไดทําใหเกิดความเจริญย่ิงๆ ขึ้น
เจริญไปแตในทางเกลียดศลี ธรรม เจรญิ ไปแตในทางเกลียดศาสนา เห็นแตความสุขทางเนื้อ
หนงั เห็นแตสว นเกนิ ย่งิ ๆ ขึน้ ไป ในความสนุกสนานทางเนอ้ื หนัง
ที่น้ีในแงท่ี ๓ ดูอาการท่ีมัน ผูกพันกันในระหวางมนุษย หรือระหวางระบบ
การเมืองท้ังหลาย ความพัวพันน้ีมันเปนความพัวพันหลายอยางหลายทาง เชน ประโยชน
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจ จุบนั ๑๑๑
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
มันเก่ียวเน่ืองกัน หรือมันเปนปจจัยใหแกกันและกัน ตางฝายตางตองอาศัยกัน มันก็เปน
เหตุใหระบบการเมืองในโลกมันเก่ียวของกัน ตางฝายตางตองอาศัยกัน มันก็เปนเหตุให
ระบบการเมืองในโลกมันเกี่ยวของกัน จนกระทั้งวา แมเปนขาศึกแกกันมันก็ยังตองพัวพัน
เกย่ี วของกนั
๓.๗.๓ ความหมาย ธัมมิกสงั คมนิยม
ทานพุทธทาสภิกขุเรียกวิสัยทัศนแหงสังคมอันสงบเย็นของทานวา “ธัมมิกสัง
นิยม” สําหรับทานไดแสดงทัศนะตอวา ธัมมิกสังคมนิยมแสดงออกถึงขอเท็จจริงพื้นฐาน
สองประการ คือ หนึง่ เราไมส ามารถหลีเล่ยี ง หรอื หลบหนีสรรพชีวิตตางๆ ท่ีดํารงชีวิตอยูใน
สังคมและตองอยูดวยกันในรูปแบบแหงสังคม โดยใหนํ้าหนักไปท่ีวิถีทางแหงการมี
ปฏิสัมพันธ การทํางานรวมกัน การาชวยเหลือแกไขปญหาและความทุกขไหกันและกัน
เพราะฉะนั้นหลักแหงความสัมพันธหรือความมีปฏิสัมพันธที่ถูกตองจึงเปนหัวใจของสังคม
ของสังคมดังกลาว ลักษณะแหงสังคมเชนที่กลาวมานี้ ในความหมายแหงคําวา “สังคม
นยิ ม”๔๙
สังคมนิยม ก็แปลวา เห็นแกเพ่ือนมนุษยไมเห็นแกตัวเอง ไมเห็นแกตัวกูคนเดียว
เหน็ แกเ พ่อื นมนษุ ย จงึ จะเรียกวา สงั คมนิยม แลว การเหน็ แกสังคมนั้นตองถูกตองดวยเพราะ
ผดิ กไ็ ดเ หมือนกนั การเห็นแกสังคมผิดๆ ก็คุมพวกไปปลนคนอ่ืน หาประโยชนมาใหแกพวก
ตนน้ี มันกผ็ ิดก็เลยตองใชคาํ วา “ธัมมิก” ประกอบอยูดวยธรรมน้ี เขามานําหนาไววา ธัมมิก
สงั คมนยิ ม-ระบบทถ่ี ือเอาประโยชนส ังคมเปนหลกั และประกอบไปดว ยธรรมะ
ธรรมมิกสังคมนิยมที่ถูกตองจะกลับมาก็เพราะวาเราเขาใจส่ิงทั้งหลายอยาง
ถูกตอ งตรงตามขอ เทจ็ จริงของธรรมชาติหรือกฎของธรรมชาติน้ันเอง ต้ังตนดวยขอเท็จจริง
พ้ืนฐานที่สุดท่ีวา ชีวิตนี้มันคือนามรูป หรือกายใจ เราไดยินอยางนี้กันมากทั้งน้ัน แตเขาใจ
ความหมายผิด ไปแยกกายออกจากใจ แยกใจออกจากกาย หรือไปแยกนามออกจากรูป ไป
แยกรูปออกจากนาม ถาเรามองเห็นอยางน้ีวากายกับใจเปนสิ่งท่ีเปนเดียวกันอยางนี้แลวไม
มีทางที่จะเปนวัตถุนิยมไดเลย หรือวาไมบาคล่ังถึงกับวา เอาแตจิตตนิยม มโนนิยมอยาง
เดียวได มันจะถูกอยูตามธรรมชาติ ถาเราจะพูดวาสังคมนิยม นิยมการสังคม ก็อยาเพอไป
คิดถึงสังคมอื่นเลย คิดถึงสังคมของกายกับใจก็แลวกัน กายกับใจนั่นแหละเปนตัวสังคมท่ีดี
มันตองเขากันไดอยางถูกตองจนเรียกวา ธรรมมิกสังคมนิยม คือ กายกับใจมันเขากันได
อยางถกู ตอ งตามทางธรรมหรอื ตามธรรมชาติ
๔๙ สันติกโรภิกขุ, อริยสัจจสี่ แหงธัมมิกสังคมนิยม, (กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๔๒),
หนา ๕๖-๕๗.
๑๑๒ ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมในโลกปจ จุบัน
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานักสวนโมกขพลาราม
หลักธรรมะที่จะใชเปนท่ีพ่ึงแกโลกในทางการเมืองไดน้ัน ขอใหถอดเอามาจาก
หัวใจของทุกๆ ศาสนา ทุกศาสนามีหัวใจเปนสังคมนิยม ทุกศาสนาสอนส่ิงท่ีเปนประโยชน
แกท กุ คนๆ ไมใ ชเพื่อคนเดียว หัวใจศาสนาจงึ เปนลักษณะของสังคมนิยมไมใชป จเจกนยิ ม
ธัมมิกะ แปลวา “ประกอบดวยธรรมะ” ธรรม คือ ความถูกตอง ถูกตองอยางท่ี
ไมม ที างทีจ่ ะผิด สังคมนิยมที่ประกอบอยูดวยธรรมน่ีเปนหัวใจของทุกศาสนาอยูแลวโดยไม
รูสึกตัว ทําไมไมเอาออกมาใช เทออกมาใหหมดทุกๆ ศาสนาเทไหลออกมากองรวมกันเปน
ระบบธัมมิกสังคมนิยมของโลก ใชกับคนทั้งโลก ขอใหหัวใจทุกๆ ศาสนาเทไหลออกมากอง
รวมกนั เปนระบบธมั มกิ สังคมนยิ มสาํ หรบั จะเปนทีพ่ ึ่งในโลกแลวในท่ีสุดจะมองเห็นไดเองวา
เราเปนสหธรรมกิ กนั ได
พุทธทาสภิกขุ ไดสรุปแนวคิดเร่ืองความรวมมือในระบบการเมืองแบบพุทธไววา
ทา ยทสี่ ุดระบบการแขงขันจะตองถูกแทนท่ีดวยระบบแหงการรวมมือ ชุมชนแหงการพึ่งพา
ตนเองในรูปแบบใหมๆ จะตองกลับมา องคกรสรางสรรคแบบใหมจะเปดโอกาสใหเกิดการ
รวมมือซ่ึงกันและกันโดยผานการรับผิดชอบ การเคารพนับถือ การมีสวนรวมและความ
ยนิ ยอมจากสว นรวม “ปญ หาทางสังคม” นน้ั ไมสามารถแยกออกจากสิง่ ที่เราเรียกวา “ทุกข
สว นบคุ คล” อนั เปนปฏิสมั พันพนั ธระหวางความทุกขท่ีแสดงตัวอยูในตัวเราในฐานะปจเจก
ชนซึ่งสงเสริมและรวมกันกอปญหาตอสังคมสวนที่เราสังกัดอยูและในทางกลับกันก็จะเห็น
วาโครงสรางทางสังคมที่แสดงตัวอยูในปญหาของสวนรวมนี้ไดสงผลกระทบตอเราใน
หลายๆ ทางอยางไร ดังนั้นมันจึงสงเสริมใหเกิดความทุกขภายในสวนบุคคล ปฏิบัติตาม
หลักทิศ ๖ โดยถูกตองจักถึงนิพพาน ฉะนั้นเรามองเห็นภาพพจนสักภาพหนึ่งวา พระเจา
พระสงฆอ ยูขา งบน คนมีปญญา ครูบาอาจารย อยูขางบน เขาดึงหัวเราขึ้นมา พวกบาวไพร
กรรมกร คนใชอะไรก็ตาม อยูขางลาง เขาดันชวยดันขึ้นมา และมิตรสหายท้ังหลายอยู
รอบๆ ก็ชวยแวดลอ มสง รอบข้ึนไปโดยรอบ มันกด็ ีเทานั้น มันกเ็ ปน การงาย๕๐
ฉะน้นั ขอใหมีการยดึ ถือหลักของทศิ ทงั้ ๖ ใหถ ูกตอ งเถอะ มนุษยก็จะเปนมนุษยท่ี
กา วหนาไปยงั จุดสูงสดุ ของมนุษยคือ นิพพาน หมายความวาเยือกเย็น เย็นกาย เย็นใจ เย็น
อก เย็นใจ พรอมกนั ไปหมดท้ังโลกนน่ั คือ นพิ พาน
จากทิศท้ัง ๖ นี้อยาใหมีความเลว ความคิดผิด ความรายอะไรเกิดข้ึน ใหข้ึนเกิด
และใหเขา มาแตความถูกตองจากทิศท้ัง ๖ น้ีมนุษยก็รอดตัว มนุษยชาติท้ังหมดก็รอดตัวไม
ตองพูดถึงคนแตละคน เกินจะรอดตัวเสียอีก มันงายกวาน้ีเขาวางไวสําหรับมนุษยชาติ
ทั้งหมดเลยจะรอดตวั เพราะมคี วามถกู ตองเขา มาทุกทิศทกุ ทาง
๕๐ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา ๗๕.
ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมในโลกปจจุบนั ๑๑๓
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานักสวนโมกขพลาราม
จากตวั อยางขางบนนี้เราจะเห็นอานุภาพของธรรมะวาสามารถทําใหระบอบการ
ปกครองทุกระบบใชปกครองหมูคณะใหอยูเย็นเปนสุขไดตามความเหมาะสมแหงกาละและ
เทศะน้นั ๆ พุทธศาสนาเปนท้ังเผด็จการและท้ังประชาธปิ ไตยหรือมิฉะนน้ั กไ็ มเปนเสียเลยทั้ง
สองอยาง เพราะเปนระบอบแหงศีลธรรมและเหตุผล ในกรณีท่ีควรเผด็จการก็เผด็จการ ท่ี
ควรประชาธปิ ไตยก็ประชาธปิ ไตยแลวแตห ลักแหงศีลธรรมของหมูคณะจะระบุลงไปและทํา
อยางไรเสียก็ถูกหรือดีไปหมด เพราะยึดหลักศีลธรรมและมีอํานาจของธรรมเปนเคร่ือง
คุมครองน่ันเอง
เพราะฉะนั้นในทามกลางโลกท่ีกําลังปนปวน เพราะความเสื่อมทรามแหง
ศลี ธรรมดว ยอาํ นาจความหลงใหลในความสุขทางเนื้อหนังถึงกับเลนตลกตอพระเปนเจากัน
อยูอยางซ่ึงหนาซ่ึงตานี้ ขอใหเราพากันสลัดละลัทธิวัตถุนิยมหรือการบูชาความสุขทางเน้ือ
หนังทุกๆ ลัทธิแลวหันหนาไปพ่ึงธรรม บูชาธรรม ยึดถือธรรมเปนที่พ่ึง หวังความสงบสุข
ทางจติ หรือทางมโนธรรมกนั โดยเด็ดขาดเถิด จะไดอะไรๆ มากกวาท่ีจะไดจากความสุขทาง
เนื้อหนงั อยางที่จะเทียบกนั ไมไดเลย
ลัทธิจักรวรรดินิยมยอมเกิดข้ันไดแมภายในครองครัวท่ีพอบานหรือบุคคลใด
บุคคลหนึ่งที่มอี ํานาจหรอื กาํ ลงั ใจครอบครัวนนั้ ตกอยใู ตอ ํานาจความสุขทางเนื้อหนังสวนตัว
โดยไมคํานึงถึงสมาชิกคนอื่นในครอบครัวน้ันเองแลว แสวงหาความสุขสวนตัวดวยพลการ
ทั้งโดยตรงและโดยออม เมื่อคนพวกนี้มีพรรคพวก และมีกําลังมากขึ้นก็เกิดลุกลามไป
ภายในประเทศและไดร บั สมญาวาพวกนายทนุ และเลื่อนฐานนั ดรข้ึนเปนพวกจักรวรรดินยม
ในเม่ือสามารถคืบหนาออกไปไดนอกประเทศ ฉะน้ันเราจะเห็นไดวาลัทธิจักรวรรดินิยมนี้
ยอมกอ กําเนดิ ขึ้นมาจากความเสอื่ มเสียศีลธรรมภายในครองครัว เพราะมีผูเห็นแกความสุข
ทางเน้ือหนังอยางมืดหนามัวตาน่ันเอง ถาตนตออันน้ียังไมถูกกําจังลงไปไดอยูเพียงใด ภัย
จากลัทธิจักรวรรดินิยมก็จะยังคงครอบงําโลกอยูเพียงนั้น เพราะมันเกิดมาจากภายในตัว
บคุ คลคนหน่ึงๆ ซ่งึ ปราศจากศีลธรรมอยางลึกซง้ึ และซับซอนทส่ี ดุ นนั่ เอง๕๑
ในทํานองท่ีตรงกันขาม ลัทธิสังคมนิยมก็ยอมเพาะตัวขึ้นในหมูสมาชิกของครอง
ครัวทเี่ หลอื คอื ทถ่ี กู เอาเปรยี บ ไดแกการตอ ตานหรือการสลัดแอกที่หัวหนาครอบครัวซ่ึงไร
ศีลธรรมครอบให ถาทาํ สาํ เรจ็ ก็หมายถึงความเปนอิสระและไดประความสุขทางเนื้อหนังใน
ระดับที่ตนพอใจ เมื่อลัทธิจักรวรรดินิยมแพรออกจากครอบครัวมาแผซานอยูกลางเมืองได
ลัทธิสังคมนยิ มกแ็ พรอ อกมาไดเหมอื นกันและเทากัน กระทั่งแพรออกนอกประเทศและเมื่อ
ถึงโอกาสก็แบงโลกใหเปนคายๆ กอใหเกิดสงครามระหวางลัทธิของชนช้ันกรรมาชีพ และ
๕๑ พุทธทาสภิกขุ, ขอคดิ วันสาํ คญั , (กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๕๑), หนา ๑๙๖.
๑๑๔ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมในโลกปจ จบุ นั
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานักสวนโมกขพลาราม
ลัทธิของนายทุนข้ึนในโลกอยางยืดเยื้อและซับซอนเหลือท่ีใครๆ จะสางได ดังที่เห็นกันอยู
อยางตําตา ถาเม่ือใดทําความเขาใจกันไดโดยเอาศีลธรรมเปนหลัก ก็จะเกิดความสงบสุข
ข้ึนมา เชนเดียวกับในครอบครัวที่กลับปรองดองกันได ดวยอํานาจของศีลธรรมที่ควรมี
ประจาํ ครอบครัวน้ันเหมอื นกัน
ท้ังจักรวรรดินิยมและสังคมนิยมแมจะแตกตางกันอยางตรงกันขามโดยประการ
อ่ืน แตก็เหมือนหรือตรงเปนอันเดียวกันในขอที่มีความหวัง หรือตกเปนทางของความสุข
ทางเนื้อหนังในอัตราท่ีเทากัน ถาคนมีศีลธรรมหรือยึดหลักความสุขทางจิตใจเปนหลักทั้ง
ลทั ธิจักรวรรดินิยมและสังคมกเ็ กดิ ขึน้ ในโลกไมไ ด เพราะทกุ คนจะขยะแขยงตอความสุขทาง
เน้อื หนังที่กําลงั เยื้อแยงกันอยางสัตวนั้นเสียย่ิงกวาของสกปรกใดๆ ในโลกศีลธรรมจะทําให
คนในโลกไมจ ําตอ งแบงกันเปน คา ยๆ เพ่ือเยื้อแยงอะไร จะทําใหเกิดคนดีข้ึนในโลก จนลัทธิ
เผด็จการหรือประชาธิปไตยก็ตามยอมเหมาะสมที่จะปกครองประเทศหนึ่งตามความ
เหมาะสมของตนดวยกันทั้งน้ัน การพูดวาโลกเหมาะสมแกการปกครองเพียงระบอบเดียว
น้นั เปนการบาหลงั ที่สุดและเปน ไปไมไ ดเ วนเสียแตระบอบเดียวนน้ั หมายถึงศลี ธรรม๕๒
ทานพุทธทาสภิกขุ กลาววา ระบบการเมืองท่ีมีธรรมะจะชวยใหโลกมีความรอด
ระดับสงู สุด คอื รอดทางวญิ ญาณ (ความวางหรือจิตวาง) คือ วิญญาณอยาตองถูกเหยียบยํ่า
ใหจมอยูในกองทุกข ใหวิญญาณมันเปนอิสระรอดจากกิเลส รอดจากความเหยียบย่ําของ
กิเลส ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความเศรา ความอิจฉาริษยาทั้งหลาย
เหลานี้ มันเปน อันตรายท่รี า ยกาจย่งิ กวา เราจะตองรอดจากส่ิงนซ้ี ึ่งสตั วเดรจั ฉานมันรอดอยู
ไดตามธรรมชาติ มนุษยจะตองมีจิตใจอีกระบบหน่ึง ระบบน้ันก็คือพระธรรม ซึ่งไมจําเปน
สําหรับสัตวเ ดรจั ฉาน แตจ ําเปนอยางยิ่งสําหรับมนุษยเรา พอมีธรรมแลวความเปนมนุษยน้ี
ก็จะเปนบุญเปนกศุ ลคอื ดับความทกุ ขได
ตามทศั นะของพทุ ธทาสภกิ ขุ สังคมนิยมเมื่อนํามาใชในความหมายทางจริยธรรม
จะมีความหมายในแงของจิตสํานึกที่เห็นแกสวนรวมซึ่งตรงกันขามกับความเห็นแกตัว ดัง
ขอ ความทีว่ า “สงั คมนิยมมีความหมายวาตอ งเหน็ แกสงั คม เพราะฉะนั้น เห็นแกตัวคนเดียว
ไมได” โดยทานไดยกตัวอยางอุดมการณของพระโพธิสัตวท่ีมุงทําประโยชนเพื่อผูอื่นวาเปน
ภาพสะทอนการทํางานตามเจตนารมณสังคมนิยม “อุดมคติของโพธิสัตวน้ัน…ตอง
ชวยเหลือผูอื่น เสียสละเพื่อผูอ่ืน แมชีวิตของตัวก็สละไดนี่ก็เพราะวาเห็นแกสังคม ในพุทธ
ศาสนาก็ยอมรับอุดมคติอันนี้ ยอมนับเน่ืองเขาไวในพระพุทธศาสนา น่ันก็เพราะมีเจตนา
๕๒ เรอื่ งเดียวกนั , หนา, ๑๙๖-๑๙๘.
ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมในโลกปจ จุบนั ๑๑๕
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานักสวนโมกขพลาราม
ของสังคมนิยม” แมระบบของ “ศีล” หรือ “วินัย” ก็เชนเดียวกัน พุทธทาสภิกขุมองวา
บัญญัติหรือจัดตามเจตนารมณสังคมนิยมของธรรมหรือธรรมชาติ (ธัมมิกสังคมนิยม)
กลา วคือ เปนระบบทสี่ รางขนึ้ เพือ่ ผกู พันใหส งั คมอยรู ว มกันเปนปกแผนตามเจตนารมณของ
ธรรม ดงั ขอความทีว่ า
พระพทุ ธองคทรงบญั ญัติระบบวนิ ัย ทาํ ใหเราเห็นไดทีเดียววา เปนระบบท่ีผูกพัน
กนั ไวเปน พวกเปนหมูไมแยกออกจากกันไป คําวา “สังฆะ” แปลวา หมู หรือ พวก มันไมได
แปลวา เดี่ยว คนเดียว เม่ือมันอยูเปนพวกมันก็ตองมีอะไรเปนเคร่ืองยึดเหนี่ยว หรือมี
หลักธรรมสัจจะอันใดอันหนึ่ง ที่จะทําใหคณะสงฆตั้งอยูไดเปนหนวยเดียว จาก
สวนประกอบของหนว ยหลายรอ นหลายพนั หลายหม่นื หนว ย ดึงเขา เปนสังคมท่ีถกู ตอ ง”
สรุปความวา แนวคิดเกี่ยวกับมิติทางสังคมของพระพุทธศาสนาท่ีพุทธทาสภิกขุ
นําเสนอขึ้นมา ต้ังอยูบนฐานของแนวคิดเร่ืองธรรมหรือกฎธรรมชาติ (อิทัปปจจยตา) ซ่ึง
ทานมองวา ธรรมหรอื กฎธรรมชาตนิ ้ีมีเจตนารมณเ ชงิ สังคมอยู (ธัมมิกสังคมนิยม) เหตุท่ีทาน
