ประวตั ิการศึกษาไทย
ED113 : EDUCATIONAL PHILOSOPHY AND TEACHER
PROFESSIONAL DEVELOPMENT
โดย
นางสาวจติ พศิ ุทธิ ศรที ัศน์ รหสั นสิ ติ 63105010049
นายนติ ิภัทธ์ วงศ์เอียดเจรญิ รหสั นสิ ติ 63105010201
“ การศึกษา คือ ความเจรญิ งอกงาม ”
(Education is growth)
สารบญั หน้า
เรอื ง 3
8
การจดั การศึกษาไทย 12
ความหมายของการปฏิรูปการศึกษา 18
การปฏิรูปการศึกษาไทยสมยั รชั กาลที 5 24
การปฏิรูปการศึกษาไทยสมยั รชั กาลที 6 28
การปฏิรปู การศึกษาไทยสมยั รชั กาลที 7 34
36
การปฏิรูปการศึกษาสมยั การปกครองระบอบ
รฐั ธรรมนูญ
การปฏิรูปการศึกษาสมยั พฒั นาการ
การปฏิรูปการศึกษาสมยั ปจจุบนั
ประวตั ิการศึกษาไทย
การจดั การศึกษาไทย
สภาพการจดั การศึกษาไทย มรี ะบบการบรหิ ารเปนระบบราชการทีเปน
สว่ นหนงึ ของระบบบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ แบง่ ออกเปนการบรหิ ารสว่ นกลาง
สว่ นภมู ภิ าค และสว่ นท้องถิน โดยมหี นว่ ยงานต่าง ๆ ทีรบั ผดิ ชอบ
1. บรหิ ารสว่ นกลาง หนว่ ยงานทีรบั ผดิ ชอบ ไดแ้ ก่
1 สาํ นกั นายกรฐั มนตรี มสี าํ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติเปน
หนว่ ยงานทีรบั ผดิ ชอบ
2 ทบวงมหาวทิ ยาลัย กําลับดแู ลการจดั การศึกษาของมหาวทิ ยาลัยทังของรฐั
และของเอกชน
3 กระทรวงศึกษาธกิ าร รบั ผดิ ชอบการจดั การศึกษาระดบั ก่อนวยั เรยี น
ประถมศึกษา มธั ยมศึกษา อาชวี ศึกษา การศึกษานอกโรงเรยี น การฝกหดั ครู
นอกจากนนั ยงั รบั ผดิ ชอบงานดา้ นพลศึกษา ศาสนา ศิลปวฒั นธรรม ซงึ มี
หนว่ ยงานระดบั กรม 14 หนว่ ยงาน และมเี ขตการศึกษา 12 เขต
4 กระทรวงมหาไทย มอี งค์กรท้องถินรบั ผดิ ชอบในการจดั การศึกษา ไดแ้ ก่
เทศบาลเมอื งพทั ยา และกรงุ เทพมหานคร
5 กระทรวงอืน ๆ จดั การศึกษาทังในระบบและนอกระบบ โดยจดั การศึกษา
ใน 2 รปู แบบ ดงั นี
5.1. จดั การศึกษาเฉพาะกิจเพอื เตรยี มบุคคลเขา้ รบั ราชการในหนว่ ยงานของ
ตน เชน่ กระทรวงกลาโหม มโี รงเรยี นนายทหารทกุ เหล่าทัพ วทิ ยาลัยพยาบาล
วทิ ยาลัยแพทยศาสตร์ โรงเรยี นดรุ ยิ างค์ โรงเรยี นชา่ งฝมอื โรงเรยี นนายสบิ
เปนต้น กระทรวงสาธารณสขุ มวี ทิ ยาลัยพยาบาล โรงเรยี นอนามยั กระทรวง
คมนาคม มโี รงเรยี นวศิ วกรรมรถไฟ โรงเรยี นไปรษณยี โ์ ทรเลข เปนต้น
กระทรวงการคลัง มโี รงเรยี นศุลการกั ษ์ และกระทรวงเกษตร มโี รงเรยี น
ชลประทาน โรงเรยี นปาไม้ เปนต้น
5.2 การจดั การศึกษาเพอื สนองภารกิจของหนว่ ยงานของตน เชน่ กรม
พฒั นาชุมชน กรมอนามยั กรมการแพทย์ กรมแรงงาน กองบญั ชาการตํารวจ
ตระเวนชายแดน กรมการปกครอง นอกจากนยี งั มหี นว่ ยงานอิสระอืน ๆ เชน่
สภาการชาดไทย เปนต้น
ประวตั ิการศึกษาไทย
2. การบรหิ ารสว่ นภมู ภิ าค มเี ขตจงั หวดั เปนเขตจดั การศึกษา
หนว่ ยงานการศึกษาในเขตจงั หวดั แบง่ ออกเปน 2 ประเภท คือ
2.1 หนว่ ยงานสว่ นจงั หวดั ไดแ้ ก่ สาํ นกั งานศึกษาธกิ ารจงั หวดั สาํ นกั งาน
ศึกษาธกิ ารอําเภอ และหนว่ ยงานทีเจา้ สงั กัดในสว่ นกลางมอบอํานาจใหผ้ วู้ า่
ราชการจดั หวดั ดแู ลรบั ผดิ ชอบ
2.2 หนว่ ยงานสว่ นกลาง เปนหนว่ ยงานสว่ นงานทีตังอยูใ่ นเขตจงั หวดั แต่
ขนึ ตรงกับสว่ นกลาง เชน่ สาํ นกั งานศึกษาธกิ ารเขต มหาวทิ ยา วทิ ยาลัย
นาฏศิลป วทิ ยาลัยพลศึกษา วทิ ยาเขตต่าง ๆ ของสถาบนั เทคโนโลยรี าบมงคล
3. การบรหิ ารสว่ นท้องถิน หนว่ ยงานทีรบั ผดิ ชอบ ไดแ้ ก่
3.1 สาํ นกั งานการศึกษาท้องถิน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
รบั ผดิ ชอบการศึกษา 2 หนว่ ย ดงั นี
3.1.1 เทศบาล จดั การศึกษาระดบั ประถมศึกษาในเขตเทศบาล
3.1.2 เมอื งพทั ยา จดั การศึกษาในระดบั ประถมศึกษาในเขตเมอื งพทั ยา
3.2 สาํ นกั งานการศึกษากรงุ เทพมหานคร รบั ผดิ ชอบในการจดั การศึกษา
ในเขตกรงุ เทพมหานคร (วโิ รจน์ สารรตั นะ. 2539:72-73) การศึกษาในระดบั
อุดมศึกษา เมอื พจิ ารณาการศึกษาระดบั อุดมศึกษา ซงึ เปนการศึกษาระดบั ที
สาม ต่อจากระดบั ทีสอง คือ มธั ยมศึกษา การจดั อุดมศึกษาของไทย มรี ะดบั
ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชนั สงู อนปุ รญิ ญาถึงระดงั ปรญิ ญาตรี โท และเอก
การศึกษาระดบั นปี จจุบนั เปนทังของรฐั และเอกชน ปรชั ญาการอุดมศึกษานนั
ในอดตี จะมุง่ เฉพาะดา้ นปญญาและการปลกู ฝงคณุ ธรรมเปนแหล่งชุมนมุ ของ
ผอู้ ยากรอู้ ยากเหน็ ต้องการหาความจรงิ ทีเปนสากลและนริ นั ดร (วจิ ติ ร
ศรสี ะอ้าน. 2518 :7) โดยไมย่ ุง่ เกียวกับสงั คม การเมอื ง หรอื ผลิตกําลังคนเพอื
การประกอบอาชพี แต่อยา่ งใด ต่อมาสมยั กลางยุโรป ปรชั ญาของการ
อุดมศึกษาไดเ้ ปลียนแปลงไป คือมุง่ ผลิตกําลังคนสนองความต้องการของ
สงั คม การเมอื ง เศรษฐกิจ อีกทังวฒั นธรรมแบบใดแบบหนงึ ซงึ อาจกล่าวได้
วา่ เรมิ ตังแต่ยุคกลางของยุโรป การอุดมศึกษาจะมุง่ ผลิตกําลังคนเพอื รบั
ราชการ ดงั เชน่ มหาวทิ ยาลัยอ๊อกซฟอรด์ ของอังกฤษ (สลุ ักษณ์ ศิวรกั ษ์.
