The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา IET.350 เทคโนโลยีการซ่อมบำรุงและอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรม
สาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการ
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
ปีการศึกษา พ.ศ.2564

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pimonlapa, 2021-05-12 07:16:37

การเพิ่มประสิทธิภาพการซ่อมบำรุงและการอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรม

ายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา IET.350 เทคโนโลยีการซ่อมบำรุงและอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรม
สาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการ
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
ปีการศึกษา พ.ศ.2564

48

การอนุรักษพ์ ลังงานในอาคาร ไดแ้ ก่
1. การลดความรอ้ นจากแสงอาทิตย์ทเ่ี ขา้ มาในอาคาร
2. การปรับอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ รวมท้ังการรักษาอุณหภูมิภายในอาคารให้อยู่ ระดับท่ี

เหมาะสม
3. การใชว้ ัสดุกอ่ สร้างอาคารท่ีจะช่วยอนุรักษ์พลังงาน ตลอดจนการแสดงคุณภาพของ วัสดุก่อสร้าง

นน้ั ๆ
4. การใชแ้ สงสวา่ งในอาคารอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
5. การใชแ้ ละการติดตง้ั เคร่ืองจักร อุปกรณ์ และวัสดทุ ่ีก่อให้เกิดการอนรุ กั ษ์พลงั งานในอาคาร
6. การใชร้ ะบบควบคมุ การทางานของเคร่อื งจกั รและอุปกรณ์
7. การอนรุ กั ษพ์ ลังงานโดยวธิ ีอน่ื ตามทกี่ าหนดในกฎกระทรวง

1.3 วตั ถปุ ระสงคข์ องการอนุรักษพ์ ลงั งาน
1. เปน็ การชว่ ยเหลือส่งิ แวดลอ้ มการปลอ่ ยก๊าซทีเ่ ป็นอันตราย โดยเฉพาะกับภาวะที่กาลัง เป็นปัญหา

ของโลกในเวลาน้ี ท่ีเรารู้จกั กันเปน็ อย่างดีอย่แู ล้ว ในชือ่ “ภาวะเรือนกระจก” ท่ีกาลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรง
กับสภาพแวด ลอ้ มและธรรมชาติของโลก และปัญหาดา้ น มลภาวะนี้ ก็ยังส่งผลไปถึงคุณภาพด้านสุขภาพของ
ประชาชนอกี ดว้ ย

2. ในระดับครัวเรอื นการลดใชพ้ ลังงาน ยงั เป็นการชว่ ยประหยัดค่าใช้จ่ายท่ีใช้ในครัวเรือน ต้องเสียใน
ทุกๆ เดือน หากคนในครอบครวั ชว่ ยกัน ย่อมจะทาใหม้ เี งนิ ออมเพ่ิมมากข้ึนอีก 3.สาหรับในระดับประเทศเป็น
การช่วยเหลือชาติโดยตรง เพราะในปัจจุบัน ประเทศไทยเรา ยังจาเป็นต้องพึ่งพาการนาเข้าเชื้อเพลิง เช่น
น้ามัน รวมถึงก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ จานวนมาก เนื่องจากเรายังไม่สามารถผลิตพลังงาน ท่ีมีอยู่
ภายในประเทศ ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ ท่ีเพิ่มมากข้ึนเรื่อยๆ ได้ โดยการท่ีเราจาเป็นต้องนาเข้าพลังงานน้ี
ทาให้เป็นภาวะทางการเงินของประเทศ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นจานวนเงินมหาศาลในแต่ละปีหาก
สามารถลดภาระค่าใช้จา่ ยในสว่ นนลี้ งไปได้ กย็ ่อมจะสง่ ผลดตี อ่ เศรษฐกจิ ตามไปดว้ ย
1.4 ประเภทของการอนุรักษพ์ ลงั งาน
1.ด้านทีอ่ ยอู่ าศัย

อณุ หภูมิเปน็ ปจั จัยแวดลอ้ มทีส่ าคัญในการดารงชีวิตของมนุษย์มนษุ ยต์ อ้ งการอาศัยอยู่ในท่ีที่มอี ุณหภูมิ
พอเหมาะ บ้านเรือนในประเทศแถบหนาวจงึ มกี ารปรับอณุ หภมู ิในบา้ นให้อบอุ่นสว่ นใน ประเทศร้อนก็มีการใช้
เครอ่ื งปรับอากาศเพอื่ ให้เย็นสบายการปรับอณุ หภูมิตามต้องการนี้จาเป็นต้องใช้ พลังงานเชื้อเพลิงเป็นอันมาก
นอกจากนั้นอปุ กรณเ์ ครอ่ื งใชใ้ นบา้ นเชน่ ตู้เย็นพัดลมวิทยโุ ทรทศั น์ ก็อาศัยพลังงานเชือ้ เพลงิ ทัง้ ส้นิ ดังนั้นจึงต้อง
มมี าตรการในการอนุรักษ์พลังงานที่ใชใ้ นท่อี ย่อู าศัยโดยสรปุ ได้ดงั น้ี

1.1 การออกแบบบ้านใหม้ ลี ักษณะโปรง่ มีการถ่ายเทและระบายอากาศได้สะดวกสาหรับ ทิศของบ้าน
ควรหันหน้าไปทางทิศเหนือ–ใต้เพื่อเป็นการหลีกเล่ียงไม่ให้แสงแดดเข้าสู่ช่องเปิดของตัวบ้าน วัสดุท่ีใช้สร้าง
บา้ นควรเลือกใช้วัสดุท่สี ามารถช่วยลดการสูญเสียพลังงานเพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน เช่น การใช้ฉนวนกัน
ความร้อนตั้งแต่หลังคาจนถึงผนังการใช้วัสดุอื่นแทนกระจก เพ่ือลดการ สูญเสียความร้อนหรือความเย็น ลง
เท่ากบั ลดการสญู เสยี พลังงาน

1.2 การปลูกต้นไม้เพ่ิมความร่มเงาในบริเวณบ้านจะช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านและช่วย ไม่ให้
แสงแดดส่องถงึ ตวั บา้ นในช่วงฤดรู อ้ นทาใหช้ ว่ ยลดการทางานของเครอ่ื งปรับอากาศ

1.3 การเลือกซ้ืออุปกรณ์ไฟฟ้าควรเลือกซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าท่ีมีฉลากเบอร์ 5 หรือเลือกใช้ อุปกรณ์ที่มี
ขนาดเหมาะสมกบั ขนาดครอบครัว

49

1.4 การใช้นา้ ในท่ีอยู่อาศัยต้องใชน้ า้ อยา่ งประหยดั ถอื วา่ เป็นการประหยัดพลังงาน ด้วยเพราะการทา
ให้นา้ สะอาดต้องผา่ นกระบวนการท่ีตอ้ งใชพ้ ลังงานหลกั การการประหยดั น้า เช่น

1.4.1 ใช้หัวก๊อกท่มี ีตัวลดอตั ราการไหลของน้าให้นอ้ ยลง
1.4.2 ปิดกอ๊ กนา้ ในระหวา่ งแปรงฟันสระผม หรอื โกนหนวด
1.4.3 ใช้ไมก้ วาดในการกวาดพ้ืนแทนการใชน้ า้ ฉดี เพื่อทาความสะอาด
1.4.4 ลา้ งรถดว้ ยนา้ ถงั และฟองนา้ แทนการใชส้ ายยางฉีดน้า
1.4.5 ใช้น้าจากการซักล้างหรอื ถพู น้ื เพอ่ื รดนา้ ต้นไม้แทนใชน้ า้ ประปา
1.5 การใชพ้ ลงั งานในเตาก๊าซอย่างประหยัดทาได้ดงั นี้
1.5.1 เลือกใช้ถังก๊าซทม่ี เี ครื่องหมายสานักงานมาตรฐานอตุ สาหกรรม(มอก.)
1.5.2 ควรใชส้ ายยางหรอื สายพลาสตกิ ชนดิ ยาวและมีความยาว1-1.5 เมตร
1.5.3 ตงั้ เตากา๊ ซให้ห่างถังก๊าซประมาณ1-1.5 เมตร ปิดวาล์วที่หัวเตาและหัวปรับ ความดัน
เมอื่ เลิกใช้
1.5.4 เลอื กขนาดของหม้อหรือกระทะใหเ้ หมาะสมกับปรมิ าณอาหารท่ีจะปรุง
1.5.5 ควรเตรยี มอาหารสด เครื่องปรงุ และอุปกรณก์ ารทาอาหารให้พร้อมก่อนติดไฟ ไม่ควร
ตดิ ไฟรอนานเกนิ ไปจะส้นิ เปลอื งก๊าซ
1.6 การทาสีผนังบ้านหรือเลือกวัสดุพื้นห้องควรเป็นสีอ่อนๆเพ่ือช่วยสะท้อนแสงสว่าง ภายในห้อง
ควรใชห้ ลอดประหยดั พลังงานเช่น หลอดผอม (หลอดฟลูออเรสเซนต์)
1.7 การรีดเสอื้ ผา้ ควรรดี จานวนมากในครั้งเดียว
2. ดา้ นสถานศึกษา
อาคารหรือสถานศึกษามีการใช้พลังงานหลายรูปแบบ เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบไฟฟ้า และแสง
สว่างอุปกรณ์สานักงาน เช่น เคร่ืองถ่ายเอกสาร คอมพิวเตอร์หลักการอนุรักษ์ เป็นต้น พลังงานท่ีใช้ใน
สถานศกึ ษาสรุปไดด้ ังนี้
2.1 การปลกู ตน้ ไม้เพมิ่ ความร่มเงาแก่ตวั อาคารเรยี นโดยไม่ใหอ้ าคารถกู แสงแดดโดยตรง จะช่วยให้ตัว
อาคารไม่ร้อนมีบรรยากาศและส่ิงแวดล้อมท่ีดีปลูกหญ้าคลุมดินเพ่ือลดการสะท้อนของ แสงเข้าสู่ตัว
อาคารเรียน
2.2 ผนังภายในห้องเรยี นควรเปน็ สขี าว เพราะจะสามารถชว่ ยให้ห้องเรียนมคี วามสว่าง
2.3 เลอื กหลอดไฟทีม่ ีวัตตต์ า่ พดั ลมตดิ เพดานซ่ึงจะชว่ ยทาให้เกิดการหมุนเวียนของภายในหอ้ งเรยี น
2.4 มกี ารรณรงค์หรอื จัดกกิ รรมด้านการอนุรักษ์พลงั งานในสถานศึกษา
3. ดา้ นสถานท่ีทางานมวี ธิ กี ารประหยดั พลังงานดงั น้ี
3.1 การป้องกันความร้อนเข้าสอู่ าคารโดยเลือกใช้วัสดุทเ่ี ป็นฉนวนกันความร้อนได้ดหี รือ
กระจกหนา้ ต่างชนดิ ปอ้ งกันรงั สีความร้อนการปลกู ตน้ ไมใ้ ห้รม่ เงากับผนงั และการทากนั สาด เปน็ ต้น
3.2 ใช้สีอ่อนในการทาผนงั อาคาร
3.3 เลอื กผลติ ภัณฑท์ มี่ สี ญั ลกั ษณช์ ่วยรกั ษาสิ่งแวดลอ้ ม เชน่ ปา้ ยฉลากเขยี วประหยัดไฟเบอร์ 5
3.4 ติดตง้ั สวิตซไ์ ฟใหส้ ะดวกในการเปดิ ปดิ
3.5 การลดชวั่ โมงการทางานของอปุ กรณไ์ ฟฟ้าการปิดเคร่อื งทานา้ เยน็ ก่อนเวลาเลกิ งาน 15-30 นาที
3.6 เครื่องปรับอากาศ ควรต้ังอุณหภูมิที่ 25 องศา บริเวณที่ทางานทั่วไปและพ้ืนที่ส่วนกลางตั้ง
อุณหภูมิที่ 24 องศา ในบริเวณพ้ืนท่ีทางานใกล้หน้าต่างกระจกและต้ังอุณหภูมิที่ 22 องศา ในห้อง

50

คอมพิวเตอร์ ซ่ึงการปรับอุณหภูมิเพิ่มทุก 1 องศา จะช่วยประหยัดพลังงานร้อยละ 10 ของ
เครอ่ื งปรบั อากาศ
3.7 ควรใช้บันไดกรณีข้นึ ลงชัน้ เดยี วการตั้งโปรแกรมให้ลิฟต์หยุดเฉพาะชั้นคี่ หรือ ชั้นคู่เน่ืองจากลิฟต์
ใช้พลงั งานไฟฟา้ มากในขณะออกตัว
3.8 ควรบารงุ รักษาอุปกรณ์อย่างสม่าเสมอโดยการตรวจสอบสภาพอุปกรณ์การทาความ สะอาดและ
ตรวจสอบรอยร่วั ตามขอบกระจกและผนงั ทุก3-6เดือน
4.ด้านการขนส่งมาตรการบางประการในการอนรุ กั ษ์พลังงานทใ่ี ชใ้ นด้านการขนส่งได้แก่
4.1 การใช้รถร่วมกันในเสน้ ทางเดียวกัน สลับกนั นารถออกใช้งานแล้วโดยสารไปด้วยกัน
4.2 ร่วมกันรณรงคใ์ ห้ขับรถยนต์ส่วนตัวน้อยลงหนั มาปั่นจกั รยาน การใช้รถโดยสารประจาทาง
4.3 ใชพ้ ลงั งานทดแทน เช่นไบโอดีเซล แกส๊ โซฮอลล์ เปน็ ต้นแทนการใชน้ ้ามนั ปิโตรเลยี ม
4.4 จัดกิจกรรมรณรงค์เรื่องวิธีประหยัดพลังงานในการขนส่งให้กับบริษัท หรือโรงงานอุตสาหกรรม
สนับสนุนการวิจัยในองค์กรค้นคว้าผลิตภัณฑ์ท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อมและ ประสิทธิภาพในการลด
การใช้พลงั งานจากเชือ้ เพลิงฟอสซิล
4.5 สนบั สนนุ การขนส่งสินคา้ ของกลมุ่ อตุ สาหกรรมทใี่ ช้พลังงานหมุนเวียน
4.6ปรบั ปรงุ ระบบการขนส่งสินคา้ ให้มีประสทิ ธภิ าพย่ิงขนึ้ จัดระบบการขนส่งมวลชน ภายในเมืองหรือ
ระหวา่ งเมืองใหญก่ ับเมืองบรวิ ารอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
4.7 ตรวจสอบอุปกรณ์สภาพเครือ่ งยนตเ์ ปน็ ประจาเพื่อเป็นการลดการสิน้ เปลอื งนา้ มนั
การพิจารณาเลือกใชอ้ ุปกรณ์ไฟฟา้
ประหยัดพลงั งานไฟฟ้าเราตอ้ งพจิ ารณา
1. อุปกรณไ์ ฟฟา้ อะไรบ้างท่เี ราใช้งานประจาหรือใช้งานบ่อยและนานโดยพิจารณาจาก พลังงานไฟฟ้า(Watt)
เป็นสาคัญเพราะอปุ กรณ์ไฟฟ้าท่ีใช้กาลังไฟฟ้ามากเสียค่าใช้จ่ายมากนอกจาก เราจะพิจารณาเรื่องการใช้งาน
อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมแลว้ เราต้องพิจารณาหยัดพลังงานเรอ่ื งการประหยัดพลงั งาน
2. การดแู ลบารุงรกั ษาเพราะอปุ กรณไ์ ฟฟา้ ทุกชนิดตอ้ งการการบารงุ รกั ษาอย่างถูกวธิ ีจึงใหเ้ กดิ การ
ประหยัดสูงสดุ

51

สาหรับอปุ กรณไ์ ฟฟ้าทเี่ ราจะตอ้ งพจิ ารณาในเรอื่ งการประหยดั พลงั งานใหพ้ จิ ารณาจากตาราง ต่อไปนี้

*หมายเหตุ พลงั งานไฟฟ้าทรี่ ะบุในตารางเปลย่ี นแปลงได้ตามรุ่น/ขนาด/และยี่ห้อของอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดน้ันๆ
จะไม่เท่ากันทุกยี่ห้อและทุกรุ่นแต่โดยประมาณขนาดเดียวกันการใช้พลังงานใกล้เคียงกันจากตารางกการใช้
พลังงานไฟฟ้าแต่ละชนิดเราพอจะทราบแล้วว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดใดใช้พลังงานไฟมากน้อยอย่างไรและชนิด
ไหนใชม้ ากใช้น้อย

52

บทท่ี 2

การอนุรกั ษ์พลังงานในระบบไฟฟ้าแสงสว่าง
ความสาคัญของเนอื้ หาวิชา (Overview)

หลกั การทีส่ าคัญในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าแสงสว่าง คือ การใช้แสงสว่างให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
หรือใช้แสงสว่างในบริเวณอย่างเพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพ ซึ่งทาให้การทางานมีประสิทธิภาพเพิ่มข้ึน
ส่งผลต่อการผลิต ดังนั้น การปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่าง จึงเป็นอีกหัวข้อหน่ึงที่มีบทบาทต่อการประหยัด

พลังงาน
วตั ถปุ ระสงค์ (Objective)

1. บอกทฤษฎขี องแสงและการมองเหน็ วัตถุได้
2. บอกอปุ กรณ์และหลกั การทางานของอปุ กรณด์ า้ นไฟฟ้าแสงสวา่ งได้
3. บอกวิธปี ระเมนิ และตรวจวดั ประสทิ ธิภาพพลังงานในระบบไฟฟ้าแสงสวา่ งได้

