The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by boonyapat0858, 2021-09-19 02:00:39

อารยธรรมแม่น้ำสินธุ

อารยธรรมอินเดีย

Keywords: การบ้าน

อารยธรรม
อินเดีย

จดทำโดย บุณยภัทร สืบหิรัญ ม.6/5 เลขที่13

TABLE OF
CONTENTS

0 1 อ า ร ย ธ ร ร ม อิ เ ดี ย คื อ ?
0 2 ก า ร ตั้ ง ถิ่ น ฐ า น แ ล ะ เ ผ่ า พั น ธุ์
0 4 อ า ร ย ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย
08 การปกครองและกฎหมาย
0 9 สั ง ค ม แ ล ะ วั ฒ น ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย
1 2 ก า ร แ พ ร่ ข ย า ย ข อ ง วั ฒ น ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย

PN

อารยธรรมอินเดียคือ ?

เป็นแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกของอินเดีย อยู่
บริเวณดินแดนภาคตะวันตกของอินเดีย
(ปากีสถานในปัจจุบัน) ที่แม่น้ำสินธุไหลผ่าน
อาณาเขตลุ่มแม่น้ำสินธุครอบคลุมบริเวณกว้างกว่า
ลุ่มแม่น้ำไนล์แห่งอิยิปต์ โดยทุกๆ ปีกระแสน้ำได้
ไหลท่วมท้นฝั่ งทำให้ดินแดนลุ่มน้ำสินธุอุดม
สมบูรณ์เหมาะแก่การทำกสิกรรม นักประวัติศาสตร์
บางคนเรียกอารยธรรมในดินแดนนี้ว่า วัฒนธรรม
ฮารัปปา (Harappa Culture) ซึ่งเป็นชื่อเมือง
โบราณที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มน้ำสินธุเมื่อประมาณ
3,500 – 1,000 ปี ก่อนพุทธศักราช

จากภูมิประเทศของอินเดียที่มีลักษณะเป็นรูป
สามเหลี่ยมขนาดใหญ่ ผู้ที่เดินทางบกเข้ามายัง
บริเวณนี้ในสมัยโบราณต้องผ่านช่องเขาทางด้าน
ตะวันตกที่เรียกว่า ช่องเขาไคเบอร์ ซึ่งเป็นหนทาง
เดียวที่จะเข้าสู่อินเดียในสมัยโบราณ ช่องเขานี้
เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อินเดียตลอดมา เพราะ
เส้นทางนี้เป็นทางผ่านของกองทัพของผู้รุกราน
และพ่อค้าจากเอเชียกลาง อัฟกานิสถานเข้าสู่
อินเดีย เพราะเดินทางได้สะดวก

01

การตั้งถิ่นฐานและเผ่า
พันธุ์

1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบหลักฐานเป็นซากเมืองโบราณ 2 แห่งในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ คือ
1.1 เมืองโมเฮนโจ – ดาโร ทางตอนใต้ของประเทศปากีสถาน
1.2 เมืองฮารับปา ในแคว้นปันจาป ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน
2. สมัยประวัติศาสตร์ เริ่มเมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ โดยชนเผ่าอินโด-อารยัน ซึ่งตั้งถิ่นฐาน
บริเวณแม่น้ำคงคา แบ่งได้ 3 ยุค
2.1 ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่กำเนิดตัวอักษรพรามิ ลิปิ สิ้นสุดสมัยราชวงศ์คุปตะ เป็นยุคที่
ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุทธศาสนา ได้ถือกำเนิดแล้ว
2.2 ประวัติศาสตร์สมัยกลาง เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์คุปตะสิ้นสุดลง จนถึง ราชวงศ์โมกุลเข้าปกครอง
อินเดีย
2.3 ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์โมกุลจนถึงการได้รับเอกราชจากอังกฤษ

