การคำ นวณต้นทุน เพื่องานอาชีพ.
เข้าใจเกี่ยวกับการคำ นวณต้นทุนเพื่อนำ ไปใช้ในงานอาชีพต่างๆ มีทักษะการคำ นวณและจัดทำ รายงาน ต้นทุนเพื่องานอาชีพต่างๆ มีเจตคติและกิจนิสัยที่ดีในการปฏิบัติงาน ด้วยความละเอียดรอบคอบ ซื่อสัตย์ มี วินัย ตรงต่อเวลา 1. 2. 3. จุดประสงค์รายวิชา เพื่อให้
บทที่1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับต้นทุนในงานอาชีพ 1.ความหมาย ความสำ คัญ และประเภทของงานอาชีพ 2.ความหมายของต้นทุนในงานอาชีพ 3.ประเภทต้นทุนในงานอาชีพ 4.การจำ แนกต้นทุนในการอาชีพ
1.ความหมาย ความสำ คัญ และประเภทของงานอาชีพ 1.1 ความหมายของงานอาชีพ อาชีพ (Careers occupation) ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของอาชีพว่า การเลี้ยง ชีพ การทำ มาหากิน งานที่ทำ เป็นประจำ เพื่อเลี้ยงชีพ 1.2 ความสำ คัญของงานอาชีพ การประกอบอาชีพ เป็นการทำ มาหากินเพื่อดำ รงชีวิตของมนุษย์ มีความจำ เป็นเป็นอย่างยิ่งสำ หรับการเลี้ยงชีพ ความสำ คัญของ งานอาชีพ มีดังนั้น 1.2.1 พัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น เช่นมีรายได้ในการศึกษา 1.2.2เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาความก้าวหน้ายิ่งขึ้น เช่น จากกุ๊กก้าวขึ้นเป็นหัวหน้ากุ๊ก 1.2.3 ฝคกตนเองให้มีภาวะผู้นำ โดยเฉพาะหากได้รับการเลือกขึ้นเป็นผู้นำ หน่วยงาน
1.3 ประเภทของงานอาชีพ งานอาชีพแบ่งออกไก็ 3 ประเภท ดังนี้ 1.3.1 งานอาชีพราชการ เป็นอาชีพที่รัฐบาลจ้างเพื่อทำ หน้าที่ให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป ได้แก่ ครู แพทย์ พยาบาล ทหาร ตำ รวจ เป็นต้น ซึ่งได้รับรายได้หรือค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน 1.3.2 อาชีพอิสระหรืองานส่วนตัว เป็นการประกอบอาชีพของตนเอง ลงทุนเองเป็นผู้ดำ เนินการเอง และเป็นนายตนเองแบ่งได้ 3 อาชีพ ดังนี้ 1) อาชีพธุรกิจบริการ เป็นธุรกิจที่ให้บริการกับลูกค้า ไม่มีตัวสินค้าในการดำ เนินธุรกิจ ให้บริการตามสั่งของลูกค้า โดยเน้นความ ต้องการของลูกค้าเป็นหลัก 2) อาชีพซื้อขายสินค้า เป็นธุรกิจที่ซื้อสินค้ามาเพื่อขาย โดยสินค้าที่ซื้อมาเป็นสินค้าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง 3) อาชีพผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เป็นอาชีพที่นำ สิ่งของที่ซื้อมาซึ่งเรียกว่า วัตถุดิบ มาผ่านกระบวนการผลิตแปรสภาพให้เป็นสินค้า สำ เร็จรูป 1.3.3 อาชีพลูกจ้าง เป็นอาชีพที่ไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ ทำ งานโดยปฎิบัติตามคำ สั่งหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ได้รับค่าตอบแทน เป็นรายเดือน
-ต้นทุน (Cost) หมายถึง มูลค่าของทรัพยากรที่สูญเสียไปเพื่อให้ได้สินค้าหรือบริการโดย มูลค่านั้นสามารถวัดได้เป็นหน่วยเงินตรา ซึ่งเป็นลักษณะของการลดลงในสินทรัพย์หรือ เพิ่มขึ้นในหนี้สิน -ต้นทุนในอาชีพธุรกิจบริการ หมายถึง จำ นวนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการให้บริการแก่ ลูกค้า เช่น ค่าบริการทำ สีรถ ประกอบด้วย ค่าอะไหล่ตัวถังรถ ค่าพ่นสีรถ ค่าแรงงานใน การทำ สีรถ -ต้นทุนในงานอาชีพซื้อขายสินค้า หมายถึง มูลค่าของสินค้าสำ เร็จรูปที่ซื้อมารวมค่า ขนส่งในการจัดซื้อสินค้าทุกขั้นตอน ตั้งแต่การนำ วัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิต แปร สภาพจนเป็นสินค้าสำ เร็จรูป ซึ่งประกอบด้วย ต้นทุน วัตถุดิบ ต้นทุนแรงงาน และต่าใช้ จ่ายในการผลิต รวมเป็นต้นทุนสินค้าสำ เร็จรูปที่ผลิตเสร็จ 2.ความหมายของต้นทุนในงานอาชีพ
3. ประเภทต้นทุนในงานอาชีพ การจำ แนกประเภทต้นทุน 3.1 การจำ แนกตามส่วนประกอบของสินค้า ประกอบ 3.1.1 วัตถุดิบทางตรง (Direct Materials:DM 3.1.2 ค่าแรงงานทางตรง (Direct Labour:DL) 3.1.3 ค่าใช้จ่ายการผลิต (Manufacturing Overhead:OH) 3.2 การจำ แนกต้นทุนตามงวดเวลาที่ก่อให้เกิดประโยชน์ 3.2.1 ต้นทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในอนาคตหรือต้นทุนสินค้า เป็นต้นทุนที่สะสมอยู่ในตัวสินค้า ได้แก่ วัตถุดิบทาง ตรง ค่าแรงงานทางตรง และค่าใช้จ่ายการผลิต ต้นทุนสินค้านี้ถือเป็นสินทรัพย์จนกว่าจะถูกขายออกไป และ จะเเสดงเป็นสินค้าคงเหลือในงบเเสดงฐานะการเงิน 3.2.2 ต้นทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในปัจจุบันหรือต้นทุนตามงวดเวลา เป็นต้นทุนที่ไม่สะสมในตัวสินค้า ถือเป็นค่า ใช้จ่าย เช่น ต้นทุนที่ถูกขายออกไประหว่างงวด เรียกว่าต้นทุนขาย
4.การจำ แนกต้นทุนในงานอาชีพ การจำ แนกต้นทุนในงานอาชีพต่างๆ มีดังนี้ 4.1 ต้นทุนในอาชีพธุรกิจบริการ -ต้นทุนที่ให้ประโยชน์ในอนาคต เป็นต้นทุนในรูปแบบสินทรัพย์ -ต้นทุนจามงวดเวลาของธุรกิจบรการ เป็นต้นทุนในรูปของค่าใช้จ่าย
