กบา้ราลนะ4เล่ภนาพคื้น
คำนำ
รายงาน เรื่อง การละเล่นพื้นบ้าน
ของแต่ล่ะภาค คณะผู้จัดทำได้ทำ
ขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการ
เรียนการสอนในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ภาษาไทย ซึ่งประกอบไป
ด้วยเนื้อหาสำคัญเกร่ยวกับประวัติ
ความเป็นมาและความสำคัญของ
การละเล่นพื้นบ้าน เป็นต้น
สารบัญ หน้า
เรื่อง 4
5
การละเล่นพืน 7
ประวัติความเป็นมา
ลักณะของกิจกรรม 8
9
บันเทิง
ประเภทของการเล่น 10
การละเล่นพื้นบ้านของ 12
15
ภาคใต้
เป่า 16
18
หมากขุม
การละเล่นพื้นบ้านของ 20
ภาตะออกเฉียงเหนือ 21
22
การเล่นงูกินหาง
วิ่งขาโถกเถก 24
การละเล่นพื้นบ้านของ 25
ภาคภาคเหนือ 27
เตยหรือหลิ่น
ม้าจกคอก
การละเล่นพื้นบ้านของ
บ้านภาคกลาง
ว่าว
รีรีข้าว
การละเล่นพื้นบ้าน
การละเล่นพื้นบ้าน หมายถึง กิจกรรมการเล่นของ
สังคม เป็นกิจกรรมนันทนาการหนึ่งซึ่งได้รับการยอมรับ
ร่วมกันในสังคม โดยมีรากฐานมาจากความเป็นจริงแห่งวิถี
ชีวิตของชุมชนที่มีการประพฤติปฏิบัติสืบทอดกันมาจาก
อดีตสู่ปัจจุบัน การละเล่นแสดงออกด้วยการเคลื่อนไหว
กริยาอาการเป็นหลัก อาจมีดนตรี การขับร้องหรือการฟ้อน
รำประกอบการเล่น มีจุดมุ่งหมาย เพื่อความสนุกสนาน
เพลิดเพลินในโอกาสต่าง ๆ การละเล่นบางชนิดได้รับการ
ถ่ายทอดสืบสานต่อกันมา และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อ
พัฒนารูปแบบอย่างต่อเนื่องจนมีลักษณะเฉพาะถิ่นดังนี้การ
ละเล่นพื้นบ้านจึงเป็นผลิตผลอันเกิดจากความคิดและ
จินตนาการของมนุษย์ ย่อมสะท้อนถึงโลกทัศน์ ภูมิธรรม
และจิตวิญญาณของบรรพชนในท้องถิ่นที่ได้ถูกหล่อหลอม
จนตกผลึกเป็นภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าและได้กลายเป็น
มรดกวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของประเทศชาติ
ประวัติความเป็นมา ของการ
ละเล่นพื้นบ้าน
เป็นการละเล่นที่มีในกลุ่มสังคมท้องถิ่น ในอดีตมีกีฬาพื้นบ้านต่างๆ
ให้เล่นมากมายตั้งแต่รุ่นก่อนๆจนกระทั่งถึงรุ่น ปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นอยู่ซึ่ง
แต่ก็น้อยกว่าในสมัยก่อนมากเพราะสมัย ปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามามาก
จึงทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้เล่นกันนัก กิจกรรม การเล่นของสังคม เป็น
กิจกรรมนันทนาการหนึ่งซึ่งได้รับการยอมรับร่วมกันในสังคม โดยมี
รากฐานมาจากความเป็นจริงแห่งวิถีชีวิตของชุมชนที่มีการประพฤติ
ปฏิบัติ สืบทอดกันมาจากอดีตสู่ปัจจุบัน การละเล่นแสดงออกด้วยการ
เคลื่อนไหวกริยาอาการเป็นหลัก อาจมีดนตรี การขับร้องหรือการฟ้อนรำ
ประกอบการเล่น มีจุดมุ่งหมาย เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินในโอกาส
ต่าง ๆ การละเล่นบางชนิดได้รับการถ่ายทอดสืบสานต่อกันมา และ
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนารูปแบบอย่างต่อเนื่องจนมีลักษณะ
เฉพาะถิ่น ดังนี้การละเล่นพื้นบ้านจึงเป็นผลิตผลอันเกิดจากความคิดและ
จินตนาการของ มนุษย์ย่อมสะท้อนถึงโลกทัศน์ ภูมิธรรม และจิต
วิญญาณของบรรพชนในท้องถิ่นที่ได้ถูกหล่อหลอมจนตกผลึกเป็น
