The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การปรับพฤติกรรมการส่งงานล่าช้า ในรายวิชาศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 5 โดยใช้วิธีการเสริมแรงทางบวก ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 โรงเรียนวัดราชบพิธ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kanratchanan, 2021-10-26 00:38:23

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การปรับพฤติกรรมการส่งงานล่าช้า ในรายวิชาศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 5 โดยใช้วิธีการเสริมแรงทางบวก ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 โรงเรียนวัดราชบพิธ

วิจัยในช้นั เรยี น
เร่อื ง การปรับพฤตกิ รรมการส่งงานล่าชา้ ในรายวิชาศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม 5

โดยใช้วิธกี ารเสริมแรงทางบวก ของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/7
โรงเรียนวัดราชบพธิ

โดย
นางสาวรชั นนั สุยโพธิ์นอ้ ย

ตำแหน่งครูผชู้ ว่ ย

ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564
กลุม่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม

โรงเรยี นวดั ราชบพิธ

ช่อื งานวจิ ยั การปรบั พฤติกรรมการสง่ งานลา่ ชา้ ในรายวิชาศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม 5
โดยใชว้ ิธกี ารเสริมแสงทางบวก ของนักเรียนระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3/7
ชอ่ื ผู้วิจัย รงเรยี นวดั ราชบพิธ
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ นางสาวรชั นนั สุยโพธิ์น้อย
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม

บทคดั ย่อ

การวิจัยคร้ังน้ีมวี ัตถุประสงคเ์ พือ่ ปรบั พฤติกรรมการสง่ งานล่าช้า ในรายวิชาศาสนา ศีลธรรม
จรยิ ธรรม 5 โดยใชว้ ธิ ีการเสริมแสงทางบวก ประชากรหรอื กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน จำนวน 4 คน ท่ี
มีพฤติกรรมที่ไม่ส่งงานตามเวลาที่กำหนด คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 เลขที่ 1 2 11
และ 13 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ การสังเกตและการสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูล คือ การ
บนั ทกึ และสรปุ รายงานผล

ผลการวิจัยพบว่า ก่อนการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวก พบว่า นักเรียนไม่ส่งงานตามที่ได้รับ
มอบหมาย แต่ใช้วิธีการเสริมแรงทางบวก มีการพูดคุยและสร้างแรงจูงใจ ด้วยการให้คะแนน การให้
คำชมเชย ยกตัวอย่างที่ดี หลังจากนั้นนักเรียนทั้ง 4 คน ได้ทำงานจนเสร็จและส่งงานตามเวลาที่
ครผู สู้ อนไดม้ อบหมายไว้

บทท่ี 1

บทนำ

ทม่ี าและความสำคัญของปัญหา

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้นักเรียนต้องเรียนใน
รูปแบบออนไลน์ที่บ้านเป็นหลัก การเรียนการสอนและการมอบหมายภาระงานจึงต้องมีการปรับ
รูปแบบให้สอดคล้องกับบริบทที่เป็น โดยในรายวิชาศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 5 จะเน้นการส่งงาน
ออนไลน์ทาง Google classroom เปน็ หลัก

จากการสำรวจพฤติกรรมการส่งงานของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 พบวา่ นกั เรยี นบางสว่ น
มักจะส่งงานไม่ตรงตามเวลาที่ครูผู้สอนกำหนด หรือบางคนก็ไม่ส่งงานเลย จึงทำให้ครูผู้สอนไม่
สามารถวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรแู้ ละผลงานของนกั เรยี นได้ ซ่งึ ส่งผลต่อคะแนนของนักเรียน

และจากความสำคัญและปัญหาข้างต้นทำให้ผู้วิจัยสนใจในการทำวิจัยเรื่อง การปรับ
พฤติกรรมการส่งงานล่าช้าและไม่ส่งงาน โดยการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวก เพื่อศึกษาการใช้วิธีการ
เสรมิ แรงทางบวก ทชี่ ่วยส่งเสริมให้นักเรียนส่งงานตามเวลาทค่ี รูผู้สอนกำหนด

วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย

เพื่อศึกษาการปรับพฤติกรรมการส่งงานล่าช้าของนักเรียนในรายวิชาศาสนา ศีลธรรม
จริยธรรม 5 โดยใช้วธิ กี ารเสริมแรงทางบวก

ขอบเขตของการวจิ ัย

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/7
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนวัดราชบพิธ ที่มีพฤติกรรมส่งงานล่าช้าในรายวิชาศาสนา
ศลี ธรรม จริยธรรม 5 จำนวน 4 คน คอื

1. นักเรียนระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3/7 เลขที่ 1

2. นักเรียนระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3/7 เลขที่ 2

3. นกั เรียนระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3/7 เลขท่ี 11

4. นกั เรยี นระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3/7 เลขที่ 13

ตวั แปรต้น คือ วธิ กี ารเสรมิ แรงทางบวก

ตวั แปรตาม คือ พฤติกรรมการส่งงานลา่ ช้าในรายวชิ า ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 5

นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ

พฤติกรรมการส่งงาน หมายถึง การกระทาที่นักศึกษาส่งงานที่ได้รับมอบหมายในระหว่าง
เรยี นทค่ี รผู ูส้ อนกำหนดสง่ อย่างสม่ำเสมอ

วิธีการเสริมแรงทางบวก หมายถึง การแสดงพฤติกรรมเมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้า เช่น คำ
ชมเชย การใหร้ างวัล ฯลฯ แล้วสามารถประพฤติตนได้บรรลเุ ปา้ หมายโดยการเรียนรขู้ องแตล่ ะคน

รายวิชาศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 5 หมายถึง วิชาที่ศึกษาประวัติความเป็นมาของศาสนา
พราหมณ์ ฮินดู พุทธ คริสต์และอิสลาม ความเป็นมาของศาสดา นิกายสำคัญ หลักคำสอน พิธีกรรม
และอทิ ธพิ ลท่ีมีต่อการดำเนนิ ชีวิต ความสอดคล้องของหลักคำสอนท้ัง ๔ ศาสนา เพื่อให้มีความเข้าใจ
หลักคำสอนของแต่ละศาสนา ตลอดจนเห็นความสำคัญของศาสนาที่มีต่อการดำเนินชีวิต และเกิด
ความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนิกชน

ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะได้รับ

1. ได้ทราบการปรับพฤติกรรมการส่งงานล่าช้าของนักเรียนในรายวิชาศาสนา ศีลธรรม
จรยิ ธรรม 5 โดยใช้วิธเี สรมิ แรงทางบวก

2. นำข้อมลู ท่ีได้ไปปรบั พฤตกิ รรมทไ่ี มพ่ งึ ประสงค์ในรายวิชาอ่ืน ๆ

กรอบแนวคดิ ในการวิจยั

ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม
วธิ กี ารเสรมิ แรงทางบวก พฤติกรรมการส่งงานล่าช้า

บทท่ี 2

แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง

การวิจัยเรื่อง การปรับพฤติกรรมการส่งงานล่าช้าในรายวิชาศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 5
โดยวิธีการเสริมแรงทางบวก ผู้วิจัยได้ค้นคว้าเอกสาร ทฤษฎี และงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง ตามหัวข้อ
ต่อไปนี้

1. เอกสารทเ่ี กยี่ วกบั พฤติกรรมการส่งงาน

1.1 ความหมายของพฤติกรรมการสง่ งาน

1.2 ทฤษฎที ี่เก่ยี วกับพฤติกรรมการส่งงาน

2. เอกสารทเ่ี ก่ียวกบั วิธกี ารเสริมแรงทางบวก

3. งานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง

1. เอกสารที่เกยี่ วกบั พฤตกิ รรมการสง่ งาน

1.1 ความหมายของพฤติกรรมการสง่ งาน

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2532,5) ได้ให้ความหมายของพฤติกรรมว่า หมายถึง การ
กระทำทุกอย่างของมนุษย์ ไมว่ ่าการกระทานั้นผ้กู ระทำจะทำโดยรู้ตัวหรือไมร่ ู้ตวั ก็ตาม ไม่ว่าคนอื่นจะ
สังเกตการณ์กระทำนั้นหรอื ไม่ได้ก็ตาม ดังนั้น การเดิน การยืน การคิด การตัดสินใจ การปฏิบัติ ตาม
หนา้ ท่ี การละท้งิ หนา้ ท่ีเป็นพฤตกิ รรมทั้งส้ิน

ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร (2545,20) ได้ให้ความหมายของพฤติกรรมว่า หมายถึง การกระทำของ
มนุษย์หรือสัตว์ การกระทำที่ว่านั้น รวมทั้งการกระทำที่เกิดขึ้น ทั้งผู้กระทำรู้สึก และไม่รู้สึกตัวใน
ขณะทก่ี ระทำ รวมท้ังการกระทำทีส่ ังเกตไดห้ รือสงั เกตไม่ไดด้ ้วยเหมือนกัน

ความหมายของพฤติกรรมดังกล่าวพอสรุปได้วา่ พฤตกิ รรม หมายถงึ การกระทำของมนุษย์ท่ี
เจ้าของแสดงออกมาทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว เพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า ดังนั้นพฤติกรรมการส่งงานก็คือ
การกระทำท่ีนักเรียนส่งงานท่ไี ด้รบั มอบหมายในระหว่างเรียนที่ครผู ้สู อนกำหนดให้สง่ อย่างสม่ำเสมอ

1.2 ทฤษฎีเก่ียวกบั พฤตกิ รรมการส่งงาน

สงวน สทุ ธิเลิศอรุณ (2543, 5-6) ได้แบง่ พฤติกรรมไว้ 2 ประเภท ดงั น้ี

1. พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) เป็นพฤติกรรมที่ผู้อื่นสังเกตได้โดยใช้ประสาท
สมั ผัสหรอื ใชเ้ ครอื่ งมือ พฤตกิ รรมภายนอก ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.1 พฤติกรรมภายนอกที่ไม่ต้องอาศัยเครื่องมือในการสังเกต เช่น การเคลื่อนไหว
ของ แขนขา การเต้นของหัวใจ เป็นต้น เรียกวา่ พฤตกิ รรมโมลาร์ (Molar Behavior)

1.2 พฤติกรรมภายนอกที่ต้องอาศยั เครื่องมือในการสังเกต เชน่ การทางานของคล่ืน
สมอง จะตอ้ งใช้เครอ่ื งวัดพฤตกิ รรมประเภทนี้เรยี กว่า พฤติกรรมโมเลกลุ (Molecular Behavior)

2. พฤติกรรมภายใน (covert Behavior) ได้แก่ พฤติกรรมที่เจ้าตวั เท่านน้ั รบั รู้ เช่น การไดย้ นิ
การเขา้ ใจ การรู้สึกหิว ซง่ึ เปน็ พฤตกิ รรมภายในมี 4 ลกั ษณะ คอื

2.1 พฤติกรรมทีเ่ ป็นความร้สู กึ จากการสมั ผสั (Sensitive) เชน่ การเหน็ การได้ยิน

การไดก้ ลิ่น การรู้รส การสัมผสั และการมคี วามสขุ เป็นตน้

2.2 พฤติกรรมที่เข้าใจหรอื ตคี วาม (Interpreting) เม่อื เรามองหน้าเพอ่ื นกเ็ ขา้ ใจ

เพือ่ นได้

2.3 พฤตกิ รรมทเ่ี ป็นความจำ (Remembering) เชน่ เมื่อมโี ทรศพั ท์เรียกเขา้ มา เรา

อาจจำเสียงของเพ่ือนได้

2.4 พฤตกิ รรมทีเ่ ปน็ ความคิด (Thinking) การคดิ มหี ลายชนดิ อาจเปน็ การคดิ

สรา้ งสรรค์หรอื การคดิ สาเหตกุ ็เปน็ ได้

เมธาวี อุดมธรรมานภุ าพ, รัตนา ประเสริฐสม และเรียม ศรที อง (2544,5) ได้แบง่ ประเภท