4.2 ต้นทุนในอาชีพซื้อขายสินค้า -ต้นทุนที่ให้ประโยชน์ในอนาคต ประกอบด้วย 1) ต้นทุนที่สะสมอยู่ในตัวสินค้า 2)ต้นทุนที่ไม่สะสมในตัวสินค้า -ต้นทุนจามงวดเวลา
4.3 ต้นทุนในอาชีพผลิตสินค้าหรืออุตสาหกรรม -ต้นทุนที่สะสในตัวสินค้า หมายถึง ต้นทุนที่กิจการจ่ายไปเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าเพื่อเตรียมไว้ขาย ซึ่ง ก็คือต้นทุนผลิตภัณฑ์ (Product Cost) ประกอบด้วย วัตถุดิบทางตรง ค่าแีงงานทางตรง และค่า ใช้จ่ายการผลิต -ต้นทุนที่ไม่สะสมในตัวสินค้า หมายถึง ต้นทุนที่กิจการได้จ่ายไปเพื่อให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์อื่นๆ นอกจากตัวสินค้าที่ผลิต เช่น สินทรัพย์ถาวร สินทรัพย์หมุนเวียน
บทที่ 2 ต้นทุนวัตถุดิบ 1.ความหมายและประเภทของวัตถุดิบ 2.การรับจ่ายวัตถุดิบ 3.การคำ นวณต้นทุนวัตถุดิบ
1.ความหมายและประเภทของวัตถุดิบ 1.1 ความหมายของวัตถุดิบ วัตถุดิบ (Raw Materials) หมายถึง สิ่งของหรือทรัพยากรที่กิจการผลิตสินค้าหรืออุตสาหกรรมนำ มาใช้ ประกอบหรือแปรสภาพให้เป็นสินค้าสำ เร็จรูป โดยผ่านกระบวนการผลิตอย่างมีขั้นตอน 1.2 ประเภทวัตถุดิบ วัตถุดิบแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.2.1 วัตถุดิบทางตรง (Direct Materials) หมายถึงสิ่งที่ประกอบสำ คัญในการผลิตที่สามารถระบุชัดเจนว่าใช้ ในการผลิตสินค้าชนิดใด ตำ นวนเท่าไหร่ และสามารถคำ นวณมูลค่าการใช้วัตถุดิบได้ง่าย 1.2.2 วัตถุดิบทางอ้อม (Indirect Materials) หมายถึงสิ่งที่ใช้ในการผลิต แต่ใช้จำ นวนไม่มาก ปริมาณเล็กน้อย แต่จำ เป็นต้องใช้ ซึ่งยากแก่การคำ นวณเข้าเป็นต้นทุนสินค้า ใช้เพียงเป็นส่วนประกอบของการผลิตสินค้าค้า
-1) ใบขอซื้อวัตถุดิบ คือ เอกสารที่จัดทำ ขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ต้องการใช้วัตถุดิบและวัสดุต่างๆ ส่งไป ยังฝ่ายจัดซื้อวัสดุนั้นๆ โดยอาจมอบหมายให้ฝ่ายคลังพัสดุทำ หน้าที่ตรวจสอบ เอกสารนี้จะทำ ขึ้นเป็นชุด ประกอบด้วยเอกสาร 3 ฉบับ ดังนี้ ฉบับที่1 ต้นฉบับส่งไปยังฝ่ายจัดซื้อ ฉบับที่2 สำ เราฉบับที่1 ส่งไปยังแผนกบัญชี ฉบับที่3 สำ เนาฉบับที่2 แผนกที่ต้องการใช้หรือคลังพัสดุจัดเก็บ 2.การรับจ่ายวัตถุดิบ เอกสารที่ใช้ในการจัดซื้อและรับจ่ายวัตถุดิบ
-2) ใบสั่งซื้อ เมื่อแผนกจัดซื้อได้รับใบขอซื้อแล้ว จะจัดทำ ใบสั่งซื้อ โเยตรวจสอบรายการวัตถุดิบ และรายละเอียดต่างๆ ที่จะจัดซื้อจากผู้ขายหรือผู้จำ หน่าย รายใดที่จะให้ประโยชน์ทั้งคุณภาพและ ราคาที่ดีที่สุด ใบสั่งซื้อที่จัดทำ เป็นชุดประกอบด้วยเฉดสาร 5 ฉบับ ดังนี้ ฉบับที่1 ต้นฉบับส่งไปยังผู้ขาย ฉบับที่2 สำ เนาฉบับที่ 1 ส่งไปแผนกตรวจรับของสำ หรับตรวจสอบกับวัตถุดิบที่ได้รับ ฉบับที่3 สำ เนาฉบับที่ 2 ส่งไปแผนกบัญชีเจ้าหนี้เพื่อเตรียมชำ ระเงิน ฉบับที่4 สำ เนาฉบับที่ 3 ส่งไปแผนกที่ขอซื้อวัตถุดิบ ฉบับที่5 สำ เนาฉบับที่ 4 แผนกจัดซื้อจัดเก็บ
-3) ใบตรวจรับวัตถุดิบหรรายงานการรัฐของการ เมื่อวัตถุดิบส่งมายักิตการแผนกตรวจรับวัตถุดิบจะทำ หน้าที่ ตรวจสอบรายการวัตถุดิบว่า ถูกต้อง มีคุณภาพและปริมาณตรงตามใบสั่งซื้อหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบความ สมบูรณ์ของวัตถุดิบว่า ไม่ชำ รุดเสียหายระหว่างการขนส่ง จากนั้นแผนกตรวจรับวัตถุดิบจะทำ รายงานการรับ วัตถุดิบตามปริมาณและรายการของที่ได้รับจริง โดยจัดทำ ใบตรวจรับวัตถุดิบ 1 ชุด ประกอบด้วยเอกสาร 5 ฉบับ ดังนี้ ฉบับที่1 ต้นฉบับแผนกตรวจรับวัตถุดิบเก็บไว้ ฉบับที่2 สำ เนาฉบับที่ 1 ส่งไปแผนกบัญชีพร้อมกับใบกำ กับสินค้า ฉบับที่3 สำ เนาฉบับที่ 2 ส่งไปแผนกบัญชีเจ้าหนี้ ฉบับที่4 สำ เนาฉบับที่ 3 ส่งไปแผนกคลังพัสดุพร้อมกับวัตถุดิบที่ได้รับ ฉบับที่5 สำ เนาฉบับที่ 4 ส่งไปแผนกจัดซื้อเพื่อยืนยันว่าได้รับวัตถุดิบที่สั่งแล้ว
-4).บัตรวัตถุดิบ เมื่อแผนกตรวจรับวัตถุดิบได้ตรวจรับวัตถุดิบเรียบร้อยแล้ว จะทำ ส่งวัตถุดิบพร้อม กับใบตรวจรับวัตถุดิบให้กับแผนกคลังพัสดุ แผนกคลังพัสดุจะบันทึกวัตถุดิบไว้ในบัตรวัตถุดิบแต่ละ ชนิด เพื่อบันทึกเกี่ยวกับรายละเอียดวัตถุดิบที่ได้รับมาและจ่ายออกไป ส่วนวัตถุดิบจะเก็บไว้ในคลังรอ การเบิกจ่าย -ใบเบิกวัตถุดิบ เอกสารนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อให้แผนกผลิตที่ต้องการเบิกวัตถุดิบไปใช้ในการผลิตสินค้า และเพื่อป้องกันการทุจริตหรือสูญหาย จึงต้องมีการบันทึกการเบิกวัตถุดิบทุกครั้งตามรายการที่ ระบุไว้ในใบเบิกวัตถุดิบ
-การส่งคืนวัตถุดิบ การส่งคืนวัตถุดิบแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ (1) การส่งคืนวัตถุดิบให้ผู้ขาย เกิดขึ้นเมื่อแผนกตรวจรับวัตถุดิบมีตำ หนิ ชำ รุดเสียหาย มีคุณภาพไม่ตรงตาม ต้องการไม่ใช่วัตถุดิยที่สั่งซื้อ ฝ่ายตรวจรับวัตถุดิบจะส่งวัตถุดิบคืนกลับไปให้ผุ้ขาย โดยจะหักบัญชีวัตถุดิบและ จัดทำ ใบหักหนี้ พร็อพเพอร์ตี้จัดทำ ใบส่งคืนวัตถุดิบเพื่อให้แผนกจัดซื้อได้ส่งคืนวัตถุดิบที่ชำ รุดหรือบกพร่องคืน ไปให้ผู้ขาย (2)การส่งคืนวัตถุดิบให้คลังวัตถุดิบ เมื่อมีการเบิกวัตถุดิบไปใช้ในการผลิตมากเกินความต้องการใช้ใน การผลิต แผนกผลิตจะส่งคืนวัตถุดิบให้กับแผนกคลังพัสดุ โดยจัดทำ รายงานนำ ส่งวัตถุดิบ โดยระบุ สาเหตุการคืนวัตถุดิบ
3.การคำ นวณต้นทุนวัตถุดิบ การคำ นวณต้นทุนวัตถุดิบตามมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 2เรื่องสินค้าคงเหลือ กำ หนดให้มีวิธีการคำ นวณ ต้นทุนวัตถุดิบ 3 วิธีดังนี้ 3.1 วิธีราคาเจาะจง (Specific ldentfication Method) 32 วิธีเข้าก่อน-ออกก่อน (First in-First out Method) 3.3 วิธีถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำ หนัก (Weighted Average Method) การบันทึกบัญชีวัตถุดิบ มี 2 วิธี คือ 1) บันทึกบัญชีวัตถุดิบแบบสิ้นงวด วิธีนี้เหมาะกับกิจการขนาดเล็ก มีรายการไม่สลับซับซ้อนมาก เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก 2) บันทึกบัญชีวัตถุดิบแบบต่อเนื่อง วิธีเหมาะกับกิจการขนาดใหญ่ที่ต้องการทราบต้นทุนตลอดเวลา การคำ นวณต้นทุนวัตถุดิบมี 2 กรณีคือ 1)คำ นวณต้นทุนซื้อวัตถุดิบ 2)คำ นวณต้นทุนวัตถุดิบคงเหลือปลายงวดและวัตถุดิบที่เบิกใช้
การคำ นวณต้นทุนซื้อวัตถุดิบ ในทางปฏิบัติถือว่าต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบถือเป็นต้น ทุนของวัตถุดิบเช่น ค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายในการจัดหาวัตถุดิบ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายแผนกจัดซื้อ แผนกตรวจรับวัตถุดิบ และแผนกคลังพัสดุ และหากมีส่วนลดจากการชำ ระหนี้ค่าวัตถุดิบ ส่วนลดนี้จะนำ ไปลดต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อ ซึ่ง สามารถคำ นวณต้นทุนวัตถุดิบที่ซื้อได้จากสูตรดังนี้ ซื้อวัตถุดิบสุทธิ=ซื้อวัตถุดิบ+ค่าขนส่งเข้า-ส่งคืนวัตถุดิบ-ส่วนลดรับ การคำ นวณต้นทุนวัตถุดิบคงเหลือปลายงวดและวัตถุดิบที่เบิกใช้ไป การคำ นวณวัตถุดิบคงเหลือปลายงวดมีวิธีการคำ นวณ 3 วิธีดังนี้ 1) วิธีราคาเจาะจง วิธีนี้จะต้องทราบว่าจำ นวนวัตถุดิบที่เลิกใช้ หรือคงเหลือนั้นเป็นวัตถุดิบชนิดใด ราคาเท่าไหร่ ระบุได้ชัดเจน 2)วิธีเข้าก่อน-ออกก่อน วิธีนี้เป็นวิธีที่วัตถุดิบใดเข้ามาในคลังวัตถุดิบก่อนจะถูกเบิกออกไปใช้ก่อน 3) วิธีถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำ หนัก วิธีนี้จะเป็นการถัวเฉลี่ยวัตถุดิบทั้งหมดเพื่อคำ นวณต้นทุนของวัตถุดิบ
การคำ นวณวัตถุดิบที่เบิกใช้ไป ได้ตากการใช้สูตรมาคำ นวณต้นทุนหลังจากมีการตรวจนับจำ นวนคง เหลือ และตีราคาวัตถุดิบคงเหลือปลายงวดแล้ว สูตรในการคำ นวณ วัตถุดิบใช้ไป=วัตถุดิบต้นงวด+ซื้อวัตถุดิบสุทธิ-วัตถุดิบปลายงวด
บทที่ 3 1.ความหมายและการแบ่งประเภทค่าแรงงาน 2.การเก็บเวลาการทำ งาน 3.การคำ นวณต้นทุนค่าแรงงาน ต้นทุนค่าแรงงาน
1.ความหมายและการแบ่งประเภทค่าแรงงาน 1.1 ความหมายของค่าแรงงาน ค่าแรงงาน หมายถึง ค่าจ้างและเงินเดือนที่กิจการจ่ายให้กับพนักงานเป็นค่าตอบแทนในการทำ งาน ซึ่งค่าจ้างจะมี ลักษณะการจ่ายเป็นรายชั่วโมง รายวัน หรือตามจำ นวนหน่วยที่ผลิต ส่วนเงินเดือนจะมีลักษณะการจ่ายเป็นประจำ เท่าเท่ากันทุกเดือน ซึ่งความแตกต่างของค่าจ้างและเงินเดือน คือ ค่าจ้างมักจะมีลักษณะการจ่ายค่าแรงงานให้กับ พนักงานที่มีลักษณะเป็นลูกจ้างชั่วคราว มิใช่ลูกจ้างประจำ หรือได้รับค่าตอบแทนเป็นรายวัน รายชั่วโมงหรือรายชิ้น ส่วนเงินเดือนเป็นการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงานประจำ ที่ปฏิบัติงานตามเวลาที่กำ หนดเป็นเดือน ดังนั้น ค่าแรง งานที่จ่ายให้กับพนักงานเหล่านี้มีลักษณะการจ่ายเป็นเงินเดือน
1.2 ประเภทของค่าแรงงาน โดยปกติธุรกิจในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นธุรกิจให้บริการ ธุรกิจซื้อขายสินค้า หรือธุรกิจผลิตสินค้า ต้องอาศัย แรงงานคนในการดำ เนินธุรกิจ ดังนั้น กิจการจึงมีค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนค่าแรงงานที่จะต้องจ่ายให้กับ พนักงานของกิจการ ซึ่งค่าแรงงานที่เกิดขึ้นของธุรกิจต่างๆแบ่งได้ดังนี้ 1.2.1 ธุรกิจให้บริการและธุรกิจซื้อขายสินค้า ค่าตอบแทนที่จะให้กับพนักงานจะเป็นในรูปแบบ เงินเดือนและค่าจ้างที่เป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายดำ เนินงาน 1.2.2 ธุรกิจผลิตสินค้า เป็นธุรกิจผลิตสินค้า ค่าแรงงานที่เกิดขึ้นจึงแบ่งเป็นค่าแรงงานในฝ่าย ผลิตกับฝ่ายจัดจำ หน่ายและฝ่ายดำ เนินงาน ซึ่งค่าแรงงานในฝ่ายผลิตเป็นส่วนหนึ่งของ ต้นทุนสินค้าสำ เร็จรูป ส่วนค่าแรงงานในฝ่ายจัดจำ หน่ายและฝ่ายดำ เนินงานเป็นส่วนหนึ่งของ ค่าใช้จ่ายดำ เนินงาน
