๓. วิธีการปั้ นขนมข้าวโปง ๑) นำ�งาที่คั่วสุกและตำ�ละเอียดมาโรยบนภาชนะสำ�หรับวางลูกขนมข้าวโปง ๒) นำ�งาที่คั่วสุกและตำ�ละเอียดทามือผู้ที่จะปั้นลูกขนมข้าวโปงเพื่อป้องกันมิให้แป้งติดมือ ๓) นำ�แป้งข้าวเหนียวที่ตำ�ละเอียดมาแบ่งให้ได้ขนาดกลม ๆ แผ่แป้งออกให้แบน ใส่ไส้ลงไป แล้วปั้น ให้ข้าวเหนียวหุ้มไส้จนมิด นำ�วางบนภาชนะสำ�หรับวางลูกขนมข้าวโปง ๔) ปั้นต่อไปจนแล้วเสร็จ พร้อมจัดเสิร์ฟ ภาพวิธีการห่อขนมข้าวโปง ๑) ภาชนะที่จะใช้วางลูกขนมโปง เช่น ถาดต้องโรยด้วยนวลถั่วลิสง หรือนวลงาขาว เพื่อมิให้ขนม ข้าวโปงติดภาชนะที่รองรับ ๒) การปั้นขนมข้าวโปง ทำ�โดยแบ่งแป้ง นำ�มาแผ่เป็นแผ่นแล้วนำ�ไส้ใส่ตรงกลางแผ่นแป้งปั้นเป็น รูปกลม ๔๙
๓) เมื่อปั้นขนมเสร็จแล้ว จัดใส่ถาดคลุกด้วยนวลถั่วหรือนวลงาขาว และพร้อมนำ�เสิร์ฟ ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ยังคงพบเห็นขนมข้าวโปงและมีแหล่งทำ�ขนมข้าวโปงที่มีรสชาติอร่อย คนนิยมซื้อหามารับประทานอยู่หลายแห่งกระจายไปตามพื้นที่อำ�เภอต่าง ๆ ของจังหวัดนครสวรรค์ อยู่จำ�นวนมาก ในที่นี้ขอยกตัวอย่างพอสังเขป ดังนี้ ข้อมูลร้านขนมข้าวโปง จังหวัดนครสวรรค์ อำ�เภอเมืองนครสวรรค์ ข้าวโปงของคุณบังอร จูมลี เลขที่ ๒๙๑ หมู่ ๑๕ ตำ�บลหนองกระโดน อำ�เภอเมืองนครสวรรค์ โทร. ๐๘-๖๓๖๙-๑๗๓๔ อำ�เภอท่าตะโก ร้านเจ๊ขาว นางศิริลักษณ์ สิทธิอ่วม ตั้งอยู่บริเวณทางออก ที่ว่าการอำ�เภอท่าตะโก มีวางขายในทุกวันพุธ ตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น.-๑๒.๐๐ น. โทร. ๐๘-๙๘๕๗-๗๔๕๙ ๕๐
อำ�เภอท่าตะโก ข้าวโปงของชาวตำ�บลดอนคา โดยทีมงานคณะของ แม่ประจวบ ฤทธิ์บำ�รุง และร้านคุณอาภาพร ทับเกลี้ยง บริเวณตลาดนัด วันพฤหัสศูนย์ท่ารถ ตำ�บลท่าตะโก อำ�เภอท่าตะโก ในช่วงบ่าย โทร. ๐๙-๘๙๑๙-๓๘๙๖ อำ�เภอไพศาลี ข้าวโปง (สูตรโบราณ) ของยายหนู บริเวณตลาดไพศาลี และมีสาขาที่อำ�เภอเมือง นครสวรรค์ ตั้งอยู่เลขที่ ๘๓๒๓ ต.วัดไทร อำ�เภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ โทร. ๐๕ -๗๓๑๖ - ๗๙๔๓, ๐๙-๕๓๐๙-๐๒๕๑ และอำ�เภอพยุหะคีรีร้านข้าวโปงของแม่เจน ขายที่ตลาดนัดวัดเขาทอง ตำ�บลเขาทอง อำ�เภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ๕๑
เอกสารอ้างอิง นายละมูล คงหอม และนางมาย คงหอม. ภูมิปัญญาการทำ ขนมข้าวโปง. อยู่บ้านเลขที่ ๕ หมูที่ ๑ ตำ�บล เขาทอง อำ�เภอพยุหะคีรีจังหวัดนครสวรรค์, สาธิตเมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๓. นางบังอร จูมลี. ภูมิปัญญาการทำ ขนมข้าวโปง. อยู่บ้านเลขที่ ๒๙๑ หมู่ ๑๕ ตำ�บลหนองกระโดน อำ�เภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์, สาธิตเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๖. นางสมปอง อินทับ. ถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องข้าวกับวัฒนธรรมไทย. นักวิชาการวัฒนธรรมชำ�นาญการ สำ�นักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค์, ๒๐ มกราคม ๒๕๖๖. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : สืบค้นจาก https://dictionary.orst.go.th/index.php, ๒๕๖๖ สวัสดิ์ พินิจจันทร์. วัฒนธรรมไทย. ฝ่ายเผยแพร่พระพุทธศาสนา กองศาสนาศึกษา กรมการศาสนา. กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๓๗ สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ. ภาคกลาง. ภาคใต้. และภาคอีสาน. ข้าว. มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย. ธนาคารไทยพาณิชย์จำ�กัด (มหาชน), ๒๕๔๒ สุริย์พันธุ์พงษ์. ภูมิปัญญาไทย. คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. สถาบันราชภัฏนครสวรรค์, ๒๕๔๖ ๕๒
บทนำ� นาฏยศิลป์ เป็นการแสดงออกของวิญญาณของมนุษย์ โดยวิถีทางแห่งการ เคลื่อนไหวด้วยจังหวะอันงดงาม เพียบพร้อมด้วยการสะท้อนบทบาททางสังคม เราอาจกล่าวได้ว่านาฏยศิลป์มีคุณค่าทางศิลปะก็ต่อเมื่อมีนาฏยศิลปิน และคนดู ประกอบกัน คุณค่าแห่งศิลปะขึ้นอยู่กับบุคคลทั้งสองกลุ่ม ผลก็คือนาฏยศิลป์ นั้น ๆ อาจมีคุณค่าในระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติหรือระดับนานาชาติก็เป็นได้ เราอาจกล่าวได้อีกเช่นกันว่า นาฏยศิลป์ไม่ใช่ผลงานเพื่อศิลปะ แต่เป็นศิลปะ เพื่อสังคม นาฏยศิลป์จะแสดงต่อสังคมและเพื่อสังคมเสมอ (Soedarsono, ๑๙๗๔ อ้างถึงใน สุรพล วิรุฬห์รักษ์, ๒๕๔๗: ๑๐) นาฏศิลป์ไทยถือเป็นศิลปวัฒนธรรมแขนงหนึ่งที่แสดงออกถึงลักษณะเฉพาะของชาติ เป็นเครื่องบอก ความเป็นมาของประวัติศาสตร์ อันแสดงถึงวัฒนธรรมที่มีพัฒนาการมาแต่อดีต เริ่มจากการปรุงแต่งกิริยา ท่าทางตามธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์โดยการเลียนแบบ แล้วนำ�มาประดิษฐ์ดัดแปลงให้เป็นศิลปะที่งดงาม ในรูปแบบของการเยื้องกรายร่ายรำ�ให้เข้ากับการขับร้องและดนตรี เหล่านี้ได้มีการพัฒนามาเป็นลำ�ดับ จนกระทั่งกลายเป็นรูปแบบนาฏศิลป์ไทยประจำ�ชาติขึ้น (เรณู โกศินานนท์, ๒๕๔๔: ๑) การฟ้อนรำ�ของ ไทยนั้นมีลักษณะเฉพาะตัว แม้จะได้แบบอย่างและอิทธิพลบางส่วนมาจากนาฏศิลป์อินเดียอยู่บ้าง แต่ก็ได้ นำ�มาปรับปรุงให้เข้ากับรสนิยมและบริบทของสังคมไทย ตลอดจนสร้างสรรค์รูปแบบของตนเองได้อย่าง หลากหลาย ดังที่แสดงออกให้เห็นได้จากองค์ประกอบของนาฏศิลป์ไทย คือ ท่ารํา ดนตรี บทร้อง และ เครื่องแต่งกาย (เรณูโกศินานนท์, ๒๕๔๕: ๒) “นาฏยศิลป์ไม่ใช่ผลงานเพื่อศิลปะ แต่เป็นศิลปะเพื่อสังคม นาฏยศิลป์จะแสดงต่อสังคมและ เพื่อสังคมเสมอ” จากคำ�กล่าวข้างต้นของ Soedarsono ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Dances in Indonesia แสดงให้เห็นทัศนะที่มีต่อนาฏศิลป์ในลักษณะของการมีบทบาทหน้าที่ในสังคม โดยในเรื่องนี้ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ (นายกราชบัณฑิตยสภา) ผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ไทย ยังได้แยกลักษณะของบทบาท “ระบำ�ภูษานาฏราชชนนี” : แนวคิดการแสดงและการเรียบเรียงดนตรี วรรณวลีคำ�พันธ์๑ ๑ อาจารย์สาขาวิชาดนตรีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์อีเมล์[email protected] Lecturer at Music Program, Faculty of Humanities and Social Sciences, Nakhon Sawan Rajabhat University. Email: [email protected] ๕๓
หน้าที่ออกได้หลายประเภท ได้แก่ การสื่อสาร การสังสรรค์ การศึกษา การบันเทิงเฉพาะตน การบันเทิง เพื่อคนอื่น พิธีกรรม การออกกำ�ลังกาย การเผยแพร่เอกลักษณ์ การรักษาเอกลักษณ์ของชาติหรือชุมชน การสร้างสรรค์นาฏศิลป์ เครื่องอุปโภคเฉพาะชนชั้น ตลอดจน “การฟ้อนรำ ในพิธีการ” ซึ่งพบได้ในหลาย ลักษณะตามวาระโอกาส อาทิ พิธีต้อนรับแขกเมืองที่สำ�คัญ พิธีแห่งเทวรูปที่เคารพประจำ�ปีเพื่อเป็นสิริมงคล โดยนิยมจัดให้มีการฟ้อนรำ�เป็นขบวนแห่และฟ้อนรำ�บนเวที ได้แก่ ฟ้อนบายศรีสู่ขวัญ รำ�อวยพรวันเกิด เป็นต้น (สุรพล วิรุฬห์รักษ์, ๒๕๔๗: ๑๘) ระบำ� ระบํา หมายถึง ศิลปะของการร่ายรำ�ที่แสดงพร้อมกันเป็นหมู่ เป็นชุด ไม่ดำ�เนินเรื่องราว จะใช้เพลง บรรเลงโดยมีเนื้อร้องหรือไม่มีเนื้อร้องก็ได้ ท่ารำ�บางครั้งมีความหมายเข้ากับบทร้อง บางครั้งก็ไม่มีความหมาย นอกจากมุ่งที่ความงดงามของศิลปะการรํา และความรื่นเริงบันเทิงใจ “ระบำ” หมายความรวมถึง “ฟ้อน” และ “เซิ้ง” เข้าไว้ด้วย เพราะวิธีการแสดงเป็นไปในรูปแบบเดียวกัน เพียงแต่แยกให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างท้องถิ่น วิธีร่ายรำ� ตลอดจนการแต่งกายตามประเพณีเท่านั้น คำ�ว่า “ฟ้อน” และ “เซิ้ง” เป็นระบำ� ประเภทพื้นเมือง แต่งกายตามเชื้อชาติและท้องถิ่นนั้น ๆ ใช้เพลงที่มีทำ�นองและบทร้องตามภาษาท้องถิ่น เช่น ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ฟ้อนเล็บ เซิ้งสวิง เซิ้งตังหวาย เป็นต้น (อุมาภรณ์กล้าหาญ, ๒๕๔๒: ๑) ระบำ จำแนกออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. ระบำ ดั้งเดิม หรือระบำ�มาตรฐาน เป็นระบำ�ที่มีมาแต่ครั้งโบราณ เช่น ระบำ�สี่บท หรือบางครั้ง เรียกว่า “ระบำ ใหญ่” ไม่สามารถนำ�มาเปลี่ยนแปลงท่ารำ�ได้ เพราะถือว่าเป็นการร่ายรำ�ที่เป็นแบบฉบับ บรมครูนาฏศิลป์ได้คิดประดิษฐ์ไว้ และนิยมนำ�มาเป็นแบบแผนในการรำ�ที่เคร่งครัด การแต่งกายของระบำ� ประเภทนี้มักแต่งกายในลักษณะที่เรียกว่า “ยืนเครื่อง” ๒. ระบำ ปรับปรุง หรือระบำ�เบ็ดเตล็ด หมายถึง ระบำ�ที่ปรับปรุงหรือประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยคำ�นึงถึง ความเหมาะสมต่อการนำ�ไปใช้ในโอกาสต่าง ๆ แยกได้เป็น ปรับปรุงจากแบบมาตรฐาน หมายถึง ระบำ�ที่คิดประดิษฐ์ขึ้นโดยยึดแบบและลีลา ตลอดจนความ สวยงามในด้านระบำ�ไว้ ท่าทางลีลาที่สำ�คัญยังคงไว้ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ดูงาม ขึ้นอีก หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อความเหมาะสมกับสถานที่ที่นำ�ไปแสดง เช่น การจัดรูปแถว การนำ�เพลง หน้าพาทย์ชั้นสูงเข้าไปสอดแทรก เป็นต้น ๕๔
ปรับปรุงจากพื้นบ้าน หมายถึง ระบำ�ที่คิดประดิษฐ์สร้างสรรค์ขึ้นมาจากแนวทางความเป็นอยู่ของ คนพื้นบ้าน การทำ�มาหากิน อุตสาหกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีในแต่ละท้องถิ่นออกมาในรูประบำ� เพื่อเป็นเอกลักษณ์ประจำ�ถิ่นของตน เช่น เซิ้งบั้งไฟ เต้นกำ�รำ�เคียว ระบำ�งอบ ระบำ�กะลา รองเง็ง ฯลฯ ปรับปรุงจากท่าทางของสัตว์ หมายถึง ระบำ�ที่คิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ตามลักษณะลีลาท่าทางของสัตว์ ชนิดต่าง ๆ บางครั้งอาจนำ�มาใช้ประกอบการแสดงโขน ละคร บางครั้งก็นำ�มาใช้เป็นการแสดงเบ็ดเตล็ด เช่น ระบำ�นกยูง ระบำ�นกเขา ระบำ�มฤคระเริง ระบำ�บันเทิงกาสร ระบำ�ตั๊กแตน เป็นต้น ปรับปรุงจากตามเหตุการณ์ หมายถึง ระบำ�ที่คิดประดิษฐ์ขึ้นใช้ตามโอกาสที่เหมาะสม เช่น ระบำ� พระประทีป ระบำ�โคมไฟ ประดิษฐ์ขึ้นรำ�ในวันนักขัตฤกษ์ ลอยกระทงในเดือนสิบสอง ระบำ�ที่เกี่ยวกับ การอวยพรต่าง ๆ สำ�หรับเป็นการต้อนรับ และแสดงความยินดีอวยพรวันเกิด เป็นต้น ปรับปรุงขึ้นใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน ระบำ�ประเภทนี้เป็นระบำ�ประดิษฐ์ และสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อเป็นแนวทางสื่อนำ�สู่บทเรียน เหมาะสำ�หรับเด็ก ๆ เป็นระบำ�ง่าย ๆ เพื่อเร้าความสนใจประกอบบทเรียน ต่าง ๆ เช่น ระบำ�สูตรคูณ ระบำ�วรรณยุกต์ระบำ�เลขไทย ฯลฯ (สุมิตร เทพวงษ์, ๒๕๒๕: ๑ - ๒) ระบำ�ภูษานาฏราชชนนี “ระบำ�ภูษานาฏราชชนนี” (พู-สา-นาด-ราด-ชน-นะ-นี) (คำ�ว่า ภูษานาฏราชชนนีมาจากการสมาสคำ� ระหว่าง “ภูษา” หมายถึง ผ้า “นาฏ” หมายถึง ศิลปะการร่ายรำ� และ “ราชชนนี” หมายถึง แม่ของราชา) จัดเป็นระบำ�เบ็ดเตล็ดที่ปรับปรุงขึ้นตามเหตุการณ์ กล่าวคือ เป็นการแสดงที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อถวายพระพร ในพิธีถวายชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง เนื่องใน โอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา ซึ่งจัดโดยสำ�นักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครสวรรค์ นำ�ออกแสดงเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ณ ห้องพระบาง อาคาร ๑๕ ชั้น ๔ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภัทธิรา จันทร์ดีหัวหน้าสาขาวิชานาฏศิลป์และการละคร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ผู้ออกแบบชุดการแสดงได้กล่าวถึงที่มา และแนวคิดของการสร้างสรรค์การแสดงชุดนี้ว่า “คอนเส็ป (concept) ของระบำ�ภูษานาฏราชชนนี ก็คือเราอยากจะทำ�ระบำ� เพื่อใช้ในงานถวายพระพร ๑๒ สิงหา แต่ว่าไม่อยากได้เป็นรูปแบบของ รำ�ถวายพระพรอย่างที่เคยมีมา อย่างที่เคยมีมาก็จะเป็นกลอน เป็นบทสำ�หรับ เทิดพระเกียรติโดยตรง แต่ว่าเราอยากได้เป็นระบำ�ที่มีความเกี่ยวข้องหรือดึงเอา พระราชกรณียกิจที่โดดเด่นของสมเด็จพระนางเจ้าฯ มาทำ�เป็นระบํา ก็คือ ในเรื่องของผ้า แล้วก็ผ้าในที่นี้เราก็มองถึง พระองค์ท่านได้ไปทั่วประเทศทั้งสี่ภาค แล้วก็ไปฟื้นฟูในเรื่องของผ้าทั้งสี่ภาคของประเทศไทย ก็เลยดึงเอาลักษณะที่ ๕๕
เป็นเอกลักษณ์ของผ้าไทยในแต่ละภูมิภาคมาใช้มาถ่ายทอดผ่านระบำ� แล้วก็มี การใช้ท่ารำ�ที่มีกลิ่นอายของความเป็นแต่ละภูมิภาค” (ภัทธิรา จันทร์ดี, สัมภาษณ์ ๑๙ กุมภาพันธ์๒๕๖๖) “หลัก ๆ เลยการสร้างสรรค์งานเราก็จะต้องรู้ท่ารำ�ที่เป็นแม่ท่าไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็แล้วแต่ ระบํา มันก็จะแตกไปจากแม่ท่า ภาษาท่า นาฏยศัพท์ เพลงที่เป็น แม่ท่า เพลงช้าเพลงเร็ว เพลงแม่บท ก็เอามาใช้ คือ จริง ๆ แล้วในแต่ละท่า ก็จะมีกลิ่นอายของความเป็นภาคนั้น...” (เรื่องเดียวกัน) “มันก็จะมีงานนาฏศิลป์สร้างสรรค์หรืองานนาฏศิลป์ที่เค้าทำ�กันมา แต่ดั้งแต่เดิม เนี่ยว่าถ้าใต้จะต้องเป็นแบบนี้ อีสานจะต้องเป็นแบบนี้ถ้าเหนือเนี่ย ต๊ะต่อนยอน ก็จะต้อง ยุบ ต๊ะตึ่งโนง ยืด ค่อย ๆ ยืด ค่อย ๆ ยุบ จังหวะของการยืดยุบ ไม่เหมือนกัน ไม่มีจังหวะเข่า แต่อย่างภาคกลางเวลารํา ภาคกลางเค้าก็จะมี พอยืดเสร็จปุ๊บ ก่อนที่จะลงก้าวเท้า จะมีการเค้าเรียกว่า “ห่มเข่า” ให้จังหวะ เป็นการให้จังหวะผู้แสดง จังหวะก็ยืดอย่างนี้ใช่มั้ย ก็ห่มเข่าลงแล้ว ถึงจะก้าว เท้าลง แต่ถ้าเหนือเค้าก็จะยุบยืด ๆ ไม่ต้องมีจังหวะเข่า แต่ถ้าใต้ก็คือใช้สะโพก เดินเตี้ย เดินไม่ต้องยกเท้าสูง แต่ถ้าอีสานก็จะต้องเขย่งเท้าแล้วก็ดีดเท้า สะโพกก็จะเป็นแบบนี้ อีสานพื้นมันร้อน ก็คือท่ารำ�ด้วยภาพรวมทั้งหมด มันก็มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างยกเท้าของใต้มียกมีพ้อยท์เท้า คือด้วย วัฒนธรรมที่มันอาจจะพื้นที่ใกล้เคียง ติดต่อ การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การลื่นไหลทางวัฒนธรรม อย่างใต้ก็จะติดกับมาเลเซียใช่มั้ย...รองเง็งก็จะเป็น แบบนั้น ใช้เท้าอย่างที่บอกก็คือมันก็ได้รับอิทธิพลมาจากของมุสลิมผสมกับ ท่ารำ�ไทย อย่างอีสานที่เราเลือกใช้ในระบำ�ชุดนี้จะเป็นอีสานเหนือ ก็คือ ลักษณะการเซิ้งนั่นเอง เอาท่ารำ�ของเซิ้งมาใช้ ไม่ใช่แบบของอีสานใต้ เมื่อได้แนวคิดหลักของการสร้างสรรค์ระบำ�ชุดนี้แล้ว จึงเริ่มต่อเติมองค์ประกอบอื่น ๆ ของการแสดง ระบำ� อันได้แก่ ๑. ท่ารำ� ๒. เครื่องแต่งกาย และ ๓. ดนตรีดังจะได้กล่าวต่อไป ดังนี้ ๑. ท่ารำ� ใช้พื้นฐานการสร้างสรรค์ท่าจากนาฏศิลป์ไทย และนาฏศิลป์พื้นเมือง ดังที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภัทธิรา จันทร์ดีผู้ประดิษฐ์ท่ารำ�และออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงวิธีการประดิษฐ์ท่ารำ�ให้มีกลิ่นอายของความเป็นแต่ละภูมิภาคต่อไปอีกว่า ๕๖
