The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-09-06 12:30:38

ศรีสะเกษ

ศรีสะเกษ

บทที่ ๑
บริบทท่วั ไปของจงั หวัดศรีสะเกษ

ประวัติเมอื งศรีสะเกษ

ศรสี ะเกษท่ีอำเภอขุขนั ธ์

จากพงศาวดารอีสานกล่าวว่า พ.ศ. ๒๓๐๒ จุลศักราช ๑๑๒๑ ปีเถาะ เอกศก ในแผ่นดิน
สมเดจ็ พระเจ้าเอกทัศน์แหง่ กรุงศรีอยุธยา ช้างเผือกมงคลได้แตกโขลงหนีไป ไพร่พล กรมช้างได้ออกตดิ ตามแต่

ไม่พบร่องรอยว่าหนีไปทางทิศใด สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงรับสั่งให้นายทหารสองพ่ีน้อง (ผู้จดพงศาวดาร
เข้าใจวา่ คอื นายทองด้วงกับนายบุญมา) นายกองชา้ งสองพ่นี อ้ งกับไพร่พลกรมชา้ งอีก ๓๐ คน ออกติดตามจนได้
ข่าวว่ามีผ้พู บเห็นช้างเผอื กบ่ายโฉมหน้าไปทางเมอื งพิมาย จงึ ติดตามเร่ือยมาจนถงึ บรเิ วณป่าดงดิบทางฝั่งทศิ ใต้

ลำน้ำมูล ทราบข่าวจากชาวป่าว่า ช้างเผอื กผ่านมาทางหนองกุดหวาย (ปจั จุบันคือ พื้นทีอ่ ำเภอรัตนบุรี จังหวัด
สรุ ินทร์) สองพ่ีน้องนายกองช้างจึงไปหาหวั หน้าชุมชนส่วย เขมรปา่ ดง คือ เซียงสี บ้านหนองกดุ หวาย เซยี งสีพา

ไปหาเซียงปุ่มที่บา้ นเมืองที ไปหาเซียงชัยท่ีบ้านจารพัต ไปหาตากะจะ และเซียงขันท่บี ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดง
ลำดวน และไปหาเซียงฆะท่ีบ้านอัจจะปะนึง ท้งั หมดช่วยกันจับช้างเผือกไดท้ ่ีหนองโชก (ปัจจุบันหนองบัวทอง
อำเภอศรีรัตนะ) และนำมามอบให้คณะผู้ติดตามช้างเผือกท่ีบ้านเขิน (หรือเขื่อนช้าง) ต่อจากนั้นได้นำช้าง

เดินทางตอ่ มาอาบนำ้ ทบ่ี า้ นท่าช้าง จากน้ันไดน้ ำชา้ งเผอื กมาถึงที่เมอื งศรนี ครเขต ช้างล้มป่วยลงจึงไดด้ ูแลรักษา
ท่บี ้านเจียงอีจนกระทัง่ นำช้างกลับถึงกรุงศรีอยุธยา สองนายกองช้างได้กราบทูลความดีความชอบของหัวหน้า

สว่ ยเขมรป่าดง พระเจ้าเอกทัศน์จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักด์ใิ ห้เป็นนายกองหวั หนา้ ชุมชนส่วย โดย
ให้ ตากะจะเป็นหลวงแก้วสวุ รรณ เซียงขัน เปน็ หลวงปราบ เซยี งฆะ เป็นหลวงเพชร เซยี งปุ่ม เป็นหลวงสุรนิ ทร์
ภกั ดี เซยี งสี เป็นหลวงศรีนครเตาควบคมุ ชาวส่วย ข้ึนกับกรุงศรอี ยุธยา ต่อมาได้รับความดคี วามชอบ รัชกาลท่ี

๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตะกะจะข้ึนร้ังตำแหน่ง “พระยาไกรภักดีศรีนคร
ลำดวน” ปกครองเมอื งขขุ นั ธส์ ืบมา โดยย้ายพ้ืนท่ตี งั้ จากบ้านโนนสามขาสระกำแพงมาต้งั ทีบ่ ้านแตระริมฝ่งั ห้วย

เหนอื อันเปน็ ทีต่ ้ังของอำเภอขุขันธ์ในปัจจุบนั ในพ.ศ. ๒๓๒๑


ในปีพ.ศ. ๒๓๒๑ พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) ถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าให้
หลวงปราบ (เชียงขัน) เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองนครลำดวนสืบต่อมา และตั้งท้าวอุ่นเป็น
พระภักดีภูธรสงคราม เป็นปลัดเมือง พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (เชียงขัน) ได้เลื่อนเมืองจากท่ีต้ังเดิม
มาต้งั ทหี่ นองแตระ เป็นเมืองคขู ันธ์
พ.ศ. ๒๓๒๔ กัมพูชาเกิดจลาจล พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหา
กษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ยกกองทัพไปปราบ แต่ทำการไม่สำเร็จเพราะเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี
จึงต้องยกกองทพั กลับ สงครามครั้งนี้เมืองขุขนั ธ์ได้สง่ กองทัพไปรว่ มด้วย และได้กวาดต้อน ชักชวนชาวกัมพูชา
ส่วนหน่งึ มาอย่ทู ข่ี ขุ ันธ์นบั เปน็ การอพยพคร้งั ใหญ่ของชาวเขมรสพู่ ้ืนท่ีศรสี ะเกษ
เจา้ เมอื งขุขนั ธถ์ กู ปลด
พ.ศ. ๒๓๒๕ สมยั รชั กาลท่ี ๑ แห่งกรุงรัตนโกสนิ ทร์ พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (เชยี งขนั )
ซ่ึงเรียกตามนามของเมืองว่า พระยาขุขันธ์ภกั ดีฯ ไดข้ อพระราชทานตั้งท้าวบุญจันทร์ ลูกนางคำเวียง หญิงหม้าย
ชาวลาว เป็นพระไกรผู้ช่วย (ผู้ช่วยเจ้าเมือง) พระยาขุขันธ์ฯ มักกล่าวล้อเล่นกับพระไกรผู้ช่วยด้วยความเอน็ ดู
ตอ่ หน้าผูค้ นเสมอว่า “ลกู เชลย” ทำให้พระไกรไดร้ บั ความอับอายและโกรธแค้น จึงผูกพยาบาท
ต่อมาได้มีพ่อค้าชาวญวนประมาณ ๓๐ คน มาหาซ้ือโค กระบือที่เมืองขุขันธ์ พระยาขุขันธ์
ภักดีฯ ให้การต้อนรับพ่อค้าชาวญวนเป็นอย่างดีโดยจัดท่ีพักให้ที่ศาลากลาง และเกณฑ์คนทำทางให้เดินทาง
ผา่ นช่องโพยได้โดยสะดวก พระไกรผู้ชว่ ยเห็นเป็นโอกาสจึงมีหนงั สือกลา่ วโทษพระยาขขุ นั ธ์ภักดี สง่ ไปกรงุ เทพฯ
ว่า “คบกับพวกญวนต่างประเทศจะเป็นกบฏ” จึงโปรดเกล้าฯ สั่งพระยาขุขันธ์ภักดีฯ ไปพิจารณาความที่
กรุงเทพฯ ได้ความตามสัตย์ จึงให้จำคุกไว้ที่กรุงเทพฯ แล้วแต่งตั้งพระไกรผู้ช่วยเป็นพระยาขุขันธ์ภักดีฯ เป็น
เจ้าเมืองขุขันธ์แทนในปีพ.ศ. ๒๓๒๗ และเป็นเจ้าเมืองขุขันธ์นานท่ีสุดถึง ๔๔ ปี ส่วนพระยาขุขันธ์ฯ (เชียงขัน)
หลังจากพ้นโทษได้รับการปล่อยตัวจึงมาอยู่ที่เมืองขุขันธ์จนถึงแก่กรรม ในพงศาวดารมักจะใช้ราชทินนาม
พระยาไกรภักดศี รนี ครลำดวน ควบค่กู ับพระยาขุขนั ธ์ภักดีฯ สำหรับเรยี กพระยาไกรภักดศี รนี ครลำดวน (เชียง
ขัน) และพระยาไกรภักดีศรนี ครลำดวน (ท้าวบญุ จันทร์) จนกระทั่งถึงพระยาขุขันธ์ภกั ดีฯ (เกา) จึงไม่ใช้พระยา
ไกรภกั ดีศรีนครลำดวน เรียกช่ือ เจ้าเมืองขุขันธ์

ภาพเขยี นพระยาขุขนั ธ์ภักดีศรีนครลำดวน (เชียงขัน) ให้การต้อนรับพอ่ ค้าชาวญวน
ณ พระธาตุเรอื งรอง วดั สรา้ งเรือง ตำบลหญา้ ปลอ้ ง อำเภอเมืองศรสี ะเกษ



การตงั้ เมอื งศรสี ะเกษ และทมี่ าของ ๒๓๘ ปี จังหวดั ศรีสะเกษในพ.ศ. ๒๕๖๓
พ.ศ. ๒๓๒๕ มีเหตุการณ์กล่าวโทษพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน (เชียงขัน) ทำให้พระภักดี

ภูธรสงคราม (อุ่น) ปลัดเมืองขุขันธ์ไม่พอใจจึงกราบบังคมทูลขอตั้งเมืองใหม่ท่ีบ้านโนนสามขาสระกำแพง
แยกออกจากเมืองขุขันธ์และขอเป็นเจ้าเมือง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี ๑ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยก
บ้านโนนสามขาสระกำแพง เป็นเมือง “ศรีสระเกศ” และโปรดเกล้าฯ ให้พระภักดีภูธรสงคราม (อุ่น) เป็นพระยา
รัตนวงศา เจ้าเมืองศรีสระเกศ ทำราชการขึ้นตรงต่อนครราชสีมา การแยกเมืองออกเป็นเมืองขุขันธ์กับเมือง
ศรสี ระเกศซึ่งทง้ั สองเมืองต่างมีอสิ ระในการปกครอง ทำให้เมืองทั้งสองมปี ระวตั ิศาสตร์ร่วมกัน และเป็นเมอื งคู่
กันตลอดมาจนกระท่ังมีการปกครองแบบจังหวัด จึงมกี ารลดฐานะเมืองขุขันธ์เป็นอำเภอ ช่วงเวลาดังกล่าวจึง
ถือเป็นหมุดหมาย หรือจุดกำเนิด และพัฒนาการของการแยกเมืองศรีสระเกศ ออกจากเมืองขุขันธ์อย่าง
สมบูรณ์ ด้วยเหตุน้ีทางจังหวดั สรีสะเกษจึงนับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ ถงึ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมเป็น ๒๓๘ ปี แห่งการ
สถาปนาเมืองศรีสะเกษที่บ้านโนนสามขาสระกำแพง (เมืองศรีสะเกษปัจจุบนั ) ตามดำริของนายวัฒนา พุฒิชาติ
ผวู้ ่าราชการจังหวัดศรีสะเกษคนปัจจุบัน ในการจัดงานเฉลิมฉลองการสถาปนาเมืองศรสี ะเกษ และสอดคล้อง
กับศักราชในเอกสารประวัติศาสตร์ เช่น พงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสาน ของหม่อมอมรวงษ์วิจิตร และ
ประวัติศาสตรอ์ ีสาน ของเติม วิภาคยพ์ จนกจิ

พ.ศ. ๒๓๒๖ พระยาไกรภักดีฯ (บุญจันทร์) แต่งกรมการไปจับราษฎรในกองเจ้าเมืองนัน
เจ้าเมืองนันเกณฑ์กำลังยกมาตี พระยาไกรภักดีฯ สู้มิได้หนีไปอยู่เมืองสังฆะ แล้วบอกลงมากรุงเทพฯ
โปรดเกล้าฯใหข้ ้าหลวงคุมกำลังไปจบั เจ้าเมอื งนันได้พาเอาตัวลงมากรงุ เทพฯ

พ.ศ. ๒๓๒๘ พระยารัตนวงศา (อุ่น) ถงึ แกก่ รรมจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาวเิ ศษภกั ดี (ชม) เป็น
เจ้าเมืองศรีสระเกศแทนนับเป็นเจ้าเมืองศรีสระเกศคนที่ ๒ และได้ย้ายเมืองจากบ้านโนนสามขา
สระกำแพงมาต้ังที่เมืองศรีสะเกษปัจจุบัน บริเวณบ้านพันทา เจียงอี แต่ชุมชนหลักอยู่บริเวณรอบๆ ศาลากลาง
จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นท่ีตั้งคุ้มเมืองเก่า และปัจจุบันคอื ชุมชนหลักเมือง ซ่งึ นักประวัติศาสตร์บางส่วนเช่ือว่า
เป็นเขตแดนเมืองศรีนครเขตเดิม ที่เชื่อกันว่ามีศูนย์กลางท่ีบ้านดวนใหญ่ปัจจุบันน้ี และมีวัดอยู่ริมฝ่ัง
ห้วยสำราญ เรียกว่าวัดท่า ปรากฏต้นโพธข์ิ นาดใหญ่ยังหลงเหลือถึงสามต้น คือ หน้าศาลากลางจังหวัด ประตูเข้า
ศาลากลาง หนา้ บรเิ วณสำนกั งานท่ีดินจงั หวดั และรมิ ฝ่ังห้วยสำราญ

เน่ืองจากมีคูน้ำล้อมรอบขอบเมือง ในรายช่ือหัวเมืองภาคอีสานปี ๒๔๓๓ หัวเมืองลาวฝ่าย
ตะวันออก ยังเรยี กชื่อเมืองวา่ เมืองคขู ันธ์ ต่อมาได้เพ้ียนไปตามสำเสียงภาคกลาง และมผี ู้มาสันนิษฐานเพิ่มเติม
ภายหลงั ว่า ขุขันธ์ ตั้งช่อื ตามชื่อเชียงขัน เจา้ เมืองท่ียา้ ยมาตงั้ เมืองคนแรก บ้างก็บอกว่าตงั้ ตามคำม่ันสญั ญาของ
หัวหน้าชาวกวยที่อาสาตามพญาช้างเผือกว่า กูขัน (ขันอาสาตามช้าง) บ้างก็บอกว่า ขุขันธ์เป็นเมืองขอม
(ขุ - ขอม ดำ / ขันธ์ - เมือง) หรือจากคำว่าคูค่ัน เพราะมีการป้ันคูทำนา หรือครุขัน หมายถึง การทำครุขนาดเล็ก
(ครุ - ถังตักน้ำ / ขัน - เล็ก) หรือบางท่านบอกวา่ มาจากเมืองกกุ ขันธ์ คือ เมืองไก่ เป็นต้น แต่ที่น่าจะใกล้เคียง
กบั ความหมายเดิมคือเมืองคูขณั ฑ์ คือมีคูรอบเมืองมาแต่เดิม ปัจจุบันยังมีถนนคูเมืองปรากฏอยู่ ส่วนการย้าย
หรือเล่ือนเมืองมาต้ังท่ีหนองแตระว่ามาจากที่ใดนั้น คงต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไปแต่จากหลักฐานที่
เอเจียน แอมมอนิเย บันทึกไว้เม่ือคราวมาสำรวจศิลาจารึกในจังหวัดศรีสะเกษ ระบุการย้ายเมืองจากบ้าน
ดวนใหญ่ไปเมอื งขุขันธ์อย่างชัดเจนจงึ เปน็ ทยี่ ุติว่า เมืองนครลำดวน ถูกลดบทบาทลงจากการย้ายไปอยูท่ ่ีขุขันธ์
(ชาวบา้ นสมยั ก่อนเรยี กเมอื งคูขนั )
การเปลยี่ นชือ่ จังหวดั

ในปีพ.ศ. ๒๔๘๑ มีพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนนามจังหวัดและอำเภอบางแห่ง พ.ศ. ๒๔๘๑
ให้เปลยี่ นนามจังหวัดขุขนั ธเ์ ป็นจังหวัดศรสี ะเกษ และเปลี่ยนชือ่ อำเภอ ดงั นี้ อำเภอหว้ ยเหนือเป็นอำเภอขขุ ันธ์
อำเภอน้ำอ้อมเป็นอำเภอกันทรลักษ์ อำเภอคงเป็นอำเภอราษีไศล และอำเภอศรีสะเกษเป็นอำเภอเมืองศรสี ะเกษ



ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและเป็นสากลเหมือนกันท่ัวประเทศช่ือจังหวัดศรีสะเกษ จึงยึดตามประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๕๕ หน้า ๖๖๔ ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๘๑ ต่อมาภายหลังจึงถูกเขียนเป็น
“ศรีสะเกษ” ตลอดมาจนบัดน้ี และสำนักนายกรฐั มนตรไี ด้ประกาศใหเ้ ปลย่ี นชอื่ จังหวดั เป็นภาษาอังกฤษในทาง
ราชการคอื “SISAKET”
ตราประจำจังหวัดศรสี ะเกษ

ตราประจำจังหวัดศรีสะเกษ เป็นรูปปราสาทหินภายในวงกลม ใตป้ ราสาทเป็นรูปดอกลำดวน
มีใบ ๖ ใบ

ความหมาย

ปราสาท หมายถึง ปราสาทขอมซึ่งมีอยู่จำนวนมากในจังหวัดศรีสะเกษ จนได้ช่ือว่าเป็น

ดินแดนแห่งปราสาทขอมโบราณ เช่น ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ปราสาทสระกำแพงน้อย ปราสาทปรางค์กู่

ปราสาทโดนตรวล ปราสาทบ้านสมอ ปราสาททามจาน ปราสาทบา้ นปราสาท เปน็ ตน้

ดอกลำดวน หมายถึง ดอกไม้แทนสัญลักษณ์ของจังหวัดศรีสะเกษ คือ ดอกลำดวน พ้ืนท่ี

จังหวัดศรีสะเกษเป็นดินแดนที่มีต้นลำดวนข้ึนอยู่ทั่วไปเป็นจำนวนมาก พอถึงฤดูออกดอกจะส่งกลิ่น หอมเย็น

อบอวนไปทั่วเมืองศรสี ะเกษ จงึ ได้ช่ือว่า เมืองศรีนครลำดวน ต่อมาไดย้ ้ายเมอื งมาตั้งอยู่ที่อำเภอขุขันธ์ เปลี่ยน

ชือ่ เป็นเมืองขุขันธ์ และในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้ยา้ ยเมืองมาอยทู่ ี่อำเภอเมืองศรีสะเกษปจั จุบัน แต่ยังคง ใช้ชื่อเดิม

คอื เมอื งขขุ นั ธ์ จนกระท่งั ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ จึงได้เปลย่ี นช่อื มาเปน็ จังหวัดศรสี ะเกษ

ใบลำดวน ๖ ใบ หมายถึง อำเภอเริ่มแรกท่ีต้ังเป็นจังหวัดศรีสะเกษในระยะเร่ิมแรก มี ๖

อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอเมืองศรสี ะเกษ อำเภอกันทรารมย์ อำเภอกันทรลกั ษ์ อำเภอขุขันธ์ อำเภอราษไี ศล

และอำเภออุทมุ พรพิสัย

คำขวญั จังหวดั ศรีสะเกษ

แดนปราสาทขอม หอม กระเทยี มดี

มีสวนสมเดจ็ เขตดงลำดวน

หลากลว้ นวัฒนธรรม เลิศล้ำสามคั คี

ความหมาย

แดนปราสาทขอม หมายถงึ จงั หวัดศรีสะเกษมีปราสาทหินจำนวนมาก เป็นรอ่ งรอยหลักฐาน

ทางอารยธรรมที่เคยเจริญรุ่งเรืองมายาวนานในอดีต ซ่ึงสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทางวัฒนธรรมท่ี

สำคัญของจังหวดั ศรสี ะเกษ และเปน็ แหลง่ ศึกษาเรยี นรู้ประวตั ศิ าสตร์ความเป็นมา ของสงั คมทอ้ งถน่ิ ในอดตี

หอม กระเทียมดี หมายถึง จังหวัดศรีสะเกษเป็นพ้ืนที่ที่มีการปลูกหอม ปลูกกระเทียมท่ีมี

คุณภาพมากท่สี ุดของประเทศ เป็นพืชผลทางการเกษตรที่มีชื่อเสียง และเปน็ พืชเศรษฐกิจท่ีสำคัญ ของจังหวัด

ศรีสะเกษ อำเภอท่ีมีการปลูกมาก ได้แก่ อำเภอยางชุมน้อย อำเภอกันทรลักษ์ อำเภอวังหิน อำเภอราษีไศล

อำเภอกนั ทรารมย์


มีสวนสมเด็จ หมายถึง จงั หวดั ศรีสะเกษได้จัดสร้างสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ เป็นแห่งแรก
ของประเทศไทย ภายในบริเวณสวนสมเด็จพระศรนี ครินทร์จงั หวัดศรสี ะเกษ จะมตี ้นลำดวนข้ึนอยู่เป็นจำนวน
มากหลายหมื่นต้น มีการจัดสถานท่ีภายในบริเวณสวนให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ สวยงาม ร่มรื่น และในทุกๆ
ช่วงเดือนมนี าคมของทุกปี จะมีการจัดงานเทศกาลดอกลำดวน มีการแสดงแสงเสียงตำนานศรีพฤทเธศวร และ
การจดั เลย้ี งอาหารเย็นแบบพื้นบ้านอสี านทเ่ี รยี กวา่ พาแลง ดว้ ย
เขตดงลำดวน หมายถึง จังหวัดศรีสะเกษได้ช่ือว่าเป็นเมืองท่ีมีต้นลำดวนข้ึนอยู่ท่ัวไปเป็น
จำนวนมาก ดอกลำดวนจะมีกลีบดอกสามกลบี ดอกมสี ีเหลืองนวล ส่งกล่ินหอมเยน็ ในตอนพลบค่ำ ลำต้นและ
ก่ิงสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ทำรว้ั ทำฟนื รา้ นผักสวนครวั และประโยชน์อ่ืนๆ
หลากล้วนวฒั นธรรม หมายถึง จังหวัดศรีสะเกษเป็นจังหวดั ท่เี ป็นทอ่ี ยอู่ าศยั ของ ชนพ้ืนเมือง
ที่มีหลากหลายเช้ือชาติ ท้ังเขมร ลาว ส่วย และเยอ ซึ่งมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ประสานกลมกลืนกันอยู่
ร่วมกันอย่างสนั ติสขุ
เลิศล้ำสามัคคี หมายถึง เป็นสิ่งเตือนใจให้ประชาชนชาวจังหวัดศรีสะเกษได้รูจ้ ัก รักสามัคคี
เพ่ือลดปัญหาความขัดแย้งของประชาชน ซ่ึงมักจะมีเรือ่ งขัดแย้ง ปัญหาการร้องเรียนกันบ่อยๆ ทำให้เกิดการ
แตกแยกขาดความสามคั คีกนั

ข้อมลู ประวัตศิ าสตร์

ศรสี ะเกษสมัยก่อนประวตั ศิ าสตร์
จากการสำรวจและศึกษาแหลง่ โบราณคดใี นเขตจังหวัดศรสี ะเกษนั้น พบวา่ การตง้ั ถ่นิ ฐานของ

มนุษย์ได้เริ่มปรากฏมาต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ท่ีจัดอยู่ในช่วงยุคเหล็กเป็นต้นมา โดยพบ
หลักฐานเก่ียวกับการใช้พ้ืนท่ีในการทำกิจกรรมต่างๆ และการตั้งถิ่นฐานปรากฏท้ังบนภูเขาสูงและพ้ืนท่ีราบ
ซึ่งแหล่งโบราณคดีผาจันทร์แดง และแหล่งโบราณคดีผาเขยี น ที่มีลักษณะเป็นเพิงผาหินทราย พบหลักฐาน
การทำภาพสลักลงไปในผนังหิน แหล่งโบราณคดีทั้งสองแหล่งนี้ตั้งอยู่ในเขตบ้านภูดินพัฒนา ตำบลบักดอง
อำเภอขนุ หาญ ในส่วนท่เี ป็นปา่ เขาเชิงเทอื กเขาพนมดงเร็ก

หลักฐานท่ีพบจากแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ในบริเวณนี้ได้แก่
ภาชนะดินเผาบรรจุกระดกู (Burial Jar) โครงกระดูก และเศษชนิ้ เน้ือดนิ ธรรมดา หมอ้ ดินเผาขนาดเลก็ (หมอ้ อทุ ศิ )
ลูกปัดสนี ้ำตาล กำไลดินเผา ดนิ เผาไฟ ตะกรนั ขวานหินขัด เป็นตน้

แผนทแ่ี สดงตำแหน่งชมุ ชนโบราณและแนวคลองในบริเวณทงุ่ กลุ าร้องไห้


ชุมชนแหล่งโบราณคดีท่ีสำคัญได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านโนนสูง ตำบลหนองแค อำเภอ
ราษีไศล แหล่งโบราณคดีโนนสะแบง บ้านโนนจิก ตำบลโจดม่วง อำเภอศิลาลาด แหล่งโบราณคดีโนนสูง
บ้านชาดโง ตำบลโจดม่วง กิ่งอำเภอศิลาลาด มีลกั ษณะของแหล่งโบราณคดีเป็นเนินดนิ ทรงกลม ลำนำ้ เคม็ ไหล
ผ่านทางทิศตะวันออกห่างไปประมาณ ๓ กิโลเมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ ๑๒๖ เมตร
พบหลักฐานสำคญั คอื ภาชนะดินเผาบรรจกุ ระดูก (Burial Jar) เศษภาชนะดนิ เผา และตะกรนั
แหล่งโบราณคดีโนนก้านเหลือง บ้านบึงหมอกน้อย ตำบลเมืองแคน อำเภอราษีไศล มี
ลกั ษณะของแหล่งโบราณคดีเป็นเนนิ ดนิ แม่น้ำมูลไหลผา่ นทางทศิ ใตห้ า่ งไปประมาณ ๔ กโิ ลเมตร มคี วามสูงจาก
ระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ ๑๒๔ เมตร พบหลกั ฐานสำคัญ คือ ภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ เศษกระดูก
ขวานหินขัด และเศษภาชนะดินเผา
แหล่งโบราณคดีท่ีอยู่บริเวณห้วยแฮด ลำห้วยสาขาของแม่น้ำมูล ตำบลทุ่ม อำเภอเมือง
ศรีสะเกษ มีลักษณะของแหล่งโบราณคดีเป็นเนินดินรูปวงกลมพบหลักฐานสำคัญ คือ ภาชนะดินเผาลายเชือก
ทาบย้อมสีแดง และภาชนะดินเผาผิวเรียบรุ่นเดียวกัน ที่มีสภาพสมบูรณ์รวม ๓ ใบ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่
วดั โนนแกด นอกจากนี้ยังพบท่ีบ้านหนองเข็ง ตำบลโพนเขวา อำเภอเมือง มีลักษณะของแหล่งโบราณคดีเป็น
เนินดินรูปวงกลม มีกุดโมงกับกุดแคนเป็นแหล่งน้ำที่อยู่ใกล้เคียง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง
ประมาณ ๑๒๐ - ๑๓๐ เมตร พบหลักฐานคือ เศษภาชนะดินเผา และตะกรัน ซึ่งแสดงว่าอาจเป็นแหล่งถลุง
เหลก็ มาก่อน