มองอยา งน้ีเพราะสรรพส่งิ ในจกั รวาลลวนดํารงอยูโดยการอิงอาศัยกันตามกฎอิทัปปจจยตา
ไมมีสิ่งใดเลยที่สามารถดํารงอยูอยูไดอยางโดดเดี่ยวเปนอิสระ การท่ีมนุษยอยูรวมกันเปน
สังคมหรือยึดถือประโยชนสวนรวมเปนที่ตั้งถือวาดําเนินตามเจตนารมณสังคมนิยมของ
ธรรมชาติ (ทานโตงแยงลัทธิปจเจกนิยมและบริโภคนิยมวาไมดําเนินเจตนารมณของ
ธรรมชาติ) ดังนั้น การที่พระพุทธเจาบัญญัติพระวินัยขึ้นมาก็ดี การต้ังคณะสงฆขึ้นมาก็ดี
หรอื สอนใหชว ยเหลือผูอื่นดวยเมตตาธรรมก็ดี ลวนแตทรงดําเนินเจตนารมณเชิงสังคมนิยม
ทงั้ สนิ้
๓.๘ ดานการศกึ ษา
ทานพุทธทาสภิกขุกลาววา การนําเสนอมหาวิทยาลัยตอหางสุนัขเปนการ
ประทว งการศึกษาในโลกทง้ั โลกที่ไมสมบูรณวามันยังเหมือนกับหมาหางดวน เขาไมพูดส่ิงท่ี
มนุษยควรจะรูใหสมบูรณ คือ ไมไดสอนกัน สอนกันแตหนังสือกับอาชีพ สวนท่ีจะเปน
มนษุ ยกันอยา งไร ท่จี ะสรา งสนั ตภิ าพใหโ ลกนีไ้ ดไมไดสอน
การศึกษาเปนหมาหางดวนอยางไร คือ ประเทศใหญๆ ที่มีอํานาจจัดการศึกษา
ครน้ั มาถึงยคุ ท่วี ัตถนุ ยิ มมนั เจรญิ วตั ถนุ ิยมมีอาํ นาจมาก คําวา “วัตถุนิยม” สมัยน้ี หมายถึง
ความกา วหนาทางวตั ถุ ทมี่ าดงึ เอาจติ ใจของคนไปหลงในทางวัตถเุ สียหมด น่ีเหมือนกับดักที่
คมงับเอาหางหมาดวนไป ชาติท่ีจัดการศึกษาท่ีพายแพแกอํานาจของวัตถุเขี่ยธรรมะหรือ
๑๑๖ ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมในโลกปจ จบุ ัน
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นักสวนโมกขพลาราม
ศาสนาออกไปจากระบบการศึกษา น่ีเราเรียกวา “กับ” คือ วัตถุนิยมงับเอาหางหมาตัวน้ัน
ขาดไปแลวเปนหมาหางดวน ชาติท่ีจัดการศึกษาอยางหมาหางดวน ก็ชักชวนชาติอ่ืนๆ ให
จัดการศึกษาอยางหมาหางดวน ชาติอื่นๆ ก็พลอยหลงใหลในอํานาจของวัตถุนิยม เข่ีย
ธรรมะหรอื ศาสนาออกไปจากระบบการศกึ ษา เปนการจัดการศึกษาอยางหมาหางดวนมาก
ย่ิงข้ึนทุกที ประเทศเล็กๆ ทนไมไหวก็เอาอยางตามอยางจนถึงกับวาการศึกษาท้ังโลกมัน
กลายเปนระบบการศึกษาหมาหางดวนไปทัง้ น้นั
เมื่อคนสวนมากในโลกมึนเมาในทางในทางวัตถุธรรมเสียแลว การศึกษาซึ่งจัด
โดยคนในโลกน้ันมันก็ตองเปนอุปกรณเพื่อวัตถุประสงคอันน้ันไป การศึกษาจะกาวหนา
อยางไรมันก็เปนไปเพื่อความเจริญทางวัตถุ และเพื่อเปนทาสทางวัตถุกันมากขึ้นเปนสวน
ใหญ ปญหาเกี่ยวกับเด็กท่ีเราสอนเพียงแตวาใหเขารูหนังสือนี้จะไมพอจะตองสอนความ
เปนมนุษยปลูกฝงความเปนมนุษยลงไปดวย ท่ีมันผิดมาก ผิดอยางใหญหลวงก็คือ เราจะ
สอนเขาแตใ หรูห นงั สืออยางเดยี ว ไมมีกาทาํ ใหจิตหรือวญิ ญาณสงู ขน้ึ
สอนกันอยางไรจนในโลกนี้ไมมีบุญไมมีบาป ไมมีบิดามาร ไมมีศาสนา ไมมีพระ
เจา เรากําลังมีวิชาท่ีสอนอยูในสถานท่ีศึกษาเพ่ือสอนกิเลสตัณหาของมนุษย เราไมมีวิชาท่ี
จะเขนฆากิเลสตัณหาของมนุษย นี่เรียกวา โลกกําลังมุดอยูภายใตความมืดสีขาวหรือแสง
สวางสีดํา เราจงชวยกันรีบกระทําใหศีลธรรมกลับมาดวยการปรับปรุงวิชานั้นเสียใหมให
กลายเปน วชิ ชาโดยเร็ว
สมัยกอนโนนการศึกษานี่แฝดอยูกับศาสนา เพราะวาพระเปนผูจัดการศึกษาใน
เอเชียก็ดี ในยุโรปก็ดี ท่ีไหนก็ดี พระเปนผูจัดการศึกษา ในสมัยดึกดําบรรพยังแฝดกันมา
เรื่อยๆ ตอมาการศึกษาตกอยูในมือของชาวบานมากข้ึนๆ ชาวบานก็แยกการศึกษาออกมา
จากการศาสนา ที่สุดก็คือแยกศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา โดยเห็นวาเปนคนละเร่ือง
กัน แตทานพทุ ธทาสภกิ ขุกลบั มองวา เรื่องศาสนากับการศึกษาจะตองไปดวยกัน ไมควรจะ
แยกออกจากกนั อยางเดด็ ขาด๕๓
๓.๘.๑ ขอ ผดิ พลาดของวงการศึกษาปจจุบนั
การศึกษาน้ีมันพายแพแกเร่ืองที่มนุษยเขากําลังประสงคจํานงหวัง ตกไปเปน
เครื่องมือของการศึกษา การศึกษามันดีเกินไปอยางไรเสียแลว คือใหอิสรภาพเสรีภาพแก
ความตองการของนักศึกษานั้น ไมมีขอบเขต เรียนกันมากจนไมเขารูปของสันติภาพ มันก็
เลยเปนเรื่องของเกะกะระราน ย่ิงเรียนย่ิงเปนแมงปองท่ียกหูชูทาง มันไมมีการส่ังสอน
๕๓ พุทธทาสภิกขุ, การศึกษากับศีลธรรม, (กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๔๙), หนา ๕๖-
๕๙.
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจจบุ ัน ๑๑๗
พระมหามิตร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
อบรมเรื่องกตัญูตกเวที วาอิสรภาพเพื่อแสวงหาความสุขทางเน้ือหนัง ใครมือยาวก็สาว
เอา ใครกอบโกยไดเทาไรก็กอบโกยไป เปนเร่ืองประชาธิปไตย ใหลุมหลงในความเปน
อนาจาร เร่ืองศาสนาเรอ่ื งจรยิ ธรรมนี้ ออกไปเปนเร่ืองสว นบคุ คลหาเอาเองตามใจชอบ ไมมี
ความสัมพันธกันกับคณะสงฆแหงศาสนาน้ันๆ กลายเปนการคาหรืออาชีพไปแลว ฝาย
ศาสนาก็เลยตามกนั การศกึ ษาของชาวบานไปเสียเลย
การศึกษาเวลามันไปตามกนของวัตถุนิยม คือหลงใหลในความสนุกสนาน
เอร็ดอรอยทางเน้ือทางหนังอยางน้ี การศึกษามันตกเปนทาสของวัตถุนิยม ศาสนาก็ไมมีที่
สําหรับจะเขามาอยูในการศึกษา แมแตวัฒนะธรรมที่เน่ืองดวยศาสนาก็ไมมีที่ เรามี
การศึกษาชนิดท่ีกําลังเปนขาศึกแกธรรมะ ท่ีจะคุมครองโลกใหสงบเย็น แลวการศึกษาของ
เรามนั ยงุ กนั แตเ รอ่ื งเนือ้ หนงั ใหห าความสุข สนุกสนานเอร็ดอรอ ยทางเน้ือหนัง เพราะฉะนั้น
การศึกษาเด๋ียวนี้ก็คือ อาชีพ วิชาชีพ หรือการกระทําท่ีจะใหไดมาซ่ึงอํานาจหรือกําลัง ท่ีจะ
ประกอบอาชีพ คือ หาเงินใหมากที่สุด ไมมีใครจัดการศึกษาเพื่อศีลธรรมเลย เพราะมองไม
เห็น หรือมองขาม วาศีลธรรมน้ันแหละคือรากฐานของสันติภาพในโลก เพราะวาแมจะ
เจริญดว ยเศรษฐกิจ ดวยปจจัยอะไรตางๆ มีการเมือง มีอะไรดีหมด ก็ไมเห็นทําใหโลกนั้นมี
สนั ติภาพได๕ ๔
ขอแกไขการศึกษาขอแรกท่ีสุด ก็คือตองยอมถอยหลังเขาคลองที่น้ีอีกคลองท่ีวา
คลองของธรรมชาติ นี้ไมตองเก่ียวกับธรรมะ หรือศาสนาเกี่ยวกับธรรมชาติแทๆ เราก็กําลัง
ทําเกินขอบเขต ที่ควรจะกระทําตามหลักของธรรมชาติ หรือตามกฎเกณฑของธรรมชาติ
หรอื รกุ ลา้ํ ธรรมชาตมิ ากเกนิ ไปแลว จนกลายเปน ทาํ ลายธรรมชาติอยทู ุกไมเวน ทุกวัน
ขอท่ีสอง การปรับปรุงศีลธรรมน้ันตองปรับปรุงในทางที่ตองไมหลงอารยธรรม
วตั ถุนิยมขอ ท่ีสองน้ีวา ตอ งไมห ลงอารยธรรมของวตั ถุนยิ มจนไปบชู าวตั ถนุ ยิ ม
ทุกศาสนาสอนความเปนคน ศาสนาท่ีมีอยูในโลกนี้ในฐานะเปนศาสนาแลว ไมมี
ศาสนาไหนสอนเพื่อกู เพ่ือของกู การศึกษานั้นลวนเปนไปแตเพ่ือความเปนมนุษยที่เต็ม
เปยมเปนมนุษยที่สมบูรณ เพื่อเขาถึงความเปนอันเดียวกันกับพระเปนเจาบาง หรือวาเพ่ือ
นพิ พานโดยสมบูรณบ าง อยา งพวกพุทธบรษิ ัทเรามีการศึกษาเพื่อพระนพิ พาน
๓.๘.๒ สิง่ ทีพ่ ระพทุ ธเจาสอน
เรียนเฉพาะที่พระพุทธเจาทานขอใหเรียน เรียนเฉพาะเทาท่ีพระพุทธเจาทาน
ของใหเรียนอยางนี้ เรียนกํามือเดียว โดยเปรียบเทียบวา ความรูทั้งหมดที่ตถาคตไดตรัสรู
นั้น มีปริมาณมากเทากับใบไมท้ังปา ท้ังดง ทั้งประเทศ แตวาท่ีเอามาสอนเธอทั้งหลายน้ี
๕๔ พุทธทาสภกิ ข,ุ การศกึ ษากบั ศีลธรรม, (กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๔๙), หนา ๕๖.