4. บอกแนวทางในการอนุรกั ษ์พลังงานในระบบไฟฟา้ แสงสว่างได้
2.1 บทนา

"แสงสวา่ ง" เป็นสิ่งจาเป็นอย่างย่ิงในการดารงชีวิตของมนุษย์ ระบบแสงสว่างที่ดี นอกจากจะทาให้
การประกอบกิจกรรมต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเสียค่าใช้จ่ายในการใช้งานน้อยด้วยแสงเป็น
พลงั งานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ตามนุษย์สามารถมองเห็นได้ ช่วงความยาวคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีถูกจัดเป็น

แสงนนั้ มคี วามยาวคลืน่ อยู่ระหวา่ ง 380 – 780 นาโนเมตร ตามนุษยส์ ามารถแจกแจงแสงออกเป็นสีต่างๆ ตาม
ความยาวคลืน่ ท่มี นุษย์มองเห็นได้ต้งั แต่ สแี ดงซ่งึ มีความยาวคลนื่ ยาวสุด (ความถตี่ ่าสุด) สีส้ม, สีเหลือง, สีเขียว,

สีนา้ เงนิ สีคราม จนกระท่ังถึงสมี ่วง ซง่ึ มีความยาวคลื่นสั้นสุด (ความถสี่ งู สดุ ) ดังรปู ที่ 3.1

ความยาว

คล่นื

(นาโนเมตร) 450 550 650 700

รปู ท่ี 2.1 สีต่างๆทปี่ ระกอบเป็นแสงท่ีตามนุษยส์ ามารถมองเห็นได้

การมองเห็นของมนุษย์นั้นเกิดจากการที่แสงจากวัตถุเดินทางผ่านดวงตา ไปกระตุ้นเซลล์ท่ีจอตา

(retina) ให้ทาการสร้างคล่ืนไฟฟ้าบนเส้นประสาท และส่งผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมอง ทาให้เกิดการรับรู้

มองเห็น เซลล์บนจอตาประกอบด้วยเซลล์สองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ เซลล์รูปกรวยในจอตา (cone cell) ซึ่งทา

หน้าที่ไดด้ ใี นชว่ งเวลากลางวันหรอื ในยามทม่ี ปี ริมาณแสงมาก มหี น้าท่สี าคัญในการรับความรู้สึกทางด้านสีและ

ชว่ ยแยกแยะรายละเอยี ดของส่ิงต่างๆ ส่วนเซลล์อกี กล่มุ หนง่ึ เปน็ เซลลร์ ปู แท่งในจอตา (rod cell) ทาหน้าท่ีได้

ดีในตอนกลางคืนหรือในเวลามืดสลัว ช่วยให้สามารถเห็นภาพต่างๆได้อย่างหยาบๆ เซลล์กลุ่มน้ีไม่มี

ความสามารถในการตอบสนองทางด้านสีเลย ด้วยความสามารถในการทางานและตอบสนองได้ต่างกันของ

เซลลร์ ปู กรวยและเซลลร์ ปู แทง่ ทาให้ตามนุษยไ์ มส่ ามารถตอบสนองต่อความยาวคลื่นต่างๆได้เท่ากัน ดังแสดง

ในรูปท่ี 3.2

53

รปู ท่ี 2.2 การตอบสนองของดวงตาต่อแสงทีค่ วามยาวคล่ืนตา่ งๆ ในเวลากลางวัน และกลางคืน

2.2 แหล่งกาเนิดแสง
แหลง่ กาเนิดแสงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท

2.2.1 แหล่งกาเนิดแสงจากธรรมชาติ ได้แก่ แสงอาทิตย์ แสงจากดวงดาว และแสงจากสัตว์ เช่น
ห่ิงห้อยเป็นต้นดวงอาทิตย์จัดเป็นแหล่งกาเนิดแสงธรรมชาติท่ีมนุษย์คุ้นเคยและใช้ประโยชน์มายาวนานจาก
การศึกษาลักษณะสเปคตรัม(Spectrum)ของรังสอี าทิตยจ์ ะพบว่าพลงั งานของรังสอี าทติ ยใ์ นช่วงท่ีเป็นแสงที่ตา
มนุษย์มองเห็นไดน้ ั้นคดิ เปน็ สดั ส่วนประมาณเกือบรอ้ ยละ 50

2.2.2 แหลง่ กาเนดิ แสงประดิษฐ์ ได้แก่ เทียนไข น้ามัน และหลอดไฟฟ้าประเภทต่างๆ แสงประดิษฐ์
เหล่านี้ เกิดจากการเปลี่ยนรูปพลังงาน เช่นแสงจากเทียนไขเกิดจากการเปลี่ยนรูปพลังงานความร้อนเป็น
พลังงานแสง หรอื กรณแี สงจากหลอดแสงฟลูออเรสเซนต์ เกดิ จากการเปล่ียนระดับพลังงานของอิเลคตรอนใน
สารฟลอู อเรสเซนตท์ ่ีเคลือบอยบู่ นผิวหลอดด้านในแลว้ ปลดปลอ่ ยพลังงานอยู่ในรูปพลงั งานแสงทต่ี ามองเห็น
2.3 นยิ ามศพั ท์ทส่ี าคัญเกี่ยวกับปริมาณแสง

1) ความเข้มการส่องสว่าง ( Luminous Intensity : I ) หรือกาลังส่องสว่าง (Candle power) เป็น
ค่าแสดงระดบั กาลังงานของแหล่งกาเนดิ แสง มีหน่วยวัดเป็น แคนเดลา (Candela) การกาหนดมาตรฐานของ
ปริมาณความเข้มการส่องสว่างมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 โดยคณะกรรมการระหว่าง
ประเทศในเร่ืองการส่องสว่าง (International Commission on Lllumination,CIE) ปัจจุบัน ได้มีการ
กาหนดให้ปริมาณ 1 แคนเดลา มีค่าเท่ากับ ความเข้มการส่องสว่างในทิศทางที่กาหนดของ แหล่งกาเนิดที่แผ่
รังสีชนิดสีเดียวท่ีมีความถี่เป็น540*10 เฮิรตซ์ และมีความเข้มการแผ่รังสีในทิศทาง 1/683 วัตต์ต่อสเตเตอร์
เรเดียน

2) ฟลักซ์การส่องสว่าง (Luminous Flux : Φ) เป็นปริมาณแสงทั้งหมดท่ีปลดปล่อยออกจาก
แหล่งกาเนิดแสงมีหน่วยเป็น ลูเมน ( lumen : lm ) ซ่ึงมีค่าเท่ากับปริมาณแสงท่ีตกลงพ้ืนที่ 1 ตารางหน่วย
ที่ห่างจากจุดกาเนดิ แสง 1 แคนเดลลาเปน็ ระยะทาง 1 หนว่ ย

54

3) ความสว่าง (Illuminance : E) เป็นปริมาณแสงที่ตกกระทบต้ังฉากกับพ้ืนที่ขนาด 1 ตารางเมตร
โดยท่ัวไปเรียกว่า ระดับความสว่าง (Lighting level) จึงเป็นค่าที่บ่งบอกพื้นท่ีน้ันๆได้รับ แสงสว่างเพียงพอ
หรือไม่ มีหน่วยเป็น ลูเมนต่อตารางเมตร ( lm/m2 ) หรือลักซ์ (Lux) ค่าความสว่างจะแปรโดยตรงกับความ
เขม้ การส่องสวา่ ง และแปรผกผนั กับระยะทางกาลังสองระหว่างแหล่งกาเนิดแสงและพื้นท่ีรับแสง ซึ่งสามารถ
เขียนความสมั พันธ์ไดเ้ ป็น

4) ประสทิ ธิผลการสอ่ งสว่าง (Efficacy) คอื อัตราส่วนของปริมาณแสงที่ออกมาจากแหล่งกาเนิดแสง
ต่อกาลงั ไฟฟา้ (วตั ต์) ท่ปี อ้ นให้แกห่ ลอด มีหน่วยเปน็ ลูเมนตอ่ วตั ต์ซ่ึงคานวณไดจ้ าก

โดยท่ี
Efficacy คือ ประสทิ ธิผลการสอ่ งสว่าง (lm/W)
Φ คอื ฟลักซก์ ารสอ่ งสว่าง (lm)
P คือ กาลงั ไฟฟ้าที่ปอ้ นให้แกแ่ หลง่ กาเนดิ แสง (W)
2.4 อุปกรณ์สาคัญในระบบไฟฟา้ แสงสวา่ ง

2.4.1 หลอดไฟฟ้า หลอดไฟฟ้าแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ คือ หลอดอินแคนเดสเซนต์
(Incandescent lamp) หลอดปล่อยประจุก๊าซหรือหลอดดีสชาร์จ(Discharge Lamp) และหลอดประเภท
เรืองแสงในตัว(Luminescence Lamps)

2.4.1.1 หลอดอินแคนเดสเซนต์ (Incandescent lamp) หลอดประเภทนี้อาศัยหลักการจ่าย
กระแสไฟฟา้ ผ่านไสห้ ลอดท่ัวไปทาจากทงั สเตน ซ่งึ ทาใหเ้ กดิ ความรอ้ นและแสงสว่างข้ึน หลอดไส้เป็นหลอดที่มี
ประสทิ ธิผล การส่องสวา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ ในบรรดาหลอดทั้งหมด รวมท้ังมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างสั้นคือประมาณ
1,000 – 3,000 ชัว่ โมงแต่หลอดชนิดนี้ยังเป็นหลอดท่ีนิยมใช้เป็นอย่างมาก เน่ืองจากง่ายต่อการติดตั้งและค่า
ติดตั้งเริ่มต้นมีราคาถูกสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทได้แก่ หลอดไส้แบบธรรมดา (Normal Incandescent
Lamp) และหลอดทังสเตนฮาโลเจน (Tungsten Halogen Lamp)

2.4.1.2 หลอดไส้แบบธรรมดา หลอดชนิดน้ีประกอบด้วยขดลวดทังสเตนบรรจุในหลอดแก้วเมื่อ
กระแสไหลผ่านไส้หลอดจะเกิดการเปล่งแสงออกมา ขณะหลอดทางานขดลวดทังสเตนจะค่อยๆ ระเหย
จนกระท่ังหมดอายกุ ารใชง้ าน ซ่ึงไส้หลอดมีลักษณะเป็นขดลวด ส่วนใหญ่ทาจากทังสเตน (Tungsten) มีข้อดี
คอื จดุ หลอมเหลว มคี ่าสูง (3,653 K) และมีความดันไอต่า ทาให้สามารถใช้งานที่อุณหภูมิสูงได้ โดยที่อุณหภูมิ
ทางานของไส้หลอดมีค่าประมาณ 2,500-2,700 K ในยคุ แรกๆไส้หลอดของหลอดเผาไส้จะทาจากทังสเตนเป็น
แบบ Coil ช้ันเดียว และต่อมาได้พัฒนาให้เป็นแบบ “Coiled-Coil” Filament ดังแสดงในรูปที่ 3.3 ลักษณะ
ดังกล่าวช่วยลดการระเหิดของทังสเตนที่ใช้เป็นไส้หลอดทาให้อายุการใช้งานหลอดยาวนานข้ึนเป็น 1,000
ช่ัวโมง สาหรับขั้วของหลอดทาด้วยทองเหลือง (Brass) หรืออะลูมิเนียม (Aluminum) ขนาดท่ีนิยมใช้ได้แก่
E10 E14 E27 E40 โดยทตี่ ัวเลขหมายถึง ขนาดเส้นผ่านศูนยก์ ลางของขว้ั หลอด (มิลลิเมตร)

55

รูปที่ 2.3 ภาพขยายของไส้หลอดแบบ “Coiled-Coil” Filament
หลอดไสแ้ บบธรรมดาเหมาะสาหรบั การให้แสงสว่างทั่วๆไปโดยเฉพาะบรเิ วณทต่ี อ้ งการความรู้สึกแบบ
อบอุ่น การให้แสงเน้นบรรยากาศเช่น บ้าน โรงแรม และร้านอาหาร เป็นต้น และการใช้งานแสงสว่างใน
ระยะเวลาสน้ั ๆ เช่น ห้องเก็บของ ห้องน้า หลอดประเภทน้ีมีอายุการใช้งานประมาณ 1,000 ช่ัวโมงหลอดไส้
แบบธรรมดาสามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น 2 ประเภทได้แก่ หลอด GLS (GeneralLighting Service) และ
หลอดสะท้อนแสง (Reflector Lamp) ซง่ึ มลี กั ษณะและรายละเอยี ดดงั แสดงในตารางที่ 2.1
ตารางท่ี 2.1 หลอดไสแ้ บบธรรมดาชนดิ ต่างๆ

56

ประสิทธิภาพพลังงานของหลอดไส้ชนิดธรรมดาขึ้นอยู่กับขนาดของหลอดข้อมูลค่าฟลักซ์การส่องสว่างและ
ประสิทธผิ ลการสอ่ งสว่าง ของหลอดทใ่ี ชก้ าลงั ไฟฟา้ ต่างๆกัน แสดงไดด้ ังตารางที่ 2.2
ตารางที่ 2.2 มูลค่าฟลักซ์การส่องสว่าง และประสิทธิผลการส่องสว่าง ของหลอดที่ใช้กาลังไฟฟ้าต่างๆ
กาลังไฟฟา้

การเปรยี บเทยี บข้อดแี ละข้อดอ้ ยของหลอดไสแ้ บบธรรมดาสามารถแสดงไดด้ ังตารางท่ี 2.3
ตารางที่ 2.3 การเปรียบเทยี บขอ้ ดแี ละขอ้ ดอ้ ยของหลอดไสแ้ บบธรรมดา

2.4.1.3 หลอดทังสเตนฮาโลเจน เน่ืองจากหลอดเผาไส้ธรรมดา อุณหภูมิจะสูงขณะใช้งานทาให้เกิด
การระเหิดของทังสเตน ท่ีใช้ทาไส้หลอด มาเกาะอยู่ที่ผิวในกระเปาะ ทาให้กระเปาะแก้วมีสีดา เรียกว่า
Blackening Effect และไสห้ ลอดบางลงจนขาดในท่ีสดุ จึงได้มีการพัฒนาหลอดเผาไส้ธรรมดาน้ีโดยบรรจุธาตุ
ตระกูลฮาโลเจนเข้าไปกับแก๊สที่บรรจุในหลอด แล้วอาศัยปรากฏการณ์ Halogen Regenerative Cycle ที่
เกิดจากการรวมตัวของก๊าซฮาโลเจนกับโลหะทังสเตนท่ีร้อนจนระเหิด แล้วกลายเป็นสารประกอบทังสเตน –
ฮาโลเจนและกลับมาเกาะท่ีไส้หลอดใหม่ ทาให้หลอดมีอายุการใช้งานมากข้ึน และช่วยให้หลอดไม่เปล่ียนไป
เปน็ สีดาโครงสรา้ งของหลอดทงั สเตน-ฮาโลเจน แสดงดังรูปท่ี 2.4

57

รูปท่ี 2.4 โครงสร้างของหลอดทังสเตน-ฮาโลเจน
หลอดฮาโลเจนบางรุ่นจะเคลือบ Dichroic film ท่ีแผ่นสะท้อนแสง ทาให้รังสีความร้อน (Infrared Ray)
ประมาณ 60 % ผา่ นทะลุ Dichroic film ออกไปดา้ นหลงั หลอด และไมอ่ อกมากับลาแสงด้วย บางคร้ังจึงเรียก
กนั ว่าลาแสงเย็น (Cool beam) เหมาะสาหรับใชส้ ่องวัตถทุ ีไ่ วต่อความร้อน เช่น ผลไม้ อาหาร หรืองานศิลปะ
ท่ีความร้อนจากลาแสงสามารถทาให้สีของวัตถุซีดจางได้ อย่างไรก็ตามการเลือกโคมไฟท่ีใช้กับหลอดจะต้อง
พิจารณาถึงการระบายความร้อนออกด้านหลังโคมไฟด้วย หลอดทังสเตนฮาโลเจนน้ีมีขนาดเล็ กจึงเหมาะ
สาหรับทาเปน็ หลอดแบบส่องเน้น เพราะสามารถให้ลาแสงแคบได้ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามระดับ

แรงดันการใชง้ านไดแ้ ก่ หลอดทังสเตนฮาโลเจน ชนิดใช้งานกบั แรงดนั ปกติ และหลอดทังสเตนฮาโลเจนชนิดใช้
งานกบั แรงดันต่า ลกั ษณะของหลอดแสดงดังรูปที่ 2.5 โดยหลอดทังสเตนฮาโลเจนน้ีมีค่าประสิทธิผลการส่อง
สว่างสงู กวา่ หลอดไสแ้ บบธรรมดาประมาณ 10%และมีอายุการใช้งานประมาณ 3,000 ชั่วโมง หลอดทังสเตน
ฮาโลเจนแรงดันต่า เป็นหลอดที่มีขนาดเล็กใช้งานกับงานส่องเน้นให้สีออกขาว กว่าหลอดอินแคนเดสเซนต์
(อณุ หภูมิสปี ระมาณ 3200 เคลวนิ ) ระดบั แรงดันทใ่ี ชง้ าน
คอื 6V 12V หรือ 24V โดยต่อผา่ นหม้อแปลงซง่ึ จะต้องไมต่ ดิ ตั้งห่างจากตวั โคมมากเกนิ ไป เน่อื งจากจะมปี ญั หา
เรื่องแรงดันตกในสาย โดยมีมุมแสงให้เลือกขนาดท่ี 12 24 และ 36 องศา หลอดชนิดท่ีไม่มีกระจกป้องกัน
หลอดไม่ควรสัมผัสถูกบริเวณหลอดเพราะจะทาให้อายุการใช้งานของหลอดลดลงได้ ข้อมูลประสิทธิภาพ
พลงั งานของหลอดทงั สเตนฮาโลเจนแสดงในตารางท่ี 2.4 และ 2.5