2. การเก็บเวลาการทำ งาน ในการวางแผนและควบคุมเกี่ยวกับค่าแรงงานของพนักงานในกิจการ โดยแม่จะผ่าน แผนกบุคคล ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดหาการว่าจ้างแรงงาน การฝึกอบรม จัดสวัสดิการให้ กับพนักงาน และอีกหน้าหนึ่ง คือ คิดค่าแรงงานให้กับพนักงาน ในบางธุรกิจที่มีขนาด ใหญ่อาจแบ่งแยกหน้าที่ของฝ่ายคิดค่าแรงงานออกเป็นแผนกเก็บเวลาการทำ งาน และ แผนกคิดค่าแรงงาน ส่วนกิจการขนาดเล็กอาจไม่มีการแบ่งแผนกชัดเจนเพียงแต่จัดให้ มีพนักงานประจำ สำ หรับทำ หน้าที่โดยเฉพาะ แผนกเก็บเวลาการทำ งาน มีหน้าที่บันทึกเวลาที่ใช้ในการทำ งานของพนักงานทุกคน ของกิจการ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชั่วโมงการทำ งาน โดยเก็บรายละเอียดทั้งส่วนรวม และแยกตามแผนก แผนกคิดค่าแรงงาน มีหน้าที่คำ นวณค่าแรงงานของพนักงานทุกคน และ จำ แนกคลิกเข้าเป็นต้นทุน รวมทั้งเตรียมรายละเอียดเกี่ยวกับการจ่ายค่าแรง งานให้กับพนักงาน
3.การคำ นวณค่าแรงงาน ในการคำ นึงค่าแรงงาน พนักงานแผนกบัญชีค่าแรงงานจะนำ ข้อมูลเวลาการทำ งานของ พนักงานที่ทำ มาตรวจสอบและคำ นวณค่าแรงงานของพนักงานแต่ละคน ซึ่งการคำ นวณ ค่าแรงงานจะประกอบด้วยส่วนสำ คัญ 2 ส่วน คือ การคำ นวณค่าแรงงานขั้นต้น และการ คำ นวณค่าแรงสุทธิซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 3.1 การคำ นวณค่าแรงงานขั้นต้น เมื่อพนักงานที่ทำ หน้าที่เก็บเวลาการทำ งานได้รวบรวมเวลาการทำ งานของพนักงานทุกคนได้ครบ ถ้วนแล้ว จะส่งให้กับแผนกบัญชีค่าแรงงานเพื่อคิดทบทวนค่าแรงงานของพนักงาน โดยได้รับค่า ตอบแทนเป็นรายชั่วโมงหรือรายเดือน ซึ่งการคำ นวณค่าแรงขั้นต้นประกอบด้วยการคำ นวณค่า และปกติและการคำ นวณค่าแรงล่วงเวลา
3.1.1 การคำ นวณค่าแรงงานปกติ การคำ นวณค่าแรงปกติ จะคิดจากการทำ งานในวันทำ การปกติและในเวลาทำ การ เช่น วันทำ การปกติ วันจันทร์-วันศุกร์ เวลาทำ การปกติ 08.00 น.-17.00 น. โดยใช้สูตรในการคำ นวณ ดังนี้ การคำ นวณตามชั่วโมงการทำ งาน ค่าแรงปกติ=จำ นวนชั่วโมงการทำ งาน*อัตราค่าแรงงานต่อชั่วโมง การคำ นวณตามชิ้นงาน ค่าแรงงานปกติ=จำ นวนชิ้นงานที่ผลิตได้*อัตราค่าแรงงานต่อชิ้นงาน การจ่ายตามลักษณะเงินเดือน ค่าแรงงานปกติ=อัตราเงินเดือนที่กำ หนด
3.1.2 การคำ นวณค่าแรงงานล่วงเวลา ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2562ได้บัญญัติไว้เกี่ยวกับการกำ หนดเวลาทำ งานว่านายจ้าง จะกำ หนดชั่วโมงการทำ งานปกติไว้เท่าใดก็ได้ แต่จะไม่เกินสัปดาห์ละ 48 ชั่วโมง ในกรณีที่ลูกจ้าง ทำ งานเกินกว่าเวลาและชั่วโมงการทำ งานปกติที่กำ หนดไว้ นายจ้างจะต้องจ่ายค่าแรงงานล่วง เวลาให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งการคำ นวณค่าแรงงานล่วงเวลา มีดังนี้ 1) ค่าแรงงานล่วงเวลาในวันทำ งานปกติ เมื่อลูกจ้างทำ งานนอกเวลาปกติหรือเกินชั่วโมงการ ทำ งานในวันทำ การปกติ โดยจะคำ นวณตามชั่วโมงการทำ งานส่วนที่เกินเวลาทำ งานหรือ ชั่วโมงทำ งานปกติจ่ายค่าแรงงานเป็น 1.5 เท่าของอัตราปกติ 2) ค่าแรงงานล่วงเวลาในวันหยุด เมื่อลูกจ้างทำ งานในวันหยุดหรือนอกเหนือจากวันทำ งาน ปกติ นายจ้างจะต้องจ่ายค่าแรงงานล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์ดังนี้ (1) ทำ งานในวันหยุดในเวลาทำ งานปกติ เช่น วันทำ งานปกติ คือ วันจันทร์ถึงวัน ศุกร์เวลาทำ งานปกติตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ดังนั้น หากลูกจ้างมาทำ งาน ในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. จะถือว่าเป็นการทำ งาน เรื่องเวลาในวันหยุดในเวลาทำ งานปกติ ในกรณีนี้กฎหมายกำ หนดให้นายจ้าง ต้องจ่ายค่าแรงงานเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 1 เท่าของค่าแรงในอัตราปกติ หรือ ถือว่าจ่ายค่าแรงเป็น 2เท่าของอัตราปกติ
(2) งานล่วงเวลาในวันหยุดนอกเวลาทำ งานปกติ เช่น ลูกจ้างมาทำ งานในวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ และในเวลาหลัง 17.00 น. จะถือว่าทำ งานล่วงเวลาในวันหยุดในช่วง เวลานอกเวลาทำ งานปกติซึ่งเกินเวลาทำ งานปกติ กฎหมายกำ หนดให้นายจ้างต้อง จ่ายค่าแรงงานเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 2เท่าของอัตราปกติ หรือจ่ายค่าแรงงานเป็น 3 เท่าของอัตราปกติ 3.2 การคำ นวณค่าแรงงานสุทธิ การคำ นวณค่าแรงงานสุทธิหรือเงินได้สุทธิของพนักงานและลูกจ้าง ไม่ว่าจะได้ค่าแรงงานในรูปแบบ ของเงินเดือนหรือรายชั่วโมง การทำ งานตามชิ้นงาน นายจ้างจะต้องหักรายการหักต่างๆ ก่อนจ่ายเงิน ได้ให้กับพนักงานและลูกจ้าง ซึ่งรายการหักต่างๆ ได้แก่ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เงินประกันสังคม เงิน สะสม เงินกองทุนต่างๆ สรุป ค่าแรงงานสุทธิ=ค่าแรงงานขั้นต้น-รายการหักต่างๆ
ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่หัก ณ ที่จ่ายตามกฎหมาย โดยการคำ นวณจาก เงินเดือนหรือค่าจ้างหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนตามที่กฎหมายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากำ หนดไว้ มาคำ นวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย จากนั้นนำ ยอดที่คำ นวณได้มาหักจากเงินเดือนและค่าจ้างที่ต้องจ่ายให้ กับพนักงานทุกเดือน เงินประกันสังคมตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 กำ หนดให้หน่วยงานที่มีลูกจ้างต้องยื่นจด ทะเบียนเข้ากองทุนประกันสังคม โดยมีการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม 3 ฝ่าย คือ รัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตนในอัตราเท่ากัน ผู้ประกันตน หมายถึง ลูกจ้างหรือพนักงานของกิจการที่เริ่มเข้าทำ งานโดยมีอายุไม่ต่ำ กว่า 15 ปี และไม่ เกิน 60 ปี พี่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม เงินสมทบที่จ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม คือ เงินที่รัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตนจ่ายสมทบเข้ากองทุน ฝ่ายละ 5% โดยคิดจากฐานเงินเดือนหรือค่าจ้างที่คิดจากค่าแรงงานปกติ โดยฐานเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ ต่ำ กว่า 1,650 บาทต่อเดือน และฐานสูงสุดไม่เกิน 15,000บาทต่อเดือน (เงินสมทบขั้นต่ำ เดือนละ 83 บาท และไม่เกินเดือนละ750บาท)
บทที่ 4 ต้นทุนค่าใช้จ่ายการผลิต 1.ความหมายของค่าใช้จ่ายการผลิต 2.ประเภทค่าใช้จ่ายการผลิต 3.การเกิดของค่าใช้จ่ายการผลิต 4.การคำ นวณต้นทุนค่าใช้จ่ายการผลิต
1.ความหมายของค่าใช้จ่ายการผลิต คือ บรรดาค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าทั้งหมด ยกเว้นวัตถุดิบทางตรงและ ค่าแรงงานทางตรงซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตที่สำ คัญอีกอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยการ ผลิตที่ยากในการคำ นวณเข้าเป็นต้นทุนให้กับหน่วยสินค้าที่ผลิตเสร็จค่าใช้จ่ายการผลิตเป็น ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในโรงงานและเครื่องจักร เช่น วัตถุดิบทางอ้อม วัสดุโรงงาน ค่าแรงงานทางอ้อม ค่าซ่อมแซมและบำ รุงรักษาโรงงานหรือเครื่องจักร สิทธิบัตรตัดบัญชี ค่า เสื่อมราคาโรงงานและเครื่องจักร
2.ประเภทค่าใช้จ่ายการผลิต ค่าใช้จ่ายการผลิตแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ 2.1 แบ่งตามลักษณะของต้นทุน 2.2 แบ่งตามพฤติกรรมของต้นทุน การแบ่งค่าใช้จ่ายการผลิตตามลักษณะของทุน เป็นการพิจารณาลักษณะของต้นทุนที่ ประกอบเข้าด้วยกันเป็นค่าใช้จ่ายการผลิต ได้แก่ วัตถุดิบทางอ้อม ค่าแรงงานทางอ้อม และต้นทุน การผลิตทางอ้อม ตัวอย่างค่าใช้จ่ายการผลิตตามลักษณะของต้นทุน ได้แก่ วัวัตถุดิบทางอ้อม เช่น วัสดุโรงงาน วัสดุสำ นักงานประจำ โรงงาน น้ำ มันเชื้อเพลิง น้ำ มันหล่อ ลื่น เครื่องมือขนาดเล็ก ค่ค่าแรงงานทางอ้อม เช่น ผู้ควบคุมงาน ผู้ควบคุมวัสดุ เจ้าหน้าที่ธุรการโรงงาน หัวหน้าผู้ ควบคุมโรงงานทั่วไป เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพ ต้นทุนทางอ้อมอื่น เช่น ค่าซ่อมแซมบำ รุงรักษา-อาคารโรงงาน เครื่องจักร ค่า สาธารณูปโภคของโรงงาน ค่าเสื่อมราคาอาคารโรงงาน
3.การเกิดของค่าใช้จ่ายการผลิต ลักษณะการเกิดค่าใช้จ่ายการผลิต ค่าใช้จ่ายการผลิตเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้นจริงในการผลิตสินค้า ซึ่งค่าใช้จ่ายการผลิตมี หลายชนิดขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตของแต่ละกิจการที่ไม่เหมือนกัน โดยค่าใช้จ่ายการผลิต เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นจากรายการต่างๆหลายประเภทร่วมกัน และเป็นรายการที่ไม่สามารถถือเป็น วัตถุดิบทางตรงหรือค่าแรงงานทางตรงได้ ลักษณะการเกิดค่าใช้จ่ายการผลิต แบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ 1) เกิดจากการจ่ายเงิน กิจการอาจจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น จ่ายซื้อวัสดุโรงงาน จ่ายค่า สาธารณูปโภคโรงงาน เปิดรายการขึ้นก็จะบันทึกรายการไว้ เมื่อถึงสิ้นเดือนก็จะโอนตัดบัญชีไป บัญชีค่าใช้จ่ายการผลิตตามลักษณะของค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้น 2) เกิดจากการโอนบัญชี กิจการอาจโอนต้นทุนมาจากบัญชีอื่นมาเป็นค่าใช้จ่ายการผลิตได้ เช่น การเบิกวัตถุดิบไปใช้ทางอ้อม หรือจำ แนกค่าแรงงานไปเป็นค่าแรงงานทางอ้อม 3) เกิดจากการปรับปรุงรายการเมื่อสิ้นงวด เป็นการปรับปรุงรายการสินทรัพย์ที่มีไว้ ในการผลิตจะตัดบัญชีออกเป็นค่าใช้จ่ายตามระยะเวลาที่ใช้ เช่น การปรับปรุงรายการ ค่าเสื่อมราคาโรงงานหรือเครื่องจักรวัสดุโรงงานใช้ไป
