งานแนะแนว ประเภทอาชพี
รายชอ่ื สมาชิก กลุ่ม 3
นางสาวศิรริ ุ้ง มุ่งตรง รหสั ประจาตวั 63941900313
63941900314
นางสาวอมิตา บารุงทอง รหสั ประจาตัว 63941900315
63941900316
นายภูเบศ บุญมา รหสั ประจาตัว 63941900317
นายวีระศักดิ์ นพเคราะห์ รหสั ประจาตวั 63941900318
นางสาวเสาวลักษณ์ ทพิ ยช์ ะรหสั ประจาตวั
นางสาวจนั ทรศ์ ริ ิ ศิริรังสี รหสั ประจาตวั
เสนอ
ผศ.ดร.อัมเรศ เนตาสทิ ธิ์
รายงานนีเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของรายวิชาจติ วิทยาในโรงเรียน (1055401)
หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวชิ าชีพครู
มหาวิทยาลัยราชภฏั ลาปาง Lampang Rajabhat University
คำนำ
รายงานนี้เป็นส่วนหน่ึงของวิชาจิตวิทยาในโรงเรียน สาหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพครู
ปีการศึกษา 2563 เพื่อใช้เป็นสื่อประกอบการนาเสนอในE-book ซึ่งในรายงานเล่มน้ี จะมีเน้ือหาสาระท่ีเกี่ยวข้อง
กบั เร่ือง ความรู้เบื้องต้นเก่ียวกบั การแนะแนว ความหมายของการแนะแนว จุดมุ่งหมายของการแนะแนวประโยชน์
ของการแนะแนวประเภทของการแนะแนว ลักษณะของการแนะแนว การแนะแนวอาชีพ ในระดับมัธยมศึกษา
การประยุกต์ใชร้ ปู แบบการแนะแนวอาชพี เพ่ือท่ีจะได้นาสง่ิ ต่างๆเหลา่ นม้ี ีประยกุ ต์ในให้กบั นักเรียนในโรงเรียน
คณะผู้จัดทา ขอขอบคุณผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องทั้งหลาย ที่ได้คอยให้คาแนะนาและให้คาปรึกษา
สาหรับการทารายงานเล่มน้ี คณะผู้จัดทาหวังว่ารายงานเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ในการเรียนการสอนรายวิชา
ดงั กลา่ วและสามารถนาความรูท้ ไ่ี ด้รบั ไปรับใช้ในการเรยี นการสอนต่อไป
คณะผจู้ ดั ทา
21 กันยายน 2563
สำรบญั 2
คำนำ หน้ำ
- ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกย่ี วกับการแนะแนว 3
- ความหมายของการแนะแนว 3-5
- จุดมุ่งหมายของการแนะแนว 5-6
- ประโยชนข์ องการแนะแนว 7-8
- ประเภทของการแนะแนว 9-10
- ลักษณะของการแนะแนว 10-15
- การแนะแนวอาชีพ ในระดับมัธยมศกึ ษา 15
- จดุ ม่งุ หมายของรปู แบบการแนะแนวอาชพี ในระดับมธั ยมศึกษา 16-18
- การประยุกตใ์ ช้รปู แบบการแนะแนวอาชีพ 19
3
ความรู้เบอ้ื งต้นเกยี่ วกับการแนะแนว
การแนะแนวเป็นกระบวนการในการให้ความช่วยเหลือผู้เรียนให้ได้
รู้จัก เข้าใจตน เองและผู้อื่น สามารถป รับ ตัวให้ เข้ากับ สังคมและ
สภาพแวดล้อมได้อย่างสมดุล เห็นคุณค่าในตนเอง รวมถึงการมีความสามารถ
ในการคิดและตัดสินใจเลือกแนวทางในการดาเนินชีวิตของตนเองได้อย่าง
เหมาะสมกับตนเอง ทั้งนี้จะช่วยให้ผู้เรียนดาเนินชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่ง
หลักสูตรแกนกลางข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดให้สถานศึกษาต้อง
จัดบริการและกิจกรรมแนะแนวให้แก้ผู้เรียนทุกคน และได้บรรจุไว้ในแผน
ยุทธศาสตร์ การแนะแนวระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 11
(พ.ศ. 2555-2559) ได้กาหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า การแนะแนวมุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาด้านการศึกษา อาชีพส่วนตัวและ
สังคม เต็มตามศักยภาพ มีทักษะชีวิต มีความสุข อยู่อย่างพอเพียงเป็นพลเมืองและพลโลกที่ดี ด้วยการมีส่วนร่วม
ของภาคีเครือข่าย ดังนั้นการแนะแนวจึงไม่เป็นเพียงเป็นกิจกรรมที่บรรจุอยู่ในหลักสูตรเท่าน้ัน แต่การแนะแนวมี
บทบาทในการพฒั นาผู้เรียนไดเ้ ติบโตอยา่ งมีคุณภาพท้ังดา้ นร่างกาย อารมณ์ สงั คม สติปญั ญา
ความหมายของการแนะแนว
คาวา่ “การแนะแนว” ตรงกับคาในภาษาอังกฤษวา่ Guidance ซงึ่ มีความหมายว่า “การชแี้ นวทาง” หรอื
“การชี้ชอ่ งทาง”ได้มีผใู้ หค้ วามหมายของคาวา่ การแนะแนวต่างๆกนั ดงั น้ี
กูด๊ (GOOD, 1973: 270) ได้อธิบายความหมายของ “การแนะแนว”
1. การแนะแนว คือ แบบของการชว่ ยเหลือที่ มีระเบียบแบบแผนอยา่ งหนง่ึ (นอกเหนอื จากการสอน
ตามปกติ) แก่นักเรยี น นักศึกษาหรือบุคคลอื่นๆ เพื่อใหเ้ ขารจู้ ักแสวงหาความร้คู วามฉลาดโดยปราศจากการบังคับ
ใดๆ เปน็ การน าทางใหเ้ ขารจู้ ักการนาตนเอง
2. การแนะแนว หมายถงึ กลวิธีในการนาเดก็ ไปสู่จุดหมายท่ีเขาปรารถนา โดย จัดสง่ิ แวดล้อมใหส้ นอง
ความตอ้ งการมูลฐานของเขาและชว่ ยให้ความต้องการของเขาสัมฤทธผิ์ ล
3. การแนะแนว คือ วิธกี ารท่ีสาคญั วิธหี นึง่ ในการสอนแบบพัฒนาการ (Progressive Teaching) โดยการ
ท่ีครเู ป็นผนู้ าเดก็ ให้ร้จู กั คน้ คว้า และชว่ ยให้ความต้องการของเขาไดร้ ับการตอบสนอง
4
โครว์ และ โครว์ (Crow and Crow, 1960: 1) ให้ความหมายของการแนะแนวในแง่ว่า คือการท่ีผู้ให้
คาปรึกษาให้ความช่วยเหลือ แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ตาม ให้สามารถท่ีจะช่วยเหลือตนเองได้
รูจ้ กั คิด และตัดสินใจ รวมทัง้ รบั ผดิ ชอบเก่ยี วกับปญั หาทุกๆ ด้านของตนเองได้ด้วยดี
มิลล์เลอร์ (Miller, 1976: 13) กล่าวว่า การแนะแนวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการศึกษา ซึ่ง
เก่ียวข้องกับการช่วยเหลือแต่ละบุคคลให้สามารถเข้าใจตนเอง ตัดสินใจได้ด้วยตนเอง และมีการวางแผนในการ
พฒั นาระบบของชวี ติ ของตนเองให้ดีขน้ึ
โจนส์ (Jones, 1951: 71) อธิบายความหมายของการแนะแนวว่าเปน็ การช่วยเหลอื ให้บุคคลรู้จกั ตัดสินใจ
ว่าเขาต้องการจะไปที่ไหนเขาต้องการจะทาอะไร ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจได้ว่าเขาจะทาให้ความหวังหรือ
จุดมุ่งหมายของเขาสัมฤทธ์ิผลโดยสมบูรณ์ได้อย่างไร ช่วยให้เขาสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ซ่ึงเขาต้องประสบใน
ชวี ิตไดด้ ว้ ยดี
สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2554: 33) ได้นิยามคาว่า แนะแนว ไว้ว่าการแนะแนว หมายถึง
กระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รู้จัก เข้าใจ รักและเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่นคิดเป็น ใช้ชีวิตเป็น สามารถ
ตัดสินใจและวางแผนการศึกษา อาชีพ และปรบั ตัวอย่ใู นสงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสุข
รังสรรค์ โฉมยา (2555: 3) กล่าวว่า การแนะแนว หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือบุคคลเพ่ือให้
