ลักษณะ11 ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง
หมวด3ความผิดฐานหมิ่นประมาท
มาตรา326- มาตรา333
กฎหมายอาญา จัดทำโดย
นางสาววันวิสาข์ เซ่งเข็ม
641081322
-ก-
คำนำ
เอกสารฉบับนี้เป็ นส่วนหนึ่ งของรายวิชากฎหมายอาญาภาคความผิดลักษณะ11
ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง มีวัตถุประสงค์จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษา
หาความรู้ในเรื่องความผิดฐานหมิ่นประมาท หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่บุคคลที่
ศึกษาหาความรู้ในเรื่องนี้
นางสาววันวิสาข์ เซ่งเข็ม
ผู้จัดทำ
-ข-
สารบัญ
เรื่อง หน้ า
มาตรา326 1-8
มาตรา327 9-12
มาตรา328 13-15
มาตรา329 16
มาตรา330 17
มาตรา331 18
มาตรา332 19
มาตรา333 20
-1-
ความผิดฐานหมิ่นประมาท
ตามประมวลกฎหมายอาญา
หลักการของความผิดฐานหมิ่นประมาทในกฎหมายลักษณอาญาได้ถ่ายทอดมายัง
ประมวลกฎหมายอาญาฉบับปัจจุบัน โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้ทันสมัย
ยิ่งขึ้น บทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมาย
อาญาสามารถจำแนกได้ดังนี้
1) ฐานความผิดที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท
ความผิดฐานหมิ่นประมาท (มาตรา 326)
ความผิดฐานหมิ่นประมาทคนตาย (มาตรา 327)
ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา (มาตรา 328)
2) เหตุยกเวันความผิดหรืออำนาจกระทำ
การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต (มาตรา 329)
การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความในกระบวนพิจารณาคดีในศาล (มาตรา 331)
3) เหตุยกเว้นโทษกรณีข้อที่หาว่าหมิ่นประมาทเป็นความจริง (มาตรา 330)
4) อำนาจของศาลในคดีหมิ่นประมาท (มาตรา 332)
5) การยอมความและการร้องทุกข์แทนผู้ตาย (มาตรา 333)
-2- หมิ่นประมาท (326)
ฐานความผิด หมิ่นประมาทคนตาย
(327)
หมิ่นประมาทโดยการ
โฆษณา (328)
ความผิดฐานหมิ่นประมาท อำนาจกระทำ แสดงความเห็นโดยสุจริต
เหตุยกเว้นโทษ (330) (329)
แสดความเห็นในกระบวน
พิจารณาคดี (331)
อำนาจของศาล (332)
การยอมความและการร้องทุกข์แทน
(333)
แผนภาพแสดงความผิดฐานหมิ่นประมาท
-3-
ความผิดฐานหมิ่นประมาท
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการ
ที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน
หมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
คำอธิบาย
ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 กำหนดขึ้นเพื่อคุ้มครอง
สิทธิพื้นฐานของบุคคลในสังคมอย่างหนึ่ง คือสิทธิต่อ “เกียรติ ”
ธรรมดาแล้วมนุษย์แต่ละคนนั้นอาจจะไม่เท่าเทียมในกันในเรื่องฐานะ หน้ าตา
หรือชาติกำเนิด แต่ตามกฎหมายแล้ว ถือว่าทุกคนมีเกียรติเท่าเทียมกัน
กฎหมายคุ้มครองจึงไม่ให้ผู้ใดมาลบหลู่เกียรติหรือลดคุณค่าของผู้อื่น ด้วยการใส่ความ โดย
ไม่มีเหตุอันชอบด้วยกฎหมาย และหากผู้ใดฝ่าฝืนก็จะมีโทษอาญาตามกฎหมาย
องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท
1. ผู้กระทำต้องมีการสื่ อสารข้อมูลไปยังบุคคลที่สาม
2. ข้อมูลที่สื่ อสารเป็ นการใส่ความผู้เสียหาย
3.การใส่ความน่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
-4-
ผู้กระทำสื่ อสารข้อมูลไปยังบุคคลที่สาม
ความผิดฐานหมิ่นประมาท ผู้กระทำจะต้องมีการส่งข้อมูล หรือสื่อสารข้อความ ไปยัง