ภูมิปัญญาอัน ทรงคุณค่าและได้กลายเป็นมรดำวัฒนธรรมของท้องถิ่น
และของประเทศชาติการละเล่น นับว่ามีความสัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์มา
โดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการละเล่นของเด็กและของผู้ใหญ่ล้วนแสดงออก
ถึงสภาพชีวิต ความเป็นอยู่
ขนบธรรมเนียมประเพณีค่านิยมและความเชื่อของ
สังคมนั้น ๆ ทั้งยังก่อคุณค่าแก่ผู้เล่นและผู้เฝ้าดู ในด้าน
การผ่อนคลายอารมณ์ ความเครียด เสริมสร้างพลังกาย
ให้แข็งแรง ฝึกความคิด ความเข้าใจ การแก้ปัญหา
นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดระเบียบวินัย เกิดดารยอมรับกฎ
เกณฑ์ของสังคม สรรค์สร้างความเป็นกับญาติมิตรขึ้นใน
ชุมชน ทำให้สังคมเกิดความเข้มแข็งจนก่อเป็นความดีงาม
อันเป็นเป้าหมายสูงสุดแห่ง ชีวิต
การละเล่นของไทยไม่สามารถลำดับให้เห็นพัฒนาการตาม
กาลเวลาได้อย่างชัดเจนทั้ง นี้เนื่องจากการละเล่นส่วน
ใหญ่เป็นกระบวนการถ่ายทอดด้วยการปฏิบัติ มิใช่ตำรา
จึงขาดการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะใช้เป็นข้อมูลใน
การสร้างลำดับอายุ สมัยของการละเล่นแต่ละอย่างได้ยิ่ง
ไปกว่านั้น การละเล่นของไทยส่วนใหญ่มีลักษณะของการ
พัฒนาตนเองและค่อยเป็นค่อยไปเพราะจด จำสืบต่อกัน
มาจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง (ร.อ.หญิงปรียา หิรัญ
ประดิษฐ์ ๒๕๓๓ : ๑๕) และโดยเหตุที่การละเล่นเกิดขึ้นมา
ยาวนานและปรากฏอยู่ทั่วไปในท้องถิ่นต่าง ๆ โดยทั่วไป
เช่นนี้ทำให้เกิดความหลากหลายของการละเล่นพื้นบ้าน มี
ทั้งลักษณะร่วม และลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้อง
ถิ่น อย่างไรก็ดีสิ่งที่ตรงกันในทุกท้องถิ่นก็คือมีการละเล่น
พื้นบ้านทั้งที่เป็น ของเด็กและของผู้ใหญ่
ลักษณะของกิจกรรมบันเทิง
ที่จัดอยู่ในการละเล่น ได้แก่
* การแสดง หมายถึงการละเล่นที่รวมทั้งที่เป็น
แบบแผนและการแสดงทั่วไปของชาวบ้านในรูปแบบการ
ร้องการบรรเลงการฟ้อน
รำซึ่งประกอบด้วยดนตรี เพลงและนาฏศิลป์
* มหรสพ หมายถึงการแสดงที่ฝ่ายบ้านเมืองจะเรียกเก็บ
ค่าแสดงเป็นเงินภาษีแผ่นดินตามพระราชบัญญัติที่
กำหนดไว้
ตั้งแต่พุทธศักราช 2404 เป็นต้นมา ประกาศมหรสพว่า
ด้วยการละเล่นหลายประเภทดังนี้ ละคร งิ้วหุ่นหนังต่างๆ
สักวา เสภา
ลิเก กลองยาว ลาวแพน มอญรำและทวายรำ พิณพาทย์
มโหรี กลองแขก คฤหัสถ์สวดศพ และจำอวด
* กีฬาและนันทนาการ คือ การละเล่นเพื่อความสนุกสนาน
ตามเทศกาลและเล่นตามฤดูกาล และการละเล่น เพื่อการ
แข่งขัน
หรือกิจกรรมที่ทำตามความสมัครใจในยามว่าง เพื่อให้เกิด
ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และ ผ่อนคลายความ
ตึงเครียด
ประเภทของการละเล่น
เนื่องจากการละเล่นของไทยเรานั้นมี
มากมายจนนึกไม่ถึง (กรมพลศึกษารวบรวมไว้
ได้ถึง 1,200 ชนิด) แต่พอจะแบ่งคร่าว ๆ ได้
เป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ
การละเล่นพื้นบ้านของ
ภาคใต้
เป่ากบ
ภาคใต้จังหวัด นราธิวาส อุปกรณ์และวิธีการ
เล่นอุปกรณ์๑. ยางวง (ยางเส้น) วงใหญ่ หรือ
วงเล็กก็ได้ แล้วแต่ความชอบและความถนัด๒.