ก) ชนดิ ใช้งานกบั แรงดันปกติ 220 V ข) ชนดิ ใช้งานกับแรงดนั ตา่

รปู ท่ี 2.5 หลอดทงั สเตนฮาโลเจน

58

ตารางที่ 2.4 ข้อมูลทัว่ ไปของหลอดทังสเตนฮาโลเจนชนิดใช้งานกับแรงดนั ปกติ 220 V อายกุ ารใช้งานเฉลี่ย
2,000 ช่ัวโมง

ตารางท่ี 2.5 ขอ้ มลู ท่ัวไปของหลอดทงั สเตนฮาโลเจนชนดิ ใชง้ านกับแรงดนั ตา่ อายุการใชง้ านเฉลี่ย 3,000

2.4.1.4 หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) เป็นหลอด Discharge lamp ท่ีกาเนิดแสงท่ี
มองเห็นได้ด้วยการที่รงั สีอลั ตราไวโอเลตท่ีเกิดจากการคายประจุของไอปรอทความดันต่า ไปกระตุ้นสารเรือง
แสง โครงสร้างของหลอดแสดงไว้ในรูปท่ี 2.6 โดยภายในผิวหลอดแก้วจะมีสารเรืองแสงเคลือบอยู่และท่ีไส้
หลอดรูปคอยล์ท่ีข้ัวหลอดจะมีสาร Emitter เคลือบอยู่ ในหลอดจะมีปรอทจานวนเล็กน้อยกับก๊าซอาร์กอน
บรรจอุ ยู่ เมื่อให้แรงดนั ไฟฟา้ ระหว่างขว้ั ไฟฟ้าจะเกิดการคายประจุขึ้น ข้ัวหลอดจะปลดปล่อยอิเล็กตรอนร้อน
ออกมาอเิ ล็กตรอนจะไปชนกับอะตอมของปรอทเกิดรังสีอัลตราไวโอเลต (253.7 nm เป็นส่วนใหญ่) ขึ้น รังสี
อัลตราไวโอเลตจะไปกระตุ้นสารเรืองแสงและถูกแปลงเป็นแสงท่ีมองเห็นได้ (ปรากฏการณ์น้ีเรียกว่า
Photoluminescence)

59

รูปที่ 3.6 โครงสร้างทั่วไปของหลอดฟลูออเรสเซนต์
การทางานของหลอดฟลอู อเรสเซนตจ์ ะมีบัลลาสตแ์ ละสตารท์ เตอร์เข้ามาเกีย่ วขอ้ งดว้ ยตามวงจรแสดง
ในรปู ท่ี 2.7 โดยบัลลาสตจ์ ะต่ออนกุ รมกับหลอด ทาหนา้ ที่ควบคุมกระแสท่ีไหลเขา้ สูข่ ้วั หลอด ส่วนสตาร์ทเตอร์
(Starter) จะตอ่ ขนานกับขัว้ หลอดทัง้ สองข้าง ทาหน้าท่ีจุดหลอดและถูกตัดออกมาจากวงจรเม่ือหลอดติดแล้ว
วงจรดังรูปเป็นวงจรสาหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ส่วนมากท่ีไส้หลอดจะต้องทาการอุ่นก่อนการจุดหลอด ซ่ึง
การอุ่นจะอาศยั สตารต์ เตอร์ อยา่ งไรก็ตามหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบจุดติดเร็วซ่ึงมีการอุ่นไส้หลอดตลอดเวลา
และหลอดแบบจุดติดทันที (Instant Start) ซ่ึงไม่ต้องอุ่นไส้หลอด หลอดท้ัง 2 แบบนี้ไม่จาเป็นต้องมีสตาร์ต
เตอร์

รูปที่ 2.7 วงจรการทางานและการนากระแสของกา๊ ซเม่ือจ่ายแรงดัน
ชนิดของหลอดฟลูออเรสเซนต์อาจแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ หลอดฟลูออเรสเซนต์รูป
ทรงกระบอก (Tubular Fluorescent) และหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (Compact Fluorescent)
นอกจากน้ียังมีหลอด ฟลูออเรสเซนต์อีกประเภทคือ หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบเหน่ียวนา (Induction
Fluorescent) ซ่งึ ใชห้ ลักการเปล่งแสงคล้ายหลอดฟลอู อเรสเซนต์ทวั่ ไปแตว่ ิธกี ารจดุ หลอดปลอ่ ยประจตุ า่ งกนั
2.4.1.5 หลอดฟลอู อเรสเซนตร์ ูปทรงกระบอก (Tubular Fluorescent) เป็นหลอดฟลูออเรสเซนต์รุ่น
แรกที่ผลิตออกมา ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีประสิทธิผลสูง และมีอายุการใช้งานท่ีนานกว่าหลอดไส้
รูปร่างของหลอดมีลักษณะแตกต่างกัน 3 แบบ ได้แก่ แบบทรงกระบอกตรง แบบทรงกระบอกรูปตัวยู (U-
shape)และแบบทรงกระบอกรปู วงกลม ดังแสดงในรูปที่ 2.8

60

(ก) แบบทรงกระบอกตรง (ข) แบบทรงกระบอกรูปตัวยู ( ค) แบบทรงกระบอกรปู วงกลม

รูปท่ี 2.8 หลอฟลอู อเรสเซนตร์ ปู ทรงกระบอกรปู แบบต่างๆ

หลอดฟลูออเรสเซนต์มีวิวัฒนาการและเร่มิ ผลติ มาตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2482 หลอดฟลูออเรสเซนต์ยุคแรก มี
เส้นผ่านศูนย์กลางถึง 38 mm (หรอื 1.5 น้วิ ) มีรหัสเรียกว่า T12 (ปัจจุบันเลิกผลิตจาหน่ายแล้ว) ต่อมาหลอด

ประเภทนี้ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองเพื่อให้มีประสิทธิผลสูงข้ึนและใช้กาลังไฟลดลง โดยหลอดประเภทนี้
เรยี กวา่ หลอดผอม ทว่ั ไปมีเส้นผา่ นศนู ย์กลางเพียง 26 mm (หรือ 1 นิ้ว) มีรหัสเรียกว่า T8 ซ่ึงขนาดท่ีนิยมใช้
กันโดยท่ัวไปไดแ้ ก่ 18 W 36 W และ 58W

ปัจจุบันหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบฟลักซ์การส่องสว่างสูงได้พัฒนาเทคโนโลยีสารเรืองแสงที่เคลือบ
ด้านในใหม่ เรียกว่า ไตรฟอสเฟอร์ (Tri-phosphor) โดยมีช่ือเรียกทางการค้าว่า หลอดขั้วเขียว เป็นมิตรกับ

ส่ิงแวดล้อม ควบคุมปริมาณสารปรอทให้ต่าเพียง 3-5 มิลลิกรัมต่อหลอด (ขณะท่ีของเดิมมีปริมาณปรอทถึง
15-40 มิลลิกรัมต่อหลอด) ซึ่งใช้หลักการผสมแม่สี 3 สี คือ แดง เขียว น้าเงิน เคลือบสารเป็นสารเรืองแสง
ภายใน ทาใหแ้ สงสที เ่ี ปลง่ ออกมามีครบทุกเฉดสี ผลทาให้ดัชนีบอกความถูกต้องของสีของหลอดสูงข้ึนและทา

ให้ปริมาณฟลักซก์ ารส่องสวา่ งเพิ่มขึ้นถงึ 30% มปี ระสิทธิผลการสอ่ งสวา่ งสูงขึ้น และอายุการใชง้ านนานขึ้น
สขี องหลอดฟลอู อเรสเซนตท์ นี่ ิยมใช้กันมี 3 แบบคือ Warm White, Cool White, and และ DayLight โดยท่ี

หลอดฟลอู อเรสเซนต์แบบ Warm White เหมาะทจ่ี ะใชก้ บั บรเิ วณที่ต้องการคา่ ความสว่างไม่เกิน300 ลักซ์ แต่
ต้องการความรู้สึกท่ีอบอุ่น หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบ Day Light เหมาะที่ใช้กับสถานที่ที่ต้องการค่าความ
สวา่ งสูง หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบ Cool White เหมาะท่ีใช้กับบริเวณท่ีต้องการความสว่างไม่เกิน 500ลักซ์

ต่อมาได้มีการพัฒนาหลอดฟลูออเรสเซนต์รุ่นใหม่คือหลอดฟลักซ์การส่องสว่างสูงประสิทธิภาพสูง (High
Efficiency Lamps: HE Lamps) หรอื หลอด T5 หลอดฟลอู อเรสเซนต์รุ่นใหม่นี้มีขนาดเล็กมาก คือมีเส้นผ่าน

ศูนย์กลางเพียง 16 mm (หรือ 5/8 น้วิ ) มีรหสั เรยี กวา่ T5 แต่หลอดประเภทน้ีจะต้องใช้ร่วมกับอิเล็กทรอนิกส์
บัลลาสต์ โดยขนาดมที ง้ั ที่เป็นแบบมาตรฐาน (Standard) ทม่ี ีขนาดต่างๆ ได้แก่ 14 W 21W 28 W และ 35W
และแบบความเข้มสูง (High output, HO) ท่ีมีขนาดต่างๆ ได้แก่ 24W 39W 54W และ 80W หากจะ

เปรียบเทียบปริมาณแสง และประสิทธิภาพการส่องสว่างของหลอด T5 T8 และ T12 สามารถแสดงได้ดัง
ตารางที่ 2.6 จะเหน็ ไดว้ ่าพัฒนาการของ T5 ทาให้ไดห้ ลอดฟลูออเรสเซนตท์ ี่มปี ระสิทธิภาพสงู ขึ้น

61

ตารางท่ี 2.6 การเปรยี บเทยี บปริมาณแสง และประสทิ ธิภาพการสอ่ งสว่างของหลอด T5 T8 และ T12

2.4.1.6 หลอดคอมแพคฟลอู อเรสเซนต์ (Compact Fluorescent) หลอดประเภทนี้เป็นหลอดฟลูออ
เรสเซนต์ท่ีถูกพัฒนาข้ึนมาเพ่ือใช้ทดแทนหลอดอินแคนเดสเซนต์ โดยหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์นี้มีอายุ
การใช้งานประมาณ 8,000 ชว่ั โมงและประหยัดไฟไดม้ ากกวา่ หลอดอินแคนเดสเซนต์ เนื่องจากหลอดประเภท
นี้มีค่าประสิทธิผลการส่องสว่างประมาณ 50-80 ลูเมนต่อวัตต์ ดังน้ันจึงสามารถใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรส
เซนต์ไดใ้ นบางพ้นื ท่ีหรอื บางกิจกรรม โดยเฉพาะบรเิ วณทต่ี ้องมกี ารเปิดไฟท้ิงไว้เป็นเวลานานเช่น ไฟส่องสว่าง
ทางเดินเปน็ ต้น

สาหรบั การใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์เพ่ือทดแทนหลอดฟลูออเรสเซนต์เช่นการส่องสว่าง ใน
สานักงานน้นั จะต้องพิจารณาจากคุณลกั ษณะของแหลง่ กาเนิดแสง เน่อื งจากหลอดคอมแพคฟลอู อเรส-เซนต์ มี
ลกั ษณะของแสงทเ่ี ปน็ จดุ ดังนั้นหากใชท้ ดแทนหลอดฟลูออเรสเซนต์ซ่ึงลักษณะของแสงเป็นแนวยาวจะทาให้
เกิดเงาขึน้ เปน็ จานวนมาก หลอดคอมแพคฟลอู อเรสเซนตม์ ที ง้ั แบบบัลลาสต์แยก และแบบบัลลาสต์ในตัว ซ่ึงมี
รูปร่างลักษณะดังรปู ที่ 2.9 และข้อมลู ทัว่ ไปเกยี่ วข้องกบั ประสทิ ธภิ าพพลงั งานได้แสดงไวใ้ นตารางที่2.7

ก) แบบบัลลาสต์แยกภายนอก ข) แบบบัลลาสตใ์ นตัว

รูปท่ี 2.9 หลอดคอมแพคฟลอู อเรสเซนต์แบบตา่ งๆ

62

ตารางท่ี 2.7 ข้อมูลทว่ั ไปของหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์

2.4.1.7 หลอดฟลอู อเรสเซนต์แบบเหนี่ยวนา (Induction Fluorescent) หลอดประเภทนี้มีหลักการ
ทางานคือ เม่ือรับไฟผ่านจากบาลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดพิเศษเข้ามาท่ีขดลวดปฐมภูมิท่ีพันอยู่บนแกนเฟอร์
ไรต์ ตัวหลอดท่ีคล้องอยู่ในแกนเฟอร์ไรต์เสมือนเป็นทุติยภูมิ ไฟฟ้ากระแสสลับความถี่สูงจากขดลวดปฐมภูมิ
จะสรา้ งสนามแม่เหลก็ ขึน้ ทีร่ อบตัวหลอด ทาให้เกิดแรงดันสูงเหนี่ยวนาขึ้นที่หลอด ส่งผลให้อิเล็กตรอนภายใน
หลอดเกดิ การแตกตัวและว่ิงไปกระทบกบั อะตอมปรอทปลอ่ ยรงั สียูวี และผ่านสารเรืองแสงที่เคลือบด้านในผิว
หลอดกลายเป็นแสง ท่ีมองเห็นได้ ซ่ึงหลักการเปล่งแสงคล้ายหลอดฟลูออเรสเซนต์ท่ัวไป เน่ืองจากหลอด
ประเภทน้ีไม่มีข้ัวหลอด จึงมีอายุการใช้งานนาน เช่น หลอดขนาด 100-150 W มีอายุการใช้งานนานถึง
60,000 ชวั่ โมง มคี ่าฟลักซ์การส่องสว่าง 8,000-12,000 lm และประสิทธิภาพ 80 lm/W ลักษณะและข้อมูล
ทัว่ ไปของหลอดฟลอู อเรสเซนตแ์ บบเหนี่ยวนาแสดงดงั รูปท่ี 2.10 และตารางท่ี 2.8

รูปท่ี 2.10 หลอดฟลูออเรสเซนตแ์ บบเหน่ยี วนา

ตารางที่ 2.8 ข้อมูลท่ัวไปของหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบเหน่ยี วนา อายกุ ารใชง้ านเฉลย่ี 60,000 ชวั่ โมง

63

2.4.1.8 หลอดโซเดียมความดนั ตา่ (Low Pressure Sodium) เป็นหลอดท่มี ปี ระสทิ ธิผลการส่องสว่าง
สูงทส่ี ดุ ในบรรดาหลอดทงั้ หมดคอื จะมคี า่ ประสทิ ธผิ ลการส่องสว่าง 100 – 189 lm/W หลอดโซเดียมความดัน
ต่าจะใช้ก๊าซนีออน (Neon) และก๊าซอาร์กอน (Argon) ช่วยในการจุดติดหลอด โดยในการดีสชาร์จจะทาให้
ผนังหลอดแก้วร้อนขึ้น ซ่ึงจะทาให้โซเดียมกลายเป็นไอ ให้แสงสีเหลือง หลอดนี้มีช่วงเวลาท่ีใช้ในการจุดติด
หลอดและชว่ งเรม่ิ เปล่งแสง (Run-Up) 12-15 นาที ขอ้ มลู ทว่ั ไปแสดงดงั ตารางท่ี 2.9

เนื่องด้วยประสิทธิผลการส่องสวา่ งที่สูงของหลอดโซเดียมความดนั ต่าหลอดชนิดนี้จึงเหมาะท่ีจะใช้เพื่อ
การอนุรกั ษ์พลงั งานในกรณที ี่ตอ้ งเปดิ ไฟไว้เป็นระยะเวลานาน อาทเิ ชน่ ไฟส่องบรเิ วณหลอดให้ความเพี้ยนสีสูง
จงึ ไม่ควรนาไปใช้กับกิจกรรมหรือบรเิ วณที่ต้องความถกู ต้องของสีสงู

รูปที่ 2.11 หลอดโซเดียมความดนั ต่า

ตารางที่ 2.9 ขอ้ มลู ท่ัวไปของหลอดโซเดียมความดนั ต่า อายุการใชง้ านเฉลี่ย 14,000 ชัว่ โมง

64

2.4.1.9 หลอดไอปรอทความดันสูง (High Pressure Mercury) หรือหลอดแสงจันทร์ เป็นหลอดดีส
ชารจ์ ความดนั สงู ชนิดแรกท่มี ีการผลติ ข้ึนมาใช้งาน เพื่อใช้ทดแทนหลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดชนิดนี้ท่ีใช้เป็น
ไฟส่องสวา่ งสาหรับไฟถนนในซอย หลกั การทางานของหลอดไอปรอทความดันสูง อาจแบ่งได้เป็น 3 ช่วงดังนี้
คอื ชว่ งจุดหลอด (Ignition) ช่วงกาลังเรม่ิ เปลง่ แสง (Run-Up) และชว่ งสภาวะคงตัว (Stabilization)