อีสานใต้เค้าจะเป็นพวกกันตรึมใช่มั้ย เพราะอีสานเหนือจะเป็นโปงลาง อะไรประมาณนั้น เซิ้งต่าง ๆ นั่นแหละ ส่วนภาคเหนือก็จะเป็นการฟ้อน ลักษณะแพทเทิร์นของการฟ้อน ท่ารํา การใช้มือ การใช้ตัว แง้น แอ่นตัว เหมือนฟ้อนแง้นของทางเหนือ ฟ้อนสาวไหม ในท่ารำ�ของระบำ�ชุดนี้ ก็จะมี ท่ารำ�แบบนั้น เพราะว่าในลักษณะของการทอผ้า ในท่ารำ�ของอันนี้ก็จะมี เหมือนกัน ในท่ารำ�ของการทอผ้าก็มีความคล้ายกับท่ารำ�ฟ้อนสาวไหม หรือ ทางสุโขทัยเค้าก็จะมี ทอซิ่นตีนจก เป็นท่ารำ�ที่บ่งบอกถึงกรรมวิธีในการทอผ้า ส่วนภาคกลางเราใช้เป็นวรเชษฐ์ วรเชษฐ์ก็เป็นระบำ�เพื่อความสนุกสนาน ความสวยงามของท่ารํา ความสนุกสนานของผู้แสดง ตามอารมณ์เพลง” (เรื่องเดียวกัน) “ก็คือรำ�ตีบทตามเนื้อร้อง เวลาที่เราทำ�ระบำ�ที่มันมีเนื้อร้อง ก็จะต้องรู้ว่า มีจังหวะออกอันนี้แน่นอน จังหวะเข้ามีเนื้อร้องมั้ย ถ้ามีเนื้อร้องก็ต้องดูตามบท เค้าเรียกว่าตีบทในภาษาท่านะ ใช้ภาษาท่านาฏยศัพท์แล้วก็เพลงแม่ท่าต่าง ๆ มาใช้ในการคิดท่าแล้วก็ตีบทออกมา ทีนี้ในการตีบทมันอาจจะไม่ต้องตีเป็น คำ�พูดทุกคํา อาจจะรวบก็ได้ หรือบางท่าในความหมาย เราไม่จำ�เป็นจะต้อง ตีบททุกคํา อาจจะใช้ท่ารำ�ที่เป็นแม่ท่าต่าง ๆ มาใช้แทนคำ�บางคำ�ก็ได้” (เรื่องเดียวกัน) เนื่องจากเป็นระบำ�ที่มีบทร้อง การตีบทก็เป็นวิธีหนึ่งของการประดิษฐ์ท่ารำ�ให้มีความสอดคล้อง คล้ายกับการเล่าเรื่องราวด้วยการใช้ภาษาท่าทาง ดังที่ผู้ประดิษฐ์ท่ารำ�ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ภาพที่ ๑ ท่ารำ�ของนักแสดงภาคเหนือ ที่มา (งานประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์, ๒๕๖๕) ๕๗
ภาพที่ ๒ เครื่องแต่งกายชุดระบำ�ภูษานาฏราชชนนี ที่มา (งานประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์, ๒๕๖๕) ๒. เครื่ องแต่งกาย นอกจากภาษาท่ารำ�ที่เป็นสื่อสัญลักษณ์และให้กลิ่นอายของความเป็นภูมิภาคต่าง ๆ แล้ว เครื่องแต่งกาย ยังเป็นองค์ประกอบที่สำ�คัญอย่างหนึ่งอันจะทำ�ให้ระบำ�ชุดนี้มีความสวยงาม และสมบูรณ์ชัดเจนในมิติ เชิงสัญลักษณ์ของภาพ โดยในการออกแบบและจัดเครื่องแต่งกายสำ�หรับระบำ�ชุดนี้ ได้เลือกชุดของนักแสดง แต่ละภูมิภาคให้สอดคล้องกับบทร้องและกระบวนท่ารำ� ดังนี้ นอกจากลายผ้าแล้ว โทนสีของเครื่องแต่งกายยังสื่อความหมายเชื่อมโยงกับวาระโอกาส ดังที่ผู้ออกแบบ เครื่องแต่งกายได้อธิบายว่า ก็ด้วยวันพระราชสมภพ และสีประจำ พระองค์ก็คือ สีฟ้า ก็ใช้โทนสีฟ้า สีม่วง สีชมพู โทนนั้นไป (เรื่องเดียวกัน) “...ก็เลยเป็นที่มาที่ไปนี่แหละว่า เหมือนอารมณ์ระบำ�สี่ภาค แต่ว่าระบำ�ชุดนี้ ไม่ใช่ระบำ�สี่ภาคทั่วไป แต่เป็นระบำ�สี่ภาคในเรื่องของผ้าที่เป็นอัตลักษณ์ ประจำ�ภูมิภาคตามเนื้อเพลงเลย ภาคเหนือเป็นผ้าอะไร ผ้าจก ผ้าลื้อ ผ้าน่าน ผ้าเมืองลอง ภาคกลางก็จะเป็นผ้ายกดอก แล้วก็ภาคอีสานก็จะเป็นอย่างผ้า ลายขิต ผ้าแพรวา ภาคใต้ก็จะเป็นปาเต๊ะ หรือลายอะไรที่มันเฉพาะของ แต่ละภาค ก็เอามาใช้ รวมทั้งเครื่องแต่งกาย เราก็ใช้เลียนแบบลวดลายของ ผ้าของแต่ละภูมิภาค...” (เรื่องเดียวกัน) ๕๘
๓. ดนตรี เมื่อได้แนวคิดหลักของการแสดง จึงออกแบบเค้าโครงแนวดนตรีว่าควรจะเป็นดนตรีสี่ภาคเพื่อให้ สอดคล้องกับแนวคิดของการแสดงและเครื่องแต่งกาย ดังนี้ การเรียบเรียงดนตรีประกอบการแสดงชุด “ระบำ�ภูษานาฏราชชนนี” การแสดงชุด “ระบำ ภูษานาฏราชชนนี” ผู้เขียนมีส่วนร่วมในการแต่งบทร้อง บรรจุเพลงและเรียบเรียง ดนตรีประกอบการแสดง โดยเมื่อได้พูดคุยและทำ�ความเข้าใจแนวคิดหลักของการแสดงกับผู้สร้างสรรค์และ ออกแบบการแสดงแล้ว จึงเข้าสู่กระบวนการเรียบเรียงดนตรีเพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนรํา โดยมีขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ขั้ นที่ ๑ บรรจุเพลงและเรียบเรียงบทเพลง เมื่อได้แนวคิด (concept) ของการแสดงแล้ว ผู้เขียนจึงเลือกบทเพลงสำ�หรับการแสดงโดยคำ�นึงถึง สำ�นวนทำ�นอง และสำ�เนียงของเพลงที่มีกลิ่นอายของภาคต่าง ๆ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) โดยเลือกและจัดวางบทเพลงตามลำ�ดับ ดังนี้ ๑. เพลงลาวสมเด็จ ๒ ชั้น เพลงลาวสมเด็จ เดิมเป็นเพลงอัตรา ๒ ชั้น สำ�เนียงลาวเพลงหนึ่ง อยู่ในเพลงเรื่องลาวสมเด็จ เป็นเพลงเก่าที่นิยมใช้บรรเลงกันในวงปี่พาทย์และเครื่องสายมาช้านาน ต่อมาได้มีผู้นำ�ไปใช้เป็นเพลงร้อง ในการแสดงละคร โดยตัดทำ�นองให้สั้นลงตามความเหมาะสมของการแสดง (มนตรี ตราโมท และวิเชียร กุลตัณฑ์, ๒๕๒๓: ๔๕๘) ด้วยสำ�นวนทำ�นองของเพลงที่เป็นสำ�เนียงลาว อาจอนุมานบทเพลงแทนความเป็น ลาวล้านนาได้ ทั้งนี้ทำ�นองเพลงยังสามารถปรับความช้าเร็วได้ หากหย่อนทำ�นองให้ช้าลงและเปลี่ยนจังหวะ หน้าทับกลอง ก็จะสามารถฟ้อนได้เป็นการเพิ่มอรรถรสของความเป็นดนตรีล้านนายิ่งขึ้น “...ทั้งนี้ก็รวมทั้งดนตรีด้วย มันก็ต้องสอดคล้องกัน ดนตรีก็เป็นอะไร สี่ภาค เหนือ กลาง อีสาน ใต้ เหนือก็จะเป็น สะล้อซอซึง ภาคใต้ก็เป็น ไวโอลิน มีเครื่องดนตรี มีหน้าทับ๒ ที่มันมีกลิ่นอายของความเป็นภูมิภาคนั้น รวมทั้ง ภาคอีสานและภาคกลาง ด้วยจังหวะต่าง ๆ ที่มันเห็นได้ชัดของแต่ละภูมิภาค...” (เรื่องเดียวกัน) ๒ หน้าทับ หรือหน้าที่ของ “ทับ” (ซึ่งเป็นเครื่องที่ขึงด้วยหนังชิ้นแรกที่ไทยได้แบบอย่างมาจากอินเดีย) คือ การตีประกอบจังหวะ ให้ถูกต้อง กลมกลืนกันกับทำ�นองเพลงที่ร้องหรือบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีหรือกล่าวได้ว่าทับก็ต้องตีเป็นเพลงเหมือนกัน แต่เสียงและหน้าที่ ของทับไม่เอื้ออำ�นวย จึงตีเป็นทำ�นองไม่ได้เช่นเครื่องอื่น ๆ จึงต้องตีตามหน้าที่และเสียงของตนตามบทเพลงนั้น ๆ ต่อมาได้เพิ่มเติมเครื่องหนัง ประกอบจังหวะขึ้นอีก เช่น ตะโพน กลองแขก ฯลฯ แต่ก็ล้วนเลียนจากเสียง และมีหน้าที่ การตีดำ�เนินทำ�นองเช่นเดียวกับทับทั้งสิ้น (กรมศิลปากร, ๒๕๔๕: ๔๗) ๕๙
7 เพลงลำวสมเด็จ เดิมเป็นเพลงอัตรำ 2 ชั้น ส ำเนียงลำวเพลงหนึ่ง อยู่ในเพลงเรื่องลำวสมเด็จ เป็นเพลงเก่ำที่นิยมใช้บรรเลงกันในวงปี่พำทย์และเครื่องสำยมำช้ำนำน ต่อมำได้มีผู้น ำไปใช้เป็นเพลงร้องในกำร แสดงละคร โดยตัดท ำนองให้สั้นลงตำมควำมเหมำะสมของกำรแสดง (มนตรี ตรำโมท และวิเชียร กุลตัณฑ์, 2523: 458) ด้วยส ำนวนท ำนองของเพลงที่เป็นส ำเนียงลำว อำจอนุมำนบทเพลงแทนควำมเป็นลำวล้ำนนำได้ ทั้งนี้ ท ำนองเพลงยังสำมำรถปรับควำมช้ำเร็วได้ หำกหย่อนท ำนองให้ช้ำลง และเปลี่ยนจังหวะหน้ำทับกลอง ก็จะสำมำรถฟ้อนได้ เป็นกำรเพิ่มอรรถรสของควำมเป็นดนตรีล้ำนนำยิ่งขึ้น โน้ตเพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น - - - - - - - ล - - ซ ล ด ร - ด - - - ล - - - ซ - - - ฟ ล ซ ฟ ร - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - ร ด ล - ซ ล ด - - ฟํ ร ด ล ซ ด - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - - ฟ ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ฟ ล ซ ซ - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร (- - - - - ฟ - ลฺ - - - - - ด - ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร) หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง หน้ำทับกลองป่งป๊ง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - - เท่ง ติง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - (ป๊ะ) เท่ง ติง 2. เพลงต้นวรเชษฐ์ เพลงต้นวรเชษฐ์ หรือต้นบรเทศ 2 ชั้นและชั้นเดียว เป็นเพลงสองไม้และเพลงเร็ว ซึ่งมีมำแต่โบรำณ นำยกล้อย ณ บำงช้ำง ได้แต่งขึ้นเป็น 3 ชั้น ให้มีเชิงส ำนวนเป็นประโยคคู่ตลอดเพลง ต่อมำจึงมีผู้ถอดส ำนวน ท ำนองลงตำมแบบ 3 ชั้น ของนำยกล้อย ณ บำงช้ำง ลงเป็น 2 ชั้นและชั้นเดียวเสียใหม่ ผิดจำกที่มีมำแล้ว แต่โบรำณ เป็นเพลงที่มีควำมหมำยไปในเชิงพลอดรักอย่ำงสัพยอก (เรื่องเดียวกัน: 347) ส ำหรับท ำนองเพลง ต้นวรเชษฐ์ที่น ำมำใช้ในกำรแสดงชุดนี้ เป็นท ำนองอัตรำ 2 ชั้น ซึ่งเดิมทีนั้นมีระบ ำชุดหนึ่ง เรียกว่ำระบ ำ ต้นวรเชษฐ์ เป็นกำรแสดงแบบมำตรฐำนอย่ำงหนึ่งที่เน้นลีลำท่ำร ำสนุกสนำนรื่นเริง ควำมพร้อมเพรียงใน จังหวะท่ำร ำ ไม่มีค ำร้อง ลักษณะส ำนวนท ำนองมีควำมกระชับกว่ำท ำนองเพลงลำวสมเด็จ จึงเลือกเพลงนี้ให้ อยู่ในล ำดับเพลงที่ 2 เนื่องด้วยจังหวะที่มีอัตรำควำมเร็วเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังมีกำรใช้จังหวะหน้ำทับที่ปรับปรุงขึ้น ให้สอดคล้องตำมกระสวนท ำนองของเพลงอีกด้วย โน้ตเพลงต้นวรเชษฐ์ 2 ชั้น ท่อน 1 - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - 7 เพลงลำวสมเด็จ เดิมเป็นเพลงอัตรำ 2 ชั้น ส ำเนียงลำวเพลงหนึ่ง อยู่ในเพลงเรื่องลำวสมเด็จ เป็นเพลงเก่ำที่นิยมใช้บรรเลงกันในวงปี่พำทย์และเครื่องสำยมำช้ำนำน ต่อมำได้มีผู้น ำไปใช้เป็นเพลงร้องในกำร แสดงละคร โดยตัดท ำนองให้สั้นลงตำมควำมเหมำะสมของกำรแสดง (มนตรี ตรำโมท และวิเชียร กุลตัณฑ์, 2523: 458) ด้วยส ำนวนท ำนองของเพลงที่เป็นส ำเนียงลำว อำจอนุมำนบทเพลงแทนควำมเป็นลำวล้ำนนำได้ ทั้งนี้ ท ำนองเพลงยังสำมำรถปรับควำมช้ำเร็วได้ หำกหย่อนท ำนองให้ช้ำลง และเปลี่ยนจังหวะหน้ำทับกลอง ก็จะสำมำรถฟ้อนได้ เป็นกำรเพิ่มอรรถรสของควำมเป็นดนตรีล้ำนนำยิ่งขึ้น โน้ตเพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น - - - - - - - ล - - ซ ล ด ร - ด - - - ล - - - ซ - - - ฟ ล ซ ฟ ร - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - ร ด ล - ซ ล ด - - ฟํ ร ด ล ซ ด - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - - ฟ ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ฟ ล ซ ซ - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร (- - - - - ฟ - ลฺ - - - - - ด - ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร) หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง หน้ำทับกลองป่งป๊ง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - - เท่ง ติง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - (ป๊ะ) เท่ง ติง 2. เพลงต้นวรเชษฐ์ เพลงต้นวรเชษฐ์ หรือต้นบรเทศ 2 ชั้นและชั้นเดียว เป็นเพลงสองไม้และเพลงเร็ว ซึ่งมีมำแต่โบรำณ นำยกล้อย ณ บำงช้ำง ได้แต่งขึ้นเป็น 3 ชั้น ให้มีเชิงส ำนวนเป็นประโยคคู่ตลอดเพลง ต่อมำจึงมีผู้ถอดส ำนวน ท ำนองลงตำมแบบ 3 ชั้น ของนำยกล้อย ณ บำงช้ำง ลงเป็น 2 ชั้นและชั้นเดียวเสียใหม่ ผิดจำกที่มีมำแล้ว แต่โบรำณ เป็นเพลงที่มีควำมหมำยไปในเชิงพลอดรักอย่ำงสัพยอก (เรื่องเดียวกัน: 347) ส ำหรับท ำนองเพลง ต้นวรเชษฐ์ที่น ำมำใช้ในกำรแสดงชุดนี้ เป็นท ำนองอัตรำ 2 ชั้น ซึ่งเดิมทีนั้นมีระบ ำชุดหนึ่ง เรียกว่ำระบ ำ ต้นวรเชษฐ์ เป็นกำรแสดงแบบมำตรฐำนอย่ำงหนึ่งที่เน้นลีลำท่ำร ำสนุกสนำนรื่นเริง ควำมพร้อมเพรียงใน จังหวะท่ำร ำ ไม่มีค ำร้อง ลักษณะส ำนวนท ำนองมีควำมกระชับกว่ำท ำนองเพลงลำวสมเด็จ จึงเลือกเพลงนี้ให้ อยู่ในล ำดับเพลงที่ 2 เนื่องด้วยจังหวะที่มีอัตรำควำมเร็วเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังมีกำรใช้จังหวะหน้ำทับที่ปรับปรุงขึ้น ให้สอดคล้องตำมกระสวนท ำนองของเพลงอีกด้วย โน้ตเพลงต้นวรเชษฐ์ 2 ชั้น ท่อน 1 - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ๒. เพลงต้นวรเชษฐ์ เพลงต้นวรเชษฐ์หรือต้นบรเทศ ๒ ชั้นและชั้นเดียว เป็นเพลงสองไม้และเพลงเร็ว ซึ่งมีมาแต่โบราณ นายกล้อย ณ บางช้าง ได้แต่งขึ้นเป็น ๓ ชั้น ให้มีเชิงสำ�นวนเป็นประโยคคู่ตลอดเพลง ต่อมาจึงมีผู้ถอดสำ�นวน ทำ�นองลงตามแบบ ๓ ชั้น ของนายกล้อย ณ บางช้าง ลงเป็น ๒ ชั้นและชั้นเดียวเสียใหม่ ผิดจากที่มีมาแล้ว แต่โบราณ เป็นเพลงที่มีความหมายไปในเชิงพลอดรักอย่างสัพยอก (เรื่องเดียวกัน: ๓๔๗) สำ�หรับทำ�นอง เพลงต้นวรเชษฐ์ที่นำ�มาใช้ในการแสดงชุดนี้เป็นทำ�นองอัตรา ๒ ชั้น ซึ่งเดิมทีนั้นมีระบำ�ชุดหนึ่ง เรียกว่าระบำ� ต้นวรเชษฐ์ เป็นการแสดงแบบมาตรฐานอย่างหนึ่งที่เน้นลีลาท่ารำ�สนุกสนานรื่นเริง ความพร้อมเพรียงใน จังหวะท่ารํา ไม่มีคำ�ร้อง ลักษณะสำ�นวนทำ�นองมีความกระชับกว่าทำ�นองเพลงลาวสมเด็จ จึงเลือกเพลงนี้ ให้อยู่ในลำ�ดับเพลงที่ ๒ เนื่องด้วยจังหวะที่มีอัตราความเร็วเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ยังมีการใช้จังหวะหน้าทับที่ปรับปรุงขึ้น ให้สอดคล้องตามกระสวนทำ�นองของเพลงอีกด้วย ๖๐ 7 เพลงลำวสมเด็จ เดิมเป็นเพลงอัตรำ 2 ชั้น ส ำเนียงลำวเพลงหนึ่ง อยู่ในเพลงเรื่องลำวสมเด็จ เป็นเพลงเก่ำที่นิยมใช้บรรเลงกันในวงปี่พำทย์และเครื่องสำยมำช้ำนำน ต่อมำได้มีผู้น ำไปใช้เป็นเพลงร้องในกำร แสดงละคร โดยตัดท ำนองให้สั้นลงตำมควำมเหมำะสมของกำรแสดง (มนตรี ตรำโมท และวิเชียร กุลตัณฑ์, 2523: 458) ด้วยส ำนวนท ำนองของเพลงที่เป็นส ำเนียงลำว อำจอนุมำนบทเพลงแทนควำมเป็นลำวล้ำนนำได้ ทั้งนี้ ท ำนองเพลงยังสำมำรถปรับควำมช้ำเร็วได้ หำกหย่อนท ำนองให้ช้ำลง และเปลี่ยนจังหวะหน้ำทับกลอง ก็จะสำมำรถฟ้อนได้ เป็นกำรเพิ่มอรรถรสของควำมเป็นดนตรีล้ำนนำยิ่งขึ้น โน้ตเพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น - - - - - - - ล - - ซ ล ด ร - ด - - - ล - - - ซ - - - ฟ ล ซ ฟ ร - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - ร ด ล - ซ ล ด - - ฟํ ร ด ล ซ ด - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - - ฟ ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ฟ ล ซ ซ - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร (- - - - - ฟ - ลฺ - - - - - ด - ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร) หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง หน้ำทับกลองป่งป๊ง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - - เท่ง ติง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - (ป๊ะ) เท่ง ติง 2. เพลงต้นวรเชษฐ์ เพลงต้นวรเชษฐ์ หรือต้นบรเทศ 2 ชั้นและชั้นเดียว เป็นเพลงสองไม้และเพลงเร็ว ซึ่งมีมำแต่โบรำณ นำยกล้อย ณ บำงช้ำง ได้แต่งขึ้นเป็น 3 ชั้น ให้มีเชิงส ำนวนเป็นประโยคคู่ตลอดเพลง ต่อมำจึงมีผู้ถอดส ำนวน ท ำนองลงตำมแบบ 3 ชั้น ของนำยกล้อย ณ บำงช้ำง ลงเป็น 2 ชั้นและชั้นเดียวเสียใหม่ ผิดจำกที่มีมำแล้ว แต่โบรำณ เป็นเพลงที่มีควำมหมำยไปในเชิงพลอดรักอย่ำงสัพยอก (เรื่องเดียวกัน: 347) ส ำหรับท ำนองเพลง ต้นวรเชษฐ์ที่น ำมำใช้ในกำรแสดงชุดนี้ เป็นท ำนองอัตรำ 2 ชั้น ซึ่งเดิมทีนั้นมีระบ ำชุดหนึ่ง เรียกว่ำระบ ำ ต้นวรเชษฐ์ เป็นกำรแสดงแบบมำตรฐำนอย่ำงหนึ่งที่เน้นลีลำท่ำร ำสนุกสนำนรื่นเริง ควำมพร้อมเพรียงใน จังหวะท่ำร ำ ไม่มีค ำร้อง ลักษณะส ำนวนท ำนองมีควำมกระชับกว่ำท ำนองเพลงลำวสมเด็จ จึงเลือกเพลงนี้ให้ อยู่ในล ำดับเพลงที่ 2 เนื่องด้วยจังหวะที่มีอัตรำควำมเร็วเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังมีกำรใช้จังหวะหน้ำทับที่ปรับปรุงขึ้น ให้สอดคล้องตำมกระสวนท ำนองของเพลงอีกด้วย โน้ตเพลงต้นวรเชษฐ์ 2 ชั้น ท่อน 1 - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - 7 เพลงลำวสมเด็จ เดิมเป็นเพลงอัตรำ 2 ชั้น ส ำเนียงลำวเพลงหนึ่ง อยู่ในเพลงเรื่องลำวสมเด็จ เป็นเพลงเก่ำที่นิยมใช้บรรเลงกันในวงปี่พำทย์และเครื่องสำยมำช้ำนำน ต่อมำได้มีผู้น ำไปใช้เป็นเพลงร้องในกำร แสดงละคร โดยตัดท ำนองให้สั้นลงตำมควำมเหมำะสมของกำรแสดง (มนตรี ตรำโมท และวิเชียร กุลตัณฑ์, 2523: 458) ด้วยส ำนวนท ำนองของเพลงที่เป็นส ำเนียงลำว อำจอนุมำนบทเพลงแทนควำมเป็นลำวล้ำนนำได้ ทั้งนี้ ท ำนองเพลงยังสำมำรถปรับควำมช้ำเร็วได้ หำกหย่อนท ำนองให้ช้ำลง และเปลี่ยนจังหวะหน้ำทับกลอง ก็จะสำมำรถฟ้อนได้ เป็นกำรเพิ่มอรรถรสของควำมเป็นดนตรีล้ำนนำยิ่งขึ้น โน้ตเพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น - - - - - - - ล - - ซ ล ด ร - ด - - - ล - - - ซ - - - ฟ ล ซ ฟ ร - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - ร ด ล - ซ ล ด - - ฟํ ร ด ล ซ ด - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - - ฟ ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ฟ ล ซ ซ - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร (- - - - - ฟ - ลฺ - - - - - ด - ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร) หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง หน้ำทับกลองป่งป๊ง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - - เท่ง ติง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - (ป๊ะ) เท่ง ติง 2. เพลงต้นวรเชษฐ์ เพลงต้นวรเชษฐ์ หรือต้นบรเทศ 2 ชั้นและชั้นเดียว เป็นเพลงสองไม้และเพลงเร็ว ซึ่งมีมำแต่โบรำณ นำยกล้อย ณ บำงช้ำง ได้แต่งขึ้นเป็น 3 ชั้น ให้มีเชิงส ำนวนเป็นประโยคคู่ตลอดเพลง ต่อมำจึงมีผู้ถอดส ำนวน ท ำนองลงตำมแบบ 3 ชั้น ของนำยกล้อย ณ บำงช้ำง ลงเป็น 2 ชั้นและชั้นเดียวเสียใหม่ ผิดจำกที่มีมำแล้ว แต่โบรำณ เป็นเพลงที่มีควำมหมำยไปในเชิงพลอดรักอย่ำงสัพยอก (เรื่องเดียวกัน: 347) ส ำหรับท ำนองเพลง ต้นวรเชษฐ์ที่น ำมำใช้ในกำรแสดงชุดนี้ เป็นท ำนองอัตรำ 2 ชั้น ซึ่งเดิมทีนั้นมีระบ ำชุดหนึ่ง เรียกว่ำระบ ำ ต้นวรเชษฐ์ เป็นกำรแสดงแบบมำตรฐำนอย่ำงหนึ่งที่เน้นลีลำท่ำร ำสนุกสนำนรื่นเริง ควำมพร้อมเพรียงใน จังหวะท่ำร ำ ไม่มีค ำร้อง ลักษณะส ำนวนท ำนองมีควำมกระชับกว่ำท ำนองเพลงลำวสมเด็จ จึงเลือกเพลงนี้ให้ อยู่ในล ำดับเพลงที่ 2 เนื่องด้วยจังหวะที่มีอัตรำควำมเร็วเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังมีกำรใช้จังหวะหน้ำทับที่ปรับปรุงขึ้น ให้สอดคล้องตำมกระสวนท ำนองของเพลงอีกด้วย โน้ตเพลงต้นวรเชษฐ์ 2 ชั้น ท่อน 1 - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ๒ ๒ ๑ 7 เพลงลำวสมเด็จ เดิมเป็นเพลงอัตรำ 2 ชั้น ส ำเนียงลำวเพลงหนึ่ง อยู่ในเพลงเรื่องลำวสมเด็จ เป็นเพลงเก่ำที่นิยมใช้บรรเลงกันในวงปี่พำทย์และเครื่องสำยมำช้ำนำน ต่อมำได้มีผู้น ำไปใช้เป็นเพลงร้องในกำร แสดงละคร โดยตัดท ำนองให้สั้นลงตำมควำมเหมำะสมของกำรแสดง (มนตรี ตรำโมท และวิเชียร กุลตัณฑ์, 2523: 458) ด้วยส ำนวนท ำนองของเพลงที่เป็นส ำเนียงลำว อำจอนุมำนบทเพลงแทนควำมเป็นลำวล้ำนนำได้ ทั้งนี้ ท ำนองเพลงยังสำมำรถปรับควำมช้ำเร็วได้ หำกหย่อนท ำนองให้ช้ำลง และเปลี่ยนจังหวะหน้ำทับกลอง ก็จะสำมำรถฟ้อนได้ เป็นกำรเพิ่มอรรถรสของควำมเป็นดนตรีล้ำนนำยิ่งขึ้น โน้ตเพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น - - - - - - - ล - - ซ ล ด ร - ด - - - ล - - - ซ - - - ฟ ล ซ ฟ ร - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - ร ด ล - ซ ล ด - - ฟํ ร ด ล ซ ด - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - - ฟ ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ฟ ล ซ ซ - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร (- - - - - ฟ - ลฺ - - - - - ด - ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร) หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง หน้ำทับกลองป่งป๊ง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - - เท่ง ติง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - (ป๊ะ) เท่ง ติง 2. เพลงต้นวรเชษฐ์ เพลงต้นวรเชษฐ์ หรือต้นบรเทศ 2 ชั้นและชั้นเดียว เป็นเพลงสองไม้และเพลงเร็ว ซึ่งมีมำแต่โบรำณ นำยกล้อย ณ บำงช้ำง ได้แต่งขึ้นเป็น 3 ชั้น ให้มีเชิงส ำนวนเป็นประโยคคู่ตลอดเพลง ต่อมำจึงมีผู้ถอดส ำนวน ท ำนองลงตำมแบบ 3 ชั้น ของนำยกล้อย ณ บำงช้ำง ลงเป็น 2 ชั้นและชั้นเดียวเสียใหม่ ผิดจำกที่มีมำแล้ว แต่โบรำณ เป็นเพลงที่มีควำมหมำยไปในเชิงพลอดรักอย่ำงสัพยอก (เรื่องเดียวกัน: 347) ส ำหรับท ำนองเพลง ต้นวรเชษฐ์ที่น ำมำใช้ในกำรแสดงชุดนี้ เป็นท ำนองอัตรำ 2 ชั้น ซึ่งเดิมทีนั้นมีระบ ำชุดหนึ่ง เรียกว่ำระบ ำ ต้นวรเชษฐ์ เป็นกำรแสดงแบบมำตรฐำนอย่ำงหนึ่งที่เน้นลีลำท่ำร ำสนุกสนำนรื่นเริง ควำมพร้อมเพรียงใน จังหวะท่ำร ำ ไม่มีค ำร้อง ลักษณะส ำนวนท ำนองมีควำมกระชับกว่ำท ำนองเพลงลำวสมเด็จ จึงเลือกเพลงนี้ให้ อยู่ในล ำดับเพลงที่ 2 เนื่องด้วยจังหวะที่มีอัตรำควำมเร็วเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังมีกำรใช้จังหวะหน้ำทับที่ปรับปรุงขึ้น ให้สอดคล้องตำมกระสวนท ำนองของเพลงอีกด้วย โน้ตเพลงต้นวรเชษฐ์ 2 ชั้น ท่อน 1 - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - 7 เพลงลำวสมเด็จ เดิมเป็นเพลงอัตรำ 2 ชั้น ส ำเนียงลำวเพลงหนึ่ง อยู่ในเพลงเรื่องลำวสมเด็จ เป็นเพลงเก่ำที่นิยมใช้บรรเลงกันในวงปี่พำทย์และเครื่องสำยมำช้ำนำน ต่อมำได้มีผู้น ำไปใช้เป็นเพลงร้องในกำร แสดงละคร โดยตัดท ำนองให้สั้นลงตำมควำมเหมำะสมของกำรแสดง (มนตรี ตรำโมท และวิเชียร กุลตัณฑ์, 2523: 458) ด้วยส ำนวนท ำนองของเพลงที่เป็นส ำเนียงลำว อำจอนุมำนบทเพลงแทนควำมเป็นลำวล้ำนนำได้ ทั้งนี้ ท ำนองเพลงยังสำมำรถปรับควำมช้ำเร็วได้ หำกหย่อนท ำนองให้ช้ำลง และเปลี่ยนจังหวะหน้ำทับกลอง ก็จะสำมำรถฟ้อนได้ เป็นกำรเพิ่มอรรถรสของควำมเป็นดนตรีล้ำนนำยิ่งขึ้น โน้ตเพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น - - - - - - - ล - - ซ ล ด ร - ด - - - ล - - - ซ - - - ฟ ล ซ ฟ ร - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - ร ด ล - ซ ล ด - - ฟํ ร ด ล ซ ด - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - - ฟ ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ฟ ล ซ ซ - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร (- - - - - ฟ - ลฺ - - - - - ด - ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร) หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง หน้ำทับกลองป่งป๊ง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - - เท่ง ติง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - (ป๊ะ) เท่ง ติง 2. เพลงต้นวรเชษฐ์ เพลงต้นวรเชษฐ์ หรือต้นบรเทศ 2 ชั้นและชั้นเดียว เป็นเพลงสองไม้และเพลงเร็ว ซึ่งมีมำแต่โบรำณ นำยกล้อย ณ บำงช้ำง ได้แต่งขึ้นเป็น 3 ชั้น ให้มีเชิงส ำนวนเป็นประโยคคู่ตลอดเพลง ต่อมำจึงมีผู้ถอดส ำนวน ท ำนองลงตำมแบบ 3 ชั้น ของนำยกล้อย ณ บำงช้ำง ลงเป็น 2 ชั้นและชั้นเดียวเสียใหม่ ผิดจำกที่มีมำแล้ว แต่โบรำณ เป็นเพลงที่มีควำมหมำยไปในเชิงพลอดรักอย่ำงสัพยอก (เรื่องเดียวกัน: 347) ส ำหรับท ำนองเพลง ต้นวรเชษฐ์ที่น ำมำใช้ในกำรแสดงชุดนี้ เป็นท ำนองอัตรำ 2 ชั้น ซึ่งเดิมทีนั้นมีระบ ำชุดหนึ่ง เรียกว่ำระบ ำ ต้นวรเชษฐ์ เป็นกำรแสดงแบบมำตรฐำนอย่ำงหนึ่งที่เน้นลีลำท่ำร ำสนุกสนำนรื่นเริง ควำมพร้อมเพรียงใน จังหวะท่ำร ำ ไม่มีค ำร้อง ลักษณะส ำนวนท ำนองมีควำมกระชับกว่ำท ำนองเพลงลำวสมเด็จ จึงเลือกเพลงนี้ให้ อยู่ในล ำดับเพลงที่ 2 เนื่องด้วยจังหวะที่มีอัตรำควำมเร็วเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังมีกำรใช้จังหวะหน้ำทับที่ปรับปรุงขึ้น ให้สอดคล้องตำมกระสวนท ำนองของเพลงอีกด้วย โน้ตเพลงต้นวรเชษฐ์ 2 ชั้น ท่อน 1 - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - 7 เพลงลำวสมเด็จ เดิมเป็นเพลงอัตรำ 2 ชั้น ส ำเนียงลำวเพลงหนึ่ง อยู่ในเพลงเรื่องลำวสมเด็จ เป็นเพลงเก่ำที่นิยมใช้บรรเลงกันในวงปี่พำทย์และเครื่องสำยมำช้ำนำน ต่อมำได้มีผู้น ำไปใช้เป็นเพลงร้องในกำร แสดงละคร โดยตัดท ำนองให้สั้นลงตำมควำมเหมำะสมของกำรแสดง (มนตรี ตรำโมท และวิเชียร กุลตัณฑ์, 2523: 458) ด้วยส ำนวนท ำนองของเพลงที่เป็นส ำเนียงลำว อำจอนุมำนบทเพลงแทนควำมเป็นลำวล้ำนนำได้ ทั้งนี้ ท ำนองเพลงยังสำมำรถปรับควำมช้ำเร็วได้ หำกหย่อนท ำนองให้ช้ำลง และเปลี่ยนจังหวะหน้ำทับกลอง ก็จะสำมำรถฟ้อนได้ เป็นกำรเพิ่มอรรถรสของควำมเป็นดนตรีล้ำนนำยิ่งขึ้น โน้ตเพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น - - - - - - - ล - - ซ ล ด ร - ด - - - ล - - - ซ - - - ฟ ล ซ ฟ ร - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - ร ด ล - ซ ล ด - - ฟํ ร ด ล ซ ด - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - - ฟ ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ฟ ล ซ ซ - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร (- - - - - ฟ - ลฺ - - - - - ด - ร - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - ม - ร ด ลฺ ด ร) หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง หน้ำทับกลองป่งป๊ง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - - เท่ง ติง - - - ติง - ติง - ติง เท่ง - ติง เท่ง - (ป๊ะ) เท่ง ติง 2. เพลงต้นวรเชษฐ์ เพลงต้นวรเชษฐ์ หรือต้นบรเทศ 2 ชั้นและชั้นเดียว เป็นเพลงสองไม้และเพลงเร็ว ซึ่งมีมำแต่โบรำณ นำยกล้อย ณ บำงช้ำง ได้แต่งขึ้นเป็น 3 ชั้น ให้มีเชิงส ำนวนเป็นประโยคคู่ตลอดเพลง ต่อมำจึงมีผู้ถอดส ำนวน ท ำนองลงตำมแบบ 3 ชั้น ของนำยกล้อย ณ บำงช้ำง ลงเป็น 2 ชั้นและชั้นเดียวเสียใหม่ ผิดจำกที่มีมำแล้ว แต่โบรำณ เป็นเพลงที่มีควำมหมำยไปในเชิงพลอดรักอย่ำงสัพยอก (เรื่องเดียวกัน: 347) ส ำหรับท ำนองเพลง ต้นวรเชษฐ์ที่น ำมำใช้ในกำรแสดงชุดนี้ เป็นท ำนองอัตรำ 2 ชั้น ซึ่งเดิมทีนั้นมีระบ ำชุดหนึ่ง เรียกว่ำระบ ำ ต้นวรเชษฐ์ เป็นกำรแสดงแบบมำตรฐำนอย่ำงหนึ่งที่เน้นลีลำท่ำร ำสนุกสนำนรื่นเริง ควำมพร้อมเพรียงใน จังหวะท่ำร ำ ไม่มีค ำร้อง ลักษณะส ำนวนท ำนองมีควำมกระชับกว่ำท ำนองเพลงลำวสมเด็จ จึงเลือกเพลงนี้ให้ อยู่ในล ำดับเพลงที่ 2 เนื่องด้วยจังหวะที่มีอัตรำควำมเร็วเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังมีกำรใช้จังหวะหน้ำทับที่ปรับปรุงขึ้น ให้สอดคล้องตำมกระสวนท ำนองของเพลงอีกด้วย โน้ตเพลงต้นวรเชษฐ์ 2 ชั้น ท่อน 1 - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ด - ม ร ด - ล - - - ซ - - - ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - -
8 ท่อน 2 - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด ม ร ซ ม - - - - - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 3 - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 4 - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - - ล - ซ - ฟ - ม - - - - - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - ด ล ด ซ ด ล ด ซ - - - - หน้ำทับเฉพำะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - ติง - ทั่ง - - - - 3. เพลงตำรีบุหงำร ำไป ตำรีบุหงำร ำไป เป็นกำรแสดงเพื่อเฉลิมฉลองพิธีกำรทำงศำสนำของชำวมุสลิมภำคใต้อำทิ งำนแห่นก แต่งงำน เข้ำสุหนัต ค ำว่ำ “ตำรี” แปลว่ำ ระบ ำ ค ำว่ำ “บุหงำร ำไป” แปลว่ำ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม มือทั้งสองของผู้แสดงจะถือพำนดอกไม้เพื่อที่จะน ำไปร่วมพิธี ดอกไม้ในพำนมีด้วยกันสองชนิดคือ บุหงำร ำไป และบุหงำอำไร ลีลำของท่ำร ำ จะมีท่วงทีที่ทั้งอ่อนช้อย และรวดเร็ว อันแสดงถึงสตรีไทยทำงภำคใต้ที่มีควำม กระฉับกระเฉงว่องไว (เศกสรร แสงจินดำวงศ์เมือง, 2550) โน้ตเพลงตำรีบุหงำร ำไป - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ฟ ซ - - ฟ ม - ร ด - ร ด ท ด - ร - ม - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ท - - - ด ท - ล ซ - ฟ - ม ฟ ซ ล ม ฟ - - - - - ด - ฟ - - - ซ ล ซ ฟ ม - - - ร - ม ร ด ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - - - ซ ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ - - - - ด ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ หน้ำทับกลองร ำมะนำ - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง 4. เพลงลำวเจ้ำซูประกอบกำรแสดงของนักแสดงภำคอีสำน เพลงลำวเจ้ำซู อัตรำสองชั้น (บ้ำงก็เรียก “ลำวเจ้ำสู”) ไม่ปรำกฏนำมผู้แต่ง เป็นเพลงส ำเนียงลำวที่ ไพเรำะคุ้นหูมำกที่สุดเพลงหนึ่ง เคยเป็นเพลงประกอบกำรแสดงละครเรื่อง “พระลอ” (วิพล นำคพันธ์, 2554) ๓. เพลงตารีบุหงารำ ไป ตารีบุหงารำ�ไป เป็นการแสดงเพื่อเฉลิมฉลองพิธีการทางศาสนาของชาวมุสลิมภาคใต้ อาทิ งานแห่นก แต่งงาน เข้าสุหนัต คำ�ว่า “ตารี” แปลว่า ระบำ คำ�ว่า “บุหงารำ ไป” แปลว่า ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม มือทั้งสองของผู้แสดงจะถือพานดอกไม้เพื่อที่จะนำ�ไปร่วมพิธีดอกไม้ในพานมีด้วยกันสองชนิด คือ บุหงารำ�ไป และบุหงาอาไร ลีลาของท่ารำ�จะมีท่วงทีที่ทั้งอ่อนช้อยและรวดเร็ว อันแสดงถึงสตรีไทยทางภาคใต้ที่มีความ กระฉับกระเฉงว่องไว (เศกสรร แสงจินดาวงศ์เมือง, ๒๕๕๐) 8 ท่อน 2 - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด ม ร ซ ม - - - - - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 3 - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 4 - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - - ล - ซ - ฟ - ม - - - - - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - ด ล ด ซ ด ล ด ซ - - - - หน้ำทับเฉพำะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - ติง - ทั่ง - - - - 3. เพลงตำรีบุหงำร ำไป ตำรีบุหงำร ำไป เป็นกำรแสดงเพื่อเฉลิมฉลองพิธีกำรทำงศำสนำของชำวมุสลิมภำคใต้อำทิ งำนแห่นก แต่งงำน เข้ำสุหนัต ค ำว่ำ “ตำรี” แปลว่ำ ระบ ำ ค ำว่ำ “บุหงำร ำไป” แปลว่ำ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม มือทั้งสองของผู้แสดงจะถือพำนดอกไม้เพื่อที่จะน ำไปร่วมพิธี ดอกไม้ในพำนมีด้วยกันสองชนิดคือ บุหงำร ำไป และบุหงำอำไร ลีลำของท่ำร ำ จะมีท่วงทีที่ทั้งอ่อนช้อย และรวดเร็ว อันแสดงถึงสตรีไทยทำงภำคใต้ที่มีควำม กระฉับกระเฉงว่องไว (เศกสรร แสงจินดำวงศ์เมือง, 2550) โน้ตเพลงตำรีบุหงำร ำไป - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ฟ ซ - - ฟ ม - ร ด - ร ด ท ด - ร - ม - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ท - - - ด ท - ล ซ - ฟ - ม ฟ ซ ล ม ฟ - - - - - ด - ฟ - - - ซ ล ซ ฟ ม - - - ร - ม ร ด ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - - - ซ ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ - - - - ด ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ หน้ำทับกลองร ำมะนำ - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง 4. เพลงลำวเจ้ำซูประกอบกำรแสดงของนักแสดงภำคอีสำน เพลงลำวเจ้ำซู อัตรำสองชั้น (บ้ำงก็เรียก “ลำวเจ้ำสู”) ไม่ปรำกฏนำมผู้แต่ง เป็นเพลงส ำเนียงลำวที่ ไพเรำะคุ้นหูมำกที่สุดเพลงหนึ่ง เคยเป็นเพลงประกอบกำรแสดงละครเรื่อง “พระลอ” (วิพล นำคพันธ์, 2554) ๖๑ ๒ ๓ 8 ท่อน 2 - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด ม ร ซ ม - - - - - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 3 - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 4 - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - - ล - ซ - ฟ - ม - - - - - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - ด ล ด ซ ด ล ด ซ - - - - หน้ำทับเฉพำะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - ติง - ทั่ง - - - - 3. เพลงตำรีบุหงำร ำไป ตำรีบุหงำร ำไป เป็นกำรแสดงเพื่อเฉลิมฉลองพิธีกำรทำงศำสนำของชำวมุสลิมภำคใต้อำทิ งำนแห่นก แต่งงำน เข้ำสุหนัต ค ำว่ำ “ตำรี” แปลว่ำ ระบ ำ ค ำว่ำ “บุหงำร ำไป” แปลว่ำ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม มือทั้งสองของผู้แสดงจะถือพำนดอกไม้เพื่อที่จะน ำไปร่วมพิธี ดอกไม้ในพำนมีด้วยกันสองชนิดคือ บุหงำร ำไป และบุหงำอำไร ลีลำของท่ำร ำ จะมีท่วงทีที่ทั้งอ่อนช้อย และรวดเร็ว อันแสดงถึงสตรีไทยทำงภำคใต้ที่มีควำม กระฉับกระเฉงว่องไว (เศกสรร แสงจินดำวงศ์เมือง, 2550) โน้ตเพลงตำรีบุหงำร ำไป - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ฟ ซ - - ฟ ม - ร ด - ร ด ท ด - ร - ม - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ท - - - ด ท - ล ซ - ฟ - ม ฟ ซ ล ม ฟ - - - - - ด - ฟ - - - ซ ล ซ ฟ ม - - - ร - ม ร ด ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - - - ซ ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ - - - - ด ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ หน้ำทับกลองร ำมะนำ - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง 4. เพลงลำวเจ้ำซูประกอบกำรแสดงของนักแสดงภำคอีสำน เพลงลำวเจ้ำซู อัตรำสองชั้น (บ้ำงก็เรียก “ลำวเจ้ำสู”) ไม่ปรำกฏนำมผู้แต่ง เป็นเพลงส ำเนียงลำวที่ ไพเรำะคุ้นหูมำกที่สุดเพลงหนึ่ง เคยเป็นเพลงประกอบกำรแสดงละครเรื่อง “พระลอ” (วิพล นำคพันธ์, 2554) 8 ท่อน 2 - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด ม ร ซ ม - - - - - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 3 - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 4 - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - - ล - ซ - ฟ - ม - - - - - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - ด ล ด ซ ด ล ด ซ - - - - หน้ำทับเฉพำะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - ติง - ทั่ง - - - - 3. เพลงตำรีบุหงำร ำไป ตำรีบุหงำร ำไป เป็นกำรแสดงเพื่อเฉลิมฉลองพิธีกำรทำงศำสนำของชำวมุสลิมภำคใต้อำทิ งำนแห่นก แต่งงำน เข้ำสุหนัต ค ำว่ำ “ตำรี” แปลว่ำ ระบ ำ ค ำว่ำ “บุหงำร ำไป” แปลว่ำ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม มือทั้งสองของผู้แสดงจะถือพำนดอกไม้เพื่อที่จะน ำไปร่วมพิธี ดอกไม้ในพำนมีด้วยกันสองชนิดคือ บุหงำร ำไป และบุหงำอำไร ลีลำของท่ำร ำ จะมีท่วงทีที่ทั้งอ่อนช้อย และรวดเร็ว อันแสดงถึงสตรีไทยทำงภำคใต้ที่มีควำม กระฉับกระเฉงว่องไว (เศกสรร แสงจินดำวงศ์เมือง, 2550) โน้ตเพลงตำรีบุหงำร ำไป - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ฟ ซ - - ฟ ม - ร ด - ร ด ท ด - ร - ม - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ท - - - ด ท - ล ซ - ฟ - ม ฟ ซ ล ม ฟ - - - - - ด - ฟ - - - ซ ล ซ ฟ ม - - - ร - ม ร ด ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - - - ซ ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ - - - - ด ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ หน้ำทับกลองร ำมะนำ - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง 4. เพลงลำวเจ้ำซูประกอบกำรแสดงของนักแสดงภำคอีสำน เพลงลำวเจ้ำซู อัตรำสองชั้น (บ้ำงก็เรียก “ลำวเจ้ำสู”) ไม่ปรำกฏนำมผู้แต่ง เป็นเพลงส ำเนียงลำวที่ ไพเรำะคุ้นหูมำกที่สุดเพลงหนึ่ง เคยเป็นเพลงประกอบกำรแสดงละครเรื่อง “พระลอ” (วิพล นำคพันธ์, 2554) 8 ท่อน 2 - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด ม ร ซ ม - - - - - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 3 - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 4 - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - - ล - ซ - ฟ - ม - - - - - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - ด ล ด ซ ด ล ด ซ - - - - หน้ำทับเฉพำะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - ติง - ทั่ง - - - - 3. เพลงตำรีบุหงำร ำไป ตำรีบุหงำร ำไป เป็นกำรแสดงเพื่อเฉลิมฉลองพิธีกำรทำงศำสนำของชำวมุสลิมภำคใต้อำทิ งำนแห่นก แต่งงำน เข้ำสุหนัต ค ำว่ำ “ตำรี” แปลว่ำ ระบ ำ ค ำว่ำ “บุหงำร ำไป” แปลว่ำ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม มือทั้งสองของผู้แสดงจะถือพำนดอกไม้เพื่อที่จะน ำไปร่วมพิธี ดอกไม้ในพำนมีด้วยกันสองชนิดคือ บุหงำร ำไป และบุหงำอำไร ลีลำของท่ำร ำ จะมีท่วงทีที่ทั้งอ่อนช้อย และรวดเร็ว อันแสดงถึงสตรีไทยทำงภำคใต้ที่มีควำม กระฉับกระเฉงว่องไว (เศกสรร แสงจินดำวงศ์เมือง, 2550) โน้ตเพลงตำรีบุหงำร ำไป - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ฟ ซ - - ฟ ม - ร ด - ร ด ท ด - ร - ม - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ท - - - ด ท - ล ซ - ฟ - ม ฟ ซ ล ม ฟ - - - - - ด - ฟ - - - ซ ล ซ ฟ ม - - - ร - ม ร ด ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - - - ซ ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ - - - - ด ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ หน้ำทับกลองร ำมะนำ - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง 4. เพลงลำวเจ้ำซูประกอบกำรแสดงของนักแสดงภำคอีสำน เพลงลำวเจ้ำซู อัตรำสองชั้น (บ้ำงก็เรียก “ลำวเจ้ำสู”) ไม่ปรำกฏนำมผู้แต่ง เป็นเพลงส ำเนียงลำวที่ ไพเรำะคุ้นหูมำกที่สุดเพลงหนึ่ง เคยเป็นเพลงประกอบกำรแสดงละครเรื่อง “พระลอ” (วิพล นำคพันธ์, 2554) 8 ท่อน 2 - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด ม ร ซ ม - - - - - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 3 - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 4 - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - - ล - ซ - ฟ - ม - - - - - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - ด ล ด ซ ด ล ด ซ - - - - หน้ำทับเฉพำะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - ติง - ทั่ง - - - - 3. เพลงตำรีบุหงำร ำไป ตำรีบุหงำร ำไป เป็นกำรแสดงเพื่อเฉลิมฉลองพิธีกำรทำงศำสนำของชำวมุสลิมภำคใต้อำทิ งำนแห่นก แต่งงำน เข้ำสุหนัต ค ำว่ำ “ตำรี” แปลว่ำ ระบ ำ ค ำว่ำ “บุหงำร ำไป” แปลว่ำ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม มือทั้งสองของผู้แสดงจะถือพำนดอกไม้เพื่อที่จะน ำไปร่วมพิธี ดอกไม้ในพำนมีด้วยกันสองชนิดคือ บุหงำร ำไป และบุหงำอำไร ลีลำของท่ำร ำ จะมีท่วงทีที่ทั้งอ่อนช้อย และรวดเร็ว อันแสดงถึงสตรีไทยทำงภำคใต้ที่มีควำม กระฉับกระเฉงว่องไว (เศกสรร แสงจินดำวงศ์เมือง, 2550) โน้ตเพลงตำรีบุหงำร ำไป - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ฟ ซ - - ฟ ม - ร ด - ร ด ท ด - ร - ม - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ท - - - ด ท - ล ซ - ฟ - ม ฟ ซ ล ม ฟ - - - - - ด - ฟ - - - ซ ล ซ ฟ ม - - - ร - ม ร ด ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - - - ซ ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ - - - - ด ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ หน้ำทับกลองร ำมะนำ - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง 4. เพลงลำวเจ้ำซูประกอบกำรแสดงของนักแสดงภำคอีสำน เพลงลำวเจ้ำซู อัตรำสองชั้น (บ้ำงก็เรียก “ลำวเจ้ำสู”) ไม่ปรำกฏนำมผู้แต่ง เป็นเพลงส ำเนียงลำวที่ ไพเรำะคุ้นหูมำกที่สุดเพลงหนึ่ง เคยเป็นเพลงประกอบกำรแสดงละครเรื่อง “พระลอ” (วิพล นำคพันธ์, 2554) 8 ท่อน 2 - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด ม ร ซ ม - - - - - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 3 - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 4 - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - - ล - ซ - ฟ - ม - - - - - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - ด ล ด ซ ด ล ด ซ - - - - หน้ำทับเฉพำะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - ติง - ทั่ง - - - - 3. เพลงตำรีบุหงำร ำไป ตำรีบุหงำร ำไป เป็นกำรแสดงเพื่อเฉลิมฉลองพิธีกำรทำงศำสนำของชำวมุสลิมภำคใต้อำทิ งำนแห่นก แต่งงำน เข้ำสุหนัต ค ำว่ำ “ตำรี” แปลว่ำ ระบ ำ ค ำว่ำ “บุหงำร ำไป” แปลว่ำ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม มือทั้งสองของผู้แสดงจะถือพำนดอกไม้เพื่อที่จะน ำไปร่วมพิธี ดอกไม้ในพำนมีด้วยกันสองชนิดคือ บุหงำร ำไป และบุหงำอำไร ลีลำของท่ำร ำ จะมีท่วงทีที่ทั้งอ่อนช้อย และรวดเร็ว อันแสดงถึงสตรีไทยทำงภำคใต้ที่มีควำม กระฉับกระเฉงว่องไว (เศกสรร แสงจินดำวงศ์เมือง, 2550) โน้ตเพลงตำรีบุหงำร ำไป - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ฟ ซ - - ฟ ม - ร ด - ร ด ท ด - ร - ม - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ท - - - ด ท - ล ซ - ฟ - ม ฟ ซ ล ม ฟ - - - - - ด - ฟ - - - ซ ล ซ ฟ ม - - - ร - ม ร ด ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - - - ซ ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ - - - - ด ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ หน้ำทับกลองร ำมะนำ - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง 4. เพลงลำวเจ้ำซูประกอบกำรแสดงของนักแสดงภำคอีสำน เพลงลำวเจ้ำซู อัตรำสองชั้น (บ้ำงก็เรียก “ลำวเจ้ำสู”) ไม่ปรำกฏนำมผู้แต่ง เป็นเพลงส ำเนียงลำวที่ ไพเรำะคุ้นหูมำกที่สุดเพลงหนึ่ง เคยเป็นเพลงประกอบกำรแสดงละครเรื่อง “พระลอ” (วิพล นำคพันธ์, 2554) ๔