ผู้เล่นจำนวนตั้งแต่ ๒ คน หรือมากกว่า
เล่นทั้งเด็กชายและเด็กหญิงบางครั้งอาจเล่น
เป็นทีมก็ได้๓. สถานที่ เช่น พื้นซีเมนต์ พื้น
กระดาน หรือพื้นโต๊ะ
วิธีการเล่น
เป่ากบ เป็นการเล่นอย่างหนึ่งของเด็ก เล่นกันทั้งเด็กชายและหญิง ผู้เล่นมี
จำนวน ๒ คน หรือเป็นทีมก็ได้ สถานที่เล่น ในที่ร่ม ใช้พื้นที่เรียบ ๆ เช่น
พื้นซีเมนต์ พื้นกระดาน หรือพื้นโต๊ะ
ซึ่ง ผู้เล่นจะเอายางเส้น (ยางวง) จะเป็นวงเล็กหรือวงใหญ่ หรืออาจจะเป็น
วงสีต่าง ๆ อยู่ที่ความชอบ ได้แก่ สีเขียว สีแดง สีน้ำตาล เป็นต้น นำมาวาง
บนพื้นคนละ ๑ เส้น
ให้ อยู่ห่างกันประมาณ ๑ ฟุต ผู้เล่นจะผลัดกันเป่ายางเส้น (ยางวง) ของ
ตนไปข้างหน้าทีละน้อย ๆ จนยางเส้นทั้งสองมาอยู่ใกล้กันผุ้เล่นคนใดเป่าให้
ยางเส้นของตนไปทับยางเส้น
ของ ฝ่ายตรงข้ามได้ก็จะเป็นผู้ชนะ ฝ่ายแพ้จะต้องจ่ายรางวัลให้กับผู้ชนะ
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นยางเส้น (ยางวง) แต่อาจให้รางวัลอื่น ๆ ก็ได้ตามแต่จะ
ตกลงกัน
โอกาสหรือเวลาที่เล่น
การเล่นเป่ากบของเด็ก ส่วนใหญ่เล่นกันในเวลาที่ว่าง และมีอุปกรณ์พร้อม
ที่จะเล่นกันทั้งสองฝ่าย
คุณค่า / แนวคิด/ สาระ
๑. การเล่นเป่ากบ เป็นการเล่นที่ให้ความ
สนุกสนานแล้วยังเป็นการฝึก การรู้กำหนด
จังหวะและกะระยะด้วย
๒. การเล่นเป่ากบเป็นการฝึกสังเกต ไหวพริบใน
การเป่ าของคู่ต่อสู้
ซึ่งจะเป็ นวิธีหนึ่ งที่จะทำให้เด็กรู้จักคิดให้
รอบคอบก่อนที่จะเป่า ถ้าเป่าโดยไม่คิดอาจจะผิด
พลาดได้ จนทำให้ต้องแพ้
๓. เป็นการฝึกเด็กรู้จักความรัก ความสามัคคี
หมากขุม
ภาค : ภาคใต้
จังหวัด : นครศรีธรรมราช
อุปกรณ์และวิธีการเล่น
อุปกรณ์ในการเล่น
๑). รางหมากขุม เป็นรูปเรือทำจากไม้ ยาว
ประมาณ ๑๓๐ เซนติเมตร กว้างประมาณ ๒๐
เซนติเมตร มีหลุมเรียงเป็น ๒ แถว หลุมกว้าง
ประมาณ ๗ เซนติเมตร ลึกประมาณ ๔
เซนติเมตร
มีด้านละ ๗ หลุม เรียกหลุมว่า เมือง หลุมที่อยู่
ปลายสุดทั้งสองข้างเป็นหลุมใหญ่กว้าง
ประมาณ ๑๑ เซนติเมตร เรียกว่า หัวเมือง
๒) ลูกหมาก นิยมใช้ลูกสวดเป็นลูกหมาก ใส่ลูก
หมากหลุมละ ๗ ลูก จึงต้องใช้ลูกหมาก ในการ
เล่น ๙๘ ลูก
๓) ผู้เล่นมี ๒ คน
วิธีการเล่น
๑) ผู้เล่นนั่งคนละข้างกับรางหมากขุม แต่ละคนใส่ลูกหมากหลุมละ ๗ ลูก ทั้ง
๗ หลุม ส่วนหลุมหัวเมืองไม่ต้องใส่ให้เว้นว่างไว้
๒) การเดินหมาก ผู้เล่นจะเริ่มเดินพร้อมกันทั้ง ๒ ฝ่าย เรียกว่า แข่งเมือง โดย
หยิบลูกหมากจากหลุมเมืองของตนหลุมใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะหยิบหลุม
สุดท้ายของฝ่ายตนเอง เพราะคำนวนว่าเม็ด
สุด ท้ายจะถึงหัวเมืองของตนพอดี การเดินหมากจะเดินจากขวาไปซ้าย โดยใส่
ลูกหมากลงในหลุม ถัดจากหลุมเมืองที่หยิบลูกหมากขึ้นมาเดิน ใส่ลูกหมาก
หลุมละ ๑ เม็ด รวมทั้งใส่หลุมหัวเมือง
ฝ่าย ตนเอง แล้ววนไปใส่หลุมของฝ่ายตรงกันข้าม ยกเว้นหลุมหัวเมือง เมื่อ
เดินลูกหมากเม็ดสุดท้ายใส่ในหลุม ให้หยิบลูกหมากทั้งหมดในหลุมนั้นขึ้นมา
เดินหมากต่อไป โดยใส่ในหลุมถัดไป
เล่น เดินหมากอย่างนี้จนลูกหมากเม็ดสุดท้ายหมดลงในหลุมที่เป็นหลุมว่าง
ถือว่าหมากตาย ถ้าเดินหมากตายในหลุมเมืองของฝ่ายตรงข้ามก็ถือว่าสิ้นสุด
การเดินหมาก แต่ถ้า
ตาย ในหลุมเมืองฝ่ายตนเอง ให้ผู้เล่นกินหมากหลุมเมืองซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหลุม
ที่เราเดินหมากมาตาย โดยควักลูกหมากทั้งหมดในหลุมไปไว้ในหลุมหัวเมือง
ของฝ่ายตน เรียกว่ากินแทน
เล่น อย่างนี้จนหลุมเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดลูกหมาก เดินต่อไปไม่ได้ ลูก
หมากทั้งหมดจะไปรวมอยู่ในหลุมหัวเมืองของทั้ง ๒ ฝ่าย จึงเริ่มเล่นรอบใหม่
ต่อไป
๓) การเดินหมากรอบสอง ผู้เล่นจะผลัดกันเดินทีละคน ทำเช่นเดียวกับการเดิน
รอบแรก นำลูกหมากจากหลุมหัวเมืองฝ่ายตนเองใส่ลงในหลุม ๆ ละ ๗ ลูก ใน
ฝ่ายของตนเอง คราวนี้แต่ละฝ่าย
จะ มีลูกหมากไม่เท่ากัน ฝ่ายที่มีลูกหมากมากกว่าจะเป็นผู้เดินหมากก่อน ฝ่ายที่
มีลูกหมากน้อยกว่าจะใส่ไม่ครบทุกหลุม หลุมใดมีไม่ครบให้นำลูกหมากที่เหลือ
ไปใส่ในหลุมหัวเมืองฝ่ายตน
หลุม ใดไม่มีลูกหมากเรียกว่า เมืองหม้าย ตามปกติหลุมเมืองหม้ายจะปล่อยไว้
หลุมปลายแถว หลุมเมืองหม้ายจะไม่ใส่ลูกหมาก ถ้าฝ่ายใดใส่จะถูกริบเป็นของ
ฝ่ายตรงกันข้าม ในกากรเล่นจะ
เล่นจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดลูกหมากเดินต่อไปไม่ได้และจะนับเมืองหม้าย ใครมี
จำนวนเมืองหม้ายมากกว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้
โอกาสหรือเวลาในการเล่น
การเล่นหมากขุมจะเล่นในยามว่างจากการงาน เล่นได้ทั้งเด็กและ
ผู้ใหญ่ เป็นพักผ่อนหย่อนใจ จึงเล่นได้ทั้งวัน
คุณค่า สาระ แนวคิด
๑. การเล่นหมากขุม มีคุณค่าในการฝึกลับสมอง การวางแผนการ
เดินหมากจะต้องคำนวน จำนวนลูกหมากในหลุม ไม่ให้หมากตาย
และสามารถกลับมาหยิบลูกหมากในหลุมของตนเองได้อีก
ผู้ เดินหมากขุมจึงต้องมีสายตาว่องไว คิดเลขเร็ว เป็นการฝึกวิธี