๑๑๘ ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจจุบัน
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
เทากับใบไมกํามือเดียว พระพุทธเจาทานตรัสวา ปุพฺเพ จาหํภิกฺขเวเอตรหิ จ ทุกฺขฺจ
เวปฺญาเปมิ ทุกขสฺส จ นิโรธํ-ดูกอนภิกขุท้ังหลาย ในกาลกอนก็ดี เด๋ียวน้ีก็ดี เราบัญญัติ
สอน เฉพาะเรอื่ งความทุกข กบั เร่อื งความกบั ทุกขเทาน้ัน ก็หมายความวา ถามันไมเก่ียวกับ
ความดับทุกขละก็ไมต องสอน ไมทรงเอามาสอนแลว เรากไ็ มต อ งเรยี น
เราจะตอ สอู ยใู นโลกไดโดยท่ไี มตองเปน ทุกขเพราะทุกอยางมันถูกตอง และแมวา
เราจะจัดโลกใหเปนไปตามความตองการของเราไมได คือโลกมันจะเลวรายสุดเหว่ียง
อยางไร เราก็ยังไมเปนทุกข ถาเรารูจักทําจิตใจตามหลักท่ีพระพุทธเจาสอนไว คือวาจะยิ้ม
อยูได แมในกลางกองเพลิง กลางกองไฟ จนกระท่ังดับจิตดวงสุดทาย มันก็ยังยิ้มอยูได
นัน่ เอง
หลักสําคัญตองจัดการศึกษาใหคนรูจักบังคับตนเองได เอาละทีน้ีก็จะสรุปความ
ตอนทายไววา จะเอาการศึกษาของพระพุทธเจามาประยุกตกับการศึกษาของคนในโลกยุค
ปจ จบุ ันนไี้ ดอยา งไร แตเ พียงสัน้ ๆ อกี ครง้ั หน่ึง ใหม ีการศึกษาทีเ่ ปนไปเพ่ือการบังคับตัวเองมี
ระเบียบที่เครงครัด ในการท่ีบังคับตัวเอง มันมีแตการปลอยไปตามอํานาจของกิเลสและ
การศึกษาก็ใหโอกาสมากเกินไป แตมันก็เพิ่มการไมบังคับตัวเอง คือ การปลอยไปตาม
อาํ นาจของกิเลสมากขน้ึ หลักพระพุทธศาสนาจึงมีหลักท่ีสําคัญขอแรกที่ปกลงไปอยางแนน
แฟนวาตองบังคับตัวเองมีการบังคับตัวเองใหอยูในรองรอยของส่ิงที่เรียกวาพระธรรม พระ
ธรรมน้ีก็ไมใ ชอะไร นอกจากความถูกตองตามกฎเกณฑข องธรรมชาติ
๓.๘.๓ วธิ เี รยี น วธิ สี อน
ดานการศึกษา: เปนพระภิกษทุ ี่เพียบพรอมไปดว ยศีลาจารวัตรและภูมิปญญาอัน
สูงยิ่งในสังคมไทย ทานเปนรูปหน่ึงท่ีรอบรูทางการศึกษาและมองเห็นขอบกพรองของ
การศึกษาของไทย และไดเรียกการศึกษาในโลกปจจุบันวา “การศึกษาหมาหางดวน”
พรอมท้ังเรียกรองใหปญญาชนและผูเกี่ยวของในดานการศึกษาทุกทานมาชวยกันตอหาง
สุนัข ทานพุทธทาสมองวาการศึกษาตามแบบปจจุบันละเลยบทเรียนทางศีลธรรม
การศกึ ษาทีป่ ราศจากการปลูกฝงจริยธรรม จึงเปรียบเหมือนสุนัขหางดวนท่ีพยายามหลอก
ผอู ื่นวา สุนัขหางดวนเปนสุนัขที่สวยงามกวาสุนัขมีหาง ทานจึงพยายามช้ีใหเห็นวาสุนัขที่มี
หางเปนสนุ ัขท่สี วยงาม การศึกษาจงึ ตองเนน บทเรียนทางศีลธรรม การศึกษาที่ไมมีบทเรียน
ทางศีลธรรม ไมเนนภาคจริยศึกษายอมไรประโยชนและอาจจะเปนอันตรายตอสังคมอีก
ดวย ทานพุทธทาสวิเคราะหวา การศึกษาที่เอาแบบตะวันตกและมุงพัฒนาวัตถุน้ัน เปน
การศึกษาท่ีเนนความรูเพื่อความรู ซ่ึงมักใหผลเปนสภาพ “ความรูทวมหัวเอาตัวไมรอด”
เปนเรื่องเก่ียวกับทฤษฎีเปนปรัชญา เปนหลักการใชเหตุผล แตไมมีประโยชนในทางปฏิบัติ
ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจจุบนั ๑๑๙
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
ไมสามารถแกปญหาสวนตัว ปญหาสังคม และทําใหผูเรียนพนทุกขได แมแตการเรียนพุทธ
ศาสนาในปจจุบันก็เปนการเรียนแบบปรัชญา ไมใชเรียนแบบศาสนา เปนการฝกการคิด
เหตุผล และการพลิกแพลงทางภูมิปญญาแตไมทําใหเขาใจโลกและชีวิตตามความเปนจริง
แมแตการศึกษาของบรรพชิต ทานพุทธทาสก็เห็นวาเปนการศึกษาที่สูญเปลา เชน
การศึกษาของสามเณรก็มิไดมุงพัฒนาจิตตามคําส่ังสอนของพระพุทธเจา สามเณรเองก็
ตองการศึกษาเชนเดียวกับนักเรียนฆราวาส ใหมีความรูแบบฆราวาส ระบบสามเณรจึงสูญ
เปลาเชนเดียวกับการศึกษาของคนโดยท่ัวไป ซึ่งสรุปไดวาตามทัศนะของทานพุทธทาส
ระบบการศกึ ษาของไทยมุง สงเสรมิ กิเลสตัณหาของมนษุ ย หากจะเปนประโยชนบางก็เพียง
ทาํ ใหป ระกอบอาชีพและมีรายได ซ่ึงก็ไดมาเพื่อจับจายสนองกิเลสตัณหาของมนุษยเทาน้ัน
มไิ ดเปนไปเพอ่ื ความกา วหนาทางสติปญญาและเพ่ือความเจริญของจิตใจ ดังท่ีทานไดกลาว
ปรารภวา
“ดกู ารศกึ ษาชนั้ อนบุ าล ดูการศกึ ษาชน้ั ประถม ดูการศึกษาชน้ั มัธยม ดูการศึกษา
ชน้ั วิทยาลัย มหาวิทยาลยั หรือถามันจะมีอีก เปนบรมมหาวิทยาลัยอะไรก็ตามใจ มันก็เปน
เร่ืองใหลุมหลง ในเรื่องกิน กาม เกียรติ ท้ังนั้น อยางดีก็ใหสามารถในอาชีพ ก็ไดอาชีพแลว
ไดเงินแลว ใหทําอะไร? ใหไปบูชาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ มันไมมีอะไรมากไปกวา
น”้ี ๕๕
หลังจากท่ีทานไดวิจารณระบบการศึกษาของโลกปจจุบันแลว ทานไดเสนอ
แนวทางการศกึ ษาทถ่ี ูกตอ ง อุดมการณท างการศึกษาดังกลา วอาจจะประมวลมาไดเปนขอๆ
ดงั นี้
๑. การศึกษาท่ีถูกตองจะตองมีการพัฒนาจิตวิญญาณใหมีพลังสามารถควบคุม
พลังทางวัตถุ ทางรางกายได กลาวคือ ชีวิตมนุษยตองมีความสมดุลท้ังทางดาน
ความสามารถทางวัตถุ ทางวิชาชีพ และความมีปญญาและคุณธรรม เปรียบเสมือนชีวิตที่
เจริญกาวหนาและมีความสุขจะตองเทียมดวยควาย ๒ ตัว คือ ตัวรู และตัวแรง โดยมีตัวรู
นาํ ตวั แรงไปในทางท่ีถูกตอง
๒. การศึกษาท่ีถกู ตอ งจะตอ งทําลายสัญชาติญาณอยางสัตวที่แฝงอยูในตัวมนุษย
ใหได ทา นเหน็ วา มนุษยเราเกดิ มาพรอมกับสญั ชาติญาณอยางสัตว เตม็ ไปดวยความเห็นแก
ตวั สติปญ ญาของมนษุ ยก็เปนไปเพื่อความเห็นแกตัว ดังน้ัน ความเห็นแกตัวของมนุษยราย
๕๕ พุทธทาสภิกขุ, ธรรมบรรยายตอหางสุนัข, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมทาน, ๒๕๒๕), หนา
๒๕.
๑๒๐ ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจจุบัน
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นักสวนโมกขพลาราม
กาจมาก “เพราะฉะน้ัน การศึกษาของเราก็ควรมุงที่จะประหัตประหารสัญชาตญาณอยาง
สัตวน ้นั ใหสิน้ ไป ใหม กี ารประพฤตกิ ระทาํ อยางมนุษยท่ีมใี จสงู เกดิ ข้นึ แทน”
๓. การศึกษาท่ีถูกตองจะตองใหมนุษยไดส่ิงที่ประเสริฐที่สุดที่มนุษยควรไดรับ
นั่นก็คือ การสามารถควบคุมกิเลสตัณหาและพลังทางวัตถุได ทานเห็นวาตามอุดมคติของ
พุทธศาสนานิยมอุดมคติ คือ นิยมสิ่งท่ีดีท่ีสุดที่มนุษยควรจะไดรับ โดยไมคํานึงถึงวาสิ่งน้ัน
มนั จะกินไดหรอื ซ้ืออะไรกินได หรือจะเปนลาภสักการะหรือไม แมเปนนามธรรมแตก็สงผล
ทางจิตใจ “จิตใจสําคัญกวารางกาย คือนํารางกายใหเปนไปตามความมุงหมายของอุดม
คติ”
๔. การศึกษาท่ีถูกตองจะตองทําใหผูศึกษามีจิตใจรักความเปนธรรม มีความ
สาํ นึกท่จี ะประพฤติปฏิบัติในสิ่งท่ีถูกตองและเพ่ือธรรมะ “การศึกษาน้ันเพ่ือธรรม เพื่อบรม
ธรรม เพ่ือธรรมาธิปไตย ใหธรรมะครองโลก ฉะน้ัน การศึกษาน้ีไมใชเพ่ือความรอด หรือ
ความเอาตวั รอดเปนยอดดี”
๕. การศึกษาที่ถูกตองจะตองทําลายความเห็นแกตัวของมนุษย ซึ่งจะเปนไปได
โดยวางแนวจรยิ ศกึ ษา ใหส ามารถนอมนําผูศ ึกษาใหควบคุมตนเองใหได “จริยศึกษาตองรีบ
ทาํ ลายความเห็นแกต วั อนั น้มี นั เปนเมฆหมอกท่ีเขามากลบเกลื่อนหรือปด บังตัวจรยิ ศึกษา”
๖. การศึกษาทีถ่ ูกตอ งจะตองสงเสริมใหผูศกึ ษา มีปญญาหย่ังรูสามารถเขาใจโลก
และตนเองอยางถูกตอง จนสามารถพนทุกขได ทานอธิบายวา ปญญาที่เปนคุณสมบัติของ
จิตเดมิ แท เรียกวาโพธิ (ธาตุร)ู ปญ ญาน้ีทาํ ใหเกดิ ศลี ธรรมของจติ ทําใหจ ติ มีระเบียบและอยู
ในสภาวะปกติ เพื่อใหบุคคลมีชีวิตอยูไดอยางสงบสุข การศึกษาตามแนวน้ีจึงตองเนนพุทธิ
ศึกษาในแงท่ีสงเสริมปญญาอยางแทจริง กลาวคือ ทําใหผูศึกษามีความรูเร่ืองที่สําคัญท่ีสุด
ของชีวติ
๗. การศึกษาท่ีถูกตองจะตองทําใหผูศึกษามีความสํานึกในหนาท่ี ถาทวงสิทธิ์ก็
ทวงเพอื่ จะทําหนา ท่ี ไมใชท วงเพอ่ื ตอ งการเรียกรองจะเอาน้ันเอาน่ี และหนาท่ีก็จะตองเปน
ความถกู ตอ ง บรสิ ทุ ธิ์ ไมใ ชความเห็นแกตัว และการศึกษาท่ีถูกตองจะตองอาศัยครูในอุดม
คติ ผูที่อุทิศตนเพ่ือใหการศึกษาและสรางเสริมคุณธรรมแกผูเรียน ในหัวใจของครูอุดมคติ