ของพฤติกรรมออกเปน็ 2 ประเภท ดงั นี้

1. พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) หมายถงึ การกระทำการแสดงออกและกจิ กรรมท่ี
เป็นรูปธรรม สามารถสังเกตได้ชัดเจน มี 2 ลักษณะ ได้แก่ กิจกรรมการแสดงออกที่สามารถสังเกตได้
โดยตรงด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์ (Molar Behavior) เช่น การเคลื่อนไหว และกิจกรรมของ
อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งไม่อาจสังเกตได้อย่างชัดเจนด้วยประสาทสัมผัส
จำเป็นต้องใช้เครื่องมือตรวจวัด (Moleculr Behavior) เช่น ทำงานของระบบประสาท แรงต้านทาน
ไฟฟา้ ท่ีผิวหนัง เป็นต้น

2. พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) เป็นพฤติกรรมทีเ่ กดิ ขึ้นภายในตวั บุคคล มีลักษณะ
เปน็ นามธรรม เช่น การรบั รู้ ความร้สู กึ แรงจูงใจ ความคิด การตดั สนิ ใจ จินตนาการ ทศั นคติ ค่านิยม

สรุปประเภทของพฤตกิ รรม สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. พฤติกรรมภายนอก หมายถึง การกระทาที่เป็นรูปธรรม มี 2 ลักษณะ คือ พฤติกรรมที่
สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น การเคลื่อนไหวของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และพฤติกรรมที่ต้อง

อาศัยเครื่องมือช่วยในการสังเกต เช่น การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การไหลเวียนของโลหิต การเต้น
ของหัวใจ เป็นต้น

2. พฤติกรรมภายใน หมายถึง พฤติกรรมทีม่ ีลักษณะเป็นนามธรรม บคุ คลอ่นื ไม่สามารถ รับรู้
ไดโ้ ดยตรง อาจสนั นิษฐานไดจ้ ากพฤติกรรมภายนอกเท่าน้ัน เชน่ ความคดิ ความรูส้ ึก ทศั นคติ ค่านิยม
เปน็ ต้น

2. เอกสารที่เกี่ยวกับวิธกี ารเสรมิ แรงทางบวก

ความหมายของการเสริมแรงทางบวก

การเสริมแรงทางบวก หมายถึง การทำให้ความถี่ของพฤติกรรมเพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากผล
กรรมที่ตามหลังพฤติกรรมผลการการกระทำให้พฤติกรรมมีความถี่เพิ่มขึ้นเรียกว่า ตัวเสริมแรง
ทางบวก ลักษณะของการเสริมมี 2 ชนดิ

1. ตัวเสรมิ แรงปฐมภูมิ เปน็ ตัวเสรมิ แรงในความตอ้ งการตอบสนองชวี ภาพหรอื มีผลต่อผู้ได้รับ
โดยตรง เชน่ อาหาร ความเย็น

2. ตัวเสริมทุตยิ ภมู ิ เป็นตัวเสริมแรงทีต่ ้องผ่านกระบวนการการพฒั นาคุณสมบัติของการเป็น
ตัวเสรมิ แรงโดยการนำไปสมั พนั ธ์กับตัวเสริมแรงปฐมภูมิ เชน่ เงนิ รางวัล คำชมเชย

การเสริมแรงทางบวกเป็นแนวคิดหนึ่งของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำซ่ึงการเสรมิ
พัฒนา โดยนักจิตวิทยาของชาวอเมริกาชื่อ skinner ทฤษฎีมีความเช่ือว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของ
บุคคลจะเปล่ียนไปเน่ืองจากผลกรรม ผลกรรมทีเ่ ป็นตัวเสริมแรง ทำใหเ้ กิดผลกรรมทบ่ี คุ คลน้ันทำอยู่มี
อัตราการกระทำที่เป็นตัวลงโทษ ทำให้พฤติกรรมที่บุคคลนั้นกระทำนั้นยุติลงทำเพิ่มขึ้นจะเห็นได้ว่า
การให้การเสริมแรงทางบวกช่วยเสริมให้บรรยากาศการเรียนการสอนมีความสนุกสนาน นักเรียนมี
ความสุขในการเรยี น เกิดการเรยี นรทู้ ดี่ ีและพฒั นาไปถึงข้ันสามารถไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั นอกจากนั้น
ยังพบว่าองค์ประกอบอ่ืน ๆ ก็สามารถนำมาใช้เป็นการเป็นการเสริมแรงได้ เช่น กิจกรรมการแข่งขัน
เกมต่าง ๆ กิจกรรมที่เน้นทักษะการคิดอารมณ์ขันและความตลกของผู้สอนและบรรยากาศการเรียน
การสอนที่ไม่เคร่งเครียดจนเกินไป การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการเสริมแรงทางบวกการเรียนรู้
จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความใกล้ชิดระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองการเสริมแรงมีหลายวิธีอาจใช้
วัตถุสิ่งของหรือถ้อยคำท่แี สดงถึงความร้สู ึกกไ็ ด้ท่สี ามารถสร้างบรรยากาศกระตนุ้ ให้เกิดความพอใจให้
เกิดความสำเร็จหรือผลของการบอกการกระทำว่าถูกผิดและอาจเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเสริมแรง
ตอ่ ๆ ไปการเสริมแรงจะตอ้ งทำอย่างสม่ำเสมอ การเสริมแรงสามารถทำใหป้ รบั พฤตกิ รรมได้ควรจะให้
การเสริมแรงทันทีที่มีการตอบสนองได้อยา่ งถูกต้องควรเกดิ ขนึ้ ภายในประมาณ 10 นาที ถ้าหากมีการ
ตอบสนองที่ต้องการทำซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งควรเลือกการเสริมแรงเป็นบางครั้งบางคราวแทนที่ที่จะ