4.การคำ นวณต้นทุนค่าใช้จ่ายการผลิต จากลักษณะของค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นจากการดำ เนินการในการผลิตสินค้าของกิจการ สามารถ นำ มาคำ นวณเป็นต้นทุนของค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นขอสำ นักงานหรือ ธุรกิจประเภทอื่นๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายการผลิตที่เกิดขึ้น ได้แก่ วัตถุดิบทางอ้อม ค่าแรงงานทางอ้อม ค่า สาธารณูปโภคโรงงาน ค่าภาษีเครื่องจักร ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร ค่าเช่าโรงงาน ค่าเบี้ยประกันโรงงาน หรือเครื่องจักร สิทธิบัตรตัดบัญชี และวัสดุโรงงานใช้ไป -ปรับปรุงค่าเสื่มีราคา คือ ค่าใช้จ่ายที่ตัดจากมูลค่าของสินทรัพย์ที่กิจการใช้ประโยชน์ประจำ งวด ทั้งนี้ เพราะสินทรัพย์ ประเภทอาคาร อุปกรณ์ เครื่องจักร รถบรรทุก เป็นสินทรัพย์ที่มีไว้ใช้งานเป็นระยะยาวนานและมักมี มูลค่าสูง จึงมีการประมาณประโยชน์จากสินทรัพย์เหล่านี้เฉลี่ยเป็นค่าใช้จ่ายแต่ละงวดตามอายุ การให้ประโยชน์ การตัดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์มีหลายวิธี ซึ่งวิธีที่นิยมใช้ คือ วิธีเส้นตรง โดย ใช้สูตรในการคำ นวณ ดังนี้
สูตร ค่าเสื่อมราคารายป= ราคาทุน-ราคาซาก ____________________________ อายุการให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ ราคาทุน=มูลค่าของสินทรัพย์ ณ วันที่ซื้อ ราคาซาก=มูลค่าประมาณการของสินทรัพย์ที่คาดว่าจะขายได้ในวันสิ้นอายุการใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ อายุการให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ=อายุการให้ประโยชน์ที่คาดว่าจะสามารถใช้สินทรัพย์นั้นได้ -ปรับปรุงตัดบัญชีสิทธิบัตร เป็นหนังสือสำ คัญที่รัดออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์คิดค้นหรือออกแบบผลิตภัณฑ์เป็นสินทรัพย์ทางปัญญา มีอายุตามประเภทของสิทธิบัตร เช่น สิทธิบัตรประดิษฐ์คิดค้นมีอายุ 20 ปีส่วนสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ มีอายุ 10 ปี นับจากวันที่ยื่นคำ ขอรับสิทธิบัตร การตัดสิทธิบัตรเป็นค่าใช้จ่ายการผลิต จะเฉลี่ยตัดตามอายุของสิทธิ บัตร วิธีการจะคล้ายกับการคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์
บทที่ 5 การคำ นวณต้นทุนของธุรกิจในงานอาชีพ 1.ความสำ คัญในการคำ นวณต้นทุนต่อการบริหารธุรกิจ 2.การคำ นวณต้นทุนของงานอาชีพธุรกิจบริการ 3.การคำ นวณต้นทุนของงานอาชีพซื้อขายสินค้า 4.การคำ นวณต้นทุนของงานอาชีพผลิตสินค้า
1.ความสำ คัญในการคำ นวณต้นทุนต่อ การบริหารธุรกิจ 1.1 เพื่อให้ทราบถึงต้นทุนการผลิตและต้นทุนขายของธุรกิจ 1.2เพื่อสามารถนำ ต้นทุนทั้งหมดของธุรกิจมาเปรียบเทียบกับรายได้ทำ ให้ทราบผลกำ ไรขาดทุนจากการดำ เนินธุรกิจ 1.3 เพื่อคำ นวณหรือตีราคาสินค้าคงเหลือปลายงวด 1.4 เพื่อใช้ในการวางแผนและควบคุมเกี่ยวกับการดำ เนินธุรกิจ การคำ นวณต้นทุนของงานอาชีพต่างๆ แบ่งออกเป็น 3 งานอาชีพ ดังนี้ 1) การคำ นวณต้นทุนของงานอาชีพธุรกิจบริการ 2)การคำ นวณต้นทุนของงานอาชีพซื้อขายสินค้า 3)การคำ นวณต้นทุนของงานอาชีพผลิตสินค้า
2.การดำ เนินต้นทุนของอาชีพธุรกิจบริการ งานอาชีพธุรกิจบริการ เป็นธุรกิจที่ดำ เนินงานให้บริการตามคำ สั่งของลูกค้า โดยเน้นความต้องการของ ลูกค้าเป็นหลัก ธุรกิจบริการนี้ไม่มีสินค้าไว้แลกเปลี่ยน เมื่อธุรกิจให้บริการเสร็จแล้ว ลูกค้าจะได้รับความ พึงพอใจหรือไม่พึงพอใจทันที หรือในขณะที่ลูกค้ารับประกันอยู่ ตัวอย่างธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจโรงแรม เสริมสวย บริการซ่อมต่างๆ ธุรกิจสื่อสาร ธุรกิจขนส่ง สำ นักงานบัญชี ต้นทุนของธุรกิจบริการ คือ บรรดาค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำ เนินงานให้บริการกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่ให้ ประโยชน์ในอนาคตหรือต้นทุนตามงวดเวลา ตามที่กล่าวมาแล้วในหน่วยที่ 1 ยังสามารถจำ แนกต้นทุนของ ธุรกิจบริการได้ ดังนี้ 2.1 ต้นทุนคงที่ เป็นต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ ตามการให้บริการไม่ว่าจะมีการให้บริการ หรือไม่ จะต้องเกิดค่าใช้จ่ายในอัตราเดิมอยู่ตลอด เช่น ค่าเสื่อมราคาอาคาร ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ สำ นักงาน ค่าเช่า เงินเดือนพนักงาน 2.2 ต้นทุนผันแปร เป็นต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไปตามการให้บริการหากมีการให้บริการมาก ค่าใช้จ่ายชนิดนี้จะมาก ถ้ามีการให้บริการน้อย ค่าใช้จ่ายจะน้อย หรือหากไม่มีการให้บริการจะไม่เกิดค่า ใช้จ่ายนี้เลย เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าซ่อมแซม ค่าน้ำ มันเชื้อเพลิง ถ้าดูแลทำ ความสะอาด