2530 : 33)
ประวตั ิการศึกษาไทย
ดงั นนั สถาบนั อุดมศึกษาหรอื มหาวทิ ยาลัยของไทยทีไดแ้ บบอยา่ งมาจาก
ตะวนั ตก เชน่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย
เกษตรศาสตร์ และมหาวทิ ยาลัยศิลปากร ต่างก็สอนวชิ าชพี ชนั สงู เพอื ทีใหผ้ ทู้ ีจบ
ออกไปรบั ราชการไมว่ า่ จะเปนยุคแรกทีมคี วามจาํ เปนทางดา้ นการเมอื งดงั ทีกล่าว
มาแล้ว หรอื ยุคหลังโดยเฉพาะเมอื ประเทศไทยเรมิ มแี ผนพฒั นาเศรษฐกิจและ
สงั คมแหง่ ชาติ รฐั ต้องการกําลังคนอยา่ งมากเพอื ชว่ ยพฒั นาประเทศ สถาบนั
อุดมศึกษาไดจ้ ดั ตังเพมิ ขนึ ทังในสว่ นกลางและสว่ นภมู ภิ าคอยา่ งมากมาย เพอื
ผลิตกําลังคนใหก้ ับสว่ นราชการ เอกชน ตามสาขาหลัง คือ แพทย์ เกษตร วศิ วกร
ทังนเี พราะถือวา่ สถาบนั อุดมศึกษาเปนแหล่งผลิตกําลังคนระดบั สงู ตามความ
ต้องการของรฐั เพอื พฒั นาประเทศ (วจิ ติ ร ศรสี ะอ้าน. 2518:31)
ดงั นนั สถาบนั อุดมศึกษาในประเทศไทยจงึ มหี นา้ ทีทีจะถ่ายทอดความ
รูว้ ชิ าการทีได้รบั จากประเทศทีเจรญิ แล้วมาแจกจา่ ยให้นสิ ติ นกั ศึกษาโดยมไิ ด้
มกี ารสอบทาน หรอื ประยุกต์ใหเ้ ปนความรทู้ ีเหมาะสมกับประเทศไทย เพยี งทํา
หนา้ ทีคนกลางรบั สงิ ทีโลกตะวนั ตกค้นพบและนาํ มาจา่ ยเพอื ผเู้ รยี นจะไดน้ าํ ความรู้
วชิ าการตลอดถึงเทคโนโลยเี หล่านพี ฒั นาประเทศใหเ้ หมอื นกับประเทศทางตะวนั
ตกทีเจรญิ แล้วเท่านนั เอง(วทิ ย์ วศิ ทเวทย.์ 2530:11) เมอื เปนเชน่ นี สถาบนั
อุดมศึกษาของไทยยอ่ มมไิ ดท้ ําหนา้ ทีใหค้ รบถ้วนตามปรชั ญา โดยเฉพาะดา้ นการ
วจิ ยั ค้นควา้ เพอื ความก้าวหนา้ และความเปนเลิศทางวชิ าการทีจะเอืออํานวย
ประโยชนต์ ่อความเจรญิ ของมนษุ ยชาติ (วจิ ติ ร ศรสี ะอ้าน. 2518:11) เพราะมุง่
เพยี งการถ่ายทอดความรจู้ ากประเทศทีเจรญิ แล้วใหน้ สิ ติ นกั ศึกษา เมอื นกั ศึกษา
จบออกไปสสู่ งั คมก็จะตกเปนทาสทางวชิ าการและเทคโนโลยตี ะวนั ตก
ประวตั ิการศึกษาไทย
อีกทังไมส่ ามารถนาํ ความรเู้ หล่านนั ไปใชก้ ับชวี ติ ประจาํ วนั หรอื อาชพี ทีมี
อยูใ่ นชนบท ซงึ เปนอาชพี ดงั เดมิ ของไทยโดยเฉพาะการเกษตรนอกจากนยี งั มี
ทัศนคติทีไมด่ ตี ่อชนบทอีกดว้ ย มองเหน็ ชนบทนนั ล้าหลัง ขาดความเจรญิ ไมม่ ี
ความสะดวกสบายเท่าในตัวเมอื งเหน็ วา่ อาชพี ดา้ นการเกษตรเปนอาชพี ทีตําต้อย
ไมส่ ามารถทีจะนาํ ตนเจรญิ ก้าวหนา้ หรอื ชว่ ยยกระดบั ตัวเองไดใ้ นอนาคต ตลอดถึง
มองเหน็ ขอ้ แตกต่างความไดเ้ ปรยี บเสยี เปรยี บของอาชพี และสงั คมทําใหผ้ ทู้ ีจบ
อุดมศึกษาไมย่ อมประกอบอาชพี หรอื อยูใ่ นสงั คมทีมคี วามเสยี เปรยี บมาก ดงั นนั
จงึ มุง่ แต่จะรบั ราชการ เพราะเปนหนทางเดยี วทีสามารถยกระดบั ฐานะทางสงั คม
และความเปนอยูข่ องตนใหส้ งู ขนึ จงึ ไมย่ อมกลับไปสอู่ าชพี เดมิ ของบดิ ามารดาไม่
คิดทีจะแก้ไขปรบั ปรงุ อาชพี เดมิ ใหด้ ขี นึ เมอื เปนเชน่ นเี กษตรกรและสงั คมในชนบท
แต่เดมิ เคยเสยี เปรยี บหรอื มคี วามเปนอยูเ่ ชน่ ไรก็ยงั เปนอยูเ่ ชน่ นนั จะเปลียนแปลง
บา้ งก็ใน
ดา้ นวตั ถุ คือ มสี ภาพทีเรยี กวา่ เจรญิ แต่ไมพ่ ฒั นา สภาพเชน่ นจี ะพบเหน็ ไดอ้ ยา่ ง
มากมายตามชนบทของไทย (สพุ ล วุฒเิ สน. 2532 : 22)
ประวตั ิการศึกษาไทย
ความหมายของการปฏิรูปการศึกษา
การปฏิรปู ระบบการศึกษาไทยปจจุบนั การปฏิรปู หมายถึง หมายถึงการ
ปรบั ปรงุ เปลียนแปลง แก้ไขใหด้ ขี นึ หรอื หมายถึงการปรบั ปรงุ แก้ไขขอ้ ปฏิบตั ิที
บกพรอ่ งผดิ พลาดทีผา่ นมากฎหรอื ระเบยี บหรอื ขอ้ บงั คับทีปฏิบตั ิมานอกจากจะไม่
เกิดประโยชนแ์ ล้วยงั ก่อใหเ้ กิดโทษและความเสยี หายแก่สว่ นรวม การแก้ไขดงั
กล่าวเปนการแก้ไขทังระบบใชก้ ารกระทําภาคปฏิบตั ิอยา่ งเปนระบบและเปนขนั ตอน
ผา่ นความเหน็ ชอบรว่ มกันหลีกเลียงการใชค้ วามรนุ แรง เพอื นาํ ไปสกู่ าร
เปลียนแปลงใหมท่ ีดกี วา่ และเปนทียอมรบั ไดใ้ นสงั คมโดยรวม
การปฏิรปู การศึกษา คือ การปรบั เปลียนพฒั นาเพอื ใหก้ ารศึกษาสามารถ
สรา้ งคนดใี หก้ ับสงั คมและเปนพลังในการพฒั นาประเทศใหส้ ามารถแขง่ ขนั กับ
นานาอารยประเทศบนพนื ฐานของวฒั นธรรมและความเปนไทย
การศึกษาเปนกระบวนการทีชว่ ยใหค้ นไดพ้ ฒั นาตนเองในดา้ นต่างๆ
ตลอดชวี ติ ในประเทศทีพฒั นาแล้วการพฒั นาศักยภาพของคนจะต้องนาํ หนา้
การพฒั นาประเทศในมติ ิอืนตัวอยา่ งประเทศทีประสบความสาํ เรจ็ ในการพฒั นา
เชน่ สหรฐั อเมรกิ า อังกฤษ เยอรมนั ญปี ุน เกาหลี ฮ่องกง สงิ คโปร์ ไดท้ ่มุ เท
การลงทนุ ในการพฒั นาคนในชาติก่อนหนา้ ทีประเทศจะเรมิ เจรญิ เติบโตอยา่ ง
รวดเรว็ แล้วทังสนิ ประเทศเหล่านไี ดม้ กี ารปฏิรปู ระบบการศึกษาอยา่ งมี
ประสทิ ธภิ าพ เพอื พฒั นาคนในชาติใหม้ คี วามรู้ และประสบการณ์ โดยใหก้ ารศึกษา
เปนตัวนาํ
การพฒั นาประเทศดา้ นต่างๆ เพอื คนในชาติจะไดน้ าํ ความรแู้ ละประสบการณไ์ ป
พฒั นาประเทศใหม้ คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งดงั ทีเรา จะพบวา่ ประเทศทีพฒั นาแล้ว
หลายๆ ประเทศจะมปี ระชากรทีไดร้ บั การศึกษาในอัตราทีสงู
การปฏิรปู ระบบการศึกษาเปนประเดน็ ศึกษาทีหนว่ ยงานต่างๆ ทังภาครฐั
และภาคเอกชนนา่ จะใหค้ วามสนใจอยา่ งมาก เนอื งจากหากระบบการศึกษาไทยไม่
ไดร้ บั การปฏิรปู แมว้ า่ เราจะพยายามขยายโอกาสทางการศึกษาออกไปเปน 9 ป
หรอื 12 ป ตามทีกฎหมายรฐั ธรรมนญู ฉบบั ปจจุบนั ระบุไวก้ ็ตามก็จะไมไ่ ดช้ ว่ ย
สรา้ งคนในชาติใหม้ คี วามรคู้ วามสามารถอยา่ งทีควรจะเปนในอดตี เราจะเหน็ ไดว้ า่
รฐั บาล และพรรคการเมอื งทีมาจากการเลือกตังมกั จะพจิ ารณาและจดั อันดบั ให้
กระทรวงศึกษาธกิ ารเปนกระทรวงเกรดซที ีไมค่ ่อยมคี วามสาํ คัญมากนกั เพราะ
เปนกระทรวงทีมผี ลประโยชนค์ ่อนขา้ งนอ้ ยเมอื เปรยี บเทียบกับหลายๆ กระทรวง
ประวตั ิการศึกษาไทย
แต่ในปจจุบนั รฐั บาลเรมิ ใหค้ วามสาํ คัญกระทรวงศึกษาธกิ ารเปนอันดบั
ต้นๆ โดยเฉพาะนายกรฐั มนตรซี งึ เปนผนู้ าํ ของประเทศยงั เคยเขา้ ไปดาํ รง