เสริมแรงทุกครั้งไป ควรจัดกิจกรรมการเรียนจากง่ายไปหาอยากเป็นตอนสั้น ๆ ที่สอดคล้องกับ
ความสามารถของผู้เรยี นการใช้ข้อมูลป้อนกลับ เป็นแนวทางหนึ่งในการใชก้ ารเสริมแรงในการจัดการ
เรียนการสอน การให้ข้อมูลป้อนกลับ หมายถึง คำหรือประโยคที่ใช้พูดหรือเขียนเพื่อกระตุ้นให้เกิด
การเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอน ครูผู้สอนควรให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อกระตุ้นของนักเรียน
ครูผู้สอนนำไปใช้ในการตรวจสอบการทำงานของนักเรียนหรือในขณะนักเรียนเสนองาน ประโยชน์
ของการให้ข้อมูลป้อนกลับช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียน หลักการทั่วไปในการใช้การเสริมแรง
ทางบวกอย่างมีประสิทธิภาพการเสริมแรงทางบวกสามารถใช้ได้กับพฤติกรรมที่ต้องการพัฒนาหรือ
พฤตจิกรรมพึงประสงค์เพียงแต่ผู้นำไปใช้จะต้องสามารถเลือกตัวเสริมแรงได้อย่างเหมาะสมและมี
หลกั การนำไปใช้ดงั นี้

ประทีป จินงี่ (2540) เอกสารประกอบการสอนวิชาการวิเคราะห์พฤติกรรมและการปรับ
พฤตกิ รรมสถาบันวิจัยพฤตกิ รรมศาสตรม์ หาวิทยาลัยศรีนครนิ ทราวิโรฒ. กรงุ เทพฯ

สมโภชน์ เอ่ยี สภุ าษติ (2549) ทฤษฎแี ละเทคนิคการปรับพฤตกิ รรม
โสภิดา ลม้ิ วฒั นาพนั ธ์ (2538) การปรับพฤตกิ รรมโดยใช้การเสรมิ แรงทางบวก

การปรับพฤติกรรมโดยใช้การเสริมแรงทางบวก
1. การเสริมแรงทางบวก จะต้องใหห้ ลงั จากเกดิ พฤตกิ รรมเป้าหมาย
2. การเสริมแรงทางบวกจะต้องกระทำทันท่ี
3. การเสริมแรงควรใหอ้ ยา่ งสม่ำเสมอ
4. ควรมกี ารวางเงอ่ื นไขในการเสริมแรงทางบวก
5. การเสริมแรงควรจะมีปริมาณพอเหมาะ
6. การเสรมิ แรงจะต้องเลอื กใหเ้ หมาะกับวยั แตล่ ะบุคคล

รายวิชาศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม 5
คำอธิบายรายวชิ า

ศึกษาประวัติความเป็นมาของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู พุทธ คริสต์และอิสลาม ความเป็นมา
ของศาสดา นิกายสำคัญ หลักคำสอน พิธีกรรม และอิทธิพลที่มีต่อการดำเนินชีวิต ความสอดคล้อง
ของหลักคำสอนทั้ง ๔ ศาสนา เพื่อให้มีความเข้าใจหลักคำสอนของแต่ละศาสนา ตลอดจนเห็น

ความสำคัญของศาสนาที่มีต่อการดำเนินชีวิต และเกิดความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนิกชน นำหลักคำ
สอนของศาสนามาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนก์ ับตนเองและสว่ นรวม

โดยใช้กระบวนการเรียนความรู้ความเข้าใจ วิเคราะห์ ตัดสินใจเลือกดำเนินการ ปฏิบัติตน
กำหนดเป้าหมายบทบาทการดำเนินชีวิต ตระหนักในคุณค่าและความสำคัญ เห็นคุณค่า เชื่อมั่นและ
มุ่งมั่นพัฒนาชีวิต ชักชวนสง่ เสริมสนับสนุน เสนอแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อให้เป็นบคุ คลที่มีความ
รักเทิดทูนในสถาบันศาสนา ตระหนักถึงความสำคัญ เห็นคุณค่า มีความภาคภูมิใจ ชื่นชมการทำ
ความดี มจี ิตสำนกึ ในการอนุรักษว์ ฒั นธรรมประเพณีในศาสนาทีต่ นนบั ถือ และปฏิบัตติ นตามแนวทาง
ของศาสนาทต่ี นนับถอื

การวัดและประเมินผลใช้วิธีการวัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย เน้นการประเมินตาม
สภาพจรงิ ทั้งด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการ คณุ ธรรม จรยิ ธรรมและลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

มาตรฐานรายวิชา

สาระท่ี ๑ ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม

มาตรฐาน ส ๑.๑ รู้ และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนา
หรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตามหลักธรรม เพื่ออยู่
ร่วมกันอยา่ งสันติสุข มาตรฐาน ส ๑.๒ เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดี และ
ธำรงรักษาพระพุทธศาสนา

หรอื ศาสนาท่ีตนนับถอื

ตวั ชวี้ ดั /ผลการเรียนร้ทู คี่ าดหวัง

๑. วิเคราะห์พุทธประวัติจากพระพุทธรูปปางต่าง ๆ หรือประวัติศาสดาที่ตนนับถือและ
อธบิ ายการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาท่ีตนนับถือสู่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก (ส ๑.๑ ม.๓/๑, ม.
๓/๔)

๒. วิเคราะห์ความสำคัญของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาทตี่ นนบั ถือในฐานะท่ชี ว่ ยสร้างสรรค์
อารยธรรมและความสงบสุขแก่โลก ตลอดจนวิเคราะห์ความแตกต่างและยอมรับวิถีการดำเนินชีวิต
ของศาสนกิ ชนในศาสนาอ่นื ๆ (ส ๑.๑ ม.๓/๒, ม.๓/๑๐)

๓. อธิบายสังฆคุณ และข้อธรรมสำคัญในกรอบอริยสัจ ๔ หรือหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับ
ถือตามที่กำหนด เห็นคุณค่าและวิเคราะห์การปฏิบัติตนตามหลักธรรมในการพัฒนาตนเพื่อเตรียม
พรอ้ มสำหรบั การทำงานและการมคี รอบครวั (ส ๑.๑ ม.๓/๖, ม.๓/๗)