8 ท่อน 2 - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด ม ร ซ ม - - - - - ซ ซ ซ ม ซ - ม - - ซ ร ม ด ร ม - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 3 - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - - ล - ด - ล - ซ - - - - - ฟ ฟ ฟ - ซ - ฟ - - - ม - - - ร - - - - ซ ม ร ด - ร - ด - - - - ท่อน 4 - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - - ล - ซ - ฟ - ม - - - - - ด ด ด - ล - ด - ม ร ด - ล - ซ - - - - ด ล ด ซ ด ล ด ซ - - - - หน้ำทับเฉพำะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทั่ง - - - - - ติง - ทั่ง - ติง - ทั่ง - - - - 3. เพลงตำรีบุหงำร ำไป ตำรีบุหงำร ำไป เป็นกำรแสดงเพื่อเฉลิมฉลองพิธีกำรทำงศำสนำของชำวมุสลิมภำคใต้อำทิ งำนแห่นก แต่งงำน เข้ำสุหนัต ค ำว่ำ “ตำรี” แปลว่ำ ระบ ำ ค ำว่ำ “บุหงำร ำไป” แปลว่ำ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม มือทั้งสองของผู้แสดงจะถือพำนดอกไม้เพื่อที่จะน ำไปร่วมพิธี ดอกไม้ในพำนมีด้วยกันสองชนิดคือ บุหงำร ำไป และบุหงำอำไร ลีลำของท่ำร ำ จะมีท่วงทีที่ทั้งอ่อนช้อย และรวดเร็ว อันแสดงถึงสตรีไทยทำงภำคใต้ที่มีควำม กระฉับกระเฉงว่องไว (เศกสรร แสงจินดำวงศ์เมือง, 2550) โน้ตเพลงตำรีบุหงำร ำไป - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ฟ ซ - - ฟ ม - ร ด - ร ด ท ด - ร - ม - - - - - ท - ม ท ม ฟ ซ ล - ท - - - ด ท - ล ซ - ฟ - ม ฟ ซ ล ม ฟ - - - - - ด - ฟ - - - ซ ล ซ ฟ ม - - - ร - ม ร ด ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - ด ฟ - ฟ - - ม - ฟ ซ ฟ ม - ฟ - - - - ซ ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ - - - - ด ฟ ม ร - - - ม - - - ฟ หน้ำทับกลองร ำมะนำ - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง - โจ๊ะโจ๊ะ - - ทิง - ทิง 4. เพลงลำวเจ้ำซูประกอบกำรแสดงของนักแสดงภำคอีสำน เพลงลำวเจ้ำซู อัตรำสองชั้น (บ้ำงก็เรียก “ลำวเจ้ำสู”) ไม่ปรำกฏนำมผู้แต่ง เป็นเพลงส ำเนียงลำวที่ ไพเรำะคุ้นหูมำกที่สุดเพลงหนึ่ง เคยเป็นเพลงประกอบกำรแสดงละครเรื่อง “พระลอ” (วิพล นำคพันธ์, 2554) ๔. เพลงลาวเจ้าซู เพลงลาวเจ้าซูอัตราสองชั้น (บ้างก็เรียก “ลาวเจ้าสู”) ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง เป็นเพลงสำ�เนียงลาว ที่ไพเราะคุ้นหูมากที่สุดเพลงหนึ่ง เคยเป็นเพลงประกอบการแสดงละครเรื่อง “พระลอ” (วิพล นาคพันธ์, ๒๕๕๔) 9 โน้ตเพลงลำวเจ้ำซู ท่อน 1 (- - - - - - - - - ล ซ ฟ - ด - ร - - - - - ด - ร - ฟ - ล ซ ฟ - ซ) - - - - - ล - ด - - ร ด - ล - ซ ล ซ ฟ ร - ด - ร - ร ด ล - ซ - ฟ ท่อน 2 (- - - - - - - - ด ด ด ด - ด - ด - - - - - ฟํ - ร - ด - ฟ - ซ - ล) - - - - - ด ด ด - ล - ด - ร - ฟ - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ล ฟ - ซ - ล - - - ด - - - - - ร - ด - ร - ฟ - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ล ฟ - ซ - ล - - - ร - ร ร ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ล ซ ฟ ร - ด - ร - ร ด ล - ซ - ฟ หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง ขั้นที่ 2 แต่งบทร้อง เมื่อบรรจุเพลงทั้งหมดแล้ว จึงเข้ำสู่ขั้นตอนกำรแต่งบทร้อง โดยเริ่มจำกกำรค้นคว้ำ รวบรวมข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลเรื่องผ้ำแต่ละชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภำค ชื่อเรียกเฉพำะ วิธีกำรทอ กรรมวิธีกำรเฉพำะที่ท ำให้เกิดลวดลำยต่ำง ๆ แล้วคัดเลือกข้อมูลมำสังเครำะห์ เรียบเรียง จำกนั้นวำงเค้ำโครง บทร้องว่ำเนื้อหำของแต่ละเพลงจะประกอบด้วยผ้ำชนิดใดบ้ำงในภูมิภำคนั้น ๆ แล้วจึงเริ่มแต่งบทร้อง ตกแต่ง กำรเอื้อนในลักษณะของค ำประพันธ์ตำมท ำนองเพลง โดยเป็นบทร้องที่ใช้วิธีกำรร้องเคล้ำ3 ไปกับดนตรี บทร้องเพลงลำวสมเด็จ เทิดพระนำม “สิริกิติ์” สฤษฎ์สร้ำง วำงแนวทำงหัตถศิลป์ท้องถิ่นไทย สร้อย เทิดพระกำรุณย์ เอกองค์ค้ ำจุนศิลปำชีพไทย สำนสืบไว้ภูมิปัญญำผ้ำไทยระบือไกลทั่วสกล ผ้ำล้ำนนำหลำกตะกอทอด้วยหูก ผ้ำยกมุกลับแลยกดอกเมืองล ำพูน สร้อย ซิ่นนันทบุรีไหมต่ำงสอดสีซ้อนซับสลับลำย จกเมืองลองแม่แจ่มทั้งสองต่อซิ่นงำมตำ บทร้องเพลงต้นวรเชษฐ์ ชวนฟังเรื่องรำวกล่ำวถึงผ้ำของชำวไทยวน กลุ่มชำติพันธุ์ไทยหลำกล้วนครบถ้วนเรื่องทอ ตัวซิ่นลำยขวำงต่ำงยำวทอเข้ำเป็นลำย คำดอกสไบปล่อยชำยข้ำงซ้ำยพองำม ผ้ำจกตระกูลคูบัวชำวรำชบุรี ยืนเส้นด้ำยด ำครำมพื้นสีสันอื่นลวดลำย แทงเส้นวำดสำยลวดลำยนกสัตว์ไม้เครือเถำวัลย์ ภูมิปัญญำสร้ำงสรรค์ดังใจจินตนำแม่ป้ำย่ำยำย 3 เป็นกำรบรรเลงดนตรีไปพร้อม ๆ กับกำรร้อง โดยที่ดนตรีบรรเลงไปตำมทำงของเครื่องดนตรี มิได้บรรเลงตำมทำงร้อง คงยึดแต่เสียงที่ลงจังหวะ (หน้ำทับ) ให้ตกในเสียงเดียวกันเท่ำนั้น (กรมศิลปำกร, 2545: 85) ๖๒ ๑ ๒ 9 โน้ตเพลงลำวเจ้ำซู ท่อน 1 (- - - - - - - - - ล ซ ฟ - ด - ร - - - - - ด - ร - ฟ - ล ซ ฟ - ซ) - - - - - ล - ด - - ร ด - ล - ซ ล ซ ฟ ร - ด - ร - ร ด ล - ซ - ฟ ท่อน 2 (- - - - - - - - ด ด ด ด - ด - ด - - - - - ฟํ - ร - ด - ฟ - ซ - ล) - - - - - ด ด ด - ล - ด - ร - ฟ - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ล ฟ - ซ - ล - - - ด - - - - - ร - ด - ร - ฟ - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ล ฟ - ซ - ล - - - ร - ร ร ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ล ซ ฟ ร - ด - ร - ร ด ล - ซ - ฟ หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง ขั้นที่ 2 แต่งบทร้อง เมื่อบรรจุเพลงทั้งหมดแล้ว จึงเข้ำสู่ขั้นตอนกำรแต่งบทร้อง โดยเริ่มจำกกำรค้นคว้ำ รวบรวมข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลเรื่องผ้ำแต่ละชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภำค ชื่อเรียกเฉพำะ วิธีกำรทอ กรรมวิธีกำรเฉพำะที่ท ำให้เกิดลวดลำยต่ำง ๆ แล้วคัดเลือกข้อมูลมำสังเครำะห์ เรียบเรียง จำกนั้นวำงเค้ำโครง บทร้องว่ำเนื้อหำของแต่ละเพลงจะประกอบด้วยผ้ำชนิดใดบ้ำงในภูมิภำคนั้น ๆ แล้วจึงเริ่มแต่งบทร้อง ตกแต่ง กำรเอื้อนในลักษณะของค ำประพันธ์ตำมท ำนองเพลง โดยเป็นบทร้องที่ใช้วิธีกำรร้องเคล้ำ3 ไปกับดนตรี บทร้องเพลงลำวสมเด็จ เทิดพระนำม “สิริกิติ์” สฤษฎ์สร้ำง วำงแนวทำงหัตถศิลป์ท้องถิ่นไทย สร้อย เทิดพระกำรุณย์ เอกองค์ค้ ำจุนศิลปำชีพไทย สำนสืบไว้ภูมิปัญญำผ้ำไทยระบือไกลทั่วสกล ผ้ำล้ำนนำหลำกตะกอทอด้วยหูก ผ้ำยกมุกลับแลยกดอกเมืองล ำพูน สร้อย ซิ่นนันทบุรีไหมต่ำงสอดสีซ้อนซับสลับลำย จกเมืองลองแม่แจ่มทั้งสองต่อซิ่นงำมตำ บทร้องเพลงต้นวรเชษฐ์ ชวนฟังเรื่องรำวกล่ำวถึงผ้ำของชำวไทยวน กลุ่มชำติพันธุ์ไทยหลำกล้วนครบถ้วนเรื่องทอ ตัวซิ่นลำยขวำงต่ำงยำวทอเข้ำเป็นลำย คำดอกสไบปล่อยชำยข้ำงซ้ำยพองำม ผ้ำจกตระกูลคูบัวชำวรำชบุรี ยืนเส้นด้ำยด ำครำมพื้นสีสันอื่นลวดลำย แทงเส้นวำดสำยลวดลำยนกสัตว์ไม้เครือเถำวัลย์ ภูมิปัญญำสร้ำงสรรค์ดังใจจินตนำแม่ป้ำย่ำยำย 3 เป็นกำรบรรเลงดนตรีไปพร้อม ๆ กับกำรร้อง โดยที่ดนตรีบรรเลงไปตำมทำงของเครื่องดนตรี มิได้บรรเลงตำมทำงร้อง คงยึดแต่เสียงที่ลงจังหวะ (หน้ำทับ) ให้ตกในเสียงเดียวกันเท่ำนั้น (กรมศิลปำกร, 2545: 85) 9 โน้ตเพลงลำวเจ้ำซู ท่อน 1 (- - - - - - - - - ล ซ ฟ - ด - ร - - - - - ด - ร - ฟ - ล ซ ฟ - ซ) - - - - - ล - ด - - ร ด - ล - ซ ล ซ ฟ ร - ด - ร - ร ด ล - ซ - ฟ ท่อน 2 (- - - - - - - - ด ด ด ด - ด - ด - - - - - ฟํ - ร - ด - ฟ - ซ - ล) - - - - - ด ด ด - ล - ด - ร - ฟ - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ล ฟ - ซ - ล - - - ด - - - - - ร - ด - ร - ฟ - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ล ฟ - ซ - ล - - - ร - ร ร ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ล ซ ฟ ร - ด - ร - ร ด ล - ซ - ฟ หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง ขั้นที่ 2 แต่งบทร้อง เมื่อบรรจุเพลงทั้งหมดแล้ว จึงเข้ำสู่ขั้นตอนกำรแต่งบทร้อง โดยเริ่มจำกกำรค้นคว้ำ รวบรวมข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลเรื่องผ้ำแต่ละชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภำค ชื่อเรียกเฉพำะ วิธีกำรทอ กรรมวิธีกำรเฉพำะที่ท ำให้เกิดลวดลำยต่ำง ๆ แล้วคัดเลือกข้อมูลมำสังเครำะห์ เรียบเรียง จำกนั้นวำงเค้ำโครง บทร้องว่ำเนื้อหำของแต่ละเพลงจะประกอบด้วยผ้ำชนิดใดบ้ำงในภูมิภำคนั้น ๆ แล้วจึงเริ่มแต่งบทร้อง ตกแต่ง กำรเอื้อนในลักษณะของค ำประพันธ์ตำมท ำนองเพลง โดยเป็นบทร้องที่ใช้วิธีกำรร้องเคล้ำ3 ไปกับดนตรี บทร้องเพลงลำวสมเด็จ เทิดพระนำม “สิริกิติ์” สฤษฎ์สร้ำง วำงแนวทำงหัตถศิลป์ท้องถิ่นไทย สร้อย เทิดพระกำรุณย์ เอกองค์ค้ ำจุนศิลปำชีพไทย สำนสืบไว้ภูมิปัญญำผ้ำไทยระบือไกลทั่วสกล ผ้ำล้ำนนำหลำกตะกอทอด้วยหูก ผ้ำยกมุกลับแลยกดอกเมืองล ำพูน สร้อย ซิ่นนันทบุรีไหมต่ำงสอดสีซ้อนซับสลับลำย จกเมืองลองแม่แจ่มทั้งสองต่อซิ่นงำมตำ บทร้องเพลงต้นวรเชษฐ์ ชวนฟังเรื่องรำวกล่ำวถึงผ้ำของชำวไทยวน กลุ่มชำติพันธุ์ไทยหลำกล้วนครบถ้วนเรื่องทอ ตัวซิ่นลำยขวำงต่ำงยำวทอเข้ำเป็นลำย คำดอกสไบปล่อยชำยข้ำงซ้ำยพองำม ผ้ำจกตระกูลคูบัวชำวรำชบุรี ยืนเส้นด้ำยด ำครำมพื้นสีสันอื่นลวดลำย แทงเส้นวำดสำยลวดลำยนกสัตว์ไม้เครือเถำวัลย์ ภูมิปัญญำสร้ำงสรรค์ดังใจจินตนำแม่ป้ำย่ำยำย 3 เป็นกำรบรรเลงดนตรีไปพร้อม ๆ กับกำรร้อง โดยที่ดนตรีบรรเลงไปตำมทำงของเครื่องดนตรี มิได้บรรเลงตำมทำงร้อง คงยึดแต่เสียงที่ลงจังหวะ (หน้ำทับ) ให้ตกในเสียงเดียวกันเท่ำนั้น (กรมศิลปำกร, 2545: 85) 9 โน้ตเพลงลำวเจ้ำซู ท่อน 1 (- - - - - - - - - ล ซ ฟ - ด - ร - - - - - ด - ร - ฟ - ล ซ ฟ - ซ) - - - - - ล - ด - - ร ด - ล - ซ ล ซ ฟ ร - ด - ร - ร ด ล - ซ - ฟ ท่อน 2 (- - - - - - - - ด ด ด ด - ด - ด - - - - - ฟํ - ร - ด - ฟ - ซ - ล) - - - - - ด ด ด - ล - ด - ร - ฟ - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ล ฟ - ซ - ล - - - ด - - - - - ร - ด - ร - ฟ - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ล ฟ - ซ - ล - - - ร - ร ร ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ล ซ ฟ ร - ด - ร - ร ด ล - ซ - ฟ หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง ขั้นที่ 2 แต่งบทร้อง เมื่อบรรจุเพลงทั้งหมดแล้ว จึงเข้ำสู่ขั้นตอนกำรแต่งบทร้อง โดยเริ่มจำกกำรค้นคว้ำ รวบรวมข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลเรื่องผ้ำแต่ละชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภำค ชื่อเรียกเฉพำะ วิธีกำรทอ กรรมวิธีกำรเฉพำะที่ท ำให้เกิดลวดลำยต่ำง ๆ แล้วคัดเลือกข้อมูลมำสังเครำะห์ เรียบเรียง จำกนั้นวำงเค้ำโครง บทร้องว่ำเนื้อหำของแต่ละเพลงจะประกอบด้วยผ้ำชนิดใดบ้ำงในภูมิภำคนั้น ๆ แล้วจึงเริ่มแต่งบทร้อง ตกแต่ง กำรเอื้อนในลักษณะของค ำประพันธ์ตำมท ำนองเพลง โดยเป็นบทร้องที่ใช้วิธีกำรร้องเคล้ำ3 ไปกับดนตรี บทร้องเพลงลำวสมเด็จ เทิดพระนำม “สิริกิติ์” สฤษฎ์สร้ำง วำงแนวทำงหัตถศิลป์ท้องถิ่นไทย สร้อย เทิดพระกำรุณย์ เอกองค์ค้ ำจุนศิลปำชีพไทย สำนสืบไว้ภูมิปัญญำผ้ำไทยระบือไกลทั่วสกล ผ้ำล้ำนนำหลำกตะกอทอด้วยหูก ผ้ำยกมุกลับแลยกดอกเมืองล ำพูน สร้อย ซิ่นนันทบุรีไหมต่ำงสอดสีซ้อนซับสลับลำย จกเมืองลองแม่แจ่มทั้งสองต่อซิ่นงำมตำ บทร้องเพลงต้นวรเชษฐ์ ชวนฟังเรื่องรำวกล่ำวถึงผ้ำของชำวไทยวน กลุ่มชำติพันธุ์ไทยหลำกล้วนครบถ้วนเรื่องทอ ตัวซิ่นลำยขวำงต่ำงยำวทอเข้ำเป็นลำย คำดอกสไบปล่อยชำยข้ำงซ้ำยพองำม ผ้ำจกตระกูลคูบัวชำวรำชบุรี ยืนเส้นด้ำยด ำครำมพื้นสีสันอื่นลวดลำย แทงเส้นวำดสำยลวดลำยนกสัตว์ไม้เครือเถำวัลย์ ภูมิปัญญำสร้ำงสรรค์ดังใจจินตนำแม่ป้ำย่ำยำย 3 เป็นกำรบรรเลงดนตรีไปพร้อม ๆ กับกำรร้อง โดยที่ดนตรีบรรเลงไปตำมทำงของเครื่องดนตรี มิได้บรรเลงตำมทำงร้อง คงยึดแต่เสียงที่ลงจังหวะ (หน้ำทับ) ให้ตกในเสียงเดียวกันเท่ำนั้น (กรมศิลปำกร, 2545: 85) 9 โน้ตเพลงลำวเจ้ำซู ท่อน 1 (- - - - - - - - - ล ซ ฟ - ด - ร - - - - - ด - ร - ฟ - ล ซ ฟ - ซ) - - - - - ล - ด - - ร ด - ล - ซ ล ซ ฟ ร - ด - ร - ร ด ล - ซ - ฟ ท่อน 2 (- - - - - - - - ด ด ด ด - ด - ด - - - - - ฟํ - ร - ด - ฟ - ซ - ล) - - - - - ด ด ด - ล - ด - ร - ฟ - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ล ฟ - ซ - ล - - - ด - - - - - ร - ด - ร - ฟ - - - - ด ร ฟ ซ ล ซ ล ฟ - ซ - ล - - - ร - ร ร ร ด ลฺ ด ร - ฟ - ซ ล ซ ฟ ร - ด - ร - ร ด ล - ซ - ฟ หน้ำทับลำว - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง ขั้นที่ 2 แต่งบทร้อง เมื่อบรรจุเพลงทั้งหมดแล้ว จึงเข้ำสู่ขั้นตอนกำรแต่งบทร้อง โดยเริ่มจำกกำรค้นคว้ำ รวบรวมข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลเรื่องผ้ำแต่ละชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภำค ชื่อเรียกเฉพำะ วิธีกำรทอ กรรมวิธีกำรเฉพำะที่ท ำให้เกิดลวดลำยต่ำง ๆ แล้วคัดเลือกข้อมูลมำสังเครำะห์ เรียบเรียง จำกนั้นวำงเค้ำโครง บทร้องว่ำเนื้อหำของแต่ละเพลงจะประกอบด้วยผ้ำชนิดใดบ้ำงในภูมิภำคนั้น ๆ แล้วจึงเริ่มแต่งบทร้อง ตกแต่ง กำรเอื้อนในลักษณะของค ำประพันธ์ตำมท ำนองเพลง โดยเป็นบทร้องที่ใช้วิธีกำรร้องเคล้ำ3 ไปกับดนตรี บทร้องเพลงลำวสมเด็จ เทิดพระนำม “สิริกิติ์” สฤษฎ์สร้ำง วำงแนวทำงหัตถศิลป์ท้องถิ่นไทย สร้อย เทิดพระกำรุณย์ เอกองค์ค้ ำจุนศิลปำชีพไทย สำนสืบไว้ภูมิปัญญำผ้ำไทยระบือไกลทั่วสกล ผ้ำล้ำนนำหลำกตะกอทอด้วยหูก ผ้ำยกมุกลับแลยกดอกเมืองล ำพูน สร้อย ซิ่นนันทบุรีไหมต่ำงสอดสีซ้อนซับสลับลำย จกเมืองลองแม่แจ่มทั้งสองต่อซิ่นงำมตำ บทร้องเพลงต้นวรเชษฐ์ ชวนฟังเรื่องรำวกล่ำวถึงผ้ำของชำวไทยวน กลุ่มชำติพันธุ์ไทยหลำกล้วนครบถ้วนเรื่องทอ ตัวซิ่นลำยขวำงต่ำงยำวทอเข้ำเป็นลำย คำดอกสไบปล่อยชำยข้ำงซ้ำยพองำม ผ้ำจกตระกูลคูบัวชำวรำชบุรี ยืนเส้นด้ำยด ำครำมพื้นสีสันอื่นลวดลำย แทงเส้นวำดสำยลวดลำยนกสัตว์ไม้เครือเถำวัลย์ ภูมิปัญญำสร้ำงสรรค์ดังใจจินตนำแม่ป้ำย่ำยำย 3 เป็นกำรบรรเลงดนตรีไปพร้อม ๆ กับกำรร้อง โดยที่ดนตรีบรรเลงไปตำมทำงของเครื่องดนตรี มิได้บรรเลงตำมทำงร้อง คงยึดแต่เสียงที่ลงจังหวะ (หน้ำทับ) ให้ตกในเสียงเดียวกันเท่ำนั้น (กรมศิลปำกร, 2545: 85)