บุคคลได้เรียนรู้ท่ีจะแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยตนเอง สามารถท่ีจะปรับตัวและพัฒนาด้วยตนเองได้อย่างเหมาะสมกับ
บรบิ ททางสังคม
อัชรา เอิบสุขสิริ (2556: 196) กล่าวว่า การแนะแนวหมายถึงกระบวนการช่วยเหลือบุคคลให้รู้จักและ
เข้าใจตนเอง เข้าใจสภาพแวดล้อม สามารถตัดสินใจในการแก้ปัญหาต่างๆ และวางแผนชีวิตได้อย่างฉลาด โดย
พฒั นาตนเองให้เตบิ โตเต็มศกั ยภาพและดาเนินชีวติ อย่างมีความสขุ และมีคุณคา่ ต่อสงั คม
สรุปคือ การแนะแนวเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เด็กแต่ละคนเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อ่ืนและสามารถปรับตัว
ในการดารงชีวิตอย่างมีความสุข ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต สามารถวางแนวชีวิตอนาคตของตนได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสมอันจะนาไปส่คู วามสุขและความสาเร็จในชวี ติ
จะเห็นได้ว่าการแนะแนวเป็นกระบวนการในการช่ีช่องทางให้เด็กได้รู้จักตนเองด้วย เคร่ืองมือการสารวจ
ตนเองที่หลากหลาย การที่เด็กได้สารวจตัวเอง รู้ว่าตนเองมีข้อดี ข้อบกพร่องอะไร รู้ว่าตนเองสนใจในเรื่องใดเป็น
พเิ ศษ รู้วา่ ตนเองถนดั ทางดา้ นอะไร ควรปรับปรงุ หรือพัฒนาตนเองไปในทิศทางใด การใหเ้ ดก็ ได้รับขอ้ มลู ท่สี าคญั
5
และจาเป็นต่อการตัดสินใจเลือกทาในส่ิงที่เหมาะสมกับตัวเขาเอง ถือว่าเป็นส่ิงสาคัญ การเข้าถึงข้อมูล
ข่าวสารต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกข้อมูลท่ีเป็นข้อมูลที่เป็นจริง และเป็นประโยชน์ ดังนั้น
จงึ ต้องมีการการให้คาปรกึ ษากบั เด็ก ทั้งนี้เพ่ือให้เกดิ ความชดั เจนในตัวตนของตัวเองย่ิงข้ึน ทง้ั นจี้ ะส่งผลใหเ้ ดก็ เห็น
เส้นทางชีวิตของตนเองชัดเจนยิ่งข้ึน และถ้าดังน้ันการที่เด็กได้สารวจตนเองจะทาให้เด็กได้การรู้จักตนเองและ
จาเป็นอยา่ งย่ิงทจ่ี ะต้องมกี ารติดตามผลจากเด็กทไ่ี ด้เข้าสู่กระบวนการของการแนะแนวเมอ่ื เด็กได้ผา่ นกระบวนการ
แนะแนวอย่างเป็นระบบจะทาให้เด็กดาเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ และสามารถสร้างประโยชน์ให้กับตนเอง
ครอบครวั ชุมชน สงั คม และประเทศชาติต่อไป
6
จดุ มงุ่ หมายของการแนะแนว
การแนะแนว เป็นวิธีการท่ีช่วยให้ผู้รับบริการได้รู้จักและเข้าใจตนเอง สามารถช่วยเหลือตนเอง พึ่งพา
ตนเอง สามารถตัดสินใจเลือกสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของตนเองและรับผิดชอบต่อการ
ตัดสินใจเลือกของตนเอง สามารถปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขดังนั้นจึงมีการกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของ
การแนะแนว
จุดมุ่งหมายของการแนะแนวจะช่วยให้ผู้แนะแนว หรือครูแนะแนวได้มีทิศทางในการให้ความช่วยเหลือ
ผเู้ รียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซงึ่ การแนะแนวเป็นกระบวนการในการใหค้ วามช่วยเหลืออยา่ งต่อเนื่อง เร่ิมจากการ
ป้องกันปัญหาท่ีอาจจะเกิดข้ึนกับผู้เรียน กล่าวคือ การป้องกันปัญหาเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทั้งกายและใจของ
ผู้เรียนก่อนท่ีจะต้องเผชิญกับปัญหาที่แท้จริง ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ การแก้ปัญหาจึงเป็นไปในทิศทางท่ี
เหมาะสมกับสภาพของปัญหาท่ีเกิดข้ึนและเมื่อปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขแล้ว การส่งเสริมและพัฒนาจะทาให้
ผู้เรียนมีกาลังใจในการดาเนนิ ชีวิต และมีเป้าหมายในชีวติ ท่ชี ัดเจนมากขน้ึ หากจะกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการแนะ
แนวให้เกิดความชัดเจนก็คือ “การช่วยเหลือบุคคล ให้เขาสามารถช่วยเหลือตนเองได้” (HELP HIM TO HELP
HIMSELF)
7
ปรัชญาการแนะแนว
ปรัชญาของการแนะแนว คือ ความเชื่ออย่างมีเหตุผล ซึ่งนักแนะแนวจะใช้เป็นแนวทางในการให้ความ
ช่วยเหลอื บุคคลทปี่ ระสบกบั ปญั หา ให้ผา่ นพน้ ปัญหานั้นไปได้ด้วยตนเอง
กล่าวโดยสรุปปรัชญาของการแนะแนวท่นี ักแนะแนวควรยดึ ถอื เป็นแนวปฏบิ ัติ ดังน้ี
1. มนษุ ยท์ ุกคนมีความแตกตา่ งกนั
เน่ืองจากบุคคลมีความแตกต่างกันท้ังด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา ซึ่งบุคคล
ถูกหล่อหลอมมาในสภาพแวดล้อมทแี่ ตกต่างกนั
2. พฤติกรรมทกุ พฤติกรรมตอ้ งมสี าเหตุ
พฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกมาน้ันย่อมต้องมีสาเหตุ ดังน้ัน การจะทาความเข้าใจกับบุคคลจะต้อง
เข้าใจเหตแุ ห่งการเกิดพฤตกิ รรมของบุคคลนั้น เน่ืองจากพฤตกิ รรมเดยี วกนั อาจมาจากหลายสาเหตุ
3. มนุษย์เปน็ ทรพั ยากรที่มีค่าย่งิ ทีจ่ ะตอ้ งพัฒนาใหถ้ ึงขีดสดุ ในทกุ ๆ ดา้ น
มนษุ ยเ์ ปน็ ทรพั ยากรที่มีค่าสูงย่ิง ดังน้นั มนษุ ย์ทุกคนจึงควรได้รับการพัฒนาให้ถึงขีดสุด ในทกุ ดา้ น
4. มนุษยท์ กุ คนย่อมมศี กั ด์ศิ รใี นตนเอง
มนุษย์มีสิทธิ์ในการจัดการกับชีวิตของตนเองในฐานะท่ีเขาเป็นเจ้าของชีวิตได้อย่างเต็มท่ี และต้องการให้
ผอู้ นื่ ยอมรบั และใหเ้ กยี รตติ นเอง
5. มนษุ ยจ์ ะมีความสุข เม่ือไดด้ าเนินชีวติ ใหเ้ หมาะสมกบั บคุ ลิกภาพของตนเอง
การพัฒนาตนเองให้มีความสามารถต้องอาศัยการศึกษา การศกึ ษาจะช่วยให้บุคคลมีแผน การดาเนินชีวิต
ทถ่ี ูกหลักวชิ าการ สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งกาลังเผชิญหน้าอยู่และซ่ึงอาจจะต้องเผชิญ ในอนาคต และใช้ความรู้
ความสามารถท่ไี ดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี นมาใหเ้ กิดประโยชน์แกต่ ัวเองและต่อสังคมใหไ้ ด้มากทส่ี ุด
8
6. มนษุ ย์ทกุ คนย่อมต้องการความชว่ ยเหลอื
ทุกคนต้องมีประปัญหา ซ่ึงปัญหาท่ีเกิดข้ึนกับบุคคลนั้นต้องการการแก้ปัญหา ปัญหาท่ีเกิดข้ึนย่อมส่งผล
กระทบไปยังบุคคลอ่ืน เพราะคนเป็นสัตว์สังคมท่ีต้องอยู่รวมกัน บางปัญหาซ่ึงไม่สลับซับซ้อน จนผู้ท่ีมีปัญหาก็
สามารถแก้ไขปญั หาได้ แตบ่ างปัญหากย็ ง่ิ ซับซอ้ นจนผูท้ ม่ี ปี ัญหาไมส่ ามารถแก้ไขปัญหาได้
9
ประโยชน์ของการแนะแนว
การแนะแนวนับว่ามปี ระโยชน์มากมายต่อนักเรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม การทผี่ ู้เรียนขาดประสบการณ์
ขาดผู้ให้การช่วยเหลือชี้แนวทางในการดาเนินชีวิต เป็นเหตุใหต้ ้องดาเนินชวี ิตผิดพลาด ประสบกบั ปัญหาบางอย่าง
