The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชาวิทยุสื่อสารและการสื่อสารในหน้าที่ตำรวจ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Jaonay Mhailaung, 2023-11-26 23:06:24

วิชาวิทยุสื่อสารและการสื่อสารในหน้าที่ตำรวจ

วิชาวิทยุสื่อสารและการสื่อสารในหน้าที่ตำรวจ

เอกสารประกอบการสอน หลักสูตร นักเรียนนายสิบตำรวจ และผู้เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรอื่น ๆ วิชาวิทยุสื่อสารและการสื่อสารในหน้าที่ตำรวจ โดย ร้อยตำรวจเอก วีระยุทธ์ ไหมเหลือง อาจารย์ (สบ 1) กลุ่มงานอาจานย์ ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 9 กลุ่มงานอาจารย์ ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 9 พ.ศ.2566


คำนำ เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชาวิทยุสื่อสาร และการสื่อสารในหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจถึงความสำคัญของวิทยุสื่อสารและการสื่อสารในหน้าที่ ตำรวจ สามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดีและเป็นผู้มีความสามารถมีทักษะในการนำเทคโนโลยี สารสนเทศไปศึกษาค้นคว้าประยุกต์ใช้ และพัฒนาตนเองในการปฏิบัติหน้าที่ และการดำเนินชีวิตได้ ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดทำเอกสารฉบับนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อนักเรียน นายสิบตำรวจและข้าราชการตำรวจที่เข้ามาอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ณ ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 9 และสถานฝึกอบรมอื่น ๆ ที่มีความสนใจ เป็นอย่างดี ร้อยตำรวจเอกวีระยุทธ์ ไหมเหลือง 1 ตุลาคม 2566


สารบัญ หน้า วิชา วิทยุสื่อสารและการสื่อสารในหน้าที่ตำรวจ บทที่ 1 หลักการสื่อสาร 1 ระเบียบกรมตํารวจว่าด้วยเครื่องรับ-ส่งวิทยุของกรมตํารวจ พ.ศ.๒๕๒๗ 3 บทที่ 2 กำหนดนามเรียกขานและประมวลลับ 5 ประมวลลับที่ใช้ในราชการสํานักงานตํารวจแห่งชาติ 6 บทที่ 3 ศูนย์การสื่อสาร 11 การควบคุมศูนย์สื่อสาร 12 บทที่ 4 การปฏิบัติภายในศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคม 19 การปฏิบัติภายในศูนย์การสื่อสาร 20 บทที่ 5 การใช้และการบํารุงรักษาเครื่องมือสื่อสาร 33 วิธีการใช้และการบํารุงรักษาเครื่องรับ-ส่งวิทยุสื่อสาร 34 การซ่อมและบํารุงรักษาเครื่องรับ-ส่งวิทยุและอุปกรณ์ 35 เครื่องมือสื่อสารที่ใช้ในราชการตํารวจ 36 ภาคผนวก 43


๑ บทที่ 1 หลักการสื่อสาร วัตถุประสงค์การเรียนรู้ประจำบท 1. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจมีความรู้เกี่ยวกับหลักการสื่อสารทั่วไป ๒. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจมีความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสื่อสารทั่วไป ๓. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจนำความรู้เกี่ยวกับหลักการสื่อสารทั่วไป สามารถนำไปปฏิบัติ ได้ถูกต้อง และบรรลุวัตถุประสงค์ของทางราชการ ส่วนนำ การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และแก้ไขปัญหาได้ถูกต้อง จะต้องมี การสื่อสารที่เข้าใจและรวดเร็ว โดยมีเครื่องมือสื่อสารเป็นตัวกลางนำสาร ในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารมีหลาย ช่องทางและที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดถือปฏิบัติคือการติดต่อสื่อสารทางวิทยุ ซึ่งสะดวก รวดเร็วและทัน ต่อสถานการณ์จึงจำเป็นต้องศึกษา เรียนรู้ฝึกอบรบในการใช้ให้เกิดทักษะและบำรุงรักษาให้ถูกต้องตามระเบียบ ของทางราชการ


๒ หลักการสื่อสารทั่วไป ปัจจุบันวิวัฒนาการในด้านการสื่อสารได้เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ได้มีการนำเทคโนโลยี สมัยใหม่มาใช้กับระบบสื่อสาร ในการรับส่งข่าวสารและข้อความต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนประกอบกับ สภาพแวดล้อมในเมืองหลวงของประเทศไทยมีปัญหาในเรื่องการจราจรติดขัด การสื่อสารจึงมีความจำเป็นอย่าง มากที่จะอำนวยความสะดวกในการติดต่อประสานงานงานซึ่งกันและกัน มีทั้งวิทยุสื่อสาร โทรศัพท์ โทรเลข โทรพิมพ์ เทเล็กซ์ เป็นต้น ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีกองบัญชาการหรือกองบังคับการเป็นแม่ข่ายควบคุม การติดต่อสื่อสารของลูกข่ายและสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกองบัญชาการต่อกองบัญชาการที่ใกล้เคียงได้ ระบบการติดต่อสื่อสาร แบ่งออกตามความสามารถการโต้ตอบได้ ๒ ประเภท คือ ๑. ระบบการสื่อสารทางเดียว (ONE WAY DIRECTION) เป็นการติดต่อสื่อสารในทิศทางเดียวโดยที่ผู้รับไม่สามารถส่งข่าวสารโต้ตอบไปยังผู้ส่งได้ เช่นโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุเรียกตัว ๒. ระบบสื่อสาร ๒ ทาง (TWO WAY DIRECTION) เป็นการติดต่อสื่อสารที่สามารถโต้ตอบกันได้ระหว่างผู้รับกับผู้ส่ง เช่น วิทยุสื่อสาร โทรศัพท์เป็นต้น ความหมายของคําว่าการสื่อสาร มีผู้ให้คําจํากัดความของคําว่า “การสื่อสาร” หลายคน เช่น “การสื่อสาร หมายถึง บรรดาเครื่องมือที่ใช้ในการรับ-ส่ง หรือนําข่าวสารแม้เราจะอยู่ห่างไกล เกินกว่าเสียงมนุษย์ติดต่อได้ยิน แต่เราก็สามารถส่งข่าวให้ถึงกันได้โดยใช้ตัวแทนหรือสัญญาณ” (จันทร์ศิริ มูลศาสตร์,๒๕๓๕ : ๑) “การสื่อสาร หมายถึง ระบบการอันหนึ่งซึ่งหมายถึงการจัดและการใช้เครื่องมือ คนหรือสัตว์นํา การ รับ-ส่งข่าว รายงาน คําสั่ง หรือข้อความใดๆ ที่ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ” (สุนทร บางท่าไม้ ม.ป.ป. : ๔๓) “วิศวกรรมการสื่อสาร หมายถึง การเปลี่ยนข่าวสารทุกรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องการส่งข่าวสารแปล เป็น สัญญาณไฟฟ้าเป็นตัวแทนของข่าวนั้น ไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการและปลายทางนี้จะแปลง สัญญาณ ไฟฟ้าเป็นข่าวสารให้คนทั่วไปเข้าใจ” (พงษ์ชาย เจริญธนะจินดา, ๒๕๒๔ : ๓) รวมความแล้วคําว่า “การสื่อสาร” หมายถึง “วิธีการใดๆ ที่สามารถรับหรือส่งข่าวสาร ถึงกัน และกันได้ถึงแม้จะอยู่ไกลกันเกินกว่าเสียงมนุษย์จะได้ยินถึงโดยการใช้ตัวแทนหรือสัญญาณ ส่งไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง และเข้าใจความหมายตรงกัน” (กิตติชัย ริ้ววิริยะ, ๒๕๓๕ : ๘)


๓ ระเบียบกรมตํารวจว่าด้วยเครื่องรับ-ส่งวิทยุของกรมตํารวจ พ.ศ.๒๕๒๗ ข้อ ๑ ผู้ใช้เครื่องมือสื่อสารจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบการสื่อสารของกรม ตํารวจและระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติกับการสื่อสาร พ.ศ.๒๕๒๕ ข้อ ๒ ผู้ใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุ ต้องมีนามเรียกขานตามที่กรมตํารวจกําหนดให้ หรือที่หน่วยงาน ในสังกัดกรมตํารวจกําหนดขึ้น โดยได้รับความเห็นชอบจากกองตํารวจสื่อสาร ข้อ ๓ ผู้ใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุ จะต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าหน่วยงานตั้งแต่ชั้นสารวัตร หรือเทียบเท่าขึ้นไป ข้อ ๔ ในการติดต่อสื่อสารจะต้องใช้ประมวลลับ นามเรียกขานที่กําหนดหรือหน่วยงานใน สังกัด กรมตํารวจกําหนดขึ้น โดยได้รับความเห็นชอบจากกองตํารวจสื่อสาร ข้อ ๕ การติดต่อสื่อสารกันโดยตรงจะต้องได้รับอนุญาตจากสถานีบังคับจ่ายก่อน เมื่อได้รับ อนุญาตแล้วจึงจะทําการติดต่อกันได้ และเมื่อการติดต่อจะต้องแจ้งสถานีบังคับจ่ายให้ทราบ ข้อ 6 การติดต่อสื่อสารทางเครื่องมือ-ส่งวิทยุ หากกรมตํารวจหรือหน่วยงานในสังกัดกรม ตํารวจ มิได้กําหนดประมวลลับในการติดต่อสื่อสาร จะต้องใช้ถ้อยคําที่สุภาพ ข้อความที่จะติดต่อต้องสั้น กะทัดรัดได้ใจความ ข้อ ๗ ห้ามใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุ พูดจาหลอกล้อหรือติดต่อกันในเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอื่นๆ อัน ไม่เกี่ยวข้องกับราชการ ข้อ 8 ผู้ใช้เครื่องมือสื่อสารต้องใช้ความถี่ให้ถูกต้องภายในข่ายการสื่อสารของหน่วยงานนั้น ตามที่กรมตํารวจกําหนด ข้อ 9 กรณีข่าวการติดต่อ ความถี่นั้นมีการติดต่อสื่อสารกันอยู่ ห้ามเรียกสอดแทรกเข้าไป ยกเว้น มีเหตุเร่งด่วนฉุกเฉิน ข้อ ๑๐ ผู้ใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุ จะต้องรักษาความลับในข้อความที่ติดต่อสื่อหรือได้ยินจากที่อื่น ติดต่อราชการกันอยู่โดยเคร่งครัด ข้อ ๑๑ ผู้ใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุ จะต้องเร่งความดังของเครื่องรับวิทยุพอสมควรที่ตนเองจะได้ ยินเท่านั้น ข้อ ๑๒ การติดต่อสื่อสารข้อความที่เป็นความลับ ให้เข้ารหัสในการติดต่อสื่อสาร ข้อ ๑๓ ห้ามนําเครื่องรับ-ส่งวิทยุของกรมตํารวจไปให้บุคคลภายนอกเก็บ ใช้ หรือทําการ ตรวจซ่อมเป็นอันขาด ข้อ ๑๔ เครื่องรับ-ส่งวิทยุของกรมตํารวจที่อยู่ในความรับผิดชอบ เมื่อเกิดชารุดเสียหาย จะต้อง รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยด่วน ข้อ ๑๕ ห้ามพกพาเครื่องรับ-ส่งวิทยุเข้าไปในสถานที่อันไม่บังควรเปิดเผย และมิได้มีราชการ สําคัญ ข้อ ๑๖ ผู้ใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุจะต้องปฏิบัติตามคําสั่งหรือข้อเสนอแนะของกองตํารวจสื่อสาร อันเกี่ยวด้วยการปฏิบัติการสื่อสาร


๔ ข้อ ๑๗ ให้กองตํารวจสื่อสาร กรมตํารวจ ปฏิบัติและตรวจสอบการใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุของ หน่วยงาน ให้เป็นไปตามระเบียบนี้ ข้อ ๑๘ เมื่อมีการฝ่าฝืนระเบียบนี้ ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาโทษตามควรแก่กรณี การเลือก วิธีการส่งข่าว ซึ่งมีลําดับความปลอดภัยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ๑. เจ้าหน้าที่นําสาร ๒. ไปรษณีย์ลงทะเบียน ๓. วงจรสายที่รับรองแล้ว ๔. ไปรษณีย์ธรรมดา ๕. วงจรสายที่ไม่รับรอง 5. ทัศนสัญญาณ ๗. สัตว์นําสารที่ฝึกและขึ้นทะเบียนของทางราชการแล้ว ๔. เสียงสัญญาณ ๙. วิทยุ การรักษาความปลอดภัยในการเตรียมทําข่าว ผู้เขียนข่าวและผู้อนุมัติข่าวจะต้องปฏิบัติ ดังนี้ ๑. ผู้เขียนข่าวต้องเขียนข่าวในกระดาษข่าวตามตัวอย่างที่แสดงไว้ท้ายระเบียบ ๒. ข่าวที่จะส่งทางวิทยุต้องสั้น กะทัดรัด ชัดเจน และไม่สามารถส่งโดยวิธีอื่นใด ๓. ผู้ให้ข่าวเป็นผู้กําหนดชั้นความลับของข่าวโดยให้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความ ปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๗ ๔. ผู้ให้ข่าวต้องกําหนดชั้นความเร่งด่วนของข่าวให้เหมาะสม เพื่อส่งถึงผู้รับทันเวลาและตาม ความจําเป็นของสถานการณ์


๕ บทที่ ๒ การกำหนดนามเรียกขานและประมวลลับ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ประจำบท 1. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจมีความรู้เกี่ยวกับนามเรียกขาน ๒. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้นามเรียกขานและประมวลลับ ๓. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจนำความรู้เกี่ยวกับหลักการใช้นามเรียกขานและประมวลลับ สามารถนำไปปฏิบัติได้ถูกต้อง และบรรลุวัตถุประสงค์ของทางราชการ ส่วนนำ การติดต่อสื่อสารภายในหน่วยงานต่างๆ ของสํานักงานตํารวจแห่งชาติใช้วิทยุสื่อสารเป็น หลักในการปฏิบัติหน้าที่ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นจะต้องเรียนรู้การใช้นามเรียกขานและประมวลลับ เพื่อใช้ใน การปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์แก่ทางราชการสูงสุด