บุคคลที่สาม ทั้งนี้ ไม่ว่าจะด้วยการสื่อสารทางใดๆ ก็ตาม เช่น
การพูดคุยกันต่อหน้ า,การโทรศัพท์,การvideo call การส่งข้อความทางapplication
สื่อสารเช่น LINE facebook messenger การโพสต์ข้อความใน facebook หรือ
instagram
การติดประกาศในสื่อต่างๆ การลงหนังสือพิมพ์ การให้สัมภาษณ์ การเขียนจดหมาย
การเขียนอีเมล การส่งโทรเลข รหัสมอส ภาษามือ คำใบ้ กริยาท่าทาง สัญลักษณ์
กล่าวคือ การสื่อข้อมูล จะกระทำอย่างไรก็ได้ ที่ทำให้บุคคลที่สาม สามารถรับทราบ
และเข้าใจข้อมูลของการของการสื่อสารนั้น ไม่จำกัดว่าจะใช้วิธีใด ภาษาใด
ความผิดสำเร็จเมื่ อใด
ความผิดฐานหมิ่นประมาทจะสำเร็จต่อเมื่อ ข้อความที่ส่งนั้นไปถึงยังบุคคลที่สามแล้ว
แต่ถ้าข้อความที่ส่งไปนั้นไม่ถึง หรือไม่ได้รับข้อความ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็เป็นได้
แต่เพียงการพยายามกระทำความผิดเท่านั้น
การสื่อข้อความ จะต้องเกิดจากเจตนาของผู้กระทำ คือผู้กระทำต้องการสื่อสารให้
บุคคลที่สามทราบ ไม่ใช่เป็นเพราะบุคคลที่สามเข้ามาทราบโดยบังเอิญ หรือเป็นเรื่องที่
บุคคลที่สามแอบสอดเข้ามาทราบข้อความนั้นเอง เช่นนี้ย่อมถือว่าผู้กระทำขาดเจตนา
ส่งข้อมูล และไม่เป็นความผิด
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21627/2556 จำเลยเป็นผู้พิมพ์หนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่า
ราชการจังหวัดสุโขทัย แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำต่อบุคคลที่สาม กลับได้ความ
เพียงว่า ก. ไปพบหนังสือร้องเรียนดังกล่าวเอง การกระทำของจำเลยจึงยังไม่ครบองค์
ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326
-5-
ข้อมูลที่สื่อสารเป็ นการใส่ความ
ข้อมูลที่ผู้กระทำความผิดส่งไปยังบุคคลที่สามนั้น จะต้องมีลักษณะเป็นการ “ใส่ความ” ผู้
เสียหาย
คำว่า “ใส่ความ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา326 ไม่ได้นิยามศัพท์ไว้ว่ามีความ
หมายว่าอย่างไร แต่ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่า หมายถึง พูด
หาเหตุร้าย กล่าวหาเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย
และมีนักกฎหมายอาญาผู้ทรงคุณวุฒิของไทย นิยามความหมายของคำว่า “ใส่ความ” ใน
ความผิดฐานหมิ่นประมาท ไว้ดังนี้
ใส่ความ คือ แสดงพฤติกรรมอันเป็นข้อเท็จจริงประการใดประการหนึ่งของผู้ถูกหมิ่น
ประมาท คือการเอาความ ไปใส่ให้กับเขา ความนั้นจะเป็นความจริงหรือความเท็จ
ก็ได้ (ศ.จิตติ ติงศภัทิย์)
ใส่ความ คือ ทำให้แพร่หลายซึ่งข้อเท็จจริงที่กระทบถึงเกียรติของผู้ถูกกระทำให้
ปรากฏต่อบุคคลที่สาม (ศ.ดร.คณิต ณ.นคร)
ใส่ความ คือ การแสดงพฤติกรรมหรือยืนยันข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นถึงบุคคล
อื่น ไม่ว่าจะเท็จหรือจริง (ศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ)
ใส่ความ มีความหมายต่างกับที่เข้าใจกันอยู่ตามธรรมดาสามัญ คือไม่ได้หมายความ
ว่าจะต้องเป็นการใส่ร้าย แต่หมายถึงการกล่าวยืนยันข้อเท็จจริงถึงบุคคลอื่น เท็จ
หรือจริงก็เป็นการใส่ความทั้งนั้น (ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย)
เพราะการใส่ความ ตามประมวลกฎหมายอาญา หมายความถึง การที่ผู้กระทำ สื่อสาร
ข้อมูลไปให้บุคคลที่สาม ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะเป็นความจริงหรือเท็จ ถ้าข้อมูลนั้นน่าจะ
ทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ก็ถือเป็นการใส่ความ
จะเห็นได้ว่า คำว่า “ใส่ความ” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 มีความหมายต่าง
จากความเข้าใจตามธรรมดาสามัญของคนทั่วไป
-6-
เพราะคำว่า “ใส่ความ” ตามความเข้าใจของคนทั่วไป คือการนำความเท็จไปกล่าวหา
บุคคลอื่น ตัวอย่างคำว่าใส่ความ ตามความหมายของคนทั่วไป เช่น
“ นายกิตติศักดิ์ใส่ความว่า นางขวัญลดาขโมยไอโฟนของตนเองไป ” โดยทั่วไปเราจะ
ใช้คำว่า “ใส่ความ” ต่อเมื่อนางขวัญลดาไม่ได้ขโมยไอโฟนของนายกิตติศักดิ์ ไปจริง
เราจะไม่ใช้คำว่า “ ใส่ความ ” ถ้าหากเราทราบว่านางขวัญลดาได้ทำการขโมยไอโฟน
ของนายกิตติศักดิ์ ไปจริงๆ แต่เราอาจจะใช้คำว่า “นายกิตติศักดิ์บอกว่านางขวัญลดา
ได้ขโมยไอโฟนไป”
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการใส่ความตามความหมายที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน กับการใส่
ความตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มีความหมายแตกต่างกันอย่างชัดเจน
เพราะการ ” ใส่ความ “ ตามประมวลกฎหมายอาญา หมายความถึง การที่ผู้กระทำ
สื่อสารข้อมูลไปให้บุคคลที่สาม ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะเป็นความจริงหรือเท็จ ถ้าข้อมูลนั้นน่า
จะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ก็ถือเป็นการใส่ความ
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3920/2562 ข้อความที่จำเลยกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่
ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่วๆไป เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวถึงนั้น
ถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาท น่าจะเสียชื่อเสียง บุคคลอื่นดูหมิ่น เกลียดชังหรือไม่ มิใช่พิจารณา
ตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ ายเดียว
-7-
บุคคลที่เกี่ยวข้องในความผิดฐานหมิ่นประมาท ในความผิดฐานหมิ่นประมาทจะ
ต้องมีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกัน 3 ฝ่าย คือ
ผู้กระทำ หมายถึง บุคคล ซึ่งเป็นคนส่งข้อมูลไปยังบุคคลที่สาม
ผู้กระทำอาจจะเป็นเพียงคนเดียว หรือมีผู้ร่วมกระทำหลายคนก็ได้ ตามแต่พฤติการณ์
ผู้กระทำ จะเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลก็ได้ ถ้าเป็นนิติบุคคล ธรรมดาแล้วการกระทำต้อง
แสดงออกโดยผู้แทนของนิติบุคคลนั้น ดังนั้นผู้แทนนิติบุคคลที่เป็นผู้กระทำ จะต้อง
เป็ นตัวการร่วมในการกระทำผิดของนิติบุคคลด้วย
ผู้เสียหาย หมายถึง ผู้ถูกกล่าวถึงในการส่งข้อมูล หรือถูกใส่ความจากผู้กระทำ
ผู้เสียหายในการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทครั้งหนึ่งนั้น อาจจะมีคนเดียวหรือ
หลายคนก็ได้ และอาจจะเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลก็ได้เช่นเดียวกัน
บุคคคลที่สาม หมายถึง บุคคลที่ได้เป็นผู้ได้รับข้อมูลที่เป็นการใส่ความจากผู้
กระทำ ซึ่งบุคคลที่สามนี้ จะต้องไม่ใช่ผู้เสียหายหรือผู้กระทำเสียเอง
บุคคลที่สามจะมีเพียงคนเดียว หรือมีหลายคน ก็ได้ และจะเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลกก็
ได้เช่นเดียวกัน
-8-