โครงกระดกู ที่หลมุ ขุดคน้ วัดปราสาท ตำบลปราสาท อำเภอหว้ ยทับทนั

แหลง่ โบราณคดีบ้านหนองฮาง ตำบลหนองฮาง อำเภอเบญจลักษ์ พบหลักฐาน คือไหดินเผา
บรรจุกระดูก จำนวน ๒ ใบ ซ่ึงภายในภาชนะดินเผาดังกล่าวพบกระดูกส่วนแขก ขากะโหลกศีรษะ หม้ออุทิศ
จำนวน ๒ ใบ และลูกปัดเปลอื กหอยสีขาว แหลง่ โบราณคดีดังกล่าวมีลกั ษณะของหลกั ฐานเก่ยี วขอ้ งสัมพันธ์กับ
แหลง่ โบราณคดีอ่ืนๆ ในเขตพื้นทท่ี ุ่งกุลาร้องไห้ คอื พบหลักฐานเกีย่ วกับแบบแผนประเพณีการฝงั ศพครงั้ ทสี่ อง
ทม่ี ีการบรรจุกระดูกของผตู้ ายในภาชนะดินเผาและมีการฝังศพแบบดั้งเดิม คือ ฝังศพแบบนอนหงายเหยยี ดยาว
มีการอุทิศส่ิงของต่างๆ ให้แก่ผู้ตายรวมท้ังพบหลักฐานเก่ียวกับการถลุงโลหะและการทำเกลือสินเธาว์อีกด้วย
เช่นเดียวกับการขุดค้นโครงกระดูกมนุษย์ที่ปราสาทโนนธาตุ วัดปราสาท อำเภอห้วยทับทัน ของกรมศิลปากร
พบวา่ มอี ายรุ ่วมสมัยกับบา้ นเชียง ส่วนโบราณสถาน เชน่ ปราสาทหินต่างๆ คาดว่ามีอายพุ นั ปลี งมาถึงเจ็ดรอ้ ยปี
ซึ่งสร้างข้ึนตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ท่ีขยายอิทธิพลมาจากอินเดีย ไม่รวมการขุดค้นพบกู่แก้วสี่ทิศ
ทม่ี ีความสมบูรณ์ที่บ้านหวา้ น ตำบลหว้านคำ อำเภอราษีไศล ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง และมีความสมบูรณ์
ของอาคารทกี่ รมศิลปากร ยงั ไมไดเ้ ขา้ ไปสำรวจ


การขดุ ค้นศึกษาทางโบราณคดีในจงั หวดั ศรสี ะเกษ ได้พบชุมชนโบราณทีม่ ีอายุอยู่ในสมัยกอ่ น
ประวัตศิ าสตร์ตอนปลายในยุคเหล็กเป็นต้นมา โดยพบหลักฐานของชมุ ชนท่ีปรากฏทั้งบนพ้ืนท่ีราบและบริเวณ
ภเู ขาสูง โดยชุมชนบนพ้นื ราบจะเลอื กต้ังถ่นิ ฐานบนพ้ืนที่ท่ีมลี ักษณะเนินดิน เช่น แหล่งโบราณคดีบ้านบึงหมอก
แหล่งโบราณคดีโนนก้านเหลือง บ้านบึงหมอกน้อย แหล่งโบราณคดีโนนหนองหว้า บ้านบึงหมอกน้อย
บา้ นเมืองแคน บ้านหลุบโมก บ้านน้ำอ้อม ทุกแหลง่ อยใู่ กล้เคียงกันในเขตอำเภอราษีไศล และแหลง่ โบราณคดี
บา้ นหนองเขง็ ตำบลโพนเขวา อำเภอเมืองศรสี ะเกษ ซง่ึ อยบู่ นทีร่ าบริมฝ่ังแม่น้ำมูล

แหลง่ โบราณคดีบา้ นนำ้ ออ้ ม ตำบลเมืองแคน อำเภอราษไี ศล

ศรสี ะเกษสมัยทวาวรดี และเจนละ (เขมรสมยั กอ่ นเมอื งพระนคร) พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๓
วฒั นธรรมทวารวดี เป็นวัฒนธรรมเน่ืองในพทุ ธศาสนาเกิดขน้ึ ในภาคกลางของประเทศไทยในราวพทุ ธ

ศตวรรษท่ี ๑๒ แล้วมีการแพร่หลายเขา้ สภู่ าคอีสานในระยะเวลาตอ่ มามหี ลักฐานทางประวตั ิศาสตร์มากมายใน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่กล่าวถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมทวารวดี อันเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ซึ่งมี
อิทธิพลต่อภูมิภาคน้ีสืบต่อจากวัฒนธรรมด้ังเดิมยุคบ้านเชียง ท่ีเป็นการนับถือบรรพบุรุษก่อนการเข้ามาของ
พระพุทธศาสนาไดป้ รากฏหลักฐานท่ีแหล่งโบราณคดเี มอื งคงโคก บ้านหลบุ โมก ตำบลเมอื งคง อำเภอราษีไศล
จังหวดั ศรสี ะเกษ ชุมชนแหง่ นม้ี คี นู ้ำคันดินลอ้ มรอบ ๒ ช้ัน ภายในชมุ ชนได้ปรากฏซากโบราณสถานและใบเสมา
อันแสดงถึงการนับถือศาสนาพทุ ธ



แผนที่แสดงอาณาจักรตา่ งๆ ในสมยั พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๓

แหล่งโบราณคดีเมืองคงโคก เป็นพ้ืนที่ติดตอ่ ใกล้เคียงกันกบั วัฒนธรรมทวารวดีในเขตจังหวัด
ยโสธร เช่น บ้านตาดทอง อำเภอเมืองยโสธร บ้านบึงแก ตำบลบึงแก อำเภอมหาชนะชัย ดอนเมืองเตย บ้าน
สงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว และวัฒนธรรมทวารวดีในจังหวัดอุบลราชธานี เช่น บ้านทุ่งใหญ่ ตำบลบ้านไทย
บา้ นชีทวน ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน ซ่งึ อยู่ในลุ่มน้ำชีบรเิ วณเดียวกบั เขตอำเภอกันทรารมย์ เป็นต้น มีหลักฐาน
เชน่ โบราณสถานกูแ่ กว้ สี่ทศิ รอยพระพุทธบาทท่ีภูฝา้ ย และใบเสมาทว่ี ัดเขียนบรู พาราม เป็นต้น

แหลง่ โบราณคดีบา้ นคงโคก ตำบลเมอื งคง อำเภอราษไี ศล



รอยพระพุทธบาท วัดปราสาทภฝู ้าย ตำบลภูฝา้ ย อำเภอขุนหาญ

ท่ีแหล่งโบราณคดีเมืองคงโคก บ้านหลุบโมก ตำบลเมืองคง อำเภอราษีไศล มีคูคันดินท่ี
ล้อมรอบนอกจากแสดงเขตศาสนสถาน เขตชมุ ชน ป้องกันศัตรูและสัตว์แล้ว ยังเก็บกักน้ำจืดไวใ้ ช้สำหรบั ชุมชน
สิ่งเหล่านีแ้ สดงให้เหน็ ถึงอารยธรรมของชุมชนในเขตจงั หวัดศรีสะเกษ ท่มี กี ารเพาะปลกู และการชลประทาน คือ
การทำนาปลูกข้าว การทำภาชนะเคร่ืองป้ันดนิ เผา จบั ปลา ล่าสัตว์ เช่น ววั ป่า หมูป่า เก้ง กวาง การดักและจับ
สัตวน์ ้ำ การเล้ยี งสตั ว์ เช่น หมู ววั ไก่ หมา เป็นต้น

กูแ่ กว้ สี่ทศิ ตำบลหวา้ นคำ อำเภอราษไี ศล

๑๐

ศรีสะเกษสมัยวฒั นธรรมขอมเมอื งพระนคร พุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๖

ปราสาทหินศลิ ปะเขมร

ชุมชนในวัฒนธรรมเขมรท่ีพบในจังหวัดศรีสะเกษ มจี ำนวนมากท้ังในรปู ของศาสนสถานและ
ชุมชนที่อยู่อาศัย มีลักษณะเป็นเนินดิน บางแห่งมีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ ชุมชนวัฒนธรรมขอมในจังหวัด
ศรีสะเกษ ท่ีพบเป็นชุมชนที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็นต้นมา สาเหตุท่ีเราพบชุมชนในช่วงเวลานี้เป็น
จำนวนมาก เน่ืองจากในช่วงเวลาดังกล่าว พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (พ.ศ. ๑๕๔๕ - ๑๕๕๓) แห่งอาณาจักรขอม
ได้ทรงแผ่อำนาจของพระองค์ออกไปอย่างกว้างขวางครอบคลุมภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง
ของประเทศไทย หลังจากน้ันอิทธิพลวัฒนธรรมขอมก็ได้แพร่หลายครอบคลุมชุมชนต่างๆ ในภาคอีสาน
ในจังหวัดศรีสะเกษ มีชุมชนโบราณสมัยขอมมากมายและจากศิลาจารึกหลายหลักในปราสาทหิน พบว่า มีช่ือ
ชุมชนระบุเป็นคำส่วย คำเขมร และคำลาว แสดงให้เห็นการผสมผสานของวัฒนธรรมหลายกลุ่ม ซึ่งชุมชนใน
สมัยวัฒนธรรมเขมร มดี ังนี้

หลักฐานท่ีชัดเจนคือปราสาทหินศิลปะเขมรและศิลาจารึกที่ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาท
โดนตวล และปราสาทสระกำแพงใหญ่จากการสำรวจปราสาทห้วยทับทัน ที่เรียกว่าปราสาทบ้านโนนธาตุโดย
การขุดสำรวจของกรมศิลปากร เม่ือปีพ.ศ. ๒๕๕๑ พบหลักฐานท่ีสำคัญทางประวตั ิศาสตรม์ ากมายไมว่ ่าจะเป็น
ภาชนะดินเผา ข้าวของเคร่ืองใช้โบราณ กำไลสำริด ลูกปัดสี ทับหลังที่มีความเกี่ยวโยง โดยตรงกับปราสาท
เขาพระวิหาร รวมถึงโครงกระดูกมนษุ ยโ์ บราณที่มีอายุ ๒,๕๐๐ ปี ถึง ๓,๐๐๐ ปี ปราสาทบ้านโนนธาตุ ตั้งอยู่ที่
บริเวณวดั ปราสาท หมู่ท่ี ๑๒ ตำบลปราสาท อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรสี ะเกษ ต้ังอยู่ทางด้านทิศเหนือของ
ตัวอำเภอห้วยทับทัน ห่างจากตัวอำเภอห้วยทับทัน ๗ กิโลเมตร ห่างจากตัวจังหวัดศรีสะเกษ ๔๕ กิโลเมตร
สร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ศลิ ปะร่วมแบบบาปวน (ช่วงท่ีพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ทรงครองราชย์) ตามคติ
ความเชื่อของศาสนาพราหมณล์ ัทธไิ ศวนิกาย เป็นปราสาทก่อด้วยอฐิ ๓ องค์ เรียงกันจากเหนอื ไปใต้ ต้ังบนฐาน
ศิลาแลงสีเ่ หล่ยี ม ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วซ่ึงกอ่ ดว้ ยศิลาแลง

๑๑

ปราสาทบา้ นโนนธาตุ วดั ปราสาท ตำบลปราสาท อำเภอห้วยทับทนั

ชมุ ชนในสมัยพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗
นอกจากปราสาทบ้านโนนธาตุบ้านปราสาทอำเภอห้วยทับทันแล้ว ชุมชนเขมรหรือท่ีได้รับ

อิทธิพลทางวัฒนธรรมจากเขมร ยังปรากฏอีกหลายแห่ง ได้แก่ชุมชนบริเวณปราสาทโดนตวล (พ.ศ. ๑๕๔๕)
อำเภอกนั ทรลักษ์ ปราสาทตำหนกั ไทร อำเภอขุนหาญ ปราสาทสระกำแพงใหญ่ (พ.ศ. ๑๕๘๕) อำเภออุทมุ พร
พิสัย ปราสาทตาเล็ง อำเภอขุขันธ์ ปราสาทภูฝ้าย อำเภอขุนหาญ ปรางค์กู่ ปราสาททามจาน อำเภอปรางค์กู่
กู่สมบูรณ์ อำเภอบึงบูรพ์ ปราสาทเยอ อำเภอไพรบึง และปราสาทขนาดเล็กท่ีเหลือแต่ฐานโยนีที่ชาวบ้าน
เรียกว่าบัลลังก์ อีกจำนวนมากในพื้นท่ีที่อยู่ในหมู่บ้านที่ข้ึนต้นด้วยคำว่าปราสาท เป็นต้น ปราสาทเหล่าน้ีมี
ลกั ษณะศาสนสถาน ซ่ึงเป็นศูนย์กลางความเชื่อความศรัทธาของชุมชน บางแห่งได้พบหลกั ฐานชัดเจนว่าสร้าง
ขึ้นเน่ืองในศาสนาฮินดู ได้แก่ ปราสาทสระกำแพงใหญ่ และจากการขุดพบพระพุทธรูปนาคปรก แสดงให้เห็น
ความร่งุ เรืองของศาสนาพุทธ ในตอนหลังสมัยพระชัยวรมนั ที่ ๗ ด้วย

ปราสาทปรางคก์ ู่ ตำบลกู่ อำเภอปรางคก์ ู่

๑๒
ชุมชนในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘

ในช่วงเวลานี้ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ - ราวพ.ศ. ๑๗๖๓) แห่งอาณาจักรขอมได้
โปรดให้สร้างอโรคยศาล (ศาสนสถานพยาบาล) และธรรมศาลา (ที่พักคนเดินทาง) ขึ้นทั่วราชอาณาจักรของ
พระองค์ ศาสนสถานดังกล่าวท่ีพบในจังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ ศาสนสถานท่ีเป็นอโรคยาศาล จำนวน ๒ แห่ง
ทป่ี ราสาททามจาน ตำบลสมอ อำเภอปรางค์กู่ และปราสาทสระกำแพงน้อย ตำบลขะยุง อำเภออุทุมพรพิสัย
เน่อื งจากพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงนับถือพุทธศาสนามหายาน ดังนน้ั ปราสาทแห่งนี้จึงสร้างข้ึนเนื่องในศาสนา
พุทธดงั กล่าวดว้ ย

นอกจากศาสนสถานแล้วยังได้มีการพบชุมชนในวัฒนธรรมขอมท่ีเป็นที่อยู่อาศัย มีลักษณะ
เป็นเนินดินดว้ ย เช่น แหล่งโบราณคดีบา้ นหนองคู ตำบลจาน อำเภอเมือง ท่แี หล่งนม้ี ีการค้นพบโบราณวัตถุ ท่ี
เน่ืองในพุทธศาสนามหายาน มอี ายุอยใู่ นราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ แหล่งโบราณคดีบ้านหัวช้าง ตำบลสำโรงพลัน
อำเภอไพรบึง และแหลง่ โบราณคดีบ้านข้ีเหล็ก ตำบลละเอาะ อำเภอน้ำเกลี้ยง ไดพ้ บเคร่ืองถ้วยเขมร กำหนด
อายอุ ยรู่ าวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘

ปราสาทสระกำแพงน้อย ตำบลขะยงู อำเภออทุ ุมพรพสิ ัย

ศรสี ะเกษยุคร่วงโรยรกรา้ ง (เขตเขมรป่าดง) พุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๒๓
ภายหลังจากรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แล้ว อำนาจของอาณาจักรขอมก็ค่อยๆ เสื่อม

ลงไป เนื่องจากความขัดแย้งภายใน ประกอบกับการปรากฏข้ึนของรัฐสุโขทัยทางภาคเหนือตอนล่าง และ
อยุธยาทางภาคกลางของประเทศไทยตามลำดับ หลังจากนี้จึงไม่ปรากฏหลักฐานของโบราณสถานวัฒนธรรม
ขอม นกั โบราณคดีและนกั มานษุ ยวิทยา มีขอ้ สรุปตรงกันว่าชนชาตดิ ั้งเดิมทอี่ พยพเข้ามาอยู่ในบริเวณ อนิ โดจีน
คือ มนุษย์ในตระกูลออสโตรเนเชียน ได้แก่ พวกอินโดนีเซีย มลายู จาม และข่า พระยาประชากิจกรจักร นัก
โบราณคดขี องไทยเช่อื ว่า ชนพ้ืนเมืองดั้งเดิมที่ตั้งหลักแหลง่ อยูใ่ นพน้ื ที่อีสานใต้ บรเิ วณ อุบลราชธานี ศรสี ะเกษ
สุรินทร์ และบุรีรัมย์ คือ ชนชาติส่วย (กวย) ข่า ขมุ ละว้า เยอ ชนชาติเหล่าน้ีได้เคลื่อนย้ายออกจากประเทศ
อิน เดียเข้าสู่ประเทศพ ม่า บางส่วน เดิน ทางต่อมายังลาว บางส่วน เข้าไปอ ยู่ใน เขมร และภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เม่ือประมาณ ๑,๒๐๐ปี ก่อนคริสตกาล จึงเช่ือกันว่าชนพื้นเมืองเดิม
ของศรีสะเกษเป็นชาวกวย

จากการศึกษาประวัติหมู่บ้านต่างๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ พบว่า ในหลายหมู่บ้านมีการขุดพบ
ซากสิ่งของโบราณ เช่น โครงกระดูก ไห ภาชนะดินเผาต่างๆ หลายแห่งทั่วทั้งจังหวัดศรีสะเกษ และมีการขุด

๑๓

ค้นพบอยู่เสมอเป็นประจำจากประชาชนในท้องถ่ิน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการตั้งเป็นชุมชนตลอดมา เนื่องจาก
สภาพภูมิประเทศท่เี หมาะสมในการตง้ั ถิน่ ฐาน เช่น เปน็ เนนิ ดิน อยู่ใกลล้ ำนำ้ พน้ื ดินอุดมสมบูรณ์ มีแรธ่ าตุ เช่น
ธาตุเหล็กและเกลือ เป็นต้น ต่อมาชมุ ชนน้ันอาจร้างไปเนื่องจากโรคระบาด สัตว์ร้าย หรือการคุกคามจากการ
ต่อสู้แย่งชิงอำนาจ แต่ละชุมชนมีการติดต่อกับชุมชนในบริเวณใกล้เคียง ชุมชนเม่ือร้างไปแล้วต่อมาก็มีชุมชน
ใหมม่ าต้ังถ่ินฐานทับซ้อนในท่เี ดิมนั้นอีก ดังนั้นลักษณะของชมุ ชนโบราณจึงมีช้นั ดินหลายช้ัน บางแห่งมีคูเมือง
หลายชั้น เช่น การตั้งชุมชนเยอของพญากตะศิลา กต็ ั้งทับซากเมืองร้างท่ีเมืองคงโคก การต้ังเมืองนครลำดวน
ของพระไกรภักดีศรีนครลำดวน (ตากะจะ) กต็ ้ังเมืองทับแหล่งเดิม คือ บ้านปราสาทส่ีเหลี่ยมดงลำดวน การตั้ง
เมืองศรีสะเกษ คือ การที่ชาวลาวมาก่อตั้งเมืองศรีนครเขตขึ้นต่ออาณาจักรจำปาศักดิ์ ราว พ.ศ. ๒๒๕๖ โดย
ปรากฏชัดเจนในเอกสารราชการจำปาศักดิ์ ระบุ ให้จารย์เชียงมาต้ังเมืองศรีนครเขต ในคราวเดียวกับการต้ัง
เมืองสุวรรณภูมิ ร้อยเอ็ด ขอนแก่น และชัยภูมิ ให้อยู่ในเขตของอาณาจักรจำปาศักด์ิ และจากเหตุการณ์
ทะเลาะวิวาทของลาวด้วยกัน ของพระเจ้าสิริบุญสาร ผู้ครองราชอาณาจักรเวียงจันทน์ กับพระวอ พระตา ผู้
อพยพมาจากนครเข่อื นขัณฑก์ าบแกว้ บัวบาน (หนองบวั ลำภู) มาตง้ั มัน่ ทดี่ อนมดแดง ได้สง่ สาส์นขอเป็นเมืองใน
อารักขาของไทย จึงเกิดเหตุการณ์ตามช้างเผือกใน ปี ๒๓๐๒ และเมืองศรีนครเขต ของอาณาจักรจำปาศักดิ์
ต้องสิ้นสภาพและเกิดเมืองนครลำดวนมาแทนที่ โดยเปลี่ยนมาข้ึนกับอาณาจักรอยุธยาในคราวตาม
พญาช้างเผือก บางชุมชนมีการนำวัฒนธรรมใหม่ตามความเชือ่ ทางศาสนาหรือตามอำนาจการปกครองเผยแพร่
เขา้ มา เกดิ การพัฒนาการเป็นชมุ ชนใหม่ เปน็ ต้น

เม่ือพิจารณาจากร่องรอยการตั้งชุมชนในเขตชายทุ่งกุลาร้องไห้ ประกอบกับหลักฐาน
โบราณสถานสมัยขอมจำนวนมาก รวมทั้งหลักฐานจากศิลาจารึกแล้ว จึงสามารถสรปุ ไดว้ ่า จังหวัดศรสี ะเกษ มี
การตง้ั ชุมชนเปน็ บ้านเมอื งที่มอี ารยธรรมและมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดมา ต้ังแต่สมัยก่อนประวตั ิศาสตร์ในยุค
เหลก็ สมัยทวารวดี สมัยขอม และสุดท้ายถกู ขนานนามว่า เมืองเขมรป่าดง ทม่ี ีชนเผ่าประกอบดว้ ยชนเผา่ ส่วย
เขมรและลาว อยอู่ าศัยในเขตพ้ืนท่นี ต้ี ลอดมาตง้ั แต่สมัยเมืองศรนี ครเขตจนถงึ เมืองศรีนครลำดวน
ตำนานการต้งั บ้านแปงเมอื งศรีสะเกษ

จงั หวัดศรีสะเกษ ได้ช่ือวา่ เป็นเมืองแห่งเทพนิยาย มีตำนานอยู่มากมายท่ีสมั พันธ์กับชื่อบ้าน
นามเมือง หมู่บ้าน และชุมชน ซ่ึงเป็นตำนานที่สัมพันธ์กับศูนย์อำนาจการปกครอง เช่น อาณาจักรกัมพูชา
โบราณ และศูนย์กลางการปกครองบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะตำนานเร่ืองพระนางศรี ธิดา
กษัตริย์ลาว เน้ือความมีอยู่ว่า พระยาแกรก เจ้าเมืองเขมรได้เดินทางท่องเท่ียวไปจนถึงเมืองลาว ไปพบเนื้อคู่
เป็นธิดาเจ้าเมอื งลาว ช่ือศรี จึงไดส้ ู่ขอและอยู่กินกันท่เี มอื งลาว ต่อมาพระยาแกรกเดินทางกลับเมืองเขมรก่อน
ทง้ิ นางศรไี ว้ทีเ่ มืองลาว นางศรีมคี รรภ์แก่จึงเดนิ ทางตามสามีไปยงั เมืองเขมร ไปถึงทำเลแห่งหน่ึงมสี ระน้ำใสเย็น
นางศรีได้คลอดทารกที่ริมสระแห่งนั้น และนางได้ลงไปอาบน้ำในสระพร้อมทั้งอาบน้ำทารกในสระด้วย แล้วจึง
เดินทางต่อไปยังเมืองเขมร สระนนั้ จงึ ไดช้ อ่ื ว่า ศรีสระเกศ แต่นน้ั มา

รวมถึงตำนานวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม พระอารามหลวง ที่ว่า วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม
พระอารามหลวง ต้งั ช่ือตามชื่อบา้ นเจียงอี มีความหมายวา่ ช้างป่วย เป็นภาษาสว่ ย ชา้ งดังกล่าวเป็นช้างมงคล
ของราชอาณาจกั รอยุธยา ที่ทหารเอกสองพ่ีน้องมาตามจับคืนไป เม่ือปี พ.ศ. ๒๓๐๒ แล้วช้างมงคลป่วยมาพัก
ให้หายป่วยที่บริเวณบ้านเจียงอีแห่งนี้นอกจากนี้ยังมีตำนานช่ือหมู่บ้านต่างๆ เป็นจำนวนมากที่บันทึกไว้ใน
หนังสือประวัติศาสตร์จังหวัดศรีสะเกษที่เป็นมรดกทางภูมิปัญญาเชิงประวัติศาสตร์บอกเล่าอันตกทอดสืบมา
จนถงึ ปัจจบุ ัน
สมัยกรุงศรีอยุธยา

ในสมัยกรุงศรีอยุธยาอาณาจักรไทยกว้างขวางมาก มีชาวบ้านป่าซ่ึงเป็นชนกลุ่มน้อย
(MINORITY TRIBE) อาศัยอยู่แถบเมืองอัตปือแสนแป แคว้นจำปาสักฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ประเทศสาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนลาวปัจจุบัน ชนพวกนี้เรียกตัวเองว่า "ข่า" ส่วย" "กวย" หรือ "กุย" อยู่ในดินแดนของ

๑๔
ราชอาณาจักรไทย โดยสมบูรณ์ (เพิ่งเสียให้ฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ หรือ ร.ศ. ๑๑๒) พากน้ีมีความรู้
ความสามารถในการจับชา้ งป่ามาเล้ียงไว้ใช้งาน ชาวส่วยหรือชาวกวยได้อพยพย้ายที่ทำมาหากินขา้ มมาฝั่งขวา
แม่น้ำโขง เน่อื งจากชาวเมืองศรีสัตนาคนหุต(เวียงจันทน)์ ไดเ้ ข้าไปต้ังถิน่ ฐานแยง่ ทีท่ ำมาหากนิ

ในปี พ.ศ. ๒๒๖๐ ชาวส่วยได้อพยพแยกออกเป็นหลายพวกด้วยกัน แต่ละพวกมีหัวหน้า
ควบคุมมา เช่น เซียงปุม เซียงสีเซียงสง ตากะจะและเซียงขัน เซียงฆะ เซียงไชย หัวหน้าแต่ละคนก็ได้หา
สมัครพรรพวกไปต้ังรกรากในท่ีต่างๆ กัน เซียงปุม อยู่ท่ีบ้านที เซียงสีหรือตะกะอาม อยู่ที่รัตนบุรี เซียงสงอยู่
บ้านเมืองลีง (อำเภอจอมพระ) เซียงฆะ อยู่ที่สังขะ เวียงไชยอยู่บ้านจารพัด (อำเภอศรีขรภูมิ) ส่วนตากะจะ
และเซยี งขนั อยทู่ บี่ า้ นปราสาทส่เี หลยี่ มดงลำดวน (บ้านดวนใหญ่ปจั จุบนั )