ตําแหนง่ ควบเปนรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงศึกษาธกิ าร เพอื หวงั ใหก้ ารปฏิรปู ระบบ
การศึกษาบงั เกิดขนึ อยา่ งจรงิ จงั และเปนรปู ธรรม โดยรฐั บาลเหน็ วา่ กระทรวง
ศึกษาธกิ ารจะต้องมบี ทบาทสาํ คัญในการปฏิรปู ระบบการศึกษาใหไ้ ดม้ าตรฐาน ซงึ
เปนพนื ฐานสาํ คัญของการสรา้ งคณุ ภาพใหก้ ับคนหรอื ประชากรในชาติการปฏิรปู
ระบบการศึกษาดว้ ยการจดั ระบบการศึกษาใหมท่ ังระบบเปนเรอื งสาํ คัญทีไมอ่ าจ
เพกิ เฉยไดอ้ ีกต่อไปเพราะเปนทียอมรบั ของนานาประเทศวา่ คนเปนองค์ประกอบ
สาํ คัญทีสดุ ของทกุ ระบบในโลกคนเปนทรพั ยากรทีลําค่ากวา่ ทรพั ยอ์ ืนใดในโลกคน
มคี ณุ ค่าในตนเองและสามารถถ่ายทอดคณุ ค่านนั เพอื ประโยชนต์ ่อการสรา้ งสรรค์
สงั คมไดห้ ากคนไดร้ บั การปลกู ฝงความรคู้ วามเขา้ ใจและการพฒั นาศักยภาพดา้ น
ต่างๆ ผา่ นกระบวนการทางการศึกษาเราจะเหน็ วา่ ประเทศทีระบบการศึกษามี
ประสทิ ธภิ าพและรฐั บาลประเทศนนั เหน็ คณุ ค่าการศึกษาอยา่ งสงู ประเทศนนั ก็จะ
เจรญิ ก้าวหนา้ พฒั นาไปไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ดงั ทีกล่าวมาแล้วทังนเี พราะประเทศจะมี
ขุมทรพั ยแ์ หง่ สติปญญาจาํ นวนมากอยูใ่ นประเทศของตนตรงกันขา้ มกับประเทศ
ทีระบบการศึกษาดอ้ ยคณุ ภาพและประชาชนไมไ่ ดร้ บั การศึกษาอยา่ งเหมาะสมผลก็
คือประเทศนนั จะล้าหลังยากจนและแขง่ ขนั หรอื อยูร่ ว่ มกับประเทศอืนไมไ่ ดอ้ ยา่ งมี
ศักดศิ รดี งั นนั ประเทศไทยในปจจุบนั จงึ ตระหนกั ถึงความสาํ คัญของการศึกษา
อยา่ งจรงิ จงั โดยใหค้ นเปนศูนยก์ ลางในการพฒั นาในการวางแผนพฒั นา
เศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติการศึกษาไดถ้ กู กําหนดเปนนโยบายระดบั ชาติทีจะสง่
ผลต่อความเปนไปของประเทศในอนาคตดงั นนั การปฏิรปู การศึกษาจงึ ต้อง
เกียวขอ้ งกับการเปลียนแปลงคนแต่ละคน เพอื ก่อใหเ้ กิดการใชศ้ ักยภาพของคน
ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ ต่อการพฒั นาตนเอง และการสรา้ งสงั คมนนั
ระบบการศึกษาของไทยนบั ตังแต่สมยั กรงุ สโุ ขทัยจนถึงสมยั
รตั นโกสนิ ทรต์ อนต้นการศึกษาของคนไทยสมยั นนั จะอาศัยวดั เปนสถานทีอบรม
สงั สอนบุตรหลาน เชน่ การสอนหนงั สอื ใหอ้ ่านออกเขยี นไดผ้ ชู้ ายไทยทกุ คนเมอื
อายุครบ 20 ป ก็จะต้องเขา้ สเู่ พศบรรพชติ โดยขณะทีบวชเปนพระจาํ พรรษาอยู่
ทีวดั ก็จะไดร้ บั การอบรมสงั สอนในดา้ นการเขยี น การอ่านและวชิ าชา่ งต่างๆ สว่ น
สตรไี ทยก็จะไดร้ บั การอบรมสงั สอนเกียวกับกิรยิ ามารยาท การเยบ็ ปกถักรอ้ ย
และงานประดษิ ฐท์ ีเกียวกับดอกไมจ้ ากครอบครวั ของตน ต่อมาในสมยั รชั กาลที 5
ไดม้ กี ารจดั ตังโรงเรยี นในมณฑลต่างๆ โดยมฆี ราวาสเปนครสู อน
ประวตั ิการศึกษาไทย
ความก้าวหนา้ ของการปฏิรปู ระบบการศึกษาของภาครฐั ตามทีกล่าวมา
แล้วขา้ งต้นเชอื วา่ ผลของการปฏิรปู จะทําใหร้ ะบบการศึกษาของไทยมปี ระสทิ ธภิ าพ
มากยงิ ขนึ ซงึ จะเปนหวั ใจสาํ คัญทีจะทําใหป้ ระชากรไทยมคี ณุ ภาพมากยงิ ขนึ เชน่ กัน
แต่ในบรรยากาศของการปฏิรปู ดงั กล่าว ก็ยงั คงมปี ญหาอุปสรรคของการปฏิรปู อยู่
บา้ งบางประการซงึ พอสรปุ ได้ คือ
1.ปญหาความล่าชา้ ในกระบวนการพจิ ารณาทางกฎหมาย
โดยเฉพาะการจดั ทํากฎหมายเพอื สง่ เสรมิ ใหม้ กี ารจดั การศึกษาในรปู แบบ
ทีหลากหลาย เชน่ ในรปู แบบศูนยก์ ารเรยี น การจดั การศึกษาโดยครอบครวั ตลอด
จนรา่ ง พ.ร.บ. อีกหลายฉบบั ทีเกียวขอ้ งกับการปฏิรปู ระบบการศึกษาก็ยงั ไมไ่ ดม้ ี
การประกาศใช้
2.ปญหาในด้านการกําหนดนโยบายและแผน
กล่าวคือในทางปฏิบตั ิแต่ละหนว่ ยงานจะกําหนดนโยบายและแผนเพอื
การปฏิบตั ิภารกิจของตนเอง โดยยดึ ถือ พ.ร.บ.การศึกษาแหง่ ชาติหรอื รา่ ง
กฎหมายทีเกียวขอ้ งเปนกรอบนโยบายกวา้ งๆ ในการดาํ เนนิ การถึงแมจ้ ะยงั ไมม่ กี าร
ประกาศใชแ้ ต่ในบางเรอื งจาํ เปนต้องมนี โยบายเพอื เปนกรอบและแนวทางทีชดั เจน
และมเี อกภาพในการดาํ เนนิ การแต่ยงั ไมม่ แี นวทาง ใหด้ าํ เนนิ การทีชดั เจน จงึ เกิด
ความล่าชา้ ในการปฏิรปู ในบางเรอื งใหเ้ ปนรปู ธรรม
3.ปญหาในด้านการนาํ นโยบายและแผนไปสกู่ ารปฏิบตั ิ
เชน่ การจดั การศึกษาเฉพาะทาง มคี วามก้าวหนา้ ในการนาํ นโยบายและ
แผนไปสกู่ ารปฏิบตั ิค่อนขา้ งนอ้ ย สว่ นใหญอ่ ยูใ่ นระหวา่ งขนั เตรยี มการ
ประวตั ิการศึกษาไทย
ปญหาอุปสรรคทีกล่าวมาแล้วขา้ งต้นเชอื วา่ ภาครฐั ก็คงทราบและ
ตระหนกั ถึงปญหาดงั กล่าวเปนอยา่ งดแี ละหาทางแก้ไขเพอื นาํ ไปสกู่ ารปฏิรปู ระบบ
การศึกษาทีมปี ระสทิ ธภิ าพมากยงิ ขนึ การปฏิรปู ระบบการศึกษาทีมปี ระสทิ ธภิ าพก็
จะสรา้ งคณุ ภาพใหก้ ับประชากรอยา่ งแนน่ อนตามทีกล่าวมาแล้วในตอนต้น แต่
อยา่ งไรก็ตาม การปฏิรปู ระบบการศึกษาก็ควรทีจะต้องปฏิรปู คนทีเกียวขอ้ งกับ
การปฏิรปู ดว้ ยหมายถึง นอกจากเราจะปฏิรปู คนทีมสี ว่ นเกียวขอ้ งโดยตรงต่อ
ระบบการศึกษา เชน่ ครู อาจารย์ ผบู้ รหิ าร การศึกษา ผเู้ รยี น รวมไปถึงบดิ า
มารดา ผปู้ กครองแล้ว เหน็ วา่ ยงั มคี วามจาํ เปนทีจะต้องปฏิรปู คนทีมสี ว่ น
เกียวขอ้ งทางอ้อมต่อระบบการศึกษาอีกดว้ ยอันไดแ้ ก่ สอื มวลชน นกั การเมอื ง
ผปู้ ระกอบอาชพี ทีเกียวขอ้ งกับกฎหมายผนู้ าํ องค์กร ผนู้ าํ ชุมชน นกั เขยี น นกั
รอ้ ง นกั แสดง ศิลปน ผมู้ อี ํานาจทางเศรษฐกิจ ซงึ การปฏิรปู กล่มุ บุคคลเหล่านี
นา่ จะเปนสงิ จาํ เปนอยา่ งยงิ เชน่ กัน เนอื งจากคนทกุ กล่มุ ในสงั คมจะต้องสามารถ
มสี ว่ นรว่ ม ถ่ายทอดอิทธพิ ล อุดมการณท์ างการศึกษาตามแนวทางทีต้องการ
ปฏิรปู ใหก้ ับเดก็ ๆ และเยาวชนของชาติอันจะเปนการชว่ ยใหก้ ารพฒั นาการ
ทางการศึกษาเปนไปไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และมพี ลังมากยงิ ขนึ ดงั นนั เราจาํ เปนต้อง
ปฏิรปู กล่มุ คนเหล่านดี ว้ ยหากเราต้องการใหก้ ารปฏิรปู การศึกษาเปนไปไดอ้ ยา่ ง
ครอบคลมุ และประสบความสาํ เรจ็ อยา่ งยงั ยนื เพอื คณุ ภาพของประชากรใน