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 580/2505 หนังสือใส่ความผู้อื่นนั้นแม้จะส่งไปถึงนายก
รัฐมนตรีเพียงคนเดียวก็ถือว่าใส่ความต่อบุคคลที่ 3 ตามมาตรา 326 แห่งประมวล
กฎหมายอาญา
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2503 นางใยอาของโจทก์เล่าให้จำเลยฟังว่า
โจทก์ (เป็นนางสาว) กับนายอนันต์ซึ่งเป็นญาติของโจทก์ รักใคร่กันทางชู้สาวนอนกอดจูบกัน
และได้เสียกัน ต่อมานางสงวนมาถามจำเลยว่านางใยมาเล่าอะไรให้จำเลยฟังจำเลยก็เล่า
ข้อความตามที่นางใยเล่าแก่จำเลยให้นางสงวนฟัง นางสงวนได้เอาข้อความนั้นไปเล่าให้โจทก์
ฟังอีกชั้นหนึ่งเช่นนี้ ถ้อยคำที่จำเลยกล่าว เป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์อย่างเห็นได้ชัด เมื่อ
จำเลยกล่าวออกไป แม้จะโดยถูกถามที่ก็ดี จำเลยควรต้องสำนึกในการกระทำและเล็งเห็นผล
การกระทำของจำเลย ถือได้ว่าจำเลยจงใจกล่าวข้อความยืนยันข้อเท็จจริงโดยเจตนาใส่ความ
โจทก์
-9-
ความผิดฐานหมิ่นประมาทคนตาย
ความผิดฐานหมิ่นประมาทคนตาย (มาตรา 327)
คำกลอนจากนิทานเรื่องพระอภัยมณีที่ว่า "อันดีชั่วตัวตายเมื่อภายหลัง ชื่อก็ยังยืน
อยู่ไม่รู้หาย" นั้นป็นความจริงเสมอ บุคคลที่ประกอบคุณงามความดีแก่บ้านเมืองหรือ
แก่บุคคลอื่นไว้มาก ความดีนั้นก็ไม่รู้จักสิ้นสูญ ในทางกลับกันคนที่ได้กระทำสิ่งไม่ดีเอา
ไว้มาก แม้จะตายไปนานเท่าใดก็ตาม คำติฉินนินทาก่นด่าก็ไม่รู้จักสิ้นสูญดุจกัน กรณี
ของการใส่ความผู้ตายนั้น ไม่เฉพาะแต่ผู้ที่ตายไปแล้วเท่านั้นที่เสียหาย ผู้ที่สืบและ
ดำรงวงศ์ตระกูลต่อมาก็อาจได้รับความเสียหายด้วย เข้าทำนอง ใส่ความคนตายเสีย
หายคนเป็ น ดังนั้น ประมวลกฎหมายอาญาจึงบัญญัติความผิด ตามมาตรา 327 ขึ้น
เพื่อคุ้มครองมิให้เกิดการกระทำที่เป็นการทำลายชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
แก่ญาติหรือคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่
-10-
มาตรา 327 ผู้ใดใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่สามและการใส่ความนั้นน่าจะเป็น
เหตุให้บิดา มารดา คู่สมรสหรือบุตรของผู้ดายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง
ผู้นั้นกระทำคามผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษดังบัญญัติไว้ในมาตรา 326 นั้น
องค์ประกอบความผิด
1.องค์ประกอบภายนอก
(1) ผู้ใด
(2) ใส่ความ
(3) ผู้ตาย
(4) ต่อบุคคลที่สาม
(5) น่าจะเป็นเหตุให้บิดา มารดา คู่สมรสหรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น
2.องค์ประกอบภายใน
เจตนาธรรมดา
คำอธิบาย
ใส่ความ
คำว่า "ใส่ความ" นั้น เป็นไปตามที่ได้อธิบายไปแล้วในมาตรา 326
ผู้ตาย
คำว่า "ผู้ตาย" ในที่นี้ โดยสภาพย่อมหมายถึงกรณีบุคคลธรรมดาเท่านั้น
ไม่รวมถึงนิติบุดดลดังเช่นที่บัญญัติไว้ในมาตรา 326 ในส่วนของบุคคลธรรมดา
ความตายอาจเกิดขึ้นได้2กรณี ได้แก่ "การตายโดยธรรมชาติ" และการตายโดยผลของ
กฎหมายที่รียกว่า "สาบสูญ" ตามความในมาตรา 62 แห่งประมวลกฎหมายแฟงและ
พาณิชย์ กรณีเช่นนี้ ผู้ถูกใส่ความจะต้องถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญแล้ว มิใช่เป็นเพียง
แต่ผู้ไม่อยู่ ดังนั้น หากหมิ่นประมาทผู้ไม่อยู่ จะต้องพิจารณองค์ประกอบความผิดตาม
มาตรา 326 เพราะยังไม่ถือว่าถึงแก่ความตาย
-11-
ต่อบุคคลที่สาม
คำว่า "ต่อบุตคลที่สาม" นั้นเป็นอย่างเดียวกับที่ได้อธิบายไว้แล้วในมาตรา 308
