The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พัฒนาหารของรัฐชาติในยุโรป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-02-20 22:05:28

พัฒนาการของรัฐชาติในยุโรป

พัฒนาหารของรัฐชาติในยุโรป

พั ฒ น า ก า ร ข อ ง รั ฐ ช า ติ
ใ น ยุ โ ร ป

ค.ศ. ๑๔๕๓-๑๙๔๕

NATION STATE

SINCE 1453-1945

โดย นางสาวอาแอเสาะ เวาะเนาะ
ม.5/4 เลขที่26

ประวัติศาสตร์สากล

ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

พัฒนาการของโลกในสมัยใหม่ (ค.ศ. ๑๔๕๓-๑๙๔๕) เป็นช่วง
เวลาที่ยุโรปมีความเจริญในทุกๆด้าน ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้ นฟู
ศิลปวิทยาการ การสำรวจทางทะเล การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ และ
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งนำไปสู่ยุคจักรวรรดินิยมในเวลาต่อมา

ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ จนถึงต้นคริสต์วรรษที่ ๑๙ ก่อนเข้าสู่สมัย
จักรวรรดินิยม ในปลายคริสต์วรรษที่ ๑๙ ยุโรปได้มีการพัฒนาการเข้าสู่
ความเป็นรัฐชาติ (nation state) เนื่องจากชาวยุโรปเริ่มมีแนวคิดเกี่ยว
กับชาตินิยม หรือความรู้สึกผูกพันกันในเชื้อชาติเดียวกัน ที่ใช้ภาษาเดียวกัน
มีวัฒนธรรมร่วมกัน และเคยร่วมกันติดต่อสู้กับชาติอื่น ความคิดดังกล่าว
ทำให้เกิดสำนึกที่จะปกป้องดินแดน และจงรักภักดีต่อประเทศชาติของ
ตนเอง ซึ่งแตกต่างจากสมัยกลางที่จงรักภักดีต่อคริสนจักรและขุนนางของ
ที่ดินตามระบบฟิวดัล

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดรัฐชาติ

๑. ความร่วมมือกันต่อสู้กับต่างชาติที่เข้ามามีอิทธิพลในดินแดนของตน
เช่น กองทัพมุสลิมอาหรับยึดครองภาคใต้ของยุโรป รวมทั้งสงคราม
แย่งชิงดินแดนของชาวยุโรปกันเอง เช่น สงครามร้อยปี (One
Hundred year's war)
๒. ความร่วมมือกันต่อต้านอำนาจของคริสตจักร เช่น การต่อต้าน
สันตะปาปาในเรื่องการเก็บภาษีในรัฐของอังกฤษ และฝรั่งเศส ทำให้
ประชาชนชื่นชมกษัตริย์ที่ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ
๓. ความเสื่อมของระบอบฟิวดัล ทำให้กษัตริย์มีอำนาจเพิ่มขึ้น ส่วน
ขุนนางท้องถิ่นหมดอำนาจลงและผลจากความเจริญทางเศรษฐกิจการ
ค้า และอุตสาหกรรมทำให้ชาวนาในแมเนอร์เข้ามาประกอบอาชีพใน
เมือง และจ่ายค่าเช่าที่ดินเป็นเงินแทน ความจงรักภักดีต่อเจ้าของที่ดิน
จึงสิ้นสุดลง
๔. ความเจริญทางเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมทำให้เกิดชนชั้น
กลางขึ้นในสังคม เช่น พ่อค้า นายธนาคาร ซึ่งมีความมั่งคั่งทางเศษฐ
กิจและต้องการสร้างรัฐชาติที่มีความปลอดภัยและเป็นระเบียบ เพื่อ
ให้การค้าดำเนินไปอย่างราบรื่น จึงสนับสนุนระบอบการปกครองภาย
ใต้สถาบันกษัตริย์ที่เป็นเอกภาพ