พวกส่วยเหลา่ นี้อยู่รวมกันเป็นชุมชนใหญ่ หาเลีย้ งชีพดว้ ยการเกษตรและหาของป่ามาบริโภค
ใช้สอย มีการไปมาหาสู่ติดต่อกันระหว่างพวกส่วยอยู่เสมอ มีสภาพภูมิประเทสติดต่อเขตกัมพูชา และมี
เทือกเขาพนมดงรักเป็นเส้นกันเขตแดน ป่าดงเขตน้ีมีฝูงสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ โขลงช้างพัง ชางพลาย ฝูงเก้ง
กวาง ละม่งั และโคแดงอยมู่ ากมายตามทงุ่ หญ้าและราวป่า เหมาะกบั การทำมาหาเล้ยี งชีพของชาวส่วยอยา่ งยิง่

ลุ พ.ศ. ๒๓๐๒ ปีเถาะ จุลศักราช ๑๑๘๑ ตรงกับสมัยแผ่นดินพระบรมราชาท่ี ๓ หรือพระ
เจา้ อยู่หวั พระที่นั่งสุรยิ ามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) กษตั ริย์องค์สุดท้ายของกรงุ ศรีอยุธยา พระยาช้างเผือกของ
พระองค์ได้แตกออกจากโรงช้างต้นในกรุงศรีอยุธยา เดินทางมาทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โปรดให้ทหารเอก
คพู่ ระทัยสองพ่ีน้อง (เขา้ ใจว่าสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศกึ พระนามเดมิ ทองด้วง และกรมพระราชวงั บวร
มหาสุรสิงหนาท พระนามเดมิ บุญมา) คมุ ไพร่พล ๓๐ นาย ออกติดตามผ่านมาแขวงพิมาย ทราบจากเจ้าเมือง
พิมายว่า ในดงริมเขาพนมดงรักมีพวกส่วยชำนาญใชการจับช้าง เลี้ยงช้าง สองพ่ีน้องกับไพร่พล จึงได้ติดตาม
สองพี่น้องไปเซียงสีไปที่บ้านกุดหวาย (อำเภอรัตนบุร)ี เซียงสีจึงได้พาสองพี่น้องและไพร่พลไปตามหาเซียงสง
ทีบ่ ้านเมืองลีง เซียงปุ่มที่บ้านเมืองที เซียงไชยที่บ้านกุดปะไท ตากะจะและเซียงขัน ท่ีบ้านโคกลำดวน เซียฆะ
ที่บ้านอัจจะปะนึง (เขตอำเภอสังขะ) ทุกคนร่วมเดินทางติดตามพระยาช้างเผือก สองพ่ีน้องและหัวหน้าป่าดง
ทั้งหมด ได้ติดตามล้อมจับพระยาช้างเผือกได้ท่ีบา้ นหนองโชก ได้คืนมาและนำส่งถึงกรงุ ศรีอยุธยา ดว้ ยความดี
ความชอบในครั้งน้ีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสริยามรินทร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้หัวหน้าบ้านป่าดง
มีบรรดาศักด์ท้ังหมด ตากะจะหัวหน้าหมู่บ้านโคกลำดวน ได้เป็นหลวงแก้วสุวรรณเซียงขันได้เป็นหลวงปราบ
อยูก่ ับตากะจะ

๑๕

ตอ่ มาหัวหน้าหมู่บ้านป่าดงทั้ง ๕ ได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงศรีอยุธยา โดย
นำสิ่งของไปทูลเกล้าฯ ถวาย คือ ช้าง ม้า แก่นสน ยางสน ปีกนก นกระมาด (นอแรด) งาช้าง ขี้ผ้ึง น้ำผึ้ง
เป็นการส่งส่วยตามพระราชประเพณี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่น่ังสุริยามรินทร์ ทรงพิจารณาเห็นความดี
ความชอบเมื่อคร้ังได้ช่วยเหลือจับพระยาช้างเผือก และเม่ือหัวหน้าหมู่บ้านได้นำส่ิงของไปทูลเกล้าฯ ถวาย
จึงทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ แต่งต้งั บรรดาศักดิ์ให้หัวหน้าหมูบ่ า้ นสงู ขนึ้ ทกุ คน

ในปี พ.ศ. ๒๓๐๒ นี้เอง หลวงแก้วสุวรรณ (ตากะจะ) บ้านโคกลำดวนได้บรรดาศักดิ์เป็นพระ
ยาไกรภักดีศรีนครลำดวนมีพระบรมราชโองการยกบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน ซ่ึงเดิมเรียกว่า "เมืองศรี
นครลำดวน" ข้ึนเป็นเมืองขุขันธ์แปลว่า "เมืองป่าดง" ให้พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวนเป็นเจ้าเมืองปกครอง
สมยั กรุงธนบุรี

เม่ือกรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระเจ้าตากสินมหาราช ไดท้ รงกอบกูอ้ ิสรภาพและทรงต้ังกรุงธนบุรเี ปน็ ราชธานี พ.ศ. ๒๓๒๑ ปีจอ จุลศักราช
๑๑๔๐ กรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) เป็นกบฏต่อไทย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) กับเจ้าพระยาสุรสีห์เป็นแม่ทัพ
ยกขึน้ ไปทางเมอื งพิมายแมท่ ัพสงั่ ให้เจา้ เมอื งพมิ ายแต่งข้าหลวงออกมาเกณฑ์กำลงั เมืองประทายสมนั ต์ (จังหวัด
สุรินทร)์ เมืองสังฆะ เมืองขุขนั ธ์ เมอื งรัตนบุรี เป็นทัพบกยกไปตเี มืองเวยี งจนั ทน์ เมืองจำปาศกั ดิ์ ได้ชัยชนะยอม

๑๖

ขึ้นต่อไทยทงั้ สองเมอื ง กองทัพไทยเข้าเมอื งเวียงจันทน์ ไดอ้ ัญเชิญพระแก้วมรกต และพระบางพร้อมคุมตัวนคร
จำปาศักด์ิไชยกุมารกลับกรุงธนบุรี ในการศึกครั้งน้ีเม่ือเดินทางกลับ หลวงปราบ(เซียงขัน) ทหารเอกใน
กองทพั ได้หญิงม่ายชาวลาวคนหนงึ่ กลบั มาเป็นภรรยา มีบตุ รชายตดิ ตามมาดว้ ยช่อื ทา้ วบญุ จนั ทน์

พ.ศ. ๒๓๒๔ เมืองเขมรเกิดจราจล สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับพระยาสุรสีห์ ได้รับ
พระบรมราชโองการให้เป็นแม่ทัพยกกองทัพไปปราบจราจลครั้งน้ี โดยเกณฑ์กำลังของเมืองปะทายสมันต์
เมืองขุ-ขันธ์ และเมืองสังฆะ สมทบกับกองทัพหลวงออกไปปราบปราม กองทัพไทยยกไปตีเมืองเสียมราฐ
กำพงสวาย บรรทายเพชร บรรทายมาศ และเมืองรูงตำแรย์ (ถ้ำช้าง) เมืองเหล่านี้ยอมแพ้ ขอข้ึนเป็นขอบ
ขณั ฑสีมา เสร็จแล้วยกทัพกลับกรุงธนบรุ ี

เม่ือเสร็จสงครามเวียงจันทน์ และเมืองเขมรแล้ว ได้ปูนบำเหน็จให้แก่เจ้าเมืองปะทายสมันต์
เมอื งขุขนั ธ์ และเมืองสงั ฆะ เลื่อนบรรดาศกั ดิใ์ ห้เป็นพระยาใหพ้ ระยาทงั้ สามเมือง เจ้าเมอื งขุขันธ์ ได้บรรดาศักด์ิ
ใหม่ จากพระยาไกรภักดศี รีนครลำดวน เปน็ พระยาขขุ นั ธ์ภักดีในปเี ดยี วกันนน้ั เอง พระยาขุขันธ์ภักดี (ตากะจะ)
ถงึ แก่อนิจกรรมจึงโปรดให้หลวงปราบ (เซียงขนั ) ข้ึนเป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจา้ เมืองขขุ ันธ์ ต่อมา
เมืองขุขันธ์ที่บ้านปราสาทสี่เหล่ียมดงลำดวนกันดารน้ำ พระยาไกรภักดีฯ จึงอพยพเมืองย้ายมาอยู่บ้านแตระ
(แตระ) ตำบลหว้ ยเหนอื ที่ตั้งอำเภอขขุ ันธใ์ นปัจจุบนั
สมยั กรงุ รตั นโกสินทร์

ลุ พ.ศ. ๒๓๒๕ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๔๔ พระบามสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระยาไกรภักดศี รนี ครลำดวน(เซียงขนั ) ไดบ้ รรดาสกั ดิเ์ ป็นพระยาขุขนั ธภ์ ักดี ได้มใี บ
บอกกราบบงั คมทูลขอ้ ต้ังท้าวบุญจันทร์ เปน็ พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน ผชู้ ่วยเจา้ เมือง อยู่มาวันหนึ่งพระยา
ขุขันธ์ภักดีเผลอเรียกพระยาไกรภักดีฯ (บุญจันทร์) ว่า "ลูกเชลย" พระยาไกรภักดีจึงโกรธและผูกพยาบาท
ภายหลังมพี ่อคา้ ญวน ๓๐ คน มาซื้อโคกระบือท่ีเมืองขุขนั ธ์ พระยาขุขันธ์ภกั ดีอำนวยความสะดวกและจดั ทพี่ ัก
ให้ญวนตลอดจนใหไ้ พร่นำทางไปช่องโพย ให้พวกญวนนำโค กระบือไปยังเมอื งพนมเปญได้สะดวก พระยาไกร
ภักดีฯ (บญุ จันทร์) ได้กล่าวโทษมายังกรงุ เทพฯ และโปรดเกล้า ใหเ้ รยี กตัวพระยาขุขนั ธ์ไปลงโทษและจำคุกไว้ท่ี
กรงุ เทพฯ แล้วโปรดเกล้าฯ ใหต้ ้ังพระยาไกรภกั ดีฯ-(บญุ จนั ทร)์ เป็นเจ้าเมอื งขุขันธแ์ ทน

ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ น้ี พระภักดีภูธรสงคราม (อ่นุ ) ปลัดเมืองขุขันธ์ กราบบังคมทูลขอแยกจาก
ขุขันธ์ไปต้ังท่ีบ้านโนนสามขาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านโนนสามขาขึ้นเป็นเมือง "ศรีสระเกศ"
ตอ่ มาปี พ.ศ. ๒๓๒๘ ไดย้ า้ ยเมืองศรสี ระเกศจากบา้ นโนนสามขา มาตง้ั ณ บ้านพันทาเจียงอี อยู่ในเขตเทศบาล
เมอื งศรีสะเกษทุกวันนี้

พ.ศ. ๒๓๔๒ มีโปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์กำลังคนจากเมืองสุรินทร์ เมืองขุขันธ์ เมอื งสังฆะ เมือง
ละ ๑๐๐ คน รวม ๓๐๐ ยกทัพไปตีพม่าซึ่งยกมาต้ังในเขตนครเชียงใหม่ กองทัพไทยมิทันไปถึง กองทัพพม่าก็
ถอยกลับ จงึ โปรดเกล้าฯใหก้ องทพั ไทยยกกลบั

พ.ศ. ๒๓๕๐ ทรงพระราชดำรวิ ่า เมืองสุรินทร์ เมอื งสงั ฆะ และเมืองขุขนั ธ์ เปน็ เมืองเคยตาม
เสด็จพระราชดำเนนิ ในการพระราชสงครามหลายครงั้ มคี วามชอบมาก จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหท้ งั้ ๓ เมอื ง ข้นึ ตรงต่อ
กรุงเทพฯ มีอำนาจชำระคดีได้เอง ไมต่ อ้ งขนึ้ ตอ่ เมอื งพิมายเหมือนแตก่ ่อน

พ.ศ. ๒๓๖๙ รัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์แต่งต้ังให้
เจ้าอุปราช (สีถาน) กับเจ้าราชวงศ์เมืองเวียงจันทน์คุมกองทัพบกเข้าตีเมืองรายทางเข้ามาจนถึงเมือง
นครราชสีมา ฝ่ายทางเมืองจำปาศักดิ์ เจ้านครจำปาศักด์ิ (เจ้าโย)่ เกณฑ์กำลงั ยกทพั มาตีเมอื งขุขันธ์จับพระไกร
ภกั ดีศรีนครลำดวน (บุญจันทร์) เจา้ เมืองขุขันธ์ กับพระภักดีภูธรสงคราม (มานะ) ปลัดเมืองกบั พระแก้วมนตรี
(ทศ) ยกกระบัตรกับกรมการได้ ฆ่าตายทั้งหมด เจ้าเมืองสังฆะ และเมืองสุรินทร์หนีได้ทัน กองทัพ
จำปาศักดิ์ ต้ังค่ายอยู่ท่ีบ้านส้มป่อย แขวงเมืองขุขันธ์ค่ายหนึ่ง และค่ายอ่ืนๆ สี่ค่าย กวาดต้อนครอบครัวไทย
เขมรไปเมืองจำปาศักดิ์ จากนั้นมาเมืองขุขันธ์ ไม่มีข้าราชการปกครอง โปรดเกล้าฯ ให้พระยาสังฆะ ไปเป็น

๑๗

พระยาไกรภักดีศรนี ครลำดวนเจ้าเมอื ง ให้พระไชยเปน็ พระภกั ดีภูธรสงครามปลัดเมอื ง ให้พระสะเทื้อน (นวน)
เป็นพระแกว้ มนตรียกกระบัตรเมือง ให้ท้ายหล้า บุตรพระยาขุขนั ธ์(เซียงขนั ) เป็นมหาดไทยชว่ ยกันรักษาเมือง
ขขุ นั ธต์ อ่ ไป จากน้นั มาได้มีการเปล่ยี นแปลงตำแหนง่ เจ้าเมืองและนามเจ้าเมอื งหลายครัง้

พ.ศ. ๒๔๒๖ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาขุขันธ์ (ปัญญา)
เจ้าเมืองกับพระปลดั (จนั ล)ี ได้นำช้างพงั สปี ระหลาดหนง่ึ เชือกลงมานอ้ มเกลา้ ฯ ถวายทีก่ รงุ เทพฯ

พ.ศ. ๒๔๓๓ มีสารตราโปรดเกล้าฯ ให้เมืองศรีสระเกศ (ชื่อเดิม) ไปอยู่ในบังคับบัญชาของ
ข้าหลวงใหญ่ไดโ้ ปรดให้หลวงจำนงยุทธกิจ (อม่ิ ) กบั ขนุ ไผทไทยพิทักษ์ (เกลอ่ื น) เปน็ ขา้ หลวงเมอื งศรสี ระเกศ

พ.ศ. ๒๔๓๕ โปรดเกล้าฯ ให้จัดรูปการปกครองแบบมณฑลเมืองศรีสะเกศข้ึนอยู่กับมณฑล
อสี านกองบญั ชาการมณฑลอยูท่ ่จี ังหวัดอบุ ลราชธานี

พ.ศ. ๒๔๔๕ เปลี่ยนชื่อมณฑลอีสานเป็น มณฑลอุบลมีเมืองขึ้น ๓ เมือง คือ อุบลราชธานี
ขขุ ันธ์ และสุรินทร์ ไม่ปรากฏชือ่ เมืองศรสี ระเกศ สันนิษฐานว่าเมืองศรีสระเกศถูกยุบลงเป็นอำเภอข้ึนกบั เมือง
ขขุ นั ธ์ซึง่ เปน็ เมอื งเก่ามาแตเ่ ดมิ

พ.ศ. ๒๔๔๗ ย้ายท่ีตั้งเมืองขุขันธ์ (ซึ่งอยู่ที่บ้านแตระ ตำบลห้วยเหนือ อำเภอขุขันธ์ใน
ปัจจุบัน) มาอยู่ท่ีตำบลเมืองเก่า (ปัจจุบันคือตำบลเมืองเหนือในเขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษในปัจจุบัน) และ
ยงั คงใช้ช่ือ "เมอื งขุขันธ์" ยุบเมืองขุขันธ์เดมิ เป็นอำเภอหว้ ยเหนือ (อำเภอขขุ นั ธใ์ นปจั จุบันน้)ี

พ.ศ.๒๔๕๙ กระทรวงมหาดไทย มีประกาศให้เปลี่ยนชอ่ื เมืองทุกเมืองเป็นจังหวัด เมืองขุขันธ์
จึงเป็นเป็นจังหวัดขุขันธ์ เมื่อวันท่ี ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๙ เปล่ียนผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ว่าราชการ
จังหวัด

พ.ศ.๒๔๘๑ มีพระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนช่ือจังหวัดขุขันธ์ เป็นจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่บัดน้ัน
เปน็ ตน้ มาจนถึงปจั จุบนั

บคุ คลสำคญั

บุคคลสำคญั ทางศาสนา
พระครูประสาธน์ขันธคุณ หรือหลวงปู่มุม หรือหลวงพ่อมุม เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดปราสาท

เยอเหนือ อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ บรรพชาเป็นสามเณรต้ังแต่ยังเด็กและอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อ
อายุ ๒๐ ปี แล้วดำรงอยู่ในสมณเพศตลอดชีวิตจนมรณภาพ เป็นพระภิกษุผู้ถือเคร่งทางธรรมปฏิบัติธรรม
กมั มัฏฐาน ไดฝ้ ึกเดนิ ธุดงค์ไปตามป่าเขาในบริเวณเทอื กเขาพนมดงเร็ก เขตจังหวัดทางภาคอีสานตอนล่าง ของ
ประเทศไทย และเดินธุดงค์เข้าไปในประเทศกัมพูชาจำพรรษาอยู่ในประเทศกัมพูชาหลายปี หลังจากนั้นจึงได้
กลับมาจำพรรษาอยู่ท่ีวัดปราสาทเยอเหนือ บ้านเกิด ซึ่งเป็นหมู่บ้านท่ีมีกลุ่มชาติพันธุ์เยอ ต้ังถิ่นฐานอยู่ จาก
ความสมถะ มักน้อย สันโดษและเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติของสงฆ์ ทำให้เป็นท่ีเล่ือมใสศรัทธาของพุทธศานิกชน
ท่ัวไป และที่โด่งดังเป็นที่ร้จู ักของประชาชนทั่วประเทศก็คือความศรัทธาในวัตถุมงคลกลุ่มท่ีชื่อ พระหลวงพ่อ
มมุ ซึ่งทา่ นได้เคยสร้างและทำพิธปี ลุกเสกด้วยตัวเอง โดยพธิ พี ุทธาภเิ ษกแบบเขมรโบราณ ท้งั ยังเปน็ ผมู้ สี ว่ นร่วม
บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ในบวรพระพุทธศาสนาและเพื่อสังคมไว้มหาศาล ถือเป็นปูชนียบุคคล ท่ีควรกราบ
ไหว้บชู าสกั การะของปวงชนทั่วๆ ไป

หลวงปู่มุม ยังเป็นหนึ่งในพระเถระผู้ร่วมประกอบพิธีพุทธาภิเษก พระกรง่ิ มหาราช ระหว่าง
วันที่ ๓ ธันวาคม - ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ซึ่งวัดพระเชตุพนวมิ ลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ จดั สร้างขึ้นเพอื่ เป็น
การเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เนื่องในวโรกาสมหามงคลที่
ทรงได้รับการเทิดทนู อยา่ งสูงสุดจากปวงชนชาวไทย โดยการถวายพระบรมราชสมัญญานาม มหาราช ต่อท้าย
พระปรมาภไิ ธย

๑๘

อนึ่ง วัดปราสาทเยอเหนือ เป็นวัดโบราณมีอายุเก่าแก่ท่ีสุดวัดหนึ่งของจังหวดั ศรีสะเกษหรือ
จังหวัดขุขันธ์ในอดีต วัดแห่งนี้ได้รับการก่อตั้งข้ึนในพ.ศ. ๑๓๑๓ หรือราวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ ตั้งแต่สมัย
ทวารวดีและสมัยขอม อันเป็นช่วงเวลาก่อนการตั้งเมืองศรีนครลำดวน (ต้นเค้าเมืองขุขันธ์ท่ีพัฒนามาเป็น
จงั หวัดขขุ ันธแ์ ละจังหวัดศรีสะเกษ) ในพ.ศ. ๒๓๐๒ ถึง ๙๘๙ ปี ปจั จุบันภายในวดั ยังคงปรากฏซากปราสาทหิน
สมยั ขอมซ่ึงมีสภาพชำรดุ มากแล้วคือ ปราสาทเยอ

วดั ปราสาทเยอเหนอื ยังเปน็ วัดแห่งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเดจ็ พระนาง
เจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเพ่ือนมัสการพระครูประสาธน์ขันธคุณ และทรงทอด
พระกฐินเป็นการส่วนพระองค์หรือกฐินตน้ ถวาย เม่อื วันท่ี ๒๕ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ท้ังยังทรงพระกรณุ าโปรด
เกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ใหก้ บั ทางราชการ เพ่ือสรา้ งศาลา ภ.ป.ร. ถวาย ทดแทนศาลาวัดหลงั เดิมท่มี ี
สภาพชำรุดทรุดโทรม เหล่าพสกนิกรชาวจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียง มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จทั้งสอง
พระองค์อย่างล้นหลามเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางสายฝนท่ีโปรยลงมาอย่างหนัก โดยพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรท่ามกลางสายฝน
เชน่ เดียวกัน ยังความปลาบปลม้ื ยินดีแกพ่ สกนกิ รอยา่ งลน้ พน้

พระครปู ระสาธนข์ นั ธคณุ หรอื หลวงปมู่ มุ พระมงคลวุฒ หรอื หลวงป่เู คร่อื ง สภุ ฺทโฺ ท

พระมงคลวุฒ หรือหลวงปู่เคร่ือง สุภทฺโท เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่ ตำบล
สระกำแพงใหญ่ อำเภออทุ มุ พรพิสยั

หลวงปู่เคร่ือง มีนามเดิมว่า เครื่อง ประถมบุตร เกิดเม่ือวันท่ี ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๓

ณ บ้านค้อกำแพง (ปัจจุบันคือ บ้านหนองแปน) หมู่ที่ ๓ ตำบลสระกำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัด
ศรสี ะเกษ เป็นบุตรของนายสอน และ นางยม ประถมบุตร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาท้ังหมด ๑๔ คน ท่านเป็น

บุตรคนที่ ๔ แต่พี่น้องเสียชีวิตไปในวัยเยาว์ ๖ คน คงเหลืออยู่เพียง ๘ คน ต่อมาเมื่อวัยเยาว์ตอนอายุได้ ๘ ปี
ท่านไดศ้ ึกษาเลา่ เรยี นภาษาไทย กบั ลุงเกษ ประถมบุตร ซึ่งเป็นลุงแท้ๆ ของท่าน ซ่งึ เป็นครสู อนอย่กู ับบ้านตอน
เย็นหรือตอนกลางคืนเวลาว่างๆ เท่านน้ั ครั้นต่อมาเมื่อมีอายุได้ ๑๕ ปี ท่านก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนรัฐบาลทว่ี ัด

สระกำแพงใหญ่ และมีพพ่ีน้องของท่านได้เข้าไปเรียนหนังสือพร้อมกันถึง ๓ คน แต่ว่าไม่มีใครช่วยพ่อแม่ทำ
เกษตรกรรมหรอื เลี้ยงสตั ว์ โยมพ่อจงึ ใหพ้ ่ีนอ้ งพลัดกันไปเรยี นคนละวัน ต่อมาหลวงปู่จึงได้ตัดสินใจมาเล่าเรียน

ท่ีโรงเรียนคนเดียว ท่านเรียนจบช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๒ ท่านเรียนได้คร่ึงปี รฐั บาลก็มี
กำหนดใหม่เปลี่ยนแปลง ต่อมาท่านก็ออกมาช่วยพอ่ แมท่ ำงานเล่ียงชีพ รบั ผิดชอบในหน้าท่ีทุกอย่างของผู้หญิง
เสียสละช่วยเหลือพ่อแม่ทุกอย่างท้ังงานบ้านและงานเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ต่อมาเมื่อมีอายุได้ ๒๑ ปี

ท่านได้ตัดสินใจอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ณ พัทธสีมาวัดสำโรงน้อย หมู่ ๖ ตำบลหนองห้าง

๑๙

อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีพระครูเทวราชกวีวรญาณ (จูม ธฺมมทีโป) เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์ใบฎีกาชม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์พรหมมา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับ
ฉายาว่า “สุภัทโท” ซึ่งแปลว่า “ผู้ประพฤติงาม” และหลังจากอุปสมบทแล้ว โยมมารดาได้ล้มป่วยหนักและ
เสียชีวิตลง ต่อมาเมื่ออกพรรษา ญาติพี่น้องได้พูดขอร้องให้หลวงพ่อสึกออกมา หลวงพ่อท่านก็ยังไม่ตกลงใจ
ก่อนที่จะสึกออกมา โยมพ่อของท่านบอกให้ท่านเป็นพระสงฆ์ต่อไป เพราะถึงอย่างไรท่านก็ช่วยน้องไม่ได้
จงแสวงหาทางพ้นทุกข์เถิด ต่อมาท่านตัดสินใจเดินทางไปวัดทุ่งไชย เพื่อไปศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์มูลกัจจายน์
เปน็ เวลา ๒ เดือน ก่อนเดินทางต่อไปทวี่ ัดบ้านยางใหญ่ ตำบลเมืองแคน อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ฝาก
ตัวเป็นศิษย์กับพระอุปัชฌาย์สาย เจ้าอาวาส เพื่อขอเรียนบาลีและคัมภีร์มูลกัจจายน์ พระอุปัชฌาย์สายเอ็นดู
ลูกศิษย์คนนี้มาก ด้วยผลการเรียนเป็นที่น่าพอใจ ท่านเรียนได้ดี ท้ังในการแปลภาษาบาลีเป็นประโยค
คล่องแคล่วและใสส่ ัมพนั ธ์ดว้ ย เร่ิมตั้งแตก่ ารสนธิ เป็นตน้ ไป จนกระทัง่ ท่านได้สามารถสอบไดน้ กั ธรรมชั้นตรีใน
ปพี .ศ. ๒๔๗๙ และได้สอบนักธรรมชั้นโทเม่อื ปีพ.ศ. ๒๔๘๐ และต่อมาในวันท่ี ๒๔ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๔๘๐ ทา่ น
ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพงพรต ท่านได้ดำรงตำแหน่งอยู่ ๑๐ปี ก็พ้นจากตำแหน่งเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๙๔ และ
ย้ายมาจำพรรษาที่วัดสระกำแพงใหญ่เม่ือปีพ.ศ. ๒๔๙๕ พร้อมกับได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระกำแพงใหญ่
รูปท่ี ๗ หลังจากได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสท่านก็เปิดสอนพระปริยัติธรรม และได้พัฒนาวัดสระกำแพงใหญ่
รวมทัง้ เป็นประธานก่อสร้างมหาวทิ ยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลยั และได้พัฒนาสร้างพัฒนาวดั เมรุ ศาลา กฏุ ิ
ต่อมาท่านได้อาพาธเข้ารักษาตัวท่ีโรงพยาบาลศรีสะเกษเม่ือวันที่ ๒๐ กรกฎาคม และย้ายมารักษาตัวท่ี
โรงพยาบาลสรรพสทิ ธ์ิ จนกระท่ังได้ละสังขารดว้ ยอาการสงบเมอื่ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ รวมสริ ิอายุ
ได้ ๙๘ ปี บวชพระมาได้ ๗๗ พรรษา ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพงพรตได้ ๑๐ ปี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส
วัดสระกำแพงใหญ่ได้ ๕๖ ปี