ท่ีร้ายแรงท่ีอาจจะทาลายอนาคตได้ เป็นการเกินกว่าท่ีจะแก้ไขการจัดบริการแนะแนวจะช่วยขจัดปัญหาทุกๆ ด้าน
ช่วยให้นักเรียนมองเห็นปัญหาแล้วเกิดความกระจ่างขึ้นในใจ สามารถท่ีจะแก้ไขปัญหาได้ด้วยตวั เอง ยอมรับสภาพ
ท่ีแท้จริงของตนเอง พยายามที่จะช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุด รู้จักระมัดระวังตัวในการดาเนินชีวิต รู้จักตั้ง
“เป้าหมายของชีวิต”ความสาเร็จในชีวิตมนุษย์อยู่ท่ีการรจู้ ักกาหนดเป้าหมายที่อยู่ในความสามารถของตนเองท่ีจะ
ก้าวไปถึง ไม่เกียจคร้านรอคอยโชคชะตา บุคคลท่ีมีหลักในการดาเนินชีวิตโดยยึดหลักปรัชญาของการแนะแนวจะ
เปน็ บุคคลทีป่ ระสบความสาเรจ็ ในชวี ติ
สรุปประโยชน์ของการแนะแนว ดงั นี้
1. ช่วยให้นักเรียนสามารถศึกษาหาความรู้อย่างถูกวิธี ช่วยให้เกิดความเข้าใจในบทเรียนให้ดียิ่งข้ึน ทาให้
เกิดประสิทธิภาพในการเรยี นการสอน
2. ช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนไปตามความถนัดของตนเอง สามารถเลือกวิชาตามความรู้ความสามารถ
ของตนเอง
3. ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการศึกษา ทาให้เกิดความสนใจในการเรียนพอใจที่จะศึกษาหา
ความรู้
4. ช่วยให้โรงเรยี นสามารถจัดวิชาเรียนไดส้ นองความต้องการของนักเรียน รู้แนวทางวา่ วิชาใดควรจดั และ
เหมาะสมกับผูใ้ ด
5. ช่วยป้องกันปัญหาต่างๆ โดยการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เพ่ือช่วยให้นักเรียนหลีกหนีจากปัญหาไม่ต้อง
เผชิญกบั ปญั หา
6. ชว่ ยให้นักเรยี นรจู้ กั คิด และร่วมกจิ กรรมต่างๆ ไปตามความพอใจและความสามารถของตนเอง
10
7. ช่วยให้นักเรียนสามารถเลือกอาชีพไปตามความถนัดของตนเอง อันจะนาไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในวิชาที่
ตนเองเลือก
8. ช่วยให้นักเรียนเกิดความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ รู้จักคิดและปฏิบัติส่ิงใหม่ๆ ได้ด้วยตนเองสร้างความ
เช่ือมน่ั ใหก้ ับตนเอง
9. ชว่ ยให้นักเรยี นไดม้ ีการพฒั นาการไปอยา่ งถูกหลกั วิธี โดยมีการพฒั นาการไปพรอ้ มๆกัน ทั้งดา้ นร่างกาย
อารมณ์ สงั คม และสตปิ ญั ญา
10. ช่วยให้นักเรียนประสบความสาเร็จในการศึกษาเล่าเรียน และสามารถนาความรู้ท่ีได้รับไปปรับตัวให้
อย่ใู นสงั คมได้อย่างราบรน่ื
11. ช่วยให้นกั เรียนรู้จักรักษาระเบียบวินัย และขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม รจู้ ักหน้าทข่ี องตนเองใน
ฐานะพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัว มีมานะอดทนขยันหมั่นเพียรเพ่ือน าไปสู่
ความสาเร็จ
12. ช่วยให้นักเรียนเข้าใจตนเอง รู้จักตนเองอย่างแท้จริง รู้จักคิดและแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง รู้ จัก
วางแผนของชวี ติ ในอนาคตและดาเนินชวี ติ ไปตามทตี่ นเองต้องการ
13. ช่วยให้นักเรยี นรู้จักและเข้าใจสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว รู้จกั และเข้าใจบุคคลอ่ืนมีความเห็นอกเห็นใจ
และสามารถทางานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เป็นท่ียอมรับของสังคม ทาให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นในการอยู่ร่วมกันกับบุคคล
อนื่ ไดด้ ี สามารถทาตนให้เป็นประโยชน์ต่อผอู้ น่ื และสังคมได้
14. ช่วยให้นักเรียนเป็นคนที่มีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์เป็นเครื่องตัดสินปัญหา รู้จักคุณค่าของตนเองและนา
คุณค่าของตนเองไปใชใ้ ห้เปน็ ประโยชน์
15. ชว่ ยให้ครูและผบู้ รหิ ารร้เู หตุแหง่ พฤติกรรม เพ่ือหาทางชว่ ยขจัดปัญหาได้งา่ ยข้ึน
11
ประเภทของการแนะแนว
การดาเนินงานแนะแนวนั้นจะแบ่งเป็นการดาเนนิ งานตามประเภทของการแนะแนว ซึ่งการแนะแนวในแต่
ละประเภทจะมีเน้ือหาประเภทของการแนะแนว มีผ้แู บ่งไวห้ ลายทศั นะดว้ ยกัน แต่พอสรุปเป็นประเภทใหญๆ่ ได้ 3
ประเภท ดังน้ี
1. การแนะแนวการศกึ ษา ((Educational Guidance)
2. การแนะแนวดา้ นอาชพี (Vocational Guidance)
3. การแนะแนวด้านสว่ นตัวและสังคม (Personal and Social Guidance)
ในการดาเนินงานการแนะแนวครั้งน้ีจะเลอื กประเภทการแนะแนวด้านอาชพี (Vocational
Guidance) มาศกึ ษา
การแนะแนวดา้ นอาชพี (Vocational Guidance)
การแนะแนวด้านอาชีพ เป็นกระบวนการในการช่วยเหลือบุคคลให้รู้จักเลือกอาชีพให้เหมาะสมกับความ
ถนัดและความสามารถ โดยเร่ิมจากรู้จักเตรียมตัว เพ่ือประกอบอาชีพ วิธีการท างานเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าใน
การประกอบอาชีพ ตลอดจนการปรับตัวอย่างมีความสุขในการประกอบอาชีพน้ันๆ การท่ีบุคคลจะประสบ
ความสาเร็จกา้ วหนา้ ในการประกอบอาชีพนนั้ แฟรงค์ พารส์ นั กล่าวว่าจะต้องให้ความช่วยเหลอื ดังต่อไปน้ี
2.1 ช่วยให้ผู้เรียนได้รู้จักตัวเองในด้านความถนัด ความสามารถ
ความสนใจในอาชีพของตนเอง
2.2 ให้ความรู้ในรายละเอียดเก่ียวกับอาชีพอย่างกว้างขวาง เพื่อมี
โอกาสในการเลือกอาชีพ และตัดสินใจเลือกอาชพี ได้อย่างเหมาะสม
2.3 รู้จักตัดสินใจเลือกอาชีพด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครรู้จักตัวเอง
ไดด้ ีเทา่ กบั ตัวเองรจู้ กั ตัวเอง
2.4 ปรับปรุงตัวเองทั้งในด้านบุคลิกภาพ การทางาน ให้เหมาะสม
กบั อาชพี ของตัวเอง
การดาเนินการแนะแนวดา้ นอาชีพนั้นสามารถดาเนินการไดด้ งั น้ี
1. รูปแบบของแผนการจัดกิจกรรมแนะแนว ซ่ึงถูกบรรจุไว้ในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตร
แกนกลางข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ซ่ึงสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานได้จัดทาแผนการจัด
กิจกรรมแนะแนว ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแผนการจัดกิจกรรมแนะแนวตั้งแต่ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-6 และแผนการ
จัดกิจกรรมแนะแนวตั้งแต่มัธยมศึกษาปีท่ี1-6 จากเว็บไซด์ของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร (http://www.obec.go.th/)
12
2. รูปแบบของกิจกรรมโฮมรูม การให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพอาจจะใช้เวลาเพียงสั้นๆในกิจกรรมโฮมรูม
ยกตัวอย่าง เช่น การปลูกฝังให้ผู้เรียนได้สร้างเป้าหมายอาชีพของตนเอง การศึกษาข้อมูลเก่ียวกับโลกกว้างทาง
อาชีพ ศกึ ษาอาชพี ตา่ งๆ จากสอ่ื ออนไลน์ เปน็ ต้น