นั้น จะตองมีปญญากับเมตตาเต็มแนนอยูในหัวใจ ปญญาคือวิชาความรู ความสามารถใน
หนาท่ีที่จะสองสวางใหกับศิษย นี้เรียกวาปญญาอยางหน่ึง เมตตาคือความรัก ความเอ็นดู
กรุณาตอศิษยของตนเหมือนวาเปนลูกของตน” เม่ือต้ังอุดมการณทางการศึกษาใหถูกตอง
เหมาะสมแลว ลําดับตอไปก็ตองดําเนินการสอนหรือระบบการศึกษาท่ีถูกตอง ตามทัศนะ
ของทานพทุ ธทาส เชน
ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมในโลกปจ จบุ ัน ๑๒๑
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
๑) ลักษณะการศึกษาที่ถูกตอง จะตองจัดใหมีพุทธิศึกษา จริยศึกษา พล
ศึกษา และหัตถศึกษา ในความหมายท่ีแทจริง พุทธิศึกษาจะตองสอนความรูเรื่องของชีวิต
วาเกิดมาทําไมโดยตรง จริยศึกษาจะตองเนนท่ีความมีระเบียบวินัยของนักเรียน ของความ
เปน มนษุ ย บทบาทหนา ทีข่ องชายหญงิ ใหผูศึกษาเพียบพรอมไปดวยคุณธรรม เชน มีความ
มัธยัสถ มีหิริโอตตัปปะ เปนตน พลศึกษาตองพัฒนากําลังทางจิตเพ่ือใหบังคับกําลังกายให
เดินไปถูกทาง กําลังทางจิตในพระพุทธศาสนาคือสมาธิ สมาธิในพระพุทธศาสนาจะตอง
ประกอบไปดวยองคประกอบ ๓ อยาง คอื
(๑) จิตสะอาด (pure หรือ clean) ไดแกจิตที่ไมเจือดวยกิเลสและ
เคร่ืองเศราหมองทัง้ ปวง
(๒) จิตมนั่ คงทส่ี ดุ หรอื ตง้ั ม่ันดี (Steady หรือ firm)
(๓) จิตท่ีวองไวในหนาที่ของมันอยางท่ีสุด (Activeness) สวนหัตถ
ศึกษาตามลักษณะท่ีถูกตอง จะตองอาศัยพุทธิศึกษา จริยศึกษาและพลศึกษา ตามแนว
ดังกลาวมาเปนพืน้ ฐาน เพอื่ ใหเ กิดความเชีย่ วชาญทางฝมือและความสามารถในอาชีพอยาง
แทจ รงิ
๒) ลกั ษณะการศึกษาที่ถูกตองจะตองศึกษาใหเห็นความทุกข เหตุของทุกข
และความดับทุกข ไมใชศึกษาแตภาคทฤษฎี แตตองใหผูศึกษาลงมือปฏิบัติใหเห็นจริงตาม
ประสบการณ จะตองเนนการฝกฝน การปฏิบัติมากกวาภาคทฤษฎี ตองเรียนชีวิต เรียน
ธรรมชาติ เรียนใหรูจักตนเองเพื่อขมกิเลสและสัญชาตญาณอยางสัตวใหได และพัฒนา
คณุ ธรรมประจําใจใหง อกงามยิง่ ข้นึ
๓) ลักษณะการศึกษาท่ีถูกตองจะตองใหผูศึกษารูจักศาสตรของพุทธบริษัท
ใหถูกตอง ศาสตรในที่นี้แปลวาเครื่องตัด หมายถึงตัดส่ิงท่ีเปนอุปสรรคตอความเจริญหรือ
ตัดความโงเขลา ซ่ึงในที่สุดก็จะเหลือความจริง ความดี ความงาม ความถูกตองและความ
ยุติธรรม ศาสตรของพุทธบริษัทมี ๓ ศาสตร คือ พุทธศาสตร ธรรมศาสตร และ
สังคมศาสตร ศาสตรทั้งสามน้ีเปนไปเพื่อความดับทุกขนั่นเอง ทําใหบุคคลสามารถอยูอยาง
สันติสุข และอยูรวมกันกับผูอ่ืนไดอยางสงบสุขทั้งกลุม ลักษณะการศึกษาที่ถูกตองตาม
แนวคิดทานพุทธทาส สรุปไดวา “ขอใหทุกคนถือวา มีมหาวิทยาลัยในรางกาย จงเขา
มหาวิทยาลัยน้ีกันทุกคน ดวยการเปนลูกศิษยพระพุทธเจาผูสั่งสอนเพื่อใหไดมาซึ่งบรม
ธรรม เพื่อใหมนุษยกลาวไดวามนุษยไดรับส่ิงที่ดีท่ีสุดที่มนุษยควรจะไดรับ ไมเสียทีท่ีเกิด
เปน มนษุ ยเ ลย แลวก็พยายามใหเปน เร่อื งของการปฏบิ ัติอยเู รอ่ื ยไป อยา ใหเ ปน เร่ืองเพอทาง
ปริยตั ิ หรือทางหลกั วิชามากไป”การศกึ ษาตามแนวทที่ า นพุทธทาสเสนอไวน้ัน จะกอใหเกิด
ประโยชนแกผ ูศึกษา คือ
๑๒๒ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจจบุ นั
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
(๑) ทําใหมีความสํานึกในบุญคุณของชาติ เพราะมีหลักสังฆศาสตร
อันทําใหประชาชนอยูรวมกันไดอยางมีความสามัคคีกลมเกลียวเปนอันหน่ึงอันเดียวกัน
และทําใหเห็นความสําคัญของความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย เพราะมีการ
ฝกฝนใหสาํ นกึ ในหนาท่ี๕๖
(๒) ทําใหพนทุกขได เพราะมีสัมมาทิฏฐิ เนื่องจากไมยึดมั่นถือม่ันใน
อัตตา ในความเห็นแกตัวแตถายเดียว ทําใหไดประโยชนจากความถูกตองดีงาม เพราะไม
เปนทาสของกิเลสตัณหา และทําใหเห็นคุณคาของศาสนาในการแกปญหาทางใจ และทํา
ใหไดรับประโยชนจากเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหมไดอยางเต็มท่ี เพราะมีปญญาและ
คุณธรรมทางจติ เปนผูค วบคมุ
(๓) ทําใหมองเห็นความไมเทาเทียมกันของมนุษยตามกฎแหงกรรม
จึงไมกอใหเกิดความวุนวายในสังคม ทําใหรูจักแยกความแตกตางระหวางความหมายอัน
แทจริงและความหมายทช่ี าวโลกท่วั ไปใชกัน กลาวคอื ภาษาธรรมกบั ภาษาคน เพื่อใหเขาใจ
โลกตามความเปนจริง
(๔) ทําใหส ังคมมีสันตสิ ุขไมเ บียดเบียนกัน ทําใหนายทุนอาจกลายเปน
เศรษฐใี จบุญ และกรรมกรกลายเปนคนขยนั ขนั แข็ง ประพฤตธิ รรมะ ทาํ ใหค ําวา “นายทุน”
และ “กรรมาชีพ” หายไปจากโลกดวยวิธีของศีลธรรม ประโยชนอันพึงไดจากแนวทาง
การศึกษาของพุทธทาสภิกขุ อาจจะสรุปไดในทัศนะของทานวา สันติสุขหรือสันติภาพอัน
ถาวรของโลกนั้น ยอมข้ึนอยูกับการเขาใจอันถูกตองของคําวา “การศึกษา” ถาหากวา
การศึกษาไดรับการพิจารณาจนเขาใจถูกตอง และไดดําเนินไปอยางถูกตองตรงตามท่ีเปน
จริง โลกก็จะดีกวานี้ คือจะกลายเปนโลกของพระอริยเจา ท่ีปราศจากความทุกขโดย
ประการทั้งปวง โดยไมตองมีทหาร ไมตองมีตํารวจ ไมตองมีเรือนจํา โรงเรียนก็แทบจะไม
จําเปน เพราะวาอาจจะสั่งสอนกันไดทุกหนทุกแหง เพราะคนประพฤติดีอยูท่ีเนื้อท่ีตัวเปน
ตวั อยา ง๕๗
๕๖ พทุ ธทาสภกิ ขุ, การศกึ ษาคอื อะไร, (กรุงเทพมหานคร: สมชายการพิมพ, ๒๕๒๗), หนา ๑๗.
๕๗ พทุ ธทาสภิกขุ, เยาวชนกบั ศีลธรรม, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมทาน, ๒๕๒๒), หนา ๒๔.
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมในโลกปจ จุบนั ๑๒๓
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
๓.๙ ปณธิ าน ๓ ประการ
ทานพุทธทาสภิกขุ ไดกลาวถึงปณิธาน ๓ ประการโดยมีสาระสาํ คัญดงั น้ี
ประการท่ี ๑ ความพยายามเขาถึงหัวใจศาสนาของตน
ไดแกเขาถึงหัวใจแหงศาสนาของตน แลวแตวาจะนับถือศาสนาอะไร ศาสนาใน
ทีน่ ี้ หมายถงึ ศาสนาที่ถูกตอง ไมใชศาสนาวัตถุนิยมไมใชศาสนาเงิน ไมใชศาสนากามารมณ
แตเ ปนศาสนาที่ถูกตอง ท่ีมีอยูสําหรับคุมครองโลก แตละศาสนาก็มีหัวใจคือความมุงหมาย
สว นสําคัญ นเี้ รียกวา จะตรงกันทุกศาสนาก็ได คือเพ่ือสันติสุขของโลก ดวยเครื่องมือความ
ไมเ ห็นแกตัว ทุกศาสนามุงหมายจะกําจดั ความเหน็ แกตัว
ประการที่ ๒ คือ การทําความเขาใจระหวา งศาสนา
ไดแกการทําความเขาใจระหวาง ก็เพ่ือแกปญหาคือการกระบทกระท่ังกัน ใน
ระหวางศาสนา ซึ่งมีผลมาถึงบุคคลแตละคน เดี๋ยวนี้ก็มีปญหาเก่ียวเนื่องกับศาสนาตางกัน
ทางการเมืองบาง ทางภายในหรือสวนบุคคลบาง ก็มีอยูแลวก็เปนปญหาใหญเหมือนกัน ที่
เปนปญหาทางการเมืองเกิดจากพลเมืองถือศาสนาตางกัน วิวาทกันอะไรทํานองนี้ เรา
อาจจะขจัดปดเปาปญหา ประเภทน้ีโดยเฉพาะออกไปไดโดยการทําความเขาใจระหวาง
ศาสนา
ประการที่ ๓ คอื การนาํ โลกออกมาเสยี จากวัตถนุ ิยม
ไดแกการนําโลกออกมสาเสียจากวัตถุนิยม เปนเร่ืองที่ตองสนใจที่สุดคือ สิ่งท่ี
เรียกวา วัตถุนิยมน่ันแหละ คือตัวศัตรู อันรายกาจของมนุษยมากกวาส่ิงใด โดยเฉพาะใน
โลกปจจุบันน้ีวัตถุนิยมกําลังครองโลก กําลังจับจิตใจของมนุษยทุกคนในโลก บีบบังคับให
ดิ้นรนไปในทางของความลุมหลงวัตถุ ซึ่งเปนเหตุใหเกิดความเห็นแกตัวและสงเสริม
ความเห็นแกตวั ใหยง่ิ ข้นั ไป โลกจึงเตม็ ไปดวยความเห็นแกต ัว เพราะพอใจในรสของวัตถุ ลุม
หลง ยงิ่ กวาส่ิงใดจงึ มีความเหน็ แกตัวเกดิ ข้ึนเทา กบั ความลมุ หลในวตั ถุ๕๘
สรุป ปณิธาน ๓ ประการของทานพุทธภิกขุ ถือวาเปนงานชิ้นสําคัญที่มีเน้ือหา
นาสนใจวา มหาปราชญเชนทาน มองโลกปจจุบันและโลกอนาคตอยางไร ศาสนาจะชวย
โลกนี้เกิดสันติภาพไดอยาง โดยทานพุทธทาสภิกขุช้ีใหเห็นวา ถาคนไมเขาถึงหัวใจของ
ศาสนาก็จะเขาใจกันไมได ถายงั หลงดว ยวัตถุนยิ ม กจ็ ะไมเ ขาถึงหัวใจของศาสนา ดวยเหตุน้ี
๕๘ พุทธทาสภิกขุ, ปณิธาน ๓ ประการ, (กรุงเทพมหานคร: สุขภาพใจ, ๒๕๔๙), หนา
๗๘,๑๑๗-๑๑๘.