ประเทศชาติ
การปฏิรปู การศึกษาไทยสามารถเเบง่ ออกไดเ้ ปน 5 สมยั ดงั นี
1. การศึกษาของไทยสมยั โบราณ (พ.ศ. 1781 - พ.ศ. 2411)
- การศึกษาสมยั กรงุ สโุ ขทัย (พ.ศ. 1781 - พ.ศ. 1921)
- การศึกษาสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา (พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2310)
- การศึกษาสมยั กรงุ ธนบุรแี ละกรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ อนต้น
พ ศ พ ศ( . . 2311 – . . 2411)
2. การศึกษาของไทยสมยั ปฏิรูปการศึกษา (พ.ศ. 2412 - พ.ศ. 2474)
3. การศึกษาของไทยสมยั การปกครองระบอบรฐั ธรรมนญู ระยะแรก
(พ.ศ. 2475 - พ.ศ. 2491)
4. การศึกษาไทยสมยั พฒั นาการศึกษา (พ.ศ. 2492 พ.ศ. 2534)
5. การศึกษาสมยั ปจจุบนั (พ.ศ. 2535 ปจจุบนั )
การปฏิรปู การศึกษาสมยั รชั กาลที 5
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั
“ วชิ าหนงั สอื เปนวชิ าทีนา่ นบั ถือและเปนทีนา่
สรรเสรญิ มาแต่โบราณวา่ เปนวชิ าอยา่ งประเสรฐิ ซงึ
ผยู้ งิ ใหญน่ บั แต่ พระมหากษัตรยิ เ์ ปนต้นมา ตลอด
จนราษฎรพลเมอื งสมควรและจาํ เปนจะต้องรเู้ พราะ
เปนวชิ าทีอาจทําใหก้ ารทังปวงสาํ เรจ็ ในทกุ สงิ ทกุ
อยา่ ง…"
( ป ร ะ ไ พ เ อ ก อุ น . 2 5 4 2 : 8 3 - 8 4 )
การปฏิรูปการศึกษา
สมัยรัชกาลที 5 : พระบาทสมเด็ จพระจุ ลจอมเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
การศึกษาในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั หลังจากที
พระองค์ไดค้ รองราชยแ์ ล้ว ก็ไดท้ รงปรบั ปรงุ ประเทศใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื งในทกุ ๆ ดา้ น
ทังในดา้ นการปกครอง การศาล การคมนาคมและสาธารณสขุ เปนต้น โดยเฉพาะ
ดา้ นการศึกษานนั พระองค์ไดท้ รงตระหนกั เพอื ปรบั ปรงุ คนในประเทศใหม้ คี วามรู้
ความสามารถจะชว่ ยให้ ประเทศชาติมคี วามเจรญิ ก้าวหนา้ ในทกุ ๆ ดา้ น ดงั พระราช
ดาํ รสั ทีวา่
“ วชิ าหนงั สอื เปนวชิ าทีนา่ นบั ถือและเปนทีนา่ สรรเสรญิ มาแต่โบราณวา่
เปนวชิ าอยา่ งประเสรฐิ ซงึ ผยู้ งิ ใหญน่ บั แต่ พระมหากษัตรยิ เ์ ปนต้นมา ตลอดจน
ราษฎรพลเมอื งสมควรและจาํ เปนจะต้องรูเ้ พราะเปนวชิ าทีอาจทําให้การทังปวง
สาํ เรจ็ ในทกุ สงิ ทกุ อยา่ ง”
การทีพระองค์ทรงเหน็ ความสาํ คัญของการศึกษา จงึ ไดม้ กี ารจดั การศึกษา
อยา่ งมรี ะเบยี บแบบแผน (Formal education) มโี ครงการศึกษาชาติ มโี รงเรยี น
เกิดขนึ ในวงั และในวดั มกี ารกําหนดวชิ าทีเรยี น มกี ารเรยี นการสอบไล่ และมที นุ
เล่าเรยี นหลวงใหไ้ ปศึกษาวชิ า ณ ต่างประเทศ
การปฏิรูปการศึกษา
สมัยรัชกาลที 5 : พระบาทสมเด็ จพระจุ ลจอมเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
ปจจยั ทีมผี ลในการปฏิรูปการศึกษาในสมยั รชั กาลที 5 ไดแ้ ก่
(1) แนวคิดและวทิ ยาการต่างๆ ของชาติตะวนั ตก ซงึ คณะมชิ ชนั มารไี ด้
นาํ วทิ ยาการเขา้ มาเผยแพรใ่ นดา้ นการแพทย์ การพมิ พห์ นงั สอื และระบบโรงเรยี น
ของพวกสอนศาสนา ตังแต่สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั เกล้าเจา้ อยูห่ วั และพระบาท
สมเดจ็ -พระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั สบื เนอื งมาถึงในสมยั นี เปนเหตใุ หไ้ ทยต้องรบั และ
ปรบั ปรงุ แนวคิดในการจดั การศึกษาขนึ เพอื ประโยชนใ์ นการพฒั นาประเทศ
(2) ภัยจากการคมุ คามของประเทศมหาอํานาจ ในต้นครสิ ต์ศตวรรษที
19 หรอื ปลายพุทธศตวรรษที 24 ลัทธจิ กั รพรรดนิ ยิ มกําลังแผข่ ยายมายงั
ประเทศต่างๆ ในเอเชยี ซงึ ประเทศเพอื นบา้ น เชน่ พมา่ ญวน เขมรและมลายู
เปนต้น ต่างตกอยูภ่ ายใต้กา รปกครองของประเทศมหาอํานาจ สว่ น
ประเทศไทยมจี ุดอ่อนทังในเรอื งความล้าหลัง ระบบการปกครองและการกําหนด
เขตแดนทีชดั เจนพระองค์จงึ ทรงหว่ งใยบา้ นเมอื ง จงึ ดาํ เนนิ นโยบายต่างประเทศ
แบบประณปี ระนอมและเรง่ ปรบั ปรงุ ประเทศ โดยเนน้ การ ศึกษาของชาติ
(3) ความต้องการบุคคลทีมคี วามรูค้ วามสามารถ เขา้ มารบั ราชการ
เนอื งจากพระองค์ทรงปรบั ปรงุ และขยายงานในสว่ นราชการต่างๆ จงึ จาํ เปนต้อง
จดั ตังโรงเรยี นเพอื สอนคนใหเ้ ขา้ มารบั ราชการ
(4) โครงสรา้ งของสงั คมไทยได้มกี ารเปลียนแปลง โดยมกี ารเลิกทาส
และมกี ารติดต่อกับต่างประเทศมากขนึ วฒั นธรรมแบบอยา่ งตะวนั ตกไดแ้ พร่
หลายจงึ จาํ เปนต้องการปรบั ปรงุ การศึกษา เพอื ใหป้ ระชาชนไดร้ บั การศึกษาเพมิ ขนึ
(5) การทีพระองค์ได้เสด็จต่างประเทศทังในเอเชยี และยุโรป ทําใหไ้ ด้
แนวความคิดเพอื นาํ มาปฏิรปู การศึกษาและใชเ้ ปนแนวทางพฒั นาบา้ นเมอื ง
การปฏิรูปการศึกษา
สมัยรัชกาลที 5 : พระบาทสมเด็ จพระจุ ลจอมเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
การบรหิ ารการศึกษา
ผมู้ บี ทบาทสาคัญเกียวกับการศึกษาสมยั ใหมใ่ นระยะแรกของไทย คือ คณะ
มชิ ชนั นารอี เมรกิ ัน ซงึ เขา้ มาตังแต่สมยั รชั กาลที 3 ต่อมาในสมยั รชั กาลที 4 แหมม่
แมต ตนู ภรรยามชิ ชนั นารอี เมรกิ ัน ไดจ้ ดั ตังโรงเรยี นขนึ เมอื วนั ที 13 กันยายน
พ ศ. .2395 ต่อมาไดร้ วมกับโรงเรยี นของซนิ แส กีเอ็ง ก๊วยเซยี น ซงึ เปนชาวจนี ทีนบั ถือ
นกิ ายโปร-
เตสแตนส์ โรงเรยี นนรี บั นกั เรยี นชายล้วน มคี รใู หญเ่ ปนคนไทย และสอนดว้ ยภาษา
ไทยอยูร่ มิ ฝงแมน่ า้ เจา้ ยาทตี าบลสาเหร่ ชอื วา่ โรงเรยี นสาเหร-่ บอยครสิ เตียนไฮสกลู
ต่อมายา้ ยมาอยูท่ ีตาบลสลี ม เปลียนชอื ใหมว่ า่ ”กรงุ เทพครสิ เตียนวทิ ยาลัย” นบั เปน
โรงเรยี นราษฎรแ์ หง่ แรกของไทย
สาเหตทุ ีทาใหเ้ กิดการปฏิรปู การศึกษา คือ พระองค์ต้องการสรา้ งคนทีมี
ความรเู้ พอื เขา้ รบั ราชการ เพอื ชว่ ยบรหิ ารประเทศใหพ้ ฒั นามากขนึ โปรดเกล้าฯ ใหต้ ัง
โรงเรยี นหลวงแหง่ แรกคือ โรงเรยี นนายทหารมหาดเล็ก เมอื วนั ที 6 ตลุ าคม
พ ศ. .2414 ทรงพระราชทานเสอื ผา้ อาหารกลางวนั ทกุ วนั ครกู ็ไดค้ า่ จา้ ง ต่อมาโปรด