พระครูโกวิทพฒั โนดม (เกลี้ยง เตชธฺมโม) เจ้าอาวาสวดั ศรธี าตุ (วัดโนนแกด) อำเภอเมืองศรี
สะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ

หลวงปู่เกล้ียงเกิดท่ีบ้านก้านเหลือง ตำบลหมากเขียบ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ
เป็นบุตรของนายบุญมี คุณมานะ และนางผิว คุณมานะ มีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน ในช่วงวัยเด็กได้ศึกษาใน
โรงเรียนวดั บ้านโนนแกด จนจบช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ และเรยี นตอ่ จนจบชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๓ จบในปี ๒๔๖๖
และท่านได้ทำงานช่วยสอนหนังสอื แทนครู โรงเรียนบ้านโนนแกด สอนได้สองเดือนทางราชการให้ยา้ ยไปช่วย
สอนท่ีโรงเรียนบ้านโพรง ตำบลไพรบึง อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเวลา ๓ ปี ๖ เดือน และท่านก็ไป
สอบ นักธรรมตรีทส่ี นามหลวง ซึง่ มีพระ สามเณร ไปสอบจำนวน ๔๗ รปู ปรากฏว่าหลวงปูเ่ กลี้ยงและพระภิกษุ
สิงห์ สอบผา่ นแค่ ๒ รปู เทา่ น้นั

จากนนั้ ก็เรยี นต่อนกั ธรรมโททีจ่ งั หวัดบรุ รี ัมย์ แตใ่ นช่วงขณะน้นั ทางราชการให้ท่านต้องเกณฑ์
ทหาร ท่านจึงจำต้องลาสิกขาบท จากน้ันท่านได้อุปสมบทอีกทีเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ณ วัดบ้านแทง ตำบลซำ
อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีพระเกษตรศีลาจารย์ วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม ตำบลเมืองใต้
อำเภอเมืองศรสี ะเกษ จงั หวัดศรีสะเกษ เป็นพระอปุ ัชฌาย์ หลังจากอปุ สมบทแล้ว ท่านก็ได้ช่วยเหลืองานวัดทั้ง
ซ่อมแซมถนน และการให้ความช่วยเหลือกบั ผู้ท่ปี ระสบปัญหา และมีผคู้ นทไ่ี ม่สบาย ไปรักษาท่ีโรงพยาบาลกไ็ ม่
หาย แต่หลวงปู่ท่าน กย็ อมให้รักษาโดยใช้ยาตำรับแพทย์แผนโบราณ และจากความเช่ือศรัทธา ทำให้ผคู้ นหาย
เจ็บป่วย ถ้ามาหาทันเวลาและอยู่ในวิสัยท่ีจะหายไข้ได้ หลวงปู่เกลี้ยง ท่านเป็นพระผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
หลวงปไู่ ดร้ บั สมณศกั ดิ์ เป็นพระครโู กวทิ พฒั โนดม เมื่อวนั ท่ี ๕ ธันวาคม ๒๕๓๕

๒๐

พระครโู กวทิ พัฒโนดม หรือหลวงปู่เกล้ียง พระราชภาวนาวิกรม หรอื หลวงพอ่ เลี่ยม ฐิตธมโฺ ม

พระราชภาวนาวิกรม (เล่ียม ฐติ ธมโฺ ม) เป็นพระภิกษุฝา่ ยอรัญวาสี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส
วัดหนองป่าพงถัดจากพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) ด้วยนิสัยมักน้อย สันโดษ ถ่อมตน จึงเป็นท่ีเคารพของ

พุทธศาสนิกชนจำนวนมาก เมื่อครั้งหลวงพ่อชา ท่านป่วยหนัก ได้ขอให้พระอาจารย์เลี่ยม รับตำแหน่งเจ้า
อาวาสแทน ทำให้ท่านตอ้ งรกั ษาการแทนตั้งแตน่ ั้นเป็นตน้ มา

พระราชภาวนาวิกรม (เล่ียม ฐิตธมฺโม) นามเดิม เล่ียม จันทำ เกิดเม่ือวันที่ ๕ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๔๘๔ ที่บ้านโคกจาน ตำบลทุ่งไชย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ บิดาชื่อนายเพ็ง จนั ทำ มารดา
ชอ่ื นางเปง้ จนั ทำ มพี ่ีน้องทัง้ หมด ๖ คน โดยทา่ นเป็นคนท่ี ๔

พระอาจารย์เลี่ยม ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ โดยมีพระครูถาวรชัยเขต
เป็นพระอุปัชฌาย์ พระทิพย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระจันลา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และสามารถ

สอบไดน้ ักธรรมช้นั เอกในปี ๒๕๐๗
ในปี ๒๕๑๒ พระอาจารย์เล่ียม ได้ออกเดินทางเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อเรียนรู้ธรรม

จนได้มาพบสำนักของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง ซ่ึงเป็นวัดที่ร่มร่ืน สะอาดสะอ้าน

เสนาสนะมรี ะเบียบเรียบร้อย ดูแล้วเย็นใจ และได้กราบนมัสการหลวงพ่อชา ขอฝากตัวเป็นศษิ ย์ ในการนี้เอง
หลวงพ่อชา ท่านได้เมตตาเปลี่ยนบริขารทกุ อย่างให้หมด ระเบยี บปฏบิ ตั ิของหลวงพ่อชา ถือวา่ เข้มงวดมาก แต่

หลวงพ่อเลี่ยมก็ไมไ่ ด้ย่อทอ้ แตอ่ ย่างใด เพราะเคยฝึกมาตั้งแตส่ มยั อยู่ที่วัดเดิม ซึ่งถือว่าตรงกบั รปู แบบของตวั เอง
มากกว่าท่ีจะสร้างความยุ่งยากในฝึกฝน เพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของพระศาสนา ด้วยความพากเพียร แม้แต่ใน
วนั พระก็ถือ เนสัชชิก คือ การไม่นอนตลอดคืน ก็อยู่ได้อย่างสบาย จนจิตรูส้ ึกสว่างไสวและมีความสุขจากการ

ปฏบิ ตั ิธรรม
หลวงปู่สรวง เทวดาเดนิ ดนิ

หลวงปู่สรวงท่ีเรารู้จักกันในนามนี้ในปัจจุบันนั้น เม่ือก่อนน้ีชาวบ้านในท้องถิ่นอำเภอ ขุขันธ์
และอำเภอใกล้เคียง ที่มีภูมลิ ำเนาอย่แู ถบชายแดน ตามเชงิ เขาพนมดงรัก (พนมดองแร็ก) ซึง่ เป็นแนวเขตแดน
ระหว่าง กมั พชู ากับประเทศไทย มักจะเห็นท่านเป็นผู้ทรงศีลปฏิบตั ธิ รรม พักอาศัยอยตู่ ามกระทอ่ มในไรน่ าของ

ชาวบ้าน โคกและเวียน ไปทน่ี ั่นที่นี่บ้างนานๆ จะกลับมาเห็นในท่ีเดมิ อกี ในสายตาและความเข้าใจของชาวบ้าน
ในสมัยนั้นมองท่านในฐานะผู้มีคุณวิเศษ เหนือคนท่ัวไปและเรียกขานว่า “ลูกเอ็าวเบ๊าะ” หรือ “ลูกตาเบ๊าะ”

(เป็นภาษาเขมร หมายถึงพระดาบส ที่เป็นผู้รักษาศีลอยู่ตามถ้ำเขาลำเนาไพร) ในสมยั นั้นยังมีป่าพรรณไม้อุดม
สมบูรณ์และสัตว์ป่านานาพันธ์ุ ได้มีลูกศิษย์ติดตามหลวงปู่เดินธุดงค์ตามป่าเขาแถบชายแดนไทย และตลอด
จนถงึ ประเทศเขมร แต่ก็อยู่กับหลวงปูไ่ ดไ้ มน่ านจำต้องกลับบา้ น

๒๑

เนื่องจากทนความยากลำบากไม่ไหวหลวงปู่จึงเดนิ ธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ตามลำพังเป็นส่วนมาก
ไมม่ ีใครทราบถ่ินกำเนิดและอายุของหลวงปู่ท่ีแทจ้ ริง ได้รู้แต่ว่าหลวงปเู่ ปน็ ชาวเขมรต่ำ ได้เข้ามาในประเทศไทย
นานแล้วคนแก่คนเฒ่า ผู้สูงอายุท่ีเคยเห็นท่านเล่าบอกว่า ต้ังแต่เป็นเด็กๆเกิดมาก็เห็นท่านในสภาพลักษณะ
เหมือนท่ีเห็นในปัจจุบันถ้าผิดจากเดิมไปบ้างก็เล็กน้อยเท่านั้น ประกอบด้วยหลวงปู่เป็นคนพูดน้อยและไม่เคย
เล่าประวัติสว่ นตัวให้ใครฟัง จงึ ไม่มีใครท่ีจะสามารถรู้อายุและประวัตทิ ่ีแท้จรงิ ของท่านไดช้ าวบา้ นแถบน้ีพบเห็น
หลวงป่บู ่อยๆ ท่ีชายป่าบา้ นตะเคยี นราม วัดตะเคียนราม อำเภอภสู ิงห์ บา้ นลุมพุก บ้านโคกโพน ตำบลกนั ทรารมย์
อำเภอขุขนั ธ์ และหมู่บ้านอื่นๆเกือบทุกหมู่บ้านในบริเวณตลอดแนวชายแดน ท่านจะเดินทางไปมาอย่ใู นบรเิ วณ
แถบนี้โดยตลอด แต่กจ็ ะไมอ่ ยเู่ ป็นประจำในทีแ่ ห่งเดียวเปน็ เวลานานๆ บางทีหลวงปจู่ ะหายไปนานถึงสองสามปี
ถงึ จะกลบั มาใหมอ่ ีกครง้ั หนง่ึ โดยทีไ่ ม่มีใครรูว้ ่าหลวงปไู่ ปอยไู่ หนมา ในชว่ งหลังมานพี้ บหลวงปูจ่ ำอยูใ่ นกระทอ่ ม
ในนาบริเวณต้นโพธิ์บ้านขยอง วัดโคกแก้ว บ้านโคกเจริญ กระท่อมกลางนาระหว่างบ้านละลมกับบ้านจะบก
กระทอ่ มบ้านรุน (อำเภอบัวเชด) และบ้านอ่ืนๆอีกในทอ้ งถิน่ เดียวกนั น้ี

ในระยะหลงั นีไ้ ด้มีผูป้ วารณาเปน็ ลูกศิษย์อาสาขับรถให้หลวงปู่ ได้เดนิ ทางไปในทตี่ า่ งๆ ทำให้มี
ผูร้ จู้ กั หลวงปู่มากขึน้ ไปเกอื บทกุ จงั หวดั ในประเทศไทย ในแตล่ ะวนั จะมีผู้เดินเมื่อเสรจ็ แลว้ กใ็ ห้ลกู ศิษยห์ ามทา่ น
ออกมาจากกระท่อม และวางลงพื้นดินดา้ นทิศเหนอื อยู่ระหว่างกระท่อมกบั ต้นมะขาม โดยหลวงปู่หนั หน้าเข้า
กระท่อมขณะน้ันมีผนู้ ำน้ำด่ืมบรรจขุ วดมาถวาย ๒ ขวด หลวงปู่ได้เทน้ำรดตนเองจากศรี ษะลงมาจนเปียกโชก
ไปทั้งตัวคล้ายกับเป็นการสรงน้ำคร้ังสุดท้าย นายสัญชัยผู้ขับรถให้หลวงปู่น่ังเป็นประจำได้นำรถมาจอดใกล้ๆ
และช่วยกันหามหลวงปู่ข้ึนรถและขับตรงไปท่กี ระท่อมบ้านรุน อำเภอบวั เชด จงั หวดั สรุ ินทร์ โดยมีนายสุข หรือ
นายดุง (คนบ้านเจ็ก อำเภอขุขันธ์) ขับรถติดตามไปเพียงคนเดียว ก่อนจะถึงกระท่อมนายสัญชัยได้หยุดรถที่
หน้าบ้านนายน้อยเพื่อจะบอกให้นายน้อยตามไป แต่หลวงปู่ได้บอกให้นายสัญชัยขับรถไปที่กระท่อมโดยเร็ว
โดยบอกวา่ “เต็อวกะตวม เต็อวกะตวม กะตวม” พอถึงกระทอ่ มไดอ้ ุม้ หลวงปไู่ ปทแ่ี คร่ ในกระท่อมและชว่ ยกัน
ก่อกองไฟ เพ่ือให้เกิดความอบอุ่น และนายสขุ ได้อาสาขอออกไปขา้ งนอกเพอื่ จัดหาอาหารมาถวายหลวงปู่ และ
รับประทานกนั นายสุขได้ไปที่บ้านโคกชาด ตำบลไพรพัฒนา ไปพบนายจุกและนางเล็กซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่
เชน่ เดียวกันและได้บอกให้รบี ไปหาหลวงปู่ท่บี ้านรุน เพ่ือดูอาการป่วยของหลวงปู่ซึ่งมีอาการหนักกว่าทุกคราว
นางเลก็ ได้จัดหาอาหารให้กบั นายสุขสว่ นตัวเองกับสามีไดข้ บั รถตามไปทหี ลงั

พอมาถึงกระท่อมปรากฏว่านายสัญชัยขับรถออกไปข้างนอก พวกทอี่ ยู่ก็รีบหุงหาอาหารเพื่อ
จัดถวายหลวงปู่ โดยหวังวา่ หากหลวงปูไ่ ดฉ้ ันอาหารอาการกค็ งจะดีขึ้นบ้าง แตห่ ลังจากถวายอาหารแล้วหลวงปู่
ไม่ยอมฉันอาหารเลย แม้จะอ้อนวอนอยา่ งไรหลวงปู่ก็นิ่งเฉย นายสญั ชัยทอ่ี อกไปทำธุระขา้ งนอกได้กลับมาโดย
ขับรถตามนายน้อยท่ีนำของมาถวายหลวงปู่เหมือนกนั เมอื่ ไมส่ ามารถท่ีจะทำให้หลวงปู่ฉนั ได้ ทุกคนกพ็ จิ ารณา
หาวธิ ีวา่ จะช่วยหลวงปูไ่ ด้อยา่ งไร ในทีส่ ุดก็เห็นพ้องกันวา่ ใหร้ ีบช่วยกันแต่ง ขนั ธ์ห้า ขนั ธ์แปด มาขอขมาหลวงปู่
โดยด่วน ตามทเี่ คยได้กระทำมาและก็ไดผ้ ลมาหลายคร้ังแล้วซึ่งทำให้หลวงปู่หายป่วยได้ทุกคร้ัง และนายสญั ชัย
ยืนยันว่า ถ้าได้แต่งขันธ์ห้า ขันธ์แปด ขอขมาและหาแม่ชีมาร่วมสวดมนต์ถวายด้วยแล้วก็จะหายเป็นปกติ
ทุกคนเห็นชอบดว้ ยจงึ ใหน้ ายสัญชัยรีบดำเนินการโดยดว่ น นายสัญชัยได้ขบั รถไปทีบ่ า้ นขยงุ เพ่ือหาคนท่ีเคยแต่ง
ขันธ์ห้า ขันธ์แปด เม่ือนายสัญชัยออกไปแล้วลูกศิษย์ที่เหลืออยู่ซ่ึงมีผู้ใหญ่บ้านรุนและลูกบ้านอีกจำนวนหนึ่ง
รวมทั้งนายมีเจ้าของกระท่อมก็ได้พากันแต่งขันธ์ห้า ขันธ์แปดเฉพาะหน้าอย่างรีบด่วน เพื่อเป็นการบรรเทา
จนกวา่ นายสัญชัยจะได้พาคนท่ีแต่งขันธ์ห้า ขันธ์แปดมาทำพิธีอีกคร้ังหนึ่ง โดยนายน้อยไดอ้ าสาไปหาธูปเทียน
ในหมู่บ้าน โดยขับรถออกมาห่างจากกระทอ่ มประมาณ ๓๐๐ เมตร รถติดหล่มไม่สามารถขับรถออกไปได้ทัง้ ที่
เคยเป็นทางที่ใช้เป็นประจำ ด้วยความร้อนใจนายน้อยได้จอดรถล็อคประตูและขวางถนนทำให้รถคันอ่ืนไม่
สามารถเข้าออกได้ และได้อุ้มลูกเดินเข้าไปในหมู่บ้านในระหว่างนั้นเองนายสัญชัยได้ขับรถเข้ามาแต่ก็ไม่
สามารถผ่านเข้าไปได้เน่ืองจากมีรถนายน้อยติดหล่มขวางทางอยู่ จึงได้กลับเอารถมาจอดไว้ท่ีบ้านนายน้อย
ในระหว่างที่กำลังรอคอย นายน้อยออกไปซ้ือธูปเทียนนั้น ชาวบ้านรวมทั้งผู้ใหญ่บ้านได้พากันทยอยกลับจน

๒๒

เกือบจะหมดแล้ว และได้มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งพูดข้ึนมาว่าพวกเราน่าจะพาหลวงปู่ไปส่งที่โรงยาบาลจะเป็น
การดีที่สุด และแล้วพวกชาวบ้านพากันกลับไปจนหมด ซึ่งผิดจากทุกคร้ังที่เขาเหล่าน้ันจะอยู่กับหลวงปู่
ตลอดเวลาจะกลบั บ้านก็ต่อเมอ่ื หลวงปู่ไดเ้ ดินทางไปทอ่ี ื่นแล้ว

สุดท้ายก็ยังมีลูกศิษย์กับหลวงปู่ในกระท่อมเพียงแปดคนรวมท้ังเด็กท่ีเป็นลกู ของนายจุกนาง
เล็กด้วย ทกุ คนต่างหาวิธที ี่จะชว่ ยใหค้ วามอบอ่นุ แกห่ ลวงปู่ ซ่งึ ขณะนน้ั ได้พากันจบั ดตู ามร่างกายของหลวงปู่ จะ
เยน็ จัดตลอด บางคนก็ได้เอาหมอนไปอังไฟให้ร้อนแลว้ นำมาประคบตามร่างกายให้หลวงปู่บางคนก็ต้มน้ำร้อน
หลวงปู่ไดส้ ่ังให้ลูกศิษย์เอาผ้าชปุ น้ำอุ่นมาเชด็ นิว้ มือน้ิวเทา้ ทำความสะอาดและเช็ดทว่ั ทั้งรา่ งกายโดยย้ำวา่ ให้ทำ
ให้สะอาดทส่ี ุด บางแห่งตามน้ิวเท้าท่ีของหลวงปู่ท่ีลูกศิษย์เช็ดให้ไม่สะอาดพอ หลวงปู่กใ็ ช้นิ้วมือเกาถูอยา่ งแรง
จนสะอาด เม่ือทำความสะอาดร่างกายพอสมควรแล้ว หลวงปู่ได้เอ่ยออกเสียงอย่างแผ่วเบาออกมาเป็นภาษา
เขมรวา่ เนียงนาลาน (นางไหนละรถ) ซึง่ เสยี งที่เปลง่ ออกมานน้ั แผ่วเบามาก ทุกคนเขา้ ใจว่า เนยี ง นั้นหมายถึง
นางเล็กจึงได้พากันอุ้มหลวงปู่ไปขึ้นรถของนายจกุ นางเล็ก โดยผู้ทีอ่ ุ้มมนี ายจุก และนายต๋ี โดยนายสขุ เป็นผเู้ ปิด
ประตรู ถให้ พอนำหลวงป่ขู ึ้นน่ังบนรถโดยลกู ศิษยไ์ ด้ปรับเบาะเอนลงเพื่อใหห้ ลวงปเู่ อนกายได้สบายข้ึน ท่านได้
พยายามยื่นมอื มาดึงประตูรถปิดเอง ลูกศิษย์จึงชว่ ยปิดให้รถเลอ่ื นออกจากกระทอ่ มเพ่ือไปโรงพยาบาลบัวเชด
ซึง่ อยู่ไม่ไกลมากแต่รถออกไปไดป้ ระมาณ ๕๐ เมตร อาการป่วยของหลวงปู่ก็เริ่มหนักมากข้ึนทุกทจี นลูกศษิ ยท์ ่ี
นั่งอยู่ด้วยด้านหลังตกใจ และร้องข้ึนว่า หลวงปู่อาการหนักมากแล้ว และได้จอดรถคนที่อยู่รถคันหลังก็วิ่งลง
มาดู และกบ็ อกว่าอย่างไรก็จะต้องนำหลวงปู่สง่ โรงพยาบาลให้เร็วท่ีสุดเท่าที่จะเร็วได้ เม่ือรถว่งิ ออกมาอีกก็มา
ติดรถของนายน้อยที่ตดิ หลม่ ขวางทางอยู่ไม่สามารถออกไปได้ นายจกุ ไดร้ อ้ งตะโกนบอกใหน้ ายจันว่งิ ไปสำรวจ
ดูเส้นทางอ่ืน ว่าจะมีทางใดที่สามารถจะนำรถออกไปได้และเม่ือสำรวจดูโดยท่ัวแลว้ เห็นว่ามีทางออกเพียงทาง
เดียวก็คือต้องขับฝ่าทุ่งหญ้าออกไปหาถนน แต่ไม่น่าจะออกไปได้แต่ก็ตัดสินใจขับออกไป เหตุการณ์บนรถใน
ขณะน้ัน ในขณะที่กำลงั เลี้ยวรถเพ่อื ขับผ่านทุ่งหญ้าออกไปนั้นได้มีอาการบางอย่างที่เป็นสัญญาณแสดงใหเ้ ห็น
ว่าหลวงปูจ่ ะละสังขารอยา่ งแน่นอนให้คนทอี่ ยู่บนรถเหน็ ตา่ งคนกร็ ่ำไห้มองดูด้วยความอาลัยและสน้ิ หวัง หลวง
ปูเ่ ริ่มหายใจแผว่ ลงเร่ือยๆ ในที่สดุ ก็ได้ทอดมือท้ิงลงข้างกาย แลว้ จากไปด้วยความสงบ อยา่ งไรก็ตามลูกศษิ ย์ก็
ยังคงนำหลวงปู่ไปท่ีโรงพยาบาล เผ่ือว่าหมอจะสามารถช่วยให้หลวงปู่ฟ้ืนข้ึนมาได้ ในระหว่างทางไป
โรงพยาบาล นายสาด ชาวบ้านตาป่ิน อำเภอบัวเชด ก็ข่ีรถจักรยายนต์สวนทางมา นายจุกชะลอรถและตะโกน
บอกให้นายสาดตามไปที่โรงพยาบาลบัวเชด พอไปถึงโรงพยาบาล ท้ังนายแพทย์และพยาบาลไดร้ ีบนำหลวงปู่
เข้าห้องฉุกเฉินทำการตรวจโดยละเอียด และลงความเห็นว่าหลวงปู่ได้ส้ินลมไปแล้วไม่ต่ำกว่า ๓ ถึง ๔ ชั่วโมง
ซง่ึ ลกู ศิษยต์ ่างกย็ ืนยนั วา่ สนิ้ ลมไม่นา่ จะเกนิ ๑๐ นาทแี น่นอน เพราะระยะทางจากบ้านรนุ ไปโรงพยาบาลบัวเชด
ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร และก็ได้ขับรถด้วยความเร็วสูงด้วย ลูกศิษย์ไม่ให้ทางโรงพยาบาลฉีดยา หรือกระทำ
การอย่างใดอย่างหนงึ่ กบั ร่างของหลวงปู่ท้ังส้นิ เมื่อเห็นว่าไมส่ ามารถจะชว่ ยหลวงปูไ่ ดแ้ น่แล้ว ก็ไดพ้ ากนั นำร่าง
หลวงปูก่ ลับพอมาถงึ บ้านตาปิน่ ก็ได้แวะเอาจวี รเกา่ ของหลวงปทู่ ่ีเคยให้ไวก้ บั นายสาด เพือ่ นำมาครองให้หลวง
ปใู่ ห้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย และนายสาดก็ได้ขึ้นรถมาด้วยพอมาถึงบ้านรุนก็มีรถนายสัญชัยและนายน้อยจอด
รออยู่ ก็ได้แจ้งว่าหลวงปู่ได้มรณภาพแล้ว และได้พากันขับรถมุ่งหน้าจะไปบ้านละลม พอถึงบ้านไพรพัฒนา
นายจุกได้ขับรถแวะเข้าไปที่วัดบ้านไพรพัฒนา และได้บอกข่าวให้กับหลวงพ่อพุฒ วายาโม เจ้าอาวาสวัดไพร
พฒั นาให้ทราบ วา่ หลวงปู่สรวงได้ละสังขารแล้ว