คิดวางแผนจะหยิบหมากในหลุมใดจึงจะชนะฝ่ายตรงกันข้าม
เป็นการฝึกให้ผู้เล่นรู้จักคิดวางแผนในการทำงานทุกอย่าง
สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
๒. เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ นันทนาการภายในบ้าน ภายใน
ชุมชน ให้ทั้งความสนุกสนาน และความใกล้ชิดระหว่างพี่น้อง
ญาติมิตร
๓. ก่อให้เกิดการประดิษฐ์รางหมากขุม ที่มีความสวยงามและ
ประณีต เป็นความภาคภูมิใจของผู้สร้างชิ้นงาน และยังสามารถ
สร้างรายได้ในการจำหน่ายรางหมากขุม
การละเล่นพื้นบ้านของ
ภาคตะวันออกเฉียง
เหนือ
การเล่นงูกินหาง
ภาค : ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จังหวัด : ร้อยเอ็ด
อุปกรณ์ และวิธีเล่น การเล่นงูกินหางไม่มีอุปกรณ์การเล่นใด
ๆ สามารถเล่นได้ทุกโอกาสจะมีเล่นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนมาก
ผู้ใหญ่จะเล่นในเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์ ส่วนเด็ก ๆ จะ
เล่นทุกโอกาสที่เด็ก ๆ รวมกันซึ่งมีวิธีการเล่นดังนี้ เริ่มเล่นเมื่อ
ผู้เล่นพร้อมกันแล้วจะเริ่มด้วยการเสี่ยงถ้าใครแพ้คนนั้น ก็จะ
ออกเป็นพ่องู ส่วนผู้ชนะก็จะได้เล่นเป็นแม่งูและลูกงู ส่วนมาก
ในกลุ่มผู้เล่นจะเลือกเอาคนที่มีร่างกายแข็งแรงหรือรูปร่าง
ใหญ่ในทีม เป็นแม่งู เพื่อเอาไว้ป้องกันลูกงู เมื่อได้ผู้เล่นแล้ว
พ่องูและแม่งูจะยืนหันหน้าเข้าหากัน ส่วนแม่งูจะมีลูกงูกอดเอว
ต่อแถวไปข้างหลังแล้วพ่องูจะเริ่มถามแม่งูว่า
พ่องู “แม่งูเอ๋ยกินน้ำบ่อไหน”
แม่งู “กินน้ำบ่อโสกโยกไปโยกมา” พร้อมแสดงอาการ
ส่ายตัวไปมา
พ่องู “แม่งูเอ๋ยกินน้ำบ่อไหน”
แม่งู “กินน้ำบ่อหินบินไปบินมา” พร้อมแสดงอาการบิน
ไปบินมา
พ่องู “แม่งูเอ๋ยกินน้ำบ่อไหน”
แม่งู “กินน้ำบ่อทรายย้ายไปย้ายมา” พร้อมแสดงอาการ
ส่ายตัวไปมา
พ่องู “กินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว”
เมื่อ พ่องูกล่าวเสร็จพ่องูจะเริ่มไล่จับลูกงูที่กอดเอวแม่งู
อยู่ส่วนแม่งูก็จะ พยายามป้องกันไม่ให้พ่องูไปแย่งลูกงูได้
เมื่อพ่องูจับลูกงูคนใดได้ลูกงูก็จะออกมายืนอยู่ต่างหาก
เพื่อรอเล่นรอบต่อไป ส่วนพ่องูจะพยายามแย่งลูกงูให้ได้
หมดทุกตัวจึงจะถือว่าจบการเล่นรอบหนึ่ง เมื่อพ่องูจับ
ลูกงูได้ทุกตัวแล้วก็จะเริ่มเล่นใหม่ โดยพ่องูคนเดิมจะกลับ
ไปเป็นแม่งูในรอบต่อไป
คุณค่า/แนวคิด/สาระ
๑. ให้ความสนุกสนานในกลุ่มผู้เล่น
๒. ฝึกให้เกิดความสามัคคีในกลุ่มผู้เล่น
๓. ฝึกฝนการต่อสู้และการหลบหลีกภัยที่จะเกิดกับตน