น่าจะเป็ นเหตุให้บิดา มารดา คู่สมรส บุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น
หรือถูกเกลียดชัง
คำว่า "น่าจะเป็นเหตุให้" เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทำ กล่าวคือ การกระทำ
ของผู้กระทำจะก่อให้เกิดความเสียหายในมุมมองของบุคดลทั่วไปอันมีลักษณะเป็ น
ภววิสัย (Objective) แม้จะไม่เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณในมุมมองของ
ผู้ใกล้ชิดหรือทายาท ก็ยังเป็นความผิดตามมาตรา 327 นี้อยู่
โปรดสังเกตถ้อยบัญญัติที่ว่า "น่าจะเป็นเหตุให้บิดา มารตา คู่สมรสหรือบุตรของ
ผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง" นั้น ผลที่เกิดจากการใส่ความนั้นหา
ทำให้ผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังไม่ แต่กลับเป็นบิดา มารดา คู่สมรส
หรือบุตรซึ่งจะต้องดำรงชีวิตอยู่ต่อไปเป็นผู้ที่อาจจะเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูก
เกลียดชังได้
ส่วนคำว่า "บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตาย" นั้นน่าจะต้องชอบด้วย
กฎหมายตามประมวกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น บุตรที่มิชอบด้วยกฎหมายของ
บิดา หรือ
สามีภริยาที่มิใด้จดทะเบียนสมรสกันย่อมไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่มีอำนาจฟ้ องคดีตาม
มาตรานี้
เจตนาธรรมดา
มาตรานี้อาศัยเจตนาธรรมดา ได้แก่ เจตนาประสงค์ต่อผล หรือเจตนาย่อมเล็งเห็น
ผล ส่วนการที่ใส่ความผู้ตายโดยไม่รู้ว่าผู้ตายมีบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรอยู่นั้น
ศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ เห็นว่า กรณีนี้ไม่เป็นเจตนาประสงค์ต่อผล แต่เป็นกรณี
เจตนาย่อมเล็งเห็นผล เพราะโดยทั่วไปแล้วบุคคลย่อมมีบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตร
ดังนั้นจะนำความในมาตรา 59 วรรคสาม กรณีไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบ
ภายนอกของความผิดมาอ้างไม่ได้
-12-
คำพิพากษาฎีกาที่น่ าสนใจ
คำพิพากษาฎีกาที่ 6031/2531 จำเลยที่ 1 เขียนบทความลงใน
หนังสือพิมพ์มีข้อความว่า "พรรคไหนเอ่ยที่คนในพรรคพัวพันกับ
การค้าเฮโรอีนระหว่างประเทศ จนต้องแก้ปัญหา
ด้วยการปลิดชีพตัวเองลาโลก...." ข้อความดังกล่าวทำให้ผู้อ่าน
เข้าใจว่าหมายความถึงพรรค ป. และ ด. สามีโจทก์ดังนี้ จำเลยที่1
มีเจตนาใส่ความผู้ตายโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร อันน่าจะเป็น
เหตุให้โจทก์ซึ่งเป็ นภรรยาของผู้ตายและบุตรของผู้ตายเสียชื่ อ
เสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังจากผู้อื่นได้ มิใช่เป็นแสดงความ
คิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม จำเลยที่1
จึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตาย
ตามมาตรา 327 ประกอบด้วยมาตรา 328
-13-
ความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
(มาตรา328)
ความผิดตามมาตรานี้เป็นบทเฉพาะที่เอาผิดกับบุคคลที่ใช้การโฆษณาซึ่งเป็นวิธีการ
อันทำให้ข้อความที่หมิ่นประมาทเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ถูกใส่ความ
เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังมากกว่าวิธีการใส่ความแก่
บุคคลที่สามโดยเฉพาะเจาะจง เข้าทำนองแพร่กระจายมากก็เสียหายมาก มาตรา 328