ชว่ งจดุ หลอด (Ignition) เกิดจากการทางานของข้ัวไฟฟ้าช่วย (Auxiliary Electrode) ของหลอดโดย
เมื่อเรมิ่ จุดหลอดจะเกิดแรงดนั คร่อมระหว่างข้ัวไฟฟ้าหลักและขั้วไฟฟ้าช่วย ซึ่งทาให้เกิดการดีสชาร์จของก๊าซ
ตวั ตา้ นทานท่ีตอ่ อยทู่ ี่ขว้ั ไฟฟ้าจะเป็นตวั จากัดกระแส จนสุดท้ายจะเกิดเป็นอาร์กดีสชาร์จระหว่างข้ัวไฟฟ้าหลัก
ซงึ่ ในช่วงจุดหลอดน้ี หลอดจะทางานที่สภาวะความดนั ต่า และหลอดจะเกิดแสงสีฟ้าขน้ึ

ช่วงกาลังเริม่ เปล่งแสง (Run-Up) หลงั จากจุดหลอดแลว้ อาร์กดสี ชารจ์ ที่เกิดขึ้นในหลอดจะเป็นตัวทา
ให้อุณหภูมิสูงขึ้น ซ่ึงจะทาให้ปรอทกลายเป็นไอ โดยแสงที่ได้จากหลอดจะยังมีค่าไม่เต็มท่ีจนกว่าปรอทใน
หลอดดีสชาร์จจะกลายเป็นไอทั้งหมด เม่ือความดันไออยู่ในช่วงประมาณ 2-15 kpa แสงจะเร่ิมมีสีขาว ซ่ึง
ระยะเวลาท่ใี ช้ตัง้ แต่จุดไส้หลอดจนถึงเวลาทหี่ ลอดใหแ้ สงสวา่ ง 80% จะมีค่าประมาณ 4 นาที

ช่วงสภาวะคงที่ (Stabilization) เป็นชว่ งที่หลอดให้ความสว่างเต็มที่ซ่ึงจะใช้เวลาท้ังหมดประมาณ 5
นาที หลอดไอปรอทความดันสูงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทได้แก่แบบใส และแบบเคลือบสารช่วย
กระจายแสง (ดังรปู ท่ี 2.12) และแบง่ ตามโครงสร้างวงจรไดเ้ ป็น 2 แบบ คือ แบบใช้บัลลาสต์ กับแบบไม่ใช้บัล
ลาสต์ ในหลอดแบบใช้บลั ลาสต์ มคี ่าประสิทธผิ ลการส่องสว่างประมาณ 40-60 ลเู มนต่อวัตต์

หลอดไอปรอทความดันสงู แบบใส หลอดไอปรอทความดนั สูงแบบเคลอื บ

รปู ที่ 2.12 หลอดไอปรอทความดันสงู แบบใสและแบบเคลอื บ

สาหรับในหลอดแบบไม่ใช้บลั ลาสตช์ ว่ ยจดุ หลอด บางคร้ังถกู เรียกว่า หลอดแสงผสม (Blended Light
Lamp) เพ่ือใช้ทดแทนหลอดไส้ที่กาลังไฟฟ้าสูงๆภายในจะมีไส้หลอดลักษณะคล้ายหลอดไส้ให้ความร้อนและ
เปล่งแสงในช่วงแรกทันทีเพ่ือช่วยกระตุ้นให้ก๊าซภายในหลอดอาร์กแตกตัวและเปล่งแสงจริงให้หลอดอาร์กส
วา่ งเตม็ ท่ี หลอดชนิดน้ีมีประสิทธิผลการสอ่ งสวา่ งไม่สงู มากนกั คอื 19-28 ลูเมนต่อวัตต์ มีอายุการใช้งานเฉล่ีย
ประมาณ 6,000 ชั่วโมง ซึ่งสั้นกวา่ แบบใช้บัลลาสต์ แต่มีข้อดีคือเม่ือเปิดไฟ จะมีแสงสว่างที่ได้จากหลอดไส้ใน
ช่วงแรกทันที ทาให้ ส่องสว่างพนื้ ทไี่ ด้ไวกว่า ข้อมลู ท่วั ไปของหลอดไอปรอทความดันสูงแสดงดังตารางท่ี 2.10
และ 2.11

65

ตารางท่ี 2.10 ขอ้ มูลท่วั ไปของหลอดไอปรอทความดันสงู แบบใช้บัลลาสต์ อายกุ ารใชง้ านเฉล่ยี 14,000 ชัว่ โมง

ตารางท่ี 2.11ข้อมลู ท่วั ไปของหลอดไอปรอทความดันสูงแบบไม่ใช้บัลลาสต์ อายุการใชง้ านเฉลีย่ 6,000 ช่ัวโมง

66

2.4.1.10 หลอดโซเดียมความดันสูง (High Pressure Sodium) เป็นหลอดที่ให้ประสิทธิภาพการ
มองเห็นที่ดีท่ีสุดเน่ืองจากหลอดให้เปล่งแสงสีทองเหลือง ซ่ึงเป็นสีท่ีไวต่อการมองเห็นของมนุษย์ หลอด
ประเภทนี้ มีอายุการใชง้ านยาวนานจึงนิยมใช้สาหรับการให้แสงสว่างภายนอกอาคารอาทิเช่น ท่ีจอดรถ ลาน
รับ-สง่ สนิ คา้ ไฟสนามกีฬา เป็นตน้ มลี ักษณะแสดงดังรปู ท่ี 2.13

รูปท่ี 2.13 หลอดโซเดยี มความดนั สูง
หลอดโซเดียมความดนั สงู เปน็ หลอดที่มีประสิทธิผลการส่องสว่างค่อนข้างสูง 70 – 140 lm/W แต่ให้
ความถกู ตอ้ งของสีคอ่ นข้างตา่ (CRI 23) ยกเว้นรุน่ ท่ีมกี ารปรบั ปรงุ คุณภาพของแสงซึ่งจะให้ความถูกต้องของสี
ประมาณ 60 – 85 หลอดไฟประเภทนี้ ต้องจุดไสห้ ลอดด้วยพลั ส์แรงดันสูงประมาณ 1.8-5 kV และต้องใช้เวลา
ในการอุ่นไส้หลอดประมาณ 3 – 7 นาที แสงท่ีออกมาจากหลอดจึงจะสว่างเต็มที่หลอดโซเดียมความดันสูง
สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 4 ประเภทดังน้ี คือ หลอดโซเดียมความดันสูงแบบมาตรฐาน หลอดโซเดียมความดัน
สงู แบบประสิทธิผลการสอ่ งสว่างสูง หลอดโซเดียมที่ออกแบบให้ใช้แทนหลอด ไอปรอทความดันสูงและหลอด
โซเดยี มความดนั สูงทมี่ คี วามถกู ต้องของสสี งู หลอดโซเดียมความดันสูงแบบมาตรฐานใช้เซนอน (Xenon) เป็น
ก๊าซช่วยจุดติดที่ความดันประมาณ 3 kPa โดยต้องใช้อิกนิเตอร์ช่วยในการทาให้ หลอดติด (ยกเว้นหลอดท่ีมี
ขนาดกาลังไฟต่า เช่น 50W และ 70W เนื่องจากว่าแรงดันจุดหลอด(Ignition Voltage) มีค่าสูงถึง 2.8kV
หลอดโซเดียมความดันสูงแบบประสิทธิผลการส่องสว่างสูง สามารถทาได้โดยเพ่ิมความดันของ Xenon เป็น
ประมาณ 30 kPa ซึ่งจะทาให้ประสิทธิภาพการส่องสว่างเพิ่มขึ้นจากหลอดโซเดียมความดันสูงแบบมาตรฐาน
ประมาณ 15% หลอดโซเดียมท่ีออกแบบให้ใช้แทนหลอดไอปรอทความดันสูง หลอดประเภทน้ีสามารถใช้กับ
บัลลาสต์หลอดไอปรอทความดันสูงได้ และไม่ต้องใช้อิกนิเตอร์ (Igniter) เนื่องจากมี Build-in Starting Aid
หลอดโซเดียมความดันสูงประเภทน้ีเม่ือใช้แทนหลอดไอปรอทความดันสูง จะใช้กาลังไฟฟ้าลดลง 15% และ
ให้ฟลกั ซก์ ารสอ่ งสวา่ งเพมิ่ ขึน้ 40 % ขอ้ มูลทว่ั ไปของหลอดโซเดยี มความดนั สงู แสดงไว้ในตารางที่ 2.12

67

ตารางท่ี 2.12 ข้อมูลท่วั ไปของหลอดโซเดียมความดนั สงู อายกุ ารใช้งานเฉลีย่ 18,000 ช่ัวโมง

2.4.1.11 หลอดเมทัลฮาไลด์ (Metal Halide) มีลักษณะการทางานคล้ายหลอดไอปรอทความดันสูง
แต่แตกตา่ งกนั ตรงท่ีภายในหลอดประเภทนจ้ี ะเติมสารประกอบเมทัลฮาไลด์เข้าไปกับปรอท เพ่ือทาให้ได้สีของ
แสงดีข้ึน ดังน้ันหลอดเมทัลฮาไลด์นี้จึงมีคุณสมบัติทางสีที่ดีเหมาะสาหรับใช้ในงานท่ีต้องการแสงสีที่ดี เช่น
สนามกฬี า และโรงงานอุตสาหกรรมทต่ี ้องการเห็นแสงสีของวสั ดุ เป็นต้น

ประสิทธิผลการส่องสว่างของหลอดเมทัลฮาไลด์ขึ้นอยู่กับขนาดกาลังไฟฟ้าแต่โดยทั่วไปแล้วจะมี
ค่าประมาณ 65 - 95 ลูเมนต่อวัตต์ อายุการใชง้ านหลอดประเภทน้จี ะมีอายุการใช้งานน้อยกว่าหลอดไอปรอท
ความดันสูง คือมีอายุการใช้งานประมาณ 9,000-20,000 ช่ัวโมง ลักษณะและข้อมูลท่ัวไปของหลอดเมทัล
ฮาไลดแ์ สดงอยู่ในรูปที่ 2.14 และตารางที่ 2.13 ตามลาดบั

รปู ท่ี 2.14 หลอดเมทัลฮาไลด์

68

ตารางท่ี 2.13 ข้อมลู ทว่ั ไปของหลอดเมทัลฮาไลด์ อายุการใช้งานเฉลย่ี 9,000-20,000 ช่ัวโมง
2.4.1.12 หลอดแอลอีดี (Ligh Emitting Diode , LED) หลอดแอลอีดีเป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนาท่ีมี

การเปล่งแสงและถูกควบคุมการกระจายแสงด้วยเลนส์ที่เคลือบไว้ เม่ือใช้งานกับแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรง
อเิ ลก็ ตรอนจะผา่ นไปตามอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ทาให้เกิดแสงออกมาตามความถี่ของแสงท่ีได้กาหนดไว้ดัง
รปู ท่2ี .15 ปจั จุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีหลอดแอลอีดีให้มีความเข้มการส่องสว่างสูงจนสามารถใช้กับงาน
ดา้ นแสงสว่างได้ซง่ึ มีขอ้ อดีเม่ือเทยี บกบั หลอดประเภทอื่น คอื ขนาดเล็กกระทัดรัด ทนการสั่นสะเทือนสูง เปิด
ปิดได้บ่อยครั้ง อายุยาวนานมีประสิทธิผลด้านแสงสูง ไม่มีการแผ่รังสียูวีและอินฟราเรด ไม่มีกาลังสูญเสียใน
การจุดหลอด ซ่ึงแอลอีดีสมัยใหม่ท่ีนิยมใช้งานด้านน้ีคือ อะลูมินั่มอินเดียมแกลเลียมฟอสไฟด์ (Aluminum
indiumgallium phosphide, AllInGaP) และ อินเดียมแกลเลียมไนไตรด์ (Indium gallium nitride,
InGaN) โดยแบ่งกลุ่มหลอดแอลอีดีสมรรถนะสูงดังนี้ คือ หลอดแอลอีดีทรงวงรี หลอดแอลอีดีฟลักซ์การส่อง
สว่างสงู (High fluxemitter) และหลอดแอลอดี ีฟลักซ์การส่องสว่างสูงมาก (Very high flux emitter) (ดูรูปที่
2.15) ซ่งึ นยิ มใชก้ บั งานป้ายโฆษณา ป้ายสญั ลักษณ์ และไฟสัญญาณจราจร หรืองานที่ต้องการลักษณะการให้
แสงทมี่ ีความเขม้ การส่องสวา่ งสูง โดยหลอดแอลอีดีสมรรถนะสงู ขนาด 1 วัตต์ สีแดงจะให้ประสิทธิผลการส่อง
สวา่ งประมาณ 37 ลเู มนต่อวัตต์ สีเขียวจะให้ประสิทธิผลการส่องสว่างประมาณ 40 ลูเมนต่อวัตต์ สีน้าเงินจะ
ให้ประสิทธผิ ลการสอ่ งสวา่ งประมาณ 12 ลูเมนตอ่ วตั ต์และสีขาวจะใหป้ ระสทิ ธิผลการสอ่ งสว่างประมาณ 34 ลู
เมนต่อวตั ต์ มีอายุการใชง้ านประมาณ 50,000 ชวั่ โมง

69

รปู ที่ 2.15 หลอดแอลอีดสี มรรถนะสูง

ปัจจุบันได้มีการพัฒนาแอลอีดีให้อยู่ในรูปหลอดไฟท่ีมีข้ัวหลอดแบบท่ัวไป เช่น E27 และ E40 ซ่ึง
สามารถเปลีย่ นทดแทนหลอดไส้ หรือหลอดปล่อยประจุความเข้มแสงสูง (HID) ได้เลย (ดูรูปที่ 2.16) สามารถ
ใชไ้ ดท้ ั้งในและนอกอาคาร และในสถานที่ที่ไม่ต้องการการเกิดประกายไฟช่วงจุดหลอด ทางานได้ในอุณหภูมิ
ช่วงกว้างถงึ -40 ถึง 180 องศาฟาเรนไฮน์ ความเสือ่ มทางแสงต่า จุดตดิ เรว็ ไม่ต้องใช้บลั ลาสต์ในหลอดแอลอีดี
ย่อยแต่ละตัวจะมีขนาดเล็ก มีเลนส์ค่าสะท้อนแสงสูงอยู่ในตัว และบังคับทิศทางแสงส่องลงด้านล่างเป็นหลัก
จงึ ไมจ่ าเป็นตอ้ งใชโ้ คมท่มี กี ารสะทอ้ นแสงสูง มแี สงบาดตาต่า ประหยัดเงินคา่ บารุงรักษาหลอดประเภทน้ียังไม่
นิยมใช้แพร่หลายเน่ืองจากมีราคาสูงอยู่มาก ข้อมูลท่ัวไปของหลอดแอลอีดีสมรรถนะสูงแสดงไว้ในตารางท่ี
2.14

ก) หลอดขนาด 5 W 300 lm ขั้วหลอด E27 ข) หลอดขนาด 28 W 2,100 lm ขวั้ หลอด E40

ค) หลอดสาหรบั ไฟถนนชนิดสาเร็จรปู ทง้ั ดวงโคม
รปู ท่ี 2.16 หลอดแอลอีดสี มรรถนะสงู ท่ีออกแบบใชท้ ดแทนหลอดไฟแบบทว่ั ไป

70

ตารางท่ี 2.14 ข้อมูลท่ัวไปของหลอดแอลอีดีสมรรถนะสูงท่ีออกแบบในรูปหลอดไฟข้ัวหลอดแบบท่ัวไปอายุ
การใช้งานเฉลีย่ 50,000 ชัว่ โมง

จากประเภทหลอดไฟท่ีได้กล่าวมาข้างต้นท้ังหมดสามารถทาการสรุปเปรียบเทียบข้อมูลสาคัญเกี่ยวกับ
ประสิทธภิ าพพลงั งานของหลอดไฟประเภทต่างๆ ดังแสดงในตารางท่ี 2.15

71

ตารางที่ 2.15 การเปรยี บเทยี บคา่ ประสทิ ธภิ าพพลงั งานของหลอดไฟ

72

ตารางท่ี 2.15 (ต่อ) การเปรียบเทยี บค่าประสิทธิภาพพลงั งานของหลอดไฟ

2.5 การพิจารณาเลือกใช้หลอดไฟ

การเลือกหลอดไฟฟ้าเพื่อการอนุรักษ์พลังงานอาจพิจารณาได้จากค่าประสิทธิผลการส่องสว่างโดย
หลอดที่มีประสิทธิภาพพลังงานที่สูงหมายถึง หลอดไฟฟ้าน้ันมีค่าประสิทธิผลการส่องสว่าง ซ่ึงประหยัด
พลังงานมากกว่าหลอดไฟฟ้าที่มีค่าประสิทธิภาพพลังงานท่ีต่าอย่างไรก็ตามโดยหลอดแต่ละประเภทมีความ

แตกตา่ งดา้ นการนาไปใชง้ าน ดังน้ัน จึงไม่ควรพิจารณาเฉพาะค่าประสิทธิผลการส่องสว่างเพียงอย่างเดียวยัง
ต้องมีปัจจัยอ่ืนประกอบอีกมากมาย เช่น ฟลักซ์การส่องสว่าง กาลังไฟฟ้า อุปกรณ์ประกอบ อายุการใช้งาน

ความถูกต้องของสี ราคาหลอดไฟ ประเภทกิจกรรม และข้อเปรียบเทียบด้านการใช้งานในท่ีต่าง ๆ เป็นต้น
ตารางท่ี 2.16 ได้แสดงสรุปเปรียบเทียบสมบัติด้านต่างๆ ของหลอดไฟเพื่อประโยชน์ในการตัดสินเลือกใช้
หลอดไฟ