๔. ฝึกการทำงานเป็นกลุ่มตั้งแต่วัยเด็ก
วิ่งขาโถกเถก
ภาค : ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จังหวัด : ชัยภูมิ
อุปกรณ์และวิธีการเล่น
อุปกรณ์ ไม้ไผ่กิ่ง ๒ ลำ ถ้าไม่มีก็เจาะรูแล้วเอาไม้
อื่นๆ สอดไว้เพื่อให้เป็นที่วางเท้าได้
วิธี การเล่น ผู้เล่นจะเลือกไม้ไผ่ลำตรง ๆ ที่มีกิ่ง ๒
ลำที่กิ่งมีไว้สำหรับวางเท้าต้องเสมอกันทั้ง ๒ ข้าง
ผู้เล่นขึ้นไปยืนบนแขนงไม้เวลาเดินยกเท้าข้างไหน
มือที่จับลำไม้ไผ่ก็จะยก ข้างนั้น ส่วนมากเด็ก ๆ ที่
เล่นมักจะมาแข่งขันกัน ใครเดินได้ไวและไม่ตกจาก
ไม้ถือว่าเป็นผู้ชนะ
โอกาสที่เล่น
การวิ่งขาโถกเถก ถือเป็นการละเล่นที่เล่นได้ทุก
โอกาส โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์
คุณค่า / แนวคิด / สาระ
นอก เหนือจากความสนุกสนานแล้ว ยังเป็นเครื่อง
มือในการออกกำลังกาย บริหารส่วนต่าง ๆ ของ
ร่างกายได้เป็นอย่างดี เดิมผู้ที่ใช้ขาโถกเถกเป็น
ชายหนุ่มไปเกี้ยวสาว เสียงเดินจากไม้เมื่อสาว
ได้ยินก็จะมาเปิดประตูรอเพื่อพูดคุยกันตามประสา
หนุ่มสาว หรือบ้านสาวเลี้ยงสุนัขไม้โถกเถกยังเป็น
อุปกรณ์ไล่สุนัขได้ด้วย
การละเล่นพื้นบ้านของ
ภาคเหนือ
เตยหรือหลิ่น
ภาค : ภาคเหนือ
จังหวัด : ตาก
สถานที่เล่น ลานกว้าง ที่โล่งแจ้ง
อุปกรณ์ ไม่มี
จำนวนผู้เล่น ๖-๑๒ คน
วิธีเล่น
ขีด เส้นเป็นตารางจำนวนเท่ากับผู้เล่น (สมมติว่ามี ๖ คน)
แล้วแบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งยืนประจำเส้น
(ตามขวาง) อีกฝ่ายจะวิ่งผ่านแต่ละเส้นไปโดยไม่ให้เจ้าของ
เส้นแตะได้ เมื่อเริ่มเล่นคนที่ยืนประจำเส้นแรก พูดว่า ไหล
หรือ หลิ่น ฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มวิ่งผ่านเส้นแรกไปจนถึงเส้น
สุดท้ายแล้ววิ่งกลับ ถ้าวิ่งกลับถึงเส้นแรกโดยไม่ถูกฝ่าย
ตรงข้ามแตะได้ก็พูดว่า เตย ก็จะเป็นฝ่ายชนะ
โอกาส
เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เด็ก ๆ เล่นกันโดยทั่วไป
ม้าจกคอก
ภาค : ภาคเหนือ
จังหวัด : กำแพงเพชร
การเล่นม้าจกคอก ภาคกลางเรียก ลาวกระทบไม้ การ
เล่นชนิดนี้เข้าใจว่าอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากการละ
เล่นของชาวลัวะ
อุปกรณ์และวิธีเล่น
จำนวนผู้เล่น ตั้งแต่ ๓ คนขึ้นไป
อุปกรณ์
๑. ไม้กลมขนาดกำรอบ ยาวประมาณ ๕ ศอก จำนวน
๒ ท่อน
๒. ขอนไม้สูงประมาณ ๑ คืบ ยาวประมาณ ๑-๒ ศอก
จำนวน ๒ ท่อน
สถานที่เล่น เล่นบริเวณที่เป็นลานกว้าง
วิธีการเล่น
