วถิ ชี ีวติ ของคนภาคใต้
วถิ ีชีวติ และวฒั นธรรมของคนภาคใต้
ท่ีอยอู่ าศยั วถิ คี วามเป็ นอยู่ภาคใต้
จะต้งั บา้ นเรือนอยใู่ กลแ้ หล่งน้าํ เพ่ืออุปโภคบริโภค ใกลท้ ่าน้าํ ลาํ คลอง อ่าว
และทะเล เพือ่ สะดวกในการสญั จรและการทาํ มาหากิน คนไทยภาคใตจ้ ะมีคติในการต้งั บา้ นเรือน เช่น
ปลูกบา้ นโดยมีตีนเสารองรับเสาเรือนแทนการขดุ หลุมฝังเสา เพือ่ สะดวกในการโยกยา้ ยและเป็นการ
ป้องกนั มด ปลวก มีคติหา้ มปลูกเรือนขวางตะวนั เพราะจะขวางเสน้ ทางลมมรสุมซ่ึงอาจทาํ ใหห้ ลงั คา
ปลิวและถูกพายพุ ดั พงั ไดง้ ่าย วสั ดุท่ีนาํ มาสร้างคือส่ิงท่ีหาไดง้ ่ายในทอ้ งถิ่น บา้ นเรือนมีหลายลกั ษณะ
มีท้งั บา้ นเรือนเครื่องผกู หลงั คาทรงจวั่ และทรงป้ันหยา มีใตถ้ ุนเต้ียเพราะมีลมพายเุ กือบท้งั ปี
หากปลูกเรือนสูงอาจตา้ นทานแรงลม ทาํ ใหเ้ รือนเสียหายได้
บ้านเรือนไทยภาคใต้ ลกั ษณะทว่ั ไป
เรือนส่วนใหญ่จะวางเสาไวบ้ นตอหมอ้ ตีนเสาซ่ึงจะก่ออิฐฉาบปูนเมื่อตอ้ งการจะทาํ การยา้ ย
บา้ น กจ็ ะลดกระเบ้ืองลงตีไมย้ ดึ โครงสร้างเสาเป็นรูปกากบาทแลว้ ใชค้ นหามยา้ ยไปต้งั ใน
ท่ีท่ีตอ้ งการนาํ กระเบ้ืองข้ึนมุงใหม่ ส่วนใหญ่จะใชไ้ มใ้ นการก่อสร้างรูปทรงของเรือนเป็น
เรือนไม้ ใตถ้ ุนสูงประมาณคนกม้ ตวั ลอดผา่ นได้ เสาทุกตน้ ไม่ฝังลงดินเพราะวา่ ดินมนั
ช้ืน และกจ็ ะทาํ ใหเ้ สาผเุ ร็ว
แต่จะต้งั อยบู่ นแผน่ ปูนหรือแผน่ หินเรียบ ๆ ที่ฝังอยู่ ในดินใหโ้ ผล่ข้ึนมาจากพ้ืนดินไม่
เปกลินดก1ระเบฟ้ือุตงลเพงต่อื ีไกมนั ย้ มดึ ิใโหคป้ รลงสวกร้ากงดั เสตาีนเปเส็นาแรูปละกกากนั บเสาาทผแจุ ลาว้กใคชวค้ านมหช้ืนามขยอา้ งยดไินปต้งั ในที่ที่
ตอ้ งการนาํ กระเบ้ืองข้ึนมุงใหม่ ส่วนใหญ่จะใชไ้ มใ้ นการก่อสร้างรูปทรงของเรือนเป็น
เรือนไม้ ใตถ้ ุนสูงประมาณคนกม้ ตวั ลอดผา่ นได้ เสาทุกตน้ ไม่ฝังลงดินเพราะวา่ ดินมนั ช้ืน
และกจ็ ะทาํ ใหเ้ สาผเุ ร็ว
เรือนเคร่ืองผูก
หลงั จากชวนไปปลูกเฮือนไทยทางเหนือกนั มาแลว้ คราวน้ีจะชวนคนท่ีรัก
แสงแดด เกลียวคล่ืนสีคราม ชอบอากาศชุ่มช้ืนอุดมไปดว้ ยฝน ไปปลูกเรือน
ไทยทางใต้ ถา้ อยากปลูกกนั แบบเรื่อนไทยง่ายๆด้งั เดิม เรือนไทยทางใตก้ ็
คลา้ ยกบั ทางเหนือ คือแบ่งเป็น ๒ แบบ ไดแ้ ก่ เรือนเครื่องผกู กบั เรือน
เครื่องสบั เรือนเครื่องผกู มกั เป็นกระท่อมแบบง่ายๆ ใชไ้ ม่ไผเ่ ป็น
โครงสร้างแลว้ ผกู ดว้ ยหวาย หลงั คามุงจากหรือแฝก ไม่นิยมก้นั ฝาหอ้ ง แต่
จะใชม้ ่านก้นั หอ้ งนอนแทนใหเ้ ป็นสดั ส่วน ไม่มีร้ัว ปลูกติดๆกนั เป็นหมู่บา้ น
เพื่อจะไดช้ ่วยเหลือกนั ใกลช้ ิด วา่ กนั วา่ เพราะพอ่ บา้ นเป็น 'ชาวเล'
ตอ้ งออกทะเลเป็นประจาํ ทีละหลายๆวนั ปล่อยแม่บา้ นและลูกๆเอาไวท้ าง
บา้ นตามลาํ พงั กต็ อ้ งอาศยั ความใกลช้ ิดของชุมชน เพื่อดูแลและช่วยเหลือ
หากมีภยั ต่างๆให้ ดีกวา่ จะปลูกบา้ นอยโู่ ดดเด่ียวห่างจากผอู้ ่ืน
เรือนเครื่องสับ
ส่วนเรือนเครื่องสบั เป็นบา้ นสาํ หรับคนฐานะดีข้ึนกวา่ แบบแรก การสร้างซบั ซอ้ น
กวา่ เรือนเครื่องผกู ปลูกดว้ ยไมเ้ ค่ียมหรือไมห้ ลุมพอ เพราะไมส้ กั อยา่ งทางภาคเหนือ
หายากแทบไม่มีเลย ยกใตถ้ ุนสูงพอคนลอดได้ ที่แตกต่างจากภาคอื่นคือไม่ขดุ หลุมลง
เสาเอก แต่จะใชแ้ ท่งหินหรือคอนดรีตฝังลงในดิน ใหพ้ ้นื บนโผล่ข้ึนเหนือดินแลว้ วาง
เสาบา้ นลงบนแท่น แลว้ ใชไ้ มเ้ น้ือแขง็ อยา่ งไมต้ ง ร้อยทะลุจากโคนเสาหวั บา้ นไป
จนถึงโคนเสาทา้ ยบา้ นเพ่อื ยดึ ไวใ้ หม้ น่ั คง ตวั เรือนมีความยาวเป็นสองช่วงของความ
กวา้ ง มีพ้นื ระเบียงลดต่าํ กวา่ ตวั เรือนใหญ่ และมีนอกชานลดต่าํ กวา่ พ้นื ระเบียงอีกที
หลงั คาจว่ั ต้งั โคง้ แอ่นติดไมแ้ ผน่ ป้ันลมแบบหางปลา มุงกระเบ้ือง และมีกนั สาดยน่ื
ออกไปกวา้ งคลุมสามดา้ น สมกบั อยใู่ นสถานท่ีฝนชุก ระเบียงกม็ ีชายคาคลุมไว้
เช่นกนั แลว้ แยกเรือนครัวออกไปต่างหาก เรือนพวกน้ีจะสร้างเพิ่มเป็นเรือนหมู่กไ็ ด้