02

การตั้งถิ่นฐานและ
เผ่าพันธุ์

หลักฐานทางโบราณคดีพบว่ามีเมืองใหญ่ 2 เมือง ชนเผ่าสำคัญที่สร้างสรรค์อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ
คือ เมืองฮารัปปา (Harappa) และเมืองโมเฮนโจ – แบ่งได้เป็น 2 พวกคือ
ดาโร (Mohenjo – Daro) หลักฐานดังกล่าวทำให้ 1. พวกดราวิเดียน คือชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ตั้ง
ทราบว่าบริเวณลุ่มน้ำสินธุมีผู้คนตั้งถิ่นฐานและ ถิ่นฐานบริเวณลุ่มน้ำสินธุราว 4,000 ปีมาแล้ว พวก
สร้างสรรค์อารยธรรมมายาวนาน คือ พวกดราวิ นี้
เดียนสิ่งที่เด่นที่สุดของอารยธรรมแม่น้ำสินธุ ตัว มีรูปร่างเตี้ย ผิวคล้ำและจมูกแบน คล้ายกับคนทาง
เมืองที่มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ แยก ตอนใต้ในอินเดียบางพวกปัจจุบัน
พื้นที่ใช้กันงานออกจากกันอย่างชัดเจน มีการ 2. พวกอารยัน เป็นพวกที่อพยพเคลื่อนย้ายจาก
ตัดถนนเป็นมุมฉากและแบ่งเมืองออกเป็นตาราง ดินแดนเอเชียกลาง ลงมายังตอนใต้กระจายไปตั้ง
แสดงความรู้ด้านเรขาคณิตขั้นสูงสิ่งที่โดดเด่นกว่า ถิ่นฐานในพื้นที่ต่างๆซึ่งอุดมสมบูรณ์และมีภูมิ
อารยธรรมอื่นๆ คือ มีการจัดระบบสุขาภิบาลที่ดี อากาศที่อบอุ่นกว่า พวกอารยันส่วนหนึ่งได้เคลื่อน
เป็นระบบ จากรูปแบบการก่อสร้างแสดงให้เห็นว่ามี ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มน้ำสินธุและขับไล่พวก
การปกครองแบบรวมอำนาจ ซึ่งผู้ปกครองอาจเป็น ดราวิเดียนให้ถอยร่นไปหรือจับตัวเป็นทาส พวก
นักบวชหรือกษัตริย์ที่เป็นผู้นำศาสนาด้วย อารยันมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว จมูกโด่ง คล้ายกับ
ชาวอินเดียที่อยู่ทางตอนเหนือ พวกอารยันเหล่านี้
รับวัฒนธรรมชนพื้นเมือง แล้วนำมาผสมผสานเป็น
วัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ

03

อารยธรรมอินเดีย

อารยธรรมอินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองและมีอายุเก่าแก่ไม่แพ้
อารยธรรมแหล่งอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ( ประมาณ 2,500-1,500 ปี
ก่อนคริสต์ศักราช ) ถือว่าเป็นสมัยอารยธรรม “กึ่งก่อน
ประวัติศาสตร์” เพราะมีการค้นพบหลักฐานจารึกเป็นตัวอักษร
โบราณแล้วแต่ยังไม่มีผู้ใดอ่านออก และไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอักษร
หรือภาษาเขียนจริงหรือไม่

ศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่เมืองโมเฮนโจ – ดาโร และเมืองฮารัป
ปา ริมฝั่ งแม่น้ำสินธุประเทศปากีสถานในปัจจุบัน สันนิษฐานว่า
เป็นอารยธรรมของชนพื้นเมืองเดิม ที่เรียกว่า “ทราวิฑ” หรือ
พวกดราวิเดียน ( Dravidian )

2. สมัยพระเวท ( ประมาณ 1,500-600 ปีก่อนคริสต์ศักราช )
เป็นอารยธรรมของชนเผ่าอินโด-อารยัน (Indo-Aryan ) ซึ่ง
อพยพมาจากเอเชียกลาง เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ราบลุ่ม
แม่น้ำสินธุและคงคาโดยขับไล่ชนพื้น เมืองทราวิฑให้ถอยร่นลงไป
ทางตอนใต้ของอินเดีย

สมัยพระเวทแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์
หลักฐานที่ทำให้ทราบเรื่องราวของยุคสมัยนี้ คือ “คัมภีร์พระเวท”
ซึ่งเป็นบทสวดของพวกพราหมณ์ นอกจากนี้ยังมีบทประพันธ์
มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่อีก 2 เรื่อง คือ มหากาพย์รามายณะและมหา
ภารตะ บางทีจึงเรียกว่าเป็นยุคมหากาพย์

04

3. สมัยพุทธกาล หรือสมัยก่อนราชวงศ์เมารยะ ( Maurya )
ประมาณ 600-300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ) เป็นช่วงที่อินเดียถือ
กำเนิดศาสนาที่สำคัญ 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธและศาสนาเชน

4.สมัยจักรวรรดิเมารยะ ( Maurya ) ประมาณ 321-184 ปี
ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าจันทรคุปต์ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เมา
รยะได้รวบรวมแว่นแคว้นในดินแดนชมพูทวีปให้เป็นปึกแผ่นภาย
ใต้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกของอินเดีย

5.สมัยราชวงศ์เมารยะ พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์ให้
เจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ( Asoka )
ได้ เผยแพร่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนทั้งใกล้และไกล รวมทั้ง
ดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเผยแพร่เข้าสู่แผ่น
ดินไทยในยุคสมัยที่ยังเป็นอาณาจักรทวารวดี

6.สมัยราชวงศ์กุษาณะ ( ประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช –
ค.ศ.320 )พวกกุษาณะ (Kushana )เป็น ชนต่างชาติที่เข้ามา
รุกรานและตั้งอาณาจักรปกครองอินเดียทางตอนเหนือ กษัตริย์
ที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้ากนิษกะ รัชสมัยของพระองค์อินเดียมีความ
เจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะด้าน
การแพทย์

นอกจากนั้น ยังทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ( นิกายมหายาน )
ให้เจริญรุ่งเรือง โดยจัดส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระศาสนายังจีน
และทิเบต มีการสร้างพระพุทธรูปที่มีศิลปะงดงาม และสร้าง
เจดีย์ใหญ่ที่เมืองเปชะวาร์

05

7. สมัยจักรวรรดิคุปตะ ( Gupta ) ประมาณ ค ศ. .320-550
พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 1 ต้นราชวงศ์คุปตะได้ทรงรวบรวมอินเดียให้
เป็นจักรวรรดิอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอินเดีย มี
ความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม
การเมือง การปกครอง ปรัชญาและศาสนา ตลอดจนการค้าขาย
กับต่างประเทศ

8. สมัยหลังราชวงศ์คุปตะ หรือยุคกลางของอินเดีย ( ค.ศ.550
– 1206 ) เป็นยุคที่จักรวรรดิแตกแยกเป็นแคว้นหรืออาณาจักร
จำนวนมาก ต่างมีราชวงศ์แยกปกครองกันเอง

9. สมัยสุลต่านแห่งเดลฮี หรืออาณาจักรเดลฮี ( ค.ศ. 1206-
1526 ) เป็นยุคที่พวกมุสลิมเข้ามาปกครองอินเดีย มีสุลต่านเป็น
ผู้ปกครองที่เมืองเดลฮี

10. สมัยจักรวรรดิโมกุล ( Mughul ) ประมาณ ค.ศ. 1526 –
1858 พระเจ้าบาบูร์ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์โมกุลได้รวบรวมอินเดียให้
เป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นจักรวรรดิอิสลามและเป็น
ราชวงศ์สุดท้ายของอินเดีย โดยอินเดียตกเป็นอาณานิคมของ
อังกฤษในปี ค.ศ. 1858กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลที่ยิ่งใหญ่ คือ
พระเจ้าอักบาร์มหาราช ( Akbar ) ทรงทะนุบำรุงอินเดียให้มีความ
เจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน และในสมัยของชาห์ เจฮัน ( Shah
Jahan ) ทรงสร้าง “ทัชมาฮัล” ( Taj Mahal ) ซึ่งเป็นอนุสรณ์
แห่งความรัก เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะอินเดีย

06

11. สมัยอาณานิคมอังกฤษ ปลายสมัยอาณาจักรโมกุล กษัตริย์ทรงใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ต้องเพิ่มภาษีและเพิ่ม
การเกณฑ์แรงงานทำให้ราษฎรอดอยาก และยังกดขี่ทำลายล้างศาสนาฮินดูและชาวฮินดูอย่างรุนแรง เกิด
ความแตกแยกภายในชาติ เป็นเหตุให้อังกฤษค่อยๆเข้าแทรกแซงและครอบครองอินเดียทีละเล็กละน้อย ใน
ที่สุดอังกฤษล้มราชวงศ์โมกุลและครอบครองอินเดียในฐานะอาณานิคมอังกฤษ
สิ่งที่อังกฤษวางไว้ให้กับอินเดียคือ
-รากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย แบบรัฐสภา
-การศาล การศึกษา
-ยกเลิกประเพณีบางอย่าง เช่น พิธีสตี (การเผาตัวตายของหญิงฮินดูที่สามีตาย)
12. สมัยเอกราช หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการชาตินิยมอินเดียนำโดย มหาตมะ คานธี และ เยาวราลห์
เนห์รู เป็นผู้นำเรียกร้องเอกราช มหาตมะ คานธี ใช้หลักอหิงสา (ความไม่เบียดเบียน ความสงบ) ในการเรียก
ร้องเอกราชจนประสบความสำเร็จ หลังจากได้รับเอกราชอินเดียปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย

07

การปกครองและ
กฎหมาย

บ้านเมืองในลุ่มแม่น้ำสินธุ มีร่องรอยของการ 1. พิธีราชาภิเษก เป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อยกฐานะผู้นำให้เป็น
ปกครองแบบรวมอำนาจเข้าศูนย์กลาง ทั้งนี้เห็นได้ เทวราชโดยมีพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีประกาศว่าราชา คือ
จากรูปแบบการสร้างเมืองอารัปปาและ เมืองเฮน พระอินทรพระประ ชาธิบดี และพระวิษณุ ราชาจึงกลาย
โจ-ดาโร ต่อมาเมื่อพวกอารยันเข้ามาปกครองดิน เป็นเทพเจ้า พิธีนี้ทำให้ราชาเป็นผู้ที่น่าเคารพยำเกรงและมี
แดนลุ่มน้ำสินธุแทนพวกดราวิเดียนจึงได้ อำนาจสูงสุด
เปลี่ยนแปลง การปกครองเป็นแบบ กระจายอำนาจ
โดยแต่ละเผ่ามีหัวหน้าที่เรียกว่า ราชา ปกครอง 2. ความเชื่อในเรื่องอวตาร ศาสนาพราหมณ์เชื่อว่าพระ
กันเอง มีหน่วยการปกครองลดหลั่นลงไปตาม ราชาคือเทพเจ้าอวตารลงมาเพื่อปราบยุคเข็ญ นอกจากนี้
อันดับจากครอบครัวที่มีบิดาเป็นหัวหน้าครอบครัว ศาสนาฮินดูยังนับถือพระศิวะ และถือว่าพระราชาคือพระ
หลายครอบครัวรวมกันเป็นระดับหมู่บ้าน และหลาย ศิวะอวตารลงมาความ เชื่อในเรื่องของอวตารทำให้ราชา
หมู่บ้านมีราชาเป็นหัวหน้า ต่อมาแต่ละเผ่ามีการพุ่ง เป็นเทพเจ้าสูงสุด มีความยิ่งใหญ่ดังเช่นพระศิวะและพระ
รบกันเอง ทำให้ราชาได้ขึ้นมามีอำนาจสูงสุดในการ วิษณุ
ปกครองด้วยวิธีต่างๆ คือ
3. พิธีอัศวเมธ เป็นพิธีขยายอำนาจโดยส่งม้าวิ่งไปยังดิน
แดนต่างๆ จากนั้นส่งกองทัพติดตามไปรบ เพื่อยึดครอง
ดินแดนที่ม้าวิ่งผ่านไป พิธีนี้เป็นการแดงความยิ่งใหญ่ของ
พระราชา เพราะเมื่อทำพิธีอัศวเมธได้สำเร็จ ก็จะเป็นที่
ยอมรับนับถือของราชาอื่ นๆ