อังกฤษ

ชาร์ลที่ ๑ กษัตริย์แห่งอังกฤษที่ทรงถูกสำเร็จ
โทษใน ค.ศ. ๑๖๔๙

อังกฤษพัฒนาเข้าสู่ความเป็นรัฐชาติจากการที่เจ้าชายวิลเลียม ดุ๊กแห่งนอร์มองดี (William, Duke of
Normandy) ได้ยกทัพมายึดครองอังกฤษ และปกครองในระบอบฟิวดัล ต่อมากษัตริย์ถูกจำกัดพระราช
อำนาจ ตามกฎบัตรแมกนา คาร์ตา (Magna Carta) หลังสงครามร้อยปี (One hundred year’ War
: ค.ศ. ๑๓๓๗ - ๑๔๔๓) ซึ่งเป็นสงครามแย่งราชบัลลังก์ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ทำให้ชาวอังกฤษเกิด
ความรู้สึกรักชาติ เพราะได้รับชัยชนะในการรบหลายครั้ง กษัตริย์ให้ความสนพระทัยต่อการพัฒนาบ้าน
เมืองเพิ่มขึ้น ในพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ภายหลังสงครามกลางเมือง เพื่อชิงบัลลังก์สิ้นสุดลง อังกฤษได้เสริม
อำนาจทางทะเลเพิ่มขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ในสมัยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ ๑ (Elizabeth
1 : ค.ศ. ๑๕๕๘ - ๑๖๐๓) อังกฤษกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจและความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปะและ
วัฒนธรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ กษัตริย์พยายามสถาปนาอำนาจการปกครองที่เรียกว่า “เทวสิทธิ์
ของกษัตริย์” (Divine Rights of king) หรือการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทำให้รัฐสภา
อังกฤษคัดค้านเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างรัฐสภากับกษัตริย์กลายเป็นสงครามกลางเมือง
(Civil War ค.ศ. ๑๖๔๒ -๑๖๔๙) ฝ่ายกษัตริย์พ่ายแพ้ถูกสำเร็จโทษ ส่งผลให้ โอลิเวอร์ ครอมเวล์
(Oliver Cromwell) ผู้นำสภาขุนนางได้ประกาศให้อังกฤษมีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ (ค.ศ.
๑๖๔๙ -๑๖๕๓) แต่ต่อมาอังกฤษก็ปกครองด้วยระบบกษัตริย์อีกและพยายามที่จะมีอำนาจทางการเมือง
เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดสงคราม เรียกว่า การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (The Glorious Revolution ค.ศ. ๑๖๘๘)
เพราะกษัตริย์ได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้อำนาจกษัตริย์ในการยกเลิกกฎหมายใดๆ ผลของสงคราม
ทำให้กษัตริย์อังกฤษถูกเนรเทศไปอยู่ที่ฝรั่งเศส และเกิดกฎหมายว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของประชาชน
(The Bill of Rigth 1689) ที่จำกัดอำนาจของกษัตริย์ข้อความที่สำคัญในกฎหมายฉบับนี้ คือ ห้าม
กษัตริย์ยกเลิกกฎหมายของประเทศโดยพลการ เป็นสิทธิ์ของรัฐสภาเท่านั้น ห้ามกษัตริย์เก็บภาษีโดยไม่
ได้รับความยินยอมจากรัฐสภา ประชาชนอังกฤษมีสิทธิ์ถวายฎีกาต่อกษัตริย์ได้ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้
กฎหมายและได้รับการปฏิบัติตามกฏหมายโดยเท่าเทียมกัน ผลของการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์นี้เป็นการเพิ่ม
อำนาจแก่ประชาชน โดยผ่านทางรัฐสภาทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลง รัฐสภามีอำนาจ
มันคงขึ้น