คะ่ ประมาณ ๓-๔ เรือน สาํ หรับลูกหลานเมื่อแต่งงานแยกออกไปอยอู่ ีกเรือนหน่ึง
วฒั นธรรมภาคใต้
การแสดงหนงั ตะลุง
คือ ศิลปะการแสดงประจาํ ทอ้ งถ่ินอยา่ งหน่ึงของภาคใต้ เป็นการเล่าเร่ืองราวท่ีผกู ร้อยเป็นนิยาย ดาํ เนิน
เรื่องดว้ ยบทร้อยกรองที่ขบั ร้องเป็นสาํ เนียงทอ้ งถ่ิน หรือท่ีเรียกกนั วา่ การ "วา่ บท" มีบทสนทนาแทรกเป็น
ระยะ และใชก้ ารแสดงเงาบนจอผา้ เป็นสิ่งดึงดูดสายตาของผชู้ ม ซ่ึงการวา่ บท การสนทนา และการแสดง
เงาน้ี 25นายหนงั ตะลุงเป็นคนแสดงเองท้งั หมดหนงั ตะลุงเป็นมหรสพที่นิยมแพร่หลายอยา่ งยง่ิ มาเป็น
เวลานาน โดยเฉพาะในยคุ สมยั ก่อนที่จะมีไฟฟ้าใชก้ นั ทวั่ ถึงทุกหมู่บา้ นอยา่ งในปัจจุบนั หนงั ตะลุงแสดง
ไดท้ ้งั ในงานบุญและงานศพ ดงั น้นั งานวดั งานศพ หรืองานเฉลิมฉลองท่ีสาํ คญั จึงมกั มีหนงั ตะลุงมา
แสดงใหช้ มดว้ ยเสมอนกั วชิ าการหลายท่านเชื่อวา่ มหรสพการแสดงเงาจาํ พวกหนงั ตะลุงน้ี เป็น
วฒั นธรรมเก่าแก่ของมนุษยชาติ เคยปรากฏแพร่หลายมาท้งั ในแถบประเทศยโุ รป และเอเชีย โดยอา้ งวา่
มีหลกั ฐานปรากฏอยวู่ า่ เมื่อคร้ังพระเจา้ อเลก็ ซานเดอร์มหาราชมีชยั ชนะเหนืออียปิ ต์ ไดจ้ ดั ใหม้ ีการแสดง
หนงั (หรือการละเล่นที่คลา้ ยกนั ) เพอ่ื เฉลิมฉลองชยั ชนะและประกาศเกียรติคุณของพระองค์ และเชื่อวา่
มหรสพการแสดงเงาน้ีมีแพร่หลายในประเทศอียปิ ตม์ าแต่ก่อนพทุ ธกาล ในประเทศอินเดีย พวก
พราหมณ์แสดงหนงั ที่เรียกกนั วา่ ฉายานาฏกะ เร่ืองมหากาพยร์ ามายณะ เพ่ือบูชาเทพเจา้ และสดุดีวรี บุรุษ
ส่วนในประเทศจีน มีการแสดงหนงั สดุดีคุณธรรมความดีของสนมเอกแห่งจกั รพรรด์ิยวนต่ี (พ.ศ. 411 -
495) เมื่อพระนางวายชนม์
การเเสดง มโนราห์
เป็นศิลปะการแสดงพ้นื บา้ นของภาคใต้ โดยเฉพาะมีท่าราํ ที่อ่อนชอ้ ย สวยงาม บทร้องเป็นกลอนสด ผขู้ บั ร้องตอ้ งใชป้ ฏิภาณไหวพริบ
สรรหาคาํ ใหส้ มั ผสั กนั ไดอ้ ยา่ งฉบั ไว มีความหมายท้งั บทร้อง ท่าราํ และเคร่ืองแต่งกาย เครื่องดนตรีประกอบดว้ ย กลอง ทบั คู่ ฉ่ิง
โหม่ง ป่ี ชวา และกรับ ปัจจุบนั พฒั นาเอาเคร่ืองดนตรีสากลเขา้ ร่วมดว้ ย การแสดงมโนราห์ นิยมจดั แสดง ตามงานเทศกาลต่างๆ ใน
ทอ้ งถ่ิน ภาคใต้ ปัจจุบนั มีการแสดง ประเภทอื่นใหด้ ูมากข้ึน เช่น วงดนตรี คอนเสิร์ต ภาพยนตร์ โดยเฉพาะ โทรทศั น์ วดี ีโอ
และซีดี ที่มีหนงั มีละคร ใหด้ ูกนั ถึงบา้ น ทาํ ใหศ้ ิลปะ การแสดงประเภทน้ี ลดความนิยมลงไป จะหาชมไดใ้ นโอกาส สาํ คญั ๆ เช่น
งานอนุรักษว์ ฒั นธรรม ในพิธีไหวค้ รูของมโนราห์ (โนราโรงครู) หรือในงานต่างๆ ที่เจา้ ภาพผจู้ ดั ยงั มี ความรัก และชื่นชอบใน
ศิลปะการแสดง ประเภทน้ีมโนราห์บูชายญั เป็นการแสดงท่ีนาํ มาจากการแสดงละครเรื่อง "พระสุธน - มโนราห์" ตอน มโนราห์
บูชายญั ซ่ึงกรมศิลปากรไดจ้ ดั แสดงข้ึน และแสดงใหป้ ระชาชนชาวไทยดูเป็นคร้ังแรกเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๙๘ กล่าวถึง เม่ือนางมโนราห์
ขอปี ก หางไดแ้ ลว้ กแ็ สร้งกล่าวทูลลา และขอพระราชทานอภยั ต่อทา้ วอาทิตยวงศ์ แลว้ ร่ายรําทาํ ท่าคลา้ ยกบั จะกระโดดเขา้ กองไฟ
ระบาํ ชุดน้ีใชเ้ พลงแขกบูชายญั โดยอาจารยม์ นตรี ตราโมท ไดน้ าํ เพลงเร็วของคุณครูหลวงประดิษฐไ์ พเราะ มาบรรเลงร่วมกบั โทนและ
กลองชาตรี ไม่มีเน้ือร้อง ผแู้ สดงจะร่ายราํ ตามจงั หวะเคร่ืองดนตรีประวตั ิการฟ้อนรํา
การแสดงลเิ กฮูลู
มีผใู้ หท้ ี่มาของดิเกฮูลูเอาไวห้ ลายสาํ นวน ในที่น้ีจะขอหยบิ ยกออกมา ๒ สาํ นวน กล่าวคือ หน่ึง ตามสาํ นวนที่รับรู้กนั โดยทวั่ ไป มีผรู้ ู้บางท่านไดศ้ ึกษาไว้
วา่ ดิเก(Dikir) มีรากศพั ทม์ าจากคาํ วา่ ซี เกร์ ซ่ึงเป็นภาษาอาหรับ หมายถึงการอ่านทาํ นองเสนาะ ส่วนคาํ วา่ ฮูลู แปลวา่ ใตห้ รือทิศใต้ รวมความแลว้
หมายถึงการขบั บทกลอนเป็นทาํ นองเสนาะจากทางใต๑้ ท่านผรู้ ู้ยงั ไดก้ ล่าวไวอ้ ีกวา่ ดิเกฮูลูน่าจะเกิดข้ึนเร่ิมแรกท่ีอาํ เภอรามนั ซ่ึงไม่ทราบแน่วา่ ผรู้ ิเร่ิมน้ีคือ
