วิวัฒนาการละครไทย
จัดทำโดย
นางสาวเอมมิกาญจณ์ บุญเลี้ยง
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 เลขที่ 34
การละครไทย
ละคร หมายถึง การแสดงประเภทหนึ่ง ซึ่งแสดงเรื่องราวความเป็นไปของ
ชีวิตที่ปรากฏในวรรณกรรม มีศิลปะการแสดงและดนตรีที่เป็นสื่อสำคัญ
"ละคร" ตามความหมายนี้หมายถึงละครรำ เพราะว่าเป็นการแสดงออกทาง
ความคิดโดยมุ่งเน้นถึงลักษณะท่าทางอิริยาบถ เคลื่อนไหวในระหว่างการรำ
โดยได้มีการแบ่งวิวัฒนาการละครไทยออกเป็น 5 สมัย ได้แก่ สมัยน่านเจ้า
สมัยสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
๑. สมัยน่านเจ้า
ดินแดนไทยในปัจจุบันเมื่ออดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรน่านเจ้า และ
พบหลักฐานที่มีความเกี่ยวข้องกับนาฏศิลป์ คือนิยายเรื่อง “มโนราห์” ซึ่ง
สืบทอดมาจนถึงในสมัยปัจจุบัน
นับว่าเป็นวรรณกรรมเรื่องแรกของไทย
และมีความเป็นวรรณกรรมอมตะ อีกทั้ง
ยังมีการแสดงระบำต่างๆ เช่น ระบำ
หมวก และระบำนกยูง เป็นต้น
๒. สมัยสุโขทัย
มีการคบหากับชาติที่นิยมอารยะธรรมอินเดียเช่น พม่า มอญ ขอม และละว้า
จึงได้รับศิลปวัฒนธรรมจากชนชาติดังกล่าวเข้ามาผสมผสานกับศิลปะวัฒนธรรม
ดั้งเดิมของไทย และทำให้ศิลปะการละเล่นพื้นเมืองของไทยคือได้วิวัฒนาการขึ้น
และมีการกำหนดแบบแผนแห่งศิลปะ
การแสดงทั้งสามชนิดไว้และบัญญัติ
คำเรียกการแสดงดังกล่าวข้างต้นว่า
“โขน ละคร ฟ้อนรำ”
๓. สมัยกรุงศรีอยุธยา
ละครรำของไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น มี ๓ ประเภท คือ ละคร
ชาตรี ละครนอก และละครใน โดยละครในแสดงในพระราชวัง จะใช้ผู้
หญิงเท่านั้นและห้ามไม่ให้ชาวบ้านเล่น เรื่องที่นิยมมาแสดงมี 3 เรื่อง
คือ อิเหนา รามเกียรติ์ อุณรุท ส่วนละครนอก ชาวบ้านจะแสดงโดยใช้
ผู้ชายทั้งหมดและมีการดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว
สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่
3 เป็นสมัยที่โขนเจริญรุ่งเรื่องเป็น
อย่างมาก มีละครเรื่องใหญ่ๆ อยู่
4 เรื่อง คือ อิเหนา รามเกียรติ์
อุณรุท และดาหลัง
๔. สมัยกรุงธนบุรี
พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงสนพระทัยในนาฏศิลป์และวรรณกรรม โดยทรง
พระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ขึ้นด้วยพระองค์เอง ๕ ตอน คือ
ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานรินทร์ ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ
ตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกรด(เผารูปเทวดา)
ตอนพระลักษณ์ถูกหอกกบิลพัท
และตอนปล่อยม้าอุปการ
๕. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ร.1)
ได้มีการรวบรวมตำราฟ้อนรำไว้ อีก
ทั้งทรงสร้างวรรณคดีที่สำคัญหลาย
เรื่อง ศิลปะทางโขน ละคร ฟ้อนรำใน
ยุคนี้ เป็นการรื้อฟื้นขึ้นใหม่ ทรง
โปรดให้มีการฝึกหัดโขน ละครของ
หลวงทั้งวังหลวง วังหน้าเว้นแต่
ละครผู้หญิงที่เป็นของต้องห้ามมิให้
เอกชนมีไว้ จึงมีแสดงเฉพาะใน
วังหลวงแห่งเดียว
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ร.2)
เป็นยุคที่วรรณคดีรุ่งเรือง โดย
พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทกลอน
ไว้มากมาย มีทั้งบทละครในและบท
ละครนอก บทละครใน ได้แก่ อิเหนา
ซึ่งได้รับการยกย่องจากวรรณคดี
สโมสรว่าเป็นยอดของบทละครรำ
รามเกียรติ์ (ตอนหนุมานถวายแหวน
ถึงทศกัณฐ์ล้ม และตอนฆ่านางสีดาถึง
อภิเษกไกรลาส) บทละครนอก ได้แก่
ไกรทอง คาวี ไชยเชษฐ์ สังข์ทอง มณี
พิชัย
๕. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.3)
ทรงโปรดให้เลิกการแสดงละครของหลวง
ส่งผลให้เกิดคณะละครของเจ้านายและ