๑๒๔ ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจจบุ ัน
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
ปณิธาน ๓ ประการของทานพุทธทาสภิกขุจึงเกิดขึ้นเพ่ือเปนที่พึ่งแกโลกท้ังหมดหรือเพื่อ
สรา งสนั ตใิ หแ กมวลมนุษยชาตอิ ยา งแทจรงิ
๓.๑๐ ขบวนการเผยแผพระพุทธศาสนาของสํานักสวนโมกขพลาราม
การเผยแผพระพุทธศาสนาของนํานักสวนโมกขพลารามมีรูปแบบมากมาย เชน
คณะธรรมทานมีกิจการ ๙ ประการ คือ ธรรมทานมูลนิธิสวนโมกพลาราม ธรรมาศรม
นานาชาติ ธรรมาศรมธรรมทูต คายธรรมบุตร ธรรมาศรมมาตา หนังสือพิมพพุทธศาสนา
กองตาํ รวจคณะธรรมทาน และมลู นธิ พิ ุทธทาส
วัตถุธรรมประเภทสถานที่ คือ สวนโมกขพลาราม คายธรรมบุตร ธรรมาศนานา
ชาติ ธรรมาศรมธรรมทูต และธรรมาศรมธรรมมาตา นอกจากน้ันการตั้งโรงมหรสพทาง
วิญญาณเปน สถานที่เปรียบเสมือนหองสมุดสอนธรรมะที่สามารถใชประโยชนครบวงจร ใช
เปนสถานบรรยายธรรม ใชสําหรับการฉายภาพน่ิง ฉายภาพยนตรเกี่ยวกับธรรมะ ชํ้าหรับ
บันทึกภาพฝาผนังโดยนําเอาขอธรรมสําคัญ ๆ มาเขียนเปนภาพปริศนาธรรม ใชภาพ
เหลาน้ันเปนสื่อสอนธรรมะแกพุทธบริษัทผูมาเยือนสวนโมกข ขณะเดียวกันพระภิกษุ
นักศึกษาในสวนโมกขก็สามารถใชเปนสื่อสํารับฝกฝนการอธิบายธรรมะแกผูสนใจ ชวย
สงเสริมใหพระเณรเพ่ิมพูนประสบการณในการสอนธรรมะหรือการแสดงธรรมใหสําเร็จ
ประโยชนสูงสุดอีกดวย ต้ังสวนโมกขนานาชาติขึ้น สําหรับชาวตางชาติผูที่สนใจปฏิบัติ
ธรรมตั้งอาศรมธรรมทตู ตง้ั คายพทุ ธบตุ ร ต้ังอาศรมธรรมาตา เปดโอกาสให สตรี ศึกษาและ
ปฏิบัติธรรมและท่ีสําคัญทานรวมกับนองต้ังคณะธรรมทานข้ึน เพ่ือจัดพิมพหนังสือ
พระพุทธศาสนาเผยแผ สํานกั สวนโมกขพลาราม
๓.๑๑ วเิ คราะหองคค วามรูจากคําสอนสาํ คัญของสาํ นกั สวนโมกขพลาราม
สาระสําคัญในการสอนของสํานักสวนโมกพลารามน้ันดูเหมือนทานจะเนนไปที่
การกระทําของผูนั้น ผลเกิดจากการกระทําของผูใด ผูนั้นตองไดรับอยางแนนอนและ
ยุติธรรม ไมมีใครอาจสับเปลี่ยน ตัวผูทํา กับ ตัวผูรับ หรือมีอํานาจเหนือกฎอันนี้ได น่ี
เรียกวา ลัทธิกรรม มีเปนหลักส้ันๆ วา สัตวท้ังหลาย มีกรรมเปนของตน สัตวทั้งหลายหมุน
ไปตามอํานาจเกาซ่ึงในระหวางนั้นก็ทํากรรมใหมเพิ่มเขามากรรมเพิ่มเขามาก็จะกลายเปน
กรรมเกาตอไปตามลําดับ เปนเหตุและผลของกันและกันไมรูจักสิ้นสุด คาบเก่ียวเน่ืองกัน
เหมือนลูกโซ ไมขาดสาย เราเรียกความเกี่ยวพันอันน้ีกันวา สังสารวัฏ หรือสายกรรม มัน
คาบเก่ียวระหวางนาทีน้ีกับนาทีหนา หรือ ช่ัวโมงน้ีกับชั่วโมงหนา วันนี้กับวันหนา เดือนน้ี
กับเดือนหนา ปน้ีกับปหนา จนถึงชาตินี้กับชาติหนา สับสน แทรกแซงกันจนรูไดยากวาอัน
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมในโลกปจ จุบัน ๑๒๕
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานักสวนโมกขพลาราม
ไหนเปนเหตุของอันไหนกันแน ดูเผินๆ จึงคลายกับวามีใครคอยบันดาล สายกรรมประจํา
บุคคลหน่ึงๆ ยอมผิดจากของอีกคนหนึ่ง เพราะฉะน้ัน ตางคนจึงตางเปนไปตามแนวกรรม
ของตนไมเหมือนกนั กรรมเปนเหตุสขุ และทกุ ขเปนผลเกดิ มาแตก รรมน้นั ๆ
สิ่งท่ีนาสนใจอีกประการหน่ึงในหลักการเผยแผของสํานักสวนโมกพลารามน้ันก็
คอื ธรรม ๙ ตา ไดแ ก๑ . อนจิ จตา ๒. ทุกขตา ๓. อนตั ตา ๔. อิทัปปจจยตา ๕. สุญญตา ๖.
ธัมมัฏฐิตา ๗. ธัมมนิยามตา ๘. อตัมมยตา ๙. ตถตา ทานพุทธทาสภิกขุถือวาธรรมเหลานี้
เปนหัวใจของพระพุทธศาสนา ทานยังอธิบายถึงหลักอีกขอวา สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิ
เวสาย สรรพสิ่งไมควรยึดมั่นถือม่ันเพราะสอดคลองกับไตรลักษณะ คือ อนิจจตา (ความไม
เท่ียง) ทุกขตา (ความถูกกดดัน) และอนัตตตา (ความหาสภาพที่เปนตัวตนแทจริงไมได)
หรือกลาวตามภาษาที่คลองปากกันวา ชีวิต เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้ง ๓ ประการนี้
มีชื่อเรียกตามภาษาธรรมะวา ไตรลักษณ หรือ สามัญญลักษณะ ชีวิตเม่ือเกิดขึ้นมาตั้งแต
กําเนดิ ในครรภจ นกระทัง่ วาระสุดทายยอ มตกอยูใตอ าํ นาจของกฎธรรมชาติ ๓
วัตถุนิยม: ทานก็มักจะปฏิเสธเพราะทานใหทัศนะคติเกี่ยววัตถุนิยมวามันเปน
การเสพติดทางวัตถุท่ีมันมีอ่ิมมีแตความวุนวายไมมีที่สินสุด ทานดูเหมือนจะเนนการอยูปา
กินอยูอยางงาย ๆ ซึ่งในจุดน้ีก็จะเห็นคําที่ทานชอบใชก็คือคําวา“กินขาวจานแมว (กิน
งา ย)อาบน้ําในคู (ใชสอยคุม คา)นอนกุฏิเลาหมู (นอนงาย)ฟงยุงรองเพลง (จิตสงบเย็น)
อยูเหมือนตายแลว (ตายจากความยึดม่ันถือมั่น)”และ “กินอยางต่ํา มุงกระทําอยางสูง
เปนอยูอยางงาย มุงกระทําส่ิงยาก ใชชีวิตใกลชิดกับธรรมชาติที่สุดนั่นก็คือ ลดอํานาจ
กิเลสตามสัญชาตญาณด้ังเดิม หรือลดการพึ่งพาวัตถุสวนเกิน”ทานเนนใหเห็นถึง
ความสําคัญในการสมั ผสั กบั ธรรมชาติ ใหคนเรามีเวลาคิดคน ศึกษาใหมาก เมื่อพิจารณาถึง
สง่ิ ท่ีเนนใหเหน็ ธรรมชาติแลว การใชชีวติ ทานก็ยงั เนนอยา งกรณที ส่ี ถานท่ีอเนกประสงคของ
สวนโมกนั้นจะเห็นสถานท่ีท่ีพระนั่งฉันกับพ้ืนทราย ญาติโยมน่ังตามพ้ืนตามโคนตนไม ท่ี
เปน เชน นกี้ ็เพราะทานใหความสําคัญกับประวัติศาสตรทางพระพุทธศาสนาวาพระพุทธเจา
ประสูติท่ีพ้ืนดิน (สวนลุมพินี) ตรัสรูท่ีพื้นดิน (ใตตนโพธ์ิ) และปรินิพพานที่พ้ืนดิน (ระหวาง
ตนรังคู) ในจุดนี้ๆ เอง เม่ือมีการสรางโบสถของสวนโมกขจึงไมมีอาคารเปนที่กลางแจง มี
ผูสรางหองนํ้าถวายทานๆ ก็ไมใช ทานสรงนํ้าในโองขางนอกและนอนท่ีแครเล็กๆ ปณิธาน
อยางหนง่ึ ของทา นคอื “นําเพอื่ นมนุษยออกจากวัตถุนิยม” เปนวิธีการชวยใหคนพนทุกขได
งา ย
สังคมนิยม: ในสวนของสังคมนิยมตามหลักแหงพระศาสนา ทานกับไมไดพูดถึง
“สังคมนยิ ม” ในความหมายท่ีเปนรูปแบบการเมืองการปกครองในหลายประเทศ แตทาน
กับพูดถึงแนวคิดท่ีเนนสังคม เพราะธรรมชาติอันบริสุทธ์ินั้นเปนเร่ืองของสังคมนิยม ซึ่ง
๑๒๖ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมในโลกปจจุบัน
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
ตรงกนั ขา มกบั เสรีนิยมที่เปดโอกาสใหคนแขงขันและกระตุนดวยกิเลสและผลประโยชนแต
กบั ทา นพดู ถงึ สงั คมนิยมในฐานะทเี่ ปนเจตนารมณข องธรรมชาติ ที่ใหคนอยูรวมกัน สัมพันธ
กันเกื้อกูลกัน ซึ่งทุกศาสนาก็สอนเหมือนกัน สอนไมใหคนเห็นแกตัวและสังคมในอุดมคติท่ี
ทุกศาสนาสอนก็ลว นแตสะทอ นความเปนสังคมนิยม ดังกรณีท่ีทานยกเร่ือง “สงฆ” ในพุทธ
ศาสนา วาเปนสังคมนิยมในอุดมคติ และบอกวา พระพุทธเจาทรงเปนผูนําที่มีอุดมคติเปน
สงั คมนยิ ม
การปกครอง: ในการปกครองทานพุทธทาสยังยืนยันวาระบอบการปกครองชนิด
ก็ตามลวนแลวแตมีความดีอยูในตัวเอง ใชไดท้ังน้ัน มีประโยชนทั้งส้ิน ระบอบเผด็จการก็มี
สวนดี ถาผูเผด็จการตั้งอยูในธรรมะหรือเผด็จการโดยธรรม ผูเผด็จการสามารถสั่งการและ
ทํางานไดรวดเร็วกวา ไมตองมีข้ันตอนมากมาย ระบอบประชาธิปไตย ก็มีสวนดี ถาเปน
ประชาธปิ ไตยทค่ี าํ นึงถึงประโยชนสขุ ของประชาชนเปนใหญ มิใชประชาธิปไตยของคนพาล
ท่ีใชพวกมากลากไป ประชาธิปไตยของพวกคนพาลเปนประชาธิปไตยบาบอ ไมเปน
ประโยชนแตอยางใด
การเมือง: ทานพุทธทาสวางอุดมคติไวท่ีความรักผูอื่นหรือต้ังอยูบนพ้ืนฐานของ