ใคร ขอ้ สนบั สนุนกค็ ือชาวปัตตานีเรียกคนในอาํ เภอรามนั วา่ คนฮูลู ในขณะที่คนมาเลเซียเรียกศิลปะน้ีวา่ "ดิเกปารัต" ซ่ึงปารัต แปลวา่ เหนือ จึงเป็นท่ี
ยนื ยนั ไดว้ า่ ดิเกฮูลู หรือดิเกปารัตน้ีมาจากทางเหนือของมาเลเซียและทางใตข้ องปัตตานี๒ ซ่ึงกค็ ือบริเวณอาํ เภอรามนั จงั หวดั ยะลาและสาํ นวนท่ีสอง จาก
การศึกษาของประพนธ์ เรืองณรงค์ ในหนงั สือ "บุหงาปัตตานี คติชนไทยมุสลิมชายแดนภาคใต"้ ๓ คาํ วา่ ดิเก หรือลิเก ในพจนานุกรม Kamus
Dewan พิมพโ์ ดยสมาคมภาษาและหนงั สือประเทศมาเลเซียเรียกลิเกเป็นดิเกร์เป็นศพั ทเ์ ปอร์เซีย มีสองความหมายคือ เพลงสวดสรรเสริญพระเจา้ ปกติ
เป็นการขบั ร้องเนื่องในเทศกาลวนั กาํ เนิดพระนะบี ชาวมุสลิมเรียกงานเมาลิต เรียกการสวดดงั กล่าวน้ีวา่ "ดิเกเมาลิด"นอกจากน้ีดิเกยงั หมายถึงกลอนเพลง
โตต้ อบ นิยมเล่ากนั เป็นกลุ่มหรือเป็นคณะ โดยมีไมไ้ ผม่ าตดั ท่อนส้นั แลว้ หุม้ กาบไมข้ า้ งหน่ึงทาํ ใหเ้ กิดเสียงดงั แลว้ ร้องรําทาํ เพลงขบั แกก้ นั ตามประสาชาวป่ า
(วา่ กนั วา่ ไมไ้ ผห่ ุม้ กาบไมน้ ้ีไดก้ ลายเป็นบานอ หรือรือปานา หรือราํ มะนาท่ีใชก้ นั มาจนทุกวนั น้ี)ประพนธ์ เรืองณรงค์ ไดใ้ หค้ วามเห็นในเร่ืองน้ีวา่ ดิเก
น่าจะมาจากความหมายท่ีสอง คือกลอนเพลงโตต้ อบ นิยมเล่นกนั เป็นหมู่คณะ ซ่ึงเป็นการร้องเพลงลาํ ตดั ภาษาอาหรับ ท่ีเรียกวา่ "ซีเกร์มีรฮาแบ" การร้อง
เป็นภาษาอาหรับ ถึงแมจ้ ะไพเราะแต่คนไม่เขา้ ใจ จึงนาํ เอาเน้ือเพลงภาษาพ้ืนเมือง ซ่ึงกค็ ือภาษายาวตี ีเขา้ กบั รํามะนา จึงกลายเป็นดิเกฮูลูมาตราบเท่าปัจจุบนั
การแสดงองั กาลงุ
ครูจางวางศร ศิลปบรรเลง (หลวงประดิษฐไ์ พเราะ) เป็นผนู้ าํ องั กะลุงเขา้ มาในเมืองไทยคร้ังแรก เมื่อราว
พ.ศ. 2451 เมื่อคร้ังท่ีท่านไดโ้ ดยเสดจ็ เจา้ ฟ้าภาณุรังษีสวา่ งวงศ์ กรมหลวงพนั ธุวงศว์ รเดช ขณะ
เสดจ็ พระราชดาํ เนินประพาสประเทศชวาองั กะลุงชวาท่ีนาํ เขา้ มาคร้ังแรกเป็นองั กะลุงชนิดคู่ ไมไ้ ผ่ 2
กระบอก มีขนาดใหญ่และน้าํ หนกั มาก ยกเขยา่ ไม่ได้ ตอ้ งใชว้ ธิ ีการบรรเลงแบบชวา คือมือหน่ึงถือไว้
อีกมือหน่ึงไกวใหเ้ กิดเสียงองั กะลุงที่นาํ เขา้ มาสมยั น้นั มี 5 เสียง ตามระบบเสียงดนตรีของชวา ทาํ ดว้ ย
ไมไ้ ผท่ ้งั หมด ท้งั ตวั องั กะลุงและราง ถายหลงั ไดม้ ีการพฒั นาโดยขยายจาํ นวนไมไ้ ผเ่ ป็น 3 กระบอก
และลดขนาดใหเ้ ลก็ และเบาลงเพ่ิมเสียงจนครบ 7 เสียง ในสมยั รัชกาลท่ี 6 เชื่อกนั วา่ มีการ
พฒั นาการบรรเลง จากการไกว เป็นการเขยา่ แทน นบั วา่ เป็นตน้ แบบของการบรรเลงองั กะลุงในปัจจุบนั
หลวงประดิษฐไ์ พเราะไดน้ าํ วงองั กะลุงจากวงั บูรพาภิรมยไ์ ปแสดงคร้ังแรกในงานทอดกฐินหลวง ท่ีวดั
ราชาธิวาส ในสมยั รัชกาลที่ 6โดยทว่ั ไปเครื่องหน่ึงจะมีเสียงเดียว การเล่นองั กะลุงใหเ้ ป็นเพลงจึงตอ้ งใช้
องั กะลุงหลายเครื่อง โดยมกั จะใหน้ กั ดนตรีถือองั กะลุงคนละ 1 - 2 เคร่ือง เม่ือตอ้ งการโนต้ เสียงใด
นกั ดนตรีประจาํ เสียงน้นั กจ็ ะเขยา่ องั กะลุง การเล่นองั กะลุงจึงตอ้ งอาศยั ความพร้อมเพรียงเป็นอยา่ งมาก
นอกจากองั กะลุงเครื่องละหน่ึงเสียงแลว้ ยงั มีการผลิตองั กะลุงที่มีเครื่องหน่ึงมากกวา่ 1 เสียงดว้ ย
เรียกวา่ องั กะลุงราว
ประเพณภี าคใต้ ประเพณีชกั พระ(ลากพระ)
ระเพณีชกั พระเป็นประเพณีทพราหมณ์ศาสนิกชนและพทุ ธศาสนิกชนปฏิบตั ิสืบต่อกนั มา สนั นิษฐานวา่ ประเพณีน้ีเกิดข้ึนคร้ังแรกในประเทศอินเดีย ท่ีนิยม
เอา เทวรูปออกแห่ในโอกาสต่าง ๆ ต่อมาพทุ ธศาสนิกชนไดน้ าํ เอาคติความเชื่อดงั กล่าวมาปรับปรุงใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเช่ือทางพทุ ธศาสนา ประเพณี
ชกั พระเล่ากนั เป็นเชิงพทุ ธตาํ นาน วา่ หลงั จากพระพทุ ธองคท์ รงกระทาํ ยมกปาฏิหารยป์ ราบเดียรถีย์ ณ ป่ ามะม่วง กรุงสาวตั ถี แลว้ ไดเ้ สร็จไปจาํ พรรษา ณ