๑. แบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายแรกมี ๒ คน
สำหรับถือท่อนไม้ที่วางขนานบนขอนไม้ แล้วกระทบ
กันเป็นจังหวะ ส่วนฝ่ายที่ ๒ มี ๒ คนขึ้นไป สำหรับ
เป็นผู้เต้น
๒. ให้ผู้เล่นเข้าไปอยู่ระหว่างคาน ผู้ถือไม้คานทั้งคู่ก็
ทำสัญญาณ โดยยกคานไม้ทั้งคู่กระแทกลงบนไม้
หมอน ระหว่างที่เคาะจังหวะอยู่นั้นผู้เล่นต้องเต้นไป
ด้วย เมื่อให้สัญญาณเคาะ ๓ ครั้งแล้ว ครั้งที่ ๔ ผู้ถือ
จะเอาคานทั้งสองเข้าชิดกัน ผู้เต้นจะต้องกระโดดให้
สูงกว่าครั้งแรกของจังหวะและแยกขาออกให้พ้นไม้
ถ้าถูกหนีบเรียกว่า ม้าขำคอก หรือม้าติดคอก คู่ที่ถูก
ไม้หนีบจะต้องออกไปเปลี่ยนให้ผู้ที่ถือคานอยู่เดิมนั้น
เข้ามาเต้น ในระหว่างคานนั้นบ้าง
โอกาสหรือเวลาที่เล่น
การเล่นม้าจกคอกนิยมเล่นในวันขึ้นปีใหม่
(สงกรานต์) ของล้านนา
สาระ
การเล่นม้าจกคอก เป็นการละเล่นเพื่อให้ความ
สนุกสนาน เพลิดเพลิน ทำให้เกิดความสามัคคีภายใน
กลุ่มและความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
การละเล่นพื้นบ้าน
ภาคกลาง
ว่าว
อุปกรณ์
ว่าวโดยทั่วไปมีโครงสร้าง ประกอบด้วยไม้ไผ่สีสุกนำมาผ่าแล้วเหลาให้ได้
ตามที่ต้องการแล้วนำมาประกอบกัน ให้เป็นรูปทรงต่างๆผูกติดกันด้วย
เชือกโยงยึดกันเป็นโครงสร้างและปิดด้วย กระดาษชนิดบางเหนียว เช่น
กระดาษสาและตกแต่งลวดลายด้วยจุดหรือดอกดวงเพื่อปิดยึดกระดาษ
กับเชือกให้แน่น ว่าวที่นิยมกันคือ ว่าวจุฬา ว่าวปักเป้า ว่าวหง่าว
ว่าวจุฬาซึ่งมี โครงสร้างประกอบด้วยไม้ไผ่สีสุก 5 ชิ้น มีจำปา 5 ดอก
ทำด้วยไม้ไผ่ยาว 8 นิ้ว เหลากลมโตประมาณ 3 มิลลิเมตร จำปา 1
ดอกมีจำนวนไม้ 8 อันมัดแน่นกับสายป่านที่ชักว่าวจุฬาอันเป็นอาวุธที่ใช้
ต่อสู้กับปักเป้า
ว่าวปักเป้า มีโครงสร้างประกอบด้วยไม้ไผ่สีสุกเหลากลม 2 ชิ้นมีเหนียง
เป็นเชือกยาว 8 เมตรผูกปลายทั้งสองข้างให้หย่อนเป็นสายรูปครึ่ง
วงกลมเพื่อคล้องตัวว่าวจุฬา ให้เสียสมดุลจึงตกลงพื้นดิน
ว่าวหง่าว ทำด้วยโครงไม้ไผ่ปิดกระดาษสา ลำตัวตอนบนมีรูปคล้ายอก
ว่าวจุฬามีเอวคอดและท่อนล่างกว่าท่อนบน ตอนส่วนหัวมีไม้ไผ่เหลาและ
ขึงเชือกเหมือนคันธนู ส่วนขึงเชือกนี้จะเกิดเสียงเมื่อต้องลม เสียงนี้ช่วย
กำจัดความชั่วร้ายได้
ปัจจุบันว่าวที่มีการเล่นโดยทั่วไปได้มีการ พัฒนารูปแบบการเล่นเพื่อ
ความสวยงาม โดยทำว่าวให้เป็นรูปแบบที่แปลกแตกต่างกันออกไปเป็น
รูปสัตว์ต่างๆ เช่น ว่าวงู ว่าวผีเสื้อ ฯ ลฯ
วิธีการเล่นมีอยู่ 3 วิธี คือ
1.ชักว่าวให้ลอยลมปักอยู่กับที่ เพื่อดูความสวยงามของ
