The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 132 วิรงรอง ทองบ่อ, 2024-02-05 07:22:00

บทความวิจัย

บทความวิจัย

การพัฒนาทักษะด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลพิบูลย์รักษ์ วิรงรอง ทองบ่อ1 กรรรณิการ์ บุญขาว2 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์1) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1โดยใช้การพัฒนาทางทักษะด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการสอนคำศัพท์ แบบตอบสนองด้วยท่าทาง ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยที่คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เพื่อศึกษาความคงทนในการจำคำศัพท์ โดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางในการพัฒนาคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ เนื่องจากในปัจจุบันภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่มีการใช้อย่างแพร่หลายมาก การสื่อสาร ด้วยภาษาอังกฤษจึงมีความจำเป็นอย่างมาก คำศัพท์ภาษาอังกฤษถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้เรียนจะนำไปต่อ ยอดในการเรียนอื่นๆได้ เมื่อผู้เรียนได้สื่อข้อมูลจากคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ผู้เรียนนั้นสามารถเริ่มต้นในการ พัฒนาทักษะอื่นๆได้เป็นลำดับขั้นต่อไป โดยการศึกษาครั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลพิบูลย์รักษ์ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม จำนวน 22 คน ระยะเวลาในการทำวิจัย 12 ชั่วโมง โดยใช้แผนจำนวน 6 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 12 ชั่วโมง เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนโดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง และ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ การวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ̅ และค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คำศัพท์ของนักเรียนมีการพัฒนาขึ้น โดย ผลการทดสอบหลังเรียน (̅= 22, S.D. = 3.50) สูงกว่าก่อนเรียน (̅= 11, S.D. 3.06) ซึ่งผลการทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์เป็นรายบุคคลอยู่ในเกณฑ์ผ่าน


ABSTRACT The purposes of this research were to 1) to study and compare English learning achievement. Students in Grade 3 are using the development of English vocabulary skills by teaching vocabulary with responsive gestures between before class and after class that the average score after studying is at least the criteria of 70 percent 2) to study the durability of vocabulary memory using gesture-based teaching to develop English vocabulary. It was because nowadays English is an international language that is used very widely used to. communicate. Therefore, English vocabulary is considered essential for students to use in other studies. When learners have communicated information from English vocabulary, learners can begin to develop further skills in the next step. In this study, the sample group was Grade 3 students at Anubanphibunrak School. Derived from group sampling of 22 people, research time was 12 hours, using 6 plans, 2 hours per plan, for 12 hours. Tools Used in research include a plan for students' English vocabulary learning using gesture-based teaching. The English language achievement test data analysis includes Mean percentage (̅) and standard deviation (S.D). The results found that Vocabulary learning achievement the student gesture has developed. The test results after studying (̅= 22, S.D. = 3.50) were higher than before studying (̅= 11, S.D. 3.06) and individual achievement is within the passing criteria. บทนำ ปัจจุบันภาษาอังกฤษนั้นมีความสำคัญอย่างมากในสังคมโลกปัจจุบันเพราะว่าภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางที่ สำคัญต่อการติดต่อสื่อสารกับทั่วโลก ทั้งมีความสำคัญใน ด้านการศึกษา ด้านการพัฒนาตนเอง ด้านการ ประกอบอาชีพ ด้านการสร้างความเข้าใจต่อประเพณีวัฒนธรรม ด้านการค้าขายและธุรกิจ ร่วมไปถึงด้านการ ติดต่อสื่อสารกับกลุ่มประชาคมอาเซียนและต่างประเทศทั่วโลก เมื่อมีความหลากหลายเชื้อชาติและแตกต่าง ทางประเพณีวัฒนธรรมนั้น ย่อมตระหนักถึงการติดต่อสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจกันและกัน ภาษาที่จะ สามารถเป็นสื่อกลางในการติดต่อการสื่อสารเพื่อแสดงความเข้าใจต่อกันก็คือภาษาอังกฤษ เพราะว่า ใน ปัจจุบันทั่วโลกนั่นจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลในการติดต่อสื่อสารกับคนต่างเชื้อชาติหรือในทางการค้า ขายต่อประเทศ จะเห็นได้ชัดว่าการที่จะติดต่อสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจกันกับคนต่างเชื้อชาติ จำเป็นต้อง สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่เพียงแค่ภาษาไทยเท่านั้น (ครูอัพเดทดอทคอม. 2561: ออนไลน์)