ขั้ นที่ ๒ แต่งบทร้อง เมื่อบรรจุเพลงทั้งหมดแล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนการแต่งบทร้องโดยเริ่มจากการค้นคว้า รวบรวมข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลเรื่องผ้าแต่ละชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด แต่ละภูมิภาค ชื่อเรียกเฉพาะ วิธีการทอ กรรมวิธีการเฉพาะที่ทำ�ให้เกิดลวดลายต่าง ๆ แล้วคัดเลือกข้อมูลมาสังเคราะห์เรียบเรียง จากนั้นวางเค้าโครง บทร้องว่าเนื้อหาของแต่ละเพลงจะประกอบด้วยผ้าชนิดใดบ้างในภูมิภาคนั้น ๆ แล้วจึงเริ่มแต่งบทร้อง ตกแต่ง การเอื้อนในลักษณะของคำ�ประพันธ์ตามทำ�นองเพลง โดยเป็นบทร้องที่ใช้วิธีการร้องเคล้า ๓ ไปกับดนตรี บทร้องเพลงลาวสมเด็จ เทิดพระนาม “สิริกิติ์” สฤษฎ์สร้าง วางแนวทางหัตถศิลป์ท้องถิ่นไทย สร้อย เทิดพระการุณย์เอกองค์คํ้าจุนศิลปาชีพไทย สานสืบไว้ภูมิปัญญาผ้าไทยระบือไกลทั่วสกล ผ้าล้านนาหลากตะกอทอด้วยหูก ผ้ายกมุกลับแลยกดอกเมืองลำ�พูน สร้อย ซิ่นนันทบุรีไหมต่างสอดสีซ้อนซับสลับลาย จกเมืองลองแม่แจ่มทั้งสองต่อซิ่นงามตา บทร้องเพลงต้นวรเชษฐ์ ชวนฟังเรื่องราวกล่าวถึงผ้าของชาวไทยวน กลุ่มชาติพันธุ์ไทยหลากล้วนครบถ้วนเรื่องทอ ตัวซิ่นลายขวางต่างยาวทอเข้าเป็นลาย คาดอกสไบปล่อยชายข้างซ้ายพองาม ผ้าจกตระกูลคูบัวชาวราชบุรี ยืนเส้นด้ายดำ�ครามพื้นสีสันอื่นลวดลาย แทงเส้นวาดสายลวดลายนกสัตว์ไม้เครือเถาวัลย์ ภูมิปัญญาสร้างสรรค์ดังใจจินตนาแม่ป้าย่ายาย บทร้องเพลงตารีบุหงารำ�ไป ปักษ์ใต้ล้วนผ้าทอฝากลวดลาย เรื่องราวร้อยเรียงชนข้างเคียงบอกที่มา จวนตานีล่องจวนดั้งเดิม ไหมฝ้ายทอเพิ่มเติมเส้นเงินทองแถบริ้วลาย พุมเรียงทอลวดลายเก่าแก่ ไทยมุสลิมเล่าชีวิตผ่านด้ายทอ ผ้ายกเมืองคอน กรวยเชิงซ้อนสลับสี ผ้าพื้นมีนาหมื่นศรีแลผ้าตา ๓ เป็นการบรรเลงดนตรีไปพร้อม ๆ กับการร้อง โดยที่ดนตรีบรรเลงไปตามทางของเครื่องดนตรีมิได้บรรเลงตามทางร้อง คงยึดแต่ เสียงที่ลงจังหวะ (หน้าทับ) ให้ตกในเสียงเดียวกันเท่านั้น (กรมศิลปากร, ๒๕๔๕: ๘๕) ๖๓
บทร้องเพลงลาวเจ้าซู ไหมแพรวาเลื่องลือขึ้นชื่อชาวภูไท (ซํ้า) ห่มสไบลายขิดสีสดสวย ผ้ากาบบัวอุบลนุ่งฟ้อนอ่อนสำ�รวย (ซํ้า) เอ๋ย มัดหมี่ย้อมด้วยก่อนทอต่อเส้นใย เอ๋ย (ซํ้า) ชนทั่วถ้วนล้วนภูมิใจผ้าไทยเอย ขั้ นที่ ๓ การปรับวงดนตรี ๑. การเลือกใช้วงดนตรีประกอบการแสดง วงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดง คือ วงปี่พาทย์ไม้นวม ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี ได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ขลุ่ยเพียงออ ซออู้ กลองแขก ตะโพน ฉิ่ง ฉาบเล็ก โหม่ง และกรับพวง วงปี่พาทย์ไม้นวม มักเป็นวงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงชุดระบํา ในหนังสือที่ระลึกงาน พระราชทานเพลิงศพนายโชติ ดุริยประณีต (อ้างถึงใน ภัทระ คมขำ�, ๒๕๖๑: ๔๓) ยังได้อธิบายเรื่องการ ประสมวงปี่พาทย์ไม้นวมว่า นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีอื่น ๆ ที่ใช้ประกอบในแต่ละบทเพลงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ และให้สำ�เนียง ดนตรีแต่ละภาค ได้แก่ ฉาบใหญ่ และขลุ่ยหลิบ แทนสำ�เนียงดนตรีของภาคเหนือ ไวโอลิน (Violin) กลองรำ�มะนา มาราคัส (Maracas) แทมบูรีน (Tambourine) แทนสำ�เนียงดนตรีวงรองเง็งของภาคใต้ และแคน เป็นสัญลักษณ์และแทนสำ�เนียงดนตรีภาคอีสาน การใช้ไม้นวมตีระนาด และผสมด้วยซออู้และขลุ่ย ได้รับความนิยม แพร่หลายออกมาใช้ในวงปี่พาทย์สามัญทั่วไป แม้มิได้จัดวงอย่างปี่พาทย์ ดึกดำ บรรพ์ หากว่าการบรรเลงนั้นอยู่ภายในอาคารอันมีเสียงก้องมาก หรือว่า ต้องการให้การบรรเลงนั้นมีเสียงเยือกเย็นนุ่มนวล ไม่ต้องการความอึกทึก ครึกโครม ก็มักใช้ไม้นวมตีระนาดเอก ซึ่งใช้ซออู้และขลุ่ยแทนปี่ ไม่ว่าจะเป็น วงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องคู่หรือเครื่องใหญ่ เช่น การบรรเลงหน้าเวทีระหว่าง ปิดฉากการแสดงละคอนพูด และประกอบการแสดงละคอนร้อง เป็นต้น จึงได้นามประจำวงชนิดนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “ปี่พาทย์ไม้นวม” ๖๔
๒. รูปแบบการแสดงและดนตรี “โครงสร้างมันจะเป็นเหมือนคล้าย ๆ ระบำ�นพรัตน์...ก็คือเปิดตัวด้วย ออกมารำ�ในแต่ละภาคก่อน ของระบำ�นพรัตน์เค้าก็จะเป็นเพชร ไล่ไปมรกตเอย จนถึงเม็ดสุดท้าย อัญมณีเม็ดสุดท้าย แล้วก็ย้อนกลับมาที่ตัวแรกอีกทีนึง อันนี้ก็เหมือนกันก็คือไล่จากเหนือไป กลาง ใต้ แล้วก็ไปอีสาน อันนี้เราเรียง ตามจังหวะของเพลงด้วย จังหวะของเพลงเร็วสุดเนี่ย มันน่าจะหมายถึงว่า ดนตรีหรือพีคสุดก็คือภาคอีสานนั่นแหละ ก็เลยเรียงเป็น เหนือ กลาง ใต้แล้วก็ อีสาน” (ภัทธิรา จันทร์ดี, สัมภาษณ์๑๙ กุมภาพันธ์๒๕๖๖) ภาพที่ ๓ วงดนตรีประกอบการแสดงระบำ�ภูษานาฏราชชนนี ที่มา (งานประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์, ๒๕๖๕) ๖๕
ทั้งนี้สามารถสรุปรูปแบบการแสดงและดนตรีของระบำ�ชุดนี้ได้ดังนี้ แผนภูมิที่ ๑ รูปแบบการแสดงและดนตรี ที่มา (วรรณวลีคำ�พันธ์, ๒๕๖๖) เพลงลาวสมเด็จ ๒ ชั้น (๒ เที่ยว) เพลงลาวสมเด็จ ๒ ชั้น (เที่ยวที่ ๓) เพลงต้นวรเชษฐ์๒ ชั้น เพลงตารีบุหงารำ�ไป เกริ่นแคน (ทำ�นองลำ�เพลิน) เพลงลาวเจ้าซู(ท่อน ๑ บรรเลง ๕ เที่ยว) เพลงลาวเจ้าซู(ท่อน ๑ บรรเลง ๒ เที่ยว) เพลงลาวเจ้าซู เป็นทำ�นองเกริ่นให้นักแสดงทั้ง ๔ คน (สี่ภาค) รำ�ออกหน้าเวที นักแสดงภาคเหนือรำ�ออก นักแสดงภาคกลางรำ�ออก นักแสดงภาคใต้รำ�ออก นักแสดงภาคอีสานรำ�ออก นักแสดงทั้ง ๘ คน รวมแถวแล้วก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์ฯ นักแสดงลุกขึ้นรวมแถว แล้วรำ�เข้า ๖๖
๓. การปรับวงดนตรี ช่วงที่ ๑ ทำ�นองเกริ่น ขลุ่ยเพียงออขึ้นต้นเพลง บรรทัดแรกของเพลงลาวสมเด็จ รับพร้อมกันด้วยวงปี่พาทย์ไม้นวม บรรทัดที่ ๒ โดยใช้จังหวะหน้าทับกลองป่งป๊ง (แทนด้วยตะโพน) และฉาบใหญ่ตีให้จังหวะในการรำ�ฟ้อน ขณะที่นักแสดง ๔ คน (สี่ภาค) รำ�ออก บรรเลงจนจบเพลงลาวสมเด็จ บรรเลงเพลงลาวสมเด็จเที่ยวที่ ๒ โดยใช้บทร้องเทิดพระเกียรติดังนี้ เทิดพระนาม “สิริกิติ์” สฤษฎ์สร้าง วางแนวทางหัตถศิลป์ท้องถิ่นไทย สร้อย เทิดพระการุณย์เอกองค์คํ้าจุนศิลปาชีพไทย สานสืบไว้ภูมิปัญญาผ้าไทยระบือไกลทั่วสกล ช่วงที่ ๒ เล่าเรื่อง “ผ้า” ของแต่ละภูมิภาค วงปี่พาทย์ไม้นวมบรรเลงเพลงลาวสมเด็จเที่ยวที่ ๓ โดยใช้จังหวะหน้าทับกลองป่งป๊ง (แทนด้วย ตะโพน) และฉาบใหญ่ตีให้จังหวะการฟ้อน โดยใช้บทร้องที่กล่าวถึงผ้าของภาคเหนือ วงปี่พาทย์ไม้นวมบรรเลงเพลงต้นวรเชษฐ์ ๒ ชั้น โดยระนาดเอกขึ้นต้นเพลง ใช้กลองแขกตีกำ�กับ จังหวะหน้าทับ ใช้กรับพวงตีประกอบการขับร้องบทร้องที่กล่าวถึงผ้าของภาคกลาง ไวโอลินเกริ่นทำ�นองขึ้นต้นเพลง แล้วรับทำ�นองด้วยกลองรำ�มะนา มาราคัส แทมบูรีน และโหม่ง ไวโอลินทำ�ทำ�นองเพลงตารีบุหงารำ�ไป พร้อมกับให้ฆ้องวงใหญ่ตีประกอบคล้ายลักษณะของฆ้องคู่ในวงดนตรี ประกอบการแสดงโนรา โดยใช้บทร้องที่กล่าวถึงผ้าของภาคใต้ แคนเกริ่นทำ�นองลำ�เพลิน ก่อนขึ้นเพลงลาวเจ้าซู จากนั้นรับทำ�นองด้วยวงปี่พาทย์ไม้นวม ใช้กลองแขกตีกำ�กับจังหวะหน้าทับ ใช้หน้าทับลาว ใช้ฉาบเล็กตีประกอบจังหวะ โดยใช้บทร้องที่กล่าวถึงผ้า ของภาคอีสาน 12 แผนภูมิที่ 1 รูปแบบกำรแสดงและดนตรี ที่มำ (วรรณวลี ค ำพันธ์, 2566) 3. กำรปรับวงดนตรี ช่วงที่ 1 ท ำนองเกริ่น ขลุ่ยเพียงออขึ้นต้นเพลง บรรทัดแรกของเพลงลำวสมเด็จ - - - - - - - ล - - ซ ล ด ร - ด - - - ล - - - ซ - - - ฟ ล ซ ฟ ร รับพร้อมกันด้วยวงปี่พำทย์ไม้นวม บรรทัดที่ 2 โดยใช้จังหวะหน้ำทับกลองป่งป๊ง (แทนด้วยตะโพน) และฉำบใหญ่ตีให้จังหวะในกำรร ำฟ้อน ขณะที่นักแสดง 4 คน (สี่ภำค) ร ำออก บรรเลงจนจบเพลงลำวสมเด็จ เที่ยวที่ 1 - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - ร ด ล - ซ ล ด - - ฟํ ร ด ล ซ ด บรรเลงเพลงลำวสมเด็จเที่ยวที่ 2 โดยใช้บทร้องเทิดพระเกียรติ ดังนี้ เทิดพระนำม “สิริกิติ์” สฤษฎ์สร้ำง วำงแนวทำงหัตถศิลป์ท้องถิ่นไทย สร้อย เทิดพระกำรุณย์ เอกองค์ค้ ำจุนศิลปำชีพไทย เป็นท ำนองเกริ่นให้นักแสดงทั้ง 4 คน (สี่ภำค) ร ำออกหน้ำเวที นักแสดงภำคเหนือร ำออก นักแสดงภำคกลำงร ำออก นักแสดงภำคใต้ร ำออก นักแสดงภำคอีสำนร ำออก นักแสดงทั้ง 8 คน รวมแถวแล้วก้มกรำบพระบรมฉำยำลักษณ์ฯ นักแสดงลุกขึ้นรวมแถว แล้วร ำออก เพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น (2 เที่ยว) เพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น (เที่ยวที่ 3) เพลงต้นวรเชษฐ์ 2 ชั้น เพลงตำรีบุหงำร ำไป เกริ่นแคน (ท ำนองล ำเพลิน) เพลงลำวเจ้ำซู เพลงลำวเจ้ำซู (ท่อน 1 บรรเลง 5 เที่ยว) เพลงลำวเจ้ำซู (ท่อน 1 บรรเลง 2 เที่ยว) 12 แผนภูมิที่ 1 รูปแบบกำรแสดงและดนตรี ที่มำ (วรรณวลี ค ำพันธ์, 2566) 3. กำรปรับวงดนตรี ช่วงที่ 1 ท ำนองเกริ่น ขลุ่ยเพียงออขึ้นต้นเพลง บรรทัดแรกของเพลงลำวสมเด็จ - - - - - - - ล - - ซ ล ด ร - ด - - - ล - - - ซ - - - ฟ ล ซ ฟ ร รับพร้อมกันด้วยวงปี่พำทย์ไม้นวม บรรทัดที่ 2 โดยใช้จังหวะหน้ำทับกลองป่งป๊ง (แทนด้วยตะโพน) และฉำบใหญ่ตีให้จังหวะในกำรร ำฟ้อน ขณะที่นักแสดง 4 คน (สี่ภำค) ร ำออก บรรเลงจนจบเพลงลำวสมเด็จ เที่ยวที่ 1 - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - ร ด ล - ซ ล ด - - ฟํ ร ด ล ซ ด บรรเลงเพลงลำวสมเด็จเที่ยวที่ 2 โดยใช้บทร้องเทิดพระเกียรติ ดังนี้ เทิดพระนำม “สิริกิติ์” สฤษฎ์สร้ำง วำงแนวทำงหัตถศิลป์ท้องถิ่นไทย สร้อย เทิดพระกำรุณย์ เอกองค์ค้ ำจุนศิลปำชีพไทย เป็นท ำนองเกริ่นให้นักแสดงทั้ง 4 คน (สี่ภำค) ร ำออกหน้ำเวที นักแสดงภำคเหนือร ำออก นักแสดงภำคกลำงร ำออก นักแสดงภำคใต้ร ำออก นักแสดงภำคอีสำนร ำออก นักแสดงทั้ง 8 คน รวมแถวแล้วก้มกรำบพระบรมฉำยำลักษณ์ฯ นักแสดงลุกขึ้นรวมแถว แล้วร ำออก เพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น (2 เที่ยว) เพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น (เที่ยวที่ 3) เพลงต้นวรเชษฐ์ 2 ชั้น เพลงตำรีบุหงำร ำไป เกริ่นแคน (ท ำนองล ำเพลิน) เพลงลำวเจ้ำซู เพลงลำวเจ้ำซู (ท่อน 1 บรรเลง 5 เที่ยว) เพลงลำวเจ้ำซู (ท่อน 1 บรรเลง 2 เที่ยว) ๖๗ ๑ 12 แผนภูมิที่ 1 รูปแบบกำรแสดงและดนตรี ที่มำ (วรรณวลี ค ำพันธ์, 2566) 3. กำรปรับวงดนตรี ช่วงที่ 1 ท ำนองเกริ่น ขลุ่ยเพียงออขึ้นต้นเพลง บรรทัดแรกของเพลงลำวสมเด็จ - - - - - - - ล - - ซ ล ด ร - ด - - - ล - - - ซ - - - ฟ ล ซ ฟ ร รับพร้อมกันด้วยวงปี่พำทย์ไม้นวม บรรทัดที่ 2 โดยใช้จังหวะหน้ำทับกลองป่งป๊ง (แทนด้วยตะโพน) และฉำบใหญ่ตีให้จังหวะในกำรร ำฟ้อน ขณะที่นักแสดง 4 คน (สี่ภำค) ร ำออก บรรเลงจนจบเพลงลำวสมเด็จ เที่ยวที่ 1 - - - - ด ร ฟ ซ - ล ด ซ ล ซ ฟ ร - ร ด ล - ซ ล ด - - ฟํ ร ด ล ซ ด บรรเลงเพลงลำวสมเด็จเที่ยวที่ 2 โดยใช้บทร้องเทิดพระเกียรติ ดังนี้ เทิดพระนำม “สิริกิติ์” สฤษฎ์สร้ำง วำงแนวทำงหัตถศิลป์ท้องถิ่นไทย สร้อย เทิดพระกำรุณย์ เอกองค์ค้ ำจุนศิลปำชีพไทย เป็นท ำนองเกริ่นให้นักแสดงทั้ง 4 คน (สี่ภำค) ร ำออกหน้ำเวที นักแสดงภำคเหนือร ำออก นักแสดงภำคกลำงร ำออก นักแสดงภำคใต้ร ำออก นักแสดงภำคอีสำนร ำออก นักแสดงทั้ง 8 คน รวมแถวแล้วก้มกรำบพระบรมฉำยำลักษณ์ฯ นักแสดงลุกขึ้นรวมแถว แล้วร ำออก เพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น (2 เที่ยว) เพลงลำวสมเด็จ 2 ชั้น (เที่ยวที่ 3) เพลงต้นวรเชษฐ์ 2 ชั้น เพลงตำรีบุหงำร ำไป เกริ่นแคน (ท ำนองล ำเพลิน) เพลงลำวเจ้ำซู เพลงลำวเจ้ำซู (ท่อน 1 บรรเลง 5 เที่ยว) เพลงลำวเจ้ำซู (ท่อน 1 บรรเลง 2 เที่ยว)
ช่วงที่ ๓ กราบพระบรมฉายาลักษณ์และรำ�เข้า เมื่อจบช่วงการเล่าเรื่องผ้าทั้งสี่ภาค จึงเป็นการรำ�ออกของนักแสดงทั้งหมดอีกครั้ง ก่อนกราบ พระบรมฉายาลักษณ์พร้อมกัน กล่าวคือ ดนตรีทำ�ทำ�นองด้วยวิธีการย้อนกลับจากภาคอีสาน ไปภาคใต้ ภาคกลางและภาคเหนือตามลำ�ดับโดยไม่มีการทอดลง แต่ให้บรรเลงต่อเนื่องกัน เพื่อให้นักแสดงของแต่ละ ภูมิภาครำ�ออก จากนั้นบรรเลงรวมกัน ๑ เที่ยว (ในขณะที่นักแสดงตั้งท่าเพื่อกราบ) ดังนี้ แคน ทำ�ทำ�นองเพลงลาวเจ้าซูท่อน ๑ (เที่ยวเดียว) โดยใช้กลองแขก ฉาบใหญ่ตีประกอบจังหวะ ไวโอลิน ทำ�นองเพลงลาวเจ้าซู ท่อน ๑ (เที่ยวเดียว) โดยใช้กลองรำ�มะนา มาราคัส แทมบูรินและ โหม่งตีประกอบจังหวะ ระนาดเอก ทำ�นองเพลงลาวเจ้าซู ท่อน ๑ (เที่ยวเดียว) โดยใช้กลองแขก ฉิ่ง และโหม่ง ตีประกอบ จังหวะ ขลุ่ยหลิบ ทำ�นองเพลงลาวเจ้าซู ท่อน ๑ (เที่ยวเดียว) โดยใช้ตะโพน ฉาบใหญ่ และโหม่ง ตีประกอบ จังหวะ จากนั้นวงปี่พาทย์ไม้นวมผสมด้วยไวโอลินและแคน บรรเลงเพลงลาวเจ้าซูท่อน ๑ พร้อมกัน แล้วทอดลง เพื่อให้นักแสดงก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์ เมื่อนักแสดงก้มลงกราบแล้ว ระนาดเอกขึ้นทำ�นองเพลงลาวเจ้าซู ท่อน ๑ แล้วรับด้วยวงปี่พาทย์ ไม้นวมผสมด้วยไวโอลินและแคน บรรเลงอีก ๒ เที่ยว แล้วจึงทอดลงจบพร้อมกับทั้งนักแสดงทั้งหมดรำ�เข้า เป็นการจบการแสดง สรุปและส่งท้าย การแสดงชุด “ระบำ ภูษานาฏราชชนนี” เป็นชุดการแสดงที่สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และน้อมสำ�นึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีพระราชดำ�ริให้จัดตั้ง “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรมีอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้พอเพียงแก่การยังชีพ ทั้งยังธำ�รงรักษา และฟื้นฟูศิลปหัตถกรรมแบบไทยโบราณที่กำ�ลังจะเสื่อมสูญไปตามกาลเวลาให้กลับมาแพร่หลาย เช่น การทอผ้าไหมมัดหมี่ลวดลายโบราณ การทอผ้าแพรวา เป็นต้น การสร้างสรรค์การแสดงชุดนี้ได้รับ แรงบันดาลใจมาจาก “ผ้าไทย” ภาคต่าง ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต ภูมิปัญญา ช่างทออันประณีตงดงาม ถ่ายทอดผ่านท่วงทีลีลาของนักแสดง เครื่องแต่งกาย คำ�ร้องและท่วงทำ�นองดนตรี ที่มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมประจำ�ภาค การแสดงชุดนี้ออกแบบและสร้างสรรค์ท่ารำ� โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภัทธิรา จันทร์ดี อาจารย์ประจำ�สาขาวิชานาฏศิลป์และการละคร ประพันธ์บทร้องและบรรจุเพลงโดย อาจารย์วรรณวลี คำ�พันธ์ อาจารย์ประจำ�สาขาวิชาดนตรี ถ่ายทอดการแสดงโดยนักศึกษาสาขาวิชา ๖๘