ว่าวรูปทรงต่างๆ
2.บังคับสายชักให้ชักเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ นิยมกัน
ที่ความสวยงาม ความสูง และบางทีก็คำนึงถึงความ
ไพเราะของเสียงว่าวอีกด้วย
3.การต่อสู้ทำสงครามกันบนอากาศ คือ การแข่งขันว่าว
จุฬาและปักเป้าคว้ากันบนอากาศจะจัดให้มีการแข่งขันที่
บริเวณ ท้องสนามหลวงกำหนดแดนขณะทำการแข่งขัน
ว่าวปักเป้าจะขึ้นอยู่ในดินแดนของตน ล่อหลอกให้ว่าว
จุฬามาโฉบเพื่อจะลากพามายังดินแดนของตนโดยให้
ว่าวปักเป้าติด ตรงดอกจำปาที่ติดไว้ เมื่อติดดีแล้วว่าว
จุฬาจะรีบลากรอกพามายังดินแดนของตน ขณะ
เดียวกันว่าวปักเป้าก็จะพยายามใช้เหนียงที่เป็นเชือก
ป่านคล้อกงตัวว่าว จุฬาให้เสียสมดุล และชักลากดึงให้
ตกลงมายังดินแดนของตน ในการเล่นว่าวจุฬาลากพา
ว่าวปักเป้าเข้ามาทีละตัวหรือหลายตัวก็ได้ ถ้าต่างฝ่าย
ต่างนำคู่แข่งขันมาตกยังดินแดนของ ตนเองได้ก็ถือว่า
เป็นฝ่ายชนะแต่ถ้าขณะชักลากพามา ว่าวปักเป้า
ขาดลอยไปได้ถือว่าไม่มีฝ่ายใดได้คะแนน
คุณค่า/แนวคิด/สาระ
การแข่งขันว่าวเป็นกีฬาซึ่งเป็น เอกลักษณ์ของไทย เป็น
ศิลปะที่ต้องใช้ความสามารถของผู้ทำว่าวและผู้ชักว่าว
เป็นอย่างมากต้อง ใช้ความประณีต และความแข็งแรง
ข้อสำคัญต้องอาศัยความพร้อมเพรียงด้วย
รีรีข้าวสาร
วิธีเล่น
1. ผู้เล่น 2 คนยืนหันหน้าเข้าหากันโน้มตัวประสานมือกันเป็นรูปซุ้ม
2. ส่วนผู้อื่นเกาะเอวต่อ ๆ กันตามลำดับ
3. หัวแถวจะพาลอดใต้ซุ้มมือพร้อมกับร้องบทร้องประกอบการเล่น
4. เมื่อร้องถึงประโยคที่ว่า “คอยพานคนข้างหลังไว้” ผู้ที่ประสานมือเป็น
ซุ้มจะลดมือลงกันคนสุดท้ายไว้ ซึ่งคนสุดท้ายจะถูกคัดออกไปจากแถว
แล้วจึงเริ่มต้นเล่นใหม่ทำเช่นนั้นจนหมดคน
เพลงร้องประกอบ
“รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก
เด็กน้อยตาเหลือก เลือกท้องใบลาน
คดข้าวใส่จาน คอยพานคนข้างหลังไว้”
คุณค่า/แนวคิด/สาระ
1. ออกกำลังกายพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้แข็งแรง
2. เพลิดเพลิน จิตใจร่าเริง แจ่มใส ยอมรับในกฎเกณฑ์กติกาในการเล่น
3. หัดให้เด็กมีไหวพริบ ปฏิภาณ และรู้จักใช้กลยุทธที่จะให้ตนรอดจาก
การถูกคล้องตัวไว้
4. หัดให้เด็กรู้จักทำงานเป็นกลุ่มโดยหัวแถวต้องพยายามพาแถว โดย
เฉพาะคนสุดท้ายให้รอดพ้นจากการถูกกักตัวให้ได้
รายชื่อกลุ่ม
นาย พงษ์นเรศวร์ ไชยเชษฐ์
รหัส 6506910013
นาย อัลฟันดี ปิ
รหัส 6506910021
นาย อัสรินทร์ เซะบิง
รหัส 6506910030
นาย ภูริพัฒน์ เพชรมะณี
รหัส 6506910037