ขุนนางขึ้นแพร่หลาย
สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4)
ได้ฟื้นฟูละครหลวงขึ้นใหม่ และอนุญาตให้
ราษฎรฝึกละครในได้ เนื่องจากละครแพร่
หลายไปสู้ประชาชนมากขึ้น จึงมีการบัญญัติ
ข้อห้ามในการแสดงละครที่มิใช่ละครหลวง
ดังต่อไปนี้
1.ห้ามฉุดบุตรชาย-หญิง ผู้อื่นมาฝึกละคร
2. ห้ามใช้รัดเกล้ายอดเป็นเครื่องประดับ
ศีรษะ
3. ห้ามใช้เครื่องประกอบการแสดงที่เป็น
พานทอง หีบทอง
4. ห้ามใช้เครื่องประดับลงยา
5. ห้ามเป่าแตรสังข์
6. หัวช้างที่เป็นอุปกรณ์ในการแสดงห้าม
ใช้สีเผือก ยกเว้นช้างเอราวัณ
๕. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5)
ในสมัยนี้สถาพบ้านเมืองมีความเจริญ
ก้าวหน้า และขยายตัวอย่างรวดร็ว เพราะ
ได้รับวัฒนธรรมจากตะวันตก ทำให้ศิลปะ
การแสดงละครได้มีวิวัฒนาการขึ้นอีกรูป
แบบหนึ่ง นอกจากนี้ ยังกำเนิดละคร
ดึกดำบรรพ์ และละครพันทางอีกด้วย
สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.6)
ทรงโปรดให้ตั้งกรมมหรสพขึ้น พระองค์
ทรงปรับปรุงและทำนุบำรุงศิลปะทางโขน
ละคร และดนตรีปี่พาทย์ให้เจริญรุ่งเรือง
ทั้งทางมาตรฐานการแสดงและฐานะของ
ศิลปิน
๕. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.7)
ในยุคนี้ประสบกับภาวะเศรษฐกิจทรุดโทรม
เสนาบดีสภาได้ตกลงกันให้ยุบกรมมหรสพ
ครั้นต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้มีการ
ปรับปรุงกระทรวงวังกันอีกครั้งหนึ่ง จึงได้
โอนงานกองช่างวังนอกและกองมหรสพไป
อยู่สังกัดกรมศิลปากร ข้าราชการศิลปิน
จึงย้ายสังกัดมาอยู่ในกรมศิลปากร
สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (ร.8)
การแสดงนาฏศิลป์ โขน ละครในสมัยนี้อยู่
ในการดูแลของกรมศิลปากร อีกทั้งยังมี
หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง
สถาบันการสอนศิลปะการแสดงโขน ละคร
ดนตรี ปี่พาทย์ ควบคู่ไปกับการสอนวิชา
สามัญ คือ “วิทยาลัยนาฏศิลป์" มีการ
แสดงละครปลุกใจ ให้รักชาติ และมี
ลักษณะที่แตกต่างจากละครที่มีอยู่เดิม
จึงเรียกว่า “ละครหลวงวิจิตรวาทการ” เช่น เจ้าหญิงแสนหวี พระเจ้า
กรุงธน เลือดสุพรรณ เป็นต้น และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒
ประชาชนนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งต่อมากรมศิลปากร
ได้นำมาปรับปรุงเป็น “รำวงมาตรฐาน”
๕. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ (ร.9)
โปรดเกล้าฯ ให้บันทึกภาพยนตร์สีส่วน
พระองค์ บันทึกท่ารำหน้าพาทย์องค์พระ-
พิราพ ท่ารำเพลงหน้าพาทย์ของพระ นาง
ยักษ์ ลิง และโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีไหว้ครู
มอบท่ารำองค์พระพิราพให้แก่ศิลปินกรม
ศิลปากร ในสมัยนี้การแสดงละครเฟื่องฟู
มาก มีการจัดการแสดงละครกันอย่างแพร่
หลาย ทั้งละครเวที ละครที่แพร่ภาพผ่าน
ทางสื่อต่างๆ อีกทั้งทางรัฐบาลยังให้การ
สนับสนุนส่งเสริมและเชิดชูเกียรติบุคคลที่
อยู่ในแวดวงศิลปะการแสดงโดยกำหนดให้
วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวัน
ศิลปินแห่งชาติ
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.10)
สืบสานปณิธานของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
บรรณานุกรรม
วิวัฒนาการของการละครไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน . สืบค้น 25 พฤศจิกายน 2565. //จาก
https://sites.google.com/site/bluestampnew/bth-thi-1-kar-lakhr-thiy/1-1-wiwathnakar-
khxng-kar-lakhr-thiy-tangtae-xdit-thung-paccuban
วิวัฒนาการของการละครไทย . สืบค้น 25 พฤศจิกายน 2565. //จาก https://www.kanlakornthai-
bpi4465.com/