จึงกำหนดความผิดและโทษให้หนักขึ้นกว่าที่ปรากฏในมาตรา 326 หรือมาตรา 327
บทบัญญัติ
มาตรา 328 ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร
ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ
แผ่นเสียงหรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจาย
เสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
-14-
คำอธิบาย
ในการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น ถ้าผู้กระทำ มีเจตนาจะส่งข้อมูลให้บุคคล
จำนวนมาก ด้วยวิธีการต่างๆที่ทำให้บุคคลอื่นสามารถพบเห็นข้อความได้ในวงกว้าง
เช่นโพสต์เฟซบุ๊ก แปะป้ ายประกาศด้วยเอกสาร การทำภาพวาดปิดประกาศหรือ เผย
แพร่ในโซเชียลมีเดีย การทำภาพยนตร์เผยแพร่ใน YouTube การกระจายเสียง
โฆษณาทางวิทยุ พอดแคสต์ การโพสในสื่อออนไลน์ต่างๆ จะถือว่าเป็นการกระทำ
ความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ที่ทำให้มีโทษหนักขึ้น
คำว่า "โฆษณา" หมายถึง เผยแพร่ข้อความไปสู่สาธารณชนหรือ
ประชาชนทั่วไป กล่าวคือ ไม่ได้มุ่งเจาะจงเฉพาะบุคคลหรือกลุ่มบุดคล แต่ได้กระจายให้
รู้กันอย่างกว้างขวาง" ดังนั้น ผู้กระทำตามมาตรานี้จึงไม่ได้กระทำต่อบุคคลที่สาม
เป็นการเฉพาะ แต่จะเป็นใครก็ได้ที่ได้รับทราบข้อความนั้น
ตัวอย่างที่ 1 การที่จำเลยส่งหนังสือถึง อ. และบุดคลอื่นๆ ที่เป็นเจ้าของที่ดินใน
โครงการจัดสรรของจำเลยเท่านั้น มีลักษณะเป็นเพียงการแจ้งหรือไขข่าวไปยังเฉพาะ
กลุ่มบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในโครงการดังกล่าวเช่นเดียวกับโจทก์ ยังไม่ถึงกับ
เป็นการกระจายข่าวไปสู่สาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป จึงไม่มีความผิดตามมาตรา
328
ตัวอย่างที่ 2 การนำหนังสือพิมพ์ไปแจกโดยทราบว่ามีเนื้อหาช้อความหมิ่นประมาท
โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการกระจายข่าวไปสู่สาธารณชน หรือประชาชนทั่วไปแล้ว จึงเป็น
ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
-15-
คำพิพากษาฎีกาที่ 645/2503
นาย ส. จำเลยได้พิมพ์ใบปลิวโฆษณามีข้อความว่า โจทก์รับของไปขายแล้วไม่นำเงิน
มาชำระ และจ่ายเช็คไม่มีเงินให้สหกรณ์ แม้ความจริงจะเป็นดังจำเลยโฆษณา
แต่โจทก์และจำเลยต่างเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็ นสมาชิกสหกรณ์เทศบาลด้วยกัน
ส่อให้เห็นเจตนาของจำเลยได้ดีว่าต้องการใส่ความโจทก์ หาใช่เป็นการแสดงความคิด
เห็นโดยสุจริตไม่ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
ตามมาตรา 328
คำพิพากษาฎีกาที่ 2272/2527
แม้จำเลขปิดป้ ายประกาศหมิ่นประมาทโจทก์ก่อนวันที่โจทก์ไปร้องทุกข์หรือฟ้ องคดี
เกิน 3 เตือนก็ตาม การโฆษณาหมิ่นประมาทนับแต่วันปิดประกาศ เป็นความผิดต่อ
เนื่องจนกว่าจะมีการปลดป้ ายประกาศออกไป อายุความย่อมจะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่มี
การปลดป้ ายประกาศออกคือวันที่ 2 กันยายน 2524 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่โจทก์ไป
ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าจำเลยหมิ่นประมาท และโจทก์ฟ้ องคดีเมื่อวัน
ที่ 7 กันยายน2524 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
-16-
เหตุยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาท
(มาตรา 329)