๔. อธิบายประวัติวันสำคัญทางศาสนา ปฏิบัติตนตามศาสนาพิธีได้ถูกต้อง ให้เหมาะสมต่อ
บุคคลต่าง ๆ ตามหลักศาสนาตามที่กำหนดและนำเสนอแนวทางในการธำรงรักษาศาสนาทีต่ นนบั ถอื
(ส ๑.๒ ม.๓/๒, ม.๓/๓, ม.๓/๕, ม.๓/๗)

งานวิจัยท่เี กีย่ วข้อง

วิชยุตม์ ศรสี ะอาด (2557) วจิ ยั เรื่อง การปรับพฤตกิ รรมการสง่ งาน ในวชิ าการขายเบื้องตน้ 2
ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยเทคโนโลยี อรรถ
วิทย์พณิชยการ โดยใชว้ ธิ กี ารเสรมิ แรงทางบวก การวิจัยครั้งน้มี วี ตั ถปุ ระสงค์เพ่ือศกึ ษา พฤติกรรมการ
ส่งงานก่อนและหลังใช้การเสริมแรงทางบวก ในวิชาการขายเบื้องต้น 2 ของนักศึกษา ระ ดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ กลุ่ม
ตัวอย่างที่ใช้ คือ นักศึกษาระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด จานวน 39 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ วิธีการเสริมแรงทางบวก และแบบบันทึกพฤติกรรมการส่งงาน ของ
นักศกึ ษา สถติ ทิ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ คอื คา่ รอ้ ยละ ผลการวิจัยพบวา่ พฤตกิ รรมการสง่ งานก่อน ใช้การ
เสรมิ แรงทางบวก พบวา่ การส่งงานตรงตามกาหนดระดบั มาก คดิ เปน็ รอ้ ยละ 38.46 ระดบั ปานกลาง
คิดเป็นร้อยละ 25.64 และระดับต่า คิดเป็นร้อยละ 35.89 และพฤติกรรมการส่งงานหลังใช้ การ
เสริมแรงทางบวก พบวา่ การสง่ งานตรงตามกาหนดระดบั มาก คิดเปน็ รอ้ ยละ 53.84 ระดับปาน กลาง
คิดเปน็ ร้อยละ 28.20 และระดบั ต่ำ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 17.94

สมพล สุวรรณ์ (2557) วิจัยเรื่อง การปรับพฤติกรรมการเรียนให้มีวินัยและความ รับผิดชอบ
โดยวิธีการเสริมแรงทางบวก นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 วิทยาลัย เทคโนโลยี
อรรถวิทย์พณิชยการการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนให้มีวินัย และความ
รบั ผิดชอบก่อนใช้และหลังใช้ วิธกี ารเสริมแรงทางบวก นกั ศึกษาระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นปีท่ี
1 วทิ ยาลยั เทคโนโลยีอรรถวทิ ย์พณิชยการกลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีใช้คือนักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวชิ าชีพ
ชั้นปี่ที่ 1 ประจาปีการศึกษา 2557 จำนวน 43 คน เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัย คือ วิธีการเสริมแรง
และแบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า จากการใช้
วิธีการเสริมแรงทางบวก ทาให้นักศึกษามีพฤติกรรมการเรียนให้มีวินัย และความรับผิดชอบมากขึ้น
พบวา่ มีพฤตกิ รรมเหล่าน้มี ากข้นึ คอื นักศกึ ษาสง่ งานและการบ้านตรง เวลาทคี่ รกู าหนด นกั ศึกษาทา
ผิดจะพยายามแก้ไขโดยไม่ท้อแท้ นักศึกษามีความรับผิดชอบต่องานที่ ได้รับความมอบหมาย
นักศึกษามาเรียนตรงเวลาและตั้งใจเรียน นักศึกษารู้จักวางแผนและ เตรียมพร้อมที่จะศึกษาต่อใน
มหาวิทยาลัย นักศึกษารู้จักวางแผนและเตรียมพร้อมที่จะศึกษาต่อใน มหาวิทยาลัย และพฤติกรรม
เหล่านี้น้อยลง คือ นักศึกษานางานวิชาอื่นมาทาขณะเรียนอีกวิชาหนึ่ง นักศึกษาพูดคุยและเล่นกับ
เพื่อนขณะครูสอน นักศึกษานอนหลับในห้องเรียนขณะชั่วโมงเรียน นักศึกษาไม่ทาการบ้านและลอก
การบ้านเพอื่ น

ดร.ศิริวรรณ ตันตระวาณิชย์ (2005) ได้ศึกษาผลของแรงจูงใจและแรงเสริมต่อพฤติกรรม
การสนใจเรยี นวิชาความน่าจะเปน็ และสถิติ (ST2003) ของนกั ศึกษาคณะวิทยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาสาขาวิชา วิทยาการ
คอมพิวเตอรค์ ณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในภาคการศึกษาท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2550 จานวน 3 คน
โดยพิจารณาเลือกมาจากนักศึกษาที่มีความสนใจเรียนน้อยมาก ขาดเรียนบ่อย และเข้า เรียนไม่ตรง
เวลาในชว่ ง 2 สัปดาห์แรกของการเรียนการสอน โดยระดมความคิดเห็นระหว่างผูส้ อน และนักศึกษา
ท้งั หมดเพือ่ หาแรงจูงใจและแรงเสริมในการปรบั ปรงุ พฤติกรรมของนักศึกษาเพ่ือให้ สนใจเรยี นมากขึ้น
ซึง่ จากการระดมความคดิ พบวา่ พฤติกรรมทีค่ วรเปน็ แรงจงู ใจและแรงเสริมเพ่ือ ทาให้นักศึกษามีความ
สนใจในการเรียนมากขึ้น ได้แก่ คะแนนสะสนที่ได้จาก จานวนครั้งของการ เข้าเรียน, การเข้าเรียน
ตรงเวลา และ การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ผลปรากฏว่า จากการดาเนินการให้ แรงเสริมหรือแรงจูงใน
แก่นักศึกษาระหว่างการเรียน เพื่อแก้ปัญหาที่ นักศึกษา 3 คนมีความสนใจ เรียนน้อยเป็นระยะเวลา
6 สัปดาห์ พบว่านกั ศึกษาท้งั 3 คนมคี วาม สนใจเรียนมากขน้ึ