3. รูปแบบของกาจัดโครงการแนะแนวทางด้านการศึกษา ยกตัวอย่าง เช่น การเชิญวิทยากรมาให้ความรู้
เก่ียวกบั อาชีพที่ไดร้ ับนยิ ม การเตรยี มตวั เขา้ ส่อู าชีพ การเชิญรุน่ พี่ที่ประสบความสาเร็จในอาชพี มาใหข้ ้อมูล
เกี่ยวกับการประกอบอาชีพ เทคนิคการสัมภาษณ์ให้ได้งาน ตลอดท้ังการ
ส่งผู้เรียนไปทดลองฝึกอาชีพที่ตนเองสนใจ เช่น ต้องการประกอบอาชีพแพทย์ ครู
แนะแนวจะประสานงานกับทางโรงพยาบาลเพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าไปสังเกตการท า
งานของแพทยใ์ นโรงพยาบาล เปน็ ต้น
4. รูปแบบของการจัดวนั งานอาชีพ หรือตลาดนัดอาชีพ ซ่ึงในงานอาจจะ
จัดเป็น 2 รูปแบบรวมกัน คือ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทดลองประกอบอาชีพท่ี
ตนเองเลือกในอนาคต และการเชิญผู้ประกอบการต่างๆ มาเปิดบริการให้ข้อมูล
ต่างๆ ดา้ นอาชพี ของสถานประกอบการนัน้ ๆ
5. รูปแบบของการให้ข้อมูลด้านอาชีพผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อออนไลน์ต่างๆ ทั้งนี้เพ่ือให้เข้าถึงผู้เรียน
ให้มากทีส่ ดุ ตลอดท้ังมแี บบทดสอบตา่ งๆ ท่ีให้ผู้เรยี นได้ตรวจสอบความถนัดและความสนใจในดา้ นอาชพี
6. รูปแบบการทัศนศึกษา โดยการน าผู้เรียนไปยังสถานประกอบการต่างๆ ที่เป็นท่ียอมรบั ในสังคม ทั้งนี้
เพ่อื ให้ผเู้ รยี นได้ประสบการณจ์ ากการทัศนศึกษา
7. รูปแบบของการฝึกอาชีพที่เป็นอาชีพของท้องถิ่น โดยใช้วิทยากรที่เป็นปราชญ์ชาวบ้านมาให้ความรู้
และฝกึ อาชีพใหก้ ับผูเ้ รยี น ทงั้ นเ้ี พอ่ื เปน็ สืบทอดมรดกทางด้านอาชีพของท้องถ่ินให้คงอยตู่ ่อไป
13
ลกั ษณะของการแนะแนว
ลกั ษณะของการแนะแนว แบง่ ออกเปน็ 2 ลักษณะ คือ
1. การแนะแนวเป็นรายบุคคล (Individual Guidance)
ปัญหาของบุคคลย่อมแตกต่างกันออกไป การท่ีบุคคลมีปัญหาไม่เหมือนกัน การแนะแนวจึงจาเป็นต้องจัดให้
เป็นรายบุคคล โดยให้การช่วยเหลือที่ละคน ผู้มีปัญหาอาจจะเข้ามาขอความช่วยเหลือด้วยตนเอง หรืออาจมีครู
อืน่ ๆ หรือบุคคลอื่นท่ีเกยี่ วข้องมาขอคาปรึกษาก็ได้
การแนะแนวเป็นรายบุคคล เป็นวิธีการแนะแนวที่ละเอียดอ่อน ซึ่งผู้ให้การแนะแนวต้องพยายามทาความรู้จัก
และเข้าใจเด็กอยา่ งดี โดยการศึกษาจากระเบยี นสะสม ระเบียนพฤตกิ รรม สังคมมิติการสังเกต การสมั ภาษณ์ หรือ
การไปเยี่ยมบ้าน เป็นต้น ครูต้องใช้วิธีการต่างๆ ในการรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับตัวเด็กให้ถูกต้องมากที่สุด ข้อมูล
ตา่ งๆ ที่ได้จาเป็นต้องนามาศึกษาอย่างละเอียด วิเคราะห์และพิจารณาอย่างดี การแนะแนวเป็นรายบุคคลน้ีผู้แนะ
แนวอาจขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่นครูประจาช้ัน ครูประจาวิชา บิดามารดา เพื่อนฝูง
นักจิตวิทยา แพทย์ หรือนักสังคมสงเคราะห์ก็ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าปัญหาน้ันเป็นปัญหาที่หนักควรขอความ
ช่วยเหลือจากบุคคลหลายฝ่ายในการช่วยเหลือจากบุคคลหลายฝ่าย ในการช่วยตีความหมาย และช่วยให้ข้อมูล
ต่างๆ เก่ียวกับตัวเด็กเพิ่มเติม การแนะแนวเป็นรายบุคคลถือว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาเป็นรายบุคคล
เพื่อช่วยให้รู้จักพัฒนาการตัวเองในทุกๆ ด้าน จนถึงขีดสูงสุดแห่งความสามารถของตนเอง ช่วยให้บุคคลรู้จักมอง
ตัวเอง รู้จักวิเคราะห์ตนเอง และเข้าใจตนเองมากท่ีสุด สามารถใช้สติปัญญาของตนเองในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้
อย่างดี ซ่ึงการแก้ปญั หานั้นต้องเปน็ การตัดสินใจอย่างฉลาดและถูกต้อง อันจะสามารถเอาตัวรอดและดารงชีวิตอยู่
ในสังคมได้อย่างราบรื่น แลสามารถเผชิญต่ออุปสรรคต่างๆ อย่างท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตได้สามารถป้องกันปัญหา
ต่างๆ ไมใ่ หเ้ กดิ ข้ึนแกต่ นเองได้
1.1 ลกั ษณะของการแนะแนวเป็นรายบคุ คล
การแนะแนวเป็นรายบุคคลก็คือ วิธีการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาทุกๆ อย่างท่ีเกิดขึ้นแก่เด็กให้สามารถแก้ไข
ปญั หาได้อยา่ งถกู หลักวธิ ีการแนะแนวเปน็ รายบคุ คล แบ่งออกเปน็ 2 วธิ ี คอื
1.1.1 การแนะแนวแบบไมเ่ ป็นแบบแผน (Informal Guidance) เปน็ การแนะแนว
แบบท่ัวๆ ไป ซึ่งครูอาจใช้เม่ือพบปะ หรือสนทนากับเด็กอาจถามปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาการเลือกวิชาเรียน
หรือปัญหากับครูผู้สอน เป็นต้น ครอู าจสนทนาให้ความช่วยเหลือไปตามความเหมาะสม ท้ังน้ี จะเป็นการช่วยผ่อน
คลายความตึงเครียดให้กับเด็ก หรือช่วยลดความกดดันทางจิตใจให้ลดน้อยลง ซึ่งการแนะแนวแบบนี้เป็นวิธีการ
แนะแนวทั่วๆ ไปที่ไม่ใช่ปัญหาหนัก อาจทาได้ตามเวลาและโอกาสท่ีเหมาะสมถ้าปัญหาน้ันรุนแรงอาจนัดเวลาใน
การให้คาปรกึ ษาตอ่ ไปได้
14
1.1.2 การแนะแนวแบบเป็นแบบแผน (Formal Guidance) เป็นการแนะแนวท่ีทา
ไปตามแบบแผนที่วางไว้ มีผู้ขอคาปรึกษาซึ่งไปขอความช่วยเหลือ ซง่ึ ผู้แนะแนวต้องทาการรวบรวมข้อมูล
และศึกษาปัญหาอย่างละเอียด มีการนัดสัมภาษณ์พูดคุยกัน และร่วมกันกับเด็กวางนโยบายในการแก้ปัญหา โดย
ให้เดก็ ได้เกิดความเข้าใจตัวเอง และเขา้ ใจปัญหาอย่างละเอยี ด มกี ารบันทกึ ไว้เป็นหลักฐาน
การแนะแนวเป็นรายบคุ คล ผู้แนะแนวยดึ ถือหลกั เกณฑ์ต่อไปน้ีเป็นองค์ประกอบ ท่ีสาคัญท่ีจาเป็นจะต้อง
ทราบกอ่ นใหก้ ารแนะแนว คอื
1) ประวตั ิส่วนตัว ชีวิตตั้งแตแ่ รกเกิด สภาพความเป็นอยู่ในครอบครวั ประวัติความเจ็บป่วย โรคประจาตัว
ความกระทบกระเทอื นอนั เกิดจากอุบัตเิ หตุ เปน็ ต้น
2) สภาพแวดล้อมภายในบ้าน ความสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัว เช่นบิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย พี่น้อง
หรือบุคคลอ่ืนๆ ฐานะของครอบครวั หรือเศรษฐกิจ รวมทัง้ ความอบอ่นุ ท่ไี ด้รับจากครอบครัวด้วย
3) สภาพแวดล้อมทางโรงเรียน การปรบั ตวั เข้ากับเพ่ือน ปัญหาต่างๆอันเกดิ จากการเรียนการสอน เป็นต้น
4) ความสามารถและความถนัด เด็กมีความสามารถหรือความถนัดทางด้านใด มีระดับสติปัญญาเป็น
อยา่ งไร
1.2 บคุ คลทีม่ ีหน้าทแ่ี นะแนวเปน็ รายบุคคล
บคุ คลต่อไปนี้ สามารถใหก้ ารแนะแนวเปน็ รายบุคคลได้
1.2.1 ครทู ี่ปรกึ ษา
1.2.2 ครปู ระจาช้นั
1.2.3 ครูแนะแนว
1.2.4 นกั จิตวิทยา
1.2.5 นกั สังคมสงเคราะห์
1.2.6 แพทย์
1.2.7 จิตแพทย์
1.2.8 บคุ คลอน่ื ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง
1.3 ความสาคัญของการแนะแนวเปน็ รายบคุ คล
รอทเรย์ (Rothrey, 1972: 8-18) อธิบายว่า การแนะแนวเป็นรายบุคคลมีสาเหตุมาจากมนุษย์ มีความแตกต่าง
ระหวา่ งบคุ คลอย่างมาก โดยเฉพาะในสถานการณต์ า่ งๆ ท่ตี นเองตอ้ งรบั ผิดชอบมีหลายอยา่ ง ดงั นี้
1.3.1 สภาพแวดลอ้ มทางครอบครัว (Family Circumstances) การให้การแนะแนวเป็นรายบุคคลในสว่ น
ของสภาพแวดล้อมทางครอบครัวท่ีมีความแตกต่างกัน ท้ังทางด้านความพร้อมทางเศรษฐกิจ ด้านความรักความ
อบอุ่นในแต่ละครอบครัว ในด้านการศึกษา นักเรียนบางคนจาเป็นจะต้องช่วยครอบครัว หาเล้ียงชีพ ต้องรับภาระ
15
อย่างหนักท้ังงานบ้านและทางโรงเรียน บางครอบครัวไม่สามารถจะให้ความช่วยเหลือในการส่งเสียให้บุตรหลาน
ของตนเองศึกษาเล่าเรียนจนสาเร็จการศึกษาขั้นสูงได้บิดามารดาในบางครอบครัวต้องมีภาระออกไปทางานนอก
บ้านเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ซึ่งฐานะการเงิน จากัดบิดามารดาบางคน แสดงการไม่ยอมรับหรือเชื่อใจ
บตุ ร จะคอยระมดั ระวัง ตักเตือน ไม่ปล่อยให้ทาอย่างอิสระบางคร้ังบดิ ามารดามีความขัดแย้งเกี่ยวกับระเบียบแบบ
แผนหรือกฎเกณฑ์ท่ีวางไวใ้ ห้เดก็ ปฏิบตั ใิ นเรอื่ งการเลอื กอาชีพ บิดามารดาตัดสินใจเลือกอาชพี ใหบ้ ุตร หรือไม่สนใจ
ไม่เห็นด้วยกับการเลอื กอาชีพของบตุ ร
1.3.2 การปรับตัวทางด้านส่วนตัวและสังคม (Personal and Social Adjustment)การที่ต้องให้การแนะ
แนวแก่เด็กเป็นรายบุคคล เนื่องจากโดยท่ัวๆ ไป เด็กมีปัญหาทางด้านส่วนตัวและสังคม เด็กมีลักษณะเหนียมอาย
ไม่กล้าแสดงอออก ชอบหลบหนีออกจากสังคม เพราะเขาพบว่าเป็นการยากที่จะอยู่รวมกลุ่มกับเพ่ือนๆ มีความ
กังวลใจเกี่ยวกับรูปรา่ งลกั ษณะของตนเอง มีปัญหาเกยี่ วกับอารมณ์ เช่น โมโห เกรี้ยวกราด เก็บตวั ไมเ่ ข้าสงั คม
1.3.3 ปัญหาในการเลือกอาชีพ (Problem in Choosing Vocation) เด็กมีความคิดท่ีแตกต่างกันในการ
เลือกอาชีพ เด็กต้องการได้รับข้อมูลเก่ียวกับอาชีพก่อนการตัดสินใจเข้าสู่อาชีพการแ สวงหาโอกาสหรือ
ประสบการณ์ในการทางาน การไปดูสถานท่ีทางานของแต่ละอาชีพ การฝึกงานการสนทนาพูดคุยกับบุคคลที่
ทางานอาชีพต่างๆ เด็กบางคนมีความจาเป็นท่ีจะต้องเรียนและประกอบอาชีพไปพร้อมๆ กัน เพราะมีปัญหาด้าน
เศรษฐกิจ
1.4 วิธกี ารแนะแนวเป็นรายบคุ คล
การแนะแนวเป็นรายบคุ คลมี 3 วธิ ี คือ
1.4.1 วิธีการแนะแนวโดยตรง (Directive Guidance) เป็นวิธีการแนะแนวที่ใช้ช่วยเหลือเด็กท่ีไม่สามารถ
แก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ส่วนมากมักจะเป็นผู้ส่งมาขอรับความช่วยเหลือเด็กประเภทนี้ จะขาดสติปัญญา
อารมณ์หวั่นไหว ไม่สามารถรวบรวมกาลังใจหรอื รวบรวมความเชื่อมั่นในตนเองมาใช้แก้ปัญหาตา่ งๆ ได้ด้วยตนเอง
ซ่ึงวิธีน้ีผู้แนะแนวต้องเป็นผู้เช่ียวชาญ และศึกษาข้อมูลต่างๆของเด็กอย่างรอบคอบ เพราะผู้ให้คาปรึกษาจะเป็น
บคุ คลท่สี าคัญในการแกไ้ ขปัญหาให้กับเด็กโดยตรง
1.4.2 วิธีแนะแนวทางอ้อม (Non-Directive Guidance) เป็นการช่วยเหลือเด็กทางอ้อม ช่วยให้เด็กผ่อน
คลายความตึงเครียด และความสับสนทางใจ ด้วยการระบายความรู้สึกต่างๆออกมา แล้วจึงจัดแนวทางใน
การศึกษาเกี่ยวกับตัวเด็กอย่างละเอียดรอบคอบโดยศึกษาจากข้อมูลต่างๆช่วยให้เด็กเกิดความเข้าใจในสภาพท่ี
แท้จริงของตนเอง ช่วยให้เด็กมองเห็นปัญหาอย่างแจ่มแจ้งแล้วค่อยๆ คิดตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยวิธีที่ตนเองพอใจ
และเปน็ ท่ยี อมรับของสังคมต่อไป
16
1.4.3 วธิ ีการแนะแนวทางสายกลาง (Eclectic Guidance) คือ การแนะแนวโดยผู้ทาการแนะแนวจะเป็น
ผู้พิจารณาว่า ปัญหาชนิดใดควรจะใช้การแนะแนวโดยตรง และปัญหาชนิดใดควรใช้การแนะแนวทางอ้อม ทั้งน้ีผู้
แนะแนวจะเปน็ ผู้ดคู วามเหมาะสมโดยสังเกตจากปัญหา และบคุ คลทีป่ ระสบปญั หา
การช่วยเหลือโดยการแนะแนวเป็นรายบุคคลนั้น เป็นสิ่งที่จาเป็นเป็นอย่างมาก ท้ังน้ีเพราะเก่ียวกับเร่ือง
ความแตกต่างระหว่างบุคคล บุคลิกภาพท่ีแตกต่างกันทาให้ปัญหาของบุคคลแตกต่างกันออกไป แม้แต่ปัญหา
บางอย่างจะออกมาในลักษณะท่ีคล้ายคลึงกัน แต่ในต่างบุคคลกันน้ัน วิธีการแก้ปัญหาอย่างเดียวกันอาจจะไม่
สาเร็จ ต้องใช้วิธีการแก้ปัญหาอย่างอื่นๆ ที่แตกต่างกันออกไป ฉะนั้นการแนะแนวเป็นรายบุคคล จึงจาเป็นต้องมี
วธิ ีการหลายๆ อยา่ งทไ่ี ม่เหมอื นกัน
2. การแนะแนวเปน็ กลุม่ (Group Guidance)
การแนะแนวเป็นกลุ่ม เป็นวิธีการให้การแนะแนวแก่ผู้มีปัญหา
เก่ียวกับด้านการเรียนความรู้สึกเกี่ยวกับอารมณ์ ซ่ึงการแนะแนวจะจัด
รวมๆ กนั ได้เป็นการจดั ให้กับนักเรียนครั้งละหลายๆ คน
การจัดการแนะแนวเป็นกลุ่มโดยท่ัวไปจะแนะแนวในเร่ือง
ตอ่ ไปนี้
1. เรื่องท่ีนักเรียนมีความสนใจร่วมกัน หรือปัญหาบางอย่างท่ีโรงเรียนจาเป็นจะต้องแจ้งให้ทราบ รวมท้ัง
แนวทางในการปูองกันปญั หา หรือแกป้ ญั หา
2. ปญั หาการปรับปรงุ บคุ ลกิ ภาพ การปรบั ตัวให้สามารถดาเนินชวี ติ อยูใ่ นสงั คมได้อย่างราบรน่ื
3. ปัญหาเกีย่ วกับสขุ ภาพ ความปลอดภยั
4. ปัญหาเกย่ี วกบั การเรียน การเลอื กอาชีพ การวางแผนการเรียน การเลอื กวชิ าเรยี นการศึกษาต่อ
2.1 ลักษณะของการใหก้ ารแนะแนวเปน็ กลุ่ม
ลกั ษณะของการแนะแนวเป็นกลมุ่ จะชว่ ยให้ผ้ไู ดร้ ับการแนะแนวได้ดงั น้ี
2.1.1 ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ เกิดความเข้าใจ สามารถมองเห็นภาพอนาคตได้อย่างชัดเจน อันจะนาไปสู่
การปฏบิ ตั ไิ ด้
2.1.2 ช่วยส่งเสรมิ พฒั นาการ ซึ่งจะนาไปสูก่ ารเจริญงอกงามจนถงึ ขดี สดุ ของแต่ละบุคคล
2.1.3 ชว่ ยให้เกิดความคิดริเริ่ม สามารถเข้าใจตนเอง และปัญหาต่างๆ ได้อย่างแจม่ แจ้ง มีความรับผดิ ชอบ
และสามารถตัดสนิ ใจแก้ไขปญั หาได้อยา่ งฉลาด
2.1.4 ช่วยใหส้ ามารถเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมของตนเองไปสู่การมพี ฤติกรรมเชน่ เดียวกับกลมุ่ หรือบคุ คลท่ี
อยู่รว่ มกนั
17
2.2 วตั ถุประสงค์ของการแนะแนวเป็นกลมุ่
การแนะแนวเป็นกล่มุ มวี ตั ถปุ ระสงค์ ดังตอ่ ไปน้ี
2.1.1 เพอื่ ชว่ ยให้นักเรยี นทกุ ๆ คนไดอ้ าศยั หมูค่ ณะในการเป็นผู้นาตนเองเกีย่ วกับสิง่ ต่อไปนี้
1) การรู้จักใชบ้ ริการตา่ งๆ ท่ีโรงเรียนจดั หาไวใ้ ห้
2) ช่วยในการแก้ไขพฤติกรรมของบุคคล ให้เป็นพฤติกรรมท่ีกลุ่มยอมรับและสามารถแก้ไขพฤติกรรมที่