ดาวดึงส์เพื่อโปรดพทุ ธมารดา ซ่ึงขณะน้นั ทรงจุติเป็นมหามายาเทพ สถิตอยู่ ณ ดุสิตเทพพิภพตลอดพรรษา พระพทุ ธองคท์ รงประกาศพระคุณของมารดาแก่
เทวสมาคมและแสดงพระอภิธรรมโปรดพทุ ธมารดา 7 คมั ภีร์ จนพระมหามายาเทพและเทพยดา ในเทวสมาคมบรรลุโสดาบนั หมด ถึงวนั ข้ึน 15 ค่าํ
เดือน 11 อนั เป็นวนั สุดทา้ ยของพรรษา พระพทุ ธองคไ์ ดเ้ สดจ็ กลบั มนุษยโลกทางบนั ได ทิพยท์ ี่พระอินทร์นิมิตถวาย บนั ไดน้ีทอดจากภูเขาสิเนนุราชที่ต้งั
สวรรค์ ช้นั ดุสิตมายงั ประตูนครสงั กสั สะ ประกอบดว้ ยบนั ไดทอง บนั ไดเงินและบนั ไดแกว้ บนั ไดทองน้นั สาํ หรับเทพยดา มาส่งเสดจ็ อยเู่ บ้ืองขวาของพระ
พทุ ธองค์ บนั ไดเงินสาํ หรับพรหมมาส่งเสดจ็ อยเู่ บ้ืองซา้ ยของพระพทุ ธองค์ และบนั ไดแกว้ สาํ หรับพระพทุ ธองคอ์ ยตู่ รงกลาง เมื่อพระพทุ ธองคเ์ สดจ็ มาถึง
ประตูนครสงั กสั สะตอนเชา้ ตรู่ของวนั แรม 1 ค่าํ เดือน 11 ซ่ึงเป็นวนั ออกพรรษาน้นั พทุ ธศาสนิกชนท่ีทราบกาํ หนดการเสดจ็ กลบั ของพระพทุ ธองค์
จากพระโมคคลั ลานไดม้ ารอรับเสดจ็ อยา่ งเนืองแน่นพร้อมกบั เตรียมภตั ตาหารไปถวายดว้ ย แต่เนื่องจากพทุ ธศาสนิกชนท่ีมารอรับเสดจ็ มีเป็นจาํ นวนมากจึง
ไม่สามารถจะเขา้ ไปถวายภตั ตาหารถึงพระพทุ ธองคไ์ ดท้ ว่ั ทุกคน จึงจาํ เป็นที่ตอ้ งเอาภตั ตาหารห่อใบไมส้ ่งต่อ ๆ กนั เขา้ ไปถวายส่วนคนท่ีอยไู่ กลออกไปมาก
ๆ จะส่งต่อ ๆ กนั กไ็ ม่ทนั ใจ จึงใชว้ ธิ ีห่อภตั ตาหารดว้ ยใบไมโ้ ยนไปบา้ ง ปาบา้ ง ขา้ ไปถวายเป็น ที่โกลาหล โดยถือวา่ เป็นการถวายท่ีต้งั ใจดว้ ยความ
บริสุทธ์ิดว้ ยแรงอธิษฐานและอภินิหารแห่งพระพทุ ธองค์ ภตั ตาหารเหล่าน้นั ไปตกในบาตรของพระพทุ ธองคท์ ้งั สิ้น เหตุน้ีจึงเกิด ประเพณี "ห่อตม้ " "ห่อ
ปัด" ข้ึน เพ่ือเป็นการแสดงถึงความปิ ติยนิ ดีที่พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ กลบั จากดาวดึงส์ พทุ ธศาสนิกชน ไดอ้ ญั เชิญพระพทุ ธองคข์ ้ึนประทบั บนบุษบกท่ีเตรียมไว้
แลว้ แห่แหนกนั ไปยงั ท่ีประทบั ของพระพทุ ธองค์ คร้ันเลยพทุ ธกาลมาแลว้ และเมื่อมีพระพทุ ธรูปข้ึน พทุ ธศาสนิกชนจึงนาํ เอาพระพทุ ธรูปยกแห่แหนสมมติ
แทนพระพทุ ธองค์
ประเพณกี ารแห่งเทยี น
งานประเพณีแห่เทียนพรรษา เป็นงานประเพณีท่ีรวมความผกู พนั ของชุมชนทอ้ งถ่ิน โดยเร่ิม
ต้งั แต่การที่ชาวบา้ นร่วมบริจาคเทียนเอามาหลอม หล่อเป็นเทียนเล่มใหญ่เล่มเดียวกนั เป็นการ
แสดงออกถึงความสามคั คีกลมเกลียวในหมู่คณะไปในตวั การสรรหาภูมิปัญญาชาวบา้ น ที่มีฝีมือ
ทางช่าง มีความรู้ ความชาํ นาญในเร่ือง การทาํ ลวดลายไทย การแกะสลกั ลวดลายลงบน ตน้ เทียน
การทาํ เทียนใหเ้ ป็นลายไทย แลว้ นาํ ไปติดบนตน้ เทียน การประดบั ดว้ ยผา้ ฝ้าย ผา้ ไหม ดอกไมส้ ด
ลว้ นแลว้ แต่เป็นฝีมือของช่างในทอ้ งถ่ิน ส่วนการจดั ขวนแห่กล็ ว้ นแต่ใชข้ องพ้ืนเมือง เช่น เคร่ือง
แต่งกายขอขบวนฟ้อน จะใชผ้ า้ พ้ืนเมืองเป็นหลกั การฟ้อนรําจะใชท้ ่ารําท่ีดดั แปลงมาจาก วถิ ีชีวติ
การทาํ มาหากินของชาวบา้ น เป็นท่าราํ ในรูปแบบของศิลปะท่ีงดงาม ดนตรีประกอบกเ็ ป็น เครื่อง
ดนตรีประจาํ ถ่ิน ผสมเขา้ กบั การขบั ร้องท่ีสนุกสนานเร้าใจ ทาํ ใหง้ านประเพณีน้ียงิ่ ใหญ่ ประชาชน
ต่างเฝ้ารอคอย ศิลปะการฟ้อนราํ ท่ีนิยมนาํ มาประกอบการแสดงในขบวนแห่ คือ การราํ เซิ้งต่างๆ
เช่น เซิ้งกระลอ เซิ้งกระติบ เซิ้งสวงิ เซิ้งแหยไ่ ขม่ ดแดง ซ่ึงดดั แปลงมาจากการประกอบอาชีพใน
วถิ ีชีวติ ประจาํ วนั ท้งั สิ้น
ประเพณถี ือศีลกนิ ผกั
เดิมประเพณีกินผกั (เจ๊ียะฉ่าย) ท่ีชาวบา้ นและชาวจีนท่ีอยใู่ นจงั หวดั ภูเกต็ เรียกกนั
วา่ "เจ๊ียะฉ่าย" น้นั เป็นลทั ธิเต๋าซ่ึงนบั ถือบูชาเซียนเทวดา เทพเจา้ วรี บุรุษ เป็น
ประเพณีที่คนจีนนบั ถือมาชา้ นาน โดยเฉพาะคนจีนฮกเก้ียน คาํ วา่ "เจี๊ยะฉ่าย" (กิน
ผกั ) เป็นภาษาทอ้ งถ่ิน วนั ประกอบพธิ ีตรงกบั วนั ข้ึน 1 ค่าํ ถึง 9 ค่าํ (เกา้ โงย้