๒๓

หลวงป่สู รวง หลวงปหู่ มุน ฐติ สีโล

หลวงป่หู มนุ ฐติ สีโล อมตะเถระ ๕ แผ่นดนิ แหง่ วัดบา้ นจาน

หลวงปู่หมุน ฐิตสโี ล เกิดในสกลุ ศรีสงคราม หรอื แก้วปักป่ิน ถอื กำเนดิ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๕
ปชี วด พ.ศ. ๒๔๓๗ ณ บา้ นจาน อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ บิดาชือ่ ดี มารดาช่ือ อ๊ัว มอี าชพี ทำไรท่ ำนา
เป็นเด็กยากจน แต่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ต่อมาบิดามารดาเห็นแววทางด้านพระพทุ ธศาสนา จึงให้บรรพชา
เป็นสามเณรเม่ืออายุ ๑๔ ปี และนำไปฝากกับพระอาจารย์สีดาเจ้าอาวาสวัดบ้านจาน ซึ่งเป็นพระท่ีเชี่ยวชาญ
ด้านกรรมฐานและมีวิชาอาคมท่ีเก่งมาก ในปี ๒๔๖๐ ขณะอายุได้ ๒๓ ปีได้เข้าอุปสมบทหมู่จำนวน
๙ รูป โดยหลวงปเู่ ป็นรูปท่ี ๙ โดยมโี ยมลุงของท่านเป็นเจา้ ภาพ โดยมีหลวงพ่อสีดา เปน็ พระอปุ ัชฌาย์ หลวงพ่อ
เพ็งเป็นพระอนุสาวนาจารยแ์ ละหลวงพ่อผุยเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับรับฉายาว่า ฐิตสีโล แปลว่า ผู้มีศีล
ตั้งม่ัน จากนั้นได้ศึกษาวิชาความรู้จากครูบาอาจารย์ต่างๆ ในแถบน้ันเป็นเวลา ๔ ปี ก่อนออกแสวงหาครูบา
อาจารยอ์ ื่นๆ เพอ่ื ศึกษาคนั ธธุระและวิปัสสนาธรุ ะในช้นั ที่สงู ๆ ขึ้นไป

ปี พ.ศ.๒๔๖๔ หลวงปหู่ มนุ เร่ิมออกศกึ ษาแสวงหาประสบการณ์โดยได้รำ่ เรยี นท้ังเวทย์วิทยา
และสมถกรรมฐานจากครูบาอาจารย์หลายสำนกั การเดนิ ทางในสมัยน้ันเป็นท่ลี ำบากยากเยน็ ต้องเดินเท้าเปล่า
ผจญภัยจากผีป่า หรือสัตว์ร้ายนานัปการ แต่หลวงปู่มิได้ย่อท้อ ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอาคมท่ี สำนักตักศิลา
แห่งบ้านจิกใหญ่ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัด อุบลราชธานี กระทั่งศึกษาคัมภีร์มหาพุทธาคม อันเป็นแม่บท
ของคัมภีร์ปถมัง คมั ภรี ์อิทธเิ จ คมั ภรี ์มหาราช คมั ภีร์ตรนี สิ ิงเห ซึง่ เปน็ พนื้ ฐานแหง่ อำนาจจิต โดยเฉพาะอย่างย่ิง
ตำราพชิ ัยสงคราม เช่น คัมภีร์นิติประกาศติ คมั ภีรธ์ นูรเวทวา่ ดว้ ยการแตง่ เครอ่ื งครอบมนตรใ์ นสงคราม เปน็ ตน้

ในช่วงปี ๒๔๗๕-๒๔๘๒ เมื่อหลวงปู่สำเร็จการศกึ ษาวิชาการต่างๆ ก็เก็บบริขารออกธดุ งค์ป่า
ผา่ นถิ่นทรุ กนั ดารในชนบทโดยเทา้ เปล่ามายังกรุงเทพ ฯ ในระยะแรกหลวงปู่เข้าพักท่ี วัดเทพธิดาราม เป็นการ
ช่วั คราว โดยมีครทู องอินทร์ เป็นครูสอนของวัดเทพธิดาราม เป็นผเู้ อ้อื เฟอ้ื จัดหาทพ่ี ำนกั ให้ ท่านได้ให้หลวงปู่อยู่
ที่วัดวัดอรณุ ราชวราราม พำนักอยู่กับพระพิมลธรรม (นาค) ศิษย์สายสมเด็จพระสังฆราชแพ โอกาสน้ีหลวงปู่
ได้รำ่ เรียนวิชาคัมภีรม์ ูลกัจจายน์สตู ร ซ่ึงเป็นหลักสูตรโบราณอันเก่าแก่ของคณะสงฆ์ไทยท่ีสืบทอดกนั มาหลาย
ช่ัวอายุคน เป็นตำราที่ละเอียดลึกซึ้ง แตกฉานพระบาลีว่าด้วยคัมภีร์อรรถกถายากย่ิงที่จะมีผู้เรียนได้สำเร็จ
ปจั จบุ นั วิชานไี้ ด้ยกเลิกไปแล้ว

หลวงปู่หมุนได้เข้าสอบวิชามูลกัจจายน์ นั้น ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๖ ซ่ึงการสอบในสมัยน้ันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธานฝ่ายฆราวาส และสมเด็จพระสังฆราช (แพ) เป็นประธานกรรมการฝ่ายสงฆ์ และ

๒๔

พระเถราจารย์เป็นผู้ทดสอบด้วย โดยมีการถามตอบแบบมุขปาฐะ (ปากเปล่า) ถ้าถามตอบบาลีผิดเกิน ๓ คำ
ให้ปรับเป็นตกทันที ด้วยความรู้ความสามารถท่ีแตกฉานในคัมภีร์หลวงปู่สามารถสอบได้เปรียญธรรมถึง
๕ ประโยคในคราวเดียวเทา่ นัน้ หลงั จากนั้นหลวงปู่ได้ใชว้ ิชาความรูอ้ ยา่ ง คุ้มค่า โดยได้เปน็ ครูสอนมลู กจั จายน์
อยู่ท่ีวดั หงส์รัตนาราม (ฝ่ังธนบรุ ี) เป็นเวลานานหลายปี มลี ูกศิษย์มากมาย นอกจากนี้ในช่วงหนึ่งหลวงปู่มาพัก
กับสมเด็จพระสังฆราชแพ ทว่ี ัดสทุ ัศนฯ์ และได้ศึกษาวชิ าบางอยา่ งกบั สมเดจ็ พระสังฆราชแพอกี ด้วย

จากนั้นกเ็ ก็บบรขิ ารเดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์ทองดี ท่ีมาจากอำเภอบึงกาฬ จงั หวัดหนองคาย
ธุดงค์ไปทางภาคเหนือเข้าเขตพม่าเป็นเวลา ๑ ปี จากน้ันก็เดินเท้าเปล่าลงภาคใต้ไปพำนักกับพระอาจารย์ทิม
วัดช้างไห้ เพ่อื ปฏบิ ัติกรรมฐานและแลกเปลี่ยนวิชาอาถรรพณ์เวทมนต์กบั พระอาจารย์ทิมอยู่ ประมาณปีกว่าๆ
กอ่ นธดุ งคเ์ ข้าเขตประเทศมาเลเซีย เพ่ือจะเรียนวิชากับพ่อท่านครน วัดบางแซะ ใชเ้ วลาธดุ งค์อยู่ถึง ๗ วัน แต่
ไม่พบจึงตัดสินใจกลับวัดช้างให้ ต่อจากนั้นก็ได้เรียนวิชาจากพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธ์ิ วัดสวนขัน จังหวัด
นครศรีธรรมราช โดยได้ของท่ีระลึกจากพ่อท่านคล้ายคือ ชานหมากเม็ดใหญ่เป็นที่ระลึก จากน้ันก็เดินธุดงค์
เร่ือยมาจนกลับสู่เขตอีสานอีกคร้ังและได้พบกับหลวงปู่สี ฉันทสิริ ในป่าแถบ จังหวัดหนองคาย และได้วชิ าลบ
ผงสจี ากหลวงปู่สี ซึ่งไดร้ ับสบื ทอดมาจากสมเดจ็ พุฒาจารย์โต วดั ระฆังโฆษิตาราม

ช่วงท่ีท่านธุดงค์แถบจังหวัดอุบลราชธานีได้พบกับหลวงปู่มั่น และขอเรียนข้อวัตรปฏิบัติใน
พระกรรมฐาน แต่ไม่ได้รว่ มคณะธุดงค์ เพราะท่านอยู่นิกายมหายาน หลวงปู่เคยเลา่ ประวัติในช่วงธดุ งค์ให้กับ
พระภิกษุทเ่ี ปน็ หลานของทา่ นวา่ เคยไดเ้ ปน็ ศษิ ยห์ ลวงป่มู น่ั อยู่พกั หน่ึง ในช่วงทหี่ ลวงปตู่ ้องการเจรญิ สมณธรรม
เป็นธรรมอันล้ำลกึ ยากยิ่งที่ผู้ทย่ี ังเข้าไมถ่ ึงจะล่วงรู้ถึงอารมณ์ของ วิปัสสนาน้ีได้ หลวงปู่หมนุ ไดอ้ ยู่ปรนนบิ ัติรับ
ใชพ้ ระอาจารย์ม่ันอย่รู ะยะหนึ่งแลว้ ก็แสวงหา ความวเิ วก เพ่อื ประพฤติปฏิบัตติ ่อไป จนกระท่ังหลวงปแู่ ตกฉาน
เชีย่ วชาญ คร้ังนัน้ หลวงปู่หมนุ ไดศ้ ึกษาธรรมจนท่ีสหธรรมมกิ ที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น รู้จักสนิทสนมกับหลวงปู่
ทุกองค์ เช่น หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เป็นต้น ในตอนท่ีหลวงปู่หมุนไปกราบนมัสการหลวงปู่ม่ัน ท่ามกลางศิษย์
สายกองทัพธรรม ในขณะสนทนาธรรมหลวงปู่มั่นได้ปรารภกับหลวงปู่หมุนวา่ "ท่านหมุน ทา่ นเกง่ พอตัวอยแู่ ล้ว
หากไม่เจอกันหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปริยัติ ปฏิบัติ และปฎิเวธ ให้สอบถามท่านแหวนได้ เพราะเขาเก่งมาก"
หลวงปู่ม่ันได้มอบของที่ระลึกให้หลวงปู่หมุน ๒ อย่าง คือ แผ่นจารอักขระใบลาน ม้วนเป็นลูกอมกลมๆ เขียน
เปน็ ภาษาขอมวา่ เย ธมมา เหตุปภวา ฯลฯ เปน็ ต้น และธนบัตรรัชกาลท่ี ๘ พร้อมลายเซ็นหลวงปู่มั่น ภายหลัง
หลวงปไู่ ด้มอบให้โยมแมท่ ่านไป ต่อมาหลวงปูม่ คี วามกงั ขาสงสยั ในกมั มฏั ฐานในเรือ่ งของ จตุธาตวุ ฏั ฐาน ซึ่งเป็น
เรอ่ื งของการปฏิบตั ิในธาตุท้ัง ๔ เป็นมูลฐานของอทิ ธปิ าฏิหาริยต์ ่างๆ จึงได้เดินทางไปกราบของความร้เู พ่มิ เติม
จากหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ก็ได้รับความกระจ่างจากนั้นก็ธุดงค์ตอ่ ไป ทา่ นยังได้ร่ำเรยี นวชิ าจากพระอาจารยส์ ิงห์
วัดป่าสาลวนั หลวงพอ่ จาด วัดบางกระเบา

บุคคลสำคญั ทางสังคมและวัฒนธรรม
นายบุญชง วีสมหมาย อดีตเลขาธกิ ารนายกรัฐมนตรี ในสมัยของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และ

อดตี สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรจังหวัดศรสี ะเกษ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร อดตี สมาชิกวุฒิสภา
นายบญุ ชง วีสมหมาย เกิดเม่อื วันท่ี ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ เปน็ บตุ รคนที่ ๕ ของนายเซง่ ซอย

กับนางบุญ วีสมหมาย มีพี่น้อง ๖ คน สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา จากโรงเรียนเทศบาลเมืองศรีสะเกษ
ระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย และระดับปริญญาตรี สาขาการจัดการ จากวิทยาลัยครู
สรุ นิ ทร์ สมรสกับทันตแพทย์หญิงกรองกาญจน์ วีสมหมาย อดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดศรีสะเกษ มบี ุตร - ธิดา
๕ คน นายบญุ ชง วสี มหมาย เสียชีวติ เมอ่ื วนั ที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ ดว้ ยอายุ ๗๒ ปี

นายบุญชง วีสมหมาย เปน็ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร จงั หวัดศรสี ะเกษ ในปีพ.ศ. ๒๕๑๙ เป็น
สมยั แรก ในสงั กัดพรรคกิจสังคม เปน็ สมาชิกวฒุ สิ ภา ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ จนกระท่ังได้รบั ตำแหน่งรองเลขาธิการ

๒๕

นายกรัฐมนตรฝี า่ ยการเมอื ง ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ และเป็นเลขาธกิ ารนายกรัฐมนตรี ในปีพ.ศ. ๒๕๓๙ ต่อมาจึงได้
ย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย

ในระหว่างท่ีดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร นายบุญชง วีสมหมาย ได้รบั การแต่งตั้ง
เป็นกรรมาธิการวิสามญั พิจารณารา่ งพระราชบญั ญัติสำคัญหลายฉบบั อาทิ พระราชบญั ญัติระเบียบการปฏิบัติ
ราชการของทบวงมหาวิทยาลัย พระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแหง่ ประเทศไทย พระราชบัญญัตมิ หาวิทยาลัย
มหาสารคาม พระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยทักษิณ พระราชบัญญัติสถาบัน
เทคโนโลยีปทุมวัน พระราชบัญญัตสิ ถาบนั บณั ฑติ พฒั นศลิ ป์ และพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาติ

นายบุญชง วีสมหมาย เป็นผู้ท่ีมีบทบาทในการผลักดันให้มีการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาใน
จังหวัดศรีสะเกษ โดยริเริ่มขอใช้พื้นท่ีจากผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เม่ือปีพ.ศ. ๒๕๓๗ และได้เร่ิมขยาย
วทิ ยาเขตจากมหาวิทยาลยั ราชภฏั สุรนิ ทร์ และรับนักศกึ ษาเป็นคร้งั แรกในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
ศรีสะเกษ ได้ดำเนินการจัดสร้างอนุสาวรีย์นายบุญชง วีสมหมาย เพ่ือเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงนายบุญชง ผู้ริเริ่ม
กอ่ ตั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ โดยเรมิ่ ต้นสรา้ งเมือ่ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕

นายบญุ ชง วสี มหมาย นายอสิ ระ หลาวทอง

นายอิสระ หลาวทอง เกิดเมื่อวันท่ี ๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๘ ท่ีอำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัด

ศรสี ะเกษ ได้เสยี ชีวิตลงเมื่อเดอื นมีนาคม ๒๕๕๑ รวมอายุ ๖๓ ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรยี น

รัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ระดับมธั ยมศึกษาจากโรงเรียนกำแพง อำเภออุทุมพรพสิ ัย จังหวัดศรีสะเกษ ปี ๒๕๑๒

เขา้ ศกึ ษาดา้ นศิลปะที่โรงเรยี นเพาะช่างใน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ได้รบั ปรญิ ญาศิลปศาสตรบณั ฑิตกิตตมิ ศักดิ์ สาขา

จติ รกรรม สถาบันราชภฏั สุรนิ ทร์
ผลงานท่ีสำคัญ ได้แก่ การกำกับศิลป์ภาพยนตร์ เร่ือง ครูบ้านนอก (ภาพยนตร์ได้รับรางวัล

ภาพยนตร์ดีเด่นจากเมืองทัชเคนท์ รัสเซีย) และเขียนภาพประวัติศาสตร์วีรกรรมทหาร ติดต้งั ท่ีกองบัญชาการ
ทหารบกเขียนภาพวถิ ชี วี ติ ชนบทอสี าน เพื่อสะท้อนให้เห็นชีวติ ความเปน็ อย่ขู องชาวอสี าน และได้นำผลงานรว่ ม
แสดงงานศิลปะเพ่ือการกุศลหลายแห่ง อาทิ ปี ๒๕๓๕ ร่วมงานศิลปกรรมกลุ่มจางวาง ณ โรงแรมเพชรเกษม
จังหวัดสุรินทร์ ปี ๒๕๓๖ ร่วมงานศิลปกรรมร่วมสมัย รวมใจศิลปินในวโรกาสปิยมหาราชรำลึก ท่ีอิมพีเรียล
ควีนสปารค์ ปี ๒๕๓๗ ร่วมแสดงงานจติ รกรรมบัวหลวง คร้ังที่ ๑๘ ปี ๒๕๓๘ ร่วมแสดงงาน ปี โอ ไอ แฟร์ ที่
โรงแรมรอยัลพลาซ่าพทั ยา ปี ๒๕๓๙ ร่วมแสดงผลงานมหกรรมศิลปะเฉลมิ พระเกียรติกาญจนาภิเษก ฉลองสริ ิ
ราชสมบตั ิครบ ๕๐ ปี ท่ีซคี อนสแควร์ ร่วมแสดงงานนิทรรศการศิลปกรรมเทิกพระเกียรติ สมเด็จพระพีน่ างเจ้า
พระบรมราชนิ ีนาถ สภากาชาดไทย ณ โรงแรมอิมพเี รียลเกียรติประวตั ิ ไดร้ ับรางวัลชนะเลิศ ผลงานดีเด่นทาง
วัฒนธรรม เขตการศึกษา ๑๑ สาขาจิตรกรรมของสภาวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ กรมวิชการกระทรวง

๒๖

ศึกษาธกิ ารไดน้ ำงานศิลปะลงตีพิมพ์ประกอบการเรยี นการสอนในหนังสอื ศลิ ปศึกษา ศ.๒๐๓ - ศ.๒๐๔ ศิลปะ
กับชีวิต เล่ม ๓ - ๔ และหนงั สือ “ประวัตศิ าสตร์ วฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ ”

นายอิสระ หลาวทอง เป็นศิลปินด้านจิตรกรรมเหมือนจริงแนวจินตนิยม โดยได้สร้างผลงาน
อย่างต่อเน่ืองมากกว่า ๓๐ ปี จึงมีผลงานมากมาย ผลงานส่วนใหญ่สะท้อนความงามของวิถีชนบท สื่อความ
เอ้ืออาทร ความเลื่อมล้ำทางสังคม จึงนับว่าท่านได้สร้างผลงานอันล้ำค่าฝากไว้เป็นมรดกต่อวงการศิลปกรรม
ร่วมสมัยและสังคมอีสาน นายอิสระ หลาวงทอง ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวง
วฒั นธรรม ประจำปี ๒๕๕๐ ผู้มีผลงานดีเด่น สาขาทัศนศิลป์ ด้านจิตรกรรม และได้รบั การยกย่องเชิดชูเกียรติ
ให้เปน็ ศิลปินมรดกอีสาน สาขาทศั นศิลป์ (ประเภทจติ รกรรมร่วมสมยั ) ประจำปี ๒๕๕๑ จากสำนกั วฒั นธรรม
มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น

ร้อยตำรวจตรีวิชัย สุริยุทธ หรือท่ีรู้จักกันในนาม ดาบวิชัย เป็นท่ีรู้จักกันในสังคมไทย จาก
การท่ีเขาเป็นผู้ปลูกต้นไม้มากกว่าสองล้านต้นในอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ จนสามารถทำให้อำเภอ
ปรางคก์ ู่ อำเภอท่เี คยจัดว่าแหง้ แลง้ ที่สุดแหง่ หนึ่ง ปัจจบุ นั เป็นพืน้ ที่ๆอุดมสมบูรณ์

นายวิชัย สุริยุทธ เกิดเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ที่อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัด
ศรีสะเกษ เป็นบุตรคนที่สาม ในจำนวนท้ังหมดหกคน บิดามารดามีอาชีพชาวนา ฐานะทางบ้านจึงยากจน
ขณะทเี่ รยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๒ มารดาก็เสียชวี ิต บิดาเขาจึงต้องทำนาคนเดยี ว และเขาจึงต้องรับจ้างทำงาน
สารพัด ไมว่ า่ จะเปน็ กรรมกรก่อสร้าง จบั กงั กระทั่งได้ศกึ ษาตอ่ ท่ีโรงเรียนศรสี ะเกษวิทยาลัย

หลังจบโรงเรียนพลตำรวจ ๓ จังหวัดนครราชสีมา ในปีพ.ศ. ๒๕๑๑ ก็ได้รับการบรรจุเป็น
ขา้ ราชการตำรวจ ประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองศรีสะเกษ ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๑๓ ย้ายมาประจำสถานี
ตำรวจภูธรอำเภอปรางค์กู่ จนกระทั่งเกษียณอายุราชการ ในปีพ.ศ. ๒๕๔๙ ขณะดำรงตำแหน่งผู้บงั คบั หมู่งาน
ป้องกันปราบปราม สถานตี ำรวจภูธรอำเภอปรางค์กู่ พ.ศ. ๒๕๔๘ ดาบตำรวจวชิ ัย สุรยิ ุทธ ได้รับพระราชทาน
ยศเป็นกรณีพเิ ศษ เปน็ "ร้อยตำรวจตรี" จากการอทุ ศิ ตนต่อประเทศชาติ

พ.ศ. ๒๕๓๐ จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย อำเภอปรางค์กู่เป็นอำเภอท่ียากจนที่สุดใน
จงั หวัดศรีสะเกษ และจังหวัดศรสี ะเกษเป็นจังหวัดที่ยากจนที่สุดในประเทศไทย มีการปล้นชิงลักขโมยเป็นคดี
ความมากมาย ดาบวิชัยในฐานะผู้เติบโตมาในพื้นที่และเจ้าพนักงานสอบสวนรับรู้ถึงปัญหามาตลอด จึงเกิด
ความคดิ ที่จะพัฒนาความเปน็ อยขู่ องชาวบา้ นในพ้ืนที่ใหด้ ขี น้ึ จากความคดิ ของเขา ทำใหเ้ ขาตดั สินใจปลูกตน้ ไม้
เน่อื งจากเห็นว่าจะผลทจ่ี ะตามมาจะเปน็ ผลทยี่ ่งั ยืน เป็นประโยชนไ์ ปถึงคนรุ่นลกู รุ่นหลาน

พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นตน้ มา ทุกเช้าและหลังเลิกงานของวัน ดาบวชิ ัยจะขับจักรยานยนต์ ตระเวน
ปลูกต้นไม้ไปตามพื้นที่ต่างๆ ในอำเภอปรางค์กู่ โดยในระยะแรก ในสายตาชาวบ้าน เขาถูกมองว่าเป็นคนบ้า
แม้วา่ จะถกู สงั คมมองไปในทางเช่นนน้ั เขากย็ ังคงปลูกต้นไม้อยู่เรอ่ื ยไป

พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นต้นมาสังคมเร่มิ เห็นผลจากการปลูกต้นไม้ของเขา เกดิ โครงการปลูกตน้ ไมใ้ น
ท่สี าธารณะเพื่อส่วนรวมเกิดขึ้น ได้แก่ รณรงคป์ ลูกต้นยางนา เพือ่ เอาไว้สร้างบ้านเรือน รณรงค์ปลกู ต้นตาล ซึ่ง
เป็นพืชสารพัดประโยชน์ รณรงค์ปลกู ต้นคูน ต้นไม้ประจำภาคอีสานและประจำชาติไทย และ รณรงคใ์ ห้เปลี่ยน
การทำนาปีเป็นไร่นาสวนผสม จนอำเภอปรางค์กู่กลายเป็นอำเภอท่ีอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งต้นไม้ที่เขาปลูกนั้น
สามารถสรา้ งอาชีพให้กับชาวบา้ นในอำเภอได้

พ.ศ. ๒๕๔๓ ประชาคมอำเภอปรางค์กู่ท้ัง ๑๐ ตำบล ได้พร้อมใจกันลงมติให้ใช้ ๔ โครงการ
รณรงค์ดังกลา่ วเป็นคำขวัญของ อำเภอปรางค์กู่ ท่ีว่า “ปรางค์กู่อยู่ในป่ายางกลางดงตาล บานสะพรั่งดอกคูน
บรบิ รู ณ์ไรน่ าสวนผสม”

๒๗

ร้อยตำรวจตรวี ชิ ยั สรุ ิยุทธ เรือเอกหญิงวนั ดี คำเอี่ยม

บคุ คลสำคัญทางกฬี าและสขุ ภาพ

เรือเอกหญิงวันดี คำเอยี่ ม เป็นนกั กีฬายกน้ำหนักหญิง ทีมชาติไทย สังกัดสมาคมยกน้ำหนัก
แห่งประเทศไทย เป็นชาวอำเภอราษีไศล จังหวัดศรสี ะเกษ มีผลงานสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดศรีสะเกษ และ
ประเทศไทย ด้วยรางวัลเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง จากการเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้ารว่ ม

การแขง่ ขนั กีฬายกน้ำหนักในระดบั นานาชาตหิ ลายรายการ
วันดี คำเอ่ียม เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ท่ีอำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ

ในครอบครัวชาวชนบทที่ยากจน เป็นบุตรคนที่ ๒ ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดจำนวน ๓ คน ซ่ึงเป็นบุตรของ
นางราตรี คำเอี่ยม กับนายเสวียน คำเอี่ยม เริ่มต้นชีวิตนักกีฬาเมื่ออายุ ๑๓ ปี ด้วยการเป็นนักกรีฑาให้กับ
โรงเรียน ขณะกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สามารถคว้ารางวัลเหรียญทอง จากการแข่งขัน

กรีฑาระดับจังหวัดหลายรายการในการแข่งขนั วิง่ ระยะสนั้ หลังจากนั้น เมื่ออายุ ๑๗ ปี ระหวา่ งทีก่ ำลังศกึ ษาใน
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้เริ่มผันตัวเองจากกีฬากรีฑามาสู่กีฬายกน้ำหนักโดยการแนะนำของอาจารย์

ประสงค์ สุรพล ผู้ฝกึ สอนกีฬาประจำโรงเรียนสตรีสิริเกศ จังหวดั ศรีสะเกษ ซึ่งเหน็ วา่ ลักษณะทางกายภาพและ
โครงสรา้ งทางสรีระของเธอเหมาะสมที่จะฝกึ ฝนและพัฒนาไปสกู่ ารเป็นนกั ยกน้ำหนักท่ีประสบความสำเร็จได้
ปัจจุบันวันดี คำเอี่ยม รับราชการทหาร และเป็นผู้ฝึกสอนยกน้ำหนักที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ จังหวัด

สรุ าษฎรธ์ านี
นายวิศักด์ิศิลป์ วังเอก หรือศรีสะเกษ ศ.รุ่งวิสัย หรือ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมช่ัน เป็น

อดีตแชมป์โลกชาวไทยในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวท (๑๑๕ ปอนด์) ของสภามวยโลก (WBC) ๒ สมัย ในกลางปี
พ.ศ. ๒๕๖๐ เวบ็ ไซต์บ็อกเรกดอตคอมได้ยกให้เป็นนักมวยชาวเอเชียอันดับ ๑ และเป็นนักมวยอันดบั ๕ ของโลก
เมอื่ เทยี บกนั รนุ่ ตอ่ ร่นุ อกี ท้ังยงั ได้รับการยอมรับจากเดอะริงใหเ้ ปน็ แชมป์โลกในรุ่นเดียวกัน

ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น เกิดเมื่อวันท่ี ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ที่ตำบลแต้ อำเภอ
อุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ในครอบครัวนักมวย ที่มีปู่ พ่อ และอา ล้วนแต่เป็นนักมวยท้ังส้ิน โดยเป็นลูก

ชายคนโตในจำนวนลูกชายท้ังหมด ๓ คน ของนายเจียมศักด์ิ และนางหนูรัตน์ วังเอก ซึง่ ลูกๆ ทุกคนก็ล้วนแต่
เป็นนักมวยทั้งหมด ศรีสะเกษจบการศึกษาเทียบเท่าระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ จากการศึกษานอก
โรงเรยี น (กศน.) ปจั จุบันกำลังศึกษาระดับปรญิ ญาตรีท่ีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา และได้รับ

บรรจุเขา้ เป็นข้าราชการตำรวจ สังกัดตำรวจภูธรจงั หวัดศรีสะเกษ ในอัตราชัน้ ยศสิบตำรวจตรี (ส.ตำบลต)
ศรีสะเกษเคยชกมวยไทยมาก่อนตั้งแต่อายุได้ ๑๕ ปี ในละแวกบ้าน ใช้ชื่อว่า "ซูเปอร์เล็ก

ศิษย์ประเทือง" ได้ค่าตัวคร้ังแรก ๑,๐๐๐ บาท แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก จากน้ันเม่ือตัดสินใจมุ่งหน้า

๒๘

เดินทางเข้ามาแสวงโชคที่กรุงเทพมหานคร ก็ได้ใช้ชื่อว่า "วรวุฒิ ว.ป.ศรีสะเกษ" และ "วรวุฒิ ศิษย์ทรายทอง"
ในสังกัดศิษย์ทรายทอง ก่อนจะหันมาชกมวยสากลอาชีพในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ด้วยการเดินทางไปชกที่ประเทศ
ญ่ีปุ่น โดยพบกับ อะกิระ ยะเอะงะชิ นักมวยเจ้าถิ่น ซ่ึงศรีสะเกษเป็นฝ่ายแพ้น็อกไปในยกที่ ๓ จากกำหนด
ทงั้ หมด ๘ ยก

จากนน้ั ศรีสะเกษไดเ้ ขา้ สสู่ ังกดั นครหลวงโปรโมชน่ั ของสรุ ชาติ พสิ ฐิ วุฒนิ ันท์ โดยมผี สู้ นับสนุน
หลัก คือ ศรีสุข รุ่งวิสัย สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จังหวัดศรีสะเกษ จึงได้รับการสร้างสรรค์อย่างแท้จริง โดยได้
แชมป์ในรุ่นซเู ปอรฟ์ ลายเวท ของสภามวยโลกเอเชยี (WBC ASIA) มาก่อน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จากนน้ั จึงปอ้ งกัน
ตำแหน่งไว้ได้ทั้งหมด ๓ คร้ัง สลับกับการชกอุ่นเครื่องธรรมดา ทำสถิติชนะน็อกรวด ๑๗ ครั้ง และได้ครอง
แชมป์ WBC เอเชียร่นุ ซเู ปอร์ฟลายเวทเมอื่ พ.ศ. ๒๕๕๔

จนกระท่ัง สุริยัน ศ.รุ่งวิสัย นักมวยในสังกัดนครหลวงโปรโมชั่น ได้เสียแชมป์โลกในรุ่น
ซเู ปอรฟ์ ลายเวท ของสภามวยโลก ให้กบั โยตะ ซะโต นกั มวยชาวญ่ีปุ่นถึงถนิ่ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ทาง
ตน้ สังกัดจงึ ได้หมายม่นั ให้ศรสี ะเกษขน้ึ ชงิ แชมปโ์ ลกในรุ่นนีแ้ ทนดว้ ยสญั ญาท่ีมไี ว้ผูกพันกับทางซะโต จึงทำใหซ้ ะ
โตหลกี เลีย่ งไมไ่ ด้ที่มาเดนิ ทางมาปอ้ งกนั ตำแหน่งถึงในประเทศไทยเมือ่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖

ศรสี ะเกษ ศ.รงุ่ วิสยั สามารถเอาชนะทเี คโอ โยตะ ซะโต ไปไดใ้ นต้นยกท่ี ๘ เม่ือกรรมการห้าม
บนเวทีชาวอติ าเลียนได้ยตุ ิการชก ด้วยเวลา ๑.๒๓ นาที หลังจากยกที่ ๗ ในชว่ งกลางยกถึงปลายยกเป็นฝ่ายไล่
ชกซะโตอยู่ข้างเดียว ทำใหศ้ รีสะเกษไดเ้ ป็นแชมปโ์ ลกไปในทันที ซ่งึ ก่อนหน้านัน้ การชกก็เปน็ ไปในลักษณะน้อี ยู่
แล้ว โดยที่ซะโตนานๆ ที จึงจะออกหมัดสวนมาคร้ังหนึ่ง ซ่ึงก่อนการชกน้ันทางศรีสะเกษได้วางแผนการชกให้
ศรีสะเกษเปน็ ฝา่ ยเดินบุกอดั ลำตวั ของซะโต มาตงั้ แต่ยกต้นๆ

ศรีสะเกษป้องกันตำแหน่งไวไ้ ด้ ๑ คร้ัง กอ่ นจะมาป้องกนั ตำแหนง่ กับ คารล์ อส คูเอดราส ผล
ปรากฏว่า ศรีสะเกษเป็นฝ่ายแพค้ ะแนนในต้นยกที่ ๘ เม่ือศีรษะของท้ังคู่ชนกนั และทำให้คูเอดราสมีแผลแตก
ฉกรรจ์เหนือค้ิวซ้ายจนไม่สามารถชกต่อได้ ทำให้มีการรวมคะแนนกัน ปรากฏวา่ ศรสี ะเกษเป็นฝ่ายแพ้คะแนน
ไปเป็นเอกฉนั ท์ ๗๘ - ๗๓ ๗๗ - ๗๔ และ ๗๗ - ๗๕ แม้ในยกต้นๆ ศรีสะเกษจะเปน็ ฝา่ ยโดนหมดั ของคเู อดราส
เขา้ ไปมาก แต่ในยกท่ี ๖ และ ๗ ศรีสะเกษเป็นฝ่ายเดินไล่อัดลำตัวคูเอดราสจนออกอาการชัดเจนเกอื บจะทิ้งตัว
นอนลงบนพน้ื เวที และสามารถจะพลกิ เกมมาเป็นฝา่ ยไดเ้ ปรียบอยแู่ ล้ว

๓ ปีต่อมา ศรีสะเกษจึงได้ข้ึนชิงแชมป์โลกคร้ังที่ ๒ ในรุ่นเดิมและสถาบันเดิม กับโรมัน
กอนซาเลซ แชมป์โลกชาวนิคารากัว ที่เมดิสันสแควร์การ์เดน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในวันที่ ๑๙ มีนาคม
พ.ศ. ๒๕๖๐ ในฐานะรองแชมป์โลกอันดับหนึ่ง ซึ่งการชกครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของวงการมวยโลก
ของไทย เนื่องจากกอนซาเลซเป็นแชมป์โลกมาแล้วถึง ๔ รุ่น และเป็นนักมวยที่เก่งท่ีสุดในโลกเม่ือเทียบกันรุ่น
ต่อรุ่น เป็นนักมวยท่ีไม่เคยแพ้หรือเสมอใครอีกด้วย อีกท้ังยังทำให้ศรีสะเกษได้เป็นนักมวยไทยคนแรกด้วยที่
ชนะในการข้ึนชกทีน่ ่ี ก่อนการชกได้มอี ัตราต่อรองออกมาให้ศรีสะเกษเป็นรองถึง ๑๔ - ๑ และมองว่าศรีสะเกษ
ไม่น่าจะสู้กับกอนซาเลซได้เกิน ๕ ยก แต่ผลการชกปรากฏว่าศรสี ะเกษสามารถเอาชนะกอนซาเลซไปไดอ้ ย่าง
ไม่เอกฉันท์ด้วยคะแนน ๑๑๓ - ๑๑๓ กับ ๑๑๔ - ๑๑๒ ท้ัง ๒ เสียง ซ่ึงการชกศรีสะเกษเป็นฝ่ายได้นับ ๘
กอนซาเลซในยกแรกด้วยหมัดขวาเข้าที่สีข้าง และในยกท่ี ๓ กอนซาเลซเกิดแผลแตกที่หางค้ิวขวา เลือดไหล
นองหน้า กรรมการห้ามบนเวทีได้ตัดคะแนนศรีสะเกษในยกท่ี ๖ ในเรื่องการใช้ศีรษะชน ซ่ึงก่อนหน้านั้นได้
เตือนมาแล้ว ๒ ครั้ง

และในการป้องกันตำแหน่งสมยั ท่ี ๒ คร้ังแรก กับคูป่ รับเก่า โรมัน กอนซาเลซ ที่สตับฮับเซน
เตอร์ คาร์สัน แคลิฟอร์เนีย ศรสี ะเกษซ่ึงเตรียมตัวในการชกมาดีกว่าครั้งแรก โดยมีเวลาซ้อมนานถึง ๔ เดือน
เปน็ ฝา่ ยชนะทเี คโอยก ๔ ไปอย่างสิน้ สงสยั โดยสามารถชกกอนซาเลซลงไปให้กรรมการนับ ๘ ไดก้ อ่ นในช่วงต้น
ยกด้วยหมดั ฮุกขวา จากน้ันจงึ เข้าแลกหมัดและนอ็ กอย่างเด็ดขาดด้วยหมัดฮุกขวา คราวนี้เมือ่ กอนซาเลซล้มลง
นอนแผ่กับพื้นเวที กรรมการโบกมือยุติการชกลงทันทีโดยไม่มีการนับเลย และหลังจากการชกคร้ังนี้เสร็จ

๒๙
เวบ็ ไซต์บอ็ กเรกดอตคอมได้ยกให้เป็นนักมวยชาวเอเชียอันดบั ๑ และเปน็ นักมวยอนั ดับ ๕ ของโลก เม่อื เทียบ
กันรุ่นต่อรุ่น ซ่ึงเหนือกว่าแมนน่ี ปาเกียว ซูเปอร์สตาร์มวยโลกชาวฟิลิปปินส์ ซ่ึงเป็นแชมป์โลก ๘ รุ่นคนแรก
ของโลก

ในการป้องกันตำแหน่งคร้ังท่ี ๓ ศรีสะเกษสามารถเอาชนะ ฮวน ฟรานซิสโก เอสตราดา ผู้ท้า
ชิงอันดับ ๑ ในการชกภาคบังคับ ซึ่งเป็นอดีตแชมป์โลกชาวเม็กซิโกไปได้ ด้วยคะแนนอย่างไม่เป็นเอกฉันท์
๑๑๔ - ๑๑๔ ๑๑๕ - ๑๑๓ ๑๑๗ - ๑๑๑ ที่เดอะฟอรัม อิงเกลว้ดู แคลิฟอร์เนีย และได้รับการสถาปนาใหเ้ ป็น
แชมปโ์ ลกของเดอะรงิ อีกด้วย

นายวิศักดิ์ศิลป์ วังเอก หรือศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชน่ั

ข้อมลู ดา้ นกายภาพ และการปกครอง

ทต่ี งั้ และอาณาเขต
จังหวัดศรสี ะเกษ ต้ังอยทู่ างตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ของประเทศไทย โดยตั้งอยู่

ระหว่างเส้นรุ้งท่ี ๑๔ - ๑๕ องศาเหนือ และเส้นแวงที่ ๑๐๔ - ๑๐๕ องศาตะวันออก อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล
ประมาณ ๖๖๒.๖ ฟุต อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถไฟประมาณ ๕๑๕ กิโลเมตร และทางรถยนต์
ประมาณ ๕๗๑ กิโลเมตร มีเนอ้ื ท่ีทง้ั สนิ้ ๘,๘๓๙.๙๗๖ ตารางกิโลเมตร หรือ ๕,๕๒๔,๙๘๕ ไร่ มีขนาดใหญ่เป็น
ลำดับท่ี ๒๑ ของประเทศ โดยอำเภอที่มีพ้ืนที่มากท่ีสุด คือ อำเภอกันทรลักษ์ มีพื้นที่ ๑,๒๓๖.๖๐ ตาราง
กิโลเมตร หรือคิดเปน็ ร้อยละ ๑๔ ของพื้นที่จังหวัด รองลงมาคอื อำเภอภูสิงห์ มีพ้ืนที่ ๙๔๐.๑ ตารางกโิ ลเมตร
หรือคดิ เป็นรอ้ ยละ ๑๐.๖๓ ของพน้ื ทจ่ี ังหวัด และอำเภอทมี่ ีพน้ื ท่ีน้อยทสี่ ุด คอื อำเภอบงึ บรู พ์ มีพืน้ ที่ ๔๙.๕๘๒
ตารางกิโลเมตร หรือคดิ เปน็ รอ้ ยละ ๐.๕๖ ของพน้ื ทจ่ี งั หวัด มอี าณาเขต ตดิ ต่อกบั จังหวัดใกล้เคียง ดงั น้ี

ทิศเหนอื ติดกบั จังหวัดรอ้ ยเอด็ และจงั หวดั ยโสธร
ทิศใต้ ตดิ กับราชอาณาจกั รกมั พชู า โดยมเี ทือกเขาดงรกั เปน็ แนวก้นั เขตแดน
ทศิ ตะวันออก ตดิ กบั จังหวัดอบุ ลราชธานี
ทิศตะวันตก ติดกับจงั หวดั สุรินทร์
ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ และลักษณะภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ พ้ืนท่ีส่วนใหญ่เป็นท่ีราบสูงสลับกับทุ่งนา มีภูเขาและป่าไม้อยู่ทางตอนใต้ และ
พ้นื ท่ีจะค่อยๆ ลาดลงสู่ทิศเหนือและทิศตะวันตก ซึ่งเต็มไปด้วย ห้วย หนอง คลอง บึงต่างๆ ตลอดระยะทาง ท่ี

๓๐

ลำน้ำมลู ไหลผ่าน สภาพดินร้อยละ ๖๐ เป็นลกั ษณะดินรว่ นปนทรายท่ีมกี ารระบายน้ำดีแต่มีความอุดมสมบูรณ์
ตำ่ มีเพียงร้อยละ ๔.๕ ของพื้นท่ีเทา่ น้นั ทมี่ คี วามอดุ มสมบูรณ์ปานกลางถึงค่อนข้างสูง ส่วนท่ีเหลอื อีกประมาณ
ร้อยละ ๓๕.๕ เป็นดินภูเขาและเทือกเขา ซึ่งสามารถทำการเกษตรได้บางส่วน มียอดเขาสูงสุดคือ
ยอดเขาพนมตาเมอื น ในเขตอำเภอขุนหาญ สงู จากระดับน้ำทะเลประมาณ ๖๗๓ เมตร มี และมีแนวชายแดน
ติดกับราชอาณาจักรกัมพูชา ประมาณ ๑๒๗ กิโลเมตร (อำเภอกันทรลักษ์ ๗๖ กิโลเมตร อำเภอขุนหาญ ๑๘
กโิ ลเมตร และอำเภอภูสงิ ห์ ๓๓ กิโลเมตร)

ภมู ิอากาศ ลักษณะภมู ิอากาศโดยทว่ั ไปของจงั หวัดศรสี ะเกษ มีอากาศรอ้ นจดั ในฤดรู ้อนและ
คอ่ นข้างหนาวจดั ในฤดูหนาว ส่วนฤดูฝนจะมีฝนตกหนักในเดือนกันยายน โดยมักจะตกหนักในพ้ืนทต่ี อนกลาง
และตอนใต้ของจังหวัด ส่วนพ้ืนที่ทางตอนเหนือของจังหวัดจะมีปริมารฝนตกน้อย และไม่ค่อยสม่ำเสมอ
โดยเฉลี่ยแล้วจะมฝี นตก ๑๐๐ วัน ปริมาณฝนเฉลี่ย ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ มลิ ลิเมตรต่อปี อุณหภูมิต่ำสดุ ประมาณ
๑๐ องศาเซลเซียส สูงสุดประมาณ ๔๐ องศาเซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ ๒๖ - ๒๘ องศาเซลเซียส
ความช้ืนสมั พันธเ์ ฉลยี่ รอ้ ยละ ๖๖ - ๗๓
ทรพั ยากรธรรมชาติ แหล่งนำ้ และสภาพทางเศรษฐกจิ

ทรัพยากรธรรมชาติ ที่สำคัญของจงั หวัดศรสี ะเกษ คือ ปา่ ไม้ มีพื้นท่ีปา่ ไม้ทั้งส้ิน ๖๔๑,๒๕๙
ตารางกิโลเมตร โดยอยู่ในเขตพ้นื ทีอ่ ำเภอ กันทรลกั ษ์ และอำเภอขนุ หาญ แต่ยงั คงมีการบุกรุกทำลายป่าไมก้ ัน
อยู่ ทำให้ป่าไมส้ ่วนท่ีเหลอื ไมเ่ พยี งพอทจ่ี ะรักษาสภาพอากาศ แหล่งน้ำลำธาร และการพงั ทลายของผวิ ดนิ

แหล่งน้ำ ท่ีสำคัญของจังหวัดจังหวัดศรีสะเกษ คือ ลำน้ำชี ลำน้ำมูล ห้วยน้ำคำ ห้วยสำราญ
ห้วยขะยงุ ห้วยตามาย ห้วยตามอญ ห้วยศาลา ห้วยทา ห้วยเหนือ และหนองบงึ ต่างๆ ท่ีมีอยทู่ ว่ั ไป แต่เน่ืองจาก
มีการตัดไม้ทำลายป่า จึงมีผลทำให้ปริมาณน้ำฝนลดน้อยลง สภาพแหล่งน้ำตื้นเขินและไม่สามารถ
กักเกบ็ น้ำได้ตลอดปี

อาชีพ ที่สำคัญของชาวจังหวัดศรีสะเกษ คือ การประกอบการเกษตร มีการทำนา
(๓,๓๖๖,๒๖๖ ไร่) เพาะปลูก พืชไร่ พืชผักชนิดต่างๆ เช่น หอม กระเทียม ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปอแก้ว
(๒๒๗,๔๕๖ ไร)่ การทำสวนผลไม้ เช่น เงาะ ทเุ รียน มังคุด ลองกอง (๒๗๓,๖๗๒ ไร)่ ในพื้นที่อำเภอกนั ทรลักษ์
อำเภอขนุ หาญ และอำเภอภูสงิ หไ์ ด้ผลดี และการเลี้ยงสัตว์ นอกจากน้ี ยังมีอาชีพรับจา้ ง ประกอบธรุ กจิ ทางการ
คา้ และอุตสาหกรรมในครัวเรือน

ภาวะเศรษฐกจิ จังหวัดศรีสะเกษ จากรายงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จังหวัดศรีสะเกษ มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด ๖๙,๕๗๔ ล้านบาท มูลค่า
ผลิตภัณฑ์เฉล่ียต่อหัว (Per Capita GPP) ๖๗,๓๖๒ บาท เป็นอันดับที่ ๘ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ
เปน็ อนั ดบั ที่ ๖๗ ของประเทศ
การสาธารณปู โภค

การไฟฟ้า ตามขอ้ มูลจากการไฟฟา้ สว่ นภูมิภาค ในปี ๒๕๖๐ จังหวัดศรีสะเกษ มีจำนวนผู้ใช้
ไฟฟา้ ๔๓๖,๙๐๕ ราย ปรมิ าณการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าท้งั สน้ิ ๑,๑๔๔.๙๙๘ ล้านกโิ ลวัตต์/ชว่ั โมง

การประปา จากรายงานข้อมูลพ้ืนฐานการประปาสว่ นภูมิภาคจังหวัดศรสี ะเกษ ประจำเดือน
กรกฎาคม ๒๕๖๒ จังหวัดศรีสะเกษ มีกำลังการผลิตน้ำประปาท้ังส้ิน ๕,๕๗๕,๕๗๘ ลูกบาศก์เมตร/วัน แต่
ปริมาณน้ำที่ผลิตได้ มีจำนวน ๒๘,๘๖๙ ลูกบาศก์เมตร/วัน มีปริมาณน้ำท่ีจ่ายเพ่ือสาธารณประโยชน์และ
รัว่ ไหลอีก ประมาณ ๘๕๒,๓๔๑ ลูกบาศกเ์ มตรต่อเดือน สำหรบั ปริมาณน้ำที่จำหน่ายให้แก่ผ้ใู ช้มปี ริมาณทั้งสิ้น
๖๖๐,๑๓๙ ลูกบาศก์เมตรตอ่ เดือน และมีจำนวนผู้ใช้น้ำประปาทั้งสิ้น ๓๐,๗๒๖ ราย

การคมนาคม จังหวัดศรีสะเกษ มีทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงจังหวัด ท่ีสามารถใช้
เดินทางติดต่อ ภายในจงั หวัดและจังหวัดใกล้เคียงได้โดยสะดวก และมถี นนในชนบทอยูใ่ นสภาพที่ใช้การได้แต่
ไม่ตลอดฤดูกาล มเี ส้นทางรถไฟผ่านจังหวดั ศรสี ะเกษเปน็ ระยะทางทัง้ สน้ิ ๖๐.๖๘ กิโลเมตร

๓๑

การบริการโทรศัพท์ ในปี ๒๕๕๗ จังหวัดศรีสะเกษ มีจำนวนชุมสาย ๓๘ แห่ง มีจำนวน

เลขหมาย ๔๕,๘๔๔ เลขหมาย จำนวนหมายเลขทมี่ ผี ้เู ช่า รวม ๒๖,๘๙๐ เลขหมาย
การไปรษณีย์โทรเลข ในปี ๒๕๕๗ มีที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขกระจายอยู่เกือบทุกอำเภอ

รวม ๑๗ แห่ง มีการส่งไปรษณียภัณฑ์รวมท้ังส้ิน ๓,๘๘๕,๖๔๒ ฉบับ โดยแยกเป็นไปรษณียภัณฑ์ธรรมดา
๙๖๔,๑๘๑ ฉบบั บริการพิเศษ ๒,๘๙๕,๑๘๕ ฉบับ พัสดไุ ปรษณีย์ ๒๖,๒๗๖ ชิน้

การปกครองและประชากร

จังหวัดศรีสะเกษ แบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็น ๒๒ อำเภอ ๒๐๔ ตำบล ๒,๖๔๑
หมู่บ้าน โดยมีอำเภอ ดังนี้ อำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภอกันทรารมย์ อำเภอกันทรลักษ์ อำเภอขุขันธ์ อำเภอ

ราษไี ศล อำเภออทุ ุมพรพิสัย อำเภอขุนหาญ อำเภอปรางค์กู่ อำเภอไพรบึง อำเภอยางชุมนอ้ ย อำเภอห้วยทับทัน
อำเภอโนนคูณ อำเภอศรีรัตนะ อำเภอวังหิน อำเภอบึงบูรพ์ อำเภอน้ำเกลี้ยง อำเภอภูสิงห์ อำเภอเมืองจันทร์
อำเภอพยหุ ์ อำเภอโพธศ์ิ รสี ุวรรณ อำเภอเบญจลักษ์ และอำเภอศิลาลาด

การปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด ๑ แห่ง เทศบาลเมือง
๒ แห่ง คือ เทศบาลเมืองศรีสะเกษ และเทศบาลเมืองกันทรลักษ์ เทศบาล ตำบล ๓๕ แห่ง องค์การบริหาร

สว่ นตำบล ๑๗๙ แห่ง (ข้อมูล ณ เดือนมกราคม ๒๕๕๘ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย)
จากสถิติประชากรจากการทะเบียน จำแนกตามเพศ และหมวดอายุ เป็นรายอำเภอ พ.ศ. ๒๕๖๐

สำนักงานสิถิติจังหวัดศรีสะเกษ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกจิ และสังคม จังหวัดศรีสะเกษ มีจำนวนประชากร

ทั้งส้ิน ๑,๔๖๗,๐๓๑ คน เป็นชาย ๗๓๔,๗๒๘ คน เป็นหญิง ๗๓๗,๓๐๓ คน จำนวนผู้ชายคิดเป็นร้อยละ
๔๙.๙๘ ของประชากรทง้ั หมด และจำนวนผู้หญงิ คิดเปน็ ร้อยละ ๕๐.๐๒ ของประชากรท้ังหมด

การสาธารณสขุ และการศึกษา
การสาธารณสขุ ในปี ๒๕๕๗ จังหวัดศรีสะเกษมีโรงพยาบาลทัง้ สน้ิ ๒๓ แห่ง (รัฐบาล ๒๒ แห่ง

เอกชน ๑ แห่ง) โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตำบล ๒๕๔ แห่ง คลนิ ิกทุกประเภท ๑๙๒ แห่ง แพทย์ ๔๐๒ คน

ทันตแพทย์ ๙๒ คน เภสัชกร ๑๖๘ คน พยาบาลวิชาชพี ๑,๙๖๘ คน พยาบาลเทคนิค ๑๖ คน โดยมอี ัตราสว่ น
แพทย์ ๑ คนต่อประชากรเท่ากับ ๓,๖๕๗ คน ทันตแพทย์ ๑ คนต่อประชากร ๑๕,๙๘๐ คน

การศึกษา ในปีการศึกษา ๒๕๖๒ จังหวัดศรีสะเกษ มีจำนวนสถานศึกษา และบุคลากร

ทางการศกึ ษา ดังน้ี

- โรงเรียนระดบั ประถมและขยายโอกาส (สพป.) จำนวน ๘๔๗ แห่ง

- โรงเรียนระดบั ประถมและขยายโอกาส (อบจงั หวดั ) จำนวน ๔ แห่ง

- โรงเรียนระดับมัธยม (สพม.) จำนวน ๕๖ แหง่

- โรงเรยี นระดับมธั ยม (อบจ) จำนวน ๓๕ แห่ง
- วิทยาลัยระดบั อาชวี ศึกษาและอดุ มศึกษา จำนวน ๑๗ แห่ง
- มหาวิทยาลยั ระดบั อดุ มศกึ ษา จำนวน ๒ แห่ง

- ครู (สพป. และสพม.) จำนวน ๑๓,๔๒๙ คน
- นักเรียน (สพป. และสพม.) จำนวน ๑๗๒,๘๔๙ คน

สถานที่ท่องเทย่ี วทางธรรมชาติ
สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ต้ังอยู่ในบริเวณวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ ตำบล

หนองครก อำเภอเมืองศรีสะเกษ มีเนื้อท่ี ๒๓๗ ไร่ เป็นสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์แห่งแรกของประเทศไทย