เกล้าฯ พระราชทานพระตาหนกั เดมิ ทีสวนกหุ ลาบ ทางตะวนั ออกเฉียงใต้ของพระบรม
มหาราช-วงั ใหช้ อื วา่ โรงเรยี นพระตาหนกั สวนกหุ ลาบ โดยมพี ระยาสนุ ทรโวหาร (นอ้ ย
อาจารยางกรู ) หรอื หลวงสารประเสรฐิ เปนอาจารยใ์ หญ่ โปรดเกล้าฯ ใหต้ ังโรงเรยี น
สอนภาษาอังกฤษในวงั มฟี รานซสิ ยี แปตเตอรส์ นั เปนครู
อีกสาเหตหุ นงึ เนอื งมาจากการปลดปล่อยทาสใหเ้ ปนไท พระองค์ทรงหว่ งใย
มาก เพอื ทีจะไมใ่ หก้ ลับมาเปนทาสอีก จงึ เปนต้องใหค้ นเหล่านนั ไดร้ บั การศึกษา เพอื ให้
มวี ชิ าความรนู้ าไปประกอบอาชพี ได้ จงึ โปรดเกล้าฯ ใหต้ ังโรงเรยี นสาหรบั ราษฎรขนึ ชอื
โรงเรยี นวดั มหรรณพาราม ใน พ ศ. .2427
แบบเรยี นทีใชใ้ นโรงเรยี นขณะนนั มที ังหมด 6 เล่ม ซงึ เรยี บเรยี งโดยพระยา-
ศรสี นุ ทรโวหาร (นอ้ ยอาจารยางกรู ) ไดแ้ ก่ มูลบทบรรพกิจ วาหนติ ินกิ ร อักษรประโยค
สงั โยคพธิ าน ไวพจนพ์ จิ ารณแ์ ละพศิ าลกานต์ ต่อมาไดจ้ ดั ตังกรมศึกษาธกิ ารขนึ เมอื
วนั ที 6 พฤษภาคม พ ศ. .2430 ภายหลังยกฐานะเปนกระทรวงธรรมการ มหี นา้ ทีรบั ผดิ
ชอบดา้ นการศึกษา (สมยั รชั กาลที 6 เปลียนชอื เปนกระทรวงศึกษาธกิ าร) และใหใ้ ช้
หนงั สอื แบบเรยี นเรว็ ของกรมหมนื ดารงราชานภุ าพแทนแบบเรยี นทัง 6 เล่ม ต่อไดม้ ี
การประกาศใชโ้ ครงการศึกษาชาติ อยูใ่ นความดแู ลของเจา้ พระยาพระเสดจ็ สเุ รนทรา-
ธบิ ดี (ม.ร.ว.เปย มาลากลุ ) ตามแบบแผนของอังกฤษ และโปรดเกล้าฯ ใหม้ กี ารสอบ
ชงิ ทนุ เล่าเรยี นหลวงขนึ เรยี กวา่ “คิงสกอลาชปิ ” ตังแต่ พ ศ. .2440 เปนประจาํ ทกุ ๆ ป
ปละ 2 คน สง่ ไปศึกษายงั ทวปี ยุโรปหรอื อเมรกิ า
9442 . .การปฏิรูปการศึกษา
3 7342 . .
สมัยรัชกาลที 5 : พระบาทสมเด็ จพระจุ ลจอมเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
5342. .
Timeline การปฏิรูปการศึกษาไทยในสมยั รชั กาลที 5
2342. .
พ.ศ. 2414 ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้า ฯ ใหพ้ ระยาศรสี นุ ทรโวหาร (นอ้ ย อาจารยิ า
0342. .งกรู ) เรยี บเรยี งแบบเรยี นหลวงขนึ 1 เล่ม ชุดมูลบรรพกิจ เพอื ใชเ้ ปนบทหลักสตู ร
วชิ าชนั ต้นป เรมิ มกี ารจดั แบบเรยี นหลักสตู รและการสอบไล่ จดั ตังโรงเรยี นหลวงขนึ
”“ในพระบรมมหาราชวงั เพอื ฝกคนใหเ้ ขา้ รบั ราชการ มพี ระยาศรสี นุ ทรโวหาร (นอ้ ย อา
จารยิ างกรู )
7242. .ในขณะนนั เปนหลวงสารประเสรฐิ เปนอาจารยใ์ หญ่ โดยมกี ารสอนหนงั สอื ภาษาไทย
4242. .การคิดเลข และขนบธรรมเนยี มราชการ นอกจากมกี ารจดั ตังโรงเรยี นหลวงสาํ หรบั
3242. .สอนภาษาอังกฤษในพระบรมมหาราชวงั เกิดจากแรงผลักดนั ทางการเมอื งทีสง่ ผล
ใหไ้ ทยต้องเรยี นรภู้ าษาอังกฤษ เพอื จะไดเ้ จรจากับมหาอํานาจตะวนั ตก และมกี ารสง่
4142. .นกั เรยี นไทยไปศึกษาวชิ าครทู ีประเทศอังกฤษ
พศพ.ศ. 2423 จดั ตังโรงเรยี นสนุ นั ทาลัยในพระบรมมหาราชวงั เปนโรงเรยี นสตรี นักเรียนฝกหัดครู ุชดแรก คน สําเร็จการ ึศกษา ไ ้ดรับประกาศนียบัตรเปน ครูสอนภาษาไทยและภาษา ัองกฤษ พศ
มีการเรียบเรียงเเบบเรียนหลวง ุชด ูมลบรรพ ิกจพ.ศ. 2424 ปรบั ปรงุ โรงเรยี นพระตําหนกั สวนกหุ ลาบใหเ้ ปนโรงเรยี นนายทหาร ย้ายโรงเรียนฝกหัดครูไปรวม ักบโรงเรียนฝกหัดครู
มีการจัดเเบบเรียนห ัลกสูตรเเละการสอบไ ่ลมหาดเล็ก ต่อมาไดก้ ลายเปนโรงเรยี นขา้ ราชการพลเรอื น พศ ฝงตะวันตก เเละปรับปรุงห ัลกสูตรให้สูงขึน
มีการจัด ัตงโรงเรียนหลวง
มีการส่งนักเรียนไทยไป ึศกษาวิชาครู ีทประเทศ ัองกฤษ
พศ
ัตงโรงเรียนสตรีสุนันทา ัลย
พศ
ปรับปรุงโรงเรียนพระ ํตาหนักสวนกุหลาบเปน
โรงเรียนมหาดเ ็ลก และปจ ุจบัน
เปนโรงเรียนข้าราชการพลเมือง
พศ
มีการจัดสอบไ ่ลวิชาสามัญ
มีการจัด ัตงโรงเรียนหลวงสําหรับราษฎร
โรงเรียนราษฎรเเห่งเเรก ืคอ โรงเรียนมหรรณพาราม
พศ
มีการจัด ัตงกรม ึศกษาธิการ
พศ
มีการจัด ัตงโรงเรียนเเพทย์ เรียกว่า
โรงเรียนเเพทยากร
พศ
มีการจัด ัตงกระทรวงธรรมการ โดยมี
เจ้าพระยาภาสกรวง ์ศเปนเสนาบ ีดรับผิดชอบ
มีการจัด ัตงโรงเรียน ูมล ึศกษา ัทวกรุงเทพเเละหัวเมือง
มีการจัด ัตงโรงเรียนฝกหัดครูแห่งเเรก
การปฏิรูปการศึกษา
สมัยรัชกาลที 5 : พระบาทสมเด็ จพระจุ ลจอมเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
พ.ศ. 2427 กําหนดหลักสตู รชนั ประโยคหนงึ โดยอนโุ ลมตามแบบเรยี นหลวงหก
เล่ม นบั เปนปแรกทีจดั ใหม้ กี ารสอบไล่วชิ าสามญั และมกี ารกําหนดหลักสตู รชนั
ประโยคสอง ซงึ เปนหลักสตู รทีเกียวกับวชิ าสามญั ศึกษา หมายถึง ความรตู้ ่าง ๆ ที
ต้องการใชส้ าํ หรบั เสมยี นในราชการพลเรอื นตามกระทรวงต่าง ๆ จดั ตังโรงเรยี น
หลวงสาํ หรบั ราษฎรขนึ ตามวดั ในกรงุ เทพมหานครหลายแหง่ และแหง่ แรก คือ โรง
เรยี นมหรรณพาราม
พ.ศ. 2430 ทรงโปรดเกล้า ฯ ใหต้ ังกรมศึกษาธกิ ารโดยโอนโรงเรยี นทีสงั กัดกรม
ทหารมหาดเล็กมาทังหมด ใหก้ รมหมนื ดาํ รงราชานภุ าพเปนผบู้ ญั ชาการอีก
ตําแหนง่
พ.ศ. 2432 รวมกรมศึกษาธกิ ารเขา้ ไปอยูใ่ นบงั คับบญั ชาของกรมธรรมการ ตัง
โรงเรยี นแพทยข์ นึ เรยี กวา่ โรงเรยี นแพทยากร ตังอยูท่ ีรมิ แมน่ าํ หนา้ โรงพยาบาล
ศิรริ าช ใชเ้ ปนทีสอนวชิ าแพทยแ์ ผนปจจุบนั
พ.ศ. 2435 ประกาศตังกระทรวงธรรมการ มเี จา้ พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค)
เปนเสนาบดี มหี นา้ ทีในการจดั การศึกษา การพยาบาล พพิ ธิ ภัณฑ์และศาสนา จดั
ตังโรงเรยี นมูลศึกษาขนึ ในวดั ทัวไปทังในกรงุ เทพมหานครและหวั เมอื ง โดย
ประสงค์จะขยายการศึกษาเล่าเรยี นหนงั สอื ไทยใหแ้ พรห่ ลายเปนแบบแผนยงิ ขนึ
และตังโรงเรยี นฝกหดั ครเู ปนแหง่ แรกทีตําบลโรงเลียงเดก็ ต่อมายา้ ยไปอยูท่ ีวดั
เทพ-
ศิรนิ ทราวาส
พ.ศ. 2437 นกั เรยี นฝกหดั ครชู ุดแรก 3 คนสาํ เรจ็ การศึกษาไดร้ บั ประกาศนยี บตั ร
เปนครสู อนภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
พ.ศ. 2449 ยา้ ยโรงเรยี นฝกหดั ครู ซงึ ตังอยูท่ ีวดั เทพศิรทิ ราวาส ไปรวมกับ