โฉ่ยอีดถึงโฉ่ยเกา้ ) ตามปฏิทินจีนของทุกๆปี ประเพณีเจ๊ียะฉ่าย ไดเ้ ร่ิมข้ึนเป็นคร้ัง
แรกท่ีหมู่บา้ น ไล่ทู (ในทู) ซ่ึงเป็นหมู่บา้ นกะทู้ ตาํ บลกะทู้ จงั หวดั ภูเกต็ ในปัจจุบนั
คนจีนเหล่าน้นั ไดอ้ พยพเขา้ มาทาํ เหมืองแร่ต้งั แต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยา (ในสมยั รัชสมยั
สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช) มีการคา้ ขายแร่ดีบุกกบั ปอร์ตุเกส ฮอลนั ดา ฝรั่งเศส
องั กฤษ เป็นตน้ คนจีนเหล่าน้นั ไดห้ ลงั่ ไหลเขา้ มามากที่สุดก่อนปี พ.ศ.2368
คือหลงั จากเมืองภูเกต็ และเมืองถลางถูกพม่ารุกรานเม่ือปี พ.ศ.2352 พลเมืองได้
กระจดั กระจายไปอยตู่ ามท่ีต่างๆ คร้ันพระยาถลาง (เจิม)ไดร้ ับแต่งต้งั ใหเ้ ป็นเจา้
เมืองถลาง และไดต้ ้งั เมืองภูเกต็ ที่บา้ นเกต็ โฮ่ ใหพ้ ระภูเกต็ (แกว้ ) มาเป็นเจา้ เมือง
(ระหวา่ ง พ.ศ. 2368-2400)
ประเพณซี ัดต้ม
กีฬาพ้ืนบา้ นที่มีท่ีมาจากประเพณีชกั พระ หรือลากพระในวนั ออกพรรษา ของจงั หวดั พทั ลุง เล่นท่ีตาํ บลตาํ นาน ท่าแค
ชะรัด ท่ามิหรา และร่มเมือง อาํ เภอเมือง ปัจจุบนั หาดูไดย้ าก
ซดั ตม้ เป็นกีฬาการต่อสูท้ ่ีใหค้ วามสนุกสนาน และส่งเสริมความมีน้าํ ใจเป็นนกั กีฬา และ เป็นประเพณีหรือ
กีฬาพ้นื บา้ นที่สืบเน่ืองมาจาก ประเพณีชกั พระ ใน วนั ออกพรรษา เนื่องดว้ ยในสมยั พทุ ธกาลเมื่อพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ กลบั
จากจาํ พรรษา ณ สวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ ลงมายงั โลกมนุษยซ์ ่ึงตรงกบั วนั แรม 1 ค่าํ เดือน11 จะมีพทุ ธศาสนิกชนรอ
เขา้ เฝ้า เพ่ือถวายภตั ตาหารแด่พระพทุ ธองค์ แต่เน่ืองจากพทุ ธศาสนิกชนมีเป็นจาํ นวนมาก ทาํ ใหไ้ ม่สามารถถวาย
ภตั ตาหารไดอ้ ยา่ งใกลช้ ิด จึงไดม้ ีการนาํ ใบไมม้ าห่อหุม้ ภตั ตาหาร ซ่ึงเรียกกนั วา่ "ขา้ วตม้ " หรือ "ตม้ " และพยายาม
โยนตม้ เหล่าน้นั ใหล้ งบาตร แต่การโยนทาํ ใหต้ ม้ พลาดไปถูกเหล่าพทุ ธศาสนิกชนดว้ ยกนั เอง ต่อมาจึงกลายเป็น
การละเล่นซดั ตม้ และพฒั นาเป็นการแขง่ ขนั ดา้ นไหวพริบ และความรวดเร็ววอ่ งไวในการซดั และหลบหลีกตม้ ซ่ึงจดั ทาํ
อยา่ งพิเศษ โดยใชข้ า้ วตากผสมกบั ทรายห่อดว้ ยใบตาลเป็นรูปตะกร้อส่ีเหล่ียม การละเล่นซดั ตม้ ตอ้ งอาศยั ความกลา้ หาญ
เป็นอยา่ งมาก เพราะถา้ ไม่สามารถหลบหลีกตม้ ของคู่ต่อสู้ อาจจะเป็นอนั ตราย ได้ ปัจจุบนั การซดั ตม้ หาดูไดค้ ่อนขา้ ง
ยาก ทางจงั หวดั พทั ลุงจึงไดจ้ ดั ใหม้ ีการแข่งขนั ซดั ตม้ รวมอยใู่ นงานประเพณีแขง่ โพนลากพระในเดือน11
งานแห่พระแข่งเรือ ของ จงั หวดั ชุมพร
ถือวา่ เป็นประเพณีท่ีสืบทอดกนั มาชา้ นาน จดั การแข่งขนั กนั โดยทวั่ ไป แต่ท่ีมีเอกลกั ษณ์แตกต่างจากท่ีอื่นๆ คือ การ
แขง่ ขนั เรือท่ีอาํ เภอหลงั สวน ซ่ึงไม่ถือเอาเสน้ ชยั เป็นเกณฑก์ ารตดั สิน แต่ตดั สินกนั ที่ธง นายหวั เรือลาํ ใดสามารถควา้ ธงที่
ทุ่นเสน้ ชยั ไดก้ ่อน ลาํ น้นั จะเป็นฝ่ ายชนะ ดงั น้นั นอกจากจะตอ้ งอาศยั ความพร้อมเพรียงของฝีพายแลว้ ยงั ข้ึนอยกู่ บั
ความสามารถของนายทา้ ยเรือและนายหวั เรืออีกดว้ ย นายทา้ ยเรือตอ้ งถือทา้ ยเรือใหต้ รง เพอ่ื ใหน้ ายหวั เรือข้ึนโขนเรือไปชิง
ธงท่ีทุ่นเสน้ ชยั ได้ นายหวั เรือจะตอ้ งกะจงั หวะข้ึนโขน ข้ึนไปใหส้ ุดปลายโขน เพ่อื ความไดเ้ ปรียบในการจบั ธง และควา้
ธงใหม้ นั่ ไม่ตกน้าํ แต่ถา้ ในกรณีท่ีนายหวั เรือควา้ ธงไดพ้ ร้อม ๆ กนั และไดธ้ งไปลาํ ละท่อนจะถือวา่ เสมอกนั
งานประเพณีแห่พระแข่งเรือ อาํ เภอหลงั สวน เป็นประเพณีเก่าแก่ของอาํ เภอหลงั สวน ซ่ึงมีมากวา่ 100 ปี
จดั ข้ึนในวนั แรม1 ค่าํ เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) ของทุกปี ถือกนั วา่ เป็นวนั ท่ีพระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ กลบั มา
จากสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ลงมาสู่เมืองสงั กสั สะในชมพทู วปี พทุ ธศาสนิกชนจึงเดินทางไปรับเสดจ็ เป็นจาํ นวนมาก ซ่ึงการ
เดินทางที่สะดวกในสมยั น้นั คือทางน้าํ จึงมีโอกาสพบปะสงั สรรคซ์ ่ึงกนั และกนั พระเสดจ็ ในอดีตชาวบา้ นจะพายเรือลาก
พระจากวดั ต่าง ๆ ตามลาํ น้าํ หลงั สวน มารวมกนั สมโภชท่ีวดั ด่านประชากร จดั ใหม้ ีการตกั บาตร ทาํ บุญทอดกฐิน
จากน้นั กจ็ ะมีการ แข่งเรือ ซ่ึงมีเรือพายเขา้ ร่วมการแขง่ ขนั จาํ นวนมาก ฝีพายแต่งกาย ดว้ ยเส้ือผา้ แพรวพรรณ หลากสี
สวยงาม ร้องเพลงเรือเป็นที่สนุกสนาน ส่วนเรือแข่งขนั กนั จบั คูแ่ ข่งกนั ผชู้ นะกไ็ ดผ้ า้ สีไปคลอ้ งหวั เรือเป็นรางวลั ลาํ ไหน
ไดผ้ า้ สีมากกเ็ ป็นลาํ ท่ีชนะ เมื่อเลิกพายแลว้ กจ็ ะนาํ ผา้ แถบเหล่าน้นั ไปเยบ็ ติดเป็นผา้ ม่านถวายวดั ต่อไป
ผ้าจวนและผ้าปาเต๊ะ
"ผา้ ทอจวนตานี”งานสานปัญญา ผลิตภณั ฑ"์ นกยงู พระราชทาน"ผา้ ไหมมดั หมี่ลายจวนตานี สินคา้ แห่งภูมิ
ปัญญารางวลั “นกยงู พระราชทาน” นบั เป็นผา้ ทอพ้นื เมืองจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สะทอ้ นตวั ตน
ของชาวปักษใ์ ตไ้ ดอ้ ยา่ งชดั เจน เป็นเอกลกั ษณ์ท่ีโดดเด่นที่ยากจะหาสินคา้ ชนิดเดียวกนั จากแหล่งใดเสมอ
เหมือน อยา่ งยงิ่ “จวนจูวา” ลายทกั ทอที่ปรากฏบนผนื ผา้ ที่ก้นั ระหวา่ งตวั ผา้ และหวั ผา้ โดยคาํ วา่ จวน
จึงเป็นดงั่ ตราประทบั ที่บ่งบอกวา่ เป็นผา้ ที่ผลิตจากเมืองปัตตานีเท่าน้นั และกลายเป็นท่ีมาของการเรียกขาน
กนั ติดปากวา่ “ผา้ ทอลายจวนตานี”
การทาํ ผา้ บาติก เป็นอุตสาหกรรมกนั มานานแลว้ มีการผลิตในหลายจงั หวดั ทางภาคใต้ เช่น ยะลา ปัตตานี
สงขลา นราธิวาส นอกจากน้ียงั มีการผลิตผา้ บาติกตามสถานท่ีท่องเที่ยวท่ีมีชื่อเสียงเช่น ภูเกต็ เกาะสมุย
เชียงใหม่ พทั ยา เป็นตน้ แต่การแพร่หลายของผา้ บาติกน้นั เร่ิมเขา้ มาทางจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ โดยไดร้ ับ
อิทธิพลมาจากมาเลเซีย ซ่ึงมาเลเซียเองกไ็ ดร้ ับอิทธิพลมาจากอินโดนีเซียอีกทอดหน่ึง คนไทยรู้จกั ผา้ บาติก
ในลกั ษณะของ “ผา้ พนั หรือผา้ ปาเตะ๊ พนั ” โดยเรียกตามวธิ ีนุ่ง คือ พนั รอบตวั คาํ วา่ “โสร่ง” กม็ าจาก
ภาษาอินโดนีเซียเช่นเดียวกนั หมายถึง ผา้ นุ่ง คนในทอ้ งถ่ินภาคใต้ เรียกบาติกวา่ “ผา้ ปาเตะ๊ ” หรือ
“ผา้ บาเตะ๊ ” ส่วนคนรุ่นเก่าเรียกผา้ ปาเตะ๊ ที่ไม่ไดผ้ ลิตในประเทศไทยวา่ “ผา้ ยาวอ” หรือ “จาวอ”
(Java) ซ่ึงหมายถึง ผา้ ชวาและเรียกช่ือตามลกั ษณะของผา้ เป็นภาษาพ้ืนเมืองชายแดนภาคใต้
การเเต่งกายภาคใต้
พมุ เรียง ถิ่นผา้ ไหมไทยของภาคใตผ้ มเคยมาเท่ียวพมุ เรียงเมื่อหลายปี ก่อน โดยพรรคพวกอาสาเป็นไกดพ์ ามาเที่ยวไชยาและแวะดูผา้ ไหม พมุ เรียง ยงั นึก
แปลกใจเหมือนกนั วา่ ภาคใตน้ ้ีมีการทอผา้ ไหมและมีการเล้ียงไหมดว้ ย หรือ เพราะไม่ เคยไดย้ นิ เร่ืองน้ีมาก่อนเลย หากจะพดู ถึงผา้ ไหมแลว้ หลายคนคงนึก
ถึงผา้ ไหมจากภาคเหนือ เช่นท่ีจงั หวดั ลาํ พนู หรือเชียงใหม่ ที่มีการทาํ แบบครบวงจรต้งั แต่การเล้ียงตวั ไหม นาํ ไหมไปตม้ กรอไหม ไปจนถึงการทอออกมา
เป็นผา้ ผนื และสร้างช่ือเสียงใหก้ บั ทอ้ งถ่ินมานานหลายสิบปี แลว้ ความแปลกใจสงสยั ในผา้ ไหมพมุ เรียงกย็ งั ไม่มี โอกาสหาคาํ ตอบ จนกระทงั่ มีโอกาสมา
เที่ยวพมุ เรียงอีกคร้ังหน่ึงเมื่อ ปลายปี 2545 จึงทาํ ใหท้ ราบ ความจริงคุณอรุณ เหร็นเส็บ ชาวไทยอิสลาม เจา้ ของร้านผา้ ไหม “เพชรทองคาํ ” ร้าน
ใหญ่แห่งหน่ึงใน ต.พมุ เรียง เล่าใหฟ้ ังวา่ เม่ือก่อนน้ีชาวบา้ นพมุ เรียงท่ีเป็นคนอิสลามมีการทอผา้ ฝ้ายกนั มาก่อน เป็นการทอเพื่อนาํ มา นุ่งห่มกนั ในหมู่
ชาวบา้ นในยคุ ท่ีมีการทอผา้ นุ่งห่มกนั เองเม่ือการคมนาคมสะดวกข้ึนและมีการติดต่อคา้ ขายกนั กบั ทางกรุงเทพ พอ่ คา้ ผา้ จากพมุ เรียงกม็ ีโอกาส นาํ ผา้ ฝ้ายไป