ห่างจากศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ ๒ กิโลเมตร เป็นสวนสาธารณะที่จัดข้ึนเพื่อเป็นสถานท่ีพักผ่อนของ
ประชาชน ภายในบริเวณสวนมีต้นลำดวน เป็นพันธไุ์ ม้หอมท่ีสำคัญของไทย เป็นต้นไม้สำคัญของจังหวัด และ
เป็นเอกลักษณ์ของผู้สูงอายุสากลและสูงอายุ แห่งชาติ มีจำนวนมากกว่า ๔๐,๐๐๐ ต้น ในช่วงเดือนมีนาคม

๓๒

ดอกลำดวนจะบานส่งกลิ่นหอมเป็นท่ีประทับใจ แก่ผู้มาเท่ียวชม และภายในบริเวณมีสวนสตั ว์ ซ่ึงมีสัตว์หลาย
ชนดิ

ผามออีแดง ต้ังอยู่ในเขตอำเภอกันทรลักษ์ ใช้เสน้ ทางหลวงหมายเลข ๒๒๑ สายศรีสะเกษ -
กันทรลักษ์ ห่างจากอำเภอประมาณ ๓๖ กิโลเมตร ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๙๘ กิโลเมตร เป็นเส้นทาง
เดียวกับทางข้ึนเขาพระวิหาร มีการปรับปรุงเส้นทางใหม่ทำให้เดินทางได้ง่ายสะดวกมากขึ้น สามารถชม
ทัศนียภาพทิวเขาพนมดงรัก แผ่นดินเขมรต่ำ ยอดเขาพระวิหารในระยะทางใกล้เพียง ๑ - ๒ กิโลเมตร ใน
บริเวณผามออแี ดง มวี ิหารพระประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกและทางทศิ ใตซ้ ึ่งเปน็ หนา้ ผาท่ีอยตู่ ่ำลงไป จะมี
ภาพสลักหินนนู ต่ำ ศลิ ปะเขมรทม่ี อี ายรุ าวพุทธศตวรรษที่ ๑๕

น้ำตกห้วยจันทร์ หรือน้ำตกกันทรอม น้ำตกห้วยจันทร์ หรือน้ำตกกันทรอม อยู่ห่างจาก
อำเภอขุนหาญประมาณ ๒๔ กิโลเมตร ห่างจากตวั จังหวัดประมาณ ๘๕ กิโลเมตร ริมถนนทางหลวงหมายเลข
๒๒๓ เป็นน้ำตกทสี่ วยงามมาก โดยเฉพาะเดือนกันยายน - กุมภาพนั ธ์ และรม่ รน่ื ดว้ ยพันธุ์ไมน้ านาชนิด เหมาะ
สำหรับการพักผ่อนในวันหยดุ

น้ำตกสำโรงเกียรติ หรือน้ำตกปีศาจ มีต้นกำเนิดจากภูเขากันทุง บนเทือกเขาบรรทัด เป็น
น้ำตกขนาดกลางจากหน้าผาสูง ๘ เมตร นำ้ จะไหลลดหล่ันกนั เป็นชั้นๆ ด้านล่างจะมีแอง่ น้ำใสสะอาด บรเิ วณ
โดยรอบน้ำตกมีความรม่ ร่ืน เพราะมีเถาวลั ยแ์ ละต้นไมน้ านาพันธุป์ กคลมุ น้ำตก มีนำ้ ตกมากชว่ งเดือนกนั ยายน -
กุมภาพันธ์ การเดินทาง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๒๑๑๑ เม่ือถึงเขตอำเภอขุนหาญมีทางแยกเข้าไปอีก
ประมาณ ๒๐ กโิ ลเมตร ห่างจากตัวจงั หวดั ๘๑ กโิ ลเมตร

น้ำตกภูละออ เป็นน้ำตกขนาดเล็ก ท่ีมีน้ำตกสวยงามในช่วงเดือนกันยายน - กุมภาพันธ์
ทางเดินเท้า จากบริเวณลานจอดรถถึงนำ้ ตก ระยะทางไป - กลบั ประมาณ ๔ กโิ ลเมตร ได้รับการพัฒนาใหเ้ ป็น
เส้นทางให้ความรู้เรื่องพืชพันธุ์และสภาพภูมิประเทศ ซึ่งเหมาะแก่การท่องเท่ียวในลักษณะเดินป่าศึกษา
ธรรมชาติ

อ่างเก็บน้ำห้วยศาลา / อ่างเก็บน้ำห้วยต๊ึกชู อ่างเก็บน้ำห้วยศาลา ต้ังอยู่อำเภอภูสิงห์ เป็น
อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ท่ีล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาและป่าไม้ มีทิวทัศน์ท่ีสวยงามเป็นที่พักผ่อนของประชาชน
ทั่วไป

หว้ ยน้ำคำ เป็นสถานทต่ี ั้งของศูนยส์ ่งเสริมวัฒนธรรมเมืองศรีสะเกษ ๖๐ ปี ครองราชย์ (เกาะ
กลางน้ำ) เทศบาลเมืองศรีสะเกษ เป็นสวนสาธารณะที่สร้างข้ึนใหม่ ต้ังอยู่ท่ีตำบลหนองครก อำเภอเมือง
ศรีสะเกษ บริเวณภายในกว้างขวางมาก มนี ำ้ ล้อมรอบ เป็นสถานทส่ี ำหรับพกั ผอ่ นหย่อนใจ และเป็นสถานท่จี ัด
งานเทศกาลลอยกระทงประจำปี

ขอ้ มลู ด้านศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรม

ด้านศาสนา

ประชาชนในจังหวัดศรสี ะเกษ นับถือศานาพทุ ธ ร้อยละ ๙๙.๓๓ นับถือศาสนาคริสต์ ๕,๕๒๖

รอ้ ยละ ๐.๖๓ นับถือศาสนาอิสลาม ๓๗๙ คน ร้อยละ ๐.๐๓ และอื่นๆ ๑๕๔ คน ร้อยละ ๐.๐๑ และมีศาสน

สถานของแต่ละศาสนา ดงั น้ี

๑. วัด จำนวน ๑,๖๙๑ แห่ง

- พระอารามหลวง จำนวน ๓ แห่ง

- วดั ราษฎร์ จำนวน ๑,๓๓๒ แห่ง

- สำนกั สงฆ์ จำนวน ๓๕๖ แหง่

๒. โบสถค์ รสิ ต์ จำนวน ๔๕ แหง่

๓๓

๓. มัสยดิ จำนวน ๒ แห่ง

๔. หน่วยสงเคราะห์พุทธมามกะ จำนวน ๑๗ แห่ง
๕. หนว่ ยพุทธศาสนาในสถานศกึ ษา จำนวน ๒๘ แหง่

ด้านวัฒนธรรม
กลมุ่ ชาตพิ ันธุ์

จังหวัดศรสี ะเกษนับได้ว่าเป็นบริเวณทม่ี คี วามสำคญั แหง่ หนึ่งในเรอ่ื งพัฒนาการทางสงั คมและ

วฒั นธรรมในภูมิภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ในดา้ นตำแหน่งและสภาพแวดล้อมของภูมิศาสตร์ ศรีสะเกษอยู่ใน
บริเวณที่เรยี กว่าลุ่มแมน่ ้ำมูล - ชีตอนล่าง (Lower Mun - Chi basin) เพราะเป็นบรเิ วณทแ่ี ม่น้ำมลู และแมน่ ้ำชี

ใกล้จะไหลมาบรรจบกัน มชี นพน้ื เมืองอาศัยอยู่แตโ่ บราณกาล มีชนเผ่า กูย เขมร ลาว และเยอ ดังน้ี
ชาวเขมร ได้อพยพเข้าสู่อีสานใต้ (บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ) สมัยเขมรพระนครการ

กระจายอำนาจทางการเมืองของเขมรในสมัยพระเจา้ สุริยวรมันท่ี ๑ (พ.ศ.๑๕๔๕ - ๑๕๙๓) พระเจา้ สรุ ิยวรมัน

ที่ ๒ (พ.ศ. ๑๖๕๖ - ๑๖๙๓) และพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ - ๑๗๖๑) เปน็ สมยั ท่ีชาวเขมร ได้เข้ามา
อยใู่ นเขตอีสานใต้ เพราะกษัตริยเ์ ขมรไดเ้ กณฑ์ชาวเขมรจากประเทศเขมรให้เป็นผู้สร้างปราสาทและสร้างเมือง

ในอีสานใต้ เช่น ปราสาทเมืองต่ำ ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาท
สระกำแพงใหญ่ เป็นตน้ นอกจากนี้ ยังได้สรา้ งถนนจากนครธมไปตามเมืองและปราสาทต่างๆ ในเขตอีสานด้วย

ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗ ได้มีการสร้างปราสาทในเขตอีสานใต้เป็นจำนวนมาก

ชาวเขมรที่ถูกเกณฑ์แรงงานจึงได้ต้ังหลักแหล่งอยู่รอบๆ บริเวณปราสาทและสร้างเมืองใกล้บริเวณที่อุดม
สมบูรณ์ ทำให้วัฒนธรรมเขมรขยายเข้าสู่อีสานใต้ โดยเฉพาะพวกท่ีอพยพเข้ามาเป็นกรมการเมืองแห่งแรกที่

ปรากฏในศิลาจารกึ คือเมอื งสดกุ อำพิล ซ่งึ เช่ือวา่ มที ี่ต้ังใกล้ปราสาทสระกำแพงใหญ่ เพราะมีแหลง่ นำ้ และระบบ
กลั ปนา ที่มจี ำนวนผู้คนเพยี งพอต่อการจัดตงั้ เมอื ง

ชาวเขมรถ่ินไทย เรียกตนเองว่า ขแมร์ แต่หากจะบ่งบอกถึงถ่ินของภาษาและชาติพันธ์ุ ชาว

เขมรถ่ินไทยเรียกภาษาและชาติพันธ์ุของตนเองวา่ ขแมร์ลอื ซ่ึงแปลวา่ เขมรสูง เรยี กภาษาเขมรและชาวเขมร
ในประเทศกัมพชู าวา่ ขแมรก์ รอม แปลว่า เขมรตำ่

ชาวเขมรสูงส่วนมากอยู่ในชนบท มีชีวติ เรยี บงา่ ย ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เชน่ ทำนา ทำ
ไร่ หนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่วา่ งจากการทำนา ทำไร่ จะเดินทางไปรับจ้างทำงานในตัวเมืองหรอื ในเมืองหลวง และเมื่อ
ถึงฤดูเพาะปลูก ก็จะเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อประกอบอาชีพหลักของตน เป็นเช่นน้ีเรื่อยไป ซ่ึงมีลักษณะ

คลา้ ยคนไทยในท้องถิน่ ทวั่ ไป แตถ่ ้าจะเปรยี บกบั ชาวเขมรต่ำในประเทศกัมพูชาแล้ว ความเปน็ อยู่ ประเพณแี ละ
ความเช่ือตา่ งๆ ของชาวเขมรสงู จะมีส่วนคล้ายกับชาวเขมรตำ่ ในประเทศกัมพูชามาก เช่นลกั ษณะบ้านชัน้ เดยี ว

ใต้ถุนสูง พธิ กี รรมเกีย่ วกบั การเกดิ การตาย การแตง่ งาน การนบั เวลา วนั เดอื น ปี การเช่ือถอื โชคลาง ฤกษย์ าม
การรกั ษาโรคแบบพ้ืนบา้ น การประกอบอาชพี การละเลน่ ต่างๆ ตลอดจนอุปนิสยั ส่วนบุคคล เปน็ ตน้

ชาวส่วย กวย กุย หรอื กูย เป็นคนอีกเผ่าหน่ึงที่มีบทบาทสำคัญในด้านวัฒนธรรมของภาค

ตะวันออกเฉียงเหนือ พ่ีน้องชาวส่วยมีกระจายอยู่หลายจังหวัดทางภาคอีสานตอนล่าง คือ ศรีสะเกษ สุรนิ ทร์
บุรีรัมย์ และมีบ้างประปรายท่ีอุบลราชธานี นครราชสีมา มหาสารคามและร้อยเอ็ด ท่ีมีอยู่หนาแน่น ได้แก่

ศรีสะเกษ
ชาวกูยชอบอพยพเคลอื่ นยา้ ยอยู่เสมอ เพือ่ แสวงหาทดี่ นิ อุดมสมบรู ณ์ เหมาะแกก่ ารเพาะปลูก

นอกเหนอื จากอยู่ในประเทศกัมพูชาแล้ว ชาวกูยยังมีมากในบริเวณเมอื งอัตปือแสนปาง จำปาศักด์แิ ละสาละวัน

ในบริเวณตอนใต้ของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แต่เนื่องจากต้องประสบภัยธรรมชาติ
เชน่ น้ำท่วม หรือฝนแลง้ รวมท้งั ภัยทางการเมือง ชาวกูยจงึ อพยพขา้ มลำน้ำโขงเขา้ สภู่ าคอีสาน แกง่ สะพือ เดิม

เรียกตามภาษาส่วยว่า แก่งกะชัญปืด (แก่งงูใหญ่) และในเขตอำเภอโขงเจียม ซ่ึงชาวกูยเรียกว่าโพงเจียม (ฝูง
ชา้ ง) หลังจากน้ันลูกหลานชาวกูยก็แยกย้ายกันไปต้ังบ้านเรือนท่ีบ้านนากอนจอ ซ่ึงภาษากยู แปลวา่ บ้านนาลูก

๓๔

หมา ปัจจุบันคือ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่ีบ้านเจียงอีซึ่งภาษากูย แปลว่าช้างป่วยในเขต
อำเภอเมืองศรีสะเกษในปัจจุบัน นับว่าในบรรดากลุ่มชาติพันธ์ุ กูย ลาว เขมร ชาวกูยเป็นชนดั้งเดิมท่ีต้ังหลัก
แหลง่ อย่ใู นพ้ืนทีข่ องอีสานใตเ้ ปน็ กลุม่ แรก

การอพยพเข้ามาในประเทศไทยทางตอนล่างของภาคอีสานน้ัน เริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑) และได้อพยพครัง้ ใหญ่เขา้ มาในจงั หวัดสุรินทร์และศรีสะเกษอกี ในยุค
ปลายของกรงุ ศรีอยุธยาไปจนจึงสมัยธนบุรี (พ.ศ. ๒๒๔๕ - ๒๓๒๖) ชาวกูยแต่ละกลุ่มที่อพยพมาต้ังหลกั แหล่ง
หรอื หาบริเวณล่าช้างแหลง่ ใหม่เพราะชาวกูยมคี วามชำนาญในการเดินป่า การลา่ ช้างและฝึกช้าง การอพยพได้
หยุดลงในสมัยรัชกาลที่ ๔ ในเวลาต่อมาได้มีการโยกย้ายไปอยู่จังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัด
อบุ ลราชธานี จังหวัดนครราชสีมา และจงั หวัดมหาสารคาม ชาวกูยในจังหวัดสุรนิ ทร์และศรีสะเกษเรียกหมูบ่ า้ น
ท่ีชาวกูยโยกย้ายไปว่าเป็น หมู่บ้านใหม่ การใช้ภาษาระหว่างชาวกูยกลุ่มเดิมและกลุ่มที่โยกย้ายยังคงมีความ
เข้าใจกันไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เพราะยงั ติดตอ่ กนั อยู่

วัฒนธรรมประเพณีของชาวส่วย ได้เข้ามาผสมผสานกลมกลืน กับชาวลาว ชาวเขมร ตาม
สภาพสิ่งแวดลอ้ ม และวิถีชวี ติ ของตน ต้ังแต่อดตี จนถงึ ปัจจบุ ัน

ชาวลาว ในจังหวดั ศรสี ะเกษนั้นมีความสัมพนั ธก์ ับชาวลาวในประเทศลาวเป็นอย่างย่ิง มีการ
อพยพเข้ามาทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง เพ่ือแสวงหาที่ทำกนิ มาตั้งแตส่ มัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑ โดยมาอาศัยอยู่ในเขต
หัวเมืองเขมรปา่ ดง และแถบตอนกลางของภาคอสี าน ส่วนการอพยพครง้ั ใหญ่มีใน พ.ศ. ๒๒๖๑ เมื่อกษัตรยิ ์ผู้
ครองนครจำปาศกั ดิ์ ไดส้ ง่ ผ้นู ำชาวลาวจำนวนมากพรอ้ มชายฉกรรจ์และครอบครัวมาต้ังบ้านเมืองหลายเมืองใน
เขตอีสานตอนใต้และอีสานตอนกลาง เช่น จารย์เชียง มาต้ังเมืองศรีนครเขต (อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ)
จารย์แก้ว (เจา้ แกว้ มงคล) มาตงั้ เมืองทุ่ง (อำเภอสุวรรณภูมิ จงั หวดั รอ้ ยเอด็ ) การอพยพครง้ั ใหญ่ต่อมาในรัชกาล
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยกษัตริย์ผู้ครองนครเวียงจันทน์ เกิดบาดหมางกับพระวอ พระตา ซึ่งเป็นขุนนาง
ผใู้ หญ่ของลาว ทง้ั พระวอและพระตา ไดพ้ าพรรคพวกหนีมาตั้งอยู่ทเี่ มอื งหนองบัวลำภู มีการสู้รบกันหลายครั้ง
จงึ มีการอพยพมาตง้ั เมอื งหลายเมอื ง โดยเร่ิมตัง้ เมืองในบรเิ วณตอนเหนือของลุม่ แมน่ ้ำ เขตชายทงุ่ กลุ ารอ้ งไหใ้ น
ระยะแรกๆ ตอ่ มาเมือ่ เหน็ วา่ ทำเลใกล้แม่นำ้ มูลดีกว่า จึงมีชาวลาวอพยพเข้ามาตง้ั บา้ นเรือนในท่ีราบรมิ ฝั่งแม่น้ำ
มูล เชน่ ในเขตอำเภอรัตนบรุ ี และเขตเมอื งขขุ ันธ์ตอนเหนือ

อทิ ธพิ ลทางวัฒนธรรมและทางสังคมของชาวลาว ได้เข้ามาผสมผสานในกลุ่มชนชาวเขมร ชาว
กูย (ส่วย) ทง้ั ตง้ั บา้ นเรือนอยู่ใกลก้ ันหรอื เขา้ มาอาศัยอยู่ในหมบู่ ้านเดียวกัน ซ่งึ เป็นการกลมกลืนทางวฒั นธรรม
ของกลุ่มคน ที่เปน็ ไปในลกั ษณะชนกลุ่มน้อย จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงภาษา ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวิถี
ชวี ติ ของตนให้เข้ากบั วัฒนธรรมของชนกลุม่ ทใี่ หญ่กว่า

ชาวเยอ เปน็ ชาวพืน้ เมืองกลุ่มหนึ่ง ท่ีจัดอยู่ในกลุ่มภาษามอญ - เขมร เรยี กตนเองว่า กวย มี
ความหมายว่า คน หากจัดกลุ่มแลว้ ชาวเยอจดั อยู่ในกลุ่มของชาวกยู มีภาษาพูดภาษาเดยี วกนั ซึ่งมีเพียงบางคำ
เทา่ น้ันท่ีแตกตา่ งกนั

ชาวเยอ เป็นชนกลุ่มน้อยที่อพยพมาจากเมืองคง แคว้นหลวงพระบางและเมืองอัตปือแคว้น
จำปาสัก ประเทศลาว โดยการนำของพญากตะศลิ า เปน็ หัวหน้านำคนเผา่ เยออพยพมาโดยทางเรือ มาตั้งเมือง
คงโคกหรือเมืองคง อำเภอราษีไศล ในปัจจุบันนี้ ซึ่งตั้งอยู่ริมฝ่ังแม่น้ำมูลซ่ึงอุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์น้ำ และเป็น
เสน้ ทางคมนาคมในการติดต่อค้าขาย มูลเหตุของการต้ังชื่อเมืองอาจมาจาการที่พ้ืนที่เหล่าน้ีอาจมีป่ามะม่วงมา
ก่อนแล้ว หรือมีการปลูกต้นไม้ผล เช่น ขนุน มะม่วง มะนาว มะพร้าว ฯลฯ ผลไม้ท่ีมีอยู่จำนวนมาก จึงเรียก
เมืองตนเองว่า เมืองเยาะค็อง และเพี้ยนเป็นเมืองคอง–เมืองคง ในที่สุด ปัจจุบันมีรูปปั้นพญากตะศิลาท่ีบึง
คงโคก บ้านหลุบโมก ตำบลเมืองคง อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ เป็นท่ีเคารพของชาวเยอและมีการ
บวงสรวงในวันเพ็ญเดือนสามทุกปี

๓๕

จุดเด่นของชาวเยอก็คือ มีความเหนียวแน่นในการรักษาธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม
ทางภาษาของกลุ่มชนไว้เป็นอย่างดี ในหมบู่ ้านชาวเยอทุกหมู่บ้าน จะพูดภาษาเยอ ชาวลาวหรือคนหม่บู ้านอื่น
ทมี่ าต้งั หลกั ฐานในหมูบ่ ้านจะเปลยี่ นจากภาษาพูดเดิมของตนมาพูดภาษาเยอและปฏิบตั ติ ามธรรมเนยี มของชาว
เยอด้วย ชาวเยอทั่วไปจะสูงประมาณ ๑๖๕ เซนติเมตร ผิวดำแดง การต้ังหมู่บ้านส่วนใหญ่จะตั้งในเขตใกล้
ลำน้ำหรือลำห้วย เช่น บ้านเมืองคง บ้านท่าโพธิ์ บ้านใหญ่ บ้านกลาง บ้านโนน บ้านร่องอโศก บ้านหลุบโมก
บา้ นดอนเรือ บ้านหนองบาก บ้านหว้าน อำเภอราษีไศล ตงั้ อย่รู ิมฝั่งแม่น้ำมูล บ้านโนนแกด บ้านขมิ้น อำเภอ
เมืองศรีสะเกษ บ้านโพธิ์ศรี ตำบลโนนเพ็ก อำเภอพยุห์ ต้ังอยู่ที่ราบลุ่มห้วยทา บ้านกุง บ้านวังไฮ บ้านขาม
บ้านกลาง บ้านจิก ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มลำน้ำเสียว เป็นต้น ท่ีน่าสนใจคือชาวเยอในแต่ละหมู่บ้านมี
ความสัมพนั ธใ์ นลักษณะเครือญาติ ปกตชิ าวเยอมอี าชพี ทำนา แต่บางส่วนมีความชำนาญในด้านชา่ ง

การแต่งกาย
ชาวลาว แต่งกายคล้ายคนไทยทั่วไป ในสมัยก่อนชายนุ่งผ้าขาวม้า ผ้าโสร่ง หรือกางเกง
ขาก๊วย มีหูรูด มีผ้าขาวม้าพาดบ่า หญิงนุ่งผ้าถุง มีผ้าคาดอก ถือผ้าเบี่ยงหรือสไบ ไม่สวมรองเท้าเป็นสว่ นใหญ่
แตข่ ณะนก้ี ารแต่งกายเปน็ ไปตามสมัยนิยมแล้ว
ชาวเขมร ชาย เสือ้ คอกลมผ่าหน้า นุ่งโสร่งสีสันต่างๆ ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่ หญิง
นุ่ง ผ้าถุงลายตั้ง มีเชิงตามขวางสองชั้น ส่วนบนกว้างส่วนล่างแคบระหว่างรอยต่อคาดด้วยสีแดง เส้ือดำย้อม
มะเกลือ แขกกระบอกรัดรูปตามรอยตะเข็บถักด้วยสีต่างๆ ชายเส้ือผ้าข้างท้ังสองด้านยาวประมาณถักด้วยสี
ต่างๆ ชายเส้อื ผ้าขา้ งทัง้ สองด้านยาวประมาณ ๖ นิว้ กระดุมกลมทำดว้ ยเงิน มีผ้าคล้องไหลเ่ ปน็ สดี ำหรือสีตา่ งๆ
ถา้ คล้องคอนยิ มหย่อนมาด้านหน้าหรือนงุ่ โจงกระเบนคาดอกด้วยผา้ แถบ
ชาวส่วย/กูย การแต่งกาย ในชีวิตประจำวัน ผู้หญิงสูงอายุชาวกูยส่วนใหญ่จะนุ่งผ้าท่ีมีลาย
เป็นแบบเฉพาะของชาวกยู และใส่เสือ้ คอกระเช้าธรรมดา บางคนกใ็ ส่เส้ือแบบชาวบ้านทวั่ ๆ ไป เป็นทีน่ า่ สังเกต
วา่ หญิงสงู อายมุ ักจะชอบใส่สร้อยคอลูกปัดพลาสติกบา้ ง เงนิ บ้าง ใบหูนิยมใส่ไม้หอมไวท้ ต่ี ง่ิ หทู ่เี จาะไว้ เช่น ดอก
มะลิ บางคนกซ็ ้อื ต้มุ หูเงินมาใส่ เปน็ ตน้
ชาวเยอ การแต่งกายของชาวเยอ จะมีการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ท้ังชายและ
หญงิ จะใช้เสอ้ื ผา้ ไหมเหยียบแขนยาวยอ้ มสดี ำ ซึง่ เป็นผ้าไหมเสน้ เล็กทอลวดลายขติ ดอกเล็กๆ แทรกไวต้ ลอดผืน
เม่ือตัดเย็บแล้วนำมาย้อมดำด้วยมะเกลือดิบท่ีดำแล้วนำมาย้อมหลายคร้งั ตากให้แกง่ แล้วคลุกหมักไว้ในโคลน
เสื้อผ้าไหมเหยียบยอ้ มดำนี้เป็นผ้าเนื้อแน่นและอ่อนนุ่ม มีความคงทนเป็นพิเศษใช้สวมใส่ในทุกโอกาสไม่ว่าทำ
นา ทำไร่ ไปตลาดหรือไปเท่ียวงานร่ืนเริง ถ้าทำนาหรือทำงานอื่นๆ จะสวมเสื้อไหมเหยียบย้อมดำคู่กับผ้าซิ่น
ฝา้ ย แต่ในโอกาสทำบุญต่างๆ หรอื โอกาสพิเศษหรือไปตลาดจะนิยมสวมเส้ือไหมเหยียบย้อมดำคู่กับผ้าซ่นิ มีผ้า
สไบสีดำพาดไหล่ ใช้เชด็ หน้าเชด็ มือได้ สว่ นผ้ชู ายถ้าทำไร่ทำนาก็สวมเสื้อไหมเหยยี บย้อมดำแขนยาวในลกั ษณะ
เส้ือเช้ิต แต่ถ้าเป็นงานบุญหรอื โอกาสพิเศษจะนุ่งโสร่งไหม มีผา้ ขาวม้าไหมหรือฝ้ายสีสดใสเป็นลวดลายตาราง
มดั คาดเอว ปจั จบุ นั ชาวเยอได้ประยกุ ต์ตนเองเขา้ กับสมยั นยิ มแล้ว แต่ยงั คงเอกลักษณข์ องตนเองไว้