รัชชนก สิทธิเวช. (ผลการวิจัย 2553) เรื่องการแก้ไขปัญหานักศึกษาที่ตรวจสอบชีพจรได้ค่า
ต่ำกว่าปกติ ในรายวิชา พย. 1425 การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ได้มอบหมายให้นักศึกษาส่งรายงาน
ประยุกต์งานวิจัยทางสุขภาพคนละ 1 เรื่อง โดยมอบหมายให้ทาและกำหนดวัน – เวลา การส่งงาน
ตั้งแต่วันแรกของการสอนในรายวิชา ซึ่งพบว่า มีนักศึกษา 1 คน ไม่ส่งงานตามเวลาที่กาหนดและ ไม่
แจง้ ให้อาจารย์ทราบ เม่ือพูดคุยกับนักศึกษาพบว่า นักศึกษาต้องทางานส่งในหลายวชิ าจึงไม่ สามารถ
ทาได้ทันเพราะไม่ได้เริ่มทางานตั้งแต่วันแรกที่อาจารย์มอบหมายให้ แต่ได้หาบทความวิจัย ไว้แล้ว
เพียงแต่ยังทาไม่เสร็จเรยี บรอ้ ยจึงยังไม่ได้พิมพ์งานออกมาส่งอาจารย์ โดยนักศึกษาบอกว่า จะส่งงาน
ได้ในวันรุ่งขึ้น และอาจารย์กับนักศกึ ษาไดต้ กลงร่วมกนั ว่า หากนักศึกษาไมส่ ง่ งานตาม เวลาที่กาหนด
จะถือว่าไม่ผ่านรายวิชา การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ซึ่งนักศึกษารับเงื่อนไขและ ได้ส่งงานตามเวลาที่
กาหนดครั้งใหม่ จากผลการวจิ ัยในชนั้ เรียนครั้งนส้ี รปุ ไดว้ ่า การพดู คุยกบั นักศึกษาจะชว่ ยทาให้ค้นพบ
สาเหตเุ บื้องตน้ ในการสง่ งานไมต่ รงตามเวลาทกี่ าหนด หากมีเง่ือนไข ทีส่ ำคัญและ เป็นขอ้ ตกลงร่วมกัน
ระหว่างอาจารย์กับนักศกึ ษาเป็นรายบุคคล จะช่วยทาใหน้ ักศึกษา สง่ งาน ตามเวลาที่กำหนดได้

บทท่ี 3

วธิ ีดำเนนิ การวจิ ยั

การวิจัยเรื่อง การปรับพฤติกรรมการส่งงานล่าช้าในรายวิชาศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 5
โดยวิธีการ เสริมแรงทางบวก ได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ กำหนดประชากร และกลุ่ม
ตวั อยา่ ง เคร่อื งมือทใี่ ช้ในการวิจยั การเก็บรวบรวมขอ้ มลู และการวเิ คราะหข์ ้อมูล

ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/7

ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนวัดราชบพิธ ที่มีพฤติกรรมส่งงานล่าช้าในรายวิชาศาสนา
ศีลธรรม จรยิ ธรรม 5 จำนวน 4 คน คอื

1. นักเรียนระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3/7 เลขท่ี 1
2. นกั เรยี นระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3/7 เลขที่ 2
3. นกั เรยี นระดับชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3/7 เลขท่ี 11
4. นักเรยี นระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 เลขท่ี 13
เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั
แบบสังเกตการณแ์ ละแบบสัมภาษณ์
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. สงั เกตพฤติกรรมนักศึกษา จำนวน 4 คน และสัมภาษณ์ กอ่ นใชว้ ิธเี สรมิ แรงทางบวก
2. ใช้วิธีการเสริมแรงทางบวก
3. สังเกตพฤตกิ รรมนกั ศกึ ษา จำนวน 4 คนและสมั ภาษณ์ หลงั ใชว้ ธิ เี สรมิ แรงทางบวก
การวเิ คราะห์ข้อมลู
เปน็ การบนั ทกึ และทำรายงานผลท่ีใชว้ ธิ กี ารสังเกตและการสมั ภาษณ์

บทท่ี 4

ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู

การวิจัยเรื่อง การปรับพฤติกรรมการส่งงานล่าช้าในรายวิชาศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 5
โดยวิธกี าร เสรมิ แรงทางบวก สามารถแสดงการวเิ คราะหข์ อ้ มูลได้ดงั นี้

การวเิ คราะห์ขอ้ มูลก่อนใชว้ ิธกี ารเสริมแรงทางบวก

1. นักเรยี นระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3/7 เลขท่ี 1

ครผู ้สู อนส่ังงาน ไม่สนใจทำงานสง่ ชอบเลน่ โทรศัพท์ในระหวา่ งเรยี น เขา้ เรยี นสาย มกี ารออก
จากโปรแกรม Google meet ที่ใชส้ ำหรบั เรียนออนไลน์บ่อย ๆ ในระหว่างคาบ

จากการสัมภาษณ์ พบว่า ขี้เกียจเรียน ข้ีเกียจจดเนื้อหาที่เรียนลงในเอกสารประกอบการ
เรยี นทค่ี รูผู้สอนมอบหมาย อยากเล่นเกมส์ อยากดูคลิป และอยากฟังเพลงในโทรศัพท์มือถือ บางคร้ัง
ลืมวนั ที่ตอ้ งส่งงาน ทำให้ส่งงานลา่ ช้า

2. นักเรียนระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3/7 เลขท่ี 2

ครูผู้สอนส่ังงาน ไม่สนใจทำงานส่ง ภายในคาบเรยี นชอบแอบนอน เล่นโทรศัพท์ ไม่เข้าเรียน
บางครงั้ ระหวา่ งเรียนออนไลน์มกั ปดิ ไมคเ์ งยี บ ไมค่ ่อยมีปฏิสมั พนั ธ์กบั ครูผ้สู อน