73

ตารางท่ี 2.16 การเปรยี บเทียบสมบตั ิด้านต่างๆ ของหลอดประเภทตา่ งๆ

ดัชนีบอกความถูกต้องของสี (Color Rendering Index, CRI) เป็นการวัดค่าของหลอดไฟว่ามี
ประสิทธิภาพในการแสดงคุณลักษณะของสีเป็นอย่างไรโดยจะใช้ค่าดัชนีบอกความถูกต้องของสีเป็นตัว
เปรียบเทียบ ดังนั้นค่า CRI จะเป็นตัวบ่งชี้ความถูกต้องของสีของหลอดไฟชนิดต่างๆ เปรียบเทียบกับความ
ถกู ตอ้ งของสที ไี่ ด้จากแสงอาทิตย์ซงึ่ มีคา่ CRIเทา่ กับ 100

74

2.6 อปุ กรณท์ ใี่ ชร้ ว่ มกบั หลอดไฟฟ้าท่มี ีผลต่อประสทิ ธภิ าพพลงั งาน
2.6.1 บลั ลาสต์
บัลลาสต์เปน็ อุปกรณ์ทจี่ าเปน็ สาหรับการใช้งานควบคมุ การทางานของหลอดกา๊ ซดีสชาร์จนอกจาก จะ

ชว่ ยในการทางานของวงจรไฟฟา้ แสงสวา่ งให้สมบูรณ์แล้ว ยังมีผลต่อการควบคุมฟลักซ์การส่องสว่าง อายุการ
ใชง้ านของหลอด และการใชพ้ ลังงานไฟฟา้ ในวงจรดว้ ยบัลลาสต์มีหน้าทหี่ ลักท่ีสาคัญ 2 ประการ คือ

ก) ประการแรก ช่วยสร้างให้เกิดแรงดันเพียงพอในการจุดหลอดก๊าซดีสชาร์จให้ติดควบคุมปริมาณ
กระแสไฟฟ้าผา่ นหลอดขณะสตาร์ตและทางาน

ข) ประการที่สอง จ่ายกาลังไฟฟ้าใหห้ ลอดอย่างเหมาะสม นอกจากนั้นอาจมีหน้าท่ีอื่นๆเช่น การปรับ
หร่ีแสงสว่าง เป็นต้น

2.6.1.1 บัลลาสต์แกนเหล็ก (Electromagnetic Ballast) โครงสร้างเป็นขดลวดพันรอบแกนเหล็ก
(core & coil) ซ่ึงชนิดที่นิยมใช้ในประเทศไทยเป็นแบบตัวเหนี่ยวนา (inductor) หรือเรียกว่า โช้ก (choke)
โดยทาหน้าที่หลักทั้ง 2 ประการของบัลลาสต์ คือ สร้างแรงดันสูงเหน่ียวนาเพื่อใช้จุดหลอดให้ติดและจากัด
กระแสให้หลอดอย่างเหมาะสมต้องเลือกให้เหมาะสมกับหลอดแต่ละประเภท แต่ละชนิด และแต่ละขนาด ซึ่ง
บลั ลาสตเ์ ปน็ อปุ กรณ์ท่จี าเปน็ สาหรบั หลอดก๊าซดีสชาร์จเพราะเมื่อหลอดไฟผ่านขั้นตอนการจุดติดแล้วนั้น ค่า
ความต้านทานของหลอดจะลดลงอย่างมาก จึงต้องนาบัลลาสต์มาต่ออนุกรมในวงจรเพ่ือทาหน้าท่ีเป็นตัว
ตา้ นทานมิใหก้ ระแสไหลเกินพกิ ัดจนไสห้ ลอดขาด

การใช้งานร่วมกันระหว่างหลอดไฟฟ้าและบัลลาสต์จะต้องเป็นชนิดที่ออกแบบให้ใช้งานร่วมกันได้
หากใช้งานผิดชนดิ กันยอ่ มทาให้เกดิ ผลเสยี หายหลายอย่าง เชน่ จุดหลอดติดยาก หลอดเสื่อมสภาพเร็ว อายุใช้
งานส้ัน กาลังสูญเสียในบัลลาสต์สูงซึ่งจะทาให้ อายุงานบัลลาสต์สั้นลงได้ การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
จะต้องเลือกใชบ้ ลั ลาสตท์ ม่ี ีประสิทธภิ าพสงู และเหมาะสมกับหลอดไฟ สามารถแบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ

2.6.1.1.1 บัลลาสต์แกนเหล็กทั่วไป (Conventional ballast) ในการทางานบัลลาสต์ซ่ึงเป็นขดลวด
พันอยู่รอบแกนเหล็กเพื่อสร้างค่าความเหน่ียวนาสูง ซ่ึงมีผลทาให้มีค่าความต้านทานสูงเกิดกาลังสูญเสียมาก
ตามไปด้วยโดยมีค่ากาลังสูญเสียประมาณ 8 – 12 วัตต์ สาหรับบัลลาสต์ท่ีใช้กับหลอด 36 หรือ 40 วัตต์ และ
หลอด 18 หรือ 20 วัตต์ การสญู เสยี ดงั กลา่ วจะเปล่ียนไปในรูปของความร้อน ทาให้อุณหภูมิบัลลาสต์ ขณะใช้
งานอาจสูงถึง 75 – 90 °C จะทาให้ฉนวนที่เคลือบขดลวดค่อยๆ เส่ือมสภาพและเส่ือมอายุการใช้งาน ตาม
เวลา โดยทวั่ ไปบัลลาสตแ์ กนเหลก็ แบบทว่ั ไปตามมาตรฐาน มอก. มอี ายุการใชง้ านประมาณ 10 ปีใช้งาน (หาก
ใชง้ านไม่ตลอด 24 ชม. ต่อวนั ก็อาจใช้งานได้นานถึง 30 ปี ตลอดอายุอาคาร)

2.6.1.1.2 บัลลาสต์แกนเหล็กแบบกาลังสูญเสียต่า (low loss ballast) เป็นบัลลาสต์แกนเหล็ก
ประสทิ ธิภาพสูง ที่ลดการสูญเสียพลังงานในบัลลาสต์เหลือเพียงประมาณ 5 – 6 วัตต์ โดยการใช้เส้นลวดท่ีมี
ขนาดใหญ่ขนึ้ และใชแ้ กนเหล็กทม่ี ีคณุ ภาพดี ปัจจุบัน ประเทศไทยมโี ครงการจัดต้ังภายใต้ความร่วมมือระหว่าง
บริษัทผ้ผู ลิต และนาเขา้ ผลิตภณั ฑบ์ ลั ลาสต์ สานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) การไฟฟ้าฝ่าย
ผลิตแห่งประเทศไทย

การไฟฟา้ นครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องต่างๆ เพ่ือให้ข้อมูลที่ชัดเจน
แกป่ ระชาชน เกี่ยวกบั ค่าความสญู เสยี พลงั งานของบัลลาสต์ และระดบั ประสิทธิภาพของบัลลาสต์นั้นๆ เพื่อให้
ผปู้ ระกอบการพัฒนาผลติ ภัณฑ์บัลลาสตใ์ หเ้ ป็นอุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงานไฟฟ้าอีกประเภทหน่ึงและเพื่อเป็น
ทางเลือกให้กับประชาชนในการใช้บัลลาสต์ท่ีมีคุณภาพสูงข้ึนสูญเสียพลังงานน้อยลงและสามารถหาซื้อได้ใน
ราคาท่ีเหมาะสม เพื่อให้เกิดการยอมรับในมาตรฐานระดับประสิทธิภาพและคุณภาพของบัลลาสต์ประหยัด
ไฟฟ้า โดยกาหนดชื่อกลางเพอื่ เรยี กบัลลาสตด์ ังกลา่ วว่า “บัลลาสต์เบอร์ 5 นิรภัย” ซึ่งจะต้องผลิตภัณฑ์ท่ีผ่าน

75

การทดสอบและรบั รองจากสานกั งานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อสุ าหกรรม มอก. 23-2521 และต้องมีค่ากาลังไฟฟ้า
สูญเสียในตัวบัลลาสต์ต่ากว่า 6 W ที่กระแสไฟฟ้าทดสอบไม่ต่ากว่า 0.398 A สาหรับบัลลาสต์ที่ใช้กับหลอด
36W และกระแสทดสอบไม่ต่ากว่า 0.343 A สาหรับบัลลาสต์ท่ีใช้กับหลอด 18 W ในสภาวะ Hot Loss
ผลิตภัณฑ์ทผ่ี ่านเกณฑ์การทดสอบจะไดร้ บั การตดิ ฉลากเบอร์ 5 ลักษณะดังรูปที่ 2.17

รูปท่ี 2.17 ตวั อยา่ งฉลากบลั ลาสตก์ าลังสูญเสยี ตา่ หรอื “บลั ลาสต์เบอร์ 5 นริ ภยั ” ทีม่ คี ่ากาลังไฟฟ้าสูญเสียใน
ตวั บลั ลาสตต์ า่ กว่า 6 W ใชส้ าหรับสาหรบั หลอดผอมขนาด 18 W หรือ 36 W

2.6.1.2 บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic ballast) การทางานของบัลลาสต์ชนิดนี้เหมือนบัลลา
สตแ์ กนเหล็กมีโช้กทาหนา้ ท่หี ลักทง้ั 2 ประการของบัลลาสต์ แต่การจะลดการสูญเสียกาลังไฟฟ้าในโช้กได้โดย
การลดขนาดโชก้ ใหเ้ ลก็ ลงน้นั จาเปน็ ตอ้ งใชว้ งจรอิเล็กทรอนิกส์ทาการเปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายปกติ
ความถ่ี 50 Hz เป็นความถ่ีสูงไม่น้อยกว่า 20,000 Hz (เกณฑ์ 20 kHz เป็นความถี่สูงขั้นต่า ท่ีหูคนท่ัวไปจะ
ไม่ได้ยินเสียงการทางาน) ซง่ึ การใชค้ วามถ่สี งู กจ็ ะทาให้สามารถลดขนาดโช้กของบลั ลาสต์ให้มีขนาดเล็กน้าหนัก
เบามีการสูญเสียต่า และประหยัดไฟได้มากกว่าบัลลาสต์แกนเหล็กได้ ปัจจุบันมีการพัฒนาบัลลาสต์
อิเล็กทรอนิกสท์ ่ใี ชง้ านในระดับความถี่ kHz – MHz ดังรปู ที่ 2.18

รปู ที่ 2.18 แผนผังแสดงส่วนทางานหนา้ ท่ีตา่ ง ๆ ของบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์
บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์จะประกอบด้วยส่วนสร้างความถี่สูง (HF Generator) และ ส่วนโช้ก(Lamp
Controller) โดยมีวงจรควบคมุ (Ballast Controller) ควบคุมการทางาน ส่วนวงจรกาจัดคล่ืนรบกวน(Filter
for Interference Suppression) น้ันเป็นวงจรที่อาจมีในบัลลาสต์ท่ีมีราคาสูงและจัดว่ามีคุณภาพดี ซ่ึงบัล
ลาสตร์ าคาถกู บางรนุ่ อาจไม่มวี งจรส่วนน้ี ดังรูปที่ 2.19

76

รูปที่ 2.19 ตวั อยา่ งภาพอุปกรณ์ภายในกล่องบลั ลาสตอ์ เิ ล็กทรอนกิ ส์

บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์โดยทั่วไปแล้วจะมีค่าตัวประกอบกาลังต่าจึงต้องใช้อุ ปกรณ์ปรับปรุงค่าตัว
ประกอบกาลังอุปกรณ์ปรับปรุงตัวประกอบกาลังจะถูกต่อระหว่างแหล่งจ่ายไฟและบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์
อุปกรณ์ปรับปรุงตัวประกอบกาลังถูกออกแบบให้อยู่ในรูปขดลวดเหนี่ยวนาหรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้
ในขณะท่ีอุปกรณ์ปรับปรุงตัวประกอบกาลังชนิดวงจรอิเล็กทรอนิกส์มักจะประกอบเข้าเป็นส่วนหน่ึงของบัล
ลาสต์

2.6.1.3 การเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และพลังงานที่ใช้ของบัลลาสต์ ในหัวข้อนี้กล่าวถึงข้อสรุปการ
เปรียบเทยี บการใช้บลั ลาสตช์ นดิ ตา่ ง ๆ ต้ังแตเ่ ปรียบเทยี บข้อดี ข้อเสีย ของบัลลาสต์แกนเหล็ก(ตารางท่ี 2.17)
และบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ (ตารางท่ี 2.18) ในด้านการใช้งานและเปรียบเทียบกาลังสูญเสียในบัลลาสต์ของ
หลอดชนิดต่างๆ ข้อมูลทางไฟฟ้าของอิกนิเตอร์ท่ีใช้กับหลอดก๊าซดีสชาร์จความดันสูง เปรียบเทียบลักษณะ
กระแสผ่านหลอดและแรงดนั คร่อมหลอดเม่ือใช้บัลลาสต์ต่างชนิด เปรียบเทียบลักษณะกระแสผ่านหลอดและ
แรงดันคร่อมหลอดเม่ือใช้บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณภาพต่าและมีคุณภาพสูง เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการ
เลือกใชง้ านใหเ้ หมาะสม

2.6.2 โคมไฟสอ่ งสวา่ ง (Luminaries)
โคมไฟส่องสว่างเปน็ อปุ กรณท์ าหน้าทบี่ ังคบั ทิศทางของแสงจากหลอดไฟ ใหก้ ระจายไปในทิศทางต่างๆ โคมไฟ
แตล่ ะชนิดจึงเหมาะสมกบั งานที่แตกตา่ งกันไป การเลือกใชโ้ คมไฟจึงต้องพจิ ารณาปัจจัยตา่ งๆ ให้

ตารางท่ี 2.17 ข้อด-ี ข้อเสยี ของบัลลาสตแ์ กนเหล็ก

77

ตารางที่ 2.18 ขอ้ ดี-ขอ้ เสยี ของบลั ลาสตอ์ เิ ล็กทรอนิกส์

เหมาะสมกบั สภาพการใช้งาน และความตอ้ งการในเรอ่ื งความสวยงามไปพร้อมๆกันด้วย ลักษณะของ
โคมไฟทม่ี ีใชแ้ พร่หลายในโรงงานและอาคารมลี กั ษณะดังต่อไปนี้

การแบ่งดวงโคมประเภทต่างๆ ดวงโคมที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันน้ีจะมีอยู่หลายประเภท หลายขนาด
และมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป ท้ังน้ีก็ข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของการนาไปใช้งานของดวงโคมแต่ละประเภท

แตล่ ะสถานที่ ดวงโคมสามารถแยกประเภทได้ตามลักษณะการพิจารณา ดงั น้ี
พจิ ารณาตามลักษณะประเภทและการติดตัง้ ดวงโคม
พิจารณาตามลกั ษณะของการนาไปใชง้ านของดวงโคม

พิจารณาตามลกั ษณะของหลอดไฟท่ีจะใชก้ บั ดวงโคม
พจิ ารณาตามลักษณะของการกระจายแสงสว่างของดวงโคม

2.6.2.1 พิจารณาตามลักษณะประเภทและการติดตั้งดวงโคม เม่ือมีการติดตั้งดวงโคมผู้ออกแบบจะ
พจิ ารณาถงึ ลักษณะของสถานทีท่ จ่ี ะตดิ ตง้ั ดวงโคมว่าควรจะใช้ดวงโคมประเภทใด ซ่ึงสามารถจาแนกประเภท
ของดวงโคมทจ่ี ะติดตง้ั กบั สถานทต่ี า่ งๆ ไดด้ งั นี้

2.6.2.1.1 ดวงโคมสาหรับตดิ ตงั้ แบบห้อย หรือแขวนจากเพดานหรือคานลงมา มีลักษณะดังรูปท่ี 2.20
(ก) และ (ข) สว่ นใหญแ่ ล้วดวงโคมประเภทน้ีจะใช้สาหรับบริเวณที่มีความสูงจากพื้นงานถึงเพดานสูงกว่าปกติ

หรือเพื่อความสวยงามและใหไ้ ด้แสงสวา่ งพอเพียง

78

(ก) ลักษณะดวงโคมของหลอดฟลอู อเรสเซนตแ์ บบหอ้ ย (ข) ลักษณะดวงโคมของหลอด
อินหรือแขวน แคนเดสเซนต์ แบบห้อยหรือแขวน

รปู ที่ 2.20 ลักษณะของดวงโคมสาหรบั ติดตงั้ แบบหอ้ ยหรือแขวน

2.6.2.1.2 ดวงโคมสาหรบั ยดึ ตดิ กบั เพดาน คอื ดวงโคมทต่ี ิดต้ังให้ตัวดวงโคมยึดติดกับฝ้าหรือเพดานมี

ลักษณะดังรูปท่ี 3.21 ส่วนใหญ่แล้วจะใช้สาหรับบริเวณที่มีความสูงจากพ้ืนงานถึงเพดานไม่สูงนัก มักจะใช้
ติดตัง้ ในสาหรบั สานักงานหรือตามบ้านเรือน