ชาวกยู ๓๖
ชาวเยอ
ชาวเขมร ชาวลาว

พธิ ีกรรมที่สำคัญ
- พธิ กี รรมรำแม่มด รำมะมว๊ ด
- พิธีกรรมปงั เอ๊าะเปร๊ียะแค (ปอ้ นขา้ วพระจันทร์)
- พิธีกรรมลำผีฟา้
- พิธกี รรมรำสะเอง (สะเอิง)
- พิธกี รรมลงข่วงเขน็ ฝา้ ย
- พธิ ีกรรมการเปา่ สะไนในงานประเพณลี งเฮอื หอเจา้
- พิธแี ซนโฎนตา
การละเล่นทส่ี ำคญั
- การแสดงหนังบกั ตือ้ (หนังตะลุง)
- การฟอ้ นกลองตุม้
- เรือมตรด๊ (รำตรุษ หรอื เลงตร๊ด)
- เรือมอายยั
- กนั ตรึม และเจรยี ง
- เรอื มอนั เร
- หมอลำสว่ ย
- รำตำตะ๊
- รำศรีพฤทเธศวร

๓๗

ปฏทิ นิ เทศกาล ศิลปวฒั นธรรม ประเพณี จงั หวัดศรีสะเกษ

วนั /เดอื น/ปี เทศกาล/โครงการ/กจิ กรรม สถานท่ีจดั กิจกรรม
มกราคม
- งานเทศกาลปีใหม่และงานกาชาดจงั หวดั - ศาลากลางจังหวดั ศรีสะเกษ ตำบลเมอื งเหนือ
กมุ ภาพนั ธ์
ศรีสะเกษ อำเภอเมอื งศรีสะเกษ
มนี าคม
- งานเทศกาลปลาดกุ เผาสะเดาหวาน - ทวี่ า่ การอำเภอปรางคก์ ู่ ตำบลพิมาย อำเภอ
เมษายน
ปรางค์กู่

- งานบุญกุ้มข้าวใหญ่ ขา้ วใหม่ ปลามนั - ตำบลกุดเมอื งฮาม อำเภอยางชมุ น้อย

- งานประเพณบี ุญคูณลาน งานกมุ้ ข้าวใหญ่ - ท่ีวา่ การอำเภอโนนคณู ตำบลโนนคอ้ อำเภอ

โนนคูณ

- งานมหกรรมหอม กระเทียม และของดี - ทีว่ ่าการอำเภอยางชมุ นอ้ ย ตำบลยางชมุ น้อย

ยางชมุ นอ้ ย อำเภอยางชมุ นอ้ ย

- งานประเพณีหวัวบุญเบิกฟา้ - ปราสาทปรางค์กู่ ตำบลกู่ อำเภอปรางคก์ ู่

- งานนมัสการไหว้พระธาตุพุทธเจดีย์ใหญไ่ พรบึง - วัดไพรบงึ ตำบลไพรบึง อำเภอไพรบึง

- งานประเพณีแห่พระเวส-ฟงั เทศน์มหาชาติ - วัดระกา ตำบลพิมาย อำเภอปรางค์กู่

- งานนมสั การรอยพระพทุ ธบาทภสู ิงห์ - วัดพระพทุ ธบาท ตำบลโคกตาล อำเภอภูสิงห์

- งานพระยากตะศิลารำลึก - โบราณสถานบึงคงโคก ตำบลเมืองคง อำเภอ

- งานวันหอมแดงอำเภอวงั หนิ ราษไี ศล

- งานบุญขา้ วจ่กี องขา้ วใหญ่ - วัดบ้านขมุ คำ ตำบลบสุ งู อำเภอวังหนิ

- ทวี่ ่าการอำเภอโนนคูณ ตำบลโนนคอ้ อำเภอ

โนนคูณ

- งานเทศกาลดอกลำดวนบานสบื สานประเพณี - สวนสมเด็จพระศรีนครินทรศ์ รสี ะเกษ ตำบล

สี่เผ่าไทยศรสี ะเกษ หนองครก อำเภอเมืองฯ

- งานบญุ เผวดเทศนม์ หาชาติ อำเภอพยุห์ - วดั บา้ นหนองทุ่ม ตำบลพยหุ ์ อำเภอพยหุ ์

- งานเทศกาลพรกิ และของดีกันทรารมย์ - ทว่ี า่ การอำเภอกนั ทรารมย์ ตำบลดูน

อำเภอกันทรารมย์

- งานนมัสการรอยพระพุทธบาทภูสิงห์ - วัดพระพทุ ธบาท ตำบลโคกตาล อำเภอภูสงิ ห์

- งานไหว้พระธาตุบา้ นปราสาท - วัดบา้ นปราสาท ตำบลปราสาท อำเภอ

ห้วยทับทัน

- งานยอ้ นรำลึกปราสาทสระกำแพงใหญ่ - ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ตำบลสระกำแพงใหญ่

ขนึ้ ๒ ค่ำ เดือน ๕ แหง่ วศิ วุ สงกรานต์ อำเภออทุ ุมพรพสิ ัย

- งานประเพณวี ันสงกรานตจ์ งั หวัดศรสี ะเกษ - เทศบาลเมืองศรสี ะเกษ และทกุ อำเภอใน

จังหวัดศรีสะเกษ

- งานประเพณีสงกรานตส์ รงน้ำหลวงพ่อโต - วดั มหาพุทธาราม ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมือง

- งานมหกรรมของดหี ว้ ยทับทนั และงานประเพณี - ที่วา่ การอำเภอห้วยทบั ทนั ตำบลห้วยทบั ทัน

สงกรานต์ อำเภอหว้ ยทับทนั

- งานสงกรานต์สืบสานตำนานบญุ ผะเหวดเทศน์ - วัดบ้านสิ ตำบลสิ อำเภอขุนหาญ

มหาชาติ อำเภอขนุ หาญ

- งานสงกรานตส์ ืบสานประเพณีไทย-กัมพูชา - อำเภอภสู งิ ห์

๓๘

วนั /เดอื น/ปี เทศกาล/โครงการ/กจิ กรรม สถานท่ีจดั กิจกรรม
เมษายน (ต่อ)
พฤษภาคม - งานสรงนำ้ เปลยี่ นผา้ ไตรสังขารหลวงปู่สรวง - วัดไพรพัฒนา ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์

มถิ ุนายน - งานไหวพ้ ระธาตเุ รอื งรอง - วัดบ้านสรา้ งเรือง ตำบลหญา้ ปลอ้ ง

กรกฎาคม อำเภอเมอื งศรสี ะเกษ
สงิ หาคม
- งานไหวพ้ ระธาตเุ มอื งจนั ทร์ - วดั บา้ นเมืองจนั ทร์ ตำบลเมืองจนั ทร์ อำเภอ

เมอื งจนั ทร์

- งานประเพณบี ญุ บ้ังไฟแสน อำเภอราษีไศล - ทว่ี า่ การอำเภอราษไี ศล ตำบลเมอื งคง อำเภอ

ราษไี ศล

- งานประเพณีบุญบง้ั ไฟโบราณ บา้ นโพธล์ิ งั กา - บ้านโพธ์ลิ งั กา ตำบลยาง อำเภอกนั ทรารมย์

ตำบลยาง อำเภอกนั ทรารมย์

- งานประเพณีบุญบงั้ ไฟโบราณ ตำบลเมอื งหลวง - ตำบลเมอื งหลวง อำเภอห้วยทบั ทนั

อำเภอหว้ ยทบั ทนั

- งานไหว้พระธาตุ ดอกเหด็ บาน สบื สาน - วดั ปา่ ธาตุ ตำบลธาตุ อำเภอวงั หนิ

ประเพณี

- งานแหข่ า้ วพันก้อน อำเภอยางชุมน้อย - ตำบลบงึ บอน อำเภอยางชุมน้อย

- งานวนั ขา้ วโพดหวานและของดศี รีรัตนะ - ทว่ี ่าการอำเภอศรีรัตนะ ตำบลศรแี กว้ อำเภอ

ศรรี ัตนะ

- งานเทศกาลของดีศรขี นุ หาญ - สนามกฬี า (วงกลม) อำเภอขนุ หาญ ตำบลสิ

อำเภอขุนหาญ

- งานเทศกาลเงาะ-ทุเรยี นและของดีกันทรลักษ์ - ทว่ี า่ การอำเภอกนั ทรลักษ์ ตำบลนำ้ ออ้ ม

อำเภอกนั ทรลักษ์

- งานประเพณีบญุ บง้ั ไฟมหกรรมผ้าไหมบึงบูรพ์ - ตำบลบึงบรู พ์ อำเภอบึงบูรพ์

- งานปริวาสธรรมอุทยานธรรมดงยาง - สำนกั ปฏิบัติธรรมวดั ศรีมงคล (อทุ ยานธรรม

ดงยาง) ตำบลคลีกล้ิง อำเภอศิลาลาด

- งานประเพณแี ห่เทียนพรรษา ตำบลกันทรอม - เทศบาลตำบลกนั ทรอม อำเภอขุนหาญ

- งานประเพณแี ห่เทียนพรรษา ตำบลตองปดิ - ตำบลตองปดิ อำเภอนำ้ เกล้ยี ง

- งานประเพณีทำบญุ เทศกาลเขา้ พรรษา - ทุกอำเภอในจงั หวดั ศรสี ะเกษ

- งานประเพณีบุญเขา้ พรรษา - ตำบลพรหมสวัสดิ์ อำเภอปรางคก์ ู่

- งานวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา ๑๒ สงิ หามหา - ศาลากลางจงั หวัดศรสี ะเกษ ตำบลเมืองเหนอื

ราชนิ ี อำเภอเมอื งฯ และทกุ อำเภอในจังหวัดศรีสะเกษ

- การแขง่ ขันว่งิ ฮาล์ฟ และควอเตอรม์ าราธอน - เสน้ ทางข้นึ สเู่ ขาพระวิหารระหวา่ งหมบู่ า้ น

สู่ผามออแี ดง ภมู ิซรอล - ผามออีแดง อำเภอกันทรลกั ษ์

- งานเทศกาลเงาะ-ทุเรียน และของดศี รีสะเกษ - วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยีศรสี ะเกษ

ตำบลหนองครก อำเภอเมอื งฯ

วัน/เดือน/ปี เทศกาล/โครงการ/กิจกรรม ๓๙
กันยายน - งานรำลกึ พระยาไกรภักดีประเพณีแซนโฎนตา
บูชาหลักเมอื ง ลอื เล่ืองกลว้ ยแสนหวี ศรสี ะเกษ สถานท่จี ัดกจิ กรรม
ตลุ าคม - งานประเพณแี ซนโฎนตา อำเภอปรางค์กู่
พฤศจกิ ายน - บริเวณอนสุ าวรยี ์พระยาไกรภกั ดีศรีนครลำดวน
- งานประเพณีแซนโฎนตา อำเภอภูสงิ ห์ (ตากะจะ) ตำบลห้วยเหนอื อำเภอขุขันธ์
ธันวาคม - ทีว่ า่ การอำเภอปรางค์กู่ ตำบลพมิ าย อำเภอ
- งานประเพณีแซนโฎนตา ตำบลพราน ปรางคก์ ู่
อำเภอขนุ หาญ - ทวี่ ่าการอำเภอภูสงิ ห์ ตำบลหว้ ยติ๊กชู อำเภอ
- งานประเพณีทำบุญวนั ออกพรรษา ภสู ิงห์
- งานประเพณแี ข่งเรอื ยาวชาวราษไี ศล - วดั บา้ นพราน ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ
วฒั นธรรมแห่งลมุ่ นำ้ มลู
- งานประเพณีลอยกระทงจงั หวัดศรีสะเกษ - ทกุ อำเภอในจงั หวัดศรสี ะเกษ
- ลำนำ้ มูล บริเวณหลงั ทีว่ ่าการอำเภอราษีไศล
- งานประเพณีปงั ออกเปรย๊ี ะแค ตำบลพราน อำเภอราษไี ศล
อำเภอขุนหาญ - เกาะกลางนำ้ ห้วยน้ำคำ ตำบลนำ้ คำ อำเภอ
- งานมหกรรมแข่งขันเรือยาว อำเภอศลิ าลาด เมืองฯ และทกุ อำเภอในจังหวัดศรสี ะเกษ
- งานวนั เฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธนั วามหาราช - ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ

- งานเทศกาลปใี หม่และงานกาชาดจังหวดั - ลำหว้ ยเสียว อำเภอศลิ าลาด
ศรีสะเกษ - ศาลากลางจงั หวัดศรีสะเกษ ตำบลเมืองเหนือ
อำเภอเมอื งฯ และทุกอำเภอในจังหวัดศรีสะเกษ
- ศาลากลางจงั หวัดศรีสะเกษ ตำบลเมอื งเหนือ
อำเภอเมืองฯ

เครือขา่ ยด้านศาสนา ศิลปะ และวฒั นธรรม จำนวน ๑ แห่ง

ดา้ นวฒั นธรรม จำนวน ๓ แหง่
๑. ศูนยว์ ัฒนธรรมจังหวดั
- ที่ตงั้ โรงเรียนศรีสะเกษวทิ ยาลัย อำเภอเมืองศรีสะเกษ จำนวน ๑ แห่ง
๒. ศูนยว์ ฒั นธรรมอำเภอ จำนวน ๒๒ แห่ง
- ท่ตี ้งั โรงเรยี นกันทรลักษว์ ทิ ยา อำเภอกันทรลกั ษ์ จำนวน ๒๐๐ แห่ง
- ทต่ี ั้ง โรงเรยี นขนุ หาญวทิ ยาสรรค์ อำเภอขุนหาญ จำนวน ๑ แห่ง
- ทต่ี ้ัง วดั สำโรงพลัน อำเภอไพรบงึ จำนวน ๙ แห่ง
๓. สภาวฒั นธรรมจงั หวดั จำนวน ๔๐ แห่ง
๔. สภาวฒั นธรรมอำเภอ จำนวน ๑ แห่ง
๕. สภาวัฒนธรรมตำบล จำนวน ๖ ภูมิปญั ญา
๖. สภาวัฒนธรรมเทศบาลเมอื งศรสี ะเกษ จำนวน ๗๘ คณะ
๗. สภาวฒั นธรรมเทศบาลตำบล
๘. โครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชมุ ชน
๙. ศนู ยว์ ัฒนธรรมเฉลิมราช
๑๐. มรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
๑๑. ศลิ ปินพ้นื บา้ น

๔๐

๑๒. ชา่ งฝมี ือพืน้ บา้ น จำนวน ๑๐๑ คน / กลมุ่

๑๓. โบราณสถาน จำนวน ๓๓๙ แห่ง

- โบราณสถานขน้ึ ทะเบยี นแลว้ จำนวน ๒๒ แห่ง

- โบราณสถานทย่ี งั ไม่ไดข้ นึ้ ทะเบียน จำนวน ๓๑๗ แหง่

๑๔. แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม จำนวน ๗ แห่ง
๑๒ แห่ง
๑๕. ชมุ ชนทอ่ งเทย่ี วทางวัฒนธรรม (บวร ออน ทวั ร)์ จำนวน ๓ แห่ง

๑๖. พพิ ิธภัณฑ์ชมุ ชน จำนวน

๑๗. ตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวฒั นธรรม จำนวน ๔ แหง่

๑๘. รุกขมรดกของแผ่นดนิ จำนวน ๒ แหง่

๑๙. ร้านอาหารเก่าแก่ (อายุตง้ั แต่ 30 ปีขึ้นไป) จำนวน ๑๐ แหง่

ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม (ชมุ ชนคุณธรรม) จำนวน ๗๙๐ แหง่
๑. ชุมชนคุณธรรมนอ้ มนำหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
ขับเคลื่อนดว้ ยพลงั บวร

- ชุมชนคณุ ธรรมตน้ แบบ จำนวน ๖๐ แหง่

- ชุมชนคุณธรรม จำนวน ๑๕๖ แห่ง

- ชมุ ชนส่งเสรมิ คุณธรรม จำนวน ๕๗๔ แหง่

๒. ศูนย์ศกึ ษาพระพุทธศาสนาวนั อาทิตย์ จำนวน ๑๓๖ แหง่

(ขอหยุดพกั การเรยี นการสอนช่ัวคราว ๒๒ ศูนย์)

๓. โครงการลานธรรม ลานวิถไี ทย จำนวน ๑๕ แหง่

๔. คลินกิ คุณธรรมในสถานศึกษา จำนวน ๒ แหง่

๕. ศูนยค์ ุณธรรม (องค์การมหาชน)

- องค์กรคณุ ธรรม จำนวน ๔๓ แห่ง
- องค์กรคุณธรรมต้นแบบ จำนวน ๕๓ แหง่

- องคก์ รคุณธรรม จำนวน ๓๕ แห่ง
- องค์กรสง่ เสรมิ คณุ ธรรม จำนวน ๒๗ แหง่

- อำเภอคุณธรรม จำนวน ๒๒ แห่ง

- อำเภอคุณธรรมตน้ แบบ จำนวน ๒ แห่ง

- อำเภอคุณธรรม จำนวน ๑๒ แห่ง

- อำเภอส่งเสรมิ คุณธรรม จำนวน ๘ แหง่

ดา้ นเฝ้าระวังทางวฒั นธรรม จำนวน ๒๗๕ แห่ง
จำนวน ๖๑ แหง่
๑. สถานประกอบกจิ การร้านวีดิทัศน์ (เกมการเล่น)

๒. สถานประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์ (คาราโอเกะ)

๓. สถานประกอบกจิ การใหเ้ ชา่ แลกเปล่ียน หรือจำหน่ายภาพยนตร์ จำนวน ๘๘ แห่ง

๔. สถานประกอบกจิ การให้เชา่ แลกเปล่ยี น หรือจำหน่ายวดี ทิ ัศน์ จำนวน - แหง่
๕. โรงภาพยนตร์ จำนวน ๒๐ แหง่

๖. เครอื ข่ายอาสาสมคั รเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม จำนวน ๑,๐๔๔ คน
๗. ศนู ยเ์ ฝา้ ระวงั ทางวฒั นธรรม จำนวน ๕๘๐ แห่ง

- ศูนยเ์ ฝ้าระวงั ทางวฒั นธรรมในสถานศึกษา จำนวน ๔๑๔ แหง่
- ศูนย์เฝ้าระวังทางวฒั นธรรมนอกสถานศกึ ษา จำนวน ๑๖๖ แหง่

๔๑

โบราณสถาน / โบราณวตั ถุ
จากประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าพันปีท่ีผ่านมา เชื่อว่าจังหวัดศรีสะเกษเคยเป็นชุมชนและ

แหล่งอารยธรรมอันรุ่งเรอื งในสมัยขอมเรืองอำนาจมาก่อน ดังปรากฏหลักฐานทางโบราณสถาน โบราณวัตถุ
ซึ่งพบวา่ ในพ้นื ทจ่ี ังหวดั ศรสี ะเกษหลายแหง่ ล้วนมคี วามสำคัญและนา่ สนใจ ดังนี้

ปราสาทสระกำแพงใหญ่
เป็นปราสาทใหญ่ที่สุดในจังหวัดศรสี ะเกษ ตั้งอยู่ท่ีวัดสระกำแพงใหญ่ ใกล้ถนนสาย อุทุมพร
พิสัย – ห้วยทับทัน ทางหลวงหมายเลข ๒๒๖ เขตบ้านกำแพง ตำบลสระกำแพงใหญ่ อำเภอ อุทุมพรพิสัย
มีถนนแยกจากทางหลวงหมายเลข ๒๐๘๐ เข้าไปประมาณ ๔๐๐ เมตร ห่างจากอำเภอ ๒ กโิ ลเมตร สันนิษฐาน
ว่าสร้างในสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ เป็นปราสาทหินองค์เล็กๆ มีระเบียงคต ก่อด้วยหินทรายและศิลาแลง
ลอ้ มรอบลวดลายแกะสลักสมยั ขอมประณตี งดงามมาก แม้จะเหลอื ให้เห็น เปน็ ซากปรักหักพัง
ปราสาทสระกำแพงน้อย
ต้ังอยู่ท่ีตำบลขะยูง ถนนสายศรีสะเกษ – อุทุมพรพิสัย อำเภออุทุมพรพิสัย มีลักษณะคล้าย
ปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ องค์ปราสาทเป็นองค์เล็ก สร้างด้วยศิลาแลง ใกล้ๆ ปราสาทมสี ระนำ้ เล็กมีขอบ ทำ
ดว้ ยศิลาแลงทุกด้านเรียกวา่ “สระอโนดาต” บนทับหลังประตูและขอบประตูแต่ละด้านจำหลกั ลวดลายเอาไว้
กำแพงทเ่ี ป็นศิลาแลงล้อมรอบหักพังลงมาเป็นส่วนใหญ่ สันนิษฐานว่าสรา้ งข้ึนในสมยั พระเจ้าสรุ ิยวรมนั ท่ี ๑ ราว
พระพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เปน็ สมัยเดยี วกับปราสาทหินสระกำแพงใหญ่
ปราสาทปรางคก์ ู่
ตั้งอยู่ที่บ้านกู่ ตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๒๑๖๗ ระยะทาง ๒๐
กิโลเมตร ถึงอำเภอปรางค์กู่แยกอีก ๑๐ กิโลเมตร จึงถึงองค์ปราสาท มีลักษณะเป็นปรางค์ ๓ องค์ สร้างเป็น
แนวจากเหนือไปใต้ อยู่เป็นฐานเนินดินขนาดใหญ่ ก่อด้วยอิฐขัดเรียบและอิฐปนแลง มีทับหลัง ประดับกรอบ
ประตู สร้างขนึ้ ในศาสนาฮินดู ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗
ปราสาททามจาน
ตั้งอยู่หมู่ที่ ๒ ตำบลสมอ อำเภอปรางค์กู่ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็น
โบราณสถานทเ่ี ชื่อว่าคือ อโรคยาศาล หรือศาสนสถานพยาบาล พระเจ้าชยั วรมันท่ี ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๗๖๑)
แห่งอาณาจกั รเขมร โปรดเกล้าฯ ให้สรา้ งข้ึนทั่วราชอาณาเขตของพระองค์
ปราสาทห้วยทบั ทัน
ตงั้ อยู่ทีว่ ัดปราสาทพนาราม บ้านปราสาท ตำบลปราสาท อำเภอหว้ ยทบั ทัน โบราณสถานแห่งนี้
ตั้งอยู่บนเนนิ ดิน มีลักษณะเป็นรูปปรางคส์ ่ีเหล่ียมยอ่ มุมทรงแหลมเรียวรีลดหลั่น จากส่วนฐานถงึ ยอดปราสาท
ก่อด้วยอิฐสอปูนขนาดใหญ่ไล่เล่ียกัน ๓ องค์ ต้ังอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน สันนิษฐานว่าธาตุ ท้ังสามองค์น้ี
คงสร้างขึ้นภายหลังบนบริเวณปราสาทหรือเทวสถานของขอมเดิมท่ีปรกั หักพังลง สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่
๑๕ - ๑๖
พระธาตเุ มอื งจันทร์
ปราสาทเมืองจันทร์นตี้ ้ังอยู่ที่วัดบ้านเมอื งจันทร์ ตำบลเมืองจันทร์ อำเภอเมอื งจันทร์ จังหวัด
ศรีสะเกษ วันท่พี วกเราไปกันนัน้ ท่ีวัดมีงานฉลองธาตบุ ้านเมอื งจนั ทร์ ท่ีวดั ประดับประดาด้วยร้ิวผา้ ทอสวยงาม
เป็นระยะ ภายในวัด มีงานแสดงของนักเรียนหลายโรงเรียน มีการแสดงสินค้าโอทอปหลายตำบล
ปราสาทเมืองจันทร์นี้มีลักษณะรูปร่างคล้ายพระธาตุพนม กอ่ สร้างด้วยอิฐสอปนู มฐี านเปน็ ส่เี หลีย่ มจตั ุรสั มซี ุ้ม
ประตูทัง้ สี่ทศิ ไม่มีหลักฐานวา่ สร้างเพ่ือจดุ ประสงคใ์ ด และสร้างในสมัยใด
ปราสาทตำหนักไทร
ตั้งอยู่ที่บ้านตำหนักไทร ตำบลบักดอง อำเภอขุนหาญ บริเวณเส้นทางสายขุนหาญ – น้ำตก
สำโรงเกยี รติ ลักษณะปราสาทเป็นแบบปรางค์เดีย่ ว รูปส่เี หลย่ี มยอ่ มุมหันหนา้ ไปทางตะวันออก ประตูเข้า ดา้ น

๔๒

เดียวคือ ทิศตะวนั ออก ตัวปรางคก์ ่อด้วยอฐิ ท้งั องค์ กรอบประตแู ละทบั หลังทำด้วยหินทราย ศิลาทับหลัง เหลือ
ประตูทางเข้าสลักเป็นรูปนารายณ์สี่กรบรรทมสินธ์ุ เหนือพระยาอนันตนาคราช ๗ เศียร บริเวณทางเข้า
ปราสาทมรี ูปสิงห์ ๒ ตัว สลักด้วยหินวางอยดู่ ้านหนา้ ปราสาท

ปราสาทศิลาช่องเขาโดนตรวล
ต้ังอยู่รมิ หน้าผาสูงชนั ลาดหินโดนตรวล บริเวณชายแดนทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ของบ้านภูมิซรอล
บนเทือกเขาพนนมดงรกั อยู่ห่างจากบา้ นภมู ิซรอลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๘ กโิ ลเมตร
ตำบลบึงมะลู อำเภอกนั ทรลักษ์ หา่ งจากตวั อำเภอประมาณ ๓๘ กิโลเมตร ปราสาทแห่งน้ีตง้ั อยกู่ ลางป่าทึบ ติด
ชายแดนไทย – กัมพชู า
พระธาตุจังเกา (ปราสาทจงั เกา)
ตง้ั อยู่ในพ้ืนท่ีสี่อำเภอ คอื อำเภอวังหิน อำเภอพยหุ ์ อำเภอไพรบึง และอำเภอขขุ ันธ์ เดิมองค์
เรือนธาตุจะมีลักษณะเป็นพระปรางค์องค์เด่ียวรูปทรงสี่เหล่ียม ปัจจุบันพังทลายลงกลายเป็นกองอิฐคล้าย
ปราสาทเยอ สันนษิ ฐานวา่ อาจสร้างขึ้นเป็นทีบ่ รรจุอฐั ขิ องผ้ปู กครอง หรอื พระสงฆ์ในสมัยโบราณ

แผนที่จังหวัดศรสี ะเกษ ๔๓

N

พระธาตเุ รืองรอง

สัญลักษณ์ ทางรถไฟ

 ท่ตี ั้งอำเภอ
โบราณสถาน/โบราณวัตถุ


Click to View FlipBook Version