ขายท่ีกรุงเทพ โดยวางขายแถวๆตลาดพาหุรัด แหล่งคา้ ผา้ ที่ใหญ่ท่ีสุดของประเทศ ต่อมามีการนาํ เส้นไหมดิบจากประเทศจีน มาฟอกยอ้ มกนั ที่พมุ เรียงและ
ทอเป็นผา้ ไหมส่งไปขายที่กรุงเทพ ปรากฏวา่ ไดร้ ับการตอ้ นรับดว้ ยดี โดยเฉพาะจากบรรดาคุณหญิงคุณนายท่ีมีรสนิยมสูง ซ่ึงต่อมากลุ่มบุคคลเหล่าน้ีกไ็ ด้
แนะนาํ ใหท้ อผา้ ไหมในรูปแบบ สีสนั ลวดลาย ท่ีทนั สมยั มากข้ึน จนไดร้ ับความนิยมในเวลาต่อมา รวมท้งั ไดม้ ีโอกาสวางขายในโรงแรมใหญ่ๆในกรุงเทพ
หลายแห่ง ทาํ ใหช้ ื่อเสียงผไ้ หมพมุ เรียงขจรขจายไปทวั่ ท้งั ในประเทศและต่างประเทศแต่เดิมเสน้ ใยที่ใชเ้ ป็นวตั ถุดิบในการทอผา้ ไหมที่พมุ เรียง จะส้งั ซ้ือจากยี่
ป้ัวในกรุงเทพ ซ่ึงนาํ เขา้ มาจาก ประเทศจีน แต่ไม่กี่ปี มาน้ีมีใยไหมภายในประเทศจากไร่กาํ นนั จุล จงั หวดั เพชรบูรณ์ นาํ ออกมาป้อนตลาด มากข้ึน จึงมี
การใชไ้ หมท้งั ในประเทศและต่างประเทศมาฟอกยอ้ ม เพื่อนาํ ไปทอเป็นผา้ ผนื ผา้ ไหมลายดอกพิกลุ จากพมุ เรียง เป็นผา้ ไหมท่ีไดร้ ับความนิยมอยา่ งมากใน
ตลาดผา้ ไหม เป็นงานฝีมือลว้ นๆที่ทอดว้ ยมือ ป็นงานฝีมือแบบดงั่ เดิมท่ีตอ้ งใชค้ วามประณีตและประสบการณ์ในการทอและที่สาํ คญั งานแต่ละชิ้นแต่ละผนื จะ
ใชเ้ วลาทอท่ียาวนานกวา่ การทอดว้ ยวธิ ีอ่ืน คุณฟาติมะ๊ บวั เฉย เจา้ ของร้านผา้ ไหมฟาติมะ๊ ในยา่ นบางกะปิ ผคู้ ร่ําหวอดในวงการผา้ ไหมพมุ เรียง มายาวนาน
เล่าวา่ ผา้ ลายดอก หรือท่ีเรียกวา่ ผา้ ยกดอก จะทอไดอ้ ยา่ งมากแคว่ นั ละประมาณคร่ึงหลา หรือประมาณ 2 คืบเท่าน้นั เอง เป็นการทอดว้ ยมือที่ใชว้ ธิ ีโยกลูก
กระสวยสลบั ไปมา ซา้ ย-ขวา ต่างจากการทอดว้ ยกี่กระตุกที่ใชม้ ือดึงหรือกระตุกเชือกเพ่ือใหล้ ูกกระสวยวง่ิ สลบั ไป-มา ดว้ ยเคร่ืองผา้ ยกดอกเป็นผา้ ท่ี
ตอ้ งการความละเอียดประณีตในระหวา่ งการทอ และมีลวดลายสวยงาม
ผ้ายก
การทอผา้ ยกนคร มีหลกั ฐานวา่ ชาวนครศรีธรรมราชไดแ้ บบอยา่ งมากจากแขกเมืองไทรบุรี
กล่าวคือ คราวท่ีเมืองไทรบุรีคิดกบฎ เจา้ พระยานคร (นอ้ ย) ไดย้ กทพั ไปปราบ ขากลบั
ไดก้ วาดตอ้ นเชลยเขา้ มายงั นครศรีธรรมราชเป็นจาํ นวนมาก ในจาํ นวนน้ีมีพวกช่างทอผา้ เขา้
มาดว้ ย พวกแขกน้ีเองท่ีไดม้ าเป็นครูสอนใหเ้ มืองนครศรีธรรมราชรู้จกั ทอผา้ ยก เครื่องมือ
เครื่องใชท้ อผา้ ยกเรียกวา่ 'เคร่ืองทอหูก' หรือ 'เก' เหมือนกบั ทอ้ งถ่นอื่นโดยทวั่ ไป เกมี
2 ชนิด คือ เกยก ชนิดหน่ึงหน่ึง กบั เกฝังอีกชนิดหน่ึง ชาวบา้ นที่มีอาชีพทอผา้ มกั สร้า
เกไวใ้ ตถ้ ุนบา้ นแทบท้งั สิ้น ผา้ ยกนครทอไดห้ ลายชนิดแต่ละชนิดมีลายดอกงดงามเป็นแบบ
ฉบบั ของตนเอง ที่รู้จกั กนั ดีไดแ้ ก่ ผา้ ราชวตั ร ผา้ ตาสมุก ผา้ ผา้ ห่ม ผา้ หางกระรอก
ผา้ พ้นื ผา้ เกบ็ ดอก ผา้ ม่วง เป็นตน้ สาํ หรับผา้ ยกดอกกม็ ีหลายชนิดเช่น ผา้ ลายดอกพิกลุ
ผา้ ลายกา้ นแยง่ ผา้ ลายดอกมะลิร่วง ผา้ ลายดอกมะลิใหญ่ ๆ อีกมากมาย ตวั อยา่ งผา้ ยก
รุ่นเก่าของนครศรีธรรมราชในปัจจุบนั น้ีหาดูไดย้ ากท่ีพอจะหาดูไดใ้ นเวลาน้ีมีอยสู่ กั ฝืนสอง
ฝืนในพิพธิ ภณั ฑว์ ดั รพะมหาธาตุวรมหาวหิ าร
อาหารภาคใต้
อาหารพ้นื บา้ นภาคใตม้ ีรสชาติโดดเด่นเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะ สืบเน่ืองจากดินแดนของภาคใตเ้ คยเป็นศูนยก์ ลางการเดินเรือ
คา้ ขายของพอ่ คา้ จากอินเดีย จีนและชวา ทาํ ใหว้ ฒั นธรรมของชาวต่างชาติโดยเฉพาะอินเดียใต้ ซ่ึงเป็นตน้ ตาํ รับในการใช้
เครื่องเทศปรุงอาหารไดเ้ ขา้ มามีอิทธิพลเป็นอยา่ งมาก
อาหารพ้ืนบา้ นภาคใตท้ ว่ั ไป มีลกั ษณะผสมผสานระหวา่ งอาหารไทยพ้ืนบา้ นกบั อาหารอินเดียใตเ้ ช่น น้าํ บูดู ซ่ึงไดม้ าจาก
การหมกั ปลาทะเลสดผสมกบั เมด็ เกลือ และมีความคลา้ ยคลึงกบั อาหารมาเลเซีย อาหารของภาคใตจ้ ึงมีรสเผด็ มากกวา่ ภาค
อื่นๆ และดว้ ยสภาพภูมิศาสตร์ท่ีอยตู่ ิดทะเลท้งั สองดา้ นจึงมีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ แต่สภาพอากาศร้อนช้ืน ฝนตกตลอด