จากการสัมภาษณ์ พบว่า ง่วงนอน นอนดึก เพราะเล่นเกมส์และทำกิจกรรมอื่น ๆ อยู่ ทำให้
ลืมจนส่งงานล่าชา้

3. นกั เรยี นระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3/7 เลขที่ 11

นักเรียนไม่สนใจเรียน ไม่ทำงานส่ง ขาดเรียนบ่อย ระหว่างเรียนออนไลน์มักปิดไมค์เงียบ ไม่
คอ่ ยมีปฏสิ มั พันธ์กับครูผสู้ อน มีงานคา้ งส่งหลายงาน

จากการสมั ภาษณ์ พบว่า ขเ้ี กยี จเรียน อยากเล่นเกมส์ และเอกสารประกอบการเรยี นหาย จึง
ไมส่ ามารถจดเนือ้ หาทเ่ี รยี นลงในเอกสารประกอบการเรยี น และทำใบงานที่ไดร้ ับมอบหมายส่งได้

4. นักเรียนระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3/7 เลขที่ 13

นกั เรียนไม่สนใจเรียน ไมท่ ำงานสง่ งว่ งนอน นอนดึก เพราะเลน่ เกมส์ ไมค่ ่อยมปี ฏสิ ัมพันธ์กับ
ครผู ้สู อน มงี านค้างสง่ หลายงาน

จากการสัมภาษณ์ พบว่า เบื่อการเรียนออนไลน์ ขี้เกียจจดเนื้อหาที่เรียนลงในเอกสาร
ประกอบการเรียนที่ครูผู้สอนมอบหมาย อยากเล่นเกมส์

กิจกรรมการใชว้ ธิ กี ารเสรมิ แรงทางบวก

มกี ารคุยกับนักศึกษา 4 คนเป็นการสว่ นตวั โดยการพดู คยุ เพ่ือสร้างแรงจงู ใจ คือ ได้กล่าวกับ
นักเรียนว่ามีพฤติกรรมไม่ส่งงานและส่งงานล่าช้า และได้เปิดการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการส่งงานของ
นักเรยี นทัง้ ห้อง แล้วแจ้งกับนักเรยี น 4 คน ว่าไม่มีคะแนน และคะแนนน้อย อาจทำให้วิชาน้ีมีคะแนน
ท่ีไม่ผ่านเกณฑ์ได้ จึงใช้คะแนนในการจูงใจ พูดยกย่อง กล่าวชมเชย พยายามชักจูงและโน้มนา้ ว และ
เพิม่ คะแนนงานและคะแนนจติ พิสยั ใหส้ ำหรับการสง่ งานที่ครูผ้สู อนได้มอบหมาย

การวเิ คราะหข์ ้อมูลหลงั ใช้วิธกี ารเสรมิ แรงทางบวก

1. นักเรียนระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3/7 เลขที่ 1

นักเรียนมีความตั้งใจมากขึ้น พยายามทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ และได้ทำงาน
ย้อนหลงั สง่ จนครบ มกี ารกระตือรือร้นมากข้ึน เพราะนักเรียนต้องการสอบผ่าน เพอ่ื ใช้คะแนนในการ
เขา้ ศึกษาตอ่ ในระดับชน้ั มธั ยมฅศึกษาปที ่ี 4

2. นักเรียนระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3/7 เลขที่ 2

นักเรียนมีการปรับปรุงตนเอง ทำงานส่งครบทุกครั้งที่ได้รับมอบหมาย ขาดเรียนน้อยลง ไม่
โดดเรียน ตั้งใจทำทุกอย่าง เพราะต้องการคะแนนให้ได้มาก จะได้ไม่ติด 0 ร และได้มีโอกาสเรียนต่อ
ในระดับ ม.ปลาย ท่ีโรงเรยี นวัดราชบพธิ

3. นกั เรียนระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3/7 เลขท่ี 11

นักเรียนมีการปรับปรุงตนเอง แม้จะยังมีงานค้างส่งอยู่บ้าง แต่ก็พยายามทำงานที่ได้รับ
มอบหมายให้สำเรจ็ ขาดเรียนนอ้ ยลง เพอ่ื ให้มคี ะแนนมากขนึ้ และไม่ติด 0 ในรายวิชาศาสนา ศลี ธรรม
จรยิ ธรรมอกี

4. นกั เรียนระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3/7 เลขที่ 13

นักเรียนมีการปรับปรุงตนเอง แม้จะยังมีงานค้างส่งอยู่บ้าง แต่ก็พยายามทำงานที่ได้รับ
มอบหมายให้สำเรจ็ นอนดกึ น้อยลง

บทที่ 5

สรปุ ผล อภปิ ราย และขอ้ เสนอแนะ

การวิจัยเรื่อง การปรับพฤติกรรมการส่งงานล่าช้าในรายวิชาศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 5
โดยวธิ กี าร เสริมแรงทางบวก สามารถสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะดังตอ่ ไปน้ี

สรุปผล

จากการเกบ็ ข้อมลู กับประชากรหรือกลุ่มตวั อย่าง จำนวน 4 คน คือ

1. นกั เรียนระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3/7 เลขที่ 1

2. นกั เรียนระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3/7 เลขท่ี 2

3. นกั เรยี นระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 เลขท่ี 11

4. นกั เรียนระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3/7 เลขที่ 13

ก่อนการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวก พบว่า นักเรียนไม่ส่งงานตามกำหนดที่ได้รับมอบหมาย
แตเ่ มือ่ ใช้วิธกี ารเสริมแรงทางบวก มีการพูดคุยและสรา้ งแรงจูงใจ ด้วยการใหค้ ะแนน การใหค้ ำชมเชย
ยกตวั อยา่ งที่ดี หลงั จากนัน้ นกั เรียนทกุ คนไดท้ ำงานจนเสรจ็ และสง่ งานตามที่ครผู ูส้ อนได้มอบหมายไว้