ในช่วงที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการและผู้เกี่ยวข้องจะให้ความสำคัญกับการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษ แต่ในระดับปฏิบัติการมีการประสบปัญหา ได้แก่ การไม่มีครูผู้ทรงคุณวุฒิเพียงพอกับการสอน ภาษาอังกฤษให้กับผู้เรียนทั่วประเทศ (สมิตรา อังวัฒนกุล, 2540, หน้า 14 – 15) ความสามารถในการใช้ ภาษาอังกฤษของผู้เรียนนั่นส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับไม่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ไวยากรณ์อังกฤษใน การเขียนให้ถูกต้อและปริมาณคลังคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการพูดหรือเขียนค่อนข้างอยู่ในระดับจำกัดจึง เป็นอุปสรรคใหญ่ในการฟัง อ่าน พูด และเขียน เนื่องมาจากในการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยส่วนใหญ่ไม่มี ความจำเป็นที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสาร และสื่อมวลชนทุกแขนงยังเสนอข้อมูลข่าวสารเป็น ภาษาไทย นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมต่างๆที่อยู่รอบๆผู้เรียนส่วนใหญ่มักจะใช้ภาษาไทยจึงทำให้ผู้เรียนไม่ได้ฝึกฝน ภาษาอังกฤษนอกห้องเรียนได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามปัญหาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย สามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ได้แก่ ปัญหาด้านการเรียนการสอนไม่สมบูรณ์ทั้ง 4 ทักษะ การฝึกปฏิบัติยังไม่ เพียงพอ เน้นไวยากรณ์และท่องคำศัพท์ปัญหาด้านครูผู้สอน (ครูไทย) ไม่ได้จบวิชาเอกภาษาอังกฤษและมี ภาระงานอื่น จัดการเรียนการสอนโดยยึดแบบเรียนเป็นหลัก เลือกเฉพาะบางกิจกรรมที่สอนได้ ด้านครูผู้สอน (ครูต่างชาติ) ขาดคุณสมบัติที่เหมาะสมด้านการเรียนการสอนและความประพฤติส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีปัญหา ด้านการบริหารจัดการภายในหมวดภาษาต่างประเทศ ขาดการสื่อสารระหว่างครูไทยและครูต่างชาติปัญหา ด้านสภาพแวดล้อมในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ประเทศไทยส่วนใหญ่จะใช้ภาษาไทยเป็นหลัก ซึ่งการ เรียนการสอนภาษาอังกฤษเฉพาะที่สถานศึกษาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการฝึกทักษะการสื่อสาร ภาษาอังกฤษ ปัญหาด้านเกณฑ์ในการประเมินทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนถูกวัดผลด้วยข้อสอบที่เน้น เรื่องไวยากรณืภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ผู้ปกครองยังให้ความสำคัญต่อคะแนนสอบ เพิ่มคะแนน เพิ่มเกรด มากกว่าส่งเสริมให้เด็กฟังภาษาอังกฤษเข้าใจ พูดสื่อสารได้ อ่านออก หรือสามารถเขียนประโยคที่ถูกต้อง และ ปัญหาด้านหลักสูตร หลายๆ สถานศึกษาเน้นที่ความรู้ความสามารถของครูต่างชาติ ขาดการวางโครงร่าง หลักสูตรที่ชัดเจนและเหมาะสมกับวัยผู้เรียน (ชัชรีย์ บุบนาค, 2561, น. 238) สอดคล้องกับ นวพร ชลารักษ์ (2559, น. 132) ที่กล่าวว่าครูผู้สอน ไม่ได้จบการศึกษาทางด้านภาษาอังกฤษโดยตรง ขาดความแม่นยำใน เนื้อหาการสอน ไม่มีวิธีการสอนที่จูงใจให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้เรียนเกิด ความเบื่อหน่าย และขาดแรงจูงใจในการเรียน จากปัญหาที่ได้กล่าวมาในข้างต้นผู้วิจัยได้เห็นว่า การจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษนั้นมีความ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนทักษะพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน โดยผู้วิจัยนั้นได้คัดเลือกรูปแบบของการจัดการเรียน การสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และมีรูปแบบที่ดึงดูดความน่าสนใจ เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ ของผู้เรียน แล้วยังเน้นภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน ผู้เรียนนั้นควรที่จะได้ฝึกฝนการฟังให้เข้าใจก่อนที่จะฝึกฝน การพูด เพราะการพูดผู้เรียนจะสามารถพูดได้เอง เมื่อผู้เรียนมีความพร้อมที่จะพูดภาษาอังกฤษ ผู้เรียนจะได้ เรียนภาษาอังกฤษจากการสังเกตและการกระทำของผู้อื่นจาการได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง การที่ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติด้วยตนเองจะทำให้ผู้เรียนนั้นรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จในการเรียนครั้งนี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะ


กระตุ้นให้ผู้เรียนอยากที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษไปได้ดียิ่งขึ้นการจัดการเรียนรู้แบบการตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) เป็นการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่งซึ่งพัฒนาขึ้น โดย แอชเชอร์(Asher, 1982, p. 569) นักจิตวิทยาและนักการศึกษาชาวอเมริกามีหลักการสำคัญ คือเน้น ความเข้าใจในการรับรู้ภาษาที่สองลดความเครียดของผู้เรียนโดยใช้ประโยคคำสั่ง ครูจะพูดคำสั่งภาษาอังกฤษ พร้อมแสดงท่าทางของคำกริยาในการปฏิบัติตามประโยคคำสั่งนั้นๆ ซ้ำประมาณ 2-3 ครั้ง และให้ผู้เรียนปฏิบัติ ตามไปด้ายจนกว่าผู้เรียนจะพร้อมปฏิบัติด้วยตนเองโดยไม่มีแบบอย่างจากผู้สอน ซึ่งทำให้ผู้เรียนสามารถ สื่อสารได้โดยการฟังและแสดงออกด้วยภาษากาย การแสดงท่าทางเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการฝึกด้วย ประโยคคำสั่งเพราะจะทำให้นักเรียนเข้าใจและสื่อความหมายได้ตรงที่สุด ลำดับขั้นตอนการสอนในขั้นแรก มุ่ง ไปที่ทักษะการฟัง และตามด้วยการเคลื่อนไหวทันทีโดยมีความเชื่อตามทฤษฎีว่าเด็กจะมีระดับความสามารถใน การฟังสูงและความสามาถในการฟังจะมาก่อนการพูดเสมอ นอกจากนี้ทักษะการฟังยังเป็นใจความสำคัญใน การพัฒนาทักษะการพูด การอ่านและการเขียนอีกด้วย ดังนั้นวิธีการสอนด้วยการพัฒนาทักษะด้านคำศัพท์ ภาษาอังกฤษโดยการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วแบบมี ประสิทธิภาพตามทฤษฎีการจำของ เพียเจต์ พบว่าการที่เรียนรู้โดยการใช้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ โดย การเคลื่อนไหวจะช่วยให้นักเรียนมีความคงทนในการเรียนรู้ที่ถาวรยิ่งไปกว่านั้น วิธีการนี้ยังเป็นวิธีการสอนที่ไม่ ฝืนธรรมชาติการเรียนรู้ภาษาที่สองคือเริ่มจากทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนตามลำดับ โดย คำนึงถึงความพร้อมของผู้เรียนเป็นหลัก และการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้นำสื่อที่ใช้ในชีวิตประจำวันมา ประกอบการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของผู้เรียนให้มีโอกาสได้เรียนรู้จากสื่อที่ ผู้เรียนได้พบในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสนำทักษะนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิด ความคุ้นเคยคล่องแคล่วในการใช้ภาษาเมื่อผู้เรียนได้มีการฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้นจะทำให้เกิดการเป ลื่ยนแปลงในตัวผู้เรียนไปตามขั้นตอนพร้อมกับลดความวิตกกังวลหรือความกลัวในการพูดภาษาอังกฤษแต่กลับ จะกลายให้ผู้เรียนเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง เช่น ผู้เรียนจะกล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นเป็นตัวของตัวเอง เป็นต้น ซึ่งหากผู้เรียนมีความเชื่อมั่นนั้นจะส่งผลให้ผู้เรียนมีการพัฒนาบุคลิกภาพที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้เรียนจะ ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มความสามารถในการก้าวไปสู่ความสำเร็จในพื้นฐานของชีวิตและยังจะช่วยให้ผู้เรียนมี ความกล้าในการติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อย่างมีความสุข จากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าการพัฒนาทักษะด้านคำศัพท์ ภาษาอังกฤษโดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง สำหรับผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียน อนุบาลพิบูลย์รักษ์เพื่อใช้ในการพัฒนาทักษะและการแก้ปัญหาการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาของผู้เรียน ซี่งมีวิธีการ สอนโดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางในชั้นเรียนเป็นวิธีที่เหมาะสมที่จะนำมาปรับใช้สอนคำศัพท์ ภาษาอังกฤษในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 เพราะวิธีนี้ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติด้วยตนเอง ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้เรียนมี ความตื่นเต้นหรือสนใจในระหว่างปฏิบัติ นอกจากนี้ยังจะสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ ภาษาอังกฤษให้แก่ผู้เรียนอีกด้วย


วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โดยใช้การพัฒนาทางทักษะด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการสอนคำศัพท์แบบตอบสนองด้วยท่าทาง ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยที่คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 2. เพื่อศึกษาความคงทนในการจำคำศัพท์ โดยใช้การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางในการพัฒนา คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 22 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลพิบูลย์รักษ์อำเภอพิบูลย์รักษ์จังหวัดอุดรธานีซึ่งการจัดนักเรียนในแต่ละ ห้องเรียนเป็นแบบ 2. กลุ่มตัวอย่าง ใช้การเลือกแบบเจาะจงเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ห้อง จำนวน 22 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลพิบูลย์รักษ์อำเภอพิบูลย์รักษ์จังหวัดอุดรธานี แบบแผนการทดลอง การศึกษาครั้งนี้มีแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) กลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการ ทดลอง One Group Pretest – Posttest Design กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง E T1 X T2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง (Experimental G3roup) T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pre - test) X แทน วิธีการหรือสื่อนวัตกรรมที่เลือกใช้ T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Post - test) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนโดยสอนคำศัพท์แบบตอบสนองด้วยท่าทาง 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ 3. แผนการเรียนรู้ จำนวน 6 แผน แผนล่ะ 12 ชั่วโมง


การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างตามลำดับดังนี้ 1. ก่อนการทดลองให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปี3/1 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นจำนวน 6 แผน โดยให้ นักเรียน เรียนและปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ตามขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการ/สื่อนวัตกรรม 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลองสอนแล้ว นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ชุดเดิมไปทดสอบนักเรียนอีกครั้ง จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป 4. ผู้วิจัยทดสอบความคงทนของการจดจำคำศัพท์โดยนำข้อสอบเดิมมาใช้ การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ โดยใช้การพัฒนาทักษะด้านคำศัพท์ ภาษาอังกฤษโดยการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยดำเนินการโดย ใช้โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการหาคะแนนเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1.เพื่อศึกษาผลการพัฒนาทักษะด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ผลการทดลอง ̅ S.D. ร้อยละ t ก่อนเรียน 11 3.06 37.58 17.29 หลังเรียน 21 3.50 71.82 28.86 2. เพื่อเปรียบเทียบผลการพัฒนาทักษะด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการสอนแบบตอบสนองด้วย ท่าทาง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนเรียนไป 4 สัปดาห์ ผลการทดลอง ̿ S.D. ร้อยละ t หลังเรียน 21 3.20 49.53 2.57 ความคงทน 21 3.93 70.15


สรุปผลการวิจัย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรียนโดยการสอนแบบตอบสนอง ด้วยท่าทาง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์สูงกว่า 70% เนื่องจากการสอนคำศัพท์ ภาษาอังกฤษด้วยท่าทางใช้ความจดจำจากการออกท่าทางและประสบการณ์จริงของนักเรียน จึงเป็นเหตุให้ นักเรียนสามารถนำความรู้ด้านคำศัพท์มาใช้ได้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ โดยการ สอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ได้คะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียนมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เนื่องจากก่อนเรียนนักเรียนไม่รู้วิธีการจำคำศัพท์ผ่านทางการตอบสนองด้วย ท่าทางมาก่อน จึงทำให้นักเรียนไม่มีวิธีในการนำคำศัพท์ที่ได้เรียนมาใช้ในชีวิตจริง จะเห็นได้ว่าเมื่อนักเรียน ได้รับการสอนโดยวิธีการตอบสนองด้วยท่าทางทำให้นักเรียนสามารถนำคำศัพท์ที่ได้เรียนมาใช้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์มีความคงทนด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรียนโดยการสอน แบบตอบสนองด้วยท่าทางหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ไม่แตกต่างกันมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 เนื่องจากการสอนคำศัพท์โดยการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางจะทำให้นักเรียนนึกถึงคำศัพท์ที่ ได้เรียนมาอยู่ตลอดเวลาในขณะทำสิ่งต่างๆ จึงเป็นเหตุให้นักเรียนยังสามารถจดจำคำศัพท์ได้นาน ข้อเสนอแนะสำหรับการทำวิจัยในครั้งต่อไป 1. ต้องมีการวางแผนก่อนการนำแผนไปใช้และจำเป็นอย่างมากที่จะต้องตรวจสอบให้ดีก่อน โดยแผน ที่ใช้จะต้องยืดหยุ่นในสถานการณ์ปัจจุบัน 2. ควรมีการถามความคิดเห็นในการกิจกรรมเพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้เรียนและดึงดูดความ สนใจในเนื้อหาได้ 3. ควรศึกษาและสำรวจข้อจำกัดในการทำกิจกรรมของทางโรงเรียน เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สภาพแวดล้อมของห้องเรียน เป็นต้น


บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (2545). สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศใน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น ทิศนา แขมมณี. (2545). ศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดการกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ นรินทร์ชัย พัฒนพงศา. (2542). การสื่อสารรณรงค์เชิงยุทธศาสตร์เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์เน้น การ เจาะจงกลุ่ม. เชียงใหม่: สำนักพิมพ์รั้วเขียว. นิติยา หอมชาล. (2562). ผลการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางที่มีต่อความสามารถ ในการสื่อสาร ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1. ครุศาสตร์มหาบัณฑิตหลักสูตรและการ สอน ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์จังหวัด ปทุมธานี. พจนานุกรมไทย. (2022). ท่าทาง. พจนานุกรมไทย. 6 กันยายน 2565 https://www.xncn5cawwn1j7b.com/define/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8% 97%E0%B8%B2%E0%B8% พื้นฐาน พุทธศักราช. (2551). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2545). การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : ปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ :ครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. พิมพันธ์ เตชะคุปต์. (2548). การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ: เดอะมาสเตอร์กรุ๊ป แบเนจเม็นท์. เพ็ญนภา แป้นอินทร์ และภัทร์ธีรา เทียนเพิ่มพูล. (2559). ผลของรูปแบบการเรียนรู้และการสอนแบบกลยุทธ์ ช่วยจำที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ด้านคำศัพท์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 : ภัทรวดี, ปันติ. (2558). ผลการใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางที่มีต่อทักษะการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษ และการกล้าแสดงออกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกมล-เรียมสุโกศล (บ้านผา ใต้). ระดับวิทยานิพนธ์ การศึกษาและการสอน คณะครุศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงใหม่


มณี อินทพันธ์. (2553). การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง : วิวัฒนาการและการนำไปใช้กับการเรียนต่าง บุคลิกภาพรูปแบบการเรียนและระดับความสามารถทางภาษา. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต หลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษานานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.สงขลา. วารุณี ศิร. (2559). การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR). นิสิตปริญญา โท สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม Metamedia Technology. (2003). ท่าทาง. longdu dict 5 กันยายน 2565, https://dict.longdo.com/search/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8 %B2%E0%B8%87 สมพร เชื้อพันธ์. (2547). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 โดยใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองกับการจัดการเรียนการสอนตามปกติ. วิทยานิพนธ์ (หลักสูตรและการสอน).พระนครศรีอยุธยา: บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา. สิริพร ทิพย์คง. (2545). หลักสูตรและการสอนคณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ : พัฒนาคุณภาพวิชาการ. เสงี่ยม โตรัตน์. (2538). "แนวคิดในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ." สารพัฒนาหลักสูตร, 15, 123: 48-56 ศิริพร พละโชติ. (2560). การศึกษาความสามารถในการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1 โดยใช้วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง. หลักสูตรและกาสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชาสีมา. อุทัย ภิรมย์รื่น และเพ็ญศรี รังสิยากูล. (2535). ปัญหาการสอนภาษาอังกฤษแก่ผู้เริ่มเรียน. กรุงเทพฯ: วิคตอเรียการพิมพ์. Nink Popo. (2021). วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางTPR. Pubhtml 5. 5 กันยายน 2565, https://pubhtml5.com/pzzd/espo/basic Sanook, (2020). ท่าทาง. พจนานุกรม. 1 กันยายน 2565 https://dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-royalinstitute/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87


Click to View FlipBook Version