ฝรั่งเศส

พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖

ฝรั่งเศสพัฒนาเข้าสู่ความเป็นรัฐชาติจากการสถาปนาจักรวรรดิแฟรงค์ที่มีอำนาจ
ครอบคลุมดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล หลังสมัยพระเจ้าชาร์เลอมาญ อาณาจักรแฟรงค์ได้เสื่อม
อำนาจลงในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ ราชวงศ์กาเปเซียงได้สถาปนาประเทศฝรั่งเศสขึ้นและขยาย
อำนาจเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ หลังสงครามร้อยปี (ค.ศ. ๑๓๓๗ - ๑๔๕๓) ฝรั่งเศสอยู่ภายใต้การ
ปกครองโดยระบอบกษัตริย์มีการปกครองด้วยอำนาจเด็ดขาด ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศที่
มั่งคั่งเข้มแข็งและรวมเป็นอันดับหนึ่งอันเดียวกัน สมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ (Louis XIV
ค.ศ. ๑๖๔๓ - ๑๗๑๕) ฝรั่งเศสมีอำนาจมากที่สุดบนภาคพื้นทวีปยุโรป แต่ประชาชนใน
ฝรั่งเศสไม่มีส่วนร่วมในการปกครองและรัฐบาลไม่สนใจต่อความเป็นไปของบ้านเมือง
ประกอบกับสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ (ค.ศ. ๑๗๑๕ - ๑๗๗๔) ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในสงครามเจ็ดปี
(ค.ศ. ๑๗๕๖ - ๑๗๖๓) ต่ออังกฤษทำให้เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง แต่ราชสำนักยังคง
ฟุ่มเฟือยขณะที่ประชาชนอดอยาก ทำให้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสขึ้นใน ค.ศ. ๑๗๘๙ ทหารและ
ประชาชนได้เข้าโจมตี และพังคุกบาสตีย์ (Bastilles) ในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ค.ศ.๑๗๘๙ ซึ่ง
เป็นเหตุการณ์แรกของการปฏิวัติฝรั่งเศสและถือเป็นวันชาติฝรั่งเศสมาจนทุกวันนี้การปฏิวัติ
ดังกล่าวทำให้กษัตริย์และเหล่าขุนนางหมดอำนาจลง

ทหารและประชาชนเข้าโจมตีและพังคุกบาสตีย์ วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๑๗๘๙

ผลของการปฏิวัติฝรั่งเศสทำให้ระบอบกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญการเมืองการ
การเมืองการปกครองยังคงประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีฐานะ
ยากจน รัฐไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ รัฐบาลใช้อำนาจเผด็จการปกครอง
ประเทศสังคมฝรั่งเศสมีความหวัดระแวงกันทในช่วง ค.ศ. ๑๗๘๙ - ๑๗๙๙ จึงได้รับการ
ขนานนามว่าเป็นยุคสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว (Reign of Terror) ความล้มเหลวที่
เกิดขึ้นส่งผลให้ นายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต (napoleon bonaparte) ก่อการ
รัฐประหารเปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐส่ งผลทำให้เกิดสงครามปฏิวัติ
ฝรั่งเศส(French revolutionary war) ระหว่างฝรั่งเศสกับออสเตียที่ร่วมกับประเท
ศอื่นๆ การที่ฝรั่งเศสได้รับชัยชนะหลายครั้งทำให้นโปเลียนดำรงตำแหน่งบริหารประเทศ
อยู่ได้ชั่วเวลาหนึ่ง

ใน ค.ศ. ๑๗๙๙ นโปเลียน โบนาปาร์ตได้ทำรัฐประหารการปกครองของฝรั่งเศส ยกเลิก
การปกครองแบบสาธารณรัฐ สถาปนาจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ ๑ ขึ้นโดยมี นโปเลียน โบนา
ปาร์ตรับตำแหน่งจักรพรรดิของฝรั่งเศสใน ค.ศ. ๑๘๐๔
นโยบายการปกครองของจักรพรรดินโปเลียนทำให้ประเทศฝรั่งเศสเจริญก้าวหน้าเป็นอัน
มาก แต่ฝรั่งเศสต้องทำสงครามกับประเทศอังกฤษ สเปนและโปรตุเกส หลายครั้ง เมื่อ
กองทัพฝรั่งเศสพ่ายแพ้ ทำให้จักรพรรดิกับนโปเลียนสูญเสียอำนาจทางการเมือง