รูปท่ี 2.21 ลักษณะของดวงโคมสาหรบั ยึดติดกับฝ้าหรือเพดาน
2.6.2.1.3 ดวงโคมสาหรบั ยึดติดเขา้ ไปในเพดานหรือฝา้ คือ ดวงโคมท่ตี ิดตง้ั แล้วจะต้องยดึ ติดลึกเข้าไป
ในสว่ นของเพดาน อาจจะมสี ่วนที่เปน็ ฝาครอบพลาสติกปิดหน้าของดวงโคมหรือเป็นตะแกรงอลูมิเนียมปิดอยู่
ด้านหน้า โดยอาจจะมีส่วนท่ีย่ืนจากเพดานหรือไม่มีก็ได้ มีลักษณะดังรูปที่ 3.22 ส่วนใหญ่แล้วจะใช้สาหรับ
บริเวณที่มีความสูงจากพื้นฐานถึงเพดานไม่สูงนัก เหมาะสาหรับจะติดต้ังในสานักงาน ตามห้างสรรพสินค้า
หรือห้องอาหาร เปน็ ต้น

รูปท่ี 2.22 ลักษณะดวงโคมของหลอดฟลูออเรสเซนตช์ นดิ ติดยึดเข้าไปในเพดานหรอื ฝา้

79

2.6.2.2 พิจารณาตามลักษณะของการนาไปใช้งาน ชนิดของโคมไฟออกตามลักษณะการนาไปใช้งาน
ดงั รูปท่ี 2.23 เชน่ โคมไฟสาหรบั งานอตุ สาหกรรม โคมไฟสาหรับบ้าน โคมไฟประดับ โคมไฟถนน นอกจากนี้
ยังมโี คมไฟท่ีออกแบบสาหรบั งานพเิ ศษเฉพาะอยา่ ง เชน่ โคมกันระเบดิ ที่ใชใ้ นที่อาจติดไฟได้ง่าย โคมกันน้ากัน
ฝนุ่ เป็นต้น

รูปที่ 2.23 ลกั ษณะของดวงโคมตามลักษณะการนาไปใชง้ านสาหรับไฟถนนบรเิ วณโรงงานท่ีมีสารเคมี

2.6.2.3 พิจารณาตามลักษณะของหลอดไฟ หลอดไฟที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะมีรูปร่าง ตลอดจน
คณุ ลกั ษณะเฉพาะตัวเชน่ กาลงั ไฟฟา้ ทใี่ ชต้ ่างกันออก ดงั นน้ั โคมไฟตอ้ งถูกออกแบบเพือ่ ให้เหมาะสมกับลักษณะ
ของหลอด และความปลอดภยั เมื่อนามาใช้งาน หากแบ่งโคมไฟตามประเภทของหลอดอาจแบ่งออกได้เป็น 3
ประเภทใหญๆ่ ไดแ้ ก่ โคมไฟท่ีใช้กบั หลอดอินแคนเดสเซนต์ โคมไฟท่ีใช้กับหลอดฟลูออเรสเซนต์ และโคมไฟที่
ใช้กับหลอด HID ดังรปู ท่ี 2.24

โคมไฟสาหรบั หลอดอนิ แคนเดสเซนต์ โคมไฟสาหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์

โคมไฟสาหรับหลอดประเภท HID
รปู ท่ี 2.24 ลกั ษณะของดวงโคมทพ่ี ิจารณาตามลกั ษณะของหลอดไฟชนิดตา่ งๆ

80

2.6.2.4 พจิ ารณาตามลกั ษณะการกระจายแสงสว่างของดวงโคม
2.6.2.4.1 การกระจายกาลงั การสอ่ งสวา่ งของแสงสว่างของดวงโคม ดวงโคมแตล่ ะประเภท ท่ีถูกสร้าง
ขึ้นมาจะต้องมีการทดสอบหาค่าการกระจายกาลังการส่องสว่างของแสงสว่างของดวงโคมหรือหลอดไฟ
(Candle Power Distribution) ซึ่งหมายถึงกราฟแสดงการกระจายแสงสว่างในหน่วยของกาลังเทียน โดย
ปกติแล้วหน้าท่ีโดยตรงของดวงโคมจะเป็นตัวควบคุมการกระจายแสงสว่างให้ไปตกลงบนพ้ืนที่ที่เราต้องการ
สอ่ งสวา่ ง และดวงโคมแตล่ ะแบบแต่ละชนิดจะมีลกั ษณะการกระจายแสงสว่างไมเ่ หมือนกัน ซึง่ สามารถท่ีจะหา
รูปร่างลักษณะการกระจายกาลังการส่องสว่างของแสงสว่างของดวงโคมแต่ละดวงโคมน้ัน ณ มุมต่างๆ รอบ
ดวงโคมโดยใหอ้ ยู่ในแนวรัศมีเดียวกัน แล้วนามาบันทึกลงในกระดาษกราฟในระบบพิกัดเชิงขั้วระยะเดียวกัน
(Polar Coordinate) อาจจะได้เสน้ โคง้ การกระจายกาลงั การส่องสว่างของแสงสว่างของดวงโคมออกมาดังรูป
2.25

รูปที่ 2.25 กราฟเส้นโคง้ การกระจายความเขม้ การส่องสวา่ งของดวงโคม

โดยปกตแิ ลว้ เสน้ โค้งการกระจายกาลงั การส่องสวา่ งของแสงสวา่ งของดวงโคมนีจ้ ะมลี กั ษณะที่แตกต่าง
กันออกไปอีกหลายแบบ แล้วแต่ชนิดของดวงโคมที่เรานามาทดสอบหรือแล้วแต่ชนิดของหลอดไฟที่มีรูปร่าง
แตกต่างกนั ออกไป ประโยชน์จากเส้นโค้งการกระจายกาลังการส่องของแสงสวา่ งของดวงโคมนี้คือ ทาให้ทราบ
ถึงลักษณะการกระจายแสงสวา่ งทีอ่ อกจากดวงโคมแบบตา่ ง ๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ดวงโคมได้เหมาะสมกับ
ประเภทของงาน และคา่ ที่อ่านไดจ้ ากเสน้ โค้งการกระจายกาลงั การสอ่ งสวา่ งของแสงสวา่ งของดวงโคมน้ีเป็นค่า
เฉพาะจดุ ใดจุดหนง่ึ เท่านัน้ ไมใ่ ช่ค่าเฉลี่ยทั่วพ้ืนที่บริเวณท่ีต้องการคานวณ บางคร้ังดวงโคมสองชุดอาจจะมีค่า
ปริมาณจานวนเสน้ แรงของแสงสว่างรวมเท่ากัน แต่ก็ไม่จาเป็นท่ีลักษณะของการกระจายแสงสว่างที่ออกจาก
ดวงโคมจะตอ้ งเหมอื นกนั หรอื บางครั้งโรงงานผู้ผลิตดวงโคมอาจจะจัดทาตารางแสดงค่าของการกระจายแสง
สวา่ งทมี่ ุมต่าง ๆ มาให้ ดังรปู ท่ี 2.26 ทาให้สามารถคานวณหรือบอกได้ว่าดวงโคมที่เห็นอยู่น้ันเป็นดวงโคมท่ีมี
การกระจายแสงสวา่ งแบบใด

81

รปู ท่ี 2.26 ข้อมูลการกระจายแสงของดวงโคมดาวนไ์ ลน์
2.6.2.4.2 ลักษณะการกระจายแสงของดวงโคมประเภทตา่ งๆ ดวงโคมที่สรา้ งขึ้นมามีลักษณะของการ
กระจายแสงสวา่ งตา่ ง ๆ กันออกไป ข้นึ อยกู่ บั ความต้องการของงานประเภทน้นั ๆ เมื่อมีการกระจายแสงสว่าง
ออกเปน็ หลาย ๆ ลักษณะ ก็จาเป็นจะตอ้ งมีการจดั หมวดหมูห่ รือจาแนกประเภทของการกระจายแสงสว่างของ
ดวงโคมนั้นออกไป โดยใชห้ ลักการของการกระจายแสงสวา่ งในแนวดิง่ ของดวงโคม โดยพจิ ารณาจากอัตราส่วน
ของปรมิ าณพลักซ์การส่องสวา่ งทพ่ี ุง่ ออกมาจากดวงโคมท่ีลงสู่พื้นต่อปริมาณของแสงสว่างที่กระจายออกจาก
ดวงโคมขนึ้ สเู่ พดาน ซ่งึ สามารถแบง่ ประเภทของดวงโคมตามลกั ษณะของการกระจายแสงสว่างได้ 6 ชนิด คอื
1) ดวงโคมแบบกระจายแสงสว่างลงด้านลา่ ง (Direct Luminaire) ดวงโคมประเภทนี้เป็นดวงโคมท่ี
มีการกระจายแสงสว่างส่วนใหญ่ประมาณ 90 – 100 % ของแสงสว่างทั้งหมดลงสู่พื้น และส่วนท่ีเหลือ
ประมาณ 0 – 10 % จะกระจายแสงสว่างขึน้ สเู่ พดาน ดังรูปท่ี 2.27

82

รูปท่ี 2.27 ลักษณะของการกระจายแสงสว่างของดวงโคมแบบกระจายแสงสวา่ งลงด้านล่าง
(Direct Luminaire)

ดวงโคมประเภทนีม้ ขี อ้ ดีอยู่ท่ีวา่ เราสามารถทจ่ี ะควบคุมทิศทางของการกระจายแสงสว่างให้ไปตกลง
พืน้ งานที่ตอ้ งการได้ง่าย แต่มีขอ้ ควรระวงั เวลาใช้ดวงโคมประเภทนีค้ ือ จะต้องจัดระยะห่างระหว่างดวงโคมให้
เหมาะสม มิฉะน้ันอาจจะทาให้เกิดเงาข้ึนได้ระหว่างจุดก่ึงกลางของดวงโคมท่ีใช้ในการติดตั้งและอีกประการ
หนึ่ง ก็คือ ความแตกต่างระหว่างความจ้าของแสงสว่างที่สะท้อนออกจากตัวดวงโคมกับผนังเพดานจะมีมาก
จะต้องทาการแก้ไขโดยอาจจะใช้วิธีทาสีเข้าช่วย หรือติดต้ังอุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ีมีเปอร์เซ็นต์ในการสะท้อนแสง
สว่างสูง เข้าช่วย

2) ดวงโคมแบบก่ึงกระจายแสงสว่างลงด้านล่าง (Semi – direct Luminaire) ดวงโคมประเภทนี้
เป็นดวงโคมทม่ี ีการกระจายแสงสวา่ งสว่ นใหญ่ประมาณ 60 – 90 % ของแสงสว่างท้ังหมดลงสู่พ้ืน และท่ีเหลือ
10 – 40 % จะกระจายแสงสว่างขึ้นไปบนเพดาน ดังรูปท่ี 2.28 ดวงโคมประเภทน้ีมีข้อดีอยู่ที่มันสามารถลด
ความจา้ ของแสงสว่างที่สะท้อนระหว่างดวงโคมและเพดานได้ดีกว่าแบบแรกและมีข้อควรระวังคือ เม่ือติดตั้ง
ดวงโคมประเภทนี้แล้วจะต้องจัดระยะห่างระหว่างดวงโคมให้เหมาะสม เพราะอาจจะทาให้เกิดเงาข้ึนได้
ระหวา่ งจุดก่ึงกลางของดวงโคมที่ใช้ในการติดต้ัง

รปู ที่2.28 ลักษณะของการกระจายแสงสวา่ งของดวงโคมแบบกง่ึ กระจาย
แสงสวา่ งลงด้านล่าง (Semi – directLuminaire)

83

3) ดวงโคมแบบกระจายแสงสว่างรอบด้าน (General Diffuse Luminaire) ดวงโคมประเภทนี้เป็นดวง
โคมทีม่ ีการกระจายแสงสวา่ งไฟฟ้ารอบดวงโคมทุกทิศทาง คือ มีการกระจายแสงสว่างลงสู่พื้น กระจายแสงสว่าง
ขนึ้ สู่เพดานและกระจายแสงสวา่ งตามแนวระดับของดวงโคมพอๆ กัน ดังรูปที่ 2.29 ดวงโคมประเภทน้ีมีข้อดีคือ
ค่าความจา้ ของแสงสวา่ งจะสมา่ เสมอกันท่ัวทั้งห้องและดูสบายกว่าสองแบบแรก แต่มีข้อเสีย คือ ค่าสัมประสิทธ์ิ
การใช้ประโยชนจ์ ะมีค่าต่ากว่าสองแบบแรก เพราะการควบคุมแสงสว่างใหไ้ ปตกในบริเวณที่ต้องการไดย้ ากกว่า

รปู ท่ี 2.29 ลักษณะของการกระจายแสงสว่างของดวงโคมแบบกระจายแสงสวา่ งรอบด้าน
4) ดวงโคมแบบกระจายแสงสว่างขึ้นด้านบนและลงด้านล่าง (Direct – Indirect Luminaire) ดวง
โคมประเภทนี้เป็นดวงโคมท่ีมีการกระจายแสงสว่างข้ึนสู่เพดานและกระจายแสงสว่างลงสู่พื้นเท่ากัน ไม่
กระจายแสงสว่างสู่แนวระดบั ดงั รปู ท่ี 2.30 ดวงโคมประเภทนี้มขี ้อดีคือ ค่าความจ้าของแสงสว่างจะสม่าเสมอ
กนั ทั่วท้งั ห้องและดสู บายตาดีกวา่ สองแบบแรก แต่มขี อ้ เสยี คอื คา่ สมั ประสทิ ธิก์ ารใช้ประโยชน์มีค่าต่ากว่าสอง
แบบแรกและการควบคุมแสงสว่างให้ไปตกในบริเวณทีต่ อ้ งการทาไดย้ ากกว่า

รูปที่ 2.30 ลักษณะของการกระจายแสงสวา่ งของดวงโคมแบบกระจายแสงสวา่ งขึ้นด้านบน
และลงดา้ นลา่ ง(Direct – Indirect Luminaire)

5) ดวงโคมแบบก่ึงกระจายแสงสว่างขึ้นด้านบน (Semi – Indirect Luminaire) ดวงโคมประเภทน้ี
เป็นดวงโคมท่ีมีการกระจายแสงสว่างส่วนใหญ่ประมาณ 60 – 90 % ของแสงสว่างท้ังหมดข้ึนสู่เพดานและท่ี
เหลอื 10 – 40 % กระจายแสงสว่างลงสพู่ ้ืน ดังรปู ที่ 2.31 ดวงโคมประเภทนี้มีข้อดีคือ สามารถลดการแยงตา
ของแสงสว่างได้ดีเหมาะที่จะติดตั้งในบริเวณท่ีไม่ต้องการให้มีการแยงตาของแสงสว่าง เนื่องจากดวงโคม
ประเภทนม้ี กี ารกระจายแสงสวา่ งส่วนใหญข่ ้ึนสเู่ พดานมากกวา่ ลงบนพ้ืนงาน จึงดูเหมือนว่าเพดานจะทาหน้าท่ี
คล้ายแหล่งกาเนิดแสงสว่างขนาดใหญ่แหล่งหน่ึง และจะสะท้อนแสงสว่างลงสู่พ้ืนงาน เม่ือเป็นเช่นนี้

84

ความสามารถในการสะทอ้ นแสงสว่างของเพดานจะตอ้ งมีความสามารถในการสะทอ้ นแสงสว่างสูงมาก และค่า
ความจา้ ของแสงสวา่ งทสี่ ะทอ้ นแสงสวา่ งออกมาระหว่างเพดานกับดวงโคมจะต้องไม่แตกต่างกันมากนัก จึงจะ
ทาให้ความจา้ ของแสงสว่างทีส่ ะทอ้ นแสงสว่างออกมาพอใกล้เคียงกัน และระยะห่างระหว่างดวงโคมกับเพดาน
จะตอ้ งตดิ ต้ังดวงโคมหา่ งจากเพดานพอสมควร

รปู ที่ 2.31 ลกั ษณะของการกระจายแสงสวา่ งของดวงโคมแบบกึ่งกระจาย
แสงสว่างขน้ึ ด้านบน (Semi – Indirect Luminaire)

6) ดวงโคมแบบกระจายแสงสวา่ งขนึ้ ด้านบน (Indirect Luminaire) ดวงโคมประเภทน้ีเป็นดวงโคมท่ี
มกี ารกระจายแสงสว่างส่วนใหญ่ 90 – 100 % ขึ้นสู่เพดาน และท่ีเหลือ 0 – 10 % จะกระจายแสงสว่างลงสู่
พืน้ ดงั รูปท่ี 2.32 ดวงโคมประเภทนี้มีข้อดี คือ สามารถลดหรือควบคุมการแยงตาของแสงสว่างได้ดีมากและ
ความจ้าของแสงสว่างภายในหอ้ งดจู ะสม่าเสมอเกือบจะเท่ากันท้ังห้อง ข้อเสีย คือ การติดต้ังจะต้องติดตั้งดวง
โคมให้อยู่ต่ากว่าเพดานอย่างพอเหมาะจึงจะทาให้แสงสว่างสะท้อนออกจากเพดานลงมาบนพ้ืนได้สม่าเสมอ
และดวงโคมประเภทน้จี ะมคี า่ สัมประสทิ ธก์ิ ารใชป้ ระโยชน์น้อยทสี่ ุดในบรรดาประเภทของดวงโคมทั้งหมด

รูปที่ 2.32 ลักษณะของการกระจายแสงสว่างของดวงโคมแบบกระจาย
แสงสว่างขนึ้ ด้านบน (Indirect Luminaire)

2.6.2.4.3 ประสิทธิผลในการกระจายแสงของโคมไฟ ในการพิจารณาความประสิทธิผลการกระจาย
แสงของโคมนั้น สามารถพิจารณาจากค่าสัมประสิทธ์ิการใช้ประโยชน์ของดวงโคม (Coefficient of
Utilization: CU) ตามแนวทางของ Illumination Engineering Society, IES) หรือ พิจารณาจากค่าตัว
ประกอบการใช้ประโยชน์ (Utilization factor, UF) ตามแนวทางของ CIE ซ่ึงทั้งสองค่าน้ีมีความหมาย
เหมือนกันแสดงอัตราส่วนของฟลักซ์การส่องสว่างตกบนพ้ืนท่ีงานต่อฟลักซ์แสงสว่างทั้งหมดที่ออกจากโคมค่า
สัมประสิทธ์ิการใช้ประโยชน์นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะการกระจายแสงสว่างของดวงโคมสัดส่วนของห้อง ความสูง
ของห้อง การสะท้อนแสงสว่างของเพดาน การสะท้อนแสงสว่างของผนัง และการสะท้อนแสงสว่างของพื้นที่ที่

85

ต้องการส่องสว่าง โดยทั่วไปแล้วค่าสัมประสิทธ์ิการใช้ประโยชน์น้ัน โรงงานผู้ผลิตดวงโคมจะเป็นผู้จัดทาตาราง
ค่าสัมประสทิ ธก์ิ ารใช้ประโยชน์กากับมาให้ และสามารถขอรายละเอียดจากบรษิ ัทผู้ผลิตหรอื ตัวแทนจาหน่ายได้

1) การหาสัมประสิทธ์ิการใช้ประโยชน์ของดวงโคม (CU) ด้วยวิธีลูเมนโซนัลคาวิตี(Zonal Cavity)
การหาสัมประสิทธก์ิ ารใชป้ ระโยชน์ของดวงโคมดว้ ยวิธีลูเมนโซนัลคาวิตี เป็นการคานวณแสงสว่างของสมาคม
วศิ วกรรมแสงสวา่ งสหรัฐอเมริกา (Illumination Engineering Society) หรือ IES เป็นการหาอัตราส่วนคาวิตี
รปู หอ้ งที่ใชใ้ นการพิจารณาจะเป็นห้องส่ีเหล่ียม ซ่ึงสามารถหาได้จากรูปท่ี 2.33 อัตราส่วนคาวิตีห้อง (Room
Cavity Ratio) หรอื RCR สามารถคานวณได้จาก

รปู ที่ 2.33 คาศพั ทเ์ ฉพาะทางแสงวิธโี ซนัลคาวิตี
ตัวอย่างท่ี 1 หอ้ งขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 10 เมตร สูง 3 เมตร พื้นท่ีทางานสูงจากพ้ืน 0.85 เมตร ตามรูปที่
2.34 โคมไฟแขวนจากเพดานลงมา 0.35 เมตร ถ้าคา่ การสะทอ้ นแสงเพดาน (ρcc) 80% การสะท้อนแสงผนัง
(ρw)50% ค่าการสะท้อนแสงพนื้ (ρfc) 20% จงคานวณหาคา่ RCR

86

รูปท่ี 2.34 การหาค่า RCR และคา่ CU
ตัวอย่างท่ี 2 ห้องตามตัวอย่างที่ 1 เมื่อค่า RCR = 2 ถ้าค่าการสะท้อนแสงเพดาน (ρcc) 80% การสะท้อน
แสงผนงั (ρw) 50% ค่าการสะท้อนแสงพน้ื (ρfc) 20% โดยเลือกดวงโคมท่ีมีการแสดงค่า CU ตามตาราง จะ
สามารถอ่านคา่ CU ไดเ้ ทา่ กบั 0.66

87

2) การหาสมั ประสิทธ์กิ ารใช้ประโยชนข์ องดวงโคม (CU) ด้วยวิธลี เู มน ดชั นีห้อง (room index) ดังรูป
ท่ี 2.35

รปู ที่ 2.35 คาศพั ทเ์ ฉพาะของการหาดชั นีห้อง
ดังนั้นการพิจารณาหาค่าดัชนีของห้อง (Room index: K) สามารถคานวณได้สมการดังน้ีเพื่อหาค่า CU
ดังสมการที่ 3.4

จากสมการที่ 3.3 และ 3.4 จะเหน็ วา่ RCR และ K มคี วามสัมพันธก์ ัน แสดงไดเ้ ป็น(RCR)(K) = 5
สาหรับรูปท่ี 2.36 เป็นตวั อยา่ งข้อมูลดวงโคม เม่ือคานวนหาค่าดัชนีห้องก็สามารถนาไปหาค่า CU จากตาราง
ซ่ึงจะต้องทราบค่าการสะท้อนแสงเพดาน (ρc ) การสะท้อนแสงผนัง (ρw) และการสะท้อนแสงพ้ืน (ρf)ซ่ึง
จากตัวอยา่ งในตารางจะเขียนเปอรเ์ ซนต์การสะท้อนเป็นสามค่าเช่น 851 จะหมายถึง การสะท้อนแสงเพดาน
(ρc ) 80 % การสะทอ้ นแสงผนัง (ρw) 50 % คา่ การสะท้อนแสงพน้ื (ρf) 10 %

88

รูปที่ 2.36 ตัวอย่างตารางแสดงค่า Utilization factor ของโคมประเภทหน่งึ
ตัวอยา่ งท่ี 3 ห้องขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 10 เมตร สูง 3 เมตร พ้ืนที่ทางานสูงจากพื้น 0.85 เมตร ตามรูปที่
2.37 ถ้าค่าการสะท้อนแสงเพดาน (ρc ) 80 % การสะทอ้ นแสงผนัง (ρw) 50 % ค่าการสะท้อนแสงพื้น (ρf)
10 % จงคานวณหาค่า K
วิธีทา

รปู ที่ 2.37 คาศพั ทเ์ ฉพาะของการหาดชั นหี ้อง

89

ตวั อย่างที่ 4 หอ้ งตามตวั อย่างท่ี 3 เมือ่ คา่ K = 2.5 ถ้าค่าการสะท้อนแสงเพดาน (ρc ) 80 % การสะท้อนแสง
ผนัง (ρw) 50 % ค่าการสะท้อนแสงพ้ืน (ρf) 10 % โดยเลือกดวงโคมที่มีข้อมูลแสดงค่า Utilization factor
ตามตารางจงหาค่า CU
วิธที า
จากตาราง เมื่อ K = 2.5 ρcc 80 % ρw 50 % ρfc 10 % (851) UF = 0.65

2.7 มาตรฐานระดับความส่องสว่าง
คา่ ระดบั ความส่องสว่างเปน็ สิง่ ที่สาคญั ยง่ิ ในการออกแบบระบบไฟฟา้ แสงสวา่ งเพ่ือให้เกิดการประหยัด

พลงั งาน หากผู้ออกแบบใช้ค่าความส่องสว่างสูงเกินความจาเป็นจะทาให้เกิดการส้ินเปลืองพลังงานโดยเปล่า
ประโยชน์ แต่ในทางกลับกันหากผู้ออกแบบใช้ค่าความส่องสว่างต่ากว่าที่ควรจะ เป็น จะทาให้สภาพการ
มองเห็นลดลงกว่าท่ีควรจะเป็น ซ่ึงจะส่งผลถึงประสิทธิภาพในการทางานอีกด้วย ดังนั้นค่าความส่องสว่างจึง
ควรอยใู่ นระดับทเ่ี หมาะสม ซ่ึงสมาคมไฟฟ้าแสงสว่างแห่งประเทศไทยได้จัดทาข้อแนะนาระดับความส่องสว่าง
สาหรับพื้นที่และกิจกรรมต่างๆ ภายในอาคารไว้ โดยได้แบ่งประเภทของพื้นท่ีและกิจกรรมไว้ทั้งหมด
31 ประเภท ดงั นี้ (มาตรฐานระดับความส่องสว่างสาหรบั พืน้ ที่ต่างๆ)
1) พ้นื ท่ภี ายในอาคารทว่ั ไป
2) อาคารสานักงาน
3) รา้ นคา้ ปลกี
4) หอ้ งอาหาร และโรงแรม
5) ห้องสมดุ
6) อาคารสถาบันการศกึ ษา โรงเรยี น
7) พืน้ ท่ีจอดรถภายในอาคารทวั่ ไป
8) โรงพยาบาล
9) ร้านแต่งผม
10) พน้ื ท่สี าหรบั การแสดงและการบนั เทิง
11) อุตสาหกรรมอาหาร
12) อุตสาหกรรมทาขนม เบเกอรร์ ่ี
13) อุตสาหกรรมด้านการเกษตร ปศุสตั ว์
14) อุตสาหกรรมซเี มนต์ คอนกรีต และอฐิ
15) อตุ สาหกรรมเซรามิกและแก้ว
16) อุตสาหกรรมเคมี พลาสตกิ ยาง
17) อุตสาหกรรมไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนิกส์
18) อตุ สาหกรรมหลอ่ หลอมโลหะ

90

19) อตุ สาหกรรมเพชรพลอย
20) อุตสาหกรรมซัก อบ รีด
21) อุตสาหกรรมเคร่อื งหนัง
22) อตุ สาหกรรมแปรรูปโลหะ
23) อตุ สาหกรรมกระดาษ
24) อุตสาหกรรมผลิตไฟฟา้
25) อุตสาหกรรมการพิมพ์
26) อุตสาหกรรมหลอมเหล็ก
27) อุตสาหกรรมทอผ้า
28) อุตสาหกรรมรถยนต์
29) อุตสาหกรรมเฟอรน์ เิ จอรแ์ ละไม้
30) สนามบนิ
31) วดั โบสถ์

2.8 วธิ ีการวัดคา่ ความส่องสว่างของพน้ื ท่ีทางาน
ในการวัดค่าความส่องสว่าง (E) ของพ้ืนท่ีทางานเป็นสิ่งท่ีสาคัญอย่างย่ิง เม่ือเราต้องการประหยัด

พลังงาน เพราะเนอื่ งจากบางคร้งั เราอาจละเลยว่าการเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ ท่ีประหยัดพลังงาน เช่น หลอดไฟ
บัลลาสต์ โคมไฟ ซึ่งอาจสามารถลดการใชพ้ ลงั งานได้จรงิ แต่ระดบั ความส่องสวา่ งพน้ื ทีท่ างานอาจลดลงไปด้วย
น่ันหมายถึงอาจมีผลต่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงานหรือใช้งานพ้ืนที่นั้นๆการวัดค่าความส่องสว่างพื้นที่
ทางาน ควรกระทาทั้งก่อนและหลังการปรับปรุงระบบแสงสว่างเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ซ่ึงควรวัดและ
ตรวจสอบคา่ ความสอ่ งสว่างให้เปน็ ตามมาตรฐานในแตล่ ะพ้ืนทดี่ ังภาคผนวก ก โดยกาหนดเปน็ ขัน้ ตอน ดงั น้ี

ก) เลือกเคร่ืองมือวัด ควรเลือกเคร่ืองมือวัดท่ีมีย่านวัดที่เหมาะสม เช่น หากเราต้องการตรวจสอบ
ความส่องสว่างในอาคาร ก็ควรใช้ลักซ์มิเตอร์ (Lux meter) ท่ีมีย่านสูงสุดมากกว่า 2000 Luxข้ึนไป แต่ถ้า
ต้องการตรวจสอบระดับความส่องสว่างพ้ืนที่จากแสงธรรมชาติในอาคาร ควรเลือกเครื่องวัดที่มีย่านสูงสุด
20,000 Luxข้ึนไป และถ้าต้องการตรวจสอบระดับความส่องสว่างพ้ืนที่จากแสงธรรมชาติเวลากลางวันนอก
อาคาร ควรเลอื กเครื่องวัดท่ีมียา่ นสงู สดุ 100,000 Lux ข้ึนไป และควรเลอื กเคร่ืองทมี่ มี าตรฐานรบั รองดว้ ย

ข) กาหนดพ้ืนท่ีห้องที่ต้องการวัด เช่น ตีตารางกาหนดพ้ืนท่ีในห้องหรือบริเวณที่ต้องการวัดความ
สอ่ งสวา่ งทกุ ๆ 1 ตารางเมตร หรือถ้าพื้นที่ใหญ่มาก อาจกาหนด เป็นทุกๆ 2 หรือ 5 ตารางเมตรก็ได้ ซึ่งถ้ายิ่ง
กาหนดจดุ วัดมากเท่าใด ความละเอียดกจ็ ะสูงขึ้นตามดว้ ย ควรกาหนดจดุ วดั อยตู่ าแหน่งกลางของพนื้ ท่ดี ว้ ย

ค) ตาแหนง่ การต้ังเคร่ืองมอื วัด เครอ่ื งมือวัดความส่องสว่างเพอ่ื ตรวจสอบค่าความส่องสว่างพื้นที่น้ัน
จะวัดความสอ่ งสว่างแนวระนาบหรือแนวนอนขนานไปกบั พ้ืน และหงายเซนเซอร์รับแสงขน้ึ ด้านบน (เนื่องจาก
ต้องการตรวจสอบแสงที่ตกกระทบลงพ้ืนท่ีทางาน) และตั้งเคร่ืองวัดอยู่ระดับพ้ืนที่ทางานในห้องนั้น เช่น ถ้า
ทางานบนโตะ๊ (ความสูงโต๊ะมาตรฐาน 0.85 เมตร) ก็ตั้งเคร่ืองวัดระดับโต๊ะทางาน และควรระวังเร่ืองเงาของ
ผู้ทาการวัด เนื่องจากบางคร้ังอาจบังเงาแหล่งกาเนิดแสงท่ีเข้าสู่เซนเซอร์รับแสง ดังนั้นเคร่ืองวัดบางรุ่นจะมี
สายต่อแยกเซนเซอร์รบั แสงแยกออกจากตัวเครือ่ งวัดเพ่อื แกป้ ญั หาดงั กล่าว

ง) จดั ทาตารางบันทกึ คา่ จากการตรวจวัด ควรจดั ทาตารางบันทึกค่า E ทุก ตาแหน่งต่าง ๆ ดังที่ได้
กาหนดจดุ วดั ในพืน้ ทไ่ี ว้

91

จ) คานวณค่าความส่องสว่างเฉลี่ย (Average illuminance, EAV) เราสามารถหาค่าความส่อง
สวา่ งเฉลย่ี จากการนาค่าความส่องสว่างของจุด P แต่ละจุด ( EP ) หารด้วยจานวนจุดท่ีสนใจ (n) ดังสมการท่ี
3.6 และสาหรับความสม่าเสมอของแสง (U) หาจากความส่องสว่างต่าสุดจากจุด P ที่สนใจ ( Emin ) ต่อค่า
ความสอ่ งสว่างเฉลย่ี

ฉ) ตรวจสอบค่าความส่องสว่างเฉล่ีย เม่ือคานวณค่าความส่องสว่างเฉล่ียเสร็จสิ้นแล้ว ทาการ
ตรวจสอบคา่ ความสอ่ งสวา่ งเฉลี่ยเทียบกบั ตารางภาคผนวก ก ตามลักษณะพน้ื ท่ใี ช้งาน ค่าทวี่ ดั ได้ไม่ควรต่ากว่า
ค่ามาตรฐานหลังจากมกี ารปรับปรุงระบบแสงสว่างเพือ่ การอนรุ ักษ์พลังงานแล้ว
2.9 การคานวณความสอ่ งสวา่ งแบบลูเมน (Lumen Method)

วิธีนเ้ี หมาะสาหรับการออกแบบระบบไฟฟ้าแสงสว่างในบริเวณท่ีต้องการความสม่าเสมอของแสงทั่ว
ทัง้ พื้นทเ่ี ชน่ สานกั งาน สถาบันการศึกษา หรอื โรงเรียน เป็นต้น ซ่ึงการคานวณแบบลูเมนนี้จะรวมผลของการ
สะท้อนแสงของเพดาน กาแพง และพนื้ ดว้ ย ซึง่ สามารถคานวณได้จาก

คา่ ตวั ประกอบการบารงุ รักษา เป็นค่าทข่ี ึน้ อย่กู บั การบารงุ รกั ษาหลอดไฟฟ้า หลอดไฟที่ไม่ได้ทาความ
สะอาดจะมฝี ุน่ ละอองมาเกาะ มีผลทาให้แสงท่อี อกมาจากโคมมีปริมาณลดน้อยลง นอกจากน้ีแล้วปริมาณแสง
ที่ลดลงข้ึนอยู่กับความเสื่อมของหลอดไฟ (Lamp Lumen Depreciation: LLD) และเนื่องมาจากความ
สกปรกของโคมไฟ (Luminaire Dirt Depreciation: LDD) อีกด้วย ดังแสดงในรูปท่ี 2.38ความสกปรกของ
หลอดไฟและโคมไฟก่อให้เกิดการสูญเสียแสงอย่างมาก สว่ นใหญ่เกิดจากความสกปรกเน่ืองจากการสะสมของ
ฝุ่นละอองบนหลอดไฟหรือบริเวณผิวหน้าของโคมไฟ โคมไฟที่มีลักษณะเปิดกว้างและติดตั้งอยู่บนที่สูงจะมี
โอกาสเกิดการสะสมของฝนุ่ ละอองมากกว่าโคมไฟที่ติดต้ังในที่มีการระบายอากาศที่ดี ความสกปรกของห้องมี
ส่วนทาให้เกิดการสูญเสียทางแสงได้เช่นกัน เนื่องจากฝุ่นละอองท่ีสะสมอยู่บนเพดานและผนังห้องจะทาให้
ประสิทธภิ าพของการสะท้อนแสงลดลง สาหรบั ความเสอ่ื มของหลอดไฟ มสี าเหตุมาจากการที่ความส่องสว่างที่