โรงเรยี นฝกหดั ครฝู งตะวนั ตก (บา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา) ปรบั ปรงุ หลักสตู รใหส้ งู ขนึ
เปน โรงเรยี นฝกหดั อาจารยส์ อนหลักสตู ร 2 ป รบั นกั เรยี นทีสาํ เรจ็ มธั ยมศึกษา
การปฏิรปู การศึกษาสมยั รชั กาลที 6
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ วั
หลักราชการ 10 ประการ
1.ความสามารถ ทําการงานใหเ้ ปนผลสาํ เรจ็ ไดด้ ยี งิ กวา่ ผทู้ ีมโี อกาสเท่าๆ กัน
2.ความเพยี ร กล้าหาญไมย่ อ่ ท้อต่อความยาก และบากบนั เพอื จะขา้ มความขดั ขอ้ งใหจ้ งได้
3.ความมไี หวพรบิ รจู้ กั สงั เกตและปฏิบตั ิตามควรโดยไมต่ ้องมใี ครเตือน
4.ความรเู้ ท่าถึงการ รจู้ กั ปฏิบตั ิกิจการใหเ้ หมาะดว้ ยประการทังปวง
5.ความซอื ตรงต่อหนา้ ที ตังใจกระทํากิจการซงึ ไดร้ บั มอบใหเ้ ปนหนา้ ทีของตนโดยสจุ รติ
6.ความซอื ตรงต่อคนทัวไป ประพฤติซอื ตรงต่อคนทัวไป รกั ษาตนใหเ้ ปนคนเชอื ถือได้
7.ความรจู้ กั นสิ ยั คน เรยี นรซู้ งึ กันและกันเพอื จะวางตัวไดถ้ กู และเขา้ กับบุคคลอืนไดด้ ี
8.ความรจู้ กั ผอ่ นผนั ผอ่ นไดบ้ า้ งตามสมควรแก่เหตุ
9.ความมหี ลักฐาน มบี า้ นเรอื น ครอบครวั ทีมนั คง และตังตนไวช้ อบ
10.ความจงรกั ภักดี ความยอมสละตนเพอื ประโยชนแ์ หง่ ท่าน
การปฏิรูปการศึกษา
สมัยรัชกาลที 6 : พระบาทสมเด็ จพระมงกุฎเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ วั ทรงตระหนกั วา่ การศึกษา
เปนพนื ฐานสาํ คัญในการพฒั นาประเทศ ทกุ ดา้ น ดงั นนั ครงั ยงั ทรงดาํ รง
พระราชอิสรยิ ยศ เปนสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เมอื เสดจ็ นวิ ตั พระนคร
จงึ ไดท้ รงรเิ รมิ วางรากฐานการศึกษาสาํ หรบั สตรี โดยกราบบงั คมทลู ถวาย
คําแนะนาํ ใหส้ มเดจ็ พระนางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี พระบรมราชนิ นี าถในขณะ
นนั ทรงตังโรงเรยี นราชนิ ี เพอื เปนต้นแบบการจดั การศึกษาสาํ หรบั สตรี
รวมทังทรงสนบั สนนุ ใหก้ ระทรวงธรรมการจดั วางหลักสตู รการศึกษา
สาํ หรบั สตรดี ว้ ย และเพราะทรงเหน็ ความสาํ คัญของการศึกษานี จงึ ทรง
เรมิ วางรากฐาน การศึกษาของชาติเปนพระราชกรณยี กิจแรกในตอนต้น
รชั กาล
การปฏิรูปการศึกษา
สมัยรัชกาลที 6 : พระบาทสมเด็ จพระมงกุฎเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
ปจจยั ทีมอี ิทธพิ ลต่อการจดั การศึกษา มดี งั นี
(1) พระบรมราชโชบายในการปกครองประเทศ เพอื ใหป้ ระเทศมี
ความเจรญิ ก้าวหนา้ ทัดเทียมกับนานาประเทศ โดยการสง่ ทหารไปรว่ มกับ
ฝายสมั พนั ธมติ รในสงครามโลกครงั ที 1 นอกจากนพี ระองค์ทรงสรา้ งความ
รสู้ กึ ชาตินยิ มในหมูป่ ระชาชนชาวไทยโดยมสี าระสาํ คัญของอุดมการณ์
ชาตินยิ ม คือ ความรกั ชาติ ความจงรกั ภักดตี ่อพระมหากษัตรยิ แ์ ละ
ความยดึ มนั ในพุทธศาสนา
(2) พระองค์ทรงศึกษาวชิ าการจากต่างประเทศ และเมอื เสดจ็ กลับ
มาแล้วพระองค์ไดท้ รงนาํ เอาแบบอยา่ งและวธิ กี ารทีเปนประโยชนม์ าใชเ้ ปน
หลักในการปรบั ปรงุ การศึกษา เชน่ ทรงนาํ เอาแบบอยา่ งและวธิ กี ารทีเปน
ประโยชนม์ าใชเ้ ปนหลักในการปรบั ปรงุ การศึกษา เชน่ ทรงนาํ เอาวชิ าลกู เสอื
จากประเทศอังกฤษเขา้ มาจดั ตังกองเสอื ปา พระองค์ทรงเปนนกั ปราชญโ์ ดย
ทรงแปลวรรณคดตี ่างประเทศเปนภาษาไทยและทรงนพิ นธว์ รรณคดไี วห้ ลาย
เรอื ง
(3) ผลอันเนอื งจากการจดั การศึกษาในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระ-
จุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว เมอื คนสว่ นมากทีไดร้ บั การศึกษา มคี วามรแู้ ละแนวคิด
เกียวกับการปกครองประเทศในระบอบรฐั ธรรมนญู ในระบบรฐั สภา จงึ มคี วาม
ปรารถนาจะเปลียนแปลงการปกครองไปเปนระบอบประชาธปิ ไตย และปญหา
อันเกิดจากคนล้นงานและคนละทิงอาชพี และถินฐานเดมิ มุง่ ทีจะหนั เขา้ สอู่ าชพี
ราชการมากเกินไป
พศ การปฏิรูปการศึกษา
มีการ ัตงโรงเรียนมหาดเ ็ลกหลวง ซึง ่ตอมา
พัฒนาเปน วชิรา ุวธวิทยา ัลย และเมือ ้ตนรัชกาล ีท ในปเ ีดยว ักนสมัยรัชกาลที 6 : พระบาทสมเด็ จพระมงกุฎเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
ไ ้ดโปรดเก ้ลาฯ สถาปนาโรงเรียนมหาดเ ็ลกเปนสถาบัน ุอดม ึศกษา
เเละพระราชทานนามว่า โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของTimeline การปฏิรูปการศึกษาไทยในสมยั รชั กาลที 6
พระบาทสมเ ็ดจพระ ุจลจอมเก ้ลาเจ้าอ ูย่หัว
พศพ.ศ. 2453 โปรดเกล้าฯ ใหต้ ัง “โรงเรยี นมหาดเล็กหลวง” ขนึ ในพระบรมมหาราช
มีการจัด ัตงกองลูกเสือหรือเสือปาขึนวงั ดว้ ยทรงมุง่ หมายจะใหเ้ ปนโรงเรยี นกินนอน สอนชนั มธั ยมศึกษา และทรง
พศควบคมุ การดาํ เนนิ งานอยา่ งใกล้ชดิ “โรงเรยี นมหาดเล็กหลวง” นี ต่อมาไดพ้ ฒั นา
เ ิกดแผนการ ึศกษาชา ิตเปน “วชริ าวุธวทิ ยาลัย” ในต้นรชั กาลที 7 ในปเดยี วกัน ไดโ้ ปรดเกล้าฯ ใหส้ ถาปนา
จัด ัตงโรงเรียนเพาะช่าง“โรงเรยี นมหาดเล็ก” ขนึ เปนสถาบนั อุดมศึกษา พระราชทานนามวา่ “โรงเรยี น
จัด ัตงโรงเรียนพณิชยการขา้ ราชการพลเรอื นของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั ” เพอื เปน
จัด ัตงโรงเรียนฝกหัดครูประถมกสิกรรมสถานฝกหดั ราชการฝายพลเรอื น
พศพ.ศ. 2454 ตังกองลกู เสอื หรอื เสอื ปาขนึ เปนครงั แรกโครงการศึกษา พ.ศ. 2456
ขยาย ิกจการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนเปนจํานวน ไร่และฉบบั แก้ไข พ.ศ. 2458 โดยมุง่ ใหป้ ระชาชนมคี วามรทู้ างดา้ นการทํามาหากิน
เเละเส ็ดจไปทรงวาง ิศลาพระฤก ์ษเลียงชพี ตามอัตภาพของตน พยายามทีจะเปลียนค่านยิ มของประชาชนไมใ่ หม้ ุง่
พศทีจะเขา้ รบั ราชการอยา่ งเดยี ว
มีการพัฒนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของ
พระบาทสมเ ็ดจพระ ุจลจอมเก ้ลาเจ้าอ ูย่หัว
เปน ุจฬาลงกรณ์มหาวิทยา ัลย
มีการจัด ัตงกองลูกเสือหญิง เรียกว่า เนตรนารี
พศ
มีการออกพระราชบัญญั ิตโรงเรียนราษฎร์
พศ
มีการตราพระราชบัญญั ิตประถม ึศกษาเปนการ ึศกษาภาคบัง ัคบ
903,1
7
4642. .