สังคมยอมรับ
3) ช่วยวางแผนระยะยาว และช่วยกันแก้ปญั หาของกล่มุ สร้างหลักเกณฑ์และการร้จู ักเลอื กประสบการณ์
ซ่ึงมีคุณประโยชน์ต่อชีวิตมาใชใ้ นการสรา้ งปรัชญาชีวติ ของตน
4) ศึกษาเก่ยี วกับพฒั นาการกลุ่ม และการรักษาสุขภาพจติ ของบุคคล
2.2.2 เพ่อื ให้การช่วยเหลืออย่างมปี ระสิทธิภาพ เน่ืองจากการแนะแนวกลุ่มเปน็ การประหยดั เวลา และบุคลากรใน
การปฏบิ ัติหนา้ ที่
2.2.3 เพื่อช่วยให้เห็นแนวทางในการแก้ไขปัญหารว่ มกัน สามารถมองเห็นปัญหาร่วมกนั เป็นกลุ่ม ทาให้เห็นปัญหา
ได้ชัดเจนยิ่งข้ึน เน่ืองจากมีผู้มองปัญหาหลายๆ คน จะมองปัญหาได้หลายแง่ หลายมุม ทาให้การพิจารณาปัญหา
ตา่ งๆ เปน็ ไปอยา่ งละเอยี ดและรอบคอบมากย่ิงข้ึน
2.3 ประโยชนข์ องการแนะแนวเป็นกลุม่
การแนะแนวเปน็ กล่มุ มีประโยชน์ ดังนี้
2.3.1 ช่วยให้สามารถทางานคร้ังเดียวกับนักเรียนกลุ่มใหญ่ เป็นการประหยัดเวลาบุคลากร และ
งบประมาณ
2.3.2 ช่วยใหเ้ ด็กลดความกงั วล เน่อื งจากไดท้ ราบวา่ คนอื่นๆ กม็ ปี ัญหาเชน่ เดียวกับตนเอง
2.3.3 ช่วยฝึกให้เด็กเรียนรู้บทบาทของการเป็นสมาชิกในกลุ่ม ทั้งบทบาทของผู้นาและบาบาทของผู้ตาม
สามารถปรับเจตคติของตนให้เขา้ กับกลุ่ม
2.3.4 ช่วยให้เดก็ ร้จู ักแนวทางในการปรับตวั รู้จกั อยู่ร่วมกันกับผูอ้ ื่น รู้จกั รบั ฟังความคิดเหน็ ของผอู้ ่ืน รจู้ ัก
รับฟงั ความคดิ เห็นของผอู้ ่นื
2.3.5 ชว่ ยให้เดก็ รจู้ ักควบคมุ อารมณข์ องตนเอง รจู้ ักแพ้ รู้จักชนะ และมองโลกในแงด่ ี
2.3.6 ช่วยให้เด็กเข้าใจถึงหลักของการอยู่ร่วมกันในระบอบประชาธิปไตย ช่วยให้เด็กเข้าใจความหมาย
ของประชาธิปไตย อนั เป็นแนวทางในการอยูร่ ่วมกนั โดยสันตสิ ุข
18
2.4 แนวทางในการจดั การแนะแนวกลุ่ม
2.4.1 การจัดกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มควรมีลักษณะท่ีเข้ากันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องนาบุคคลท่ีมี
บุคลิกภาพเหมือนๆ กัน มารวมกลมุ่ กัน อาจน าบุคคลที่มีบุคลิกภาพแตกต่างกันมาร่วมกลุ่มกนั ได้ เช่น คนกล้าคน
อาย คนใจกว้าง เอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ คนตระหนี่ เห็นแก่ตัว คนมีศีลธรรม มีคุณธรรมคนท่ีมีความม่ันใจ คนที่ขาด
ระเบียบวินัย ขาดความรับผิดชอบ บุคคลดังกล่าวสามารถจัดกลุ่มการแนะแนวได้ จะช่วยลดลักษณะของ
บุคลิกภาพท่ีไม่ดี เม่ือบุคคลต้องการให้กลุ่มยอมรับก็จะพยายามปรับปรุงบุคลิกภาพของตนเองไปตามความ
ต้องการของกลุ่ม เช่น คนที่ขาดความรับผิดชอบเม่ืออยู่ในกลุ่มที่รับผิดชอบก็จะค่อยๆ ปรับปรุงตนเองและพัฒนา
ตนเองใหด้ ขี ึ้น
2.4.2 ลักษณะของผู้นากลุ่ม ผู้นากลุ่มต้องเป็นผู้นากลุ่มแบบประชาธิปไตยสามารถสร้างความสามัคคี
ภายในกลมุ่ ไดด้ ี เป็นผูน้ าท่ใี หส้ ิทธิเสรีภาพอนั เหมาะสมแก่สมาชกิ ภายในกลมุ่ ช่วยเสรมิ สร้างบรรยากาศอันดีงามใน
การร่วมกลุ่ม ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการอภิปรายปัญหา หาวิธีการแก้ไขปัญหาร่วมกัน สามารถผ่อนคลายความ
ตงึ เครยี ดในกลุม่ ให้กลมุ่ รู้จกั ภาระและหนา้ ที่ท่ีถูกท่คี วรของตนเอง
2.4.3 การแนะแนวกลุ่มให้ถือผู้มีปัญหาเป็นศูนย์กลาง ช่วยให้เด็กมองเห็นปัญหามองเห็นตนเอง แล้ว
ตีความหมายของปัญหา ดูจุดมุ่งหมายแห่งพฤติกรรม การท่ีจะทาให้บุคคลเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งนั้น ต้องอาศัย
ประสบการณ์ ความร้สู กึ และการมอี ารมณร์ ่วมกับผู้อ่ืน
19
การแนะแนวอาชีพ ในระดบั มัธยมศึกษา
การแนะแนวในระดับมัธยมศึกษา เป็นการแนะแนวท่ีสาคัญกว่าบริการแนะแนวในระดับใดท้ังน้ีเพราะนักเรียนใน
ระดบั มธั ยมศกึ ษาเป็นระดับท่ีอย่ใู นวัยของพัฒนาการไปสู่วัยผ้ใู หญ่ เด็กสว่ นมากจะมปี ัญหาในวยั รนุ่ น้ี ถ้าหากว่าเด็ก
ผ่านพน้ อปุ สรรคตา่ งๆ ในวัยนไี้ ปได้ เขากม็ โี อกาสทจ่ี ะประสบความสาเรจ็ ในชีวติ ได้
การแนะแนวในระดับมัธยมศึกษาในต่างประเทศ เกิดขึ้นก่อนการแนะแนวในระดับใดเพราะในระดับ
มัธยมศึกษา เด็กกาลังจะดาเนินไปสู่การเลือกอาชีพ เพราะการเลือก
อาชีพเป็นการวางรากฐานที่ดีสาหรับอนาคต ถ้าบุคคลสามารถเลือก
เรียนวิชาท่ีตนเองถนัด และเลือกอาชีพที่ตนเองพอใจการปฏิบัติงาน
อาชีพก็จะประสบความสาเร็จ เพราะได้ทางานที่ตนรัก ฉะนั้นการ
จัดบรกิ ารแนะแนวในระดับมธั ยมศึกษาจงึ ควรจดั ใหค้ รอบคลุมในทุกๆ
ด้าน เพ่ือให้เด็กมีความพร้อมท้ังด้านการศึกษา เด็กได้ศึกษาตรงตาม
ความสามารถและความถนัดของตนเอง ด้านอาชีพ เม่ือเด็กได้ศึกษา
ในวิชาที่ตนเองสนใจแล้วก็สามารถเข้าใจได้อย่างดี และได้นาองค์
ความรู้ท่ีได้ไปประกอบอาชีพท่ีตนเองพึงพอใจ เป็นแนวทางในการน า
ชีวิตไปสู่ความสาเร็จ ด้านส่วนตัวและสังคม ช่วยส่งผลให้มีความฉลาด
รอบคอบ มีความคิดและมีวิจารณญาณ สามารถใช้สติปัญญาที่มีอยู่เอาชนะอุปสรรคต่างๆ สามารถอยู่ในสังคมได้
ปราศจากปญั หาหรอื อปุ สรรคใดๆ
จุดมงุ่ หมายของรปู แบบการแนะแนวอาชีพในระดบั มัธยมศึกษา
คมเพชรฉัตรศุภกุล (2521 : 31) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของรูปแบบการแนะแนวอาชีพในระดับชั้น
มัธยมศึกษาไว้ว่าควรจะให้นักเรียนได้รับโอกาสที่จะรับรู้ในเร่ืองคุณลักษณะส่วนตัวและความสามารถนอกจากนี้
แล้วควรช่วยให้ นักเรียนได้ ทบทวนดูว่าเขามีความรู้เก่ียวกับโลกของอาชีพอย่างไรบ้างและอาจทาความรู้จัก
ความค้นุ เคยกับอาชพี ที่อย่ใู นท้องถิ่นของตนเองบ้างความสนใจ อีกประการหนึ่งคอื ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งโอกาสทาง
การศึกษาและอาชีพที่จะออกไปปฏิบัติดังน้ันควรจะมีการวางแผนเก่ียวกับการศึกษาและอาชีพที่ยืดหยุ่นและ
เปล่ียนแปลงได้ สาหรับกิจกรรมในระดับมัธยมศึกษาที่เก่ียวข้องกับการแนะแนวอาชีพก็คือกิจกรรมการสารวจ
ตา่ งๆ จุดมุง่ หมายของการแนะแนวอาชีพในระดับมัธยมศกึ ษาพอสรปุ ไดด้ ังน้ี
1. เรยี นรเู้ กี่ยวกบั โลกอาชีพใหก้ ว้างข้ึน
2. ช่วยใหม้ องเหน็ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างอาชีพกบั หลักสตู ร
3. ทาใหไ้ ดร้ บั ข้อมลู เกย่ี วกบั การทางานในอาชีพบางอาชีพอย่างเพียงพอ
4. เพอื่ ให้เขา้ ใจวธิ กี ารท่ีจะได้รบั ข้อสนเทศอย่างถูกต้องและทันสมยั เก่ียวกับโลกของอาชีพ
5. เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจถึงความสาคัญของขอบข่ายการวางแผนชวี ติ
20
หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2544 กระทรวงศึกษาธิการ. (2545 : 1) ได้ กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของ
รปู แบบการแนะแนวอาชีพในระดับมัธยมศึกษาส่ิงสาคัญที่จะพัฒนาประเทศได้คือการศึกษาที่ถูกต้องเหมาะสมกับ
ความต้องการความถนัดและความสนใจของนักเรียนเพ่ือให้พัฒนาตนเองอันจะส่งผลเป็นแนวทางไปสู่อาชีพ
เนื่องจากอาชีพคือกลไกสาคัญในการที่จะขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความเจรญิ ก้าวหนา้
สมบุญ อินทขันตี(2543 : 1) ได้กล่าวว่าได้กลา่ วถึงจุดมุ่งหมายของรปู แบบการแนะแนวอาชีพในระดับมัธยมศึกษา
เป็นการศึกษาท่ีทาให้มนุษย์สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในการด่าเนินชีวิตอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุขโดย
การศึกษาน้ันสอนให้บุคคลได้รู้ จักคิดรูจ้ ักทารู้จกั แก้ปัญหาและเป้าหมายของการจัดการศึกษาอีกอย่างหน่ึงคือการ
จัดการเรียนการสอนให้ผเู้ รียนมีงานทาหลังจากสาเร็จการศกึ ษา ซึงการมีงานทาหรอื การมีอาชีพน้ันเปน็ ส่วนสาคัญ
ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและมคี วามเกี่ยวเน่ืองกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วยจากจุดมุ่งหมายของรูปแบบ
การแนะแนวอาชีพในระดับมัธยมศึกษา สรุปได้ว่ารูปแบบการแนะแนวอาชีพในระดับมัธยมศึกษาเป็นการช่วยให้
นักเรียนมีความรู้เก่ียวกับโลกกว้างทางการศึกษา และอาชีพช่วยให้นักเรียนมีข้อมูลเก่ียวกับอาชีพต่างๆ ที่ตนเอง
สนใจแลสามารถวางแผนในการเลอื กประกอบอาชีพในอนาคตได้อยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม
รูปแบบการจดั แนะแนวสาหรบั มัธยมศกึ ษา
อรอนงค์ธัญญะวัน (2539 : 22 – 24) ได้กล่าวว่ารูปแบบการจัดแนะแนวอาชีพสาหรับมัธยมศึกษามีดังน้ี
1. การให้นักเรียนสารวจตนเองโรงเรียนและครูแนะแนวควรจัดสภาพการณ์ ต่าง ๆให้นักเรียนได้รับ
ประสบการณ์ที่จะได้มีโอกาสสารวจความสามารถความถนัดความสนใจของตนนกั เรยี นอาจสารวจตนเองได้
ดังต่อไปนี้
1.1 สารวจตนเองจากวิชาในหลักสตู ร
1.2 สารวจตนเองจากประสบการณ์ท่ีได้จากกจิ กรรมเสริมหลักสูตร
1.3 สารวจตนเองจากประสบการณท์ ี่ไดจ้ ากการทางานนอกเวลา
1.4 สารวจตนเองโดยใช้แบบสอบถาม
2. การให้ข้อมูลดา้ นการศกึ ษาและอาชพี ซ่ึงจดั ให้ข้อมูลให้นักเรียนเปน็ กลุ่มไดด้ ังต่อไปนี้
2.1 การชี้แจงใหเ้ ห็นคุณค่าของวิชาที่เรียนและความสาคัญของวิชาต่างๆ
2.2 จัดสัปดาหอ์ าชีพ
2.3 การเยย่ี มชมสถานที่ประกอบอาชพี
2.4 การประชมุ แก้ปญั หาดา้ นอาชีพจากกรณตี ัวอยา่ ง
2.5 การติดตามศิษยเ์ ก่า
2.6 การใหข้ ้อมลู ดา้ นอาชีพในช่ัวโมงแนะแนวหรอื ชั่วโมงกจิ กรรมสารวจ
2.7 การคน้ คว้าขอ้ มูลดา้ นอาชพี การสารวจอาชีพในชมุ ชน
2.8 การจดั อภิปรายกล่มุ เกี่ยวกบั อาชีพ
21
2.9 การสัมภาษณ์ผูป้ ระกอบอาชพี ตา่ งๆ
2.10 การแสดงบทบาทสมมติ 2.11 การจดั ฉายภาพยนตรห์ รือภาพน่ิง
2.12 การจดั รายการวทิ ยุหรอื โทรทัศน์
2.13 การจดั ทาสมดุ ภาพเกี่ยวกับอาชพี
2.14 การจัดตงั้ ชมรมอาชีพ
2.15 การสอดแทรกข้อมลู ด้านอาชีพในวิชาต่างๆ
3. รูปแบบการให้คาปรึกษาด้านอาชพี มีจุดประสงค์เพ่ือชว่ ยใหผ้ ู้รับบริการตระหนักถึงความตอ้ งการและ
ค่านยิ มของตนเพ่ือจะพจิ ารณาว่าความตอ้ งการและคา่ นิยมน้ันมอี ิทธิพลต่อจดุ หมายในการเลือกอาชีพของ
ผูร้ บั บริการอย่างไรมีขั้นตอนการกระทาอยา่ งไรที่จะนาไปสูเ่ ป้าหมายและสามารถคาดคะเนได้ใกลเ้ คียงว่าการ
วางแผนน้ันจะนาไปสเู่ ป้าหมายไดด้ ีมากน้อยเพียงใดการให้คาปรกึ ษาด้านอาชพี น้ันอาจใหค้ าปรกึ ษาไดท้ ั้งแบบเดย่ี ว
และแบบกลมุ่
4. การจัดกิจกรรมจดั วางตัวนักเรียนเกี่ยวกบั อาชีพกิจกรรมนี้จะช่วยใหน้ กั เรยี นไดด้ าเนินตามโครงการท่ี
ตนได้ ตดั สินใจเลือกแล้วข้ันตอนในการจดั วางตวั นกั เรยี นเก่ียวกบั อาชีพมดี ังน้ี
4.1 ขน้ั เตรยี มหาข้อมลู ครูจะเตรยี มหาข้อมูลโดยสอบถามความต้องการบริการจัดวางตวั บคุ คลเก่ียวกบั
อาชพี ของนักเรยี นในปัจจบุ นั ติดตอ่ กับกรมแรงงานสานกั งานแรงงานจังหวัดบรษิ ทั หา้ งร้านหนว่ ยงานต่างๆว่าจะให้
ความรว่ มมอื กบั โครงการนี้ได้มากน้อยเพียงใด
4.2 สัมภาษณน์ กั เรียนทีÉตอ้ งการหางานทาวา่ ผสู้ มัครสนใจอาชีพใดมปี ระสบการณ์การทางานใดมาบ้างมี
ความสามารถพเิ ศษทางใดต้องการทางานประเภทใด
4.3 พจิ ารณาลกั ษณะงานและคณุ สมบตั ิของผู้ทางานตามที่นายจ้างต้องการ
4.4 คัดเลอื กผปู้ ระสงค์จะทางานไปยังหน่วยงานหรือส่งผู้สมคั รงานไปท่ีกรมแรงงานหรือไปให้นายจา้ งสัมภาษณ์
โดยตรงโดยนกั แนะแนวต้องแนะนาวธิ กี ารสัมภาษณ์และการกรอกใบสมัครงานและจัดให้นักเรยี นไดม้ ีโอกาส
ฝกึ งานเพ่ือใหค้ ุ้นเคยกับการทางาน
สานกั งานปฏริ ูปการศึกษา( 2544 :15-18) ได้สรปุ รูปแบบการแนะแนวอาชพี ในระดับมัธยมศึกษาเพื่อให้
เปน็ ส่วนหนึ่งในการแนะแนวด้านอาชพี ใหก้ บั นักเรียนในชั่วโมงกจิ กรรมแนะแนวไวด้ ังนี้
1. การค้นหาทักษะ นักเรยี นแตล่ ะคนต้องค้นหาทักษะของตนเอง การคน้ หาทักษะของแต่ละคนก่อนการ
ตัดสินใจในดา้ นการเรียน และต่อยอดเปน็ แนวทางวางแผนในการเลือกอาชีพในอนาคต ทักษะของแตล่ ะคนมเี ปน็
ความสามารถทต่ี อ้ งมแี ละเป็นรากฐานในการทางานทุกชนดิ ไมม่ งี านชนิดไหนท่ีไมต่ ้องใช้ทักษะโดยทักษะจะแบ่งได้
เป็น 3 แบบ คือ
1.1 ทักษะทเ่ี กดิ จากการเรยี นรู้ เช่น ทกั ษะในการขับรถพดู ภาษาตา่ งประเทศ
1.2 ทกั ษะทต่ี ิดตัวทตี่ ดิ ตัวเรามาและสามารถพัฒนาใหด้ ขี ึ้นได้ เช่น การวาดรปู การร้องเพลง
22
1.3 ทักษะท่ีได้จากส่ิงแวดลอ้ มไมว่ า่ จะเป็นบา้ นที่ทางาน โรงเรียน เชน่ ทกั ษะการเข้ากลุ่มเพ่ือนทกั ษะ
การเป็นผนู้ าซงึ่ ในงานแต่ละชนิดเม่ือจาแนกหนา้ ทÉี ของงานออกแลว้ จะต้องประกอบดว้ ยกจิ กรรมหลายอย่าง ซ่ึง
แต่ละกจิ กรรมก็จะประกอบไปดว้ ยทกั ษะมากมาย เช่นอาชีพครูมีกจิ กรรมทางด้านการสอน บริหารค้นคว้าทักษะมี
ทง้ั การพดู การออกคาสั่ง การฟังการแสดงออกและการเขียน เป็นตน้
2. การสารวจจดุ เดน่ ของตนเองใหน้ กั เรียนสารวจจุดเดน่ ของตนเอง ในด้านบุคลิกภาพที่นักเรียนแต่ละคน
มเี ช่นงานประชาสมั พันธ์ คุณควรมีบคุ ลิกภาพท่ีเขากบั คนง่าย รจู้ กั จดั การเกี่ยวกับคนหรือพนักงานบญั ชี คุณก็ควร
มีบคุ ลกิ ภาพทล่ี ะเอยี ด รอบคอบ เป็นต้น