92

ได้จากหลอดไฟท้ังหมดจะลดลงตามอายุการใช้งาน ซ่ึงอัตราการลดลงจะข้ึนอยู่กับชนิดของหลอดไฟ ค่าตัว
ประกอบการบารุงรักษาทเ่ี หมาะสมซ่ึงขึ้นอยกู่ ับประเภทของหอ้ งแสดงดงั ตารางที่ 2.1

รปู ท่ี 2.38 การสญู เสยี ทางแสงอนั เนอื่ งมาจากการเสือ่ มของหลอดไฟและโคมไฟ
ตารางท่ี 2.19 ตัวประกอบการบารงุ รกั ษา

ตวั ประกอบการใชง้ านของโคม หมายถึงอัตราสว่ นปริมาณแสงทอ่ี อกมาจากดวงโคมและสะทอ้ นเพดาน กาแพง
และพ้นื กอ่ นจะตกลงมาทรี่ ะนาบใชง้ าน ตอ่ ปริมาณแสงท่ีออกจากหลอด โดยผู้ผลิตโคมจะเป็นผู้กาหนดค่าตัว
ประกอบการใช้งานของโคม จากสมการที่ 3.7 สามารถหาจานวนของดวงโคมไดจ้ าก

93

การท่จี ะประหยัดพลงั งานในระบบไฟฟา้ แสงสวา่ ง จานวนดวงโคมท่คี านวณไดค้ วรจะให้มีค่าน้อยท่ีสุด
โดยทค่ี า่ ความส่องสวา่ งเฉลี่ยยงั คงได้มาตรฐานตามทีก่ าหนดไว้ ปจั จัยท่ีสามารถชว่ ยให้ดวงโคมมีจานวนที่ลดลง
ไดแ้ ก่

1) ใชห้ ลอดไฟฟ้าทมี่ ปี ระสิทธภิ าพสงู
2) ใชด้ วงโคมที่มีประสทิ ธิภาพสงู
3) หมน่ั ทาความสะอาดตัวหลอดไฟ ดวงโคม เพดาน กาแพง และผนังของห้อง อยา่ งสม่าเสมอ
2.10 การอนรุ ักษพ์ ลงั งานในระบบไฟฟ้าแสงสวา่ ง
2.10.1 ข้อกาหนดเพ่ือการอนุรักษ์พลังงานในระบบไฟฟ้าแสงสว่างของอาคารควบคุมตามกฎ
ทรวงว่าดว้ ยการออกแบบอาคารเพื่อการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน
กฎกระทรวงกาหนดประเภท หรือขนาดของอาคาร และมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการในการ
ออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้กาหนดเกณฑ์กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในการส่องสว่างใน
อาคาร ในกรณีท่มี ีการสอ่ งสว่างด้วยไฟฟ้าในอาคารโดยไมร่ วมพ้นื ท่ที ีจ่ อดรถว่าจะต้องมีการออกแบบตามหลัก
และวิธีการทยี่ อมรบั ไดท้ างด้านวิศวกรรมให้ได้ระดบั ความสอ่ งสว่างสาหรบั งานแต่ละประเภทอย่างเพียงพอโดย
ท่อี ปุ กรณไ์ ฟฟ้าที่ตดิ ตั้งสาหรบั ใชส้ อ่ งสวา่ งภายในอาคารแต่ละประเภท จะต้องใช้กาลงั ไฟฟ้าไม่เกินค่าท่ีกาหนด
ไวต้ ามตารางที่ 2.20
ตารางท่ี 2.20 คา่ กาลงั ไฟฟา้ สอ่ งสว่างสูงสดุ สาหรับอาคารประเภทต่างๆ

(1) สาหรับอาคารทม่ี ีการใช้งานพ้นื ท่ีหลายลกั ษณะ พื้นทแ่ี ตล่ ะสว่ นจะต้องใช้ค่าในตารางตามลักษณะ
การใช้งานของพ้ืนที่ส่วนนน้ั ๆ

(2) รวมถึงไฟฟ้าแสงสว่างทั่วไปที่ใช้ในการโฆษณาเผยแพร่สินค้า ยกเว้นท่ีใช้ในตู้กระจกแสดงสินค้า
และที่ไมไ่ ด้ตดิ ต้ังอยา่ งถาวร

3.10.2 ขอ้ แนะนาของการอนุรักษ์พลงั งานไฟฟา้ แสงสว่างในอาคารตามมาตรฐาน IES
ก) ออกแบบแสงสว่างให้เหมาะกับกิจกรรมการทางาน (แสงสว่างที่ช้ินงาน, แสงสว่างโดยรอบท่ีไม่ใช่
พน้ื ท่ีทางาน) โดยการออกแบบให้ระดับแสงสว่างท่วั ๆ ไปต่ากว่า ส่วนแสงสว่างที่พน้ื ทีท่ างานจะสูงกวา่ ท้ังน้ีจะ
เนน้ การเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการใช้พลงั งาน จาเปน็ ต้องทราบตาแหนง่ พ้ืนท่ีทางาน เพื่อท่ีจะจัดหาระดับแสงสว่าง
ทีเ่ หมาะสมที่ตาแหนง่ ของพ้ืนทีท่ างาน
ข) ออกแบบดวงโคมท่ีให้มีประสิทธิภาพสูง ดวงโคมและระบบการออกแบบติดตั้ง ควรจะมี
ประสิทธิภาพสูงท่ีสุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้ โดยปราศจากแสงบาดตา) ใช้หลอดไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง (ค่าลู
เมน/วัตต์สูง) ในบางครั้งการเลือกใช้หลอดไฟฟ้าจะไม่ดูแค่ค่าลูเมนต่อวัตต์สูงเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะดู

94

เพม่ิ เติมถงึ อายุการใชง้ าน ราคา และสแี สงทีเ่ ปล่งออกมาสขี องแสงก็มีความสาคญั เท่ากับปัจจัยอ่ืน ๆ เน่ืองจาก
สมี ผี ลโดยตรงตอ่ จิตใจและพฤตกิ รรมมนษุ ยย์ ่อมมีผลตอ่ ประสทิ ธิภาพการทางานและอารมณ์

ง) ใชด้ วงโคมประสทิ ธิภาพสูง ประสทิ ธิภาพของดวงโคม จะเป็นการเพิ่มสัมประสิทธ์ิการใช้ประโยชน์
นอกจากน้ยี ังรวมถึงการทาความสะอาด และความสะดวกในการเปล่ียนหลอดไฟ

จ) ใช้ดวงโคมท่ีควบคุมความรอ้ น เพ่ือลดความร้อนทเ่ี กดิ จากหลอดไฟ
ฉ) ใช้สีอ่อนกับอาคาร การดูดกลืนแสงสว่างอันเน่ืองมาจากการสะท้อนแสงต่า จะเป็นกา รลด
ประสิทธภิ าพแสงสว่าง จงึ จาเป็นต้องใช้หลอดไฟเพม่ิ ข้ึน
ช) ใช้หลอดอินแคนเดสเซนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ถ้ามีความประสงค์ที่จะต้องใช้หลอดอินแคนเดส
เซนตค์ วรเลือกใช้หลอดขนาดวตั ต์สูง ซึ่งมีประสทิ ธิภาพดกี วา่ และควรใชค้ ู่กบั เครื่องหรไ่ี ฟ
ซ) ปดิ ไฟเมื่อไมใ่ ช้ ปิดไฟเมอื่ ไม่ใช้จะชว่ ยประหยดั พลงั งานและลดต้นทุน
ฌ) ควบคุมแสงบาดตาทห่ี น้าตา่ ง แสงบาดตาทเี่ ขา้ จากหน้าตา่ งมายังสายตาจะส่งผลต่อความสบายตา
และความสามารถในการมองเห็น อาจจะลดความสามารถในการทางานลง
ญ) แสงธรรมชาติ ประสิทธิผลของแสงธรรมชาติข้ึนอยกู่ ับการผสมระหว่างแสงธรรมชาติและแสงจาก
หลอดไฟฟ้า ข้ึนอย่กู ับออกแบบควบคุมแสงสวา่ งอย่างเหมาะสม
ฎ) การบารุงรักษา การบารุงรักษาดี จะใช้จานวนดวงโคมน้อยกว่า แต่ให้แสงสว่างเท่าเดิม การ
บารงุ รักษาจะรวมทัง้ การเปล่ียนหลอดไฟ และการทาความสะอาดดวงโคมตามกาหนด
ฏ) ปฏบิ ัตติ ามคมู่ อื การใชง้ าน และการบารุงรักษา การออกแบบแสงสว่างท่ีดีและประหยัดผู้ออกแบบ
แสงสว่างควรจะตดิ ปา้ ยบอกวิธใี ชง้ านไวด้ ้วย พลงั งานจะสญู เปลา่ ถา้ ผใู้ ชอ้ าคารไมร่ จู้ ักการบารุงรกั ษา

บทสรปุ
หลอดไฟแอลอีดี (LED) ถือเป็นเทคโนโลยีการส่องสว่างที่มีประสิทธิภาพและมีศักยภาพสูงสุดใน

ปจั จบุ ัน ซึง่ อนาคตหากทกุ ท่านร่วมกันเปล่ียนจากหลอดไฟเดมิ มาใชห้ ลอดไฟแอลอีดี กันทุกบ้าน ทุกภาคส่วน
ลองคดิ ดูสิครบั วา่ ประเทศเรา จะลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลงได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว ซ่ึงช่วยชาติประหยัด
งบประมาณในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อยา่ งมากมายมหาศาล ซึ่งปัจจุบัน การไฟฟ้านครหลวง และ กระทรวง
พลังงาน รวมถึงทุกภาคสว่ นทเ่ี กี่ยวข้อง ก็ได้รณรงค์เชิญชวนผู้คนให้เปล่ียนมาใช้แอลอีดี กันอย่างต่อเนื่อง จึง
ไมม่ เี หตผุ ลใดเลยทเ่ี ราจะยงั คงใช้หลอดไฟแบบเก่าอยู่อีก เปลี่ยนเถอะครับ หากหลอดไฟดวงเดิมของท่านเสีย
หวังวา่ ท่านจะเลือกซ้ือหลอดไฟแอลอดี ีมาเปลยี่ นใชแ้ ทนหลอดเดิมกันนะครับ สอบถาม ราคาหลอด LED แสง
ไฟดอทคอม เราขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมรณรงค์ในครั้งน้ีด้วยนะครับ และ โอกาสต่อไปเราจะนา เสนอ
บทความทมี่ ีประโยชนใ์ หท้ า่ นได้อ่านกนั อกี ครบั
อณุ หภูมิสี

95

อุณหภูมิสี หมายถึง สีที่เกิดขึ้นจากการให้ความร้อนผ่านวัตถุสีดา หรือเผาไหม้วัตถุสีดา เม่ือมีความ
ร้อน เกิดขน้ึ ทว่ี ัตถสุ ีดา วัตถนุ ้ันๆกจ็ ะมีการดูซับความร้อนจนได้ในระดับต่างๆสีจะเป็นแปลงไปตามอุณหภูมิที่
ได้รับ มี หน่วยเป็น K องศาเคลวินโดยมคี วามสาคัญคือใช้ในการวัดค่าจากการที่แสงสามสีมาผสมกันแล้วจึงวัด
ค่าเพอ่ื หา คา่ มาตรฐานหาคา่ ชดเชยในการผสมสแี ละอน่ื ๆซงึ่ ค่าท่ีแสงท้ังสามสี (RGB) ผสมออกมาเท่าๆกันแล้ว
จะได้แสงสี ขาวทีอ่ ณุ หภูมสิ ที ่ี6500k

อณุ หภูมิของแสงแบ่งได้ 3 ชนดิ
1. แสง เดยไ์ ลท์ (Daylight) โทนแสงสว่างเป็นแสงใกล้เคียงแสงตอนกลางวัน ให้แสงสว่างสูง ออกไป

ในโทนสีฟ้า ทาให้มองเห็นได้ชัดกับทุกสถานที่ เหมาะสมกับการใช้ในห้องอ่านหนังสือ โรงเรียน สานักงาน
ร้านคา้ และสถานทตี่ ่างๆ เพราะแสงที่ให้ใกล้เคียงแสงสว่างในเวลากลางวัน จึงนยิ มใช้กันอย่างแพร่หลาย

2.แสงคลู ไวท์ (Cool White) เปน็ โทนแสงท่ีอยรู่ ะหวา่ งแสงวอร์มไวท์ และเดย์ไลท์ เป็นแสงที่ลดความ
อบอุ่นของโทนแสงสีส้มลง และลด ความสว่างของแสงช่วงกลางวันลง ลักษณะของแสงจะเป็นสีขาวนวลตา
สามารถใช้ได้ทุกสถานท่ีเช่นกัน แต่ ความสว่างจะน้อยกว่าแสงเดย์ไลท์ สถานท่ีที่นิยมใช้ ประเภทนี้ อาทิ
หา้ งสรรพสนิ ค้า และโรงแรมบางครั้งก็ นยิ มใชภ้ ายในบา้ นพักอาศยั

3. แสงวอร์มไวท์ (Wram White) ให้โทนแสงนวลสบายตา เป็นแสงสีโทนอบอุ่น ให้ความรู้สึก
โรแมนติก ผ่อนคลาย สถานท่ีท่ีมักใช้แสงไฟวอร์ม ไวท์เช่น สปา โรงแรม ร้านอาหาร ห้องน่ังเล่น ห้อง นอน
หอ้ งพกั ผ่อน แสงชนดิ นี้ใหค้ วามสวยงามกับสถานท่ไี ด้ เป็นอยา่ งดี

96

CRI (Color Rendering Index) คอื

CRI หรือ (Ra) คอื ดัชนีความถูกตอ้ งของสี
เป็นค่าที่ใช้บอกแสงจากหลอดไฟประเภทต่างๆ จะทา ให้สีของวัตถุที่อยู่ใต้หลอดนั้นผิดเพ้ียนจาก
ความเป็น จรงิ มากนอ้ ยเพียงใด - มคี า่ 0 - 100 เทยี บวัดจากแสงอาทิตยใ์ นตอนเท่ยี งจะใหค้ ่าความถูกต้องที่สุด
หลอดไฟแต่ละชนิดจะให้ค่า CRI ต่า- สูง ไม่เท่ากัน - ค่า CRI ของหลอดไฟLED จาก TOP SUN จะมีค่า CRI
มากกว่า 80 ซง่ึ ถือวา่ มคี า่ ความถกู ต้องของสีค่อนข้าง สงู อยู่ในช่วงทเ่ี หมาะสมตอ่ การใช้งาน ทา ให้สีของวัตถุที่
เรามองเหน็ ภายใต้แสงของหลอดLED น้ันจะคอ่ นข้าง เหมอื นจริงและยงั สามารถช่วยถนอมสายได้
สหี ลอดไฟในหอ้ งต่างๆ

แสง Warm White หรือใช้แอลอีดี soft white 2700k จะให้แสงที่อบอุ่น รู้สึกผ่อนคลายซึ่งช่วยให้
บรรยา กาศภายในห้องดสู งบ ไม่ควรใช้สขี าวเนือ่ งจากทา ใหเ้ ราร้สู ึกต่ืนตัวและกระตือรือร้น ไม่เหมาะสา หรับ
การ พักผอ่ น

97

- แสง Daylightให้แสงสว่างสูง ออกไปในโทนสีฟ้า มองเห็นได้ชัด ให้ความรู้สึกสดใส
กระฉับกระเฉง ต่ืนตวั
- ใชส้ ีสวา่ ง 4100k ในพื้นที่เตรียมอาหารเชน่ เคาเตอร์
- ใชส้ อี บอ่นุ 2700k ในท่วี างอาหารหรอื โต๊ะเตรยี มของ
- การเลือกใช้สีผนัง
- สาหรบั สีอบอ่นุ 2700k ใชผ้ นงั สอี บอุ่นเชน่ แดง สม้ เหลอื ง
- ใช้สีday light 5000-6500k หรือ Cool white 4100k สาหรบั ผนงั สี ฟ้า เขียว มว่ ง

แสง Daylightทาใหม้ องเหน็ สผี ิวและใบหน้าท่ชี ัดเจน สีไม่เพ้ียน ห้องน้าหรือไฟแต่งหน้าห้ามใช้หลอด
ฟลอู อเรสเซนตเ์ พราะทา ลายผิวหน้าของเราใช้หลอดแอลอีดีท่ีที่มีอุณหภูมิ 5000-6500k ซึ่งใกล้เคียงกับแสง
ธรรมชาติมากที่สดุ และจะแตง่ หน้าออกมาไดด้ ีทีส่ ดุ

คือห้องสาหรับการผ่อนคลาย มอบความรู้สึกอันแสนอบอุ่นให้แก่สมาชิกในครอบครัว เพื่อสร้าง
บรรยากาศท่ีอบอุ่นให้กับแขกผู้มาเยือน แสงไฟท่ีเหมาะสมอคือแสงไฟสีส้ม หรือขาวโทนอุ่น จะช่วยสร้าง
ความร้สู ึกอนั หรูหราให้แก่บรรยากาศภายในหอ้ งได้ แสงที่เหมาะสมคือ แสง Cool White หรือ Warm White
3300-4000k


Click to View FlipBook Version