4.การตั้งชื่อเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ เปอร์เซียเป็นชาติ
แรกที่แสดงสถานการณ์เป็นราชาเหนือราชาอื่นๆ เช่น
พระเจ้าดาริอุสเรียกพระองค์เองว่าเป็นราชาแห่งราชา
ราชาที่ยิ่งใหญ่ในอินเดียมักถูกเรียกว่ามหาราชา หรือ
ราชาธิราชเป็นต้น

5. คำสอนในคัมภีร์ศาสนาและตำราสนับสนุนความยิ่ง
ใหญ่ ของราชคัมภีร์พระเวทเน้นบทบาทความสำคัญของ
ราชาที่ต่อสังคม คัมภีร์ของพระพุทธศาสนา คือ พระ
ไตรปิฎก ได้กล่าวถึงผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นราชาคือผู้ที่
ลงโทษผู้ที่กระทำผิด เช่นเดียวกับในคัมภีร์อื่นๆเช่นคัมภีร์
อรรถศาสตร์ ได้กล่าวถึงราชาและยกย่องราชาเป็นผู้ยิ่ง
ใหญ่และเป็นผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้สังคมโดยมี
ข้อแม้ว่า พระราชาจะต้องปกครองให้เป็นไปตามหลัก
ธรรมศาสตร์และราชธรรมราชา

08

สังคมและวัฒนธรรม
อินเดีย

1. ระบบวรรณะ ตั้งแต่สมัยโบราณวรรณะที่สำคัญมี 4
วรรณะ คือ
1. วรรณะพราหมณ์ ได้แก่ นักบวช นักวิชาการ นัก
วิทยาศาสตร์ และนักการเมือง
2. วรรณะกษัตริย์ ได้แก่ กษัตริย์ ขุนนาง นักรบ และ
ข้าราชการ
3. วรรณะแพศย์ ได้แก่ พ่อค้านักธุรกิจ และประชาชน
คนธรรมดา
4. วรรณะศูทร ได้แก่ ผู้ใช้แรงงาน ชาวนา หรือคนที่
ยากจน
แต่ในสังคมฮินดูยังมีการแบ่งวรรณะต่ำสุด เรียกกัน
ว่าเป็นกลุ่มคนอันมิพึงแตะต้อง คือ จัณฑาล ซึ่งเป็น
ชนชั้นที่ถูกเลือกปฏิบัติ ได้รับโอกาสทางสังคมและ
อาชีพน้อยที่สุดในสังคม

2. ปรัชญาและลัทธิศาสนาของสังคมอินเดีย ซึ่งใน
ปรัชญาอินเดียมีวิธีการเป็นแบบฉบับของตนเอง คือ
ก่อนที่จะเสนอแนวความคิดของตนเองขึ้นมานัก
ปรัชญาหรือนักคิดอินเดียจะเสนอแนวความคิดของนัก
ปรัชญาคนอื่นหรือระบบอื่นเสียก่อน ซึ่งแนวความคิด
ของนักปรัชญาคนอื่ นหรือระบบอื่ นที่เสนอก่อนนี้เรียก
ว่า ปูรวปักษ์ ทรรศนะของตนเองที่เสนอขึ้นมาทีหลังนี้
เรียกว่า อุตตรปักษ์

3. เทพเจ้าของอินเดีย มีการนับถือเทพเจ้าและมีคัมภีร์
พระเวทเกิดขึ้น พวกอริยกะหรืออารยันนั้นแต่เดิมก็
นับถือธรรมชาติ โดยตั้งชื่อตามสิ่งที่เป็นธรรมชาตินั้นๆ
แล้วก็เกิดมีหัวหน้าเทพเจ้าขึ้น ดังที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์
พระเวท ซึ่งก็คือพระอินทร์ จากหลักฐานโบราณที่เป็น
จารึกบนแผ่นดินเหนียวอายุราว 1,400 ปี ก่อน
คริสตกาล เรียกว่าแผ่นจารึก โบกาซ คุย หรือจารึกเท
เรีย จารึกนี้ ได้ออกนามเทพเจ้าเป็นพยานถึง 4 องค์
นั่นก็คือ พระอินทร์ มิทระ พระวรุณ และนาสัตย์

09

ด้านศาสนา

1. ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีเทพเจ้าที่สำคัญ เช่น
พระศิวะ เป็นเทพผู้ทำลายความชั่วร้าย พระพรหม
เป็นเทพเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งบนโลก พระวิษณุ เป็น
เทพเจ้าแห่งสันติสุขและปราบปรามความยุ่งยาก
เป็นต้น

2. พระพุทธศาสนา มีหลักคำสอนที่สำคัญ เช่น
อริยสัจ 4 มีจุดหมายเพื่อมุ่งสู่นิพพาน

3. ศาสนาเชน มีศาสดา คือ มหาวีระ มีนิกายที่ ด้านเศรษฐกิจ
สำคัญอยู่ 2 นิกาย คือ นิกายเศวตัมพร เป็นนิกาย
นุ่งผ้าขาว ถือว่าสีขาวเป็นสีบริสุทธิ์ และนิกาย
ทิฆัมพร เป็นนิกายนุ่งลมห่มฟ้า (เปลือยกาย)

4. ศาสนาซิกข์ เป็นศาสนาที่ก่อตั้งขึ้นมาโดย พระ คนในดินแดนลุ่มน้ำสินธุมีการทำอาชีพเกษตรเป็น
ศาสดา ศรี คุรุ นานัก เดว ยิ ในปี พ.ศ. 2012 (ค.ศ. พื้นฐานทางเศรษฐกิจและมีการทำการค้าภายใน
1469) โดยหลักธรรมและคำสอนพื้นฐานของศาสนา การเพิ่มประชากรในแต่ละอาณาจักร ทำให้การค้า
ซิกข์ขึ้นมา เป็นศาสนาที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความ ภายในเมืองต่างๆขยายตัวขึ้น ซึ่งมีสินค้าสำคัญ
จริงและเน้นความเรียบง่าย สอนให้ทุกคนยึดมั่น เช่น ดีบุก ทองแดง หินมีค่าชนิดต่างๆ นอกจากนี้
และศรัทธาในพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ยังมีสินค้าอุตสาหกรรม เช่น การทอผ้า ฝ้าย ไหม
เป็นสินค้าไปขายในดินแดนต่างๆ เช่น อาระเบีย
เปอร์เซีย และอิยิปต์ เป็นต้น
เมื่อชาวอารยันมีอำนาจมั่นคง จึงได้สร้างบ้านอยู่
เป็นหมู่บ้าน มีการปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์พันธุ์ต่างๆ
มากขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้
ชาวอารยันยังมีอาชีพเป็นช่างต่างๆ เช่น ช่าง
ทองแดง ช่างเหล็ก ช่างปั้ นหม้อ เป็นต้น การที่ชาว
อารยันดำเนินการค้าขายทั้งทางบกและทางทะเล
อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีเศรษฐกิจดีพอที่จะสนับสนุน
ให้เกิดการสร้างสรรค์อารยธรรมในด้านอื่ นๆ

10

ด้านภาษาและ
วรรณกรรม

ในดินแดนลุ่มน้ำสินธุยังพบวัฒนธรรมด้านภาษา ด้านมรดก
คือ ตัวอักษรโบราณของอินเดีย ซึ่งเป็นอักษร อารยธรรม
ดั้งเดิมที่ยังไม่มีนักวิชาการอ่านออก อักษรโบราณนี้
ปรากฏในดวงตราต่างๆมากกว่า 1,200 ชิ้น โดยใน
ดวงตราจะมีภาพวัว ควาย เสือ จระเข้ และช้าง
ปรากฏอยู่ด้วย

พวกอารยันใช้ภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นภาษาที่ใช้เขียน
คัมภีร์ศาสนา เช่น คัมภีร์พระเวท เมื่อประมาณ
1,000 ปีมาแล้ว วรรณกรรมทื่สำคัญได้แก่ มหา
กาพย์มหาภารตยุทธ ซึ่งเป็นเรื่องการสู้รบในหมู่
พวกอารยันและมหากาพย์รามเกียรติ์ เป็นเรื่องการ
สู้รบระหว่างพวกดราวิเดียนกับพวกอารยัน

1. ด้านสถาปัตยกรรม ซากเมืองฮารับปาและโมเฮน
โจ – ดาโร ทำให้เห็นว่ามีการวางผังเมืองอย่างดี มี
สาธารณูปโภคอำนวยความสะดวกหลายอย่าง เช่น
ถนน บ่อน้ำ ประปา ซึ่งเน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่า
ความสวยงาม
2. ด้านประติมากรรม เช่น
พระพุทธรูปแบบคันธาระ พระพุทธรูปแบบคันธาระ
3. จิตรกรรม สมัยคุปตะและหลังสมัยคุปตะ เป็น
สมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของอินเดียพบงานจิตรกรรมที่
ผนังถ้ำอชันตะ เป็นภาพเขียนในพระพุทธศาสนา
แสดงถึงชาดกต่างๆ ที่งดงามมาก ความสามารถใน
การวาดเส้นและการอาศัยเงามืดบริเวณขอบภาพ
ทำให้ภาพแลดูเคลื่อนไหว ให้ความรู้สึกสมจริง
4. นาฏศิลป์ เกี่ยวกับการฟ้อนรำ เป็นส่วนหนึ่งของ
พิธีกรรมเพื่อบูชาเทพเจ้าตามคัมภีร์พระเวท

11

การแพร่ขยายและการ
ถ่ายทอดอารยธรรมอินเดีย

อารยธรรมอินเดียแพร่ขยายออกไปสู่ ภูมิภาคเอเชียกลางอารยธรรมอินเดียที่ถ่ายทอดให้เริ่มตั้งแต่
ภูมิภาคต่างๆทั่วทวีปเอเชียโดยผ่าน
ทางการค้าศาสนาการเมืองการทหาร คริสต์ศตวรรษที่ 7 เมื่อพวกมุสลิมอาหรับซึ่งมีอำนาจใน
และได้ผสมผสานเข้ากับอารยธรรม
ของแต่ละประเทศจนกลายเป็นส่วน ตะวันออกกลางนำวิทยาการหลายอย่างของอินเดียไปใช้
หนึ่งของอารยธรรมสังคมนั้นๆ ใน
เอเชียตะวันออก พระพุทธศาสนา ได้แก่ การแพทย์คณิตศาสตร์ดาราศาสตร์เป็นต้นขณะ
มหายานของอินเดียมีอิทธิพลต่อชาว
จีนทั้งในฐานะศาสนาสำคัญและใน เดียวกันอินเดียก็รับอารยธรรมบางอย่างทั้งของเปอร์เซีย
ฐานะที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์
ศิลปะของจีน และกรีกโดยเฉพาะด้านศิลปกรรมประติมากรรมเช่นพระพุทธ

รูปศิลปะคันธาระซึ่งเป็นอิทธิพลจากกรีก ส่วนอิทธิพลของ

เปอร์เซียปรากฏในรูปการปกครองสถาปัตยกรรมเช่น

พระราชวังการเจาะภูเขาเป็นเพื่อสร้างศาสนสถาน

ภูมิภาคที่ปรากฏอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียมากที่สุดคือ

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้พ่อค้าพราหมณ์และภิกษุสงฆ์ชาว

อินเดียเดินทางมาและนำอารยธรรมมาเผยแพร่ ซึ่ง

อารยธรรมที่ปรากฏอยู่มีแทบทุกด้านโดยเฉพาะในด้านศาสนา

ความเชื่อการปกครองศาสนาพราหมณ์ฮินดูและพุทธได้หล่อ

หลอมจนกลายเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของประเทศต่างๆใน

ภูมิภาคนี้

12


Click to View FlipBook Version