3.การคำ นวณต้นทุนของงานอาชีพ ซื้อขายสินค้า งานอาชีพซื้อขายสินค้าหรือธุรกิจซื้อมาขายไป เป็นธุรกิจที่ซื้อสินค้ามาเพื่อขาย โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงสินค้าหรือนำ ไปผลิตต่อ เช่น ซื้อผลไม้จากตลาดไทร แล้วนำ มาขายให้กับผู้บริโภค ซึ่งต้นทุนของธุรกิจซื้อขายสินค้าจะเป็นต้นทุนของ สินค้าที่ซื้อมาเป็นส่วนใหญ่ รวมค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้ามาเพื่อขาย ต้นทุนของธุรกิจซื้อขายสินค้าเป็นต้นทุนของตัวสินค้าที่ซื้อมารวมกับบรรดาค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการจัดหาสินค้ามาเพื่อ ขาย และค่าใช้จ่ายอื่นๆในการดำ เนินงาน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่สะสมในตัวสินค้า ต้นทุนที่ไม่สะสมในตัวสินค้า และต้นทุน ตามงวดเวลาที่ได้กล่าวมาแล้วในหน่วยที่ 1 นอกจากนี้ ยังสามารถจำ แนกต้นทุนของธุรกิจซื้อขายสินค้าได้ ดังนี้ 3.1 ต้นทุนคงที่ เป็นต้นทุนที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการขาย เช่น ต้นทุนขอสินค้าที่ซื้อมา เพื่อขาย เงินเดือนพนักงาน ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ 3.2 ต้นทุนผันแปร เป็นต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการขาย เช่น ค่าขนส่งออก ค่า สาธารณูปโภค ค่าซ่อมแซม
4.การคำ นวณต้นทุนของงานอาชีพผลิตสินค้า งานอาชีพผลิตสินค้า เป็นธุรกิจที่ผลิตสินค้ามาเพื่อขาย ต้นทุนการผลิตสินค้าของกิจการอุตสาหกรรมจึงเป็นสิ่ง สำ คัญที่กิจการจำ เป็นต้องทราบ เพื่อเปรียบเทียบระหว่างการผลิตสินค้าเองกับการซื้อสินค้าสำ เร็จรูปมาจำ หน่าย ใน การกำ หนดราคาขาย การกำ หนดต้นทุนสินค้าสำ หรับกิจการอุตสาหกรรมจึงมีความยุ่งยากเนื่องจากจะต้องซื้อ วัตถุดิบมาผลิตสินค้า ต้องจ้างคนมาผลิต และมีการจ่ายค่าใช้จ่ายในการผลิตอื่นๆ ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในหน่วยที่ 1 นอกจากนี้ยังสามารถแยกต้นทุนของธุรกิจผลิตสินค้าหรือธุรกิจอุตสาหกรรมได้ ดังนี้ 4.1 ต้นทุนคงที่ เป็นต้นทุนที่ไม่เปลี่ยนแปลงใดๆไปตามปริมาณการผลิตหรือการขายซึ่งจะมีลักษณะเหมือน กับธุรกิจบริการและธุรกิจซื้อขายสินค้า เช่น ค่าเสื่อมราคาโรงงาน-เครื่องจักร ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ สำ นักงาน เงินเดือนพนักงานต่างๆ 4.2 ต้นทุนผันแปร เป็นต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณกิจกรรมการผลิตหรือการขายเช่นเดียวกับ ธุรกิจบริการและธุรกิจซื้อขายสินค้า เช่น ต้นทุนวัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงานทางตรง ค่าใช้จ่ายการผลิตที่ สะสมอยู่ในตัวสินค้าเป็นต้นทุนสินค้า และต้นทุนที่ไม่สะสมในตัวสินค้า เช่น ค่าสาธารณูปโภคสำ นักงาน ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์
การคำ นวณต้นทุนการผลิตสินค้า เป็นต้นทุนของสินค้าที่ประกอบด้วยต้นทุนต่างๆ องค์ประกอบของต้นทุนการผลิตประกอบด้วย 1) วัตถุทางตรง หมายถึง สิ่งที่เป็นส่วนประกอบสำ คัญของสินค้าสำ เร็จรูป สามารถคำ นวณได้ง่าย และ เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นส่วนประกอบของสินค้าที่ผลิต วัตถุดิบทางตรงมีลักษณะเป็นต้นทุนผันแปร 2) ค่าแรงงานทางตรง หมายถึง แรงงานที่นำ วัตถุดิบมาแปรสภาพให้เป็นสินค้าสำ เร็จรูป หรือกล่าวได้ว่า เป็นค่าแรงที่จ่ายให้กับคนงานที่ทำ หน้าที่ผลิตสินค้าโดยตรง คิดคำ นวณเป็นต้นทุนได้ง่ายกว่าเป็น จำ นวนเท่าไร ค่าแรงงานทางตรงมีลักษณะเป็นต้นทุนผันแปร 3) ค่าใช้จ่าย หมายถึง ต้นทุนในการผลิตสินค้าต่างๆยกเว้นวัตถุดิบทางตรงและค่าแรงงานทางตรง ได้แก่ วัตถุดิบทางอ้อม ค่าแรงงานทางอ้อม ค่าใช้จ่ายต่างๆในการผลิตอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับโรงงานและ เครื่องจักร เช่น ค่าเบี้ยประกันโรงงาน เสื่อมราคาโรงงานและเครื่องจักร ในการผลิตสินค้า จะนำ ปัจจัยการผลิตทั้ง 3 ชนิด มาผ่านกระบวนการผลิตให้เป็นสินค้า สำ เร็จรูปซึ่งผลผลิตที่ได้อาจจะมีสินค้าที่ผลิตเสร็จและสินค้าที่ผลิตไม่เสร็จ เสร็จเรียกว่า สินค้าสำ เร็จรูป ส่วนที่ผลิตไม่เสร็จเรียกว่า งานระหว่างทำ