อภปิ รายผล

จากงานวิจัยนี้ มีการใช้วิธีการเสริมแรงทางบวก ทำให้ปรับพฤติกรรมการส่งงานล่าช้าของ
นกั เรียน จนปรากฏวา่ นกั เรยี นทุกคนไดท้ ำงานจนครบและส่งตามกำหนด สอดคล้องกบั งานวจิ ยั ของ
วิชยุตม์ ศรีสะอาด (2557) วิจัยเรื่อง การปรับพฤติกรรมการส่งงาน ในวิชาการขายเบื้องต้น 2 ของ
นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยเทคโนโลยี อรรถวิทย์
พณิชยการ โดยใช้วิธีการเสริมแรงทางบวก งานวิจัยของสมพล สุวรรณ์ (2557) วิจัยเรื่อง การปรับ
พฤติกรรมการเรียนให้มีวินัยและความรับผิดชอบ โดยวิธีการเสริมแรงทางบวก นักศึกษา ระดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชพี ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยเทคโนโลยอี รรถวิทย์พณิชยการ การวิจัย งานวิจัย ของดร.
ศิริวรรณ ตันตระวาณิชย์ (2005) ได้ศึกษาผลของแรงจูงใจและแรงเสริมตอ่ พฤติกรรมการ สนใจเรียน
วิชาความน่าจะเป็นและสถิติ (ST2003) ของนักศึกษาคณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย
หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติรัชชนก สิทธิเวช (ผลการวิจัย 2553) เรื่องการแก้ไขปัญหา นักศึกษาท่ี
ตรวจสอบชีพจรได้ค่าต่ำกว่าปกติ ในรายวิชา พย. 1425 การรักษาพยาบาลเบื้องต้น ที่ใช้ วิธีการ
พูดคุยกับนักศึกษาจะช่วยทาให้ค้นพบสาเหตุเบื้องต้นในการส่งงานไม่ตรงตามเวลาที่ กาหนด หากมี

เงื่อนไขที่สำคัญและเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาเป็น รายบุคคล จะช่วยทาให้
นกั ศึกษาส่งงาน ตามเวลาทก่ี ำหนดได้

ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้
1. นำวธิ ีเสริมแรงทางบวก ไปใชก้ บั นักเรียนเพือ่ ปรบั พฤติกรรมท่ีไมส่ ง่ งานตามกำหนด
ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้งั ต่อไป
2. ควรใชว้ ธิ ีเสริมแรงทางบวกกับกลมุ่ นักเรียนที่มพี ฤติกรรมที่ปรับปรุงยาก เช่น นกั เรยี น

ทม่ี ีพฤติกรรมเกเรมาก ๆ นักเรยี นทมี่ ีปัญหาเกย่ี วกบั เกรดมาก ๆ

บรรณานกุ รม

รัชชนก สทิ ธิเวช. 2553. การแก้ไขปัญหานกั ศกึ ษาทีต่ รวจสอบชพี จรไดค้ า่ ต่ำกว่าปกติใน
รายวิชา พย. 1425 ของนักศึกษาพยาบาลศาตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2. จันทบุรี : วพ.
พระปกเกลา้ .

ดร.ศิรวิ รรณ ตรั ตระวาณชิ ย์ (2005). ผลของแรงจงู ใจและแรงเสริมต่อพฤติกรรมการสนใจ
เรียนวิชา ความน่าจะเป็นและสถิติ (ST2003) ของนักศึกษาคณะวิทยาศาสตรแ์ ละ
เทคโนโลยี. กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั หวั เฉียวเฉลมิ พระเกียรติ.

สมพล สุวรรณ์ (2557). การปรับพฤตกิ รรมการเรยี นให้มีวนิ ัยและความรบั ผดิ ชอบ โดย
วธิ กี ารเสริมแรงทางบวก นักศึกษาระดับประกาศนยี บตั รวิชาชพี ช้นั ปที ่ี 1 วิทยาลัย
เทคโนโลยอี รรถ วิทย์พณชิ ยการ. กรุงเทพมหานคร : วทิ ยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์
พณิชยการ.

วชิ ยตุ ม์ ศรสี ะอาด (2557). การปรับพฤตกิ รรมการส่งงาน ในวชิ าการขายเบ้อื งตน้ 2 ของ
นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัย
เทคโนโลยอี รรถวิทย์ พณชิ ยการ โดยใชว้ ธิ กี ารเสรมิ แรงทางบวก. กรงุ เทพมหานคร
: วทิ ยาลยั เทคโนโลยอี รรถ วทิ ย์พณชิ ยการ.

ประวตั ยิ ่อผวู้ จิ ยั

ชือ่ นางสาวรชั นนั สุยโพธิ์นอ้ ย

วัน เดอื น ปเี กิด 11 มนี าคม 2540

สถานท่เี กดิ ร้อยเอ็ด

สถานท่ีอยู่ปัจจุบนั 1239/3 ถ.ริมทางรถไฟ แขวงตลาดพลู เขตธนบรุ ี

กรุงเทพมหานคร 10600

วุฒกิ ารศึกษา

พ.ศ. 2554 สำเร็จการศกึ ษาระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนตน้

จากโรงเรยี นสตรีวดั อปั สรสวรรค์

พ.ศ. 2557 สำเร็จการศกึ ษาระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย

แผนการเรียนภาษาองั กฤษ-ภาษาจนี โรงเรยี นสตรวี ัดอปั สรสวรรค์

พ.ศ. 2562 สำเรจ็ การศึกษาระดับปรญิ ญาตรี การศกึ ษาบัณฑิต สาขาวิชา
สังคมศึกษา คณะสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

ตำแหนง่ หนา้ ทีก่ ารงานปัจจุบัน

พ.ศ 2563 – ปัจจุบัน ตำแหนง่ ครูผชู้ ่วย กลุม่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และ
วฒั นธรรมโรงเรยี นวดั ราชบพธิ


Click to View FlipBook Version