1642. .
9542. .
8542. .
6542. .
4542. .
3542. .
การปฏิรูปการศึกษา
สมัยรัชกาลที 6 : พระบาทสมเด็ จพระมงกุฎเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
พ.ศ. 2456 เกิดแผนการศึกษาชาติ เพอื สนบั สนนุ ใหก้ ารศึกษากวา้ งขวาง
ยงิ ขนึ โดยกําหนดใหจ้ ดั ระเบยี บการศึกษาเปนระดบั อนบุ าล ประถม มธั ยม
และอุดมศึกษา ซงึ ใชก้ ันมาจนทกุ วนั นี นอกจากนนั ในแผนการศึกษานยี งั มี
หลักสตู รอาชวี ศึกษาในระดบั มธั ยมต้นขนึ เปนครงั แรก ไดท้ รงพระกรณุ า
โปรดเกล้าฯ ใหจ้ ดั ตังโรงเรยี นเพาะชา่ งและโรงเรยี นพณชิ ยการขนึ ในป
เดยี วกัน และตังโรงเรยี นฝกหดั ครปู ระถมกสกิ รรมขนึ ใน พ.ศ. 2460
เนอื งจากทรงมี
พระราชประสงค์จะสง่ เสรมิ ใหร้ าษฎรประกอบอาชพี ต่างๆ เพอื ชว่ ยกันสรา้ ง
ความเจรญิ และความมนั คงทางเศรษฐกิจใหบ้ า้ นเมอื ง
พ.ศ. 2458 ดว้ ยทรงเหน็ วา่ ควรขยายกิจการ “โรงเรยี นขา้ ราชการพลเรอื น
ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั ” ใหก้ วา้ งขวางขนึ จงึ
พระราชทาน
เงินทนุ ทีเหลือจากการทีราษฎรไดเ้ รยี ไรเพอื สรา้ งพระบรมราชานสุ าวรยี พ์ ระ-
บรมรปู ทรงมา้ จาํ นวนเก้าแสนกวา่ บาท ใหใ้ ชส้ รา้ งอาคารเรยี นและเปนตึก
บญั ชาการบนทีดนิ ของพระคลังขา้ งทีจาํ นวน 1,309 ไร่ ทีอําเภอปทมุ วนั และ
เงินทีเหลือจากการสรา้ งก็พระราชทานพระบรมราชานญุ าตใหใ้ ชเ้ พอื กิจการ
ของโรงเรยี นต่อไป ทังนไี ดเ้ สดจ็ พระราชดาํ เนนิ ไปทรงวางศิลาพระฤกษ์ใน
การสรา้ งอาคารเมอื วนั ที 3 มกราคม พ.ศ. 2458
พ.ศ. 2459 โปรดเกล้าฯ ใหก้ ระทรวงธรรมการดาํ เนนิ การสนองพระราชดาํ รใิ น
เรอื งการจดั “โรงเรยี นขา้ ราชการพลเรอื นของพระบาทสมเดจ็ พระ
จุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั ” เปนมหาวทิ ยาลัยแหง่ แรกของประเทศไทย จงึ ทรงพระ
กรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหป้ ระดษิ ฐานโรงเรยี นขา้ ราชการพลเรอื นฯ ขนึ เปน
“จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย” เมอื 26 มนี าคม พ.ศ. 2459 เพอื เปนพระบรม
ราชานสุ าวรยี เ์ ฉลิมพระเกียรติแหง่ สมเดจ็ พระบรมชนกาธริ าชใหเ้ จรญิ ก้าวหนา้
กวา้ งขวาง
แผไ่ พศาลต่อไป และจดั ตังกองลกู เสอื หญงิ และอนกุ าชาดโรงเรยี นกลุ สตรี
วงั หลังและไดจ้ ดั ตังกองลกู เสอื หญงิ ขนึ เรยี กวา่ เนตรนารี
การปฏิรูปการศึกษา
สมัยรัชกาลที 6 : พระบาทสมเด็ จพระมงกุฎเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
พ.ศ. 2461 โปรดเกล้าฯ ใหอ้ อกพระราชบญั ญตั ิโรงเรยี นราษฎร์ เพอื ควบคมุ
การดาํ เนนิ งานของโรงเรยี นเอกชน
พ.ศ. 2464 โปรดเกล้าฯ ใหต้ ราพระราชบญั ญตั ิประถมศึกษาเปนการศึกษา
ภาคบงั คับ เพอื ขยายการศึกษาในระดบั ประถมซงึ จดั ใหม้ อี ยูแ่ ล้วตังแต่รชั กาล
ก่อนใหท้ ัวประเทศ อันมผี ลบงั คับใหเ้ ดก็ ไทยทกุ คนทีมอี ายุระหวา่ ง 7-14 ปเขา้
เรยี นในโรงเรยี นจนจบชนั ประถมศึกษาหรอื อ่านออกเขยี นได้ โดยไมต่ ้องเสยี
ค่าเล่าเรยี น และมกี ารเรยี กเก็บเงินศึกษาพลีจากประชาชนคนละ 1- 3 บาท
เพอื นาํ ไปใชจ้ า่ ยในการจดั ดาํ เนนิ การประถมศึกษา
การปฏิรปู การศึกษาสมยั รชั กาลที 7
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยูห่ วั
ขยายโอกาส มุง่ คณุ ภาพ พรอ้ มคณุ ธรรม
การปฏิรูปการศึกษา
สมัยรัชกาลที 7 : พระบาทสมเด็ จพระปกเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
การจดั การศึกษาในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยูห่ วั
เปนผลสบื เนอื งจากการปฏิรปู การศึกษาในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ -
พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั รชั กาลที 5 และการจดั การศึกษาในรชั สมยั
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ วั รชั กาลที 6 ผทู้ ีมบี ทบาทสาํ คัญใน
การกําหนดแนวคิดและนโยบายในการจดั การศึกษา นอกจากพระบาท
สมเดจ็ -พระปกเกล้าเจา้ อยูห่ วั แล้ว ก็คือเสนาบดกี ระทรวงธรรมการทังสอง
ท่าน ซงึ ท่านแรกคือ เจา้ พระยาธรรมศักดมิ นตรี (สนนั เทพหสั ดนิ ณ
อยุธยา) มคี วามเหน็ วา่ ควรเรง่ รดั จดั การศึกษาเพอื ใหโ้ อกาสแก่คนสว่ นใหญ่
ไดศ้ ึกษาโดยทัวกัน และเรง่ จดั การวชิ าชพี เพอื ความอยูด่ กี ินดขี องประชาชน
และเพมิ พูนรายไดใ้ หแ้ ก่ประเทศ อีกท่านคือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจา้ ธานี
นวิ ตั กรมหมนื พทิ ยาลาภพฤฒยิ ากร ทรงเล็งเหน็ วา่ เมอื การศึกษาแพร่
หลายมากขนึ ในระดบั หนงึ แล้ว ก็ควรทีจะใหค้ วามสนใจในการพฒั นาคณุ ภาพ
ของการศึกษามากขนึ
การปฏิรูปการศึกษา
สมัยรัชกาลที 7 : พระบาทสมเด็ จพระปกเกล้ าเจ้าอยู่หั ว
ปจจยั ทีมอี ิทธพิ ลต่อการจดั การศึกษาในสมยั นี มดี งั นี
1.ปญหาการเมอื งทีเกิดขนึ ภายในประเทศ
มกี ล่มุ ผตู้ ืนตัวทางการเมอื งในกรงุ เทพมหานคร เรยี กรอ้ งใหม้ กี าร
เปลียนแปลงทางเศรษฐกิจ สงั คม และการเมอื ง มกี ารวพิ ากษ์วจิ ารณร์ ะบอบ
สมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์
2.ปญหาสบื เนอื งจากอิทธพิ ลจกั รวรรดินยิ มตะวนั ตก
ซงึ ในยุคนนั มกี ารล่าอาณานคิ มจากจกั รวรรดนิ ยิ มอยา่ งกวา้ งขวาง เพอื
เเยง่ ชงิ ผลประโยชนท์ างทรพั ยากร ผลประโยชนด์ า้ นการค้า รวมถึงการเผย
แพรศ่ าสนา และลัทธคิ วามเชอื ต่างๆ
3.ปญหาสบื เนอื งจากภาวะเศรษฐกิจตกตํา
ในระหวา่ ง พ ศ. .2463 - พ.ศ. 2474 เศรษฐกิจของประเทศตกตํา จน
เปนเหตใุ หร้ ฐั บาลต้องตัดทอนรายจา่ ยลง มกี ารยุบหนว่ ยงานและปลด
ขา้ ราชการออก สรา้ งความไมพ่ อใจใหก้ ับรฐั บาลระบอบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์
4.ปญหาสบื เนอื งจากการประกาศใชก้ ฎหมายการศึกษา
คือพระราชบญั ญตั ิประถมศึกษา ทําใหก้ ารศึกษาแพรห่ ลายออกไป
แต่ขาดความพรอ้ มทางดา้ นงบประมาณการศึกษา
พศ การปฏิรูปการศึกษา3-1
เป ีลยนชือกระทรวงธรรมการอย่างเดิม
พศ9642 . .สมัยรัชกาลที 7 : พระบาทสมเด็ จพระปกเกล้ าเจ้าอยู่หั ว3742 . .4742 . .9642. .