โดยสามารถแสดงเป็นแผนภูมิได้ ดังนี้ วัตถุดิบทางตรง + ค่าแรงงานทางตรง + ค่าใช้จ่ายการผลิต ต้นทุน การผลิต สินค้า สำ เร็จรูป งาน ระหว่างทำ ต้นทุนสินค้า ที่ขาย สินค้าสำ เร็จรูป ปลายงวด กระบวน การผลิต ผลิตเสร็จ ผลิตไม่เสร็จ จำ หน่าย ที่ยังไม่จำ หน่าย
บทที่ 6 การจัดทำ รายงานต้นทุน เพื่อการวางแผนและตัดสินใจ 1. ความหมายของงบการเงิน 2. กำ ไรขาดทุน 3. กำ ไรส่วนเกิน 4.จุดคุ้มทุน
1.ความหมายของงบการเงิน งบการเงิน คือ ส่วนหนึ่งของกระบวนการรายงายการเงิน ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยว กับฐานะการเงิน ดำ เนินงานและการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของกิจการ เพื่อตอบสนองผู้ใช้งบการเงินเพื่อตอบสนองผู้ใช้งบการเงิน ส่วนประกอบของงบการเงิน มีดังนี้ 1) งบแสดงฐานะการเงิน ซึ่งนำ เสนอข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงินของกิจการ ณ วันสิ้นงวด ประกอบด้วยสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ 2) งบกำ ไรขาดทุน แสดงถึงผลการดำ เนินงานของกิจการสำ หรับงวดบัญชี เปรียบเทียบรายได้กับค่าใช้จ่าย 3) งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ 4) หมายเหตุประกอบงบการเงิน ในที่นี้จะกล่าวถึงส่วนประกอบของงบการเงินเฉพาะงบกำ ไรขาดทุน
2.งบกำ ไรขาดทุน ความหมายของงบกำ ไรขาดทุน งบกำ ไรขาดทุน หมายถึง รายงานทางการเงินที่แสดงผลการดำ เนินงานของกิจการในรอบระยะเวลา บัญชีหนึ่งแสดงให้เห็นถึงรายได้ ค่าใช้จ่าย กำ ไรหรือขาดทุนสุทธิ อันเป็นผลมาจากการเปรียบเทียบราย ได้กับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในระยะเวลาเดียวกัน หากรายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย เรียกว่า กำ ไรสุทธิ แต่แต่หาก รายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย เรียกว่า ขาดทุนสุทธิ ดังนั้น ส่วนประกอบของงบกำ ไรขาดทุนมี 3 ส่วน ดังนี้ 2.1 รายได้ ที่เเสดงในงบกำ ไรขาดทุนแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 2.1.1 รายได้โดยตรง หรือรายได้จากการดำ เนินงานหลัก 2.1.2 รายได้อื่น หรือรายได้ที่ไม่ได้เกิดจากการดำ เนินงานหลัก 2.2 ค่าใช้จ่าย ที่แสดงในงบกำ ไรขาดทุน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 2.2.1 ต้นทุนการให้บริการ 2.2.2 ต้นทุนขาย 2.2.3 ค่าใช้จ่ายจากการดำ เนินงาน 2.2.4 ค่าใช้จ่ายอื่น 2.3 กำ ไรหรือขาดทุนสุทธิ
3.กำ ไรส่วนเกิน หมายถึง รายได้ส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ เมื่อนำ รายได้จากการขายทั้งหมดหากด้วยต้นทุน ผันแปร ดังนั้น กำ ไรส่วนเกินนี้จึงเป็นส่วนที่จะนำ ไปชดเชยกับค่าใช้จ่าย (ต้นทุน) คงที่ที่เกิดขึ้น จากการดำ เนินงาน และกำ ไรส่วนเกินนี้จะแสดงให้ถึงพฤติกรรมของต้นทุนที่จะทำ ให้กิจการ ตัดสินใจถึงผลกระทบของกำ ไรเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงราคาขาย ต้นทุน หรือปริมาณสินค้าที่ ขาย การคำ นวณหากำ ไรส่วนเกินและอัตรากำ ไรส่วนเกิน กำ ไรส่วนเกินคำ นวณได้ ดังนี้ กำ ไรส่วนเกิน=ขาย-ต้นทุนผัรแปร การคำ นวณหาอัตรากำ ไรส่วนเกิน สูตร 1 อัตรากำ ไรส่วนเกิน=กำ ไรส่วนเกิน _____________________*100% ขาย สูตร 2 อัตรากำ ไรส่วนเกิน=กำ ไรส่วนเกินต่อหน่วย ____________________________*100% ราคาขายต่อหน่วย
4.จุดคุ้มทุน หมายถึง จุดที่ยอดขายรวมเท่ากับต้นทุนรวม นั่นคือ จุดที่ไม่มีกำ ไรหรือขาดทุน ซึ่งเป็นจุดที่มีความ สำ คัญต่อธุรกิจ คือ หากเลยจุดนี้ขึ้นไปจะเกิดผลกำ ไร หากยังไม่ถึงจะเกิดผลขาดทุน ดังนั้น จุดคมทุนนี้ ผู้ บริหารของกิจการจะใช้ในการวางแผนกำ หนดราคาขายสินค้า ปริมาณขายและกำ หนดกำ ไรตามที่ ต้องการการวิเคราะห์หาจุดคุ้มทุน ต้องมีปัจจัยที่สำ คัญ 5 ประการ คือ 1) ราคาขายต่อหน่วย 2) ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย 3) จำ นวนสินค้าที่ขาย 4) ต้นทุนคงที่รวม 5) จำ นวนรวมของสินค้าแต่ละชนิดที่ขาย
การคำ นวณหาจุดคุ้มทุน วิธีการหาจุดคุ้มทุนโดยการคำ นวณ สามารถทำ ได้ 2 วิธี คือ 1) ใช้สวมการ ขาย=ต้นทุนคงที่+ต้นทุนผันแปร Px=FC+Vx P=ราคาขายต่อหน่วย x=จำ นวนหน่วยที่ขาย FC=ต้นทุนคงที่รวม Vx=ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย การวางแผนกำ ไรตามที่ต้องการ จากการวิเคราะห์จุดคุ้มทุน หากกิจกรรมต้องการกำ ไรตามที่กำ หนดไว้ กิจการจะต้องขาย สินค้าจำ นวนเท่าใด สามารถคำ นวณได้โดยใช้สูตรจุดคุ้มทุนมาประยุกต์ใช้ ดังนี้ จำ นวนหน่วยที่ขาย=ต้นทุนคงที่รวม+กำ ไรสุทธิก่อนหักภาษี_ _______________________________ กำ ไรส่วนเกินต่อหน่วย
แบบทดสอบ