The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chumc008, 2021-04-28 10:50:51

กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม

1


ชื่องานวิจัย การพัฒนาชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ผู้วิจัย นายชูเกียรติ เมืองกรุง

สถานที่ติดต่อ โรงเรียนเทศบาล 2 (แม่ต๋ำดรุณเวทย์) อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา 56000
โทรศัพท์ 0946366779 E-mail : [email protected]
ี่
ปีทวิจัย พ.ศ. 2563

บทคัดย่อ


ื่
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพอพฒนาชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มี
ื่
ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 เพอเปรียบเทียบผลการใช้แบบฝึกทักษะชุดกิจกรรมการเรียนรู้ก่อนเรียน
ื่
และหลังเรียนแบบโครงงาน เพอประเมินความสามารถในการทำโครงงานหลังจากใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบโครงงาน และเพอศึกษาความพงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน กลุ่ม

ื่
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างได้แก่
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ภาคเรียนที่ 2 จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดกิจกรรมฝึก
ทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมิน

ความพึงพอใจ วิเคราะห์ผลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test)
แบบ Dependent Sample
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้

1. ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ที่พฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ
82.49/82.76 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ 80/80

2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิง

วิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
มีความพึงพอใจระดับมาก

2


ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา


การศึกษาเป็นกระบวนการทางสังคมในการสร้างและพฒนาคนให้มีความรู้ ความคิด
ความประพฤติและคุณ ธรรม ช่วยให้คนสามารถด ำ รงชีวิตอยูในสังคมได้อย่างมีความสุข
ซึ่ง สอดคล้องกบแผนพฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่12 (พ.ศ. 2560-2564) มีจุดเน้นใน


การพฒนาประเทศสู่ความสมดุลและยั่งยืนซึ่งเริ่มมาจากการพฒนาคนให้เข้มแข็งพร้อมรับ

การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต โดยการเสริมสร้างให้เป็นผู้ที่มีความพร้อมทั้ง
ทางร่างกายและจิตใจ มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงมีทักษะในการคิดเป็นทำเป็น การคิดวิเคราะห์
ความคิดสร้างสรรค์มีคุณธรรม จริยธรรมรู้จักสิทธิหน้าที่ของตนเองและให้ความเคารพในสิทธิ

และหน้าที่ของผู้อนขณะเดียวกนต้องเสริมสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เออต่อการพฒนาคุณภาพของคน
ื่
ื้
ในสังคมให้เข้มแข็งสามารถเป็นภูมิคุ้มกนการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
(สภาพฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2555) ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกบนโยบายของ

กระทรวงศึกษาธิการในการพฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่21 โดยมุ่งส่งเสริมผู้เรียน

ให้มีคุณธรรม รักความเป็ นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ทักษะด้านเทคโนโลยี
มีสามารถทำงานร่วมกบผู้อื่น และสามารถอยู่ร่วมกบผู้อื่นในสังคมได้อย่างสันติ่ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)

การจัดการศึกษาเป็นพนฐานที่สาคัญในการพฒนาทุกด้าน ดังที่พระราชบัญญัติการศึกษา

ื้

แห่งชาติพทธศักราช 2542 มาตรา 6 กำหนด การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพอพฒนาคนไทยให้

ื่
เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมใน การ
ด ำ รงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกบผู้อนได้อย่างมีความสุข นอกจากนั้นในมาตราที่24 ข้อ 2 กำหนด
ื่
การจัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระต่าง ๆ ได้อยางมีสัดส่วนสมดุลกันรวมทั้งปลูกฝัง คุณธรรม


จริยธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอนพงประสงค์ไว้ในทุกวิชา และสอดคล้องกับ
แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับปรับปรุงพทธศักราช 2561-2565 มีเจตนารมณ์ คือพฒนาชีวิตให้เป็น


“มนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่
ร่วมกบผู้อนได้อยัางมีความสุข”่ พฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมที่มีความเข้มแข็งและมีคุณภาพ 3 ด้าน คือ
ื่

ื้
1)สังคมแห่งคุณภาพ 2)สังคมภูมิปัญญา 3) สังคมสมานฉันท์ (สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพนฐาน,
2549, หน้า 1)

3


หลักสูตรแกนลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดวิสัยทัศน์ จุดมุ่งหมาย สมรรถนะ


สำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอนพงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวชี้วัด เพอใช้เป็นทิศทางในการจัดทำ
ื่
หลักสูตร โดยมุ่งพฒ นาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็น ก ำ ลังสาคัญ ของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีคว า ม

สมดุลทั้งด้านร่างกาความรู้คุณธรรมมีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลกยึดมันในการปกครองตา
มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็่นพระประมขมความรู้และทักษะพื้นฐานรวมทั้ง


เจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต
โด ย มุ่ งเน้ น ผู้ เรี ย น เป็ น ส า คั ญ บ น พ น ฐ า น ค ว า ม เชื่ อ ว่ า ทุ ก ค น ส า ม า ร ถ เรี ย น รู้
ื้


และพฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, หน้า-32) โดยมุ่งเน้นพฒนา
ผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนดซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ ดังนี้
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคิด

3) ความสามารถในการแกปัญหา
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

(กระทรวงศึกษาธิการ,2551, หน้า4)
สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ได้กำหนด
ั้
มาตรฐานการศึกษา และตัวบ่งชี้เพื่อการประเมินคุณภาพภายนอกระดับการศึกษาขนพื้นฐานรอบที่

(พ.ศ. 2554-2558) มีมาตรฐานด้านผู้เรียน6 มาตรฐาน โดยมาตรฐานที่ 2 ผู้เรียนมีคุณธรรม
จริยธรรมและค่านิยมที่พงประสงค์มาตรฐานที่4 ผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็นมีความสามารถในการคิดเชิงระบบ

คิดสร้างสรรค์ตัดสินแก้ปัญหาอย่างสมเหตุสมผล และมาตรฐานที่5 ผู้เรียนมีความรู้ และทักษะที่
จ ำ เป็นตามหลักสูตรโดยมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแต่ละกลุ่มสาระเป็นไปตามเกณฑ์ใน ระดับดี

(สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาองค์การมหาชน, 54 หน้า2513, 20, 22)

ในยุคโลกาภิวัฒน์เป็นยุคแห่งความเจริญกาวหน้าทางวิชาการ้ เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์

สมัยใหม่และสังคมที่กาลังเปลี่ยนแปลงจากยุคอตสาหกรรมเข้าสู่ยุคข่าวสารข้อมูลและความเจริญ
ก้ า ว ห น้ า ท า งเท ค โน โล ยี (Information and technology society) ก ร ะ แ ส โล ก า ภิ วั ต น์
( G l o b a l iz a t io n ) ห รื อ ก ร ะ แ ส ก า ร ท ำ ป ร ะ เ ท ศ ใ ห้ เ ป็ ส า ก ล ท ำ

ื่
ให้คนต้องรู้จักคดเพอให้สามารถเลือกรับข่าวสารข้อมูล และเลือกใช้เทคโนโลยีได้อยางเหมาะสม่ ต้องแข่งขัน

กั บ ค น ใน สั ง ค ม โล ก แ ล ะ พ ง ต น เอ ง ม า ก ขึ้ น ซึ่ ง ต้ อ ง เป็ น ค น ที่ คิ ด เป็ น ท ำ เป็ น
ึ่
แก้ปัญหาเป็นแต่การพฒนาประเทศโดยมุ่งความเจริญทางเศรษฐกิจ และความเจริญกาวหน้าทางเทคโนโลยี

การพฒนานั้นมิได้เป็นไปอยางยั่งยืนขาดการสมดุลกับการพฒนาทางด้านจิตใจ เป็นที่มาของปัญหาสังคม



มีผลกระทบต่อวิถีการดารงชีวิตของผู้คน อทธิพลทางวัฒนธรรมจากต่างชาติเข้ามาสู่ประเทศไทย
ผานสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ่ เด็กและ เยาวชนขาดทักษะด้านการคิดวิเครห์อยางเป็นระบบ
ไม่สามารถคัดกรองและเลือกรับวัฒนธรรมที่เหมาะสม

ทำให้เกิดค่านิยมและพฤติกรรมที่เน้นวัตถุนิยม และบริโภคนิยมมากขึ้น ขาดจิตสำนึกสาธารณะ
คุ ณ ธรรม แล ะจ ริย ธรรม ล ด ล ง น ำ ไป สู่ ปั ญ ห าต่ าง ๆ เช่ น ปั ญ ห าเด็ ก แล ะเย าวช น
ปัญหาการขาดสัมพนธภาพในครอบครัว รวมทั้งปัญหายาเสพติดและปัญหาอาชญากรรมอนๆ
ื่


(สำนักงานคณะกรรมการการพฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2560) ความสามารถในการคิดช่วยทำ
ให้มนุษย์สามารถสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพอการตัดสินใจเกี่ยวกบตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
ื่

4


การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็กลางหรือการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางสำคัญที่สุด
ทำให้นักเรียนต้องใช้ความสามารถในการคิด การวิเคราะห์ การคิดเป็น และการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
แต่ในสภาพปัจจุบันเด็กยังขาดทักษะในการคิดจากการสำรวจนักเรียนโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษามีปัญหา

เกี่ย ว กับการคิดเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ส ำ คัญ ขาดการพฒ นากระบวนการคิดคือเนื่องมาจาก
สภาพทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอยางรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหน้าที่สาคัญของโรงเรียนที่จะต้องพฒนาเด็กให้มีกระบวนการคิดใน

การเรียนรู้โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีคุณภาพตามความมุ่งหมายของหลักสูตรและ

ื้
พฒนากระบวนการคิดให้นักเรียน ซึ่งการศึกษาในระดับษาขั้นพนฐานเหมาะสมที่จะพฒนา กระบวน

การคิดมากที่สุดจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ
การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้ป้องกนและแกัไขปัญหาจัดกิจกรรมให้ผู้เรียน
ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกปฏิบัติให้คิดเป็นรู้จักคิดอย่างมีเหตผล มีระบบและเกิด การใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
ผ ส ม ผ ส า น ส า ร ะ ค ว า ม รู้ ด้ า น ต่ า ง ๆ อ ย่ า งได้ สั ด ส่ ว น ส ม ดุ ล กั น ป ลู ก ฝั งคุ ณ ธ ร ร ม

ื่
ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอนพงประสงค์ไว้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้เพอให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้

และมีความรอบรู้รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ การจัดการศึกษาที่
ผ่านมาไม่ประสบผลส ำ เร็จเท่าที่ควรในด้านการพฒ นาการคิดที่หลักสูตรเน้น กระบวนการ

จั ด ก ารเรีย น รู้ให้ ผู้ เรีย น คิ ด เป็ น ท ำ เป็ น แ ล ะแ ก้ ปั ญ ห าเป็ น ดั งนั้ น นั ก เรีย น จึ งค วรมี
ื่
ความสามารถในการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร เพอเป็นเครื่องมือสาหรับยังชีพเพอความอยู่รอดใน
ื่
สังคมยุคข้อมูลข่าวสาร โดยต้องมีทักษะในการคิด จึงจำเป็นอยางยิ่งที่ต้องมีการสอนทักษะการคิดซึ่งเป็นเรื่อง

ส ำ คัญ อยางยิ่งใน การจัดการศึกษ าที่ ต้องพ ฒ น า การคิดอยางมีจุดมุ่งห มาย มีทิ ศท าง
มีกระบวนการคิดที่ดีรอบคอบ จะทาให้ได้คาตอบหรือบทสรุปที่มีคุณภาพเชื่อมโยงไปสู่การกระทำ หรือการ
ดำรงชีวิตที่เหมาะสมของแต่ละบุคคลต่อไป


กระบวนการคิดเชิงระบบSystem( thinking process) เป็นอกรูปแบบหนึ่งของการคิดของ

มนุษย์ที่ใช้ในการมองปัญหาโดยจะพจารณาปัญหาเป็น 3 ระดับ คือ ระดับสถานการณ์ (Events)
ระดับแบบแผนพฤติกรรมPatterns( of behavior) และระดับโครงสร้างระบบSystems( structure)กล่าวคือ
เมื่อมีปรากฏการณ์สถานการณ์ปัญหาเกิดขึ้นจะพิจารณาสร้างความเข้าใจกบสถานการณ ์

5



นั้น ๆ ให้ได้ว่า ปัจจัยสาเหตุของการเกิดสถานการณ์นั้นมีปัจจัยสาเหตุย่อยอะไรบ้าง จากนั้น


พจารณาวาปัจจัยสาเหตุย่อยนั่นมีความสัมพนธ์เชื่อมโยงในลักษณะความเป็นเหตุเป็นผลกนอย่างไรบ้าง
ทั้งนี้รูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอาจจะก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ขยายกว้างขึ้นหรืออาจะก่อให้
เกิดสถานการณ์แบบสมดุลที่ไม่มีการขยายผลที่กว้างขวางมากขึ้นก็ได้การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ได้นั้น


จ ำ เป็นต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพนธ์ระหวางปัจจัยสาเหตุย่อยอนจะส่งผลทาให้
รูปแบบพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงและในที่สุดน ำ ไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับสถานการณ์ด้วย
กระบวนการดังที่กล่าวมานี้ถือวาเป็นกระบวนการที่ปฏิบัติการคิดเชิงระบบ่ (Kreuzer, 2001) ซึ่งเป็น


เพอการอธิบายและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพลังและความสัมพนธ์เชื่อมโยงระหว่างปัจจัย ต่าง ๆ
ื่
ที่จะนาไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมระบบให้ไปสู่ทิศทางที่ต้องการ ซึ่งสอดคล้องกับ ความหมายของ

มกราพนธ์จูฑะรสก(2551)ที่กล่าวถึงการคิดเชิงระบบซึ่งเป็นความสัมพนธ์ของการคิดในลักษณะเชื่อมโยงแบ

บภาพรวมให้มองเห็นทั้งหมด


กระบวนการคิดเชิงคำนวณมีความเกี่ยวข้องสัมพนธ์กบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ

ื้
ิ่
นักเรียนการพฒนากระบวนการคิดเชิงระบบจะช่วยส่งเสริมการเรียนที่เออต่อการเพมผลสัมฤทธิ์ทาง

การเรียนให้สูงขึ้น และเป็นผลดีอยางยิ่งในการพฒนาคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่


พงประสงค์ในด้านพฤติกรรมของนักเรียนโดยตรง นักจิตวิทยาและนักการศึกษาสนใจการพฒนา

การคิดของนักเรียน ให้มีคุณภาพในการคิดระดับสูงกว่าการรู้การ ำ มากขึ้น ทั้งนี้เพราะการ


ื่
จัดการศึกษาเพอพฒนาการคิดของนักเรียนยังไม่ประสบความสาเร็จเท่าที่ควร การพฒนาการคิด
โดยตรงหรือการสอนทักษะการคิดควบคู่ไปกบการสอนเนื้อหาสาระวิชาในโรงเรียน ความเชื่อ
ื้
พนฐานที่สอดคล้องกนในทุกรูปแบบการสอนมุ่งพฒนาคุณภาพการคิด โดยการสร้างทักษะของ

วิธีการคิดชนิดต่าง ๆ และในปัจจุบันมีการใช้รูปแบบต่าง ๆ มากมายที่จะช่วยให้เด็กและเยาวชนเกิด
ื่
การเรียนรู้เพอมุ่งไปสู่การกระทำที่เหมาะสม กระบวนการคิดเชิงระบบเป็นรูปแบบหนึ่งที่จะช่วยให้

เยาวชนเกิดการกระทำที่เหมาะสม รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพอพฒนากระบวนการคิดเชิงระบบ
ื่
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถพฒนาการคิดของผู้เรียนให้มองอย่าองค์รวม ซึ่งสอดคล้องกับ

ธรรมชาติของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ที่ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันกับ
โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็วตลอดเวลาโดยมุ่งเน้นทักษะการคิด ทักษะการแก้ปัญหา
ทักษะการเรียนรู้ ทักษะกระบวนการกลุ่ม (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) มุ่งให้ผู้เรียนสร้างองค์
ความรู้ด้วยตนเอง ตามคำอธิบายรายวิชาคือศึกษาการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความเชื่อมสัมพนธ์กัน

และมีความแตกต่างกันอย่าหลากหลาย เพอช่วยให้สามารถปรับตนเองกับบริบทสภาพแวดล้อม
ื่
เป็นพลเมืองดีมีความรับผิดชอบ มีความรู้ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม การสอนโดยใช้
รูปแบบการสอนด้วยกระบวนการคิดเชิงระบบยังจะช่วยให้นักเรียนใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ
ในการเรียนรู้ มีเหตุและผลโดยใช้การค้นคว้าประกอบการพิจารณาด้วยตนเองอยางมีระบบ

จากการประเมินคุณภาพภายนอกของการจัดการศึกษาระดับต่าง ๆ ของสำนักงานรับรอง
มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) พบว่า มาตรฐานผู้เรียนโดยภาพรวมทั้งประเทศได้
คะแนนร้อยละต่ำมากที่สุด คือ มาตรฐานที่มีความสามารถคิดวิเคราะห์ผู้เรียน คิดสังเคราะห์ มีวิจารณญาณ

มีความคิดสร้างสรรค์คิดไตร่ตรองและมีวิสัยทั ศน์ ได้คะแน น เพ ยงร้อยละ 11.1 ซึ่ง
การคิดตามมาตรฐานดังกล่าวเป็นพนฐานของการคิดเชิงระบบ ปัญหาสำคัญที่สุดที่ต้องหาทางแก้ไข
ื้
คือครูจะต้องสอนแบบเสนอปัญหาให้เด็กหัดคิดโดยให้เสรีภาพเด็กทจะคิดหาเหตุผลมาอธิบายได้หลายทางส
ี่
อดคล้องกับลักษณะของกระบวนการคิดเชิงระบบไม่ใช่การสอนแบบบรรยายแบบท่องจำและมีคำตอบ

สำเร็จรูปเพยงคำตอบเดียว (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา,2551, หน้า672-73) และมาตรฐานที่ 5

6


ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ตามการประเมินคุณภาพผู้เรียนใน ระดับชาติชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
ชั้นประถมศึกษาปีที่6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 รายงานผลการประเมิน พบว่า

คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาหลัก 5 วิชา คือ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาองกฤษ
วิทยาศาสตร์และสังคม ต่ำลงอย่างต่อเนื่องทุกวิชาในช่วงเวลา 5 ปี (กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า29;
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา,2550, หน้า18-19)
จากการได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 4 ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ไม่
ผ่านตัวชี้วัด ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้นี้ สาเหตุมาจากนักเรียนขาด

ื่
ิ่
ทักษะในการคิดเชิงคำนวณและกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ผู้วิจัยจึงได้คิดแก้ปัญหาเพอเพมทักษะ
ในการคิดเชิงคำนวณและกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ให้กับนักเรียน

จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะพฒนาชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบ
เชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ขึ้นเพราะการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกจะเสริมสร้างให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ เรื่อง กระบวนการ
ออกแบบเชิงวิศวกรรมได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความรู้ความสามารถตาม
มาตรฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น


วัตถุประสงค์ของการวจัย

ื่
1. เพอพฒนาชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระ

การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์
80 / 80
ื่
2. เพอเปรียบเทียบผลการใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียน
และหลังเรียน
3. เพอศึกษาความพงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการ
ื่

ออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 4

นิยามศัพท์เฉพาะ

1. ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ หมายถึง ชุดกิจกรรมฝึกการทำกิจกรรมประเภทกลุ่มที่ฝึกให้นักเรียน
ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ตามที่กำหนดโดยมีครูเป็นที่ปรึกษา

นักเรียนเป็นผู้ศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งการทำ
ื่
กิจกรรม เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ต้องอาศัยการจัดกิจกรรมเพอนำไปสู่การแก้ปัญหาที่จะ
ศึกษาค้นคว้า
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถของนักเรียนในการเรียนรู้ ซึ่งพจารณา

จากคะแนนของนักเรียนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง
กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเองโดยกำหนดพฤติกรรมที่ต้องการวัดด้านความรู้ความจำ ความเข้าใจ
การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การสร้างสรรค์ และการประเมินค่า

7


3. ความพึงพอใจ หมายถึง การตัดสินใจโดยความรู้สึกของนักเรียนเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ด้วย
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียน

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งวัดได้จากแบบวัดความพึงพอใจที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น

แนวคิด/ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้มาด้วยความพยายามของมนุษย์ที่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการ

สืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา โดยผ่านการสังเกต การตรวจสอบ การศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบและ

ิ่
การสืบค้นข้อมูล ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่เพมพนตลอดเวลา ความรู้และกระบวนการดังกล่าวมีการ
ถ่ายทอดต่อเนื่องกันเป็นเวลายาวนานความรู้วิทยาศาสตร์ต้องสามารถอธิบายและตรวจสอบได้ เพื่อนำมาใช้
อ้างอิงทั้งในการสนับสนุน หรือโต้แย้งเมื่อมีการค้นพบข้อมูล หรือหลักฐานใหม่ หรือแม้แต่ข้อมูลเดิมเดียวกัน

ก็อาจเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ ถ้านักวิทยาศาสตร์แปลความหมายด้วยวิธีการหรือแนวความคิดที่แตกต่างกัน
ความรู้วิทยาศาสตร์จึงอาจเปลี่ยนแปลงได้ความรู้วิทยาศาสตร์เป็นพนฐานที่สำคัญในการพฒนาเทคโนโลยี

ื้

เทคโนโลยีเป็นกระบวนการในงานต่างๆ หรือกระบวนการพฒนา ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ โดยอาศัยความรู้
วิทยาศาสตร์ร่วมกัน ในปัจจุบันครูต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนใหม่เพราะในโลกยุคใหม่ผู้เรียนสามารถหา

ความรู้ได้อย่างหลากหลายจากชีวิตประจำวัน จากสื่อเทคโนโลยีต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพมพ ์

ื่
อนเตอร์เน็ต จากพพธภัณฑ์ จากศูนย์วิทยาศาสตร์อน ๆ มากมาย เด็กบางคนมีโอกาสเข้าถึงแหล่งความรู้ได้


มากกว่าครู ฉะนั้นครูต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ปรับบทบาทของครูเป็นผู้
อำนวยความสะดวกในการเรียน (Facilitator) ร่วมในการวางแผนการเรียน การปฏิบัติการทดลองบางอย่าง
ครูเรียนไปพร้อมกับศิษย์ได้ และบางเรื่องครูก็เรียนจากศิษย์ แต่สิ่งสำคัญที่ครูต้องมีเสมอ คือ ความเป็นผู้มี
คุณธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ ส่งเสริมให้เด็กได้เรียนและพฒนาตามศักยภาพ การใช้แบบฝึกทักษะ

รูปแบบของการจัดกิจกรรมหนึ่งของรายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีจุดประสงค์เพอฝึกให้นักเรียนได้
ื่
ศึกษาพัฒนาความเข้าใจในบทเรียน โดยผู้จัดทำจะทำเป็นเล่มหรือใบงานก็ได้


กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย



1. แผนการจัดการเรียนรู้ การเรียนด้วยชุดกิจกรรม 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ ฝึกทักษะ 2. ความพึงพอใจ



สมมติฐานของการวิจัย
1. ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง
กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้น

มัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน

8


3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เมื่อเรียนชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิง

วิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศกษาปีที่ 4 มีความ
พึงพอใจในระดับมาก

วิธีดำเนินการวิจัย

แบบแผนการวิจัย
ใช้แบบแผนการวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดก่อนและหลังการทดลอง (One Group

Pretest – Posttest Design)
สอบกอน ทดลอง สอบหลัง

t1 X t2

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มเป้าหมาย

ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2563
โรงเรียนเทศบาล 2 (แม่ต๋ำดรุณเวทย์) อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา จำนวน 3 ห้องเรียน รวม 80 คน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียน
เทศบาล 2 (แม่ต๋ำดรุณเวทย์) อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา จำนวน 24 คน ที่ได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายด้วย
วิธีการจับสลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม

เครื่องมือวิจัย
1. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิง

วิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ประกอบด้วย แบบฝึกทั้งหมด 5 ชุด
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเกบรวบรวมข้อมูล ได้แก่

2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่ม

สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบปรนัย
4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ
2.2 แบบประเมินความพงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการ

ออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศกษาปี

ที่ 4 จำนวน 20 ข้อ มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale)


การสร้างและหาคณภาพของเครื่องมือ
1. การสร้างและหาประสิทธิภาพของ ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

1.1 ศึกษารายละเอยดเกี่ยวกับการสร้างชุดกิจกรรมฝึกทักษะ จากเอกสารและงานวิจัยที่
เกี่ยวข้อง
1.2 สร้างชดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 5 ชุด

9


1.3 นำชุดกิจกรรมฝึกทักษะที่ปรับปรุงแก้ไขไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1
ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง

2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยสร้างตามขั้นตอนดังนี้

ื้
2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนฐาน พทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เอกสารเกี่ยวกับชุดกิจกรรมฝึกทักษะและเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบ

2.2 ศึกษาวิธีสร้างข้อสอบและเทคนิคการเขียนข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากหนังสือ
การวิจัยเบื้องต้น (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 50-98)
2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

2.4 การหาค่าความยากง่าย (P) และค่าอำนาจจำแนก (B) ของแบบทดสอบเป็นรายข้อ
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป RENU 3 # 1 พฒนาโดย ปกรณ์ ประจัญบาน (ม.ป.ป, ภาค


วิชาการวิจัยและวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร พษณุโลก) มาทำเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง
การเรียนจำนวน 40 ข้อ

2.5 จัดทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ฉบับสมบูรณ์เพอนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูล
ื่
3. แบบประเมินความพงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบ


เชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างดังนี้

3.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการประเมินชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง เรื่อง กระบวนการออกแบบ
เชิงวิศวกรรม
3.2 กำหนดขอบเขตของเนื้อหาที่จะนำมาสร้างประเมิน
3.3 สร้างประเมินความพึงพอใจของนักเรียนจำนวน 20 ข้อ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า

(Rating Scale) แบ่งระดับความพึงพอใจเป็น 5 ระดับ
3.4 นำแบบประเมินความพงพอใจ ที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องความ

เที่ยงตรงเชิงโครงสร้างและเนื้อหามีความสอดคล้อง นำมาปรับปรุงแก้ไข ตามคำแนะนำก่อนนำไปทดลองใช้

3.5 จัดพิมพ์แบบประเมินความพึงพอใจนของนักเรียน

การเก็บรวบรวมข้อมูล

1. ดำเนินการทดลองชดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระ

การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนเทศบาล 2
(แม่ต๋ำดรุณเวทย์) เวลา 6 ชั่วโมง
2. ทดสอบหลังเรียน หลังจากทำการสอนเสร็จโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้

ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 20 ข้อ แล้วตรวจผลการทดสอบจากแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์โดยวิธีทางสถิติ เพื่อทดสอบสมมติฐาน

10


การวิเคราะห์ข้อมูล

1. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาประสิทธิภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
1.1 แบบชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

1) วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความเหมาะสมของชุดกิจกรรมฝึกทักษะ
2) วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80
1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการ
ออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา

ปีที่ 4 หาค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนกและหาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ

เรียน โดยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป RENU 3 # 1 พฒนาโดย ปกรณ์ ประจัญบาน (ม.ป.ป,
ื่

ภาควิชาการวิจัยและวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร พษณุโลก) วิเคราะห์ข้อมูลเพอตรวจสอบ
สมมติฐานของการวิจัย โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
โดยการทดสอบ t-test แบบ Dependent Samples

1.3 แบบประเมินความพงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการ
ออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา

ปีที่ 4 โดยการนำคะแนนของการตอบแบบสอบถามในแต่ละข้อ นำคะแนนมาคำนวณหาค่าเฉลี่ยและค่า
เบี่ยงเบนมาตรฐาน

ถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

1. สถิติบรรยาย
1.1 การหาค่าเฉลี่ย (Mean) (บุญชม ศรีสะอาด, 2556, หน้า 124)


ΣΧ
Χ =
Ν

เมื่อ  แทน ค่าเฉลี่ย
 แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม
 แทน จำนวนคนในกลุ่ม

11


1.2 การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) (บุญชม ศรีสะอาด, 2556, หน้า 126)



. D . S = Ν Χ 2 ( -  Χ) 2
Ν ( -Ν ) 1


เมื่อ D . S . แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
 แทน คะแนนแต่ละตัว
 แทน ค่าเฉลี่ย

 แทน จำนวนคะแนนคนในกลุ่ม

Σ แทน ผลรวม


1.3 สูตรที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ โดยใช้สูตร E1 / E2
(ชัยยงค์ พรมหมวงศ์, 2532, หน้า 495)

ΣΧ

E 1 = Ν × 100
Α
เมื่อ E แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ
1
 แทน คะแนนรวมของแบบฝึกปฏิบัติกิจกรรมหรืองานที่ทำระหว่าง

เรียนทั้งที่เป็นกิจกรรมในห้องเรียน นอกห้องเรียนหรือออนไลน์

Α แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกปฏิบัติทุกชิ้นรวมกน
Ν แทน จำนวนผู้เรียน
F
E   100
2 =

เมื่อ E แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
2
F แทน คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียน

 แทน คะแนนเต็มของการประเมินสุดท้ายของแต่ละหน่วย
ประกอบด้วยผลการสอบหลังเรียนและคะแนนจากการ

ประเมินงานสุดท้าย
 แทน จำนวนผู้เรียน




2. สถิติในการหาคุณภาพเครื่องมือ
2.1 สูตรค่าดัชนีความสอดคล้อง (เทียมจันทร์ พานิชย์ผลินไชย, มปป, หน้า 181)


Σ R
IOC =
Ν

12



เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับลักษณะพฤติกรรม

Σ R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเนื้อหาทั้งหมด
 แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ

2.2 สูตรหาค่าอำนาจจำแนก (B) (บุญชม ศรีสะอาด, 2556, หน้า 106)


U L
B = -
n 1 n 2

เมื่อ Β แทน ค่าอำนาจจำแนก
U แทน จำนวนผู้รอบรู้หรือสอบผ่านเกณฑ์ที่สอบผ่านเกณฑ์ที่ตอบถูก

L แทน จำนวนผู้ไม่รอบรู้หรือสอบไม่ผ่านเกณฑ์ที่สอบผ่านเกณฑ์ที่ตอบถูก
n แทน จำนวนผู้รอบรู้หรือสอบผ่านเกณฑ์
1
n แทน จำนวนผู้ไม่รอบรู้หรือสอบไม่ผ่านเกณฑ์
2
2.3 สูตรการคำนวณหาค่าระดับความยาก (p) (บุญชม ศรีสะอาด, 2556, หน้า 97)


R
p =
N
เมื่อ p แทน ค่าระดับความยาก
R แทน จำนวนผู้ตอบถูกทั้งหมด
 แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ


2.4 สูตรหาค่าความเชื่อมั่นของโลเวต (Lovett) ของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ ใช้สูตร ดังนี้
(บุญชม ศรีสะอาด, 2556, หน้า 112)
k -  2
i
r = - 1 ( -  i -C ) 2

) (
1
k
i
เมื่อ r แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
cc
k แทน จำนวนข้อสอบ
Χ แทน คะแนนของแต่ละคน
i
C แทน คะแนนเกณฑ์หรือจุดตัดของแบบทดสอบ
การหาคะแนนจุดตัด ใช้สูตร

C = k - 2 k ( -Α ) 1
Α
เมื่อ C แทน คะแนนจุดตัด
k แทน ข้อสอบในจุดประสงค์

Α แทน จำนวนตัวเลือกของข้อสอบเลือกตอบ

13


3. สถิติอ้างอิง

การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทกษะ โดย
ใช้การทดสอบค่าที t-test แบบ Dependent Sample (บุญชม ศรีสะอาด, 2556. หน้า 133)
ดังนี้

D
=
t
n D 2 − (D ) 2
n − 1
เมื่อ t คือ ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤต เพื่อทราบความมีนัยสำคัญ
D คือ ค่าผลต่างระหว่างคคะแนน
ู่
n คือ จำนวนกลุ่มตัวอย่าง


ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
1. ผลการหาประสิทธิภาพของ ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 จำนวน 24 คน

ตามเกณฑ์ 80/80 ปรากฏผลดังนี้

ตาราง 8 แสดงประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1

จำนวน 24 คน ตามเกณฑ์ 80/80

ร้อยละของคะแนนเฉลี่ย ร้อยละของคะแนนเฉลี่ย

ระหว่างการใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ หลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมฝึกทักษะ

ชุดที่ คะแนนเต็ม Χ E1 ชุดที่ คะแนนเต็ม Χ E2
1 48 39.20 82.67 1 15 12.25 82.65
2 48 39.35 81.33 2 15 12.50 82.13

3 48 38.73 81.78 3 15 12.08 82.98
4 48 39.68 82.89 4 15 12.75 82.57

5 48 40.45 83.76 5 15 12.38 83.45
เฉลี่ย 48 39.48 82.49 เฉลี่ย 15 12.51 82.76

ประสิทธิภาพของกระบวนการ = 82.49 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ = 82.76

E1/E2 = 82.49/82.76


จากตาราง 1 พบว่า ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพของ
กระบวนการเท่ากับ 82.49 และมีประสิทธิภาพผลลัพธ์เท่ากับ 82.76 แสดงว่า แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ
82.49/82.76 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้

14


2. การวิเคราะห์ผลการใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยได้เปรียบเทียบ

สัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ โดยการทดสอบค่าที (t-test) ดังนี้

ตาราง 2 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง
กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยการทดสอบค่าที (t-test)



การทดสอบ n  S.D. t p

ก่อนเรียน 24 11.59 1.49
28.58** 0.000
หลังเรียน 24 24.63 1.46

** p < .01

จากตาราง 2 พบว่า ผลการสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 4/1 มีคะแนนเฉลี่ย 11.59 คะแนน และ 24.63 คะแนน ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 สูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

15




3. ผลการประเมินความพงพอใจที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกทกษะ เรื่อง กระบวนการ
ออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 4/1

ตาราง 3 แสดงค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับความพงพอใจที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมฝึก
ทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1


n = 24 ระดับความ
รายการประเมิน
Χ S.D. พึงพอใจ

1. ชุดกิจกรรมฝึกทักษะมีความชัดเจนของภาษา 4.32 0.70 มาก
อ่านแล้วเข้าใจง่าย

2. ชุดกิจกรรมฝึกทักษะมีภาพประกอบสีสันสวยงาม น่าสนใจ 4.40 0.57 มาก
3. บัตรเนื้อหาของแบบฝึกทกษะ ที่กำหนดในการจัดกิจกรรมตาม


ชุดกิจกรรมฝึกทกษะเหมาะสมกับวัยของนักเรียน 4.58 0.52 มากที่สุด

4. เวลาที่ใช้ในการทำชุดกิจกรรมฝึกทกษะเพียงพอต่อการเรียนใน
เนื้อหาของแต่ละชุด 4.44 0.51 มาก

5. ชุดกิจกรรมฝึกทักษะในแต่ละชุดน่าสนใจ สามารถปฏิบัติได้ 4.57 0.58 มาก
6. ขั้นตอนการจัดกิจกรรมชัดเจนนักเรียนสามารถปฏิบัติได้ 4.38 0.62 มาก
7. ชุดกิจกรรมฝึกทกษะในแต่ละชุด มีความยากงาย เหมาะสมกับ


นักเรียน 4.30 0.59 มาก
8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่ม ทำให้นักเรียนได้มีการ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันและเกิดการเรียนรู้ 4.39 0.63 มาก
ร่วมกัน

9. แบบทดสอบหลังเรียน มีความยากง่ายเหมาะสมกับนักเรียน 4.21 0.60 มาก
10. บรรยากาศในชั้นเรียนเอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียน 4.46 0.58 มาก
เฉลี่ย 4.41 0.58 มาก


จากตาราง 3 พบว่า นักเรียนมีความพงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชดกิจกรรมฝึกทักษะ กลุ่มสาระ

การเรียน รู้วิท ยาศาส ตร์แล ะเท คโน โล ยี ส ำห รับ นั กเรียน ชั้น มั ธย มศึ กษ าปี ที่ 4 /1


มีความพงพอใจในระดับมาก (  = 4.41, S.D.= 0.58) และเมื่อพจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่ 3 เนื้อหาของ
ชดกิจกรรมฝึกทักษะฝึกทักษะ ที่กำหนดในการจัดกิจกรรมตามชดกิจกรรมฝึกทักษะเหมาะสมกับวัยของนักเรียน



นักเรียนมีความพงพอใจในระดับมากที่สุด (  = 4.58,S.D.= 0.52) รองลงมา คือ 5. ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ
ในแต่ละชุดน่าสนใจ สามารถปฏิบัติได้ มีความพึงพอใจในระดับมาก (  = 4.57, S.D.= 0.58) ตามลำดับ

16


สรุปผลการวิจัย

1. ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
มีประสิทธิภาพ 82.49/82.76 หมายความว่านักเรียนได้คะแนนจากการทำแบบฝึกทักษะ 5 ชุด คิดเป็น

ร้อยละ 82.49 และนักเรียนได้คะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน คิดเป็น
ร้อยละ 82.76
2. ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียน โดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบ
เชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1

มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิง

วิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศกษาปีที่ 4 มีความ
พึงพอใจ อยู่ในระดับมาก


การอภิปรายผลการวิจัย

1. ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มี
ประสิทธิภาพ 82.49/82.76 หมายความว่านักเรียนได้คะแนนจากการทำแบบฝึกทักษะทั้ง 5 ชุด คิดเป็น
ร้อยละ 82.49 และนักเรียนได้คะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน คิดเป็น

ร้อยละ 82.76 นั้น คือ ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ ที่สร้างขึ้นสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 นั่นแสดงว่า แบบฝึกทักษะที่
พฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูงยอมรับได้ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่สร้างไว้ การที่แบบฝึกทักษะ ที่ผู้วิจัยสร้าง

ขึ้นมีประสิทธิภาพ 82.49/82.76 เนื่องมาจากแบบฝึกที่สร้างขึ้นนี้ ได้ผ่านกระบวนการขั้นตอนในการจัดทำ

อย่างมีระบบและวิธีการที่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ มยุรา เรืองศิลป์ (2549 : บทคัดย่อ) ได้
ศึกษา การพฒนาแบบฝึกการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้าน

ดอนหญ้านาง ผลวิจัยพบว่า แบบฝึกการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
มีประสิทธิภาพ 83.75/80.20

2. ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียน โดยชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มี
คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เนื่องมาจากนักเรียนได้ศึกษาหา
ความรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ได้วางแผนการศึกษาค้นคว้า ลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง ซึ่ง


สอดคล้องกบการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองของ จิรมัย ศิริทัพ และคณะ (2545 : บทคัดย่อ) การพัฒนาแบบ
ฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง แนวคิดเชิงตรรกะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศกษาปีที่ 6 ผลการศึกษาพบว่า

นักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทกษะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่อง แนวคิดเชิงตรรกะ มีผลการเรียนสูงกว่า

ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

3. ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความ

พงพอใจ อยู่ในระดับมากเป็นเพราะว่ากระบวนการสร้างและพฒนาแบบฝึกทักษะที่เป็นระบบ คือ ศึกษา

หลักสูตร ทฤษฎี การสร้างแบบฝึกทักษะที่ดีและมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผ่านการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญเพอ
ื่
ตรวจสอบความเหมาะสมเรื่องเวลาและสื่อที่ใช้ นำข้อบกพร่องมาปรับปรุงแก้ไขจนได้ แบบฝึกทักษะที่มี

17


คุณภาพด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้นักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความ


พึงพอใจอยู่ในระดับมาก ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของมยุรา เรืองศิลป์ (2549 : บทคัดย่อ) ที่ได้พฒนาแบบ
ฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะ
วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีเจตคติต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ อยู่ในระดับมาก


ข้อเสนอแนะการวิจัย
ั่
ข้อเสนอแนะทวไป
1. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศกษาปีที่ 4 นั้น เป็น

กิจกรรมที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการกลุ่ม ในบางเนื้อหาหรือบางกิจกรรมนักเรียนต้อง
ใช้ทักษะในการคิดคำนวณ บทบาทของครูควรให้คำแนะนำดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด เสนอแนะและอธิบาย

เพิ่มเติม
2. เนื่องจากการปฏิบัติกิจกรรมชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ส่วนใหญ่จะเป็น

กิจกรรมกลุ่มครูควรชี้แจงให้นักเรียนทราบถึงกระบวนการกลุ่มและให้นักเรียนคำนึงถึงผลสำเร็จของกลุ่ม
มากกว่าผลสำเร็จของตนเอง ปลูกฝังความมีน้ำใจภายในกลุ่มและกลุ่มอื่นๆ ไม่ควรให้เกิดการแข่งขันระหว่าง
กลุ่มมากเกินไป
3. การเรียนด้วยชุดกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กลุ่มสาระการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนต้องปฏิบัติทั้งกิจกรรม

และบัตรงาน ดังนั้นการจัดกิจกรรมในขั้นตอนต่างๆ ครูผู้สอนอาจยืดหยุ่น เวลาที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมให้
เหมาะสม





ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป

1. ควรพฒนาแบบฝึกทักษะในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในหน่วย

การเรียนรู้อื่นๆ หรือในระดับชั้นอื่นๆ
2. ควรมีการศึกษาวิจัยด้านความคงทนของการใช้แบบฝึกทักษะในการเรียนรู้ของนักเรียน
3. ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างวิธีสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะกับวิธีสอนแบบอนๆ เช่น
ื่
ื่
การเรียนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป การเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นต้น เพอ
เปรียบเทียบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เกิดขึ้นกับนักเรียน

18


บรรณานุกรม



เทียมจันทร์ พานิชผลินไชย. (2539). ระเบียบวิธีวิจัยเอกสารประกอบการสอน. พษณุโลก : คณะ
ศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร.
ธงชัย สันติวงษ์. (2548). การวางแผนเชิงกลยุทธ์. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

นิลากรณ์ ธรรมวิเศษ. (2546). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำในมาตราแม่กด สำหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ ค.ม., มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี,
อุบลราชธานี.
บุญเกื้อ ควรหาเวช. (2545). นวัตกรรมการศึกษา. (พมพครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : เอสอาพริ้นติ้ง.


บุญชม ศรีสะอาด. (2537). การพัฒนาการสอน. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.
บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.
บุญชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.
ปกรณ์ ประจัญบาน. (2550). โปรแกรมสำเร็จรูป RENU3#1 . ม.ป.ป. ภาควิชาการวิจัยและวัดผล

การศึกษา. มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก.
พรชัย ผาดไทสง. (2545). การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะกิจกรรม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
2. วิทยานิพนธ์ ค.ม., มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, อุบลราชธานี.

พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2545). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. (พิมพครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : เฮาส์ออฟ

เดอร์มิสท์.

ไพบูลย์ ช่างเรียน. (2550). วทยาการจัดการและพฤติกรรมบริหารองค์การ. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
ภาวิณี สายรัมย์. การพัฒนาแบบฝึกทักษะวิทยาศาสตร์. การศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง กศ.ม.
มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2549.

ยุพิน อำนา. (2554). การสร้างชุดฝึกทักษะ ง16101 วชา งานประดิษฐ์ของใช้จากหญ้าแฝก สำหรับชั้น


ประถมศึกษาปีที่ 6. โรงเรียนบ้านหนองหาร (ทพวันอุทิศ) สำนักงานเขตพื้นที่การศกษา

ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 2 จังหวัดเชียงใหม่.
มยุรา เรืองศิลป์. การพัฒนาแบบฝึกทักษะการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 2 โรงเรียนบ้านดอนหญานาง สำนักเขตพื้นที่การศึกษา หนองคาย เขต 3. วิทยานิพนธ์

กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2549. ถ่ายเอกสาร.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2542). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญ

ทัศน์.


Click to View FlipBook Version