๖ การกําหนดนามเรียกขานและประมวลลับ การกําหนดนามเรียกขาน ตามระเบียบว่าด้วยเครื่องรับ-ส่งวิทยุของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๒๗ ระบุไว้ในข้อ ๒ ว่า “ผู้ใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุต้องมีนามเรียกขานตามที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติกําหนดให้หรือที่หน่วยงานในสังกัด สํานักงานตํารวจแห่งชาติกําหนดขึ้น โดยได้รับความเห็นชอบจากกองตํารวจสื่อสาร” ฉะนั้นการติดต่อสื่อสารภายในหน่วยงานต่างๆ ของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ จึงจําเป็นต้อง กําหนดนามเรียกขานแทนชื่อของหน่วยงานและของบุคคลเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความรวดเร็วและมี ประสิทธิภาพ การกําหนดนามเรียกขานส่วนใหญ่ในหน่วยงานต่างๆ ของสํานักงานตํารวจแห่งชาติที่ขอมีวิทยุ สื่อสารจะเป็นผู้กําหนดนามเรียกขานขึ้นเองและขออนุมัติจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เมื่อสํานักงานตํารวจ แห่งชาติอนุมัติแล้วจึงแจ้งไปยังกองตํารวจสื่อสารให้ทราบ เช่น ศฝร.ภ.5 กําหนดนามเรียกขานของหน่วยงาน ว่า“สวรรค์” การกําหนดตัวเลขแทนชื่อบุคคล ส่วนมากนิยมใช้เลขหลักหน่วย หลักสิบ และหลักร้อยจาก ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยจนถึงตําแหน่งต่ําสุดคือลูกแถว เช่น ผบก.ศฝร.ภ.๖ ใช้หมายเลข 1 มีนามเรียกขานว่า ภูผา ๑ รอง ผบก.ศฝร.ภ.๖ ใช้หมายเลข ๒ มีนามเรียกขานว่า ภูผา ๒ รอง ผบก.ศฝร.ภ.5 ใช้หมายเลข ๓ มีนามเรียกขานว่า ภูผา ๓ ผกก.ฝอ.ศฝร.ภ.5 ใช้หมายเลข ๔ มีนามเรียกขานว่า ภูผา ๔ ผกก.บศ.ศฝร.ภ.5 ใช้หมายเลข ๕ มีนามเรียกขานว่า ภูผา ๕ การเรียกขาน การเรียกขาน คือ การที่สถานีแม่ข่ายและลูกข่ายทดสอบความชัดเจนของวิทยุซึ่งกันและกัน ว่ามี ความชัดเจนเพียงใด (ว.๑๖ ใด) และลูกข่ายอยู่ปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ต่อจากนั้นถ้าลูกข่ายมีความประสงค์ จะติดต่อ กับผู้อื่นให้กดคีย์ (PTT) แล้วเรียกขานเข้าสถานีแม่ข่ายที่เราต้องการพูดด้วย ๑ ครั้ง แล้วตามด้วยคําว่า “จาก” หรือ “เรียก” และนามเรียกขานของผู้เรียก เช่น ศฝร.ภ.5 มีสถานีแม่ข่ายใช้นามเรียกขานว่า “สวรรค์” และมีลูกข่ายใช้ นามเรียกขานว่า “ภูผาและคีรี” (ภูผาหมายถึงผู้ที่ทํางานที่กองกํากับ คีรีหมายถึงผู้ที่ทํางานที่กองร้อย) สถานีแม่ข่าย คือ ศูนย์การสื่อสารของหน่วยงานนั้นๆ มีหน้าที่คอยรับ-ส่งข่าวหรือคําสั่งไปยัง หน่วยงานรองและลูกข่าย ลูกข่ายคือ หน่วยงานรองจากสถานีแม่ข่ายและผู้รับปฏิบัติคอยรับคําสั่งจากผู้บังคับบัญชา ที่สั่ง การจากสถานีแม่ข่ายไปยังลูกข่าย ตัวอย่างการเรียก ลูกข่าย : สวรรค์จากภูผา ๑๒ ว.๒ เปลี่ยน ถ้าแม่ข่ายได้ยินจะตอบว่า สถานีแม่ข่าย : สวรรค์ ว.๒ เปลี่ยน


๗ แสดงว่าสถานีได้ยิน ภูผา ๐๒ เรียก แล้วตอบรับ ถ้าลูกข่ายมีธุระหรือมีราชการจะขอติดต่อกับ ลูก ข่ายโดยผ่านศูนย์หรือสถานีแม่ข่าย ก็จะพูดต่อไปว่า ลูกข่าย ภูผา ๐๒ : ขอ ว.5 กับ ภูผา ๐๑ สถานีแม่ข่ายจะตอบว่า : ทราบ ว.5 โดยผ่านสถานีแม่ข่ายรับรู้และตอบรับ ภูผา ๑๒ ก็สามารถพูดติดต่อกับภูผา ๐๑ ได้ ถ้าภูผา ๐๒ พูดติดต่อกับ ภูผา ๐๑ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ภูผา ๐๒ จะแจ้งเข้าสถานีแม่ข่าย คือ “สวรรค์” บอกเลิก ว.6 “สวรรค์” ก็จะแจ้งว่า “เลิก ว.6” และต่อด้วยเวลาในขณะนั้น เช่น เลิกพูดเมื่อเวลา ๑๐.๓๐ น. ก็จะพูดว่า “เลิก ว.6 สิบจุดสามศูนย์” เป็นการเสร็จสิ้นการพูดของลูกข่ายทั้งสอง ลูกข่ายคนอื่นๆ ก็สามารถแจ้งเข้าสถานี แม่ข่ายเพื่อติดต่อกับบุคคลอื่นหรือลูกข่ายได้ต่อไป การพูดวิทยุติดต่อกันจะต้องขออนุญาตต่อสถานีแม่ข่ายทุก ครั้งก่อนเสมอ ในกรณีที่ลูกข่ายกําลังพูดติดต่อกับสถานีแม่ข่ายแต่ต้องการใช้คําพูดแบบบุคคลธรรมดาไม่ใช้ ประมวลรหัสลับต้องเปลี่ยนช่องความถี่ไปใช้ช่องอื่นที่ตกลงกันไว้ (ว.๓๒) เช่น สถานีแม่ข่าย ใช้คลื่นความถี่ ๔๑๕ เป็นความถี่ประจําศูนย์ ต้องเปลี่ยนเป็น ๔๒๕ เป็นต้น เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกข่ายคนอื่นๆ ใช้ช่องเรียกขาน ๔๑๕ บ้าง ห้ามการติดต่อสนทนาที่ไม่ใช้ประมวลรหัสลับในช่องความถี่ประจําศูนย์ ประมวลสัญญาณ ว. มีทั้งหมด ๔๕ ตัว ในการติดต่อสื่อสารจริงจะใช้ประมาณ ๓๐ ตัว นอกนั้นนานๆ จะใช้สักครั้ง ประมวลลับ ประมวลลับที่ใช้ในราชการสํานักงานตํารวจแห่งชาติ หมายความว่า ได้ยินหรือไม่, ได้ยินแล้วตอบด้วย, ได้ยินแล้วตาม ว.๒ หมายความว่า ให้ทบทวนข้อความซ้ําอีก ว.๐ หมายความว่า ขอรับคําสั่ง, ต้องทราบ, ให้บอกมาด้วย ว.๐๐ หมายความว่า คอยก่อน, คําสั่งหรือเรื่องที่ต้องการทราบจะแจ้งมาภายหลัง ว.1 หมายความว่า ขอทราบที่อยู่, ขณะนี้อยู่ที่ไหน ว.๒ หมายความว่า ได้ยินหรือไม่, ได้ยินแล้วตอบด้วย, ได้ยินแล้วตาม ว.๒ ว.๓ หมายความว่า ให้ทบทวนข้อความซ้ำอีกครั้ง ว.๔ หมายความว่า การปฏิบัติงาน, ออกปฏิบัติงาน, ไปปฏิบัติงาน ว.๕ หมายความว่า ปฏิบัติราชการลับ ว.๖ หมายความว่า ขออนุญาตติดต่อกันโดยตรง ระหว่าง.....กับ.....โดยขออนุญาต “ศูนย์” ว.7 หมายความว่า ประสบเหตุคับขันที่ต้องการความช่วยเหลือ ว.๘ หมายความว่า ส่งข้อความแบบยาว รายงานเพราะเนื่องจ องจากรายงานมายัง “ศูนย์” ว่างหรือไม่หรือกําลังติดต่อกับสถานีใด เพราะถ้าไม่ทราบอาจจะรายงานทับกัน ๒ สถานี ฟังไม่รู้เรื่องและต้อง รายงานใหม่ทําให้เสียเวลา ฉะนั้นจึงได้กําหนดประมวลสัญญาณ ว.8 ขึ้น ซึ่งกําหนดหมายความว่า สถานีอื่น เรียกศูนย์และเรียก ว.8 ต้องการรายงานเหตุข้อความยาว “ศูนย์” ว่างหรือไม่ เมื่อ ว.8 ศูนย์ว่าง จะตอบ ว.8 และเรียกเข้ามาก็รายงานเข้ามาได้ สถานีอื่นที่ได้ยิน ศูนย์ ว.8 ทุกสถานีห้ามเรียกแซงเข้าไป ให้รอจนกว่าศูนย์ จะเสร็จสิ้นการติดต่อ ยกเว้นมีข่าวด่วนที่จะต้องรีบรายงานก็เรียกแซงเข้าไปได้ในระหว่าง ว.8 พัก


๘ ว.๙ หมายความว่า มีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุด่วนสําคัญ ถ้าศูนย์ฯ ประกาศใช้ประมวลลับ ว.๙ หมายความว่า ศูนย์ฯ ต้องการให้รถทุกคันหรือสถานีต่างๆ ระงับการติดต่อชั่วคราวและให้คอยรับคําสั่ง จากศูนย์ฯ ได้ทันที แต่ถ้ารถวิทยุแจ้งประมวลลับนี้ หมายถึง รถวิทยุมีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุด่วนที่จะต้องรีบ เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุหรือที่ใดที่หนึ่งขออนุญาตใช้สัญญาณไฟแดงและเสียงไซเรน หรือเมื่อศูนย์ฯ สั่งรถวิทยุ คันใดให้ใช้ประมวลลับนี้ หมายถึง ศูนย์ต้องการให้รถวิทยุคันนั้นใช้สัญญาณไฟแดงหรือเสียงไซเรนเพื่อให้รีบ เดินทางไปที่หนึ่งที่ใด ว.๑๐ หมายความว่า หยุดรถเพื่อปฏิบัติงานและติดต่อทางวิทยุได้ เช่น หยุดรถ เพื่อสังเกตการณ์ เหตุการณ์ ณ ที่หนึ่งที่ใด ก็ให้แจ้ง“ว.๑๐ สังเกตการณ์ที่... (แจ้งสถานที่)” หรือหยุดปฏิบัติงานที่เกิดเหตุให้แจ้ง “ว.๑๐ ที่เกิดเหตุ... (แจ้งเหตุหรือสถานที่)” ว.๑๑ หมายความว่า หยุดพักหรือจอดรถ โดยไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่และวิทยุยังสามารถ ติดต่อได้ ว.๑๒ หมายความว่า หยุดรถปฏิบัติงานหรือหยุดพักรถหรือจอดรถ โดยปิดเครื่องรับ-ส่งวิทยุ ไม่ สามารถติดต่อทางวิทยุได้ ว.๑๓ หมายความว่า ให้ติดต่อทางโทรศัพท์ ว.๑๔ หมายความว่า เลิกตรวจ เลิกปฏิบัติงาน หรือปฏิบัติงานเสร็จสิ้นแล้ว ว.๑๕ หมายความว่า ให้ไปพบ, ขอพบกัน ว.๑๖ หมายความว่า ทดลองเครื่องรับ-ส่งวิทยุ โดยมีความชัดเจนของเสียงดังนี้ ว.๑๖-๑ หมายความว่า รับฟังไม่รู้เรื่อง มีการรบกวนมาก ว.๑๖-๒ หมายความว่า รับฟังไม่ชัดเจน ว.๑๖-๓ หมายความว่า รับฟังชัดเจนพอใช้ได้ ว.๑๖-๔ หมายความว่า รับฟังได้ชัดเจนดี ว.๑๖-๕ หมายความว่า รับฟังได้ชัดเจนดีมาก เช่น ถาม ว.๑๖ ตอบ ว.๑๖-๕ ว.๑๗ หมายความว่า มีเหตุอันตราย ณ จุดใดจุดหนึ่ง ห้ามผ่าน การใช้ประมวลลับนี้ จะต้องแจ้ง ชื่อสถานีหรือเส้นทางต่อท้ายประมวลลับนี้ให้ทราบด้วยตนเองได้ ว.๑๘ หมายความว่า นํารถออกทดลองเครื่องยนต์ ว.๑๙ หมายความว่า สถานีวิทยุอยู่ในภาวะคับขัน ถูกยึด หรือถูกโจมตี และไม่สามารถป้องกัน ว.๒๐ หมายความว่า ตรวจค้น ค้นหา ตรวจสอบ ว.๒๑ หมายความว่า ออกจาก ว.๒๒ หมายความว่า ถึง ว.๒๓ หมายความว่า ผ่าน หรือระหว่างการเดินทาง ว.๒๔ หมายความว่า ถ้าใช้เป็นคําถาม หมายความว่า ขอเทียบเวลาหรือขอทราบเวลา ถ้าใช้ เป็น คําตอบ หมายความว่า แจ้งเวลา


๙ ว.๒๕ หมายความว่า ถ้าเป็นคําถาม หมายความว่า จะไปที่ใดหรือที่หมายอยู่ที่ไหน ถ้าเป็น คําตอบ หมายความว่า จะไปยัง หรือที่หมายคือโดยให้ระบุชื่อที่หมายไว้ท้าย ว.๒๖ หมายความว่า ให้พยายามติดต่อกันทางวิทยุให้น้อยที่สุด หากจําเป็นให้ใช้ประมวลลับ หรือ รหัส (ประมวลลับ ว.๒๖ นี้ควรใช้สําหรับภารกิจในพื้นที่ที่สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ฝ่ายตรงข้ามอาจดักฟัง การติดต่อ ทางวิทยุของฝ่ายเราได้) ว.๒๗ หมายความว่า การติดต่อทางโทรพิมพ์ ว.๒๘ หมายความว่า ประชุม ว.๒๙ หมายความว่า มีราชการอะไร ว.๓๐ หมายความว่า ขอทราบจํานวน (ใช้กับคน สิ่งของ อาวุธ) ว.๓๑ หมายความว่า เปลี่ยนความถี่ช่อง ๑ ว.๓๒ หมายความว่า เปลี่ยนความถี่ช่อง ๒ ว.๓๓ หมายความว่า เปลี่ยนความถี่ช่อง ๓ ว.๓๔ หมายความว่า เปลี่ยนความถี่ช่อง 4 ว.๓๕ หมายความว่า ให้เตรียมพร้อมออกปฏิบัติงาน ว.๓๖ หมายความว่า เตรียมพร้อมเต็มอัตรา ว.๓๗ หมายความว่า เตรียมพร้อมครึ่งอัตรา ว.๓๘ หมายความว่า เตรียมพร้อม ๑ ใน ๓ ว.๓๙ หมายความว่า การจราจรคับคั่ง (แล้วบอกสถานที่) ว.๔๐ หมายความว่า มีอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันหรือรถยนต์ชนคน (แล้วบอก สถานที่) ว.๔๑ หมายความว่า สัญญาณไฟเสีย (แล้วบอกสถานที่) ว.๔๒ หมายความว่า ยานพาหนะนําขบวน ว.๔๓ หมายความว่า จุดตรวจยานพาหนะ (แล้วบอกสถานที่) ว.๔๔ หมายความว่า FAX หรือ โทรสาร ว.๔๕ หมายความว่า ตรวจสอบประวัติบุคคลหรือรถ ว.๔๕-๑ หมายความว่า พบประวัติหรือข้อมูล (ว.สี่สิบห้า-หนึ่ง) ว.๔๕-๒ หมายความว่า ไม่พบประวัติหรือข้อมูล (ว.สี่สิบห้า-สอง) เข้ามาได้หมายความว่า ให้ส่งข่าวที่ต้องการส่งนั้นได้ เลิก หมายความว่า เป็นการจบข้อความที่ส่ง (ถ้าศูนย์ให้บอกเวลาแทน) และไม่ต้องการ ตอบรับอีก เปลี่ยน หมายความว่า จบข้อความที่ส่งวิทยุตอนหนึ่งๆ และต้องการตอบรับอีกฝ่ายหนึ่งเริ่มส่งได้ หมายความว่า ได้ทราบข้อความครั้งสุดท้ายดีแล้ว ทราบ รับปฏิบัติ หมายความว่า ได้ทราบข้อความดีแล้ว และจะปฏิบัติ


๑๐ ศูนย์บอกเวลา หมายความว่า เมื่อรับ-ส่งเสร็จ ศูนย์จะแจ้งเวลาทุกครั้งไป แสดงว่าศูนย์ฯ ติดต่อ วิทยุกับสถานีหรือรถคันอื่นเสร็จแล้ว ตัวเลขที่ใช้ในการเรียกขาน ถ้าเป็นตัวเลขของประมวลลับ ว. ให้อ่านออกเสียงเป็นจํานวน เช่น ว.๒๒ ให้อ่านว่า ว.ยี่สิบสอง ถ้าเป็นตัวเลขของนามเรียกขานให้อ่านตามเสียงของตัวเลข เช่น กส.๒๒ ให้อ่านว่า กส.สองสอง เลข ๒ ให้อ่านว่า สองไม่ให้อ่านว่า โท ส่วนเลข ๑ เช่น เลข ๑๑, ๒๑ ฯลฯ ให้ อ่านว่า สิบหนึ่ง, ยี่สิบหนึ่ง หรือ หนึ่ง, หนึ่ง , สองหนึ่ง เป็นต้น คําว่า ๑ ห้ามอ่านว่า เอ็ด เพราะคําว่าเจ็ดมีเสียง คล้ายคลึงกัน อาจทําให้เข้าใจผิดได้


๑๑ บทที่ 3 ศูนย์การสื่อสาร วัตถุประสงค์การเรียนรู้ประจำบท 1. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจมีความรู้เกี่ยวกับศูนย์การสื่อสาร ๒. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจมีความเข้าใจเกี่ยวกับศูนย์การสื่อสาร ๓. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจนำความรู้ไปปฏิบัติงานในศูนย์การสื่อสารได้ถูกต้อง และ บรรลุวัตถุประสงค์ของทางราชการ ส่วนนำ สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้จัดตั้งศูนย์การสื่อสาร ศูนย์รวมข่าว ศูนย์ปฏิบัติการต่าง ๆ ขึ้น ในระดับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กองบัญชาการ กองบังคับการ กองกํากับการ รวมทั้งหน่วยงานตํารวจอื่น โดยใช้วิทยุ โทรศัพท์ โทรสาร และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัยเพื่อทําหน้าที่รับข่าวและ ส่งข่าว การรายงานเหตุที่เกิดขึ้น การเผชิญเหตุ ป้องกัน ต่อต้าน ระงับ และลดอันตราย รวมทั้งบรรเทา สาธารณภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ และมีประสิทธิภาพ เพื่อพิทักษ์รักษาชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนและของรัฐ


๑๒ ศูนย์การสื่อสาร ข้อ ๑ ให้ศูนย์ปทุมวันเป็นศูนย์สื่อสารกลางของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และให้ศูนย์รวมข่าว หรือศูนย์ปฏิบัติการระดับกองบัญชาการ กองบังคับการ กองกํากับการ รวมทั้งของหน่วยงานตํารวจอื่น ในสังกัดสํานักงานตํารวจแห่งชาติทําหน้าที่เป็นศูนย์การสื่อสารของหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อให้การรับข่าวและ ส่งข่าวในการรายงานเหตุอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญหรือเหตุที่ต้องรายงานด่วนไปยังผู้บังคับบัญชา ระดับสูงสอดคล้องกับสายการบังคับบัญชา สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ และมีประสิทธิภาพ จึงให้ปฏิบัติ ดังนี้ ๑.๑ ให้ติดตั้งโทรศัพท์ประจําสถานที่ราชการและบ้านพักตามระเบียบการ โทรศัพท์ในราชการตํารวจที่กําหนด เพื่อให้ข้าราชการตํารวจรับทราบเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในเขตพื้นที่ รับผิดชอบได้ทุกเวลา และสามารถปฏิบัติการ สั่งการ หรือรับคําสั่งปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ๑.๒ ศูนย์การสื่อสารจะต้องพร้อมที่จะรับข่าวและส่งข่าว โดยสามารถแจ้งข่าว หรือส่งข่าวไปยังบุคคลและหน่วยที่เกี่ยวข้องนั้น ๆ ได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ตลอดเวลา โดยคํานึงถึงการ รักษาความปลอดภัยทางการสื่อสารเป็นหลัก ข้อ ๒ การติดต่อสื่อสาร การรายงานเหตุการณ์ของศูนย์การสื่อสาร ให้ปฏิบัติ ดังนี้ ๒.๑ เมื่อมีเหตุที่ต้องรายงานเกิดขึ้น ณ ท้องที่ใด ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นรีบ รายงานโดยย่อไปยังศูนย์การสื่อสารของหน่วยเหนือในระดับต่าง ๆ ที่รับผิดชอบพื้นที่ รวมทั้งศูนย์การ สื่อสารของหน่วยงานตํารวจอื่นที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณีทราบไว้ชั้นหนึ่งก่อน แล้วให้รายงานเพิ่มเติมรายละเอียด หรือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในโอกาสแรกที่กระทําได้ ๒.๒ เมื่อศูนย์การสื่อสารได้รับแจ้งเหตุตาม ๒.๑ ให้รีบรายงานไปยังผู้บังคับบัญชา ทุกระดับชั้นที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับศูนย์การสื่อสารหรือนายร้อยตํารวจเวร ประจําศูนย์การสื่อสาร ๒.๓ กรณีเหตุที่ต้องรายงานเกิดขึ้นและยังไม่ยุติ ก็ให้ดําเนินการตาม ๒.๑ และ ๒.๒ อย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ข้อ 3 ผู้บังคับบัญชาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่จะต้องรายงานเหตุและสถานการณ์ ให้ทราบ คือ ๓.๑ นายกรัฐมนตรี ๓.๒ รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้รับผิดชอบดูแลการปฏิบัติราชการของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ๓.๓ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ๓.๔ รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติหรือตําแหน่งเทียบเท่า และหรือผู้ช่วย ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติหรือตําแหน่งเทียบเท่า ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ๓.๕ ผู้บัญชาการหรือตําแหน่งเทียบเท่า และหรือรองผู้บัญชาการหรือตําแหน่ง เทียบเท่า ที่รับผิดชอบตามสายการบังคับบัญชา


๑๓ ๓.๖ ผู้บังคับการหรือตําแหน่งเทียบเท่า และรองผู้บังคับการหรือตําแหน่ง เทียบเท่า ที่รับผิดชอบในเขตพื้นที่ ๓.๗ ศูนย์ปฏิบัติการสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ๓.8 ผู้ว่าราชการจังหวัดและฝ่ายปกครองที่รับผิดชอบ ๓.9 หน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะทั้งหน่วยงานทหารและพลเรือนในเขต พื้นที่รับผิดชอบที่เห็นสมควร โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับศูนย์การสื่อสารหรือนายร้อยตํารวจเวรประจํา ศูนย์การสื่อสารนั้น ข้อ ๔ การรายงานเหตุไปยังผู้บังคับบัญชาตามสายงานหรือผู้บังคับบัญชาที่เป็น ผู้รับผิดชอบพื้นที่ที่เกิดเหตุ ถ้าสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยตรงไม่ต้องรายงานผ่านศูนย์การสื่อสารก็ได้ ข้อ ๕ ในกรณีที่บุคคลภายนอกติดต่อแจ้งข่าวหรือเหตุอันเกี่ยวกับหน้าที่ของตํารวจ ให้ศูนย์การสื่อสารรีบแจ้งเหตุนั้น ๆ ไปยังบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบโดยด่วน ข้อ 6 ศูนย์การสื่อสารเป็นที่รวมข่าวและรับแจ้งเหตุต่าง ๆ บุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถสอบถามเหตุการณ์ไปยังศูนย์การสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้น ๆ ได้ตลอดเวลา ข้อ ๗ คําสั่งที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการทางโทรศัพท์ ไม่ว่าผู้สั่งจะโทรศัพท์สั่งด้วยตนเองหรือ มีผู้อื่นรับคําสั่งไปแจ้งทางโทรศัพท์ ให้ผู้ที่ต้องปฏิบัติตามคําสั่งหรือศูนย์การสื่อสารใช้ความระมัดระวัง เป็นพิเศษ มิฉะนั้นอาจถูกแอบอ้างหรือถูกลวงเลียนให้นําไปปฏิบัติจนเกิดความเสียหายต่อราชการหรือ ตนเอง ตลอดจนผู้อื่นได้ ดังนั้น เรื่องใดที่ได้รับคําสั่งทางโทรศัพท์แล้วมีเหตุอันควรสงสัยว่าหากนําไปปฏิบัติ แล้วจะเกิด ความเสียหาย ให้ผู้รับโทรศัพท์สอบถามชื่อตัว ชื่อสกุล ตําแหน่ง ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ ที่ใช้ในการแจ้ง คําสั่งนั้นไว้ แล้วให้ผู้รับโทรศัพท์โทรศัพท์กลับตามหมายเลขที่แจ้งคําสั่งนั้นเพื่อทวนคําสั่งอีกครั้ง ถ้าผู้แจ้งอ้างว่า ได้รับคําสั่งจากผู้บังคับบัญชาท่านใด ให้ทวนคําสั่งต่อผู้บังคับบัญชาที่สั่งนั้น ส่วนการรับแจ้งทางโทรศัพท์จาก ผู้อื่นก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน การควบคุมสถานีสื่อสาร ข้อ ๑ เพื่อให้การติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในสํานักงานตํารวจแห่งชาติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงกําหนดการปฏิบัติและการประสานงาน ดังนี้ ๑.๑ ให้กองตํารวจสื่อสารเป็นเจ้าหน้าที่และผู้ชํานาญการสื่อสารของสํานักงาน ตํารวจแห่งชาติ มีหน้าที่ควบคุมในด้านวิทยาการสื่อสาร การติดต่อประสานงานเกี่ยวกับการสื่อสาร และ ให้คําแนะนําในการจัดหาเครื่องมือสื่อสารกับอุปกรณ์ให้แก่หน่วยงานซึ่งมีเครื่องมือสื่อสารใช้รวมทั้งให้บริการ ต่าง ๆ ตามความจําเป็นโดยใช้เงินงบประมาณของหน่วยงานนั้น ๑.๒ ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการสื่อสารของหน่วยงานต่าง ๆ ใน สํานักงานตํารวจแห่งชาติ จะต้องปฏิบัติตามคําแนะนําหรือข้อเสนอของกองตํารวจสื่อสารที่เกี่ยวกับ การ ปฏิบัติการสื่อสาร เช่น การจัดระบบการสื่อสาร การมี การใช้ การบํารุงรักษาเครื่องมือสื่อสาร รวมทั้ง เครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องโทรคมนาคม ที่ใช้เพื่อความมุ่งหมายในการสื่อสาร


๑๔ 1.3 ระบบการสื่อสารเป็นระบบที่สําคัญในการสั่งการบังคับบัญชา รวมทั้ง การ ปกครอง ป้องกัน และสืบสวนสอบสวนที่เป็นหน้าที่ของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ผู้บังคับบัญชาทุกคน จําเป็น จะต้องได้รับข่าวที่ถูกต้องและรวดเร็ว จึงให้ผู้บังคับบัญชาที่มีศูนย์การสื่อสารในบังคับบัญชาจะต้อง พิจารณา จัดหาวัสดุ อุปกรณ์ เทคโนโลยีที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพสูงมาใช้งาน ดําเนินการซ่อมบํารุง รักษา จําหน่าย และ กวดขันการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ๑.๔ ผู้ใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุจะต้องมีนามเรียกขานตามที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กําหนดให้ หรือตามที่ได้รับอนุญาตจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติ หรือหน่วยงานในสังกัดสํานักงาน ตํารวจ แห่งชาติกําหนดขึ้นโดยได้รับความเห็นชอบจากกองตํารวจสื่อสาร ๑.๕ ในการติดต่อสื่อสารจะต้องใช้ประมวลลับตามที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กําหนดขึ้นเท่านั้น ข้อ ๒ การควบคุมสถานีสื่อสาร ๒.๑ เมื่อสํานักงานตํารวจแห่งชาติมีความประสงค์จะให้หน่วยงานใดมีระบบ การสื่อสาร หรือหน่วยงานใดจะทําการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการสื่อสาร ให้ส่งกองตํารวจสื่อสาร พิจารณาแบบหรือออกแบบระบบการสื่อสารให้เหมาะสมกับภารกิจและความต้องการของหน่วยงานนั้น ๒.๒ ให้หน่วยงานในสํานักงานตํารวจแห่งชาติที่มีเครื่องมือสื่อสารใช้อยู่แล้ว ในปัจจุบันและจะมีขึ้นใหม่ จัดทําระบบการสื่อสารโดยระบุความถี่ กําลังส่งออกอากาศ ตําบลที่ติดตั้ง ตําบลที่ทําการติดต่อ ชนิดและแบบของเครื่อง และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องส่งกองตํารวจสื่อสารตามแบบที่ กําหนดท้ายบทนี้ และหากมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียด ให้หน่วยงานผู้ใช้แจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมให้ กอง ตํารวจสื่อสารพิจารณาทุกครั้ง ๒.๓ การตรวจซ่อมเครื่องมือสื่อสารของหน่วยงานต่าง ๆ หากเกินขีดความสามารถ ให้ส่งศูนย์บริการเทคนิคสื่อสารของกองตํารวจสื่อสารในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ๒.๔. ห้ามมิให้หน่วยงานต่าง ๆ ในสํานักงานตํารวจแห่งชาติใช้คลื่นความถี่วิทยุ ที่มิได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และมิได้อยู่ในความควบคุมหรือได้รับอนุญาตจากกองตํารวจสื่อสารเป็นอันขาด ทั้งห้ามมิให้ ใช้คลื่นความถี่วิทยุที่มีอยู่โดยถูกต้องตามระเบียบในกิจการที่ขัดกับข้อบังคับของสหภาพโทรคมนาคมอีกด้วย เพราะการปฏิบัติทํานองนี้อาจเป็นเหตุให้เกิดการรบกวนและเกิดผลเสียหายแก่ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย ว่าด้วยวิทยุคมนาคม ๒.๕ เพื่อให้การสื่อสารของหน่วยงานต่าง ๆ ในสํานักงานตํารวจแห่งชาติดําเนิน ไป ด้วยดี ให้กองตํารวจสื่อสารจัดส่งข้าราชการตํารวจชั้นสัญญาบัตรออกตรวจตราและให้คําแนะนํา รวมทั้งช่วย


๑๕ แก้ไขปัญหาทางการสื่อสารให้แก่ศูนย์การสื่อสาร สถานีสื่อสาร หน่วยสื่อสารเคลื่อนที่ของ หน่วยงานต่าง ๆ ใน สํานักงานตํารวจแห่งชาติเป็นครั้งคราว หากพบว่ามีการฝ่าฝืนระเบียบของสํานักงาน ตํารวจแห่งชาติ หรือไม่ เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการสื่อสารซึ่งอาจเป็นผลเสียหายแก่สํานักงานตํารวจ แห่งชาติ หรือขัดต่อข้อบังคับ ของสหภาพโทรคมนาคม ให้กองตํารวจสื่อสารแจ้งให้หน่วยงานนั้นดําเนินการ แก้ไขให้ถูกต้อง และหากยังมี การฝ่าฝืนก็ให้กองตํารวจสื่อสารรายงานสํานักงานตํารวจแห่งชาติเพื่อสั่งการต่อไป ข้อ 3 การบรรจุและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ในสายงานพนักงานสื่อสาร เพื่อให้การปฏิบัติการสื่อสารของหน่วยงานต่าง ๆ ในสํานักงานตํารวจแห่งชาติเป็นไปตาม กฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับวิทยุคมนาคม รวมทั้งข้อบังคับของสหภาพโทรคมนาคมระหว่าง ประเทศและองค์กรอื่น ๆ ในการบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในสายงานพนักงานสื่อสาร ของ หน่วยงานต่าง ๆ ต้องพิจารณาผู้ที่มีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งตามที่ ก.ตร. กําหนด ๓.๑ การบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเพื่อเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจ ดํารง ตําแหน่งในสายงานพนักงานสื่อสาร นอกจากปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบเกี่ยวกับการบรรจุและ แต่งตั้งแล้ว ให้หัวหน้าหน่วยงานที่รับบุคคลนั้นทําการทดสอบความรู้ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการสื่อสารและ โทรคมนาคม และ ส่งตัวเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรพนักงานสื่อสารจากกองตํารวจสื่อสารต่อไป ๓.๒ ผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการตํารวจเพื่อดํารงตําแหน่งใน สายงานพนักงานสื่อสารตาม ๓.๑ ไม่ว่าหน่วยงานใดในสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ห้ามแต่งตั้งไปปฏิบัติ หน้าที่ อื่นซึ่งมิได้เกี่ยวกับการสื่อสาร เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ๓.๓ หากหน่วยงานใดมีความจําเป็นจะต้องแต่งตั้งข้าราชการตํารวจซึ่งเป็น ผู้ขาดคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งตามที่ ก.ตร. กําหนด เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในสายงานสื่อสาร ให้เสนอ ก.ตร. ขอยกเว้นคุณสมบัติเฉพาะตําแหน่งเป็นการเฉพาะราย เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อห น้าที่ ราชการได้ และส่งเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรพนักงานสื่อสารจากกองตํารวจสื่อสารหรือหน่วยงานอื่น ที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติรับรองในโอกาสแรก ๓.๔ การคัดเลือกข้าราชการตํารวจเป็นผู้บังคับศูนย์การสื่อสารหรือผู้ช่วยผู้บังคับ ศูนย์การสื่อสาร จะต้องคัดเลือกจากข้าราชการตํารวจชั้นสัญญาบัตรที่ได้ผ่านการปฏิบัติงานภายใน ศูนย์การสื่อสารหรือสถานีสื่อสารของสํานักงานตํารวจแห่งชาติมาแล้วไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือผ่านการ ฝึกอบรมหลักสูตรพนักงานสื่อสารจากกองตํารวจสื่อสาร


๑๖ ๓.๕ การคัดเลือกข้าราชการตํารวจเป็นนายสถานีสื่อสารหรือผู้ช่วยนายสถานี สื่อสาร จะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการปฏิบัติงานในหน้าที่พนักงานสื่อสารมาแล้วไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือผ่าน การฝึกอบรมหลักสูตรพนักงานสื่อสารจากกองตํารวจสื่อสาร ๓.๖ ให้กองตํารวจสื่อสารกําหนดหลักสูตรเกี่ยวกับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติการสื่อสารและเจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคการสื่อสารของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ และให้มีหน้าที่ ฝึกอบรมวิชาการเกี่ยวกับเทคนิคการสื่อสารให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสื่อสารและเจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคการ สื่อสารของหน่วยงานต่าง ๆ ในสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ตลอดจนสนับสนุนการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว ในกรณีที่หน่วยงานอื่นในสํานักงานตํารวจแห่งชาติได้รับอนุมัติให้เปิดการฝึกอบรมเอง เว้นแต่สํานักงาน ตํารวจแห่งชาติจะสั่งการเป็นอย่างอื่น การปฏิบัติภายในศูนย์การสื่อสาร แนวการปฏิบัติที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นการปฏิบัติการการสื่อสารกลางกับส่วนภูมิภาค หรือภูมิภาคกับภูมิภาค ด้วยกัน แต่สําหรับการปฏิบัติของหน่วยงานที่มีการติดต่อสื่อสารภายในท้องที่ เช่น นครบาล กองปราบปราม สันติบาล ดับเพลิง ฯลฯ อาจจะมีการจัดรูปแบบที่ผิดแผกแตกต่างกันออกไป ประมวลลับที่ใช้ในราชการตํารวจ (พิเศษ) สายตรวจปฏิบัติการพิเศษ (๑๙๑) การแจ้งเหตุทางวิทยุ เหตุ ๑๐๐ มีเหตุประทุษร้ายต่อทรัพย์สิน เหตุ ๑๑๑ ลักทรัพย์ เหตุ ๑๒๑ วิ่งราวทรัพย์ เหตุ ๑๓๑ ชิงทรัพย์ เหตุ ๑๔๑ ปล้นทรัพย์ เหตุ ๒๐๐ มีเหตุประทุษร้ายต่อร่างกาย เหตุ ๒๑๑ ทําร้ายร่างกายกัน ไม่ได้รับบาดเจ็บ เหตุ ๒๒๑ ทําร้ายร่างกายกัน ได้รับบาดเจ็บ เหตุ ๒๓๑ ทําร้ายร่างกายกัน ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุ ๒๔๑ ฆ่าคนตาย เหตุ ๓๐๐ การพนันเป็นบ่อน เหตุ ๕๑๐ วัตถุต้องสงสัยเกี่ยวกับระเบิด เหตุ ๕๑๑ ได้เกิดระเบิดขึ้นแล้ว เหตุ ๕๑๒ วัตถุระเบิดได้ตรวจสอบแล้วไม่ระเบิด เหตุ 600 นักเรียนจะก่อเหตุทะเลาะวิวาท เหตุ ๖๐๑ นักเรียนรวมกลุ่มมีสิ่งบอกเหตุเชื่อว่าจะก่อเหตุ เหตุ ๖๐๒ นักเรียนก่อเหตุหลบหนีไปแล้ว


๑๗ เหตุ ๖๐๓ นักเรียนก่อเหตุยกพวกทําร้ายซึ่งกันและกัน เหตุ ๖๐๔ นักเรียนก่อเหตุยกพวกทําร้ายกันถึงตาย เหตุ ๖๐๕ นักเรียนก่อเหตุยกพวกทําร้ายกันมีวัตถุระเบิด


๑๘


๑๙ บทที่ 4 การปฏิบัติภายในศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคม วัตถุประสงค์การเรียนรู้ประจำบท 1. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจมีความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติภายในศูนย์การสื่อสารและสถานี วิทยุคมนาคม ๒. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจมีความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติภายในศูนย์การสื่อสารและ สถานีวิทยุคมนาคม ๓. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจนำความรู้ไปปฏิบัติงานในศูนย์การสื่อสารได้ถูกต้อง และ บรรลุวัตถุประสงค์ของทางราชการ ส่วนนำ การปฏิบัติภายในศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคมมีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อจะได้ ปฏิบัติได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด ในการปกป้องคุ้มครองประชาชน


๒๐ การปฏิบัติภายในศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคม ข้อ ๑ การปฏิบัติภายในศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคมของหน่วยงานในสํานักงาน ตํารวจแห่งชาติที่ได้มีการจัดระบบการสื่อสารระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคหรือระหว่างส่วนภูมิภาคกับ ส่วนภูมิภาคด้วยกันให้ปฏิบัติตามระเบียบนี้ แต่สําหรับหน่วยงานที่มีการติดต่อสื่อสารเป็นการภายในท้องที่ เช่น กองบัญชาการตํารวจนครบาล กองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น จําเป็นต้องจัดระเบียบการปฏิบัติภายในแตกต่างไป จากนี้ จะนําระเบียบนี้ไป ปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบให้กระทําได้โดยอนุโลม ข้อ ๒ ในการดําเนินการของศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคมในสํานักงานตํารวจ แห่งชาติ ตามความมุ่งหมายที่ได้กําหนดไว้แล้ว จะต้องจัดให้มีเครื่องเขียน แบบพิมพ์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการ บันทึกหลักฐาน สถิติ และการปฏิบัติการสื่อสาร ดังนี้ ๒.๑ สมุดบัญชีข่าวรับ ๒.๒ สมุดบัญชีข่าวส่ง ๒.๓ สมุดบัญชีแสดงเวลาการทํางานของเครื่องมือและอุปกรณ์สื่อสารภายในหน่วยงาน โดยเฉพาะ เครื่องรับ-ส่งวิทยุเครื่องยนต์กําเนิดไฟฟ้า เป็นต้น ๒.๔ กระดาษเขียนข่าวรับ ๒.๕ กระดาษเขียนข่าวส่ง ๒.๖ แบบฟอร์มต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อการดําเนินกิจการของศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคมนั้น ๆ เช่น รายงานการตรวจซ่อมเครื่องมือสื่อสาร รายงานการขออนุมัติจําหน่ายเครื่องมือสื่อสาร ๒.๗ แบบพิมพ์ต่าง ๆซึ่งจําเป็นต้องใช้เกี่ยวกับงานธุรการประจําสํานักงาน โดยทั่ว ๆ ไป ในกรณีที่บางหน่วยงานมีความจําเป็นจะต้องออกแบบหรือดัดแปลงเครื่องเขียน แบบพิมพ์ที่ใช้ ในการสื่อสารให้เหมาะสมและสะดวกในการปฏิบัติการสื่อสารของหน่วยงานนั้น ๆ ก็ได้ ข้อ ๓ การจัดเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการสื่อสารประจําศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคมนั้น ให้อยู่ใน ดุลพินิจของหัวหน้าหน่วยงานที่จะมอบหมายให้มีหน้าที่โดยสอดคล้องกับตําแหน่งดังนี้ ๓.๑ ศูนย์การสื่อสาร ประกอบด้วย ๓.๑.๑ ผู้บังคับศูนย์การสื่อสาร มีหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ และรับผิดชอบ การดําเนินงานของศูนย์การสื่อสารนั้นทั้งหมดให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและรวดเร็วสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และ ระเบียบที่กําหนด ๓.๑.๒ ผู้ช่วยผู้บังคับศูนย์การสื่อสาร มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้บังคับศูนย์การสื่อสาร ๓.๑.๓ นายช่างสื่อสาร มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลในด้านวิชาการ การตรวจซ่อมบํารุงรักษา เครื่องมือสื่อสาร การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเครื่องมือสื่อสาร ควบคุมการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่ช่างทุกประเภท ในศูนย์การสื่อสารนั้น


๒๑ ๓.๑.๔. นายช่างสื่อสารผู้ช่วย มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยของนายช่างสื่อสาร ๓.๑.๕ ช่างวิทยุ มีหน้าที่ตรวจซ่อมบํารุงรักษาเครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์การสื่อสาร เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องรับ-ส่งวิทยุซึ่งใช้งานประจําศูนย์การสื่อสารนั้นในด้าน ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และ วิทยุตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา รวมทั้งควบคุมให้เครื่องมือและ อุปกรณ์การสื่อสารเหล่านี้ได้อยู่ในสภาพ ใช้งานได้ตลอดเวลา 3.1.6 ช่างเครื่องยนต์ มีหน้าที่ตรวจซ่อมบํารุงรักษาเครื่องมือและ อุปกรณ์การสื่อสารซึ่ง ใช้งานประจําศูนย์การสื่อสารนั้นในด้านจักรกลและงานด้านฝีมือ เช่น เครื่องยนต์ กําเนิดไฟฟ้ารถยนต์ที่ใช้ในการสื่อสาร รวมทั้งรถจักรยานยนต์มิให้ชํารุดหรือสูญหาย รวมทั้งควบคุม การเดินเครื่องกําเนิดไฟฟ้าเพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ ศูนย์การสื่อสาร ในกรณีที่ไฟฟ้าขัดข้องสามารถจ่าย กระแสไฟฟ้าในทันทีที่ได้รับคําสั่งจากผู้บังคับบัญชา ๓.๑.๗ พนักงานวิทยุ มีหน้าที่รับผิดชอบในการรับ-ส่งข่าวโดยการใช้เครื่องวิทยุคมนาคม ดูแลบํารุงรักษาและควบคุมสถิติการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมในความรับผิดชอบของตน ๓.๑.๘ พนักงานโทรศัพท์และโทรสาร มีหน้าที่รับผิดชอบในการรับ-ส่งข่าว โดยการใช้ เครื่องโทรศัพท์และโทรสาร ดูแลบํารุงรักษาและควบคุมสถิติการใช้เครื่องโทรศัพท์และโทรสาร ในความ รับผิดชอบของตน ๓.๑.๙ เสมียนข่าว มีหน้าที่รับผิดชอบในการรับข่าวจากผู้ให้ข่าวเพื่อให้ พนักงานวิทยุส่งไป ยังสถานีปลายทาง การพิมพ์หรือตัดข่าวซึ่งส่งมาจากสถานีต้นทางเพื่อจ่ายให้แก่ผู้รับ ควบคุมสถิติเกี่ยวกับข่าวที่รับเข้า และจ่ายออกไป รวมทั้งการเก็บรักษาต้นฉบับหรือสําเนาของข่าวที่ได้รับ และจ่ายไปอย่างเป็นระบบอย่าให้สูญหาย สามารถค้นหาได้สะดวกและรวดเร็ว ๓.๑.๑๐ เจ้าหน้าที่พลขับและนําสาร มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการใช้การบํารุงรักษา ยานพาหนะและนําสารประจําหน่วยงาน ๓.๑.๑๑ เจ้าหน้าที่พัสดุ มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการเบิกจ่าย สถิติการมีและการใช้ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติงานธุรการด้านพัสดุของศูนย์การสื่อสารนั้น ๓.๑.๑๒ เจ้าหน้าที่ธุรการ มีหน้าที่รับผิดชอบในงานด้านธุรการของ ศูนย์การสื่อสารทั้งหมด เช่น งานสารบรรณ การเงิน ทะเบียนพล งานพิมพ์ รวบรวมสถิติทุกประเภทภายในหน่วยงาน ๓.๒ สถานีวิทยุคมนาคม ประกอบด้วย ๓.๒.๑ นายสถานีวิทยุ มีหน้าที่รับผิดชอบในด้านการปกครองบังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ใน สถานีวิทยุคมนาคมนั้น ๆ รวมทั้งการดําเนินงานของสถานีวิทยุทั้งในด้านธุรการและวิชาการ ตรวจสอบดูแลปฏิบัติการ สื่อสารของสถานีวิทยุนั้น ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยให้เป็นไปตามระเบียบนี้ ๓.๒.๒ ผู้ช่วยนายสถานีวิทยุ มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยของนายสถานีวิทยุ ๓.๒.๓ เจ้าหน้าที่อื่น ๆ อนุโลมตามที่ได้ระบุไว้ใน ๓.๑ ในกรณีที่บางหน่วยงานมีจํานวนเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ ให้ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นใช้ ดุลพินิจ จัดสรรหน้าที่และความรับผิดชอบต่าง ๆ ภายในศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคมซึ่งได้ระบุไว้ แล้วนั้น ให้แก่ เจ้าหน้าที่ผู้มีตัวปฏิบัติงานอยู่แล้วตามความสามารถและที่เห็นสมควร แต่ต้องระวังอย่าให้ เสียราชการหรือเป็นการเพิ่ม ปริมาณของงานให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชามากเกินไปจนเกินความสามารถที่จะปฏิบัติได้


๒๒ การจัดเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการสื่อสาร โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่พนักงานวิทยุ พนักงานโทรศัพท์ และ โทรสาร ช่าง และเสมียนข่าวให้จัดเป็นผลัด ผลัดละยี่สิบสี่ชั่วโมง โดยจัดเป็นสามผลัด แต่ละผลัดให้จัด ผู้ที่มี ความสามารถและเห็นสมควรปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าผลัด เพื่อรับผิดชอบดูแลการปฏิบัติการสื่อสารของหน่วยงาน แทนหัวหน้าหน่วยงานหรือผู้ช่วยในกรณีที่บุคคลทั้งสองไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เจ้าหน้าที่เวรแต่ละผลัดเมื่อได้ปฏิบัติหน้าที่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว ก็ให้ทําการส่งมอบหน้าที่ให้ เจ้าหน้าที่เวรผลัดต่อไปตามระเบียบ ข้อ ๔ ในการทํางานติดต่อเพื่อรับ-ส่งข่าวระหว่างสถานีทุกหน่วยงานในสํานักงานตํารวจแห่งชาติที่มี ศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคมอยู่ในความรับผิดชอบ จําเป็นจะต้องกําหนดเวลาการ ทํางาน ระยะเวลาที่ ทํางาน ขนาดความถี่ ซึ่งเรียกรวมว่า“ข่ายการสื่อสาร” ซึ่งจัดให้อยู่ในประเภท เอกสารลับที่จะเปิดเผยให้บุคคลอื่น ทราบไม่ได้ ข่ายการสื่อสารนี้ให้จัดทําและแจกจ่ายไปเป็นคู่มือในการปฏิบัติงานประจําศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุ คมนาคมในบังคับบัญชา และจัดส่งมาให้กองตํารวจสื่อสาร จํานวน ๒ ชุด เพื่อตรวจสอบป้องกันการรบกวนซึ่งกันและ กันในระหว่างทํางาน และเพื่อเป็นการถนอม เครื่องให้มีอายุการใช้งานได้ทนทาน พนักงานวิทยุจะต้องปฏิบัติตามข่าย การสื่อสารที่กําหนดไว้นี้โดยเคร่งครัด หากมีความจําเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้งคราว กับคู่สถานี ที่ติดต่อก็ย่อมจะกระทําได้ แต่ต้องไม่ไปรบกวนการทํางานในข่ายของคู่สถานีอื่น ๆ หากการเปลี่ยนแปลง นั้น ๆ ก่อให้เกิดการรบกวนการทํางานของคู่สถานีอื่น ๆ ซึ่งทํางานในข่ายที่กําหนด พนักงานวิทยุของคู่สถานีที่ เปลี่ยนแปลงข่ายจะต้องระงับการสื่อสารซึ่งไปรบกวนนั้นทันทีและหาวิธีการอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาของตนต่อไป ในกรณีที่เร่งด่วนหรือฉุกเฉิน หรือการแจ้งข่าวภัยพิบัติต่าง ๆ เมื่อได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าหากข่าว เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ถึงมือผู้รับตามกําหนดเวลาย่อมจะเกิดการเสียหายต่อทางราชการ ประเทศชาติ สถานีวิทยุผู้ส่งข่าวจะ เรียกสอดแทรกข่ายการทํางานของคู่สถานีอื่นมาทันทีก็ได้ และคู่สถานีซึ่งถูกสอดแทรกในกรณีเช่นนี้จะต้องหยุดทํางาน ในข่ายปกติเป็นการชั่วคราวจนกว่าการรับ-ส่งข่าวประเภทนี้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นได้เห็นว่า มีความจําเป็นจะต้องเปิดเครื่องเฝ้าฟัง (STANDBY) เพื่อให้พร้อมที่จะปฏิบัติงานได้ทุกขณะ ก็ย่อมจะกระทําได้ ข้อ ๕ ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์สื่อสารใช้ในราชการ เมื่อพิจารณาเห็นสมควรจะให้มีการโยกย้าย สับเปลี่ยน หรือระงับการทํางานของสถานีวิทยุคมนาคมที่ตน รับผิดชอบให้ ผิดแผกไปจากข่ายการสื่อสารเดิมที่กําหนดไว้ ก็ให้ติดต่อขอรับความเห็นจากกองตํารวจสื่อสาร ก่อน เพื่อตรวจสอบและ ให้คําแนะนํา รวมทั้งแก้ไขข่ายการสื่อสารให้ถูกต้องตรงกัน ข้อ 6 การเปิดสถานีวิทยุเพื่อทํางานตามข่ายที่กําหนดไว้จําเป็นจะต้องมีการทดลอง ตลอดจนการ เตรียมเครื่องเขียน แบบพิมพ์สําหรับการรับ-ส่งข่าวให้เรียบร้อยก่อนในข่ายไม่น้อยกว่าห้านาที และเมื่อถึงเวลาที่ กําหนดไว้ให้เริ่มทําการเรียกขานกับคู่สถานีได้ทันที และเมื่อได้รับคําตอบแล้วในบางกรณีสงสัยว่าจะเป็นสถานีอื่น สอดแทรกมา ก็ให้ใช้ระบบบอกฝ่ายทดสอบกับคู่สถานีด้วย และ พนักงานวิทยุจะต้องถือหลักปฏิบัติงานให้ตรงเวลาอยู่ เสมอ ทั้งนี้ จะกระทําได้โดยการเทียบเวลาของนาฬิกา ซึ่งใช้ภายในสถานีกับสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยคือ เวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา กับให้เทียบเวลาตามที่สถานีวิทยุแม่ข่ายกําหนดอีกครั้งหนึ่ง


๒๓ ในการทดสอบระหว่างคู่สถานี เช่น การทดสอบความแรงของสัญญาณ เพื่อความสะดวกและ รวดเร็ว ให้พนักงานวิทยุพิจารณาใช้รหัสอักษร Q และ Z รวมทั้งคําย่อต่าง ๆ ตามแบบที่ได้กําหนดไว้ ข้อ ๗ วิธีการสื่อสารทางวิทยุในสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ปัจจุบันมีระบบวิทยุโทรศัพท์ VHF/FM UHF/FM และ HF/SSB เป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยวิธีการรับ-ส่งข่าวด้วยวิทยุโทรเลข CW หรือ MCW มีผลในการปฏิบัติ ดีกว่าวิทยุโทรศัพท์เพราะสามารถใช้รหัสแบบ Morse ได้ จึงใช้ช่วยในการรักษาความลับได้และสามารถส่งสัญญาณได้ ไกลกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องส่งวิทยุโทรศัพท์ที่มีกําลังส่งเท่ากันและใช้ ความถี่เดียวกัน ดังนั้น จึงให้เจ้าหน้าที่ที่ เกี่ยวข้องทําการฝึกฝนการรับและส่งสัญญาณด้วยรหัสแบบ Morseตามแบบสากลให้สามารถทําการรับ-ส่งด้วยวิทยุโทร เลขได้โดยทั่วกัน ข้อ 8 ในการรับ-ส่งข้อความด้วยวิทยุโทรศัพท์ ผู้ส่งข้อความต้องอ่านให้ชัดถ้อยชัดคํา เป็นวรรค เป็นตอน วรรคหนึ่งต้องให้ได้ใจความและไม่ยาวจนเกินไปซึ่งจะทําให้ผู้รับจดไม่ได้ หรือไม่สั้น จนเกินไป ข้อความที่ส่ง ทางวิทยุโทรศัพท์แต่ละวรรคแต่ละตอนจะต้องอ่านซ้ำสองครั้ง เว้นระยะห่างพอสมควรเพื่อให้ผู้รับจดจําและเขียนทัน การอ่านข้อความที่ไมโครโฟนไม่ควรเอาปากไปใกล้กับไมโครโฟน มากเกินไป เพราะทําให้เกิดเสียงเพี้ยน ควรพูดให้ห่าง จากไมโครโฟนพอสมควร ข้อความที่เป็นตัวเลขให้อ่านแยกเป็นตัว ๆ แล้วอ่านรวมอีกครั้งหนึ่ง เช่น ๒๕๕๘ ให้อ่าน สอง ห้า ห้า แปด สองพันห้าร้อยห้าสิบแปด หากผู้รับสงสัยในตัวเลขใด ควรสะกดเป็นตัวหนังสือตาม ไปด้วย เช่น สงสัยตัวเลข ๒๓ ก็อ่านว่า สอง สาม ยี่สิบสาม ย สระอี วรรณยุกต์เอก ยี่ ส เสือ สระอิ บ ใบไม้ สิบ ส เสือสระอา ม ม้า สาม ยี่สิบสาม ดังนี้เป็นต้น ข้อความที่มิใช่ตัวเลขถ้าผู้รับสงสัยก็ให้ผู้ส่ง สะกดไปในทํานองเดียวกัน ข้อความที่ใช้อักษรโรมันผู้ส่ง จะต้องแบ่งอ่านเป็นหมู่อักษรหรือวลีซ้ํากัน อย่างน้อยสองครั้งโดยอ่านช้า ๆ ในโอกาสที่ต้องสะกดคําในข่าวทีละอักษร ให้ออกเสียงตามแบบที่กําหนดไว้ ข้อ 9 ศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคมซึ่งจัดตั้งขึ้นใช้ประจําหน่วยงาน ในบางกรณี ก็อนุญาต ให้ส่วนราชการอื่นใช้ส่งข่าวอันเกี่ยวกับราชการภายในส่วนราชการนั้น ๆ ได้ แต่ข่าวนั้นต้องเป็นข่าวเร่งด่วนหรือเข้า หลักเกณฑ์ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ทั้งนี้ จะต้องอยู่ในดุลพินิจของ ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้พิจารณาข่าว ทุกฉบับ ซึ่งจะทําการส่งไปยังสถานี ปลายทางไม่ว่าจะเป็นข่าวในราชการตํารวจหรือข่าวในราชการของ หน่วยงานอื่น จะต้องมีส่วนประกอบของข่าวที่ สําคัญ ดังนี้ 9.๑ ลําดับความเร่งด่วนของข่าว ๙.๒ ยศ ชื่อตัว ชื่อสกุล และหรือตําแหน่งของผู้รับ 9.๓ เลขที่ของข่าว ๙.๔ วัน เดือน ปี และเวลาของข่าว 9.๕ จํานวนหมู่อักษร (ในกรณีเป็นข่าวรหัส) 9.๖ ข้อความไม่เกินห้าสิบคํา ๙.๗ ยศ ชื่อตัว ชื่อสกุล และหรือตําแหน่งของผู้ให้ข่าว 9.๘ ลายมือชื่อและตําแหน่งของผู้รับรองข่าวนั้นว่าเป็นข่าวราชการ (ใช้ในกรณีที่ผู้ให้ข่าว มิได้ลงชื่อในข่าวด้วยตนเอง)


๒๔ ๙.๙ ลายมือชื่อและตําแหน่งของผู้อนุมัติให้ทําการส่งข่าวนั้นได้ หากเจ้าของข่าวหรือผู้นําข่าวมาส่งไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้นั้น ให้เสมียนข่าว ชี้แจงและ ขอให้ผู้นําข่าวมาส่งดําเนินการแก้ไขและปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้ แล้วจึงรับข่าว นั้นไว้ หากเจ้าของข่าว หรือผู้นําข่าวมาส่งไม่ยอมปฏิบัติตามคําชี้แจงและไม่ยอมแก้ไข ให้เสมียนข่าวชี้แจง ว่า ไม่สามารถส่งข่าวนี้ไปได้และ ไม่ให้รับข่าวนั้นไว้ แล้วรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ห้ามมิให้พนักงานวิทยุ เสมียนข่าว หรือผู้เกี่ยวข้องในการส่งข่าวทําการแก้ไขข้อความในข่าว ด้วย ตนเอง หากมีความจําเป็นจะต้องแก้ไขข้อความของข่าวให้ถูกต้องกับระเบียบที่วางไว้ ให้ชี้แจงผู้นําข่าว มาส่งให้แก้ไข ด้วยตนเอง และให้ผู้แก้ไขลงลายมือชื่อกํากับการแก้ไขไว้ทุกแห่ง ข้อ ๑๐ การจัดลําดับความเร่งด่วนของข่าวในราชการสํานักงานตํารวจแห่งชาติ มีดังนี้ ๑๐.๑ ด่วนที่สุด หมายถึง ข่าวที่ต้องส่งทันทีเมื่อได้รับข่าว ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ก่อนข่าว ประเภทอื่น เช่น ข่าวที่เกี่ยวกับการโจมตี การปะทะ การรบ และการจลาจลในท้องที่ต่าง อันอาจจะกระทบกระเทือนถึง ความปลอดภัยของประเทศ ๑๐.๒ ด่วนมาก หมายถึง ข่าวที่ต้องส่งก่อนข่าวอื่นเมื่อได้รับ แต่ไม่ก่อนข่าว ด่วนที่สุด เช่น ข่าวที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางกําลัง การมั่วสุมชุมนุมกัน การยุยงปลุกปั่น และการ ดําเนินการงานของฝ่ายตรงข้าม กับรัฐบาล ๑๐.๓ ด่วน หมายถึง ข่าวที่ต้องส่งก่อนข่าวอื่นเมื่อได้รับ แต่ไม่ก่อนข่าวด่วนมาก เช่น ข่าว ของส่วนราชการและองค์กรต่าง ๆ ของรัฐบาลซึ่งเกี่ยวกับงานที่ต้องดําเนินการโดยทันที และหรือที่กําลังรอฟังผลการ ติดตามสืบสวนความคืบหน้าของข่าวโดยใกล้ชิด ในการกําหนดลําดับความเร่งด่วนของข่าว ให้เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาของศูนย์การสื่อสารหรือ ผู้บังคับบัญชาของสถานีวิทยุคมนาคมนั้น ข้อ ๑๑ ข่าวที่จะทําการส่งไปยังสถานีปลายทางได้ จะต้องได้รับการตรวจและอนุมัติให้ส่งได้ จาก ผู้บังคับบัญชาของศูนย์การสื่อสารหรือผู้บังคับบัญชาของสถานีวิทยุคมนาคมตามความสําคัญของข่าวแล้วแต่กรณี เสียก่อน ดังนี้ 11.1 ผู้บัญชาการ หรือตําแหน่งเทียบเท่า ๑๑.๒ ผู้บังคับการ หรือตําแหน่งเทียบเท่า ๑๑.๓ รองผู้บังคับการ หรือตําแหน่งเทียบเท่า ที่ทําหน้าที่หัวหน้าหน่วยงาน ๑๑.๔ ผู้กํากับการ หัวหน้างาน หรือตําแหน่งเทียบเท่า ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ของศูนย์การ สื่อสารและสถานีวิทยุคมนาคมนั้น ๑๑.๕ หัวหน้าสถานีตํารวจ หรือหัวหน้าหน่วยงานอิสระ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของสถานี วิทยุคมนาคม ๑๑.๖ ผู้บังคับศูนย์การสื่อสาร หรือผู้ช่วยผู้บังคับศูนย์การสื่อสาร หรือผู้แทน ๑๑.๗ ข้าราชการตํารวจชั้นสัญญาบัตรที่ได้รับมอบหมายจาก ๑๑.๑ ถึง ๑๑.๓


๒๕ ทั้งนี้ ผู้ตรวจข่าวจะอนุมัติให้ส่งข่าวฉบับใดได้หรือไม่ ให้ผู้ตรวจข่าวถือหลักเกณฑ์ตามข้อ ๙ ข่าว ฉบับใดที่เข้าหลักเกณฑ์เห็นสมควรให้ส่งได้ ให้ผู้ตรวจข่าวบันทึกไว้ในกระดาษข่าวนั้นว่า “ส่งได้” พร้อมกับลงชื่อ ตําแหน่ง วัน เดือน ปี กํากับไว้ด้วย ข่าวฉบับใดเห็นว่าไม่ควรให้ส่งไป ก็ให้บันทึกไว้ใน กระดาษข่าวนั้นว่า “ห้ามส่ง” แจ้งเจ้าของทราบพร้อมกับลงชื่อ ตําแหน่ง วัน เดือน ปี กํากับไว้ ข้อ ๑๒ ในการปฏิบัติงานของเสมียนข่าวอันเกี่ยวแก่ข่าวรับ-ส่งทางวิทยุนั้น ให้ปฏิบัติ ดังนี้ ๑๒.๑ การปฏิบัติเมื่อรับข่าวจากผู้ส่งข่าวเพื่อให้ไปส่งข่าวทางวิทยุ จะต้องดําเนินการ ดังนี้ ๑๒.๑.๑ ตรวจทานข้อความในข่าวนั้นให้เรียบร้อยโดยไม่มีข้อสงสัยในประการใด ๆ เมื่อตรวจแล้วสงสัย ณ ที่ใดขึ้นแล้ว เช่น ตัวเลข หรือตัวหนังสือไม่ชัด เขียนผิด หรืออ่าน ไม่ออก ต้องสอบถามผู้นํา ข่าวมาส่งเสียแต่ในขณะนั้น ถ้าจําเป็นจะแก้ไขให้ชัดเจน ก็ขอให้ผู้นําข่าวนั้น มาจัดการเสียให้เรียบร้อย และให้ลงชื่อ กํากับรับรองว่าตนเป็นผู้แก้ไขไว้ด้วย ถ้าผู้นําข่าวไม่สามารถจะแก้ได้ ก็ขอให้ผู้นําข่าวมารับนําไปถามเจ้าของข่าวและให้ จัดการแก้ไขเสียก่อนจึงนํามาส่งใหม่ ๑๒.๑.๒ เมื่อได้รับไว้เรียบร้อยแล้วให้ลงเลขที่ของข่าวที่ได้รับไว้ ตามลําดับ ก่อนหลัง และให้นําข่าวนั้นเสนอผู้ตรวจข่าวโดยด่วน เมื่อผู้ตรวจข่าวตรวจแล้วจะให้ส่งไปได้ จะบันทึกไว้ในท้ายของข่าว ฉบับนั้น ๑๒.๑.๓ เมื่อผู้ตรวจสอบข่าวอนุมัติให้ส่งได้แล้ว จะต้องรีบนําข่าวฉบับ นั้นไป มอบให้แก่พนักงานวิทยุโดยด่วนโดยมีหลักฐานการรับ-ส่งไว้ต่อกัน หลักฐานที่ว่านี้จะต้องแสดง ให้แน่ชัดว่ารับข่าวนี้แต่ วัน เดือน ปี เวลาใด ใครส่ง และใครรับ ส่วนสําเนาข่าวอีกฉบับหนึ่งนั้นคงเก็บไว้เป็น หลักฐานเรียงจากเลขลําดับน้อยไป หามาก ข่าวฉบับใดที่ผู้ตรวจไม่อนุมัติให้ส่งหรือขอให้จัดการแก้ไขให้เรียบร้อยและถูกต้อง ให้รีบนําไปมอบให้แก่ผู้นํา ข่าวมาส่งหรือมอบแก่เจ้าของข่าวนั้นโดยด่วนเช่นเดียวกัน ๑๒.๑.๔ เมื่อพนักงานวิทยุแจ้งว่า ข่าวฉบับใดส่งไปแล้วแต่วัน เดือน ปี เวลา ให้ บันทึกไว้ในช่องหมายเหตุของบัญชีข่าวส่งและที่มุมบนด้านซ้ายของสําเนาข่าวฉบับนั้น ๑๒.๑.๕ เมื่อพนักงานวิทยุแจ้งว่า ข่าวฉบับใดส่งไปไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม ให้ บันทึกไว้ในช่องหมายเหตุของบัญชีข่าวส่งและที่มุมบนด้านซ้ายของสําเนาข่าวฉบับนั้นว่า“ส่งไม่ได้” ๑๒.๑.๖ เมื่อพนักงานวิทยุได้แจ้งให้ทราบว่า ข่าวฉบับใดส่งไปได้แล้ว และได้ หมายเหตุไว้ในบัญชีข่าวส่งและสําเนาข่าวแล้ว ต่อมาพนักงานวิทยุได้แจ้งมาอีกว่า สถานีตรงข้าม ส่งข่าวที่รับได้แล้วถึง ผู้รับไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตามและขอคืนข่าวกลับมา จะต้องบันทึกไว้ในบัญชีข่าวส่งและ สําเนาฉบับนั้นต่อไปอีกว่า“คืน ข่าวไม่มีผู้รับ” และรีบแจ้งให้เจ้าของข่าวได้ทราบโดยด่วนพร้อมด้วยเหตุผล และขอคืนข่าว การแจ้งต้องเป็นลายลักษณ์ อักษรและหลักฐานการรับ-ส่งต่อกัน ๑๒.๒ เมื่อพนักงานวิทยุรับข่าวแล้ว ให้ปฏิบัติ ดังนี้ ๑๒.๒.๑ ตรวจทานข้อความในข่าวนั้นให้เรียบร้อย หากสงสัยข้อความใดต้อง สอบถาม และขอให้พนักงานวิทยุจัดการแก้ไขให้เรียบร้อยทุกแห่งและลงชื่อกํากับไว้ ๑๒.๒.๒ ลงเลขที่รับไว้ที่มุมบนด้านขวาของข่าว โดยเรียงตามลําดับข่าวที่ได้รับ ก่อนหลัง และลงบัญชีข่าวรับให้เรียบร้อย


๒๖ ๑๒.๒.๓ ให้จ่ายข่าวนั้นแก่ผู้รับโดยเร็วที่สุดไม่ว่าข่าวนั้นจะด่วนหรือไม่ก็ตามโดย มีหลักฐานการจ่าย ถ้าไม่สามารถจ่ายข่าวนั้นให้แก่ผู้รับได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ขอให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งอยู่ในที่ทําการนั้น ๆ บันทึกไว้เป็นหลักฐาน เช่น “ผู้รับไม่อยู่” หรือ“ผู้รับไปราชการ” พร้อมลงชื่อ วัน เดือน ปี และเวลากํากับไว้ด้วย ๑๒.๒.๔ ให้รีบรายงานผู้บังคับศูนย์การสื่อสารหรือนายสถานีวิทยุทราบว่า ข่าว ฉบับใดส่งให้ผู้รับไม่ได้เพราะเหตุใดและขอคืนข่าว ทั้งนี้ ต้องทําเป็นลายลักษณ์อักษร ๑๒.๒.๕ ให้หมายเหตุในบัญชีข่าวในช่องหมายเหตุไว้ว่าส่งให้ผู้รับไม่ได้เพราะ เหตุใด ข้อ ๑๓ การปฏิบัติของพนักงานวิทยุเกี่ยวกับการรับและส่งข่าว ๑๓.๑ เมื่อเสมียนข่าวได้นําข่าวมามอบให้เพื่อส่งข่าวนั้นไปยังสถานีปลายทางให้ปฏิบัติ ดังนี้ ๑๓.๑.๑ เสมียนข่าวผู้นําข่าวมามอบไว้เป็นหลักฐานลงวัน เดือน ปี เวลารับข่าว นั้น และลงชื่อในหลักฐาน ๑๓.๑.๒ ตรวจดูว่าผู้ตรวจอนุมัติให้ส่งข่าวนั้นไปแล้วหรือยัง ถ้ายัง ต้องขอให้ นําไปเสนอเพื่อตรวจอนุมัติก่อน ข่าวใดที่ผู้ตรวจข่าวยังไม่ทันได้ตรวจก็ดี หรือตรวจแล้วไม่อนุมัติ ให้ส่งไปก็ดี จะส่งข่าว นั้นไปไม่ได้เด็ดขาด และลงวัน เดือน ปี เวลาที่ได้รับข่าวนั้นไว้ตรงมุมบนด้านขวาของ กระดาษข่าวพร้อมด้วยชื่อผู้รับ ๑๓.๑.๓ตรวจทานข้อความของข่าว สงสัยให้สอบถามหรือแก้ไขให้ถูกต้อง และขอให้ผู้แก้ไขลงชื่อกํากับไว้ ๑๓.๑.๔ ลงบัญชีข่าวส่งตามแบบให้เรียบร้อย และนําข่าวนั้นเก็บรวมไว้ กับข่าวที่ ได้รับไว้ก่อนแล้วแต่ยังไม่ได้ส่งไปตามลําดับความสําคัญและความเร่งด่วนของข่าว ๑๓.๑.๕ เมื่อถึงเวลาทํางานก็ส่งข่าวนั้นไป เมื่อส่งข่าวนั้นเสร็จเรียบร้อย แล้วจะต้องบันทึกวัน เดือน ปี เวลาที่ส่งเสร็จไว้ด้านล่างของข่าวทุกฉบับ และให้บันทึกในช่องหมายเหตุ ของบัญชีส่งว่า ส่งเสร็จแล้ว วัน เดือน ปี เวลาใดด้วย ๑๓.๑.๖ แจ้งให้เสมียนข่าวทราบว่า ข่าวฉบับใดส่งเสร็จเมื่อวัน เดือน ปีเวลา เพื่อ เสมียนข่าวจะได้บันทึกไว้ในบัญชีข่าวส่งและสําเนาข่าวนั้น ๑๓.๑.๗ ข่าวที่รับจากเสมียนข่าวแล้ว เมื่อถึงกําหนดเวลาทํางานครั้งแรกถ้าข่าวใด ส่งไปไม่ได้จะด้วยเหตุใดก็ตาม จะต้องแจ้งเสมียนข่าวทราบทันทีและพยายามส่งในเวลา ทํางานครั้งหลังอีก เมื่อส่งไม่ได้ จริง ๆ แล้ว ก็ให้แจ้งเสมียนข่าวทราบอีกครั้งหนึ่งเพื่อพิจารณาจัดการต่อไป ๑๓.๑.๘ ในกรณีที่ไม่สามารถจะทํางานกับคู่สถานีได้ หรือมีการรบกวน จนไม่ สามารถรับ-ส่งข่าวได้จําเป็นต้องเลื่อนไปติดต่อในเวลาอื่น ให้พนักงานวิทยุผู้ส่งบันทึกไว้หลังกระดาษ เขียนข่าวส่งนั้นเป็นหลักฐานทุกครั้ง ๑๓.๑.๙ ข่าวที่ส่งไปได้แล้วต่อมาสถานีที่รับไว้บอกคืนข่าวกลับมาเพราะ ส่งแก่ผู้รับไม่ได้ จะต้องแจ้งให้เสมียนข่าวทราบโดยมีหลักฐานทุกครั้ง


๒๗ ๑๓.๑.๑๐เครื่องมือสื่อสารบังเกิดการขัดข้องไม่สามารถกระทําการรับ-ส่งข้อความ ได้ จะต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบทันทีและแจ้งให้เสมียนข่าวทราบเช่นกัน ๑๓.๑.๑๑ เครื่องขัดข้องและแก้ไขจนสามารถรับ-ส่งข่าวได้แล้วเมื่อใดต้องรายงาน ให้ผู้บังคับบัญชาทราบทันทีและแจ้งให้เสมียนข่าวทราบเช่นกัน ๑๓.๑.๑๒ ข่าวที่ส่งไปได้แล้วให้เก็บเข้าแฟ้มไว้ โดยเรียงตามลําดับเลขจากน้อยไป หามากและแยกไว้เป็นวัน ๆ เพื่อสะดวกต่อการตรวจข่าว ๑๓.๒ เมื่อพนักงานวิทยุรับข่าวจากสถานีต้นทางเสร็จแล้ว ให้ปฏิบัติ ดังนี้ ๑๓.๒.๑ ตรวจข่าวที่ได้รับและเขียนได้นั้นอีกครั้งว่าถูกต้องหรือไม่ เช่นเขียน ไม่เลอะเลือนและอ่านง่าย หรือตัวเลขหรือตัวหนังสือใดผิดบ้าง เมื่ออะไรไม่เรียบร้อยให้แก้ไขให้เรียบร้อย ๑๓.๒.๒ เมื่อข่าวนั้นได้ตรวจและเป็นที่ถูกต้องและเรียบร้อย ให้ลงลําดับที่ของ ข่าวที่ได้รับนั้นลงในตัวจริงและสําเนาที่มุมล่างด้านซ้ายของกระดาษข่าวว่าเสร็จวัน เดือน ปีเวลาใด และลงชื่อกํากับไว้ แล้วลงบัญชีข่าวรับให้เรียบร้อย ๑๓.๒.๓ ลงหลักฐานในสมุดส่งที่จะนําไปส่งแก่เสมียนข่าว โดยเสมียนข่าวนั้นลง ชื่อรับพร้อมวัน เดือน ปี และเวลาที่ได้รับข่าวนั้นไว้ในสมุดส่ง ๑๓.๒.๔ ต่อมาถ้าปรากฏว่า ข่าวที่ไปมอบให้นั้นเสมียนข่าวส่งให้ผู้รับไม่ได้และ แจ้งมาให้ทราบ ให้นายสถานีวิทยุเขียนเป็นข่าวส่งไปยังสถานีเจ้าของข่าวเป็นหลักฐานว่าข่าวที่ส่ง มานั้นส่งให้ผู้รับไม่ได้ ขอคืนข่าว ๑๓.๒.๕ ให้บันทึกไว้ในบัญชีกลางข่าวรับที่ช่องหมายเหตุและสําเนาข่าวว่า คืน ข่าวเพราะเหตุใด พร้อมกับวัน เดือน ปี เวลา และลงชื่อผู้บันทึกไปหามาก ๑๓.๒.๖ ให้นําสําเนาของข่าวในแต่ละวันรวมไว้ตามลําดับที่จากน้อย ๑๓.๒.๗ เมื่อทําการรับ-ส่งข่าวกับคู่สถานีแล้ว หากข่าวของการทํางาน เป็นข่าวสุดท้ายประจําวัน ให้คู่สถานีตรวจทานจํานวนข่าวรับ-ส่งระหว่างกันให้ถูกต้องตรงกันด้วย ข้อ ๑๔ วิธีการส่งข่าวไปยังสถานีปลายทาง พนักงานวิทยุจะต้องปฏิบัติ ดังนี้ ๑๔.๑ ก่อนจะส่งข่าวจะต้องอ่านข้อความในข่าวให้เข้าใจถี่ถ้วนเสียก่อน หาก สงสัยก็ให้ สอบถามผู้เกี่ยวข้องให้ได้ความแน่นอน อย่าส่งไปตามความเข้าใจของตนเองเป็นอันขาด โดยเฉพาะเกี่ยวกับตัวเลขและ ชื่อบุคคล ๑๔.๒ เมื่อได้มีการเรียกขานคู่สถานีและทดสอบกันเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่าย ให้แจ้ง คู่สถานี ว่ามีข่าวจะส่ง และเมื่อได้รับตอบจากคู่สถานีว่าให้ทําการส่งได้แล้ว จึงเริ่มทําการส่งข้อความ ของข่าวทันที ๑๔.๓ การส่งข้อความถ้าเป็นการส่งด้วยวิทยุโทรศัพท์ให้ปฏิบัติตามข้อ ๔ เมื่อ อ่านจบ วรรคตอนควรจะทิ้งระยะไว้ให้ผู้รับเขียนข้อความได้หมด และเมื่อผู้รับแจ้งมาว่า“ต่อไป” จึงทําการส่งต่อไป


๒๘ ๑๔.๔ เมื่อจบข้อความแล้วให้แจ้งคู่สถานีว่า “หมดข้อความ” แล้วแจ้งให้ผู้รับข่าวทําการ สอบทานข้อความ ตอนใดที่สงสัยหรือเพื่อความแน่นอนจะสอบทานทั้งฉบับก็ได้ ๑๔.๕ แจ้งยศ ชื่อตัว ชื่อสกุลของพนักงานวิทยุผู้ส่งข่าวพร้อมกับเวลาที่ส่งให้ คู่สถานี และ บันทึกชื่อตัว ชื่อสกุลของพนักงานวิทยุผู้รับข่าวไว้ในกระดาษข่าวที่ส่งไปแล้วนั้น และ ลงลายมือชื่อของตนไว้เป็น หลักฐาน ข้อ ๑๕ พนักงานวิทยุประจําสถานีปลายทางซึ่งทําหน้าที่รับข่าวจะต้องปฏิบัติ ดังนี้ ๑๕.๑ เมื่อพร้อมที่จะทําการรับข่าวจากคู่สถานีแล้ว ให้แจ้งว่า“ส่งได้” ๑๕.๒ เริ่มจดข้อความที่ผู้ส่งส่งมาจนจบวรรค ซึ่งผู้ส่งจะหยุดเว้นระยะได้เมื่อจดเสร็จ ให้ แจ้งผู้ส่งว่า“ต่อไป” ๑๕.๓ เมื่อผู้ส่งส่งจนหมดข้อความของข่าวแล้ว ให้ผู้รับทําการตรวจทานตัวเลข ในข่าวและ ข้อความที่ตนสงสัย หรือเพื่อความแน่นอนจะตรวจทานข้อความทั้งฉบับก็ได้ ๑๕.๔ สอบถามยศ ชื่อตัว ชื่อสกุลของพนักงานวิทยุผู้ส่งข่าวและของตนกับเวลา ที่รับข่าว นั้นเสร็จลงในกระดาษเขียนข่าวรับไว้ด้วย รวมทั้งแจ้งยศ ชื่อตัว ชื่อสกุลของตัวเองให้คู่สถานีทราบด้วย ๑๕.๕ การจดข้อความของข่าวในครั้งแรกจะเขียนลงในกระดาษสํารองโดยเขียน อย่างหวัด แต่อ่านได้ความถูกต้องก็ได้ แล้วจึงคัดลงในกระดาษเขียนข่าวรับโดยการเขียนหรือพิมพ์ และทํา สําเนาขึ้นหนึ่งฉบับ หรือมากกว่าตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการไว้ ๑๕.๖ กระดาษเขียนข่าวที่สมบูรณ์จะต้องประกอบด้วย ๑๕.๖.๑ ยศ ชื่อตัว ชื่อสกุล และหรือตําแหน่งของผู้ที่จะจ่ายข่าวนั้นได้ ๑๕.๖.๒ ลําดับความเร่งด่วนของข่าว ๑๕.๖.๓ วัน เดือน ปี และเวลาของข่าว ๑๕.๖.๔ จํานวนหมู่อักษร (ในกรณีที่เป็นข่าวรหัส) ๑๕.๖.๕ ข้อความ ๑๕.๖.๖ ยศ ชื่อตัว ชื่อสกุล และตําแหน่งของผู้ให้ข่าว ๑๕.๖.๗ ยศ ชื่อตัว ชื่อสกุล ของพนักงานสถานีต้นทาง ๑๕.๖.๘ ชื่อของสถานีต้นทาง (สัญญาณเรียกขาน) ๑๕.๖.๙ วัน เดือน ปี และเวลาที่รับข่าวนั้นเสร็จ ๑๕.๖.๑๐ ลายมือชื่อของพนักงานวิทยุผู้รับข่าวนั้น ข้อ ๑๖ การจ่ายข่าวให้แก่ผู้รับ ให้ถือปฏิบัติ ดังนี้ ๑๖.๑ หากเป็นข่าวไม่เร่งด่วน ให้ผู้บังคับศูนย์การสื่อสารหรือนายสถานีวิทยุกําหนดเวลา การจ่ายข่าวประจําวันไว้ โดยติดต่อให้ผู้รับข่าวจัดเจ้าหน้าที่มารับข่าวตามเวลาที่กําหนดไว้


๒๙ ในกรณีที่ผู้รับข่าวมีข่าวมาถึงเป็นประจํา ให้ผู้บังคับศูนย์การสื่อสารและนายสถานีวิทยุติดต่อให้ผู้รับนั้น จัดเจ้าหน้าที่ มารับเอง เช่น แจ้งไปทางโทรศัพท์ เป็นต้น ๑๖.๒ ข่าวที่ได้กําหนดวิธีการข่าวไว้ตาม ๑๖.๑ เมื่อได้มีการแจ้งไปยังผู้รับแล้ว ผู้รับไม่ ได้มาติดต่อขอรับด้วยตนเองหรือมอบหมายให้ผู้อื่นมารับแทนภายในสี่สิบแปดชั่วโมง ให้ผู้บังคับ ศูนย์การสื่อสารหรือ นายสถานีวิทยุแห่งนั้นส่งข่าวนี้ไปให้ผู้รับทางไปรษณีย์ โดยปฏิบัติเช่นเดียวกับการส่ง หนังสือราชการทางไปรษณีย์ ๑๖.๓ หากข่าวที่จะจ่ายเป็นข่าวด่วน ให้ผู้บังคับศูนย์การสื่อสารหรือนายสถานี วิทยุแห่ง นั้นสั่งเจ้าหน้าที่ข่าวจ่ายข่าวนั้นไปทางโทรศัพท์ก่อน วิธีการจ่ายข่าวทางโทรศัพท์ให้ปฏิบัติ เช่นเดียวกับวิธีการรับข่าว ทางวิทยุโทรศัพท์ในระเบียบนี้ กับแจ้งให้ผู้รับข่าวจัดเจ้าหน้าที่มารับข่าวจาก ศูนย์การสื่อสารหรือสถานีวิทยุแห่งนั้น โดยเร็วที่สุดแต่ไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง หากเกินให้ปฏิบัติตาม ๑๖.๒ ๑๖.๔ หากจําเป็นต้องจ่ายข่าวให้แก่ผู้รับโดยวิธีนําสารหรือโดยวิธีอื่นใด ให้ผู้บังคับศูนย์ การสื่อสารหรือนายสถานีวิทยุนั้น ๆ พิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสม โดยให้คํานึงถึงการประหยัดเวลา แรงงาน ความรวดเร็ว และต้องระมัดระวังอย่าให้เสียหายต่อทางราชการและความ รับผิดชอบของตนได้ ๑๖.๕ การจ่ายข่าวให้แก่ผู้รับข่าวหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้มารับแทน ให้ปฏิบัติ เช่นเดียวกับการรับ-ส่งหนังสือราชการทั่วไป ๑๖.๖ เพื่อป้องกันผู้ปลอมแปลงแอบอ้างมาขอรับข่าว ผู้เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติดังนี้ ๑๖.๖.๑ ถ้าผู้รับข่าวอยู่ในหน่วยงานที่มีข่าวติดต่อผ่านศูนย์การสื่อสารหรือสถานี วิทยุนั้นเป็นประจํา เจ้าหน้าที่ซึ่งผู้รับข่าวจะมอบหมายให้มารับข่าวจากเสมียนข่าวจะต้องกําหนด ตัวบุคคลให้ปฏิบัติ หน้าที่เป็นประจํา หากมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องแจ้งให้ศูนย์การสื่อสารหรือสถานีวิทยุ แห่งนั้นทราบ ๑๖.๖.๒ ถ้าผู้รับข่าวเป็นบุคคลหรืออยู่ในหน่วยงานที่ไม่มีข่าวติดต่อผ่านเป็น ประจํา การมอบหมายให้เจ้าหน้าที่มาขอรับข่าวจากเสมียนข่าวจะต้องมีหนังสือแนะนําตัวมาแสดงตัว ด้วยทุกครั้ง ๑๖.๗ ข้อความที่ถอดจากข่าวรหัส การจ่ายข่าวให้บรรจุซองแล้วผนึกประทับตรา “ลับ” ไว้ทุกครั้ง ข้อ ๑๗ การติดต่อเพื่อการทดสอบและรับ-ส่งข่าว พนักงานวิทยุของคู่สถานีพึงรักษา มารยาทและ ระเบียบในการปฏิบัติงานไว้ ดังนี้ ๑๗.๑ ห้ามส่งข่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าส่วนราชการ ๑๗.๒ ห้ามเปิดเผยนามเรียกขานโดยใช้ชื่อจริงของหน่วยงาน ๑๗.๓ ห้ามทวนข้อความประมวลลับหรือรหัสเป็นข้อความธรรมดา


๓๐ ๑๗.๔. ห้ามส่งข่าวเกี่ยวกับกําหนดการเดินทาง ชื่อ ตําแหน่งของบุคคลสําคัญ เป็นข้อความ ธรรมดา ๑๗.๕ ห้ามนําบุคคลผู้ไม่มีอํานาจหน้าที่เข้ามาในสถานที่ปฏิบัติงาน ๑๗.๖ ห้ามเปิดเผยงานที่ตนปฏิบัติ รวมทั้งงานในศูนย์ปฏิบัติการสื่อสารหรือสถานี ๑๗.๗ ต้องทบทวนจนมั่นใจว่า สามารถปฏิบัติตามแผนการขนย้ายและทําลาย ยามฉุกเฉิน ต่อเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในความรับผิดชอบได้โดยทันที ๑๗.๘ ในกรณีที่สงสัยว่า มีการละเมิดการรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับการสื่อสาร ระบบ การรหัสรั่วไหล ถูกลวงเลียน หรือถูกก่อกวน ให้รายงานหัวหน้าส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ควบคุม การรักษาความ ปลอดภัยเกี่ยวกับการสื่อสารทันที ๑๗.9 การติดต่อสื่อสารกันโดยตรงจะต้องได้รับอนุญาตจากสถานีบังคับจ่ายก่อน เมื่อได้รับ อนุญาตแล้วจึงจะทําการติดต่อกันได้ และเมื่อเลิกติดต่อจะต้องแจ้งสถานีบังคับจ่ายให้ทราบ ๑๗.๑๐ ห้ามใช้ถ้อยคําที่ไม่สุภาพ หยาบโลน ขัดต่อศีลธรรมอันดีในการพูดโต้ตอบระหว่าง สถานี ๑๗.๑๑ ห้ามมิให้พูดติดต่อกันด้วยเรื่องส่วนตัว หรือพูดล้อเลียนกัน หรือพูดเรื่องอื่น ๆ อันไม่เกี่ยวกับราชการ ๑๗.๑๒ หากปรากฏว่า การทดสอบและหรือการทํางานของตนกับคู่สถานีซึ่งไม่ใช่ เวลาใน ข่าวของตนไปรบกวนการทํางานตามข่ายปกติของคู่สถานีอื่น จะต้องงดทําการติดต่อทันที ๑๗.๑๓ ในกรณีที่ได้พิจารณาเห็นว่า การทํางานของคู่สถานีหนึ่งไม่สามารถจะอํานวย ความสําเร็จได้ เนื่องจากความแรงของสัญญาณที่ใช้ทํางานในเวลานั้นไม่เพียงพอหรือด้วย อุปสรรคอื่น ๆ และสถานีของ ตนสามารถติดต่อกับคู่สถานีต้นทางและปลายทางได้ ก็ให้พนักงานวิทยุสถานี นั้น ๆ ช่วยเหลือในการรับและส่งข่าวผ่าน ให้คู่สถานีนั้น ๆ หรืออาจจะมีทางที่จะช่วยเหลือให้คําแนะนําเพื่อ ความสําเร็จของการทํางานของคู่สถานีนั้นที่กําลัง ประสบอุปสรรค ก็เป็นสิ่งที่พึงกระทําได้ ๑๗.๑๔ พนักงานวิทยุต้องตรงต่อเวลา การทํางานจะต้องตรงเวลาในข่ายที่กําหนดไว้หรือ ตามเวลาที่นัดหมาย ๑๗.๑๕ พนักงานวิทยุจะต้องเป็นผู้รักษาความลับของข่าวซึ่งรับ-ส่งระหว่าง คู่สถานีของตน หรือรับ-ส่งระหว่างคู่สถานีอื่นซึ่งตนรับฟังได้ โดยไม่นําข่าวนั้นไปแพร่หลายให้บุคคลอื่น ทราบโดยเด็ดขาด ๑๗.๑๖ พนักงานวิทยุจะต้องอยู่ในระเบียบวินัยอันดีงามปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับที่ วางไว้ หากมีการฝ่าฝืนระเบียบนี้ ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษตามควรแก่กรณี ข้อ ๑๘ การจ่ายข่าวบางประเภท เช่น ข่าวอาชญากรรม ข่าวภัยพิบัติต่าง ๆ ข่าวเกี่ยวกับ ความมั่นคง ของประเทศชาติ นอกเหนือไปจากการจ่ายให้แก่ผู้รับที่ได้ระบุไว้ในข่าว ผู้บังคับศูนย์การสื่อสารและนายสถานีวิทยุหรือ


๓๑ ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้น ๆ จะต้องใช้ดุลพินิจว่า สมควรจะสําเนาข่าวให้ ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงตามบทที่ ๑ ศูนย์กลางสื่อสาร ข้อ ๓ หรือไม่ ข้อ ๑๙ ข้อความของข่าวทุกฉบับที่ทําการรับ-ส่งผ่านศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุใด ๆจะต้องถือ ว่าเป็นความลับ เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจะนําไปพูดหรือเปิดเผยให้ผู้อื่นทราบไม่ได้ สถานที่ทําการของศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุทุกแห่งถือเป็นเขตหวงห้ามเด็ดขาด ห้ามมิให้ บุคคลภายนอกเข้าไปในบริเวณนั้นโดยเด็ดขาด นอกจากจะได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานนั้นหรือ ผู้ที่ได้รับมอบหมาย การติดต่อต้อนรับแขกของเจ้าหน้าที่ประจําศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุ ให้ผู้บังคับบัญชา หน่วยงานนั้นจัดสถานที่ไว้โดยเฉพาะเป็นสัดส่วน อย่าให้ปะปนกับบริเวณที่เก็บรักษาเอกสารหรือที่ทําการรับ-ส่งข่าวได้ การรับ-ส่งข่าวด้วยวิทยุโทรศัพท์นั้น โดยปกติให้เร่งความดังของเครื่องรับวิทยุไว้พอสมควร อย่าให้ ดังมากจนกระทั่งบุคคลภายนอกสามารถได้ยินได้ และหากผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้น เห็นสมควรจะสั่งให้พนักงาน วิทยุสวมหูฟังในการปฏิบัติแทนการใช้ลําโพงของเครื่องรับวิทยุ ก็ย่อมจะกระทําได้ ข้อ ๒๐ ในกรณีที่มีความจําเป็นจะต้องนําข้อความของข่าวมาเข้ารหัส ผู้ให้ข่าวควรจะพิจารณาเข้า รหัสเฉพาะเรื่องที่เร่งด่วนและต้องการรักษาความลับเท่านั้น กระดาษร่างสําหรับการเขียนข้อความที่เข้ารหัส เมื่อเข้ารหัสเรียบร้อยแล้วจะต้องทําลายด้วยการเผา หรือทําลายด้วยเครื่องทําลายเอกสารทันทีกุญแจและแบบรหัสซึ่งศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุได้รับมอบไปจะต้องถือ เป็นเอกสาร“ลับที่สุด” หรือ“ลับมาก” หรือ“ลับ” แล้วแต่การกําหนดประเภทความลับของรหัสแบบนั้น ๆ การเก็บ รักษากุญแจ รหัส และวิธีการรหัสนี้จะต้องปฏิบัติตามระเบียบนี้ ข้อความของข่าวรหัสที่ถอดออกแล้ว จะต้องรีบทําลายกระดาษคู่ร่างซึ่งใช้ในการถอดรหัส เสียทันที โดยการเผาหรือทําลายด้วยเครื่องทําลายเอกสาร ข่าวต้นฉบับของข่าวรหัสที่ยังไม่ได้ถอด ให้เก็บ รักษาไว้ตามวิธีการเก็บ เอกสารลับซึ่งกําหนดไว้ในระเบียบนี้ ข้อ ๒๑ ข่าวทุกฉบับที่ทําการรับ-ส่งผ่านศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุจะต้องเก็บรักษาไว้ ในที่ เหมาะสม สะดวกต่อการค้นหา และทําลายตามระยะเวลาที่กําหนด ทั้งนี้ การเก็บรักษาและทําลาย เอกสารให้เป็นไป ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๒๒ เครื่องมือสื่อสารและอุปกรณ์การสื่อสารต่าง ๆ ซึ่งใช้ในราชการประจําศูนย์การ สื่อสารและ สถานีวิทยุนั้น เป็นเครื่องมืออันสําคัญซึ่งจะอ้านวยความสะดวกรวดเร็วในการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่ตํารวจ หน่วยงานต่าง ๆ หากมีการชํารุดขัดข้องเกิดขึ้นก็ย่อมจะเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงาน เป็นอย่างมาก เครื่องมือสื่อสาร และอุปกรณ์การสื่อสารเหล่านี้หากให้มีการตรวจสอบและบํารุงรักษาอยู่เสมอ ก็จะมีอายุการใช้งานทนทานและมี ประสิทธิภาพสูง ดังนั้น ผู้บังคับศูนย์การสื่อสารและนายสถานี วิทยุจะต้องปฏิบัติในการตรวจสอบและบํารุงรักษา เครื่องมือสื่อสารและอุปกรณ์การสื่อสาร ดังนี้ ๒๒.๑ หมั่นดูแลทําความสะอาดเครื่องเป็นประจําก่อนเปิดและปิดสถานี ๒๒.๒ อย่าติดตั้งเครื่องให้ได้รับความร้อนหรือความชื้นเกินควร


๓๒ ๒๒.๓ ทําการตรวจสอบและทดลองเครื่องเป็นประจําทุกวัน หากมีสิ่งใดผิดสังเกต ให้รายงานเจ้าหน้าที่ช่างและหรือผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นทราบจนนําส่งซ่อม อย่าปล่อยไว้ให้ชํารุดมาก สําหรับ สถานีวิทยุที่ไม่มีเครื่องสํารองก็ให้รายงานขออนุมัติปิดสถานีด้วย ๒๒.๔ ถือปฏิบัติตามหนังสือคู่มือของเครื่องมือและอุปกรณ์การสื่อสารว่าด้วย การบํารุงรักษาประจําวัน สัปดาห์ เดือน ปีไว้โดยเคร่งครัด (ในกรณีที่เป็นยานพาหนะ เช่น รถยนต์ การบํารุงรักษา อาจจะกําหนดเป็นระยะทางแทน) ๒๒.๕ อย่าปล่อยให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่มีความรู้ความชํานาญในการซ่อมเครื่องมือ ประเภทนั้น ทําการซ่อมด้วยตนเอง เพราะจะทําให้เครื่องชํารุดมากขึ้นถ้าการซ่อมเป็นการซ่อมโดยการ รู้เท่าไม่ถึงการณ์


๓๓ บทที่ 5 การใช้และการบํารุงรักษาเครื่องมือสื่อสาร วัตถุประสงค์การเรียนรู้ประจำบท 1. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจมีความรู้เกี่ยวกับการบํารุงรักษาเครื่องมือสื่อสาร ๒. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจมีความเข้าใจเกี่ยวกับการบํารุงรักษาเครื่องมือสื่อสาร ๓. เพื่อให้นักเรียนนายสิบตำรวจนำความรู้ไปการบํารุงรักษาเครื่องมือสื่อสารได้ถูกต้อง และบรรลุ วัตถุประสงค์ของทางราชการ ส่วนนำ เครื่องมือและอุปกรณ์การสื่อสารต่างๆ ที่ใช้ในราชการประจําศูนย์การสื่อสารและสถานีวิทยุ คมนาคม เป็นเครื่องมือสําคัญที่จะอำนวยความสะดวกและรวดเร็วในการปฏิบัติงานเป็นอย่างมาก เครื่องมือและ อุปกรณ์เหล่านี้หากมีการตรวจสอบบารุงรักษาอยู่เสมอจะมีอายุการใช้งานทนทานและมีประสิทธิภาพสูงสุด