3. สารวจค่านิยม ให้นักเรียนแต่ละคนสารวจค่านยิ ม ค่านยิ มคอื ส่ิงท่ีเรายึดถือว่า ดีงาม สมควรปฏิบัติเช่น
คา่ นิยมเรื่องความซ่ือสัตย์ ความมั่นคง ความปลอดภัยความเสียสละ การรู้จักค่านิยมของตัวเองจึงเป็นหัวใจสาคัญ
อกี ดา้ นหนึ่งในการเลอื กเรียนเลือกทางานเพ่ือความสขุ ของชีวติ
4. สารวจความสัมพนั ธท์ ี่มีต่อบุคคลอื่นให้นักเรยี นแตล่ ะคนสารวจความสัมพันธ์ที่มีต่อบคุ คลอื่นการทางาน
ทุกชนิดต้องสมั พันธก์ ับคนจะมากหรือนอ้ ยข้ึนอยู่กับแต่ละตาแหน่งงาน ดังนั้นส่ิงทนี่ ักเรียนต้องเขา้ ใจคอื เราต้องอยู่
กับคนไปตลอดชีวิต การเข้าใจความสัมพันธ์ที่มีต่อกันจึงเป็นส่ิงจาเป็น ในการอยู่ร่วมกันและทางานด้วยกันอย่างมี
ประสิทธิภาพ
5. สารวจสิ่งแวดล้อมในการทางานให้นักเรียนสารวจอาชีพที่ตนเองจะเลือกในอนาคตต้องอยู่กับ
ส่ิงแวดล้อมในการทางานอย่างไร คือ สถานที่ต้ังของหน่วยงาน เช่น ใกล้ - ไกลการคมนาคม ต่างจังหวัด หรือ
กรุงเทพฯ สภาพมลภาวะต่างๆ ลักษณะงานซึ่งคุณจะต้องมีความยืดหยุ่นพอท่ีจะปรับความต้องการให้เข้ากับสิ่งท่ี
นกั เรยี นตอ้ งการได้
6. ความต้องการเกย่ี วกบั เงนิ เดอื นใหน้ ักเรยี นสารวจความตอ้ งการดา้ นเงินเดือน นกั เรยี นต้องการเงินเดือน
ประมาณเท่าใด นักเรียนควรค้นคว้าว่าโดยทั่วๆไปบุคคลท่ีจบการศึกษาระดับเดียวกัน หรือผู้ท่ีทางบริษัทที่รับเข้า
มาในตาแหน่งที่คล้ายกับที่นักเรียนจะสมัครน้ันเขาได้รับเงินเดือนประมาณเท่าใดเช่น ถ้าเป็นงานราชการเงินเดือน
จะต้องเป็นไปตามวุฒิที่ทางการกาหนดไม่มีการต่อรองแต่ถ้าเป็นบริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจอาจมีอัตราการ
จ่ายเงินท่ีต่างกนั ออกไปขน้ึ อยู่กับขนาด ความม่ันคงของบริษทั และระบบการบริหารของบริษทั
สรุปรูปแบบการแนะแนวอาชีพในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในปัจจุบันมากเนื่องจากว่ามคี วามจาเป็นอย่าง
ยิงเพราะเยาวชนในวัยระดับมัธยมศึกษาเป็นวัยที่พร้อมจะทดลองประสบการณ์ต่างๆ ในโลกกว้างเป็นวัยท่ีมีอิสระ
ทางความคิดพร้อมท่ี จะเลือกและตัดสินใจวางแผนชีวิตได้ด้วยตนเองเตรียมตนท่ี จะออกไปประกอบอาชีพแล
ดารงชีวิตด้วยตนเอง รูปแบบการแนะแนวอาชีพที่จัดข้ึนน้ันควรจะให้เด็กได้รับโอกาสที่จะรับรู้ในเรื่องคุณลักษณะ
ส่วนตัวและความสามารถนอกจากนี้แล้วควรจะช่วยให้นักเรียนทบทวนดูว่าเขามีความรู้เกี่ยวกับโลกของงานอาชีพ
อย่างไรบ้าง และได้กล่าวว่ารูปแบบการจัดแนะแนวอาชีพสาหรับมัธยมศึกษามีดังน้ีการให้นักเรียนสารวจตนเอง
ความสามารถความถนัดความสนใจของตน ค้นหาทักษะการสารวจจุดเด่นของตนเองสารวจค่านิยมสารวจ
ความสัมพนั ธ์ทมี่ ตี อ่ บคุ คลอน่ื สารวจส่ิงแวดล้อมในการทางานความต้องการเกี่ยวกบั เงินเดือน
23
การประยุกตใ์ ชร้ ปู แบบการแนะแนวอาชีพ
จากแนวความคิดของกินซ์เบิร์กและคณะ(Ginzberg and Associates. 1951)พอสรุปได้ว่าการประยุกต์ใช้
รูปแบบการแนะแนวอาชีพของนักเรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาเป็นช่วงที่ต้องคานึงถึงความสามารถโดยการ
ประเมินตนเองว่าสามารถทาอะไรได้ดีกว่าผู้อื่นบ้างและเร่ิมเรียนรู้ว่าค่านิยมมีส่วนสัมพันธ์กับการเลือกอาชีพ
อย่างไรมีความสนใจความสามารถและค่านิยมของตนมาพิจารณาประกอบการเลือกอาชีพโดยนักเรียนในระดั บ
มัธยมศึกษา จะมีการสารวจว่าอาชีพใดจะเหมาะสมกับเขาบ้างจนในท่ีสุดจะมีการตัดสินใจเลือกอาชีพท่ีเหมาะสม
ทส่ี ดุ
ส่วนแนวความคิดของซุปเปอร์(Super. 1953: 23-30) สรปุ ได้ วา่ การประยุกต์ใช้รูปแบบการแนะแนวอาชีพ
ของนักเรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาเป็นช่วงเวลาของการสารวจตนเองสารวจอาชีพเริ่มมีประสบการณ์จากการ
ทางานและทากิจกรรมต่างๆ เป็นช่วงท่ีให้นักเรียนได้ศึกษาข้อมูลว่าอาชีพเป็นส่ิงสาคัญในชีวิตเป็นระยะพิจารณา
จากความต้องการความสนใจค่านยิ มความสามารถและโอกาสในการได้งานทามีการพิจารณาเลือกอาชีพจากสภาพ
ความเป็นจริงมากขึ้นมีการทดลองปฏิบัติงานเพื่อประเมินความถนัดความสามารถและความเหมาะสมต่างๆมี
กระบวนการคิดท่ีช่วยส่งเสริมการรู้จักตนเองและรับรู้คนอื่นๆมากข้ึนรับรู้เรื่องอาชีพท่ีมีเรื่องของตนบทบาททาง
เพศและชั้นทางสงั คมเข้าไปเกยี่ วขอ้ งมากขึ้น
สรุปได้วา่ ในการประยุกต์ใช้การแนะแนวด้านอาชีพน้ันจะต้องมหี ลักในการประยุกตใ์ ช้ ซ่ึงปัจจุบันการศึกษา
มีการเปลี่ยนแปลงทุกด้านทางด้านสังคมอาชีพท่ีมีความหลากหลายมากขึ้น จาเป็นต้องให้นักเรียนมีความรู้ความ
เขา้ ใจเกย่ี วกับอาชีพ โอกาสก้าวหน้าหรแื มแ้ ตก่ ารรับรู้ ถงึ ความสามารถของตนเองความชอบความสนใจ ความถนัด
บุคลิกภาพ สวัสดิการ เงินเดือนซ่ึงรูปแบบการแนะแนวด้านอาชีพสามารถให้ข้อมูลในการประกอบอาชีพอะไรได้
บ้างและควรเลือกอาชีพอย่างไรให้เหมาะสมกับความถนัดความสนใจและสอดคล้องกับบุคลิกภาพของนักเรียน
ดังน้ันวิธีการที่จะช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของวิธีการเรียนให้ประสบความสาเร็จการวางแผน
การศึกษาต่อการตัดสินใจเลือกแผนการเรียน และการเลือกประกอบอาชีพในอนาคตของนักเรียนได้จาเป็ นต้อง
จัดรูปแบบการแนะแนวด้านอาชีพในชั่วโมงแนะแนว หรือโดยการจัดรูปแบบการแนะแนวด้านอาชีพให้เหมาะสม
กับวัยของเหมาะสมกับสถานท่ีเหมาะสมกับเวลาเหมาะสมกับรายบุคคลหรือรายกลุ่มนักเรียนต้องได้ทากิจกรรม
การเรียนด้วยตนเองอีกท้ังยังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นฝึกการตัดสินใจและแสวงหาความรู้ด้วย
ตนเอง ถ้านักเรียนทุกคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับอาชพี ก็จะทาให้เข้าใจและตัดสินใจเลือกศึกษาต่อตรงอาชีพท่ีตนเอง
ตอ้ งการในอนาคตได้
24
บรรณานุกรม
จาเนยี ร ช่วงโชต.ิ (2524). เทคนิคการแนะแนว. มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
จนั เพ็ญ ภโู สภา. (2558). จติ วิทยาและการแนะแนวส าหรบั ครู. พิมพ์ครงั้ ที่ 3. มหาสารคาม:
ชลกร ศรีขจรกิจ. (2552). บทบาทครแู นะแนวในการสร้างความเขม้ แข็งให้กับระบบการดูแล
หนงั สือเรียนรายวิชาจติ วิทยาสาหรบั ครู คณะคุรุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ลาปาง
ดร.สมคิด กอมณ,ี 2559 วารสารวชิ าการศกึ ษา มหาวิทยาลับศรีนครนิ ทรวิโรฒ รปู แบบการแนะแนวอาชีพ
สาหรบั นกั เรียนในระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษา