ก
คำนำ
เอกสารพฒั นาการจัดการเรยี นรูด้ นตรไี ทย เรอ่ื ง แนวทางการสอนปฏบิ ตั อิ ังกะลุง จัดทําข้ึนเพอื่
เป็นเครื่องมอื ในการพฒั นาการจัดการเรียนรู้ สําหรับครผู ูส้ อน เนือ้ หาประกอบด้วย ความรทู้ ัว่ ไปเก่ยี วกับ
อังกะลุง
หวงั เปน็ อยา่ งย่งิ วา่ เอกสารประกอบการสอนปฏบิ ัตอิ งั กะลุง จะเป็นประโยชนแ์ ก่ข้าราชการครแู ละ
บุคลากรทางการศกึ ษา ทีต่ ระหนักถงึ ความสาํ คญั ของการจดั การเรยี นรู้ดนตรไี ทย ต่อไป
ชัยรัตน์ เขาแก้ว
ข
คำช้ีแจง
ลกั ษณะเอกสำร
คู่มอื การสอนปฏบิ ตั ิอังกะลุง ฉบับน้ี เปน็ เอกสารสาหรับใช้เปน็ คู่มอื ในการใชป้ ระกอบ
การจัดการเรยี นการสอนการปฏิบัติองั กะลุงของครู โดยมเี น้อื หาสาระ ดงั นี้
ส่วนที่ ๑ ความรทู้ ั่วไปเกี่ยวกับองั กะลุง ประกอบดว้ ย
๑. ตานานองั กะลงุ
๒. ประวตั อิ งั กะลุงในประเทศไทย
๓. สว่ นประกอบขององั กะลงุ
๔. การจบั อังกะลุง
๕. การจดั วงอังกะลงุ
๖. ระบบเสยี งองั กะลงุ
๗. การนาองั กะลุงไปใช้
๘. ความรูท้ วั่ ไปเก่ียวกับโน้ตไทย
ส่วนท่ี ๒ แบบฝกึ ปฏิบัติอังกะลุง
ส่วนที่ ๓ เพลงสาหรบั ปฏิบตั ิองั กะลงุ
วิธีใช้เอกสำร
๑. ศกึ ษารายละเอียดเนื้อหาในเอกสารทุกขั้นตอนใหเ้ ข้าใจ
๒. การใช้แบบฝึก ครูผู้สอนสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับ สภาพนักเรียนแต่ละระดับได้ตาม
ความเหมาะสม โดยเพ่ิมเติมแบบฝึก หรือปรับแบบฝึก เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพนักเรียน ท่ีมีพ้ืนฐาน
แตกตา่ งกนั แต่ควรยดึ รูปแบบภาพรวมตามกรอบท่ีกาหนดไว้
๓. ครูผู้สอนควรเตรียมความรู้ ในเน้ือหาอย่างลึกซ้ึง สามารถปฏิบัติและตอบปัญหาขัดข้องให้กับ
นกั เรยี นได้ เม่ือนกั เรยี นเกดิ ความสงสยั
ค
สำรบญั
คานา......................................................................................................................... ................................ หน้า
สารบัญ................................................. ................................................................................................ ..... ก
คาชี้แจง..................................................................................................................... ................................ ข
ส่วนท่ี ๑ ความรทู้ วั่ ไปเกี่ยวกับอังกะลุง…………………………………………………………………………………..…….. ค
๑
ตานานอังกะลุง……………………………………………………………………………………………..………........ ๒
ประวัตอิ งั กะลุงในประเทศไทย................................................................................................... ๔
ส่วนประกอบของอังกะลงุ .......................................................................................................... ๕
การจบั อังกะลงุ ........................................................................................................................... ๖
การจดั วงองั กะลงุ ....................................................................................................................... ๗
ระบบเสียงองั กะลุง..................................................................................................................... ๘
การนาอังกะลงุ ไปใช.้ .................................................................................................................. ๙
ความรทู้ ่วั ไปเกี่ยวกับโนต้ ไทย..................................................................................................... ๑๐
ส่วนท่ี ๒ แบบฝกึ ปฏบิ ัติอังกะลุง................................................................................................................ ๑๓
ส่วนที่ ๓ เพลงสาหรบั ปฏิบัติอังกะลงุ ........................................................................................................ ๑๖
เพลงบเู ซนซอ็ ค........................................................................................................................... ๑๗
เพลงยะวาเรว็ .............................................................................................................................. ๑๘
เพลงสมารงั ................................................................................................................................. ๑๙
เพลงโยสลัม............................................................................................................ .................... ๑๙
เพลงขอมสวุ รรณ........................................................................................................................ ๑๙
บรรณานกุ รม............................................................................................................................................. ๒๐
๑
สว่ นท่ี ๑
ความรู้ท่วั ไปเก่ียวกับอังกะลงุ
๒
ตานานองั กะลงุ
กาลคร้ังหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีชายชาวป่าสองคนพี่น้องกาพร้าบิดา มารดา หากินโดยการเก็บ
ของป่าขาย ท้ังสองคนเปน็ คนใจบุญ ไม่ฆ่าสตั ว์ตัดชวี ติ แม้จะต้องใช้ชวี ิตอยใู่ นป่าซ่ึงมอี ันตรายจากสัตวป์ ่า
สตั ว์ท้ังหลายจึงพากันรักใคร่สองพี่นอ้ งเป็นอันมาก ทั้งสองรักใคร่ไม่เคยห่างจากกัน เมื่อยามว่าง ทั้งสองคน
จะขับรอ้ งเพลงเล่นในป่าเป็นท่ีร่นื เรงิ
วนั หน่ึง พระราชาเสด็จประพาสป่า ที่สองพ่ีนอ้ งอาศยั อยู่ เหลา่ ทหารทตี่ ามเสด็จ ไล่ตอ้ นฝูงสตั ว์
ถวายให้พระราชาทรงยิงด้วยธนูล้มตายเป็นจานวนมาก แม้ว่าจะนาเนื้อสัตว์ท่ีฆ่าได้มาแบ่งปันกันกินจนท่ัว
ทุกคนในขบวนเสด็จแล้ว เนื้อก็ยังไม่หมด ทหารท้ิงเนื้อท่ีเหลือเหล่านั้นเกล่ือนกลาด ท่ัวบริเวณป่า ทาให้
พ่ีน้องสองคนเศร้าสลดใจ ตกค่าพ้นยามสามพอพระจันทร์ขึ้น สองพี่น้องขับร้องเพลงบรรยายถึงชีวิตอัน
ลาเค็ญของสัตว์ป่าทั้งหลาย ท่ีอยู่ในป่านี้มาด้วยความนสุขมาช้านาน แต่ต้องมาล้มตาย ลูกพลัดพ่อพลัดแม่
เช่นนี้ พระราชากาลังบรรทมในพลับพลากลางป่า ได้ทรงสดับเสียงอันไพเราะน้ัน รสู้ ึกพระองค์ให้มีพระทัย
เมตตาและสลดพระราชหฤทัยเป็นยิ่งนัก จึงรับสั่งให้พ่นี ้องสองชาวป่าเข้าเฝา้ พระราชทานเส้อื ผา้ แพรพรรณ
สองพ่ีนอ้ งชาวป่าจงึ ได้มีโสร่งผ้าลายสวยงาม สาหรับแต่งตวั เปน็ คร้งั แรกในชวี ิต และไดต้ ามเสด็จเข้าเมืองไป
ท่ามกลางความอาลัยของหมู่สัตว์ทั้งหลาย เพราะเม่ือขาดสองพ่ีน้องไป ป่าจะไม่มีเสียงเพลงไพเราะอีก
ตอ่ ไป
สองพีน่ ้อง ไดเ้ ขา้ ไปอยู่ในพระราชอุทยานของพระราชา ทาหนา้ ท่ีขบั ร้องเพลงถวายพระราชา
เวลาเสด็จลงประพาสอุทยานอยูเ่ ป็นนจิ พระราชาไมเ่ สดจ็ ออกล่าสตั ว์ป่าอีก เพราะทรงตดิ ใจในเสียงเพลง
ของเขาทงั้ สอง รวมทั้งเสนาข้าราชบริพารท้ังหลาย ตา่ งพลอยตดิ เพลงของเขาตามเสดจ็ ไปด้วย เหตนุ ี้เอง
ทาให้บรรดาสตรฝี า่ ยใน รวมท้ังพระแมเ่ มือง พลอยข่นุ เคืองพระทัยเปน็ อันมาก ที่พระราชาไมเ่ สด็จคนื
ปราสาทจนกว่าฟ้าจะสาง เพราะมวั แตห่ ลงดนตรีของหนุ่มชาวปา่ นน้ั จงึ ออกอบุ ายนาอาหารและเคร่ืองดื่ม
โอชารส แต่เจอื ดว้ ยยาพิษร้ายมาบรกิ ารแกห่ น่มุ ท้ังสอง เมือ่ ดม่ื เข้าไปเกิดอาการมึนเมา และเจบ็ ปว่ ยลง
พระราชาทรงวติ กใหห้ าหมอหลวงรักษา แตอ่ าการไมด่ ขี น้ึ หน่มุ ทัง้ สองขอพระราชทานอนญุ าต กลับไปยัง
ปา่ ทีต่ นเคยอาศยั อยู่ แตไ่ ม่ทันถงึ ป่าลึกทีเ่ คยอาศยั เพียงถึงชายป่า ก็ถงึ แก่ชวี ติ ในเวลาใกลเ้ คียงกัน เปน็
ท่สี ลดพระทยั ของพระราชายิ่งนัก กอ่ นตายสองพีน่ ้องได้ตัง้ สจั อธษิ ฐานว่า ตงั้ แตน่ อ้ ยจนเติบใหญ่ มิได้ทา
บาปกรรมอันใดท้ังส้นิ เหตทุ ี่ตอ้ งตายครั้งนเี้ พราะความอจิ ฉาริษยาของมนุษย์ทีว่ ่าเจริญแลว้ ขอใหท้ งั้ สองไป
เกดิ คู่กันอีกใหค้ วามรื่นรมย์เป็นเสยี งดนตรี แตด่ นตรีนนั้ จะไม่เกดิ ข้นึ ถ้ามนุษยไ์ มอ่ อกแรงทาให้เกิดขึ้น และ
เมอ่ื เกดิ ข้นึ แล้วหากจะให้ไพเราะจะต้องร่วมมือกนั ออกแรงสมานสามคั คี จึงจะได้เสยี งดนตรีท่ไี พเราะ นับว่า
เปน็ การลงโทษว่าถา้ อยากฟังดนตรที ไี่ พเราะ ต้องออกแรง ตอ้ งเมื่อย ต้องเหน่อื ยใหส้ าสม
ปรากฏว่าสถานท่ี ทที่ ้งั สองพี่น้องถูกฝังไว้น้ัน ต่อมาเกดิ เปน็ ไมไ้ ผ่กอใหญ่ มีลักษณะปลอ้ งยาว
ตรง เมื่ออ่อนนั้นมีสีเขียวเชน่ ไมไ้ ผ่ท้ังหลาย แต่เมื่อไม้ไผ่แกจ่ ึงมีลวดลายงดงามเหมือนดงั ผ้าโสร่งสีนา้ ตาลมี
ลาย ท่ีได้รับพระราชทานครั้งแรกนั้น เป็นไผ่ที่งามแปลกมาก ผู้พบเห็นต่างเล่าต่อกันไปจนพระราชาทรง
ทราบ
พระราชาเสด็จพระราชดาเนนิ ไปยงั ชายปา่ ทอดพระเนตรเห็นกอไผ่ลายสวยงามมาก จงึ ทรง
โปรดฯ ให้เจ้าพนกั งานขุดหน่อย้ายเข้าไปปลกู ในอุทยาน แตห่ น่อนั้นก็ไมง่ อกงาม ทรงสลดพระทยั มรี บั สง่ั
ให้ตัดไม้ไผ่น้ันมาสองลา แล้วนามาตั้งไวเ้ พื่อทอดพระเนตรในทป่ี ระทับ ตกกลางคนื หลงั เวลายามสามแล้ว
เข้าบรรทม ทรงสบุ ินว่า ทรงสดบั เสยี งเพลงไพเราะมาจากไผส่ องลาน้ัน บรรทมตนื่ แล้วเสยี งนนั้ กห็ าจางไป
๓
จากพระกรรณไม่ จึงเสด็จไปยังไม้ไผ่ท้งั สองลาทีโ่ ปรดใหต้ ั้งไว้นนั้ เสยี งเพลงยงั ดังอยู่ จนเชา้ จงึ โปรดให้หา
ช่างทาเครื่องดนตรีเข้าเฝา้ รบั พระราชทานไม้ทง้ั สองลาน้นั ไปประดิษฐ์เปน็ เครื่องดนตรี ช่างกท็ าเป็น
กระบอกไม้สองกระบอกต้ังเคียงคกู่ นั เมอื่ ใช้มอื ไกวเกิดเสียงดนตรไี พเราะ ประดจุ ว่าเป็นพ่นี ้องสองคนเขา้ คู่
ร้องเพลง ชาววังท้ังหลายต่างนยิ มบรรเลงเพลง ด้วยเครือ่ งดนตรนี ้ีถวายพระราชาอยเู่ ป็นนจิ พวกมโหรหี ญิง
ตอ้ งเหน็ดเหน่ือย ในการฝึกซ้อมดนตรีกระบอกไมน้ ี้ เม่ือใดคนหน่งึ คนใดไม่ไกวกระบอกไม้ เพลงก็ไมไ่ พเราะ
เพราะเสียงขาดหายไปจะบรรเลงครัง้ ใดต้องมีคนครบเสมอและถา้ เป็นหญิงบรรเลง มักต้องฝกึ ซ้อมเน่ินนาน
กว่าชายนกั หนา นางมโหรตี ้องการให้พระราชาโปรดปรานก็ต้องฝนื ใจฝึกซ้อมแล้วซอ้ มอกี เพลงจงึ ไพเราะ
ดนตรีกระบอกไมจ้ งึ ถอื กาเนิดข้ึน และเรยี กช่ือว่า “องั กะลุง” มาจนทกุ วันนี้
ข้อสังเกต องั กะลุงที่เกดิ ข้ึน เปน็ ชนดิ ทม่ี กี ระบอกไม้ไผส่ องกระบอกยนื คู่กนั ไมใ่ ชส่ ามกระบอก
อยา่ งท่ีคนไทยใช้อยูท่ ุกวันน้ี ตานานนี้จึงเชื่อไดว้ ่า เปน็ นิยายของชวา อีกประการหน่งึ ไม้ไผ่ทใ่ี ช้ทาอังกะลุง
จะตอ้ งเป็นไผ่ที่แก่จดั ไดท้ ่ี จึงจะมลี ายสวยงามและมีความแกร่งจนเกดิ เสียงไพเราะได้ จริงอยูท่ ีว่ า่ ไม่ไผล่ าย
จะไม่แสดงลายใหป้ รากฏเม่ือยังอ่อนหรือยงั เขยี ว แต่ลายจะปรากฏเม่ือแกแ่ ล้ว จงึ เขา้ กับเร่อื งวา่ ทั้งสองคน
พีน่ ้อง ได้โสร่งลายงามเอาเมื่อโตแลว้ นอกจากนย้ี ังปรากฏความจรงิ ว่า ไผล่ ายงามมักขนึ้ อย่ชู ายป่า ไม่อยใู่ น
ป่าลกึ
๔
ประวัติองั กะลุงในประเทศไทย
หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้เป็นผนู้ าองั กะลุงเข้ามาเผยแพร่เมอื งไทย และสอน
ใหค้ นไทยเล่นจนเป็นท่แี พร่หลาย โดยนาเข้ามาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ครง้ั นั้นท่านครูได้โดยตามเสด็จพระราช
ดาเนิน สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช (เป็นพระอนุชา
รว่ มพระชนกชนนกี ับ พระเจ้าอยู่หวั รชั กาลที่ ๕) โดยเสด็จพระราชดาเนิน ประพาสประเทศชวา และได้นา
องั กะลงุ เข้ามา
เมอื่ นาเข้ามา อังกะลงุ มเี พียงสองกระบอก และได้มกี ารนามาดัดแปลงใหมใ่ ห้มเี สยี งครบทกุ เสยี ง
เพอ่ื ใช้บรรเลงเพลงไทยได้ทกุ ประเภท และยังได้จดจาบทเพลงของชวา มาบรรเลงจานวนหลายเพลง เช่น
กระหรดั ระยา บูกันตโู ม๊ะ เปน็ ตน้
๕
ส่วนประกอบขององั กะลงุ
13
24
๑. กระบอกเสยี ง ทาด้วยไม้ไผ่ปล้องยาว เนื้อบาง โดยเลอื กไมช้ นดิ แก่ จึงจะมเี สยี งดี ไม้ไผ่มี ๒
ประเภท คอื ไม้ไผ่ทไ่ี ม่มีลาย ช่างผ้ทู าต้องมาทาลวดลายเอง เพื่อให้เกิดความสวยงาม อีกชนิดหน่ึง เปน็ ไม้
ไผล่ าย ไม้ไผช่ นิดน้จี ะมีลายในตัวเอง
๒. รางรองกระบอกเสยี ง อยู่ด้านลา่ งรปู รา่ งลักษณะคล้ายเรอื ขดุ เดมิ ใช้ไม่ไผท่ า ปจั จบุ นั น้ี
ช่างทาเครอ่ื งดนตรใี ช้ไมส้ ัก ไม้โมกแทน
๓. ราว สาหรบั แขวนกระบอกเสียง เพ่ือให้กระบอกเสียงกระทบไป กระทบมา เวลาเขยา่
ทาใหเ้ กดิ เสยี ง
๔. หลัก เป็นไม้กลมต้ังขึ้นจานวน ๕ อัน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เซนติเมตร มีขนาด
ยาวกว่ากระบอกเสียง ลดหลน่ั กนั ไปตามส่วน
๖
เรอื่ ง การจบั อังกะลงุ
องั กะลุง เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีทาให้เกิดเสียงได้โดยการเขย่า แต่ลักษณะการเกิดเสียงน้ัน เกิดจาก
การท่ีกระบอกของอังกะลุง ตีกระทบกับรางอังกะลุง อังกะลุง จึงจัดเป็นเคร่ืองดนตรีไทยอยู่ในกลุ่ม
ประเภท เคร่ืองตี วิธีการเขย่าอังกะลุงที่ดีที่สุดคือ เขย่าคนละ ๒ เสียง โดยถือเรียงเสียง และข้ามเสียง
ตามความเหมาะสม เสียงท่ีดีนั้นต้องเป็นเสียงท่ีดัง ในลักษณะท่ีรัวต่อเนื่องกันอย่างสม่าเสมอ และได้
นา้ หนักเสียงพอดี (ไม่ดงั หรือเบาเกนิ ไป)
วิธีการจับที่ถูกวิธี คือ ตะแคงมือจับที่เสาคู่ของอังกะลุง อันเป็นเสาท่ีมีความยาวที่สุด ซ่ึงอยู่
ด้านหลังของกระบอกใหญ่ที่สุดในตับ ถ้าเป็นตับเล็ก ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วท่ีเหลือทั้ง ๔ นิ้ว จับให้อยู่ใน
ร่องของเสาคู่ ใช้อุ้งมือดันส่วนล่างของอังกะลุงไว้ให้ได้ฉาก ถ้าเป็นอังกะลุงตับใหญ่ น้าหนักมาก อาจใช้
อุ้งมือรวบไว้ทั้งสองเสา เมื่อจะเขย่าต้องใช้วิธีเขย่าด้วยข้อมือ จึงจะได้เสียงท่ีถูกต้องและไพเราะ โดยไม่
ออกแรงเขยา่ ไปทัง้ แขน จะทาให้เสยี งกรอไมล่ ะเอียด
เสียงขององั กะลุงจะดังได้ดีและไพเราะน้ัน เวลาเขย่าต้องเน้นน้าหนัก ให้ขาของกระบอกทั้งสาม
กรอกไปกรอกมา ในร่องของรางอังกะลุงได้อย่างคล่องแคล่ว สม่าเสมอ ด้วยความถ่ีที่เท่าเทียมกันทั้ง
๓ กระบอก
๗
การจดั วงองั กะลุง
นายพินจิ ฉายสุวรรณ ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ ไดอ้ ธบิ ายวธิ กี ารจดั วงอังกะลงุ ไว้ดังน้ี
๑. วงองั กะลุงขนาดเลก็ ที่สุด มเี พียง ๕ เสยี ง ใชผ้ ูบ้ รรเลง ๓ คน โดยถอื อังกะลุงเรียงลาดับ
ดังนี้
คนที่ ๑ ถอื เสียง ซอล ลา คนท่ี ๒ ถือเสยี ง โด เร
คนท่ี ๓ ถอื เสียง เร มี
๒. วงอังกะลุงขนาดกลาง มีเพยี ง ๕ เสียง ผบู้ รรเลง ๕ คน โดยถอื องั กะลุง ดังนี้
คนท่ี ๑ ถอื เสยี ง มี ซอล คนท่ี ๒ ถือเสียง ซอล ลา
คนท่ี ๓ ถอื เสียง ลา โด คนท่ี ๔ ถือเสียง โด เร
คนที่ ๕ ถอื เสยี ง เร มี
๓. วงอังกะลุงขนาดใหญ่ จานวนองั กะลุง ๒๘ ตวั ใชผ้ ้บู รรเลง ๑๒ คน เพมิ่ องั กะลุงขึ้นอกี
เท่าตวั องั กะลงุ จะมีเสียงซ้ากัน เสยี งละ ๔ ตัว ตดั เสยี ง ฟา และ ที ออก อย่างละ ๒ ตัว เหลือ
เพยี ง ๒ ตัว ดงั นี้
คนท่ี ๑ ถือเสยี ง โด เร คนท่ี ๒ ถือเสียง เร มี
คนท่ี ๓ ถือเสียง มี ฟา คนที่ ๔ ถอื เสยี ง ฟา ซอล
คนท่ี ๕ ถือเสยี ง ซอล ลา คนที่ ๖ ถือเสียง ลา ที
คนท่ี ๗ ถอื เสียง ที โด คนที่ ๘ ถือเสียง โด เร
คนท่ี ๙ ถอื เสยี ง เร มี คนท่ี ๑๐ ถือเสยี ง มี ซอล
คนท่ี ๑๑ ถือเสียง ซอล ลา คนที่ ๑๒ ถือเสียง ลา โด
นอกจากจานวนผ้เู ขย่าอังกะลงุ แลว้ จะตอ้ งมีผูบ้ รรเลงเคร่ืองประกอบจงั หวะ และผู้ขับรอ้ ง
ดงั นี้
๑. ฉ่งิ ๒. กรับ
๓. ฉาบเล็ก ๔. โหมง่
๕. กลองแขก ๖. ผู้ขับร้อง
๘
ระบบเสยี งขององั กะลุง
เสียงเดิมของ อังกะลุง ที่ครูหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) นามาน้ันมี ๕ เสียง คือ
โด เร มี ซอล ลา เหตทุ ี่ใช้ ๕ เสียง เนื่องจากเพลงของชวานนั้ มีเพยี ง ๕ ระดับเสยี งเท่าน้ัน
ระดับเสียง ของอังกะลุงปัจจุบัน ครูหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้ปรับปรุง
เพ่มิ เติมขนึ้ อีก ๒ เสียง คอื เสยี ง ฟา และเสยี ง ที อังกะลงุ ปจั จุบันจงึ มีระดับเสยี งครบท้ัง ๗ ระดบั เสียง คอื
๑. เสยี ง โด
๒. เสยี ง เร
๓. เสยี ง มี
๔. เสียง ฟา
๕. เสียง ซอล
๖. เสียง ลา
๗. เสยี ง ที
เหตทุ ่ีครูหลวงประดษิ ฐไพเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง) เพ่ิมระดบั เสียงอีก ๒ เสียงนัน้ เข้าใจวา่
น่าจะเกดิ ขนึ้ เพราะ ต้องการใหอ้ ังกะลุง สามารถบรรเลงเพลงไทยได้ครบทุกประเภท
๙
การนาอังกะลุงไปใช้
๑. โอกาสทใ่ี ชอ้ งั กะลุงบรรเลง
วงองั กะลุง ใช้บรรเลงได้ทุกโอกาส ไดแ้ ก่ งานมงคลต่าง ๆ เชน่ งานทาบญุ งานรื่นเริงท่วั ไป
ขบวนแห่ เป็นต้น และงานอวมงคล เชน่ งานฌาปนกจิ กศพ ไดเ้ ป็นอย่างดี มคี วามไพเราะนา่ ฟัง ไม่น้อย
กว่างวงดนตรีไทยประเภทอนื่
๒. ประโยชนข์ องปฏิบตั ิอังกะลุง มดี ังน้ี
๒.๑ ฝึกความสามคั คีในหมคู่ ณะ
๒.๒ ฝกึ ความว่องไว
๒.๓ ฝึกความจาและเชาว์ปญั ญา
๒.๔ ฝึกประสาทตา
๒.๕ ฝกึ ความรับผดิ ชอบในหน้าท่ี
๒.๖ ฝึกความพร้อมเพรียง
๒.๗ ทาให้เกดิ ความสนกุ สนาน
๒.๘ เปน็ พื้นฐานในการเรยี นดนตรีไทยชนดิ อ่ืนไดร้ วดเรว็ ขนึ้
๑๐
ความรูท้ ว่ั ไปเก่ียวกับโนต้ ไทย
๑. สญั ลกั ษณ์ทใี่ ช้แทนเสยี ง
ระบบเสียงดนตรไี ทยเปน็ ระบบเสียงเตม็ คือทุกระยะข้นั เสยี ง หา่ งกนั ๑ เสยี ง
การบันทกึ โนต้ ใช้อกั ษรไทยแทนระดบั ความสูง-ตา่ ของเสยี ง จานวน ๗ ตวั ดงั นี้
เสียง โด ใชส้ ญั ลกั ษณ์ ด
เสยี ง เร ใชส้ ญั ลักษณ์ ร
เสียง มี ใช้สญั ลักษณ์ ม
เสยี ง ฟา ใช้สญั ลักษณ์ ฟ
เสยี ง ซอล ใช้สัญลักษณ์ ซ
เสยี ง ลา ใช้สญั ลักษณ์ ล
เสียง ที ใชส้ ญั ลกั ษณ์ ท
๒. สัญลกั ษณแ์ ทนอตั ราความส้นั - ยาวของเสียง
ตัวโน้ตในระบบดนตรไี ทยแทนค่า ความส้นั - ยาว ของเสียงโดยอาศัยองค์ประกอบสาคัญ ดงั น้ี
๒.๑ ห้องเพลงของโน้ตไทยมีลักษณะ เป็นเส้นตรงลากในแนวตั้ง จานวนห้องเพลงขึ้นอยู่กับ
ลักษณะของบทเพลง ซึ่งเพลงไทยส่วนใหญ่ใช้โน้ตที่มีห้องเพลง ๘ ห้อง ซึ่ง ๘ ห้องเพลงนามาเรียงต่อกัน
เท่ากับ ๑ บรรทดั ดังตัวอยา่ ง
๒.๒ ค่าของตวั โน้ต เนื่องจากสญั ลักษณ์ตัวอักษร ด ร ม ฟ ซ ล ท ไม่สามารถแสดงอัตรา
ความ สน้ั - ยาว ของเสียงได้ จงึ ใชส้ ัญลกั ษณ์ “ - ” เพิ่มค่าความยาวของเสยี ง ซึ่งสัญลักษณ์
“ - ” ปรากฏตอ่ ท้ายตัวอกั ษรใด แสดงวา่ จะเพ่ิมเสยี งของโน้ตตวั นั้นให้ยาวขึน้ อกี ๑ เคาะ
ตวั อยา่ งลักษณะจงั หวะย่อยในหอ้ งเพลง
1 จงั หวะ 1 จงั หวะ 1 จงั หวะ 1 จงั หวะ
- - ---- ---- ---- ----
๑๒๓๔ ๑๒๓๔ ๑๒๓๔ ๑๒๓๔
ห้องเพลงแต่ละห้อง มคี ่าความยาวเทา่ กบั ๑ จังหวะโดยใน ๑ ห้องเพลงมีส่วนย่อย ๔ สว่ น
เทา่ ๆ กนั ส่วนย่อยแตล่ ะส่วนจึงมีคา่ ความยาวเท่ากบั ๑/๔ จังหวะ ดง้ั น้ัน ตวั โน้ต จะมีคา่ ความยาวของ
เสยี งแตกต่างกนั ข้ึนอยู่กบั จานวนเครอื่ งหมาย “ - ” ทีอ่ ยหู่ ลังตัวโนต้ นนั้ ค่าของตัวโน้ตทม่ี ีเครื่องหมาย
“ - ” อย่ขู า้ งหลังน้นั มีค่าความยาวเท่ากับ ค่าของตัวโน้ตนนั้ รวมกับคา่ ของเครอื่ งหมาย “ - ” ทอี่ ย่หู ลัง
ตวั โนต้ นน้ั เชน่
๑๑
---ด --- ร -ม -ฟ ---- ---ซ
โน้ต ด มีคา่ ความยาว ๔ เคาะ หรอื ๑ จงั หวะ ประกอบดว้ ย ตวั ด จานวน ๑ เคาะ และ
เครอื่ งหมาย “ - ” ทอี่ ย่ขู า้ งหลัง อีกจานวน ๓ เคาะ
โนต้ ร มีคา่ ความยาว ๒ เคาะย่อย หรอื ๑/๒ จงั หวะ ประกอบดว้ ย ตวั ร จานวน ๑ เคาะ
และเคร่ืองหมาย “ - ” ทอี่ ยขู่ า้ งหลัง อีกจานวน ๑ เคาะ
โน้ต ม มีค่าความยาว ๒ เคาะ หรือ ๑/๒ จังหวะ ประกอบดว้ ย ตวั ม จานวน ๑ เคาะ และ
เครื่องหมาย “ - ” ทอ่ี ยขู่ า้ งหลงั อีกจานวน ๑ เคาะ
โนต้ ฟ มีค่าความยาว ๘ เคาะหรือ ๒ จงั หวะ ประกอบดว้ ย ตัว ฟ จานวน ๑ เคาะ และ
เครื่องหมาย “ - ” ทอ่ี ยขู่ า้ งหลัง อกี จานวน ๗ เคาะ
โนต้ ซ มคี ่าความยาว ๑ เคาะ หรือ ๑/๔ จังหวะ
การบนั ทกึ โน้ตเพลงไทย พบไดใ้ นหลายรูปแบบ ดงั นี้
๒.๒.๑ การบันทกึ โน้ตห้องละ ๑ ตวั
---ด ---ร ---ม -ซ- - - --ล ---ซ ---ม ---ร
๒.๒.๒ การบนั ทึกโนต้ หอ้ งละ ๒ ตวั
-ด-ด -ด-ร --รม -ด- ร - ด–ล -ซ-ฟ --ซฟ มร--
๒.๒.๓ การบันทึกโน้ตหอ้ งละ ๓ ตวั
-ดรม -รมซ -มซล -ซลด ดด–ล ลล-ซ -ซซซ -ลซม
๒.๒.๔ การบนั ทกึ โนต้ หอ้ งละ ๔ ตวั
ดรมฟ มฟซล ซลดร ดทลซ ดลดซ ลซฟม รมซล ซฟมร
๑.๓ การกาหนดอตั ราจังหวะ
๑.๓.๑ จังหวะสามญั เป็นจังหวะเคาะหรือจังหวะตก ตรงกับส่วนย่อยส่วนที่ ๔ ของ
ทุก ๆ ห้องเพลง เชน่ ทานองท่มี ี ๔ จงั หวะเคาะ แต่ละจงั หวะตกตรงกบั เสยี งโด
จงั หวะตก จังหวะตก จงั หวะตก จังหวะตก
- - -ด - - - ด - - -ด - - -ด
๑ ๒๓ ๔
๑๒
จงั หวะตกของโนต้ แตล่ ะตัว เป็นจุดสิ้นสดุ ของแตล่ ะจงั หวะ ฉะนั้น จดุ เรมิ่ ตน้ ของแต่ละ
จงั หวะ จะเรม่ิ หลงั จากจังหวะตกของตัวโนต้ ตวั ที่อย่ดู า้ นหน้า คือจงั หวะท่ี ๔ เรมิ่ หลังจงั หวะตกของจังหวะ
ที่ ๓ เร่ิมหลงั จงั หวะตกของจังหวะท่ี ๒ จงั หวะที่ ๒ เริม่ หลงั จังหวะตกของจงั หวะที่ ๑ และจงั หวะที่ ๑ ,
๒ , ๓ และ ๔ มคี วามยาวเท่ากัน
๑.๓.๒ จังหวะฉิง่ คือ การกาหนดให้บรรเลงฉิง่ ในเพลงหนง่ึ ๆ ว่าเสียง “ฉิ่ง” กบั เสยี ง
“ฉับ” อยทู่ ี่ใด การบรรเลงฉ่ิงมหี ลายอย่าง เชน่ ฉ่ิง - ฉับ, ฉิง่ - ฉ่ิง - ฉบั , ฉ่งิ อยา่ งเดยี วหรอื ฉับอย่างเดียว
เป็นต้น อยา่ งไรก็ตามการกาหนดอัตราจงั หวะแบ่งออกได้ ดังน้ี
๑.๓.๒.๑ อัตราจังหวะ ๓ ชัน้ กาหนดให้บรรเลง “ฉิง่ ” ทจี่ ังหวะที่ ๒ (หอ้ งที่ ๒ )
การบรรเลง “ฉบั ” ทีจ่ งั หวะตกจังหวะที่ ๔ (หอ้ งท่ี ๔ ) สลับกันไปเร่ือย ๆ เช่น
จังหวะฉิ่ง - + - +
โนต้ - - - ล - - - ซ - - - ฟ - - - ร - - - ด - - - ร - - - ฟ - - - ซ
๑.๓.๒.๒ อตั ราจงั หวะ ๒ ชัน้ กาหนดใหบ้ รรเลง “ฉิง่ ” ทจ่ี งั หวะตกห้องที่ ๑
แลว้ บรรเลง “ฉบั ” ทจ่ี ังหวะตกของหอ้ งท่ี ๒ สลบั กนั ไปเรื่อย ๆ เชน่
จังหวะฉงิ่ - + - + - + - +
โน้ต - - - ล - - - ซ - - - ฟ - - - ร - - - ด - - - ร - - - ฟ - - - ซ
๑.๓.๒.๓ อัตราจังหวะชั้นเดียว กาหนดให้บรรเลง “ฉง่ิ ” ตรงจังหวะเคาะย่อยที่ ๒ ของ
ห้องที่ ๑ บรรเลง “ฉบั ” ตรงจงั หวะตกหอ้ งที่ ๑ สลบั กันไปเร่อื ย ๆ เชน่
จงั หวะฉงิ่ - + - + - + - + - + - + - + - +
โนต้ - - - ล - - - ซ - - - ฟ - - - ร - - - ด - - - ร - - - ฟ - - - ซ
๑๓
สว่ นท่ี ๒
แบบฝึกปฏบิ ัติองั กะลงุ
๑๔
แบบฝกึ ปฏิบัติองั กะลุง
ขนั้ ที่ ๑
---- ---ด ---- ---ร ---- ---ม ---- ---ซ
---- ---ร ---- ---ม ---- ---ซ ---- ---ล
---- ---ม ---- ---ซ ---- ---ล ---- ---ด
---- ---ซ ---- ---ล ---- ---ด ---- ---ร
ขน้ั ท่ี ๒
---ด ---ร ---ม ---ซ ---ร ---ม ---ซ ---ล
---ม ---ซ ---ล ---ด ---ซ ---ล ---ด ---ร
---ม ---ร ---ด ---ล ---ร ---ด ---ล ---ซ
- - - ด - - - ล - - - ซ - - - -ม - - - ล - - - ซ - - - ม - - - ร
ขน้ั ท่ี ๓
-ด-ร -ม-ซ -ร-ม -ซ-ล -ม-ซ -ล-ด -ซ-ล -ด- ร
-ม-ร -ด-ล -ร-ด -ล-ซ -ด-ล -ซ-ม -ล-ซ -ม- ร
ขน้ั ที่ ๔
--ดร มซมซ --รม ซลซล --มซ ลดลด --ซล ดรดร
--มร ดลดล --รด ลซลซ --ดล ซมซม --ลซ มรมร
ขน้ั ท่ี ๕
--ดร มซมซ --รม ซลซล ดรมซ รมซล มซลด ซลดร
--มร ดลดล --รด ลซลซ มรดล รดลซ ดลซม ลซมร
ขั้นท่ี ๖
--มซ ลดลด --ซล ดรดร ดรมซ รมซล มซลด ซลดร
--ดล ซมซม --ลซ มรมร ซมรด มรดล รดลซ ดลซม
๑๕
ขั้นท่ี ๗
---- ดดดด --รร มรดล ---- ซซซซ --ลล ดลซม
---- รรรร มรดร มรซม ---- ซซซซ ลซมซ ลด-ล
ขัน้ ท่ี ๘
ดรมซ รมซล มซลด ซลดร มรดล รดลซ ดลซม ลซมร
ซมรด มรดล รดลซ ดลซม ลซมร ซมรด มรดล ดลซม
๑๖
สว่ นที่ ๓
เพลงสำหรับปฏิบัติอังกะลงุ
๑๗
เพลงบเู ซ็นซ็อค
---ม -ซ-ม -ซ-ม -ม-ม ---ร -ม-ร -ม-ร -ร-ร
---ด -ร-ด -ร-ด -ด-ด ---ล -ด-ล -ด-ล -ล-ล
---ม ซล-ม ซล-ม -ม-ม ---ร มซ-ร มซ-ร -ร-ร
---ด รม-ด รม-ด -ด-ด ---ล ดร-ล ดร-ล -ล-ล
--ซม รดรม รดรม -ม-ม --มร ดลดร ดลดร ดร-ร
--รด ลซลด ลซลด ลด-ด --ดล ซมซล ซมซล ซล-ล
--ซล ดรดม --ซม --ซม --ซล ซมดร --มร --มร
--ซล ซมรด --รด --รด --มร ดรมล --ดล --ดล
๑๘
เพลงยะวำเร็ว
วรรค ๑
---- ---ด ---- ---ด ---- ---ด ---- ---ด
---ล -ล-ล -ด-ร -ด-ด ---ล -ล-ล -ด-ร -ด-ด
-ซ-ล -ดดด -ซ-ล -ดดด -ซ-ล -ดดด -ม-ร -มมม
---- ---ม ---- ---ม ---ม -ม-ม -ซ-ล -ซซซ
---ม -ม-ม -ซ-ล -ซซซ -ร-ม -ซซซ -ร-ม -ซซซ
---ล -ซ-ซ -ด-ล -ซซซ -ร-ม -ซซซ -ร-ม -ซซซ
---ล -ซ-ซ -ด-ล -ซซซ -ร-ม -ซซซ -ร-ม -ซซซ
-ด-ล -ซ-ม -ซ-ล -ซซซ -ม-ร -ด-ล -ดรม -ร-ด
วรรค ๒
---- ---ด ---- ---ด ---- ---ด ---- ---ด
---ร -ด-ล -ม-ร -ด-ล -ด-ร -ม-ล -ม-ร -มมม
---ร -ด-ล -ม-ร -ด-ล -ด-ร -ม-ล -ด-ร -ดดด
---ร -ด-ล -ม-ร -ด-ล -ด–ร -ม-ล -ม-ร -มมม
---ร -ด-ล -ม-ร -ด-ล -ด-ร -ม-ล -ด-ร -ดดด
-ซ-ล -ด-ด -ซ-ล -ด-ด -ซ-ล -ด-ด -ร-ม -ซซซ
---ล -ซ-ซ -ด-ล -ซซซ -ร-ม -ซซซ -ร-ม -ซซซ
---ล -ซ-ซ -ด-ล -ซซซ -ร-ม -ซซซ -ร-ม -ซซซ
-ด-ล -ซ-ม -ซ-ล -ซซซ -ม-ร -ด-ล -ดรม -ร-ด
วรรค ๓
---- ---ด ---- ---ด ---- ---ด ---ด รม–ม
---- ---ม ---- ---ม ---- ---ม ---ม รด -ด
---- ---ด ---- ---ด ---- ---ด ---ด รม–ม
---- ---ม ---- ---ม ---- ---ม ---ม รด -ด
---ร -ด-ด -ม-ร -ด-ด ---ร -ด-ด -ร-ม -ซซซ
---ล -ซ-ซ -ด-ล -ซซซ -ร-ม -ซซซ -ร-ม -ซซซ
---ล -ซ-ซ -ด-ล -ซซซ -ร-ม -ซซซ -ร-ม -ซซซ
-ด-ล -ซ-ม -ซ-ล -ซซซ -ม-ร -ด-ล -ดรม -ร-ด
๑๙
เพลงสมำรัง
-ร-ร ซร-ซ -ร-ร ซร-ซ -ซลด ลรลด -ดรม รดลด
--มซ รมซ- -ล-- ซลดร --รร -ร-- มรดล ดรซล
--ลด ลดรล --ลด ลดรล -รมซ รมซ- ดลซม ซ ดฺ - ดํ
--รร -ร-- มรดล ซม-ซ
เพลงโยสลัม
---- ---- -ซ- ด -ร- ม ---- ---- -ลซม -ร-ด
- - - - - - - - - ร - ม - ฟ - ซ - - - - - ซ - ล - ซ - ล - ด -ซ
- - - - - - - - - ม - ซ -ล - ด - - - - - - - ซ - ล - ซ - ฟ - ม
---- -ด- ร -ม-ซ -ฟ-ม --ซม รด-ร มรซม -ร-ด
เพลงขอมสุวรรณ
---- -- - ร ---- มรดล ---- ดลซฟ -ซ-ซ -ล- ร
---- ---- ฟซฟร -ด-ร -ฟ-ซ -ล - - ซซฟซ -ล- ด
- - - - - - - - - ล - ซ ฟ ซ ลด - ล ด ร ฟ ด - - - ฟ - - - ซ - ล
- - - - - - - ซ - - - ล - - - ร - -ดล ดร - - ฟ ด ร ฟ - ร - ฟ
๒๐
บรรณำนกุ รม
ณรงค์ชัย ปฎิ กรัชต์. (ม.ป.ป.) สำรำนุกรมเพลงไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์เรือนแก้วการพมิ พ.์
พนิ ิจ ฉายสุวรรณ. (ม.ป.ป.) องั กะลงุ . ม.ป.ท. (อัดสําเนา).
พนู พิศ อมาตยกุล และคณะ. (๒๕๒๘). องั กะลุง. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั รกั ษส์ ปิ ป์ จาํ กัด.
สวิต ทับทมิ ศรี. (๒๕๔๘). อังกะลงุ . กรุงเทพมหานคร : บริษัท ประชมุ ทอง พรน้ิ ติ้ง จาํ กัด
หน่วยศึกษานเิ ทศก์ สํานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาต.ิ (๒๕๓๒). คู่มือกำรจัด
กจิ กรรมสง่ เสริมดนตรีไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพร้าว.