ปี อาหารประเภทแกงและเครื่องจิ้มจึงมีรสจดั ช่วยใหร้ ่างกายอบอุ่น ป้องกนั การเจบ็ ป่ วยไดอ้ ีกดว้ ย
ความหลากหลายในสาํ รับอาหารปักษใ์ ตไ้ ดร้ ับอิทธิพลจากอินเดียใต้ ทาํ ใหเ้ กิดตาํ รับอาหารใหม่มากมาย ลว้ นผา่ น
วธิ ีการดดั แปลง ปรับปรุงเป็นวฒั นธรรมอาหารการกินท่ีถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลานในปัจจุบนั ทาํ ใหม้ ีลกั ษณะพเิ ศษ
แตกต่างจากภาคอ่ืนอยา่ งชดั เจนคือ รสชาติจดั เนน้ เคร่ืองเทศและมีผกั สารพดั ชนิดท่ีเรียกวา่ "ผกั เหนาะ" ซ่ึงเป็นพืช
พ้ืนบา้ นหาไดใ้ นทอ้ งถ่ินภาคใต้ เช่น สะตอ ลูกเหนียง ยอดกระถิน มากินร่วมดว้ ย เพ่ือบรรเทารสเผด็ ของอาหาร ท้งั มี
สรรพคุณเป็นยาอีกดว้ ย เน้ือสตั วท์ ่ีนาํ มาปรุงเป็นอาหารส่วนมากนิยมสตั วท์ ะเล เช่น ปลากระบอก ปลาทู ปูทะเล กงุ้ หอย
ซ่ึงหาไดใ้ นทอ้ งถิ่น
อาหารพ้ืนบา้ นของภาคใต้ เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา นิยมใส่ขมิ้นปรุงอาหารเพอ่ื แกร้ สคาว เครื่องจิ้มคือน้าํ บูดูอาหาร
พ้ืนบา้ นภาคใตท้ ี่มีช่ือเสียง
อาหารภาคใต้
อาหารพ้ืนบา้ นภาคใตม้ ีรสชาติโดด เด่นเป็นเอกลกั ษณ์ เฉพาะสืบเน่ืองจากดินแดนภาคใตเ้ คยเป็นศูนยก์ ลางการเดิน เรือคา้ ขายของ
พอ่ คา้ จากอินเดีย จีนและชวาในอดีตทาํ ใหว้ ฒั น ธรรมของชาวต่างชาติโดย เฉพาะอินเดียใตซ้ ่ึงเป็นตน้ ตาํ รับใน การใชเ้ คร่ืองเทศ
ปรุงอาหารไดเ้ ขา้ มามีอิทธิพลอยา่ งมากอาหารพ้นื บา้ นภาคใตท้ ว่ั ไป มีลกั ษณะผสมผสานระหวา่ ง อาหารไทยพ้นื บา้ นกบั อาหาร
อินเดียใต้ เช่น น้าํ บูดู ซ่ึงไดม้ าจากการหมกั ปลาทะเลสดผสมกบั เมด็ เกลือ และมีความคลา้ ยคลึงกบั อาหารมาเลเซียอาหาร ของ
ภาคใตจ้ ึงมีรสเผด็ มากกวา่ ภาคอ่ืน ๆ และดว้ ยสภาพภูมิศาสตร์อยตู่ ิดทะเลท้งั สองดา้ น มีอาหารทะเล อุดมสมบูรณ์ แต่สภาพอากาศ
ร้อนช้ืนฝนตกตลอดปี อาหารประเภทแกงและเคร่ืองจิ้ม จึงมีรสจดั ช่วยใหร้ ่าง กายอบอุ่นป้องกนั การเจบ็ ป่ วยไดอ้ ีกดว้ ย
อาหารภาคใต้
การกิน ลกั ษณะเด่นของการรับประทานอาหารของชาวภาคใต้ คือ มีผกั สารพดั ชนิดเป็นผกั จิ้มหรือผกั แกลม้ ในการรับประทาน
อาหารทุกม้ือ ภาษาทอ้ งถิ่น เรียกวา่ "ผกั เหนาะ" ความนิยมใน การรับประทานผกั แกลม้ อาหารของชาวใต้ เป็นผลมาจากการที่
ภาคใตม้ ีพืชผกั ชนิดต่างๆ มาก และหาไดง้ ่าย คนใตน้ ิยมรับประ ทานอาหารเผด็ จึงตอ้ งมีผกั แกลม้ เพ่อื ช่วยบรรเทาความเผด็
และเพอ่ื ชูรสอาหาร อาหารทอ้ งถ่ินยงั นิยมใส่ขมิ้นในอาหาร นิยมรับประทาน "ขนมจีน" รองจากขา้ ว ใส่เคยหรือกะปิ เป็น
เคร่ืองปรุงรสอาหาร ชาวไทยมุสลิมนิยมรับประทานน้าํ บูดู ซ่ึง เป็นน้าํ ท่ีหมกั จากปลา แลว้ นาํ มาเค่ียวปรุงรสใหอ้ อกเคม็ ๆ หวานๆ
นบั เป็นอาหารที่ขาดไม่ไดข้ องชาวไทยมุสลิม อาหารปักษใ์ ตแ้ มจ้ ะเป็นอาหารท่ีอร่อย น่าลิ้มลอง แต่สิ่งหน่ึงที่ประทบั ใจผคู้ น คือ
ความเผด็ ร้อนของรส ชาติอาหารผคู้ นในภาคใตน้ ิยมรสอาหารท่ีเผด็ จดั เคม็ เปร้ียว แต่ไม่นิยมรสหวาน รสเผด็ ของอาหารปักษ์
ใตม้ าจากพริกข้ีหนูสด พริกข้ีหนูแหง้ และพริกไทย ส่วนรสเคม็ ไดจ้ ากกะปิ เกลือ รสเปร้ียว ไดจ้ ากสม้ แขก น้าํ สม้ ลูกโหนด
ตะลิงปลิง ระกาํ มะนาว มะขามเปี ยก และมะขามสด เป็นตน้
เน่ืองจากอาหารภาคใตม้ ีรสจดั อาหารหลาย ๆ อยา่ งจึงมีผกั รับประทานควบคู่ไปดว้ ยเพ่ือลดความเผด็ ร้อนลงซ่ึงคนภาคใต้
เรียกวา่ ผกั เหนาะ หรือบางจงั หวดั อาจเรียกวา่ ผกั เกร็ด ผกั เหนาะของภาคใตม้ ีหลาย อยา่ ง บางอยา่ งกเ็ ป็นผกั ชนิดเดียวกบั ภาค
กลาง เช่น มะเขือเปราะ ถว่ั ฝักยาว ถวั่ พู ฯลฯ แต่กม็ ีผกั อีกหลาย อยา่ งท่ีรู้จกั กนั เฉพาะคนภาคใตเ้ ท่าน้นั การเสิร์ฟผกั เหนาะกบั
อาหารปักษใ์ ต้ ชนิดของผกั จะคลา้ ยๆ กนั หรืออาจเป็นผกั ท่ีผรู้ ับประทานชอบกไ็ ด้
จัดทาํ โดย
นางสาว ธนพร ทรงวผิ ล เลขท3ี่ 1 ม.6/9