ยกเ ิลกการเ ็กบเ ิงน ึศกษาพ ีลคนละ บาท
พศTimeline การปฏิรูปการศึกษาไทยในสมยั รชั กาลที 7
ปรับป ุรงกระทรวงธรรมการเพือให้สอดค ้ลอง
ักบภาวะเศรษฐ ิกจตก ํตาของประเทศ(1 ) ป พ.ศ. 2469 เปลียนชอื กระทรวงธรรมการอยา่ งเดมิ
พศ(2) ป พ.ศ. 2473 ยกเลิกการเก็บเงินศึกษาพลีคนละ 1 - 3 บาท จากผชู้ ายทกุ
ยกเ ิลกระเบียบว่าด้วยการควบคุมเเบบเรียนคนทีมอี ายุระหวา่ ง 16 - 60 ป โดยใชเ้ งินจากกระทรวงพระคลังมหาสมบตั ิ
สถาปนาโรงเรียนมหาดเ ็ลกหลวงเปนอุดหนนุ การศึกษาแทน
โรงเรียนวชิรา ุวธวิทยา ัลย(3) ป พ.ศ. 2474 ปรบั ปรงุ กระทรวงธรรมการเพอื ใหส้ อดคล้องกับภาวะ
เศรษฐกิจตกตําของประเทศ โดยยุบกรมสามญั ศึกษาในตอนนนั กระทรวง
ธรรมการจงึ มหี นว่ ยงานเพยี ง 3 หนว่ ยคือ กองบญั ชาการ กองตรวจ การศึกษา
กรงุ เทพ ฯ และกองสขุ าภิบาลโรงเรยี น
(4) ยกเลิกระเบยี บวา่ ดว้ ยการควบคมุ แบบเรยี น
ต่อมาพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยูห่ วั รชั กาลที 7 ไดโ้ ปรดเกล้าฯ ให้
สถาปนาโรงเรยี น มหาดเล็กหลวงเปนโรงเรยี นวชริ าวุธวทิ ยาลัย เมอื ป
พ ศ. .2469
การปฏิรปู การศึกษาไทย
สมยั การปกครองระบอบรฐั ธรรมนญู
การปฏิรูปการศึกษา
ส มั ย ก า ร ป ก ค ร อ ง ร ะ บ อ บ รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ
ปจจยั ของไทยทีมอี ิทธพิ ลต่อการจดั การศึกษา
1. นโยบายการจดั การศึกษาของคณะราษฎร์
ประเทศไทยไดเ้ ปลียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญา-
สทิ ธริ าชยม์ าเปนระบอบประชาธปิ ไตย เมอื วนั ที 24 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2475
คณะราษฎรซ์ งึ เปนกล่มุ บุคคลทีรวมตัวกันเปลียนแปลงการปกครอง ไดว้ าง
เปาหมายสาํ คัญหรอื อุดมการณข์ องคณะราษฎร์ มปี รากฏอยูใ่ นหลัก 6 ประการ
ขอ้ ที 6 จะต้องใหก้ ารศึกษาอยา่ งเต็มทีแก่ราษฎร เพราะคณะราษฎรม์ คี วามเหน็
วา่ การทีจะใหป้ ระชาชนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเรอื งการปกครองระบอบ
ประชาธปิ ไตย จาํ เปนต้องจดั การศึกษาใหก้ ับประชาชนอยา่ งทัวถึง เมอื ประชาชน
มกี ารศึกษาดยี อ่ มจะทําใหป้ ระเทศชาติเจรญิ ขนึ ดว้ ย ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากคําแถลง
นโยบายของรฐั บาลพระยามโนปกรณน์ ติ ิธาดา พ.ศ. 2475 กล่าวไวว้ า่ “….การ
จดั การศึกษาเพอื จะใหพ้ ลเมอื งไดม้ กี ารศึกษาโดยแพรห่ ลาย ก็จะต้องอนโุ ลม
ตามระเบยี บการปกครองทีใหเ้ ขา้ ลักษณะเกียวกับแผนเศรษฐกิจแหง่ ชาติ
หลักสตู รของโรงเรยี นและมหาวทิ ยาลัยจะต้องขยายใหส้ งู ขนึ เท่าเทียม
อารยประเทศ ในการนจี ะต้องเทียบหลักสตู รของนานาประเทศ หลักสตู รใดสงู
ถือตามหลักสตู รนนั ” รฐั บาล
ชุดต่อๆ มาก็ไดพ้ ยายามทีจะไดจ้ ดั การศึกษาใหท้ ัวถึงในหมูป่ ระชาชนทัวไป
ถ้าวเิ คราะหด์ จู ากคําแถลงนโยบายของรฐั บาลพบวา่ ไดต้ ังความหวงั เรอื งการ
ศึกษาไวส้ งู เกินไปจะใหเ้ ท่าเทียมอารยประเทศ ซงึ สภาวะการณใ์ นประเทศขณะนนั
ยงั ไมม่ คี วามพรอ้ ม โดยเฉพาะดา้ นเศรษฐกิจซงึ เปนปญหาใหญข่ องประเทศ
ในขณะนนั เปนผลใหเ้ กิดปญหาในการจดั การศึกษานบั แต่นนั เปนต้นมา
2.การเกิดสงครามโลกครงั ทีสอง พ.ศ. 2484 - พ.ศ.2488
ประเทศไทยตกอยูใ่ นภาวะสงครามโลกครงั ทีสอง ซงึ มผี ลกระทบ
กระเทือนต่อประเทศไทยอยา่ งรนุ แรงทังดา้ นเศรษฐกิจ สงั คมและการศึกษา
หลังสงครามโลกครงั ทีสอง ประเทศไทยไดร้ บั ความเสยี หาย อันสบื เนอื งมาจาก
สงครามโลกครงั ทีสอง จงึ จาํ เปนต้องก้เู งินจากธนาคารโลกเพอื นาํ มาใชใ้ นการ
พฒั นาประเทศและประเทศไทยสมคั รเปนสมาชกิ องค์การศึกษาวทิ ยาศาสตรแ์ ละ
วฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาติ ทําใหป้ ระเทศไทยไดร้ บั ความชว่ ยเหลือในดา้ น
ต่างๆ ตลอดจนแนวคิดใหม่ ๆ มาใชใ้ นการพฒั นาประเทศ ทําใหแ้ นวคิดทางการ
ศึกษาของไทยเรมิ เปลียนแปลงจากเดมิ เปนอยา่ งมาก
การปฏิรูปการศึกษา
ส มั ย ก า ร ป ก ค ร อ ง ร ะ บ อ บ รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ
ววิ ฒั นาการการจดั การศึกษา มดี งั นี
1.มกี ารประกาศใชแ้ ผนการศึกษาชาติ หลังจากมกี ารเปลียนแปลง
การปกครองเปนระบอบประชาธปิ ไตยแล้ว โดยจดั ตังคณะกรรมการการ
ศึกษา และทรงพระกรณุ าโปรดเกล้า ๆ ใหต้ ังสภาการศึกษา พ.ศ. 2475
ประกาศใชแ้ ผนการศึกษาชาติ ต่อมามกี ารปรบั ปรงุ การจดั การศึกษาภาค
บงั คับ จาก 6 ป เหลือ 4 ป และประกาศใชแ้ ผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2479
2.การมอบให้ท้องถินจดั การศึกษา พ.ศ. 2476 และยกฐานะท้องถิน
ขนึ เปนเทศบาลตราพระราชบญั ญตั ิเทศบาลขนึ และเทศบาลไดจ้ ดั การศึกษา
อยา่ งแท้จรงิ ใน พ.ศ. 2478
3.การปรบั ปรุงหนว่ ยงานทีมสี ว่ นรบั ผดิ ชอบในการจดั การศึกษา
และเหตกุ ารณส์ าํ คัญทางการศึกษา ดงั เชน่
ป พ.ศ. 2476 มกี ารปรบั ปรงุ สว่ นราชการในกระทรวงธรรมการและประกาศ
ตังมหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตรแ์ ละการเมอื ง
ป พ.ศ. 2477 โอนคณะนติ ิศาสตรใ์ นจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัยไปสมทบกับ
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตรแ์ ละการเมอื ง
ป พ.ศ. 2478 ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ิประถมศึกษาทัวประเทศ
ป พ.ศ. 2488 ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ิครพู ุทธศักราช 2488
ป พ.ศ. 2494 มกี ารประกาศใชแ้ ผนการศึกษาแหง่ ชาติ ฉบบั ที 1
ป พ.ศ.2503 ประกาศใชแ้ ผนการศึกษาแหง่ ชาติ ฉบบั ที2 ป พ ศ. .2520
ประกาศใชแ้ ผนการศึกษาแหง่ ชาติ ฉบบั ที3 และปจจุบนั กําลังใชแ้ ผนการ
ศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 ฉบบั ที 4 และ พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่
ชาติ พ.ศ. 2542 การปฏิวตั ิเมอื เดอื นตลุ าคม 2501 ไดม้ กี ารจดั ทําและนาํ
แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมมาใช้ ซงึ ต่อมาไดย้ ุบเลิกและจดั ตังสภาการ
ศึกษาขนึ มาแทน สภานไี ดพ้ จิ ารณาเสนอแผนการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.
2503 ขนึ มา เปนผลใหก้ ารศึกษาในระยะหลังไดเ้ ปลียนไปอยา่ งมาก