๓๔ การใช้และการบํารุงรักษาเครื่องมือสื่อสาร วิธีการใช้และการบํารุงรักษาเครื่องรับ-ส่งวิทยุสื่อสาร ๑. หมั่นดูแลทําความสะอาดเครื่องเป็นประจําก่อนเปิดและปิดสถานี ๒. อย่าติดตั้งเครื่องให้ได้รับความร้อนหรือชื้นเกินควร ๓.ทําการตรวจสอบและทดลองเครื่องเป็นประจําทุกวัน หากมีสิ่งใดผิดสังเกตให้รายงานเจ้าหน้าที่ช่างหรือ ผู้บังคับบัญชาตามระดับชั้นทราบ ๔. ให้ปฏิบัติตามหนังสือคู่มือประจําเครื่องและอุปกรณ์การสื่อสารที่ว่าด้วยการบํารุงรักษาประจําวัน สัปดาห์ เดือน ปี ไว้โดยเคร่งครัด ห้ามใช้เครื่องมือที่ได้รับมาใหม่โดยมิได้อ่านคู่มือ ๕. อย่าปล่อยเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีความรู้ความชํานาญในการซ่อมเครื่องมือประเภทนั้นด้วยตนเอง เพราะจะทําให้ เครื่องชารุดมากยิ่งขึ้น 6. สายอากาศภายในชนิด Telescopic เวลาใช้จะต้องดึงสายอากาศออกให้ยาวที่สุดและอยู่ใน แนวดิ่งและอย่า ถอดสายอากาศออกโดยไม่จําเป็นเพราะจะทําให้เครื่องเสีย ๗. ควรใช้วิทยุในที่โล่งแจ้ง ให้ห่างจากอาคารต้นไม้ และสิ่งกีดขวางอื่นๆ อย่างน้อย ๕ เมตร (๑๕ ฟุต) โดยเฉพาะเมื่ออาคารและสิ่งกีดขวางนั้นมีหลังคาเป็นโลหะ มีโครงสร้างเหล็กและการก่อสร้าง ๔. การใช้งานในเมือง ต้อง ระวังอย่าให้สายอากาศอยู่ใต้สายไฟฟ้าแรงสูงหรือสายโทรศัพท์ หรือ ๑๐ เมตร (๓๐ ฟุต) อยู่ภายในรัศมี 9. ในการติดต่อสื่อสารภายในเมือง ต้องระวังไม่ควรยืนใกล้อาคารมากนัก ควรเลื่อน ออกไปยืนอยู่กลางถนน (ถ้าทําได้) หรือบนอีกด้านหนึ่งของถนนที่อยู่ตรงข้ามกับทิศทางของสถานที่ ที่จะทําการติดต่อด้วย 10.กดคีย์เมื่อพูด ปล่อยคีย์เมื่อฟัง ไม่ควรกดคีย์ส่งสัญญาณเกินกว่า ๑ นาที เพื่อเป็นการรักษา เครื่องและ ยืดอายุของแบตเตอรี่ ๑๑. การรับ-ส่งวิทยุ ถ้าเครื่องส่งติดตั้งสายอากาศในแนวดิ่ง ต้องรับในแนวดิ่งหรือส่งในแนวนอน ต้องรับใน แนวนอน เพื่อประสิทธิภาพในการรับ-ส่ง ๑๒. แบตเตอรี่ใหม่หรือแบตเตอรี่ที่ไม่ได้ใช้งานนานๆ จะต้องนําไปชาร์จไฟก่อนใช้การชาร์จไฟ ครั้งแรกต้อง ชาร์จอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า ๑๖ ชั่วโมง (แม้เครื่องชาร์จจะเปลี่ยนจากไฟสีแดงเป็นสีเขียว แล้วก็ไม่ต้องเอาออกจาก เครื่องชาร์จ) แต่ต้องไม่เกิน ๒๔ ชั่วโมง ๑๓. การใช้งานต้องใช้จนแบตเตอรี่อ่อนเกือบหมดไฟ โดยสังเกตจากมีเสียงเตือน และเมื่อ กดคีย์ไฟแดงจะ กะพริบ (ถ้าแบตเตอรี่เต็มไฟแดงจะติดตลอดเวลาที่กดคีย์) ถ้าชาร์จก่อนแบตเตอรี่อ่อน จะเกิดอาการ MEMORY EFFECT ทําให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง (เสียเร็ว) ๑๔. การใช้งานจนแบตเตอรี่อ่อน ท่านจะต้องนําแบตเตอรี่ก้อนสํารองของท่าน (ถ้ามี) ซึ่งชาร์จไฟ เต็มติดตัวไป ด้วย เพื่อสับเปลี่ยนเมื่อก้อนที่ใช้อยู่อ่อนกําลัง เท่านั้น


๓๕ ๑๕. ในระหว่างชาร์จแบตเตอรี่ควรปิดเครื่องวิทยุถ้าจะเปิดสแตนด์บายต้องใช้เฉพาะรับฟังเท่านั้น ๑๖. อย่ากด คีย์ส่งสัญญาณขณะชาร์จไฟ เพราะจะทําให้การประจุไฟฟ้าไม่ต่อเนื่อง ๑๗. โปรดรักษาความสะอาดเครื่องชาร์จและขั้ว แบตเตอรี่จุดสัมผัสการรับ-จ่ายกระแสไฟ ๑๘. ห้ามเปิดฝาหลังหรือปรับจูนในตัวเครื่อง ๑๙. ห้ามปรับขั้วแบตเตอรี่และหยอดน้ำมันเครื่อง ๒๐. ห้ามส่งซ่อมตามร้านซ่อมวิทยุโดยทั่วไปต้องส่งซ่อมที่ศูนย์สื่อสารของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ การซ่อมและบํารุงรักษาเครื่องรับ-ส่งวิทยุและอุปกรณ์ เนื่องจากศูนย์การสื่อสารต่าง ๆ จําเป็นต้องธํารงรักษาการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องในการนี้ จึงจําเป็นที่จะต้องดําเนินการซ่อมและบํารุงรักษาเครื่องรับ-ส่งวิทยุและอุปกรณ์เพื่อให้ใช้การได้ตลอดเวลา จึง กําหนดการซ่อมและบํารุงรักษาไว้ ๕ ขั้น ดังนี้ ขั้นที่หนึ่ง การซ่อมโดยพนักงานสื่อสารผู้ใช้เครื่องทําการซ่อมเอง โดยอาศัยหลัก ๕ ประการ คือ การสัมผัส การตรวจด้วยตา การขันให้แน่น การทําความสะอาด การปรับและการหยอดน้ำมันหล่อลื่น การ ซ่อมบํารุงเครื่องขั้นที่หนึ่งนี้ตามปกติใช้เครื่องมือ เช่น คีมเล็ก ๆ ไขควงขนาดต่าง ๆ ทําการแก้ไขได้เท่าที่ ปรากฏอาการขัดข้องเล็กน้อย ให้พนักงานสื่อสารผู้ใช้เครื่องทําการซ่อมได้เฉพาะในกรณี ดังนี้ (๑) การเปลี่ยนฟิวส์ (๒) การเปลี่ยนหลอดวิทยุ หลอดไฟฟ้า และหน้าปัด (๓) การขันนอตสกรูและจุดเชื่อมต่อต่าง ๆ (๔) การทําความสะอาดภายในและภายนอกเครื่องรับ-ส่งวิทยุ (๕) การถ่ายน้ํามันเครื่องของเครื่องยนต์กําเนิดไฟฟ้า (6) การทําความสะอาดหัวเทียน (7) การล้างคาบูเรเตอร์ (8) การปรับแต่งทางเดินน้ํามันและอากาศของคาบูเรเตอร์ (9) การหยอดน้ํามันตามชิ้นส่วนต่าง ๆ ขั้นที่สอง การซ่อมโดยช่างของหน่วยที่ผ่านการอบรมจากกองตํารวจสื่อสาร คือกรณีดังนี้ (๑) การตรวจและเปลี่ยนรีซิสเตอร์ (Resistor) คาปาซิเตอร์ (capacitor) อินดักเตอร์ (Inductor) และโมดูล (Module) (๒) การตรวจและเปลี่ยนหลอดสุญญากาศ ทรานซิสเตอร์ และสารกึ่งตัวนํา (๓) การเปลี่ยนชิ้นส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ชํารุด เช่น สวิตช์ ไมโครโฟน ลําโพง เป็นต้น (๔) การซ่อมเกี่ยวกับการส่งน้ํามันเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์กําเนิดไฟฟ้า ตลอดจนการถอด ประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของคาบูเรเตอร์ออกทําความสะอาด


๓๖ (๕) ซ่อมเกี่ยวกับการเดินของกระแสไฟ เครื่องจุดเชื้อระเบิดของเครื่องกําเนิดไฟฟ้าตั้งแต่ แมกนีโต การจ่ายไฟ และหัวเทียน (๖) ซ่อมเกี่ยวกับแปรงจ่ายกําลังไฟของเครื่องกําเนิดไฟฟ้า เช่น การขันแปรงจ่ายกําลังไฟฟ้า ให้แน่น การเปลี่ยนแปรงถ่านที่ชํารุด ขั้นที่สาม การซ่อมโดยช่างของกองตํารวจสื่อสารด้วยการใช้เครื่องมือตรวจวัดต่าง ๆ เช่น เครื่องซิกแนล เยนเนอเรเตอร์ ฟรีเควนซีเคาน์เตอร์ วัตต์มิเตอร์ การซ่อมบํารุงในขั้นนี้เป็นขั้นที่ต้องใช้ วิธีการ ตรวจซ่อมซับซ้อนกว่าการซ่อมบํารุงในขั้นที่สอง ได้แก่ การปรับวงจรต่าง ๆ การปรับความไวภาค เครื่องรับ การปรับและโปรแกรมความถี่ การปรับกําลังส่งของภาคเครื่องส่ง ขั้นที่สี่ การซ่อมโดยช่างผู้ชํานาญการของกองตํารวจสื่อสารด้วยการใช้เครื่องมือช่างและ เครื่องมือตรวจวัดที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าขั้นที่สาม เช่น เครื่องมือถอดเปลี่ยนไอซีและซีพียู เครื่องเซอร์วิส มอนิเตอร์ เครื่องวิเคราะห์สัญญาณ (Spectrum Analyzer) ขั้นที่ห้า การซ่อมโดยช่างผู้ชํานาญการพิเศษหรือวิศวกรของกองตํารวจสื่อสารด้วยการใช้ เครื่องมือช่างและเครื่องมือตรวจวัดของการซ่อมบํารุงขั้นที่สามและขั้นที่สี่รวมกัน การซ่อมบํารุงในขั้นนี้ ได้แก่ การดัดแปลง ปรับปรุงแก้ไข และออกแบบวงจรให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งาน หรือเพื่อ หลีกเลี่ยงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่เป็นจุดอ่อนของเครื่อง และยังช่วยเหลือให้คําแนะนําการตรวจซ่อมแก่ เจ้าหน้าที่ในลําดับขั้นต้น ๆ ด้วย การซ่อมบํารุงขั้นตอนต่าง ๆ ให้เจ้าหน้าที่ตามที่กําหนดไว้เป็นผู้ดําเนินการ เว้นแต่มี ความ จําเป็นทางสํานักงานตํารวจแห่งชาติจะสั่งการเป็นอย่างอื่นก็ได้ การซ่อมในขั้นที่สองถึงขั้นที่ห้าให้บันทึกรายการที่ซ่อมลงในทะเบียนคุมทรัพย์สินของ หน่วยงานด้วย เครื่องมือสื่อสารที่ใช้ในราชการตํารวจ ๑. เครื่องรับ-ส่งวิทยุชนิดมือถือ กําลังส่ง ๒-๕ วัตต์ แจกจ่ายให้เจ้าหน้าที่ทุกลําดับชั้น มีหลายชนิด เช่น วินสัน P.G.S.-๑๕๒ โมโตโรล่า รุ่น MH-๗๐, รุ่น P ๒๐๐, รุ่น GP ๓๐๐ FM๑


๓๗ ๒. เครื่องรับ-ส่งชนิดนิ้วถือหรือติดรถยนต์ กําลังส่ง ๕-๑๐ วัตต์ โดยปกติจะตั้งประจํา หน่วยงานหรือ ติดรถยนต์มี L.V.B., FM ๕, โมโตโรล่า รุ่น SPECTRA ติดรถยนต์ที่สํานักงานส่งกําลังบํารุงกรมตํารวจให้พร้อม กับรถยนต์ ๓.เครื่องรับ-ส่งวิทยุประจําที่กําลังส่ง ๒๕ วัตต์ขึ้นไป ส่วนมากจะตั้งตามศูนย์วิทยุต่างๆ มีL.VB. รุ่น ๘๕๒๖ โมโตโรล่า รุ่น SUPER CONSOLETTE เป็นต้น


๓๘ ลักษณะของเครื่องรับ-ส่งวิทยุโดยทั่วไป ๑. ปุ่ม VOLUME หมายถึง ปุ่มที่มีหน้าที่เร่ง-ลดเสียงของวิทยุนั้น บางชนิดอาจมีสวิตซ์ปิด-เปิด อยู่ในตัว ๒. ปุ่ม SQUELCH หมายถึง ปุ่มที่มีหน้าที่ในการตัดสัญญาณเสียงรบกวนต่างๆ ออกไป โดยปกติ จะปรับให้อยู่ในระดับที่เงียบใกล้เคียงเสียงซ่า ๓. ปุ่ม PTT ปุ่มกดเพื่อส่งสัญญาณ กดแล้วพูด ปล่อยแล้วฟัง ๔. ปุ่มปรับช่องมีไว้สําหรับเลือกช่องความถี่ที่จะใช้ เช่น ช่องที่ ๑ หรือช่องที่ ๒ ๕. HI, LOW เป็นตัวกําหนดกําลังส่ง HI เป็นการส่งเต็มกําลัง LOW เป็นการส่งเพียงเล็กน้อยใน กรณีการรับส่งอยู่ใกล้กับสถานีแม่ข่าย นอกนั้นยังมีปุ่มต่างๆ ที่สําคัญที่จะต้องศึกษาจากคู่มือการใช้ ฉะนั้นถ้าไม่รู้จริง อย่าไปปรับแต่งด้วย ตนเอง ตัวอย่างวิทยุซึ่งใช้เครื่องแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่ง-รับข่าว แบบประจําที่หรือติดตั้งบนยานพาหนะ


๓๙ แบบมือถือติดตัว


๔๐


๔๑ การแบ่งกลุ่มและจังหวัดต่างๆ ของกองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๑-๙ กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๑ กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๒ กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๓ ๑. พระนครศรีอยุธยา 1. ชลบุรี ๑. นครราชสีมา ๒. อ่างทอง ๒. ฉะเชิงเทรา ๒. ชัยภูมิ ๓.สระบุรี ๓. ปราจีนบุรี ๓. บุรีรัมย์ ๔. ปทุมธานี 4. นครนายก 4. สุรินทร์ ๕. สิงห์บุรี 5. ระยอง 5. ศรีสะเกษ ๖. ลพบุรี 6. จันทบุรี 6. อุบลราชธานี ๗. นนทบุรี 7. ตราด 7. ยโสธร 8. ชัยนาท 8. สระแก้ว 8. อำนาจเจริญ 9. สมุทรปราการ กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค ๔ กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 5 กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 6 1. ขอนแก่น 1. เชียงใหม่ 1. พิษณุโลก 2. อุดรธานี 2. เชียงราย 2. สุโขทัย 3. เลย 3. แม่ฮ่องสอน 3. กำแพงเพชร 4. มหาสารคาม 4. ลำปาง 4. อุตรดิตถ์ 5. กาฬสินธุ์ 5. ลำพูน 5. พิจิตร 6. ร้อยเอ็ด 6. แพร่ 6. เพชรบูรณ์ 7. มุดาหาร 7. น่าน 7 นครสวรรค์ 8. นครพนม 8 พะเยา 8. อุทัยธานี 9. สกลนคร 10. หนองคาย 11. หนองบัวลำภู กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 1. นครปฐม 1. สุราษฎร์ธานี 1. สงขลา 2. กาญจนบุรี 2. ชุมพร 2. ตรัง 3. ราชบุรี 3. ระนอง 3. พัทลุง 4. เพชรบุรี 4. พังงา 4. สตูล 5. สุพรรณบุรี 5. ภูเก็ต 5. ปัตตานี 6. สมุทรสงคราม 6. กระบี่ 6. ยะลา 7. สมุทรสาคร 7. นครศรีธรรมราช 7. นราธิวาส 8. ประจวบคีรีขันธ์


๔๒


Click to View FlipBook Version