นโปเลียน โบนาปาร์ต เป็นผู้สถาปนาราชวงศ์โบนาปาร์ต
ขึ้นปกครองฝรั่งเศสเฉลิมพระนามว่า จักรพรรดินโปเลียน

อิตาลี

พระเจ้าวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่ ๒

อิตาลีพัฒนาเข้าสู่ความเป็นรัฐชาติ ภายหลังที่ยุโรปเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ
เมืองต่างๆในคาบสมุทรอิตาลี ได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการศึกษา
เช่น เวนิซฟลอเรนซ์ เจนัว และปิตาในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ดินแดนอิตาลีถูกหลาย
ชาติเข้ามาขยายอิทธิพล เช่น ฝรั่งเศส สเปน ออสเตรีย ทำให้เกิดการรวมกันต่อสู้
กับชนชาติต่างๆ ในสมัยจักรพรรดินโปนเลียยนที่ ๑ ฝรั่งเศสได้ครอบครองดินแดน
อิตาลี จึงสถาปนาสาธารณรัฐอิตาลี (Italian Republic) ในอาณาจักรอิตาลี
(Kingdom of Italy) ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ทำให้ชาวอิตาลีเกิดความ
รู้สึกชาตินิยมที่จะรวมชาติอิตาลีขึ้นมา ภายหลังฝรั่งเศสพ่ายแพ้จากสงคราม
ทำให้ราชวงศ์ต่างชาติกลับมามีอำนาจในอิตาลีอีก ทำให้เกิดการรวมตัวเป็นกลุ่ม
ชาตินิยมอิตาลี ต่อก่อจลาจลและสงคราม จนกระทั่ง ค.ศ. ๑๘๖๑ จึงได้สถาปนา
ราชอาณาจักรอิตาลีได้สำเร็จ โดยมีพระเจ้าวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่ ๒ เป็นกษัตริย์
พระองค์แรก

หลังสงครามเจ็ดสัปดาห์ (SevenWeeks War : ค.ศ. ๑๘๖๖) ระหว่างปรัสเซี
ยกับออสเตรีย และสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (France - Prussian War :
ค.ศ. ๑๘๗๐ - ๑๘๗๑) ทำให้อิตาลีรวมดินแดนเวเนเซียและโรมได้ จึงได้ประกาศให้
กรุงโรมเป็นเมืองหลวงของประเทศ

ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ อิตาลีก็พยายามขยายอำนาจและแสวงหาอาณานิคมใน
แอฟริกา ทำให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศฝรั่งเศส

ออสเตรีย-ฮังการี

จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี

ออสเตรียและฮังการีพัฒนาเข้าสู่ความเป็นรัฐชาติจากดินแดนในอดีตคือ
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (Austro-Hungarian Empire) ครอบคลุม
ดินแดนของออสเตรีย-ฮังการี เชโกสโลวะเกีย (ปัจจุบันคือสาธารณรัฐเซ็ก)
โปแลนด์และยูโกสลาเวีย (ปัจจุบันคือประเทศเซอร์เบีย)

ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ดินแดนยุโรปตะวันตกถูกพวกเติร์กรุกราน
อาณาจักรจึงถูกแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ออสเตรีย
ได้ครอบครองฮังการี และจัดการปกครองฮังการีอย่างเข้มงวด ดังนั้น เมื่อ
ออสเตรียทำสงครามแย่งชิงราชสมบัติสเปน พวกฮังการีจึงก่อกบฏโดยรับ
ความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส ในการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ ชาวฮังการี
มีความรู้สึกชาตินิยมและก่อการจลาจล จึงถูกปราบปรามอย่างหนัก หลัง
สงครามเจ็ดสัปดาห์ ออสเตรียพ่ายแพ้ปรัสเซียสูญเสียอำนาจและความเป็น
ผู้นำ ออสเตรียจึงให้ฮังการีเป็นราชอาณาจักรอิสระ ฮังการีจึงเจริญขึ้น
อย่างรวดเร็ว

สเปน

พระเจ้าฟิลลิปที่ ๒ แห่งสเปน

ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ประเทศสเปนเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดใน
ยุโรป ขยายอำนาจครอบครองเกาะซิซิลี เนเปิลส์ เกาะซาร์ดิเนีย ออสเตรีย
ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ และจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งอาณานิคม
ในทวีปอเมริกาด้วย แต่อำนาจของสเปนได้เสื่อมในสมัยของพระเจ้าฟิลลิปที่
๒ (Philip II ค.ศ. ๑๕๕๖-๑๕๘๙) เนื่องจากพ่ายแพ้กองทัพเรืออังกฤษในการ
สู้รบทางทะเลรวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ทำให้สเปนต้องสูญเสียอำนาจในทางการ
ค้า และทำให้อุตาสาหกรรมด้านต่างๆ ถดถอยลง

ปรัสเซีย

ราชวงศ์โฮเฮลซอลเลิร์น

ภายหลังการเสื่อมอำนาจของจักรวรรดิโรมันอันศักด์สิทธิ์ ดินแดนต่างๆ ต่างแยก
ออกเป็นรัฐต่างๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ราชวงศ์โฮเฮลซอลเลิร์น ได้ดำรงตำแหน่ง
เป็นประมุขของอาณาจักรปรัสเซีย อาณาจักรปรัสเซียได้กลายเป็นมหาอำนาจในยุโรป
มีการปกครองโดยการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง มีการสร้างกองทัพที่เข้มแข็ง ส่ง
เสริมการศึกษาและเสรีภาพทางศาสนา ขุดคลอง สร้างถนน และสะพานเป็นจำนวน
มาก ได้ทำสงครามกับออสเตรียและได้ชัยชนะจึงยึดครองแคว้นไซลีเซีย (Silesia) ที่
อุดมด้วยแร่เหล็กของออสเตรีย และได้รับชัยชนะในการทำสงครามเจ็ดปี (ค.ศ.
๑๗๕๖-๑๗๖๓) ซึ่งมีหลายประเทศในยุโรปเข้าร่วมในการรบ ทำให้ปรัสเซียได้ครอบ
ครองดินแดนต่างๆ เพิ่มขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ปรัสเซียสามารถก้าวเป็นผู้นำรัฐ
เยอรมัน ด้วยความสามารถของอัครเสนาบดีแห่งปรัสเซีย ชื่อออตโต ฟอน บีสมาร์ค
(Otto von bismarck) ภายหลังสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (ค.ศ. ๑๘๗๐-๑๘๗๑)
ทำให้การร่วมชาติเยอรมันประสบความสำเร็จและขยายอำนาจออกไปทำให้จักรวรรดิ
เยอรมันกลายเป็นประเทศที่มีแสนยานุภาพทางทหาร

บรรณานุกรม

ปรีชา ศรีวาลัย. ประวัติศาสตร์สากล : สมัยโบราณ สมัยกลาง สมัยใหม่และโลกปัจจุบัน.

กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๖

พัฒนาการของรัฐชาติมนยุโรป (Nation State) - ประวัติศาสตร์สากล - Google site.

วันที่ ๐๖ ๑๒ ๖๔ ค้นจาก/ / .https://sites.google.com/site/historyinter123/hnwy-

kar-reiyn-ru-thi-5/kaneid-rath-chati

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่


Click to View FlipBook Version