วิทยาการดนตรีและศิลปะการแสดง และบรรเลงดนตรีประกอบการแสดงโดยคณาจารย์ นักศึกษาสาขาวิชา ดนตรีศึกษาและสาขาวิชาวิทยาการดนตรีและศิลปะการแสดง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา ซึ่งจัดโดย สำ�นักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ทั้งนี้การแสดงชุด “ระบำ ภูษานาฏราชชนนี” นอกเหนือจากเป็นการแสดงเพื่อถวายพระพรแล้ว กระบวนการในการสร้างสรรค์ชุดการแสดงยังเป็นสนามฝึกประสบการณ์ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ มีส่วนร่วม ในการแลกเปลี่ยนความคิด และทักษะการทำ�งานด้านดนตรี อาทิ การออกแบบดนตรี การปรับวงดนตรี การแสดงดนตรีประกอบการแสดง เป็นต้น เหล่านี้ล้วนทำ�ให้นักศึกษาเกิดความเข้าใจในกระบวนการ สร้างสรรค์ผลงานทางการแสดงและทางดนตรี บนฐานคิดของการจัดการแสดงตามความเหมาะสมของ วาระโอกาส ทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นแนวทางหนึ่งของการทำ�งานสร้างสรรค์ด้านดนตรีและการแสดง ต่อไปในอนาคต ๖๙
เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. ๒๕๔๕. คำ�บรรยายวิชาดุริยางคศาสตร์ไทย. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำ�กัด โรงพิมพ์ชวนพิมพ์. งานประชาสัมพันธ์ และสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์. ๒๕๖๕. พิธีถวายชัยมงคลสมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ๑๑ ส.ค. ๖๕. สืบค้นเมื่อ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖. จาก https://www.facebook. com/profile.php?id=100057730266748&sk=photos_albums. ภัทระ คมขำ�. ๒๕๖๑. เพลงระบำ�. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. มนตรีตราโมท และวิเชียร กุลตัณฑ์. ๒๕๒๓. ฟังและเข้าใจเพลงไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทยเขษม. เรณูโกศินานนท์. ๒๕๔๔. สืบสานนาฏศิลป์ไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำ�กัด. ________. ๒๕๔๕. นาฏศิลป์ไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำ�กัด. วิพล นาคพันธ์. ๒๕๕๔. ประชันความไพเราะของเพลงร้องทำ�นองไทย ค่ายสมาน vs. ค่ายสุนทราภรณ์ตอนที่ ๑๓ ทำ�นอง “ลาวเจ้าซู” ระหว่างเพลง “วอนรัก” กับ “หวงรัก”. สืบค้นเมื่อ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖. จาก https://www.gotoknow.org/posts/440154. เศกสรรแสงจินดาวงศ์เมือง. ๒๕๕๐. ระบำ�ตารีบุหงารำ�ไป.สืบค้นเมื่อ ๑๐ กุมภาพันธ์๒๕๖๖.จากhttps://www. gotoknow.org/posts/149998. สุรพล วิรุฬห์รักษ์. ๒๕๔๗. หลักการแสดง นาฏยศิลป์ปริทรรศน์. กรุงเทพฯ: สำ�นักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. สุมิตร เทพวงษ์. ๒๕๔๗. สารานุกรม ระบำ� รำ� ฟ้อน. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. อุมาภรณ์ กล้าหาญ. ๒๕๔๒. เพลงประกอบระบำ�รำ�ฟ้อน. สงขลา: โครงการจัดตั้งคณะศิลปกรรมศาสตร์, สถาบันราชภัฏสงขลา. ข้อมูลสัมภาษณ์ ภัทธิรา จันทร์ดี. หัวหน้าสาขาวิชานาฏศิลป์และการละคร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครสวรรค์. ๑๙ กุมภาพันธ์๒๕๖๖. สัมภาษณ์. ๗๐
บทนำ� ดนตรีกับมนุษย์ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาอย่างช้านาน ดนตรีเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงวัฒนธรรม วิถีในการดำ�รงชีวิต อีกทั้งเป็นสิ่งที่บอกเล่าการเดินทางของผู้คน สะท้อนผ่านถ้อยคำ�ร้อง สำ�เนียงภาษา แนวทำ�นอง ที่รับเอาจากวัฒนธรรมของอีกชนชาติหนึ่งมาผสมผสานกับวัฒนธรรมของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น บทเพลงประเภทเพลงออกภาษา หรือเพลงออกสิบสองภาษา ของดนตรีไทยที่เลียนสำ�เนียงเพลงของต่างชาติ ซึ่งแบบแผนในการบรรเลงจะต้องบรรเลงออกภาษาจีน เขมร ตะลุง และพม่าก่อน แล้วจึงจะบรรเลงใน ภาษาอื่นเป็นลำ�ดับต่อไป ทำ�ให้พออมุมานได้ว่าชนชาติไทยได้มีความสัมพันธ์กับชนชาติต่าง ๆ มากมาย และมีการรับเอาสำ�เนียงดนตรีของชาตินั้นมาผสมผสานและสร้างสรรค์จนกลายเป็นแบบแผนหนึ่งของ ดนตรีไทย “จีน” เป็นชนชาติหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับไทย จากการที่ชาวจีนได้อพยพมาพำ�นักพักพิง จนกระทั่ง ลงหลักปักฐานในแผ่นดินสยามมาเป็นระยะเวลานาน และกระจัดกระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ของไทย รวมถึงเมืองปากนํ้าโพ หรือจังหวัดนครสวรรค์ในปัจจุบัน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ทำ�ให้ทราบว่าการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวจีนในนครสวรรค์นั้น เป็นเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึง การต่อสู้และวิถีชีวิตของชุมชนชาวจีนทุกกลุ่มภาษา ทั้งชาวจีนอพยพและชาวจีนที่เกิดในนครสวรรค์ ชาวจีนเหล่านี้มีความขยันขันแข็ง มัธยัสถ์ และมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมของไทย เป็นอย่างดี จึงสามารถเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจของนครสวรรค์ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เมื่อชาวจีน เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ในนครสวรรค์มากขึ้นจนกลายเป็นชุมชนชาวจีนนั้น ก็มักจะมีการสร้างศาลเจ้าขึ้น เพื่อเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้แก่ชาวจีนในชุมชนของตน ทั้งนี้ความเชื่อ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชาวจีน ที่เข้ามาในนครสวรรค์นั้น ดำ�เนินไปอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นการผสมกลมกลืนกันทางวัฒนธรรม ระหว่าง ไทยและจีนที่มีมานานหลายทศวรรษ ส่งผลให้ชุมชนชาวจีนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนครสวรรค์ ไปในที่สุด (สำ�นักศิลปะและวัฒนธรรม, ๒๕๖๕) จากความสัมพันธ์ดังกล่าวมานี้เอง พันธกิจด้านทำ�นุบำ�รุงศิลปะ วัฒนธรรม ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ นครสวรรค์ จึงให้ความสำ�คัญของวัฒนธรรมจีนในสังคมนครสวรรค์ โดยมีสำ�นักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดูแลด้านการทำ�นุบำ�รุงศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีชีวิต และคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงามของไทย จึงจัดโครงการเสริมสร้างคุณค่า เรียงร้อย ถ้อยเพลงจีน-ไทย สานอดีตสู่ความร่วมสมัยด้วยดนตรี ชัชชญา กัญจา ๗๑
และรักษ์ท้องถิ่น เพื่อสืบสานศิลปวัฒนธรรมและความเป็นไทย และอัจฉริยะภาพด้านดนตรี กิจกรรม “การสืบสานวัฒนธรรมจีนในนครสวรรค์ เนื่องในโอกาสเทศกาลตรุษจีน ๒๕๖๖ : การสืบสานและ เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมจีนในนครสวรรค์” ขึ้น เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีการแห่เจ้าพ่อ - เจ้าแม่ ปากนํ้าโพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายจีนในนครสวรรค์ให้คงอยู่ ไปยังคนรุ่นหลังสืบต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชาวนครสวรรค์และบุคคลทั่วไป มีความรู้ความเข้าใจ เกิดความตระหนักรู้และเห็นความสำ�คัญเกี่ยวกับศิลปะ ประเพณี และวัฒนธรรมจีนของนครสวรรค์ และสามารถนำ�ไปถ่ายทอดให้กับผู้อื่นรับรู้ได้อย่างถูกต้อง รวมถึงมีจิตสำ�นึกร่วมกันในการอนุรักษ์ ส่งเสริม และสืบสานวัฒนธรรมจีน จนเกิดการยอมรับในความเป็นพหุสังคมของนครสวรรค์ร่วมกันและสร้างเครือข่าย ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมจีนร่วมกับหน่วยงานราชการและหน่วยงานเอกชนของจังหวัดนครสวรรค์ กิจกรรม ดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๖ เวลา ๑๖.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. บริเวณลานเวทีกลาง ลานมังกรทอง อุทยานสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมนั้นคือ การแสดงการบรรเลงและ ขับร้องบทเพลงไทย - จีน “จากอดีตสู่ความร่วมสมัย สานสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย - จีน” (สำ�นักศิลปะและ วัฒนธรรม, ๒๕๖๕) ภาพที่ ๑ บรรยากาศระหว่างการแสดง ที่มา (NSRU Photo club, ๒๕๖๖) ๗๒
ร้อยเรียงแนวคิดความทรงจำ�ไทย-จีน ผ่านบทเพลงร่วมสมัย “จากอดีตสู่ความร่วมสมัย สานสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย - จีน” เป็นกิจกรรมที่ใช้บทเพลง ดนตรี ถ่ายทอดเรื่องราวรวมถึงกระตุ้นให้ผู้ชมได้หวนระลึกถึงวิถีการดำ�รงชีวิตของสังคมไทย - จีนในอดีตที่ผ่านมา หลายสิบปี ที่คนรุ่นใหม่ (วัยรุ่น) ส่วนมากอาจมองภาพไม่ออก คนรุ่นกลาง (วัยกลางคน) บางคนอาจเริ่ม ลืมเลือน แต่คนรุ่นเก่า (สูงวัย) มักจะยังจำ�ได้ดี ซึ่งสาขาวิชาดนตรี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ขับเคลื่อนกิจกรรมนี้ด้วยการแสดงดนตรีโดยใช้ วงสตริงคอมโบ กลุ่มบทเพลงที่คัดเลือกเพื่อนำ�มาแสดงคือ บทเพลงจีน เพลงไทยสำ�เนียงจีน รวมถึงบทเพลง ที่อยู่ในกระแสนิยมที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย - จีน เพื่อให้มีอรรถรสที่หลากหลายและเข้าถึงกลุ่มคน ที่มีช่วงวัยต่างกัน ซึ่งอาจารย์ปัณณรุจน์ อนันต์จรัสภัทร เป็นผู้ควบคุมวงและร่วมคัดเลือกบทเพลง ได้ให้ ข้อมูลไว้ว่า “ในการเลือกเพลงนั้นต้องคำ นึงถึงโจทย์ของการแสดงหรือความต้องการของงานนั้น ๆ แต่สิ่งที่ต้อง คำ นึงเป็นอันดับแรกก่อนการเลือกเพลงนั้นคือตัวนักร้อง ต้องเลือกเพลงให้เหมาะสมกับตัวนักร้องในด้าน สไตล์เพลง ร่องเสียง นํ้าเสียง ลีลาการร้อง เป็นต้น หลังจากที่ได้วางตัวนักร้องแล้ว จึงร้อยเรียงลำดับเพลง ที่แสดง จะต้องกำ หนดสิ่งที่ต้องการให้อยู่ในการแสดง ลักษณะ ทิศทางของการแสดงในการดำ เนินของ การแสดงนั้น จะมององค์รวมทั้งหมดของการแสดงเป็นหลัก ไม่เพียงแค่มองไปทีละเพลง อาจจะมองเป็น สามส่วนใหญ่ ๆ คือ เร็ว - ช้า - เร็ว กล่าวคือ เริ่มจากการเปิดตัวของชุดการแสดง หรือการโหมโรงนั่นเอง ให้ดูยิ่งใหญ่น่าสนใจเพื่อเรียกให้ผู้ชมติดตาม บรรยากาศสนุก คึกคัก การเปิดตัวของนักร้องแต่ละคน เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำ ให้น่าติดตามเช่นกัน โดยค่อย ๆ เปิดตัวนักร้อง ทีละคน คนละหนึ่งเพลงก่อน และจะกลับมาอีกครั้งในช่วงต่อไป หลังจากสนุกได้สักระยะหนึ่งก็ผ่อนจังหวะ ของการแสดงให้ช้าลงเพื่อสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลาย เพลงในช่วงนี้จะเป็นเพลงในจังหวะช้าเพื่อสร้าง ความประทับใจให้แก่ผู้ชม ในส่วนสุดท้ายของการแสดงจะขยับจังหวะให้เร็วขึ้นเพื่อดึงความสนุก คึกคัก เปิดโอกาสให้ผู้ชมมีส่วนร่วมในการแสดง” ปัณณรุจน์อนันต์จรัสภัทร (สัมภาษณ์, ๗ กุมภาพันธ์๒๕๖๖) ภาพที่ ๒ อาจารย์ปัณณรุจน์อนันต์จรัสภัทร (ผู้ควบคุมวงดนตรีฯ) ที่มา (NSRU Photo club, ๒๕๖๖) ๗๓
จากกระบวนการข้างต้น จึงได้รายการและลำ�ดับเพลงของกิจกรรม “จากอดีตสู่ความร่วมสมัย สานสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย - จีน” ดังนี้ ตาราง ๑ รายการเพลงในชุดการแสดง การบรรเลงและขับร้องเพลงไทย - จีน “จากอดีตสู่ความร่วม สมัย สานสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย - จีน” ที่มา (ชัชชญา กัญจา, ๒๕๖๖) ชื่อเพลง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ลอดลายมังกร สายนํ้าแห่งชีวิต เหมยฮัว Goodbye my love ดาวประดับใจ ความในใจ หนี่เจิ่นเมอซัว เถียนมี่ มี่ ดอกฟ้าเมืองไทย หว่ออ้ายหนี่ รักเธอหมดหัวใจ รักไม่ต้องการเวลา หรูเหอ (กีดกัน) รักแท้ เยว่เหลียงไต้เปี่ยวหวอเตอซิน (พระจันทร์แทนใจ) เสวีย มาว เจี้ยว (Xue mao jiao) หมวยนี่คะ ศิลปิน ฟรานซิส ยิป เทียรี่ เมฆวัฒนา เจนนิเฟอร์คิ้ม เติ้ง ลี่จวิน เติ้ง ลี่จวิน ดอน สอนระเบียบ ต้อม เรนโบว์ เติ้ง ลี่จวิน เติ้ง ลี่จวิน ก๊อต จักรพรรณ์ เพียว เพียว อาร์สยาม หนูนา (หนึ่งธิดา โสภณ) พีพี(กฤษฏ์อำ�นวยเดชกร) นุนิว (ชวรินทร์เพริศพิริยะวงศ์) เติ้ง ลี่จวิน Xiao Pan Pan & Xiao Feng Feng ไชน่า ดอลส์Cover. By 4 Eve ชื่อนักร้อง อ.มัลลิกา ชมภู นายอภิชาติจุมพล ด.ญ.อรลลินทร์ปุณยวัฒนานนท์ อ.มัลลิกา ชมภู อ.มัลลิกา ชมภู นายอภิชาติจุมพล นายอภิชาติจุมพล ด.ญ.อรลลินทร์ปุณยวัฒนานนท์ ด.ญ.อรลลินทร์ปุณยวัฒนานนท์ นายอภิชาติจุมพล น.ส.สิณีนาฏ ภิระคำ� น.ส.สิณีนาฏ ภิระคำ� นายกิตติพัชน์คล้ายวิมุติ นายกิตติพัชน์คล้ายวิมุติ อ.มัลลิกา ชมภู ด.ญ.อรลลินทร์ปุณยวัฒนานนท์ น.ส.สิณีนาฏ ภิระคำ� ที่ ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๑. ๑๒. ๑๓. ๑๔. ๑๕. ๑๐. ๑๖. ๑๗. ๗๔
บอกเล่าเรื่ องราว เล่าขาน ผ่านเสียงเพลง รายการเพลงที่ใช้ในการแสดงนี้ ได้ถูกคัดเลือกอย่างพิถีพิถันโดยที่นักร้องและนักดนตรีได้มีส่วนร่วม ในคัดเลือกเพลงด้วย กลุ่มนักร้องมีทั้งหมด ๕ คน ซึ่งมีช่วงอายุที่แตกต่างกันยิ่งทำ�ให้บทเพลงที่นำ�มาแสดง มีความหลากหลายน่าสนใจตรงกับวัตถุประสงค์ของกิจกรรม อาจารย์มัลลิกา ชมภู อาจารย์พิเศษ สอนวิชา ขับร้องของสาขาวิชาดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ และเป็นนักร้องคนเดียวที่เลือกร้องเพลงที่เป็น ภาษาจีนทั้งหมด ได้อธิบายแนวคิดในการเลือกเพลงไว้ดังนี้ “เหตุผลที่เลือกเพลงร้องของเติ้ง ลี่จวิน กับ ฟรานซิส ยิป เพราะพ่อเป็นคนเชื้อสายไทยจีน จึงมี ความผูกพันกับเพลงของนักร้องสองท่านนี้ ได้ฟังมาตั้งแต่วัยเด็ก เลยมีความคุ้นเคยในสำ เนียงการร้อง แม้ว่า จะไม่รู้ความหมายในเพลงนั้นก็ตาม เมื่อเติบโตขึ้นทำ ให้ใฝ่รู้ถึงความหมายที่แท้จริง ค้นพบว่านอกจากเสียง อันไพเราะของนักร้องอมตะสองท่านนี้แล้วนั้น สิ่งสำคัญคือเนื้อหาสาระในบทเพลงที่มีความลึกซึ้งละเอียดอ่อน ทำ ให้ผู้ฟังเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกได้ง่ายไม่ซับซ้อน กับทำ นองและดนตรีที่ส่งเสริมกันในทุกด้าน ทำ ให้ บทเพลงร้องกลายเป็นบทเพลงอมตะไม่มีวันตาย อยู่คู่คนจีนและคนทั้งโลกทุกยุคทุกสมัย การฟังเพลงใน วัยเด็กและเริ่มร้องเพลง จึงกลายเป็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงทำ ให้เข้าถึงภาษาและวัฒนธรรมได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยใช้บทเพลงเป็นตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์นี้” มัลลิกา ชมภู(สัมภาษณ์, ๒ กุมภาพันธ์๒๕๖๖) ภาพที่ ๓ อาจารย์มัลลิกา ชมภู(นักร้องรับเชิญ) ที่มา (NSRU Photo club, ๒๕๖๖) ๗๕
บทเพลงเนื้อร้องไทยสำ�เนียงจีน และเพลงไทยที่มีความหมายสื่อถึงความสัมพันธ์ไทย - จีน เป็นกลุ่ม บทเพลงที่สำ�คัญ เนื่องจากใช้ภาษาไทยที่สื่อความหมายให้คนไทยเข้าใจ ร้องตามได้กระทั่งกลายเป็นบทเพลง ในความทรงจำ�ของใครหลาย ๆ คน ซึ่งนายอภิชาติ จุมพล นักร้องรับเชิญ ที่สาขาวิชาดนตรีฯ มักเชิญมา ร้องเพลงด้วยเป็นประจำ�ได้เล่าว่า “สำ หรับเพลงแรก “ลอดลายมังกร” แน่นอนว่าถ้านึกถึงคนไทยเชื้อสายจีน ก็ต้องนึกถึงเพลงนี้ เป็นเพลงที่เล่าเรื่องราวของคนจีนโพ้นทะเลที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ทำ มาหากินก่อร่างสร้างครอบครัว จนถึงทุกวันนี้ ต่อด้วยเพลงที่สอง “ดาวประดับใจ” เป็นเพลงทำ นองเพลงญี่ปุ่น “ซูบารุ” คำร้องภาษาไทย เข้ากับบรรยากาศคอนเสิร์ตในช่วงคํ่าเป็นอย่างมาก เป็นเพลงที่ต้องใช้พลังเสียงพอสมควร ที่มาของเพลงนี้ ก็เป็นเพลงเชื่อมความสัมพันธ์จีน - ญี่ปุ่นอีกด้วย ส่วนเพลงที่สาม “ความในใจ” ทำ นองต้นฉบับเป็นเพลงจีน “不裝飾你的夢 (ปั๊ดจงสิกเหน่ เต็กหม่ง)” ทั้งทำ นองเพลงและดนตรีจะสื่อถึงความเป็นจีนอย่างเต็มเปี่ยม และเพลงที่สี่ “ดอกฟ้าเมืองไทย” เป็นเพลงแนวลูกทุ่งที่เล่าเรื่องราวของการไปหลงรักลูกสาวชาวจีน พรรณนาถึงความงามของเธอ และก็มี การนำดนตรีจีนผสมผสานอย่างลงตัว ซึ่งก็น่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้” อภิชาติจุมพล (สัมภาษณ์, ๑๐ กุมภาพันธ์๒๕๖๖) ภาพที่ ๔ นายอภิชาติจุมพล (นักร้องรับเชิญ) ที่มา (NSRU Photo club, ๒๕๖๖) ๗๖
นอกจากการที่ได้เชิญนักร้องรับเชิญที่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในวงการนักร้องแถวหน้าของ นครสวรรค์แล้ว ผู้ควบคุมวงดนตรีได้ตระหนักเรื่องการมีส่วนร่วมของเยาวชน และมองเห็นความสามารถของ นักร้องที่เป็นเยาวชนรุ่นใหม่ จึงได้ชักชวน ด.ญ.อรลลินทร์ปุณยวัฒนานนท์หรือ น้องมิกินักร้องเสียงเพราะ รุ่นเยาวชนที่มากด้วยความสามารถ มาร่วมแสดงกับวงดนตรีสตริงคอมโบ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ และเปิดโอกาสให้น้องมิกิได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือกบทเพลงจีนที่กำ�ลังอยู่ในกระแสนิยมด้วย โดยเพลง นำ�มาขับร้องและแสดงคือ เสวีย มาว เจี้ยว (Xue mao jiao) ซึ่งเป็นเพลงภาษาจีนของศิลปินวัยรุ่นชาวจีน ที่กำ�ลังโด่งดังเป็นที่นิยมฟังในกลุ่มวัยรุ่นชาวไทย เพลงหนี่เจิ่นเมอซัว และเพลงเถียนมี่มี่ ที่เป็นเพลงจีนอมตะ นิยมฟังกันตั้งแต่ผู้คนรุ่นเก่ามาถึงรุ่นกลาง จนมาถึงเพลงสายนํ้าแห่งชีวิต ซึ่งเป็นเพลงเดียวที่มีเนื้อร้องเป็น ภาษาไทย และสามารถถ่ายทอดความหมายของเพลงได้อย่างเต็มเปี่ยม โดยน้องมิกิได้กล่าวความรู้สึกว่า “รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร้องเพลงใหม่ ๆ โดยเฉพาะเพลงจีนเป็นภาษาที่ไม่คุ้นเคย หลังจากได้ฝึกร้องก็รู้สึก ประทับใจเพราะเพลงจีนเป็นเพลงที่มีดนตรี ภาษา และทำ นองที่ไพเราะ ความยากของเพลงอยู่ตรงที่เรา ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาของเพลง จึงพยายามหาคำแปลเพื่อให้เข้าถึงอารมณ์เพลงให้มากที่สุด ใช้ระยะเวลา ในการฝึกซ้อม ๑ สัปดาห์” อรลลินทร์ปุณยวัฒนานนท์(สัมภาษณ์, ๖ กุมภาพันธ์๒๕๖๖) ภาพที่ ๕ ด.ญ.อรลลินทร์ปุณยวัฒนานนท์หรือ น้องมิกิ(นักร้องรับเชิญ) ที่มา (NSRU Photo club, ๒๕๖๖) ๗๗
เบื้ องหลังบทเพลงแห่งอดีตสู่ความร่วมสมัย ด้วยลักษณะเฉพาะของบทเพลงที่จะต้องแสดง ผู้ควบคุมวงดนตรีฯ จึงวางแผนการซ้อมรวมและ ฝึกซ้อมใช้ระยะเวลาร่วมสองเดือน โดยเริ่มจากการคัดเลือกเพลง โดยกำ�หนดให้มีบทเพลงจีน ซึ่งเป็นหัวใจ ดวงแรก เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเชื่อมสัมพันธ์วัฒนธรรม โดยคัดเลือกบทเพลงจีนอมตะของศิลปินจีนชื่อดัง ระดับตำ�นานที่คุ้นหูคนรุ่นเก่า - รุ่นกลาง บทเพลงไทยสำ�เนียงจีน เป็นหัวใจดวงที่สองที่สะท้อนถึงการ หล่อรวมวัฒนธรรมไทย - จีนเข้าด้วยกัน และบทเพลงใหม่ที่เผยแพร่ในช่วงไม่เกินสิบปีที่ผ่านมาซึ่งจัดว่า ยังอยู่ในกระแสนิยมของคนรุ่นใหม่ หรือวัยรุ่น เป็นหัวใจดวงสุดท้ายที่มีความสว่างสดใส จากการเดินทางผ่านระยะเวลาอันเนิ่นนานของบทเพลงที่จะนำ�มาแสดงนี้ ทำ�ให้ต้องมีการคัดเลือก นักร้อง นักดนตรี ให้เหมาะสมกับเพลง การจัดหาจัดเตรียมโน้ตเพลงในบทเพลงที่เป็นเพลงเก่า ทำ�ให้การ ฝึกซ้อมของนักดนตรีสะดวกขึ้นอย่างมาก เพราะสมาชิกวงเกือบทั้งหมดเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เคยฟังเพลงจีนเก่า การฝึกบรรเลงด้วยการอ่านโน้ตจึงง่ายกว่าการใช้โสตประสาทเพียงอย่างเดียว ในบางบทเพลง ผู้ควบคุมวง ได้มีปรับแนวดนตรีและปรับเสียงประสานให้เหมาะสมกับนักร้อง นักดนตรีโดยเปิดโอกาสให้สมาชิกวงได้มี ส่วนร่วมในการสร้างสรรรค์เสียงประสานด้วย แต่ยังคงรักษากลิ่นอายและสีสันของทำ�นองเพลงเดิมไว้ เพื่อให้ผู้ฟังยังสามารถจดจำ� ซาบซึ้ง และได้ระลึกถึงเรื่องราวที่แฝงอยู่ในบทเพลงเมื่อได้ชมการแสดงนี้ ภาพที่ ๖ ภาพบรรยากาศการซ้อม ที่มา (ปรางฉาย ประจิตร, ๒๕๖๖) ๗๘
วงสตริงคอมโบ ของสาขาวิชาดนตรีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ เป็นวงดนตรีที่ประกอบไปด้วย เครื่องดนตรีประเภทกลุ่มเครื่องลม และกลุ่มเครื่องจังหวะ มีสมาชิกวงทั้งหมด ๑๖ คน เพื่อสลับสับเปลี่ยนกัน บรรเลงบทเพลงในกิจกรรม “จากอดีตสู่ความร่วมสมัย สานสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย - จีน” สมาชิกวงเป็น นักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา ชั้นปีที่ ๑ - ๓ และอาจารย์ผู้ควบคุมวงมาบรรเลงร่วมกัน มีรายนามและ หน้าที่ดังนี้ ผู้ควบคุมวง ๑. อาจารย์ปัณณรุจน์ อนันต์จรัสภัทร ๒. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชัชชญา กัญจา นักร้อง ๑. นายอภิชาติ จุมพล นักร้องรับเชิญ ๒. อาจารย์มัลลิกา ชมภู นักร้องรับเชิญ ๓. เด็กหญิงอรลลินทร์ ปุณยวัฒนานนท์ นักร้องรับเชิญ ๔. นางสาวสิณีนาฏ ภิระคำ� นักร้อง ๕. นายกิตติพัชน์ คล้ายวิมุติ นักร้อง นักดนตรี ๑. นายรังสรรค์ ศรีพิมพ์เมือง ทรัมเป็ต ๒. นายณัฐวุฒิ สังขาว ทรัมเป็ต ๓. นายธนาทิพย์ ธรรมชาติ ทรอมโบน ๔. นางสาวภธนพร จุลมณีโชติ อัลโต แซกโซโฟน ๕. นายธนพร ชลาสินธุ์ อัลโต แซกโซโฟน ๖. นายบัญญัติ กิริณี เทเนอร์แซกโซโฟน ๗. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชัชชญา กัญจา เปียโน ๘. นายณัฐกานต์ แสงแก้ว เปียโน ๙. นายกิตติพัชน์ คล้ายวิมุติ คีย์บอร์ด ๑๐. นายสุวพิชญ์ คำ�แหง กีตาร์ ๑๑. นายธณภัทร คำ�เมือง กีตาร์ ๑๒. นายทักษ์ดนัย คันศร เบส ๑๓. นายกฤษฐาพร สิทธิไกร เบส ๑๔. นายณัฐภัทร สังข์เที่ยง กลองชุด ๑๕. นายทนงศักดิ์ รัตนมิถุนา เพอร์คัชชัน ๑๖. อาจารย์ปัณณรุจน์ อนันต์จรัสภัทร เพอร์คัชชัน ๗๙
ซึ่งในการแสดงครั้งนี้มีหนึ่งในสมาชิกวงรับหน้าที่เป็นทั้งนักดนตรีและนักร้องด้วย คือ นายกิตติพัชน์ คล้ายวิมุติ หรือ ไอซ์ นักศึกษาชั้นปีที่ ๑ นับว่าเป็นการท้าทายความสามารถของนักดนตรีรุ่นใหม่ที่ต้องฝึก เล่นเพลงเก่า ๆ ที่ไม่เคยฟัง อีกทั้งยังได้รับมอบหมายให้ร้องเพลงที่มีเนื้อร้องเป็นภาษาจีนแทรกเป็นช่วง ๆ นายกิตติพัชน์ได้สะท้อนมุมมองที่มีต่อการแสดงดนตรีครั้งนี้ว่า “เพลงที่มีเนื้อร้องเป็นภาษาจีนไม่คุ้นเคยเลย คือ เพลงหรูเหอ เพลงนี้ไม่ได้ยากเเค่ภาษาอย่างเดียว เท่านั้น เเต่รวมไปถึงท่าทาง อารมณ์ เเละการร้อง ซึ่งกว่าจะทำออกมาให้ดีต้องซ้อมร้องเพลงอยู่ประมาณ สามสัปดาห์เลยกว่าจะร้องได้ เพราะว่าอารมณ์ ท่าทาง เเละการร้อง ถือว่ายากมากสำ หรับตนเอง จึงให้ เพลงนี้เป็นเพลงที่รู้สึกว่าร้องยาก ในงานนี้ยังได้รับหน้าที่เป็นมือคีย์บอร์ดของวงด้วย ซึ่งสำคัญเหมือนกัน เพราะต้องขึ้นท่อนนํา (intro) ให้เพื่อนในวง หรือกระทั่งเล่นทำ นองโซโล่ (solo) ในเพลงต่าง ๆ ซึ่งตนเอง ก็ยังไม่เล่นคีย์บอร์ดไม่ค่อยเก่ง จึงมีอุปสรรคกลายเป็นเรื่องค่อนข้างยากมากสำ หรับตนเอง ส่วนเพลงที่ ยากสุดนั้นคือ สายนํ้าเเห่งชีวิต เนื่องจากสำ เนียงของทำ นองเพลง ทำ ให้ต้องฝึกซ้อมถึงสามสัปดาห์” กิตติพัชน์คล้ายวิมุติ(สัมภาษณ์, ๒ กุมภาพันธ์๒๕๖๖) ภาพที่ ๗ นายกิตติพัชน์คล้ายวิมุติ(นักร้อง/นักดนตรี) ที่มา (NSRU Photo club, ๒๕๖๖) ๘๐
การฝึกซ้อมวงดนตรีจึงเป็นการฝึกการทำ�งานร่วมกันกับผู้อื่นไปในคราวเดียวกัน การฝึกซ้อมวงดนตรี ที่มีสมาชิกวงเกินสิบคนขึ้นไปนั้น สมาชิกวงจึงต้องมีกติกา ข้อตกลงในการฝึกซ้อมร่วมกัน เพื่อให้ทุกการแสดง สามารถสำ�เร็จลุล่วงด้วยดีและทำ�ให้เกิดทักษะด้านลักษณะบุคคลที่ดีต่อไปได้ซึ่งกิจกรรม “จากอดีตสู่ความ ร่วมสมัย สานสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย - จีน” นี้ทางผู้ควบคุมวงดนตรีได้มอบหมายให้น.ส.ภธนพร จุลมณีโชติ (เนย) เป็นผู้ประสานงานระหว่างผู้ควบคุมวง นักร้อง และนักดนตรี ทั้งนี้ น.ส.ภธนพร ได้บอกเล่าภารกิจ ต่าง ๆ ที่ดำ�เนินการในวงดนตรีฯ ดังนี้ “มีหน้าที่จัดหาจัดเตรียมโน้ตเพลงที่จะใช้บรรเลงให้กับสมาชิกวง และทำตารางซ้อม รวมถึงต้อง เล่นดนตรีด้วย เพลงจีนเก่า ๆ บางเพลงไม่เคยได้ยิน เมื่อต้องมาเล่นจึงรู้สึกว่ามันยากตรงที่ทำ นองไม่คุ้นหู เพราะไม่ใช่เพลงในช่วงวัยของตน เพลงจีนเก่า ๆ มีทำ นองและแนวเพลงต่างจากที่เคยเล่นค่อนข้างเยอะ พอมันไม่ใช่เพลงที่เด็กในรุ่นของตนที่เคยฟังมามันเลยยาก แล้วอุปสรรคของเพลงที่ไม่มีภาษาไทยเลยคือ หากลืมนับห้องเพลง ตนก็จะตามเข้าท่อนเพลงไม่ถูกเพราะจำ เนื้อเพลงท่อนนั้นไม่ได้ และไม่รู้ว่านักร้อง กำลังร้องประโยคไหนอยู่” ภธนพร จุลมณีโชติ(สัมภาษณ์, ๑ กุมภาพันธ์๒๕๖๖) ภาพที่ ๘ น.ส.ภธนพร จุลมณีโชติ(ผู้ประสานงาน/นักดนตรี) ที่มา (NSRU Photo club, ๒๕๖๖) ๘๑
๘๒ สรุป ความเชื่อ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชาวจีนที่เข้ามาในนครสวรรค์นั้น ดำ�เนินไปอย่างต่อเนื่องมานาน หลายทศวรรษ จนกลายเป็นการผสมกลมกลืนกันทางวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีน ทำ�ให้ความเป็น “พหุวัฒนธรรม” ของสังคมนครสวรรค์มีความโดดเด่นที่สุดจังหวัดหนึ่งของไทย ยิ่งไปกว่านั้นยังทำ�ให้ชุมชน ชาวจีนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และสังคมของนครสวรรค์ไปในที่สุด ความสัมพันธ์ระหว่าง วัฒนธรรมไทย - จีน นั้น ดำ�เนินไปอย่างต่อเนื่องและยาวนาน และนับวันยิ่งทวีความแน่นแฟ้นมากขึ้น ผ่านความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่มีการแต่งงานระหว่างเชื้อสายไทย - จีน และมีลูกหลานสืบทอดมาหลายรุ่น จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งความสัมพันธ์ทางธุรกิจ หรือความร่วมมือที่เป็นกิจกรรมสาธารณกุศลต่าง ๆ และเป็น ผู้ที่มีบทบาทสำ�คัญในการสร้างความเจริญให้แก่นครสวรรค์ จนที่รับรู้และเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนได้เป็น อย่างดี (สำ�นักศิลปะและวัฒนธรรม, ๒๕๖๖) ความสัมพันธ์ระหว่างไทย - จีน และเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นแรงบันดาลใจของศิลปิน แขนงต่าง ๆ ที่พยายามสะท้อนความงดงามที่เกิดขึ้น ดังส่วนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในเนื้อเพลง สายนํ้าแห่งชีวิต ซึ่งเป็นเพลงที่เล่าถึงวิถีชีวิตของชุมชนไทย - จีน ลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยา “แม่นํ้าสายนี้นั้นคือชีวิต คือลำ นํ้าแห่งลมหายใจ ปิง วัง น่าน ยม ผสมสี่สาย ร้อยรวมใจ ลูกไว้ด้วยกัน” (ภราดร เพ็งศิริ, ๒๕๕๒) การเรียงร้อยถ้อยเพลงจีน - ไทย สานอดีตสู่ความร่วมสมัยด้วยดนตรี จัดทำ�ขึ้นเพื่อหล่อรวมจิต วิญญาณจากรุ่นสู่รุ่นผ่านเสียงเพลง ด้วยความตั้งใจของผู้ควบคุมวง นักร้อง นักดนตรี และนำ�สู่สายตา สาธารณชนชาวไทย - จีน เมืองปากนา้ํ โพ ในช่วงเย็นของวันเสาร์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๖ ณ ลานมังกรทอง อุทยานสวรรค์จังหวัดนครสวรรค์โดยใช้ชื่อกิจกรรมว่า การแสดงการบรรเลงและขับร้องบทเพลงไทย - จีน “จากอดีตสู่ความร่วมสมัย สานสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย - จีน” เสียงเพลงที่บรรเลงและขับขานโดยเรียงร้อย ตามระยะเวลาอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ไม่เพียงจะได้สร้างความอิ่มเอม ประทับใจ ซาบซึ้ง การระลึกความทรงจำ� และความสุขเมื่อฟังเพลงให้แก่ผู้ชมการแสดง แต่บทเพลงดังกล่าวยังได้เติมเต็มมุมมองทางดนตรีของ ผู้ควบคุมวง นักร้อง นักดนตรีซึ่งกันและกันมากขึ้น
๘๓ ภาพที่ ๙ ภาพหมู่หลังการแสดงเสร็จสิ้น ที่มา (NSRU Photo club, ๒๕๖๖)
เอกสารอ้างอิง กิตติพัชน์คล้ายวิมุติ. (๒๕๖๖). นักร้อง นักดนตรี เบื้องหลังบทเพลงแห่งอดีตสู่ความร่วมสมัย. สัมภาษณ์ วันที่ ๒ กุมภาพันธ์๒๕๖๖. ปัณณรุจน์ อนันต์จรัสภัทร. (๒๕๖๖). ร้อยเรียงแนวคิดความทรงจำ ไทย - จีน ผ่านบทเพลงร่วมสมัย. สัมภาษณ์วันที่ ๗ กุมภาพันธ์๒๕๖๖. ปรางฉาย ประจิตร. บรรยากาศการฝึกซ้อมวงดนตรี. นครสวรรค์: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์. ภธนพร จุลมณีโชติ. (๒๕๖๖). ผู้ประสานงาน นักดนตรี เบื้องหลังบทเพลงแห่งอดีตสู่ความร่วมสมัย. สัมภาษณ์วันที่ ๑ กุมภาพันธ์๒๕๖๖. ภราดร เพ็งศิริ. (๒๕๕๒). สายนํ้าแห่งชีวิต. ม.ป.พ. มัลลิกา ชมภู. (๒๕๖๖). บอกเล่าเรื่องราว เล่าขาน ผ่านเสียงเพลง. สัมภาษณ์วันที่ ๒ กุมภาพันธ์๒๕๖๖. สำ�นักศิลปะและวัฒนธรรม. (๒๕๖๕) เสริมสร้างคุณค่าและรักษ์ท้องถิ่น เพื่อสืบสานศิลปวัฒนธรรมและ ความเป็นไทย และอัจฉริยภาพด้านดนตรี. นครสวรรค์: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์. สำ�นักศิลปะและวัฒนธรรม. (๒๕๖๖) จากอดีตสู่ความร่วมสมัย สานสัมพันธ์วัฒนธรรมไทย - จีน. นครสวรรค์: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์. อภิชาติจุมพล. บอกเล่าเรื่องราว เล่าขาน ผ่านเสียงเพลง. สัมภาษณ์วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์๒๕๖๖. อรลลินทร์ปุณยวัฒนานนท์. บอกเล่าเรื่องราว เล่าขาน ผ่านเสียงเพลง. สัมภาษณ์วันที่ ๖ กุมภาพันธ์๒๕๖๖. NSRU Photo Club. (๒๕๖๖). ประมวลภาพกิจกรรมจากอดีตสู่ความร่วมสมัย สานสัมพันธ์วัฒนธรรม ไทย - จีน. นครสวรรค์: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์. ๘๔