ธรรมท้ังหมดไมว าการเมืองระบบไหนๆ จะตอ งมีธรรมเปนตัวกํากับจึงจะเปนความมุงหมาย
สวนใหญของการเมือง มันจะตองเปนไปเพื่อสันติของโลกโดยปราศจากการใชอาญา
นกั การเมืองจะตองเปนสัตบุรุษผจู ดั โลกใหอ ยูกนั อยางผาสุกโดยปราศจากอาญา
ดานการศกึ ษา:ทานพุทธทาสภิกขุมองวาการศึกษาของประเทศไทยในปจจุบัน
เปนการศึกษาแบบลมเหลวเหมือนหมาหางดวน ที่เชนนี้ก็เพราะการศึกษาทั่วโลกมักมีแต
เพียงสองอยาง คือ รูหนังสือกับอาชีพแลวก็ขะมักเขมนจัดกันอยางดีท่ีสุด มันก็ไมมีผลอะไร
มากไปกวา สองอยางนั้น มันก็ยังขาดการศึกษาที่ทําใหมีความเปนมนุษยท่ีถูกตองอยูนั้นเอง
ดังน้ันทา นจงึ เรียกการศึกษาชนิดน้วี า เปน การศึกษาเหมอื นกับหมาหางดว น
ทา นยังยา้ํ อีกท่ีหน่ึงวา การศึกษาหมาหางดวน มันรูมาก รูมากแตเร่ืองหนังสือกับ
วิชาชพี แตไมมีความรูเสียเลยวาจะดับทุกขในจิตใจกันอยางไร ฉะนั้นการศึกษาทั่วโลกเวลา
นี้เปนการศึกษาหมาหางดวน เพราะไมประกอบไปดวยวิชชาท่ีดับทุกขมีแตวิชชาที่จะทํา
อะไรเพื่อปากเพ่ือทองเพ่ืออาชีพพอเผลอเขา ควบคุมไมไดอันน้ันเกิดเปนพิษเกิดปญหาเกิด
ความทุกขมากมายตามมา เพราะวิชชาชนิดน้ัน ไมสามารถควบคุมความโลภโกรธและไม
ควบคุมความหลงได ศึกษาอยางน้ีไมสามารถเรียกวาวิชชาไดเพราะมันมีคาเทากับอวิชชา
ตลอดเวลาที่เรายังไมมีวิชชา เราก็ตกอยูใตอํานาจสัญชาตญาณที่ปราศจากวิชชาสัญชา
ตญานเดิมๆที่มีอยใู นตัวตนของเราในสัญชาตญานของมนุษยน้ันมีทั้งวิชชาและอวิชชาดงน้ัน
คนเราจงึ จําเปน ท่จี ะตองมีการฝกอบรมตนอยูตลอดเวลา
ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมในโลกปจจุบัน ๑๒๗
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
สวนระบบการศึกษาของชาติไทย ทานพุทธทาสวิพากษวิจารณและวิเคราะหไว
มาก ทานเรียกระบบการศึกษาที่ลมเหลวน้ีวา “ระบบการศึกษาหมาหางดวน” การศึกษา
เปนสนุ ขั หางดวน ไมสมบูรณ สอนใหคนรูหนังสือและมีอาชีพ แตไมสอนใหเปนมนุษยอยาง
ถกู ตอง จึงเหมือนหมาหางดวนและเจดียยอดดวนจบการศึกษาแลวยังติดยาเสพติด หรือทํา
คอรรัปชั่น ฯลฯ อันธพาลก็ผานการศึกษา จบระดับปริญญามาแลวก็ยัง ติดในรสอรอยที่
รูอยูวาเปนโทษ เชนบุหรี่ เหลา บางทีแมหมอก็เอาดวย นี่เปนการศึกษาลักษณะหมาหาง
ดวน คือมีการศึกษาแตวิชาหนังสือและวิชาชีพเทาน้ัน ไมมีการศึกษาเรื่องมนุษยท่ีมี
คณุ ธรรมอยางถกู ตองตามหลักศาสนา
ทัศนะคติเก่ียวกับพระสงฆ: ทานเคยวิพากษถึงเรื่องกฎคณะสงฆที่ออกมาหาม
ไมใ หพ ระสงฆเก่ียวขอ งกบั การเมอื งวา หากเขาใจการเมืองในความหมายธรรมดาก็เห็นดวย
แตถาหากเขาใจอยางท่ีทานพูดมาแลวน้ัน ทานก็บอกวาทําไมได ซึ่งก็นาจะเปนเชนน้ัน
เพราะทานถือวา ระบบพระธรรมในพระพุทธสาสนา มันก็เปนระบบการเมืองระบบหนึ่ง
ของสัจธรรมของธรรมสัจจะ หรือของศาสนาก็มีระบบวางไวสําหรับจัดโลกน้ีใหอยูกันอยาง
ผาสุก โดยปราศจากอาญา ฉะนั้นพระสงฆท่ีเก่ียวของกับการเมืองระบบนี้ไดอยางเต็มที่ แต
อยาไปเกี่ยวของระบบการเมืองของนักการเมืองสกปรกท่ีทําไปดวยกิเลสตัณหาโดยไมมี
ธรรมสัจจะของพระพุทธเจาหรือของศาสนาเลยเพราะขืนไปเก่ียวของมันก็พลอยเปนอยาง
นน้ั ดวย
๓.๑๒ ผลกระทบตอ สังคม
สํานักสวนโมกขระยะเวลา ๕๐ ป สงผลกระทบ เรียกกันวา การปฏิรูปใน
หลายๆ ลักษณะดว ยกัน ลักษณะเดน และสําคญั ดงั น้ี
๑. การวิจารณความเชอื่ และการปฏบิ ตั ิศาสนาในสังคมไทย
๒. การอธิบายธรรมบางเร่ืองใหม
๓. การศึกษาเชงิ เปรียบเทยี บพระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน
๔. การเก่ียวของกับศาสนาคริสตแ ละศาสนาอนื่ ๆ
๕. ทัศนะการเมืองแบบ “ธรรมิกสงั คมนยิ ม” สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
๖. ดานการศึกษาโดยรณรงคใหนําหลักคุณธรรม ศีลธรรม หลักจริยธรรมกลับ
เขาสูสถาบันการศึกษาใหไ ดเ รยี นรปู ระพฤติปฏบิ ัติอยา งจรงิ จัง
๗. ดานการอนุรักษธรรมชาติและสิ่งแวดลอม โดยใหความสําคัญกับ
ส่ิงแวดลอม การสรา งถาวรวัตถใุ หก ลมกลืนกับธรรมชาติการอนุรักษตนไมและอนุรักษสัตว
๑๒๘ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจ จบุ นั
พระมหามติ ร ฐติ ปฺโญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
ปา ทกุ ชนิดในบรเิ วณสวนโมกขพลารามและกําหนดใหผูท่ีมาปฏิบัติธรรมตองใหความสําคัญ
กับการอนรุ ักษส ง่ิ แวดลอ มดวย
๓.๑๓ สรุปทา ยบท
คําของพุทธทาสภิกขุมีความหลากหลาย ครอบคลุมทุกปญหาในสังคมไทย และ
สงั คมโลก มีความลึกซึง้ ทางดานศาสนา ดา นจติ วทิ ยา ดานภาษาศาสตร ดานการเมือง ดาน
เศรษฐศาสตร ดานการศึกษาและแมแตดานศิลปะและสุนทรียภาพ สิ่งท่ีมากไปกลาว
หลกั ธรรมที่ครอบคลุมทุปญหาแลวทานยังกลาวิพากษวิจารณแนวคิดของนักปราชญระดับ
ตนของพระพุทธศาสนาอยางเชนพระพุทธโฆสาจารยในเร่ืองอธิบายปฏิจจสมุปบาทวายังมี
ความไมสมบูรณอยูหรือไมถูกตองน้ันเอง ทั้งที่พระพุทธโฆษาจารจเปนปราชญทางพุทธ
ศาสนาทมี่ ีอิทธพิ ลตอ การตคี วามหลักธรรม โดยไมมีใครเคลือบแคลงสงสัย รวมท้ังทานกลา
วิพากษพิธีกรรมและพิธีปฏิบัติตามประเพณีของชาวพุทธสงผลใหเกิดการวิพากษวิจารณ
แนวคาํ สอนของทา น
วิธีการตีความของทานก็เปนอีกประเด็นหนึ่งที่ดูเหมือนวากําลังใชภาษาท่ีเปนไป
ในลักษณะปฏิวัติ หรือเปนกบฏอยางย่ิง แตทานพุทธทาสภิกขุก็มีความเปนนักอนุรักษคํา
สอนพุทธศาสนาดั้งเดิมอยางย่ิง ดังคํายืนยังของพระพรหมมังคลาจารย (ปญญานันทภิกขุ)
สหายธรรมของทานวา พุทธทาสภิกขุศึกษาพระไตรปฏกอยางจริงจัง และถองแทจนเขาใจ
ดังน้ันคําสอนของทานจึงมีความสอดคลองกับพระพุทธศาสนาและที่สําคัญท่ีสุด ทานได
นาํ เอาแกน ธรรมไปแสดงในโอกาสตางๆ เพ่ือแกปญหาในระดับตางๆ อยางไมเคยเกิดขึ้นมา
กอนในประวัติศาสตรไทย โดยอางพุทธพจนและแกนคําสอนในพุทธศาสนาท่ีถูกตอง
นอกจากนี้พุทธทาสภิกขุยังเปนผูศึกษาคนควาพระไตรปฏกเปนอยางดี พรอมทั้งนํามา
รวบรวมเปนหนังสือชุดจากพระโอษฐ คือ พุทธประวัติจากพระโอษฐปฏิจจสมุปบาทจาก
พระโอษฐเปนการรวบรวมแกนคําสอนพุทธศาสนาจากพระไตรปฏก และนําเสนอใน
รูปแบบท่ีเปนสากล แตกระน้ันก็ยังไมท งิ้ ความเปน อัตลกั ษณแหงคัมภีรหลักในพทุ ธศาสนา
ในชวงแรกทีพ่ ทุ ธทาสภกิ ขุ ไดเ ร่มิ ดาํ เนินชวี ิตตามปณิธาน เน่ืองจากบุคลิกภาพใน
วันหนุมที่แข็งกราวในสภาพสังคมท่ีเปนชวงเฉ่ือยทางวัฒนธรรม ทางจริยธรรมและทาง
ศาสนาธรรม แมค นในสงั คมไมเ ขา ใจแกนวัฒนธรรมของตนเอง แตก็ไมมีการตรวจสอบและ
วิพากษวจิ ารณ เม่อื พุทธทาสภกิ ขุ ลุกขึ้นมาวิพากษวิจารณในลักษณะบันลือสีหนาท เพื่อจะ
แกความเขาใจผิด และการปฏิบัติผิดในทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนการขาดความสนใจ
ในแกนธรรม ทานมีความกลาหาญ ทําดวยความเช่ือม่ัน ดวยเหตุดังกลาวทําใหการเสนอ
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจจบุ ัน ๑๒๙
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
แนวคดิ ตา งๆ ของทาน ตกกระทบทาํ ใหเ กิดการกระเพ่อื มในวงการตางๆ อยางรุนแรง และ
เปนผลใหค าํ สอนของทา นแทรกเขา ไปในวงการวิชาการอยางมาก
ดวยเหตุน้ีจึงทําใหคําสอนของพุทธทาสภิกขุมีอิทธิพลตอการดําเนินชีวิตตอ
วงการตางๆ ท่ีหลากหลาย คือ ทานพุทธทาสภิกขุอานมาก โยนิโสมนสิการอยางจริง ดังท่ี
ทานกลาววาทานอานหน่ึงสวน โยนิโสมนสิการสิบสวน นอกจากอานและศึกษาศาสตรที่
หลากหลายแลว ทานยังสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกับปราชญอยางมากดวย จากน้ันทาน
นําไปทดลองปฏิบัติอยางจริงจัง ทานปฏิบัติมาก อยูใกลชิดกับธรรมชาติมาก สามารถ
ประสานระหวางความเปนพระปากับเทคโนโลยี ประสานระหวางความเปนนักอานกับ
ทดลองปฏิบัติอยางตอเนื่องสงผลใหทานประสานประสบการณเฉพาะตัวได โดยไมทอดทิ้ง
พระคัมภีรดั้งเดิม นอกจากน้ีทานยังสืบสานอดีต ปจจุบันแลวปูทางสูอนาคตได ทําใหคํา
สอนของทานทนตอ การพสิ จู น แมจ ะถกู วพิ ากษวิจารณอยางรุนแรงในชวงแรกๆ แตก็เปนที่
ยอมรบั ในกาลตอมาและย่งิ เปนท่ยี อมรับมากขึน้ รวมท้งั ไดรับการอา งเพิม่ ข้นึ ตามลําดบั
๑๓๐ ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมใ นโลกปจ จบุ ัน
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานกั สวนโมกขพลาราม
คําถามประจาํ บท
ก. แบบประเมนิ แบบปรนยั ๑๐ ขอ
๑. ขอ ใดกลาวถึงบทบาทในการเผยแผข องหลวงพอพทุ ธทาสไดถูกตองท่ีสดุ
ก. เปน แบบอยา งในการปฏบิ ัติทัง้ ในและนอกประเทศ
ข. เปน พระนักปฏิรปู ในการเผยแผ
ค. เปนพระที่ทุมเทและเสยี สละ
ง. เปนพระผูส รา งศรทั ธา
๒. คุณลกั ษณะเดนของหลวงพอพุทธทาส คือ ขอใด
ก. เปนพระนกั ปฏิรปู พทุ ธศาสนา
ข. เปนพระนักปฏวิ ตั พิ ทุ ธศาสนา
ค. เปน พระนักปฏริ ูปการเมอื ง
ง. เปนพระนกั ปฏวิ ตั กิ ารเมือง
๓. ขอใดกลาวถึงกจิ กรรมสาํ คญั ของสาํ นักสวนโมกขพลาราม ไดถกู ตอง
ก. การตงั้ โรงมหรสพทางวิญญาณเปน สถานท่ศี กึ ษาธรรม
ข. การสรา งองคกรในการเผยแผใหท นั สมยั
ค. การการขยายตวั ของสํานกั ไปเร่ือยๆ
ง. อธบิ ายคําสอนทางพระพุทธศาสนาใหเ กดิ ความหลากหลายและทันสมยั
๔. ความหมายของคาํ วา การศกึ ษาเหมือนกบั หมาหางดวนในทัศนะของหลวงพอ
พุทธทาส คือ ขอ ใด
ก. การลม เหลวในการจัดการศกึ ษา
ข. สอนใหรหู นงั สอื กบั อาชพี
ค. การศึกษาทีท่ ําใหมีความเปนมนุษยท ถ่ี ูกตอง
ง. การจัดการศึกษาที่ควบคูท้งั ทางโลกและทางธรรม
๕. การปกครองทดี่ ใี นทศั นะของหลวงพอพทุ ธทาส คือ ขอใด
ก. ตัง้ อยใู นธรรมโดยธรรม ข. ตั้งอยูในธรรม
ค. ระบอบประชาธปิ ไตย ง. ระบบเผดจ็ การ
๖. ขอ ใดกลาวถงึ ลกั ษณะการคาํ สอนทเี่ ดนของหลวงพุทธทาสไมถกู ตอง
ก. ธรรม ๘ ตา ข. สญุ ญตา
ค. อทิ ัปปจ จยตา ง. สอนตามความชํานาญของตน
ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมในโลกปจ จุบนั ๑๓๑
พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทท่ี ๓ สํานักสวนโมกขพลาราม
ท่ีสุด ๗. ขอ ใดกลาวถึงความหมายการเมืองในอุดมคติของหลวงพอพุทธทาสไดถึงตอง
ก. โลกาธปิ ไตย ข.ธรรมาธปิ ไตย
ค. อตั ตาธิปไตย ง. สังฆาธิปไตย
๘. ขอใดวิพากษถึงเรื่องกฎคณะสงฆท่ีออกมาหามไมใหพระสงฆเก่ียวของกับ
การเมืองของหลวงพอ พทุ ธทาสไดถกู ตอง
ก. ระบบพระธรรมในพระพุทธสาสนาไมไ ดเ ปน ระบบการเมือง
ข. ระบบพระธรรมในพระพทุ ธสาสนานน้ั เปนระบบการเมือง
ค. ระบบพระธรรมในพระพุทธสาสนาเปน ระบบการเมืองสจั ธรรม
ง. ระบบพระธรรมในพระพทุ ธสาสนาเปน ระบบการเมอื งธรรม
๙. ขอใดกลาวถึงหลักการสอนของสํานักสวนโมกขพลารามที่สงผลกระบทตอ
สงั คมไดถูกตอง
ก. การอธิบายธรรมใหมๆจนกอใหเกิดการตีความแนวความสอนทางพุทธ
ศาสนา
ข. กอ ใหเกดิ มุมมองการปกครองสงฆอยางกวา งขวาง
ค. การศึกษาควรจัดใหเ ปนไปตามเกณฑมาตรฐานของ สกอ.
ง. การวิจารณกอ ใหเ กิดผลตอความเช่ือและการปฏบิ ัตศิ าสนาในสงั คมไทย
๑๐. คําวา “ธรรมิกสงั คมนิยม” ในทศั นะคาํ สอนของหลวงพอพุทธทาส คือ ขอ ใด
ก. วถิ ที างสรางปฏสิ ัมพันธต อกนั และกัน
ข. ระบบท่สี รางธรรมใหเกดิ กบั สังคม
ค. ระบบทสี่ รางมนษุ ยไมใ หเ หน็ แกตัวเอง
ง. ระบบทสี่ รางมนุษยใ หเห็นแกต ัวเอง
ข. แบบฝกหัดแบบอัตนัย
๑. จงวิเคราะหบทบาทในการเผยแผของหลวงพอพุทธทาสท่ีมีตอสังคมไทยมาดู
อยา งละเอียด
๒. จงวเิ คราะหหลักคําสอนเรื่อง “ธัมมกิ สงั คมนิยม”ของหลวงพอ พุทธทาสที่มีตอ
สังคมไทยมาดู
๓. จงวจิ ารณแ นวคิดเกยี่ วกบั การศกึ ษาของไทยมาดู
๔. วิเคราะหใหเห็นถึงองคความรูใหมจากคําสอนสําคัญของสํานักสวนโมกข (พุทธ
ทาส) มาดู
๑๓๒ ขบวนการพระพทุ ธศาสนาใหมใ นโลกปจจบุ นั
พระมหามิตร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
บทที่ ๓ สาํ นกั สวนโมกขพลาราม
“กนิ ขาวจานแมว (กนิ งาย)
อาบนํ้าในคู (ใชส อยคมุ คา )
นอนกฏุ ิเลา หมู (นอนงา ย)
ฟงยุงรองเพลง (จติ สงบเยน็ )
อยูเ หมือนตายแลว (ตายจากความยึดมน่ั ถือมั่น)”
บทที่ ๔
อนาคารกิ ธรรมปาละกบั การฟน ฟูพระพุทธศาสนา
Anagarika Dhammapala with Buddhist Regeneration
แผนบรหิ ารการสอนประจําบทที่ ๔
หวั เรอ่ื ง
๔.๑ ความนาํ
๔.๒ ประวตั ิ ทา นอนาคารกิ ธรรมปาละ
๔.๓ การฟนฟพู ระพุทธศาสนา
๔.๔ การกอ ตั้งสมาคมมหาโพธ์ิ
๔.๕ พระมหาเจดยี พ ทุ ธคยากับพราหมณมหนั ต
๔.๖ อุปสรรคจากพวกมหนั ต
๔.๗ ผลงาน
๔.๘ บ้นั ปลายชวี ิต อปุ สมบทเปน พระภกิ ษุ
๔.๙ ขบวนการฟน ฟูพระพทุ ธศาสนา
๔.๑๐ วิเคราะหอ งคค วามรเู กิดจากขบวนการฟนฟพู ระพุทธศาสนา
๔.๑๑ ผลกระทบตอ สังคม
๔.๑๒ สรปุ ทา ยบท
วตั ถุประสงคประจําบท
เมือ่ ศกึ ษาบทท่ี ๔ จบแลว ผูเรียนสามารถ
๑. อธิบายถึงประวตั ทิ า นอนาคารกิ ธรรมปาละ
๒. อธบิ ายถึงการฟนฟพู ระพุทธศาสนาทา นอนาคารกิ ธรรมปาละ
๓. เขาใจถงึ แนวคดิ การกอ ต้ังสมาคมมหาโพธ์ิ
๔. เขา ใจถงึ แนวคดิ การเรยี กรองเพอ่ื ใหพระมหาเจดยี พุทธคยา
๕. เขาใจถึงอุปสรรคจากพวกมหันต
๖. เขา ใจถึงผลงานของทา นอนาคารกิ ธรรมปาละ
๑๓๔ ขบวนการพระพุทธศาสนาใหมในโลกปจจบุ ัน
บทท่ี ๔ อนาคารกิ ธรรมปาละกบั การฟน ฟพู ระพทุ ธศาสนา พระมหามติ ร ฐติ ปโฺ ญ,ผศ.ดร.
๑๐. สามารถวิเคราะหอ งคความรูจากแนวคิดของทา นอนาคาริก ธรรมปาละ
๑๑. เขาใจถงึ ผลกระบททีเ่ กิดจากแนวคิดทีม่ ตี อ สงั คม
กจิ กรรมการเรยี นการสอน
๑. วธิ สี อนใชวิธีการสอนแบบบรรยาย (Lecture) ประกอบกับการสอบถาม/
สมั ภาษณเปน รายบุคคล
๒. กระบวนการเรียนการสอน
๑) ใหผูเรียนเขียนใบงานหัวขอ “องคความรูและผลกระบทที่เกิดจาก
แนวคิดของทา นอนาคาริก ธรรมปาละทม่ี ตี อ สังคม”
๒) ใหผ ูเรยี นดวู ีดีทศั นเกีย่ วกบั ทา นอนาคารกิ ธรรมปาละ
๓) อาจารยบ รรยายสรปุ เช่อื มโยงเขาสูบทเรียนและบรรยายตามเนื้อหา
๔) ใหผูเรียนทําบททดสอบหลงั เรียน
สอ่ื การเรยี นการสอน
๑. เอกสารคําสอนวิชาขบวนการพุทธใหมใ นโลกปจ จบุ นั
๒. Power Point Presentation
๓. วีดทิ ัศนเกยี่ วกบั ขบวนการดาํ เนนิ กิจกรรมของทานอนาคาริก ธรรมปาละ
๔. สื่อตามแหลงเรียนรตู างๆ เชน ภาพประกอบในหอ งสมดุ
การวดั และประเมนิ ผล
๑. สังเกตจากความตั้งใจเรียนของผูเรียน/การมีสวนในการแสดงความคิดเห็น/
และการมสี วนรวมกบั กจิ กรรมในช้ันเรยี น
๒. พิจารณาจากการเขียน/สงใบงานท่ีตรงเวลาและตรงกับเน้ือหาสาระ/การ
แสดงความคดิ เหน็ ท่ปี รากฏในใบงาน
๓. พจิ ารณาใหคะแนนจากการทาํ บททดสอบหลงั เรียน