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต
(๑) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม
(๒) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
(๓) ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ
(๔) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม
ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำอธิบาย
หากการพูดหรือกล่าวถ้อยคำอะไรไปก็จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาททั้งหมด
ย่อมเกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมขึ้น เช่นหากเห็นการทำผิดหรือทำเรื่องไม่
ถูกต้องก็จะไม่มีสิทธิวิจารณ์ หรือโต้แย้งใดๆเลย
ดังนั้นการติเพื่อก่อ การวิจารณ์ภายในกรอบอันสมควร การแสดงความเห็นใน
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเองหรือเรื่องที่ประชาชนมีส่วนร่วม กฎหมายจึงยกเว้น
ให้ไม่เป็นความผิด อย่างไรก็ตามข้อยกเว้นให้ไม่เป็นการกระทำความผิดตาม
มาตรานี้ จะต้องเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต และจะต้องเป็นการแสดง
เพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งตามอนุมาตรา 1 ถึง 4 เท่านั้น
การแสดงความเห็นโดยสุจริตคืออะไร
การแสดงความเห็นโดยสุจริต คือเป็นความคิดที่ผู้กระทำได้อาศัยข้อความที่ผู้กระทำเชื่อโดย
สุจริตว่าเป็นความจริง ทั้งนี้ไม่ว่าความนั้นจะเป็นความจริงหรือความเท็จก็ตาม ถ้าหากผู้กระทำ
ได้เชื่อโดยสุจริตโดยมีเหตุอันควรให้ผู้กระทำเช่นนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการแสดงความเห็นโดย
สุจริต ดังนั้นแสดงความเห็นโดยสุจริต ที่จะเป็นข้อยกเว้นไม่เป็นความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 329 นั้น ไม่จำเป็นว่าข้อความที่จะต้องเป็นเรื่องจริงถึงจะได้รับยกเว้น
ความผิด ถึงข้อความดังกล่าวจะเป็นความเท็จ แต่หากมีเหตุอันสมควรที่ทำให้ผู้กระทำเข้าใจ
ผิดว่าเป็นความจริง ก็ได้รับยกเว้นความผิดตามกฎหมาย แต่หากเป็นการกล่าวโดยรู้อยู่แล้ว
ว่าเป็นความเท็จ หรือโดยพฤติการณ์ควรจะรู้ได้ว่าเป็นความเท็จหากใช้ความระมัดระวังอย่าง
วิญญูชน เช่นนี้ย่อมถือว่าไม่สุจริตจะอ้างความคุ้มครองตามมาตรานี้ไม่ได้
-17-
เหตุยกเว้นโทษ (มาตรา 330)
โดยหลัก ผู้ที่ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามจนอาจทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น
หรือถูกเกลียดชัง ย่อมมีความผิดตามมาตรา 326 มาตรา 327 หรือมาตรา 328 แล้ว
แต่กรณี ยกเว้นแต่ว่ามีเหตุที่ทำให้ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 329 หรือมาตรา 331
อย่างไรก็ตาม แม้การกระทำหมิ่นประมาทนั้นไม่เข้าข้อยกเว้นดังกล่าวข้างต้น ผู้
กระทำอาจยกเอาความในมาตรา 330 มาเป็นเหตุยกว้นโทษในความผิดฐานหมิ่น
ประมาทได้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
บทบัญญัติมาตรา 330 ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิดพิสูจน์
ได้ว่าข้อที่หาว่าหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่อง
ส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
คำอธิบาย การที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทจะได้รับยกเว้นโทษตาม
มาตรา330 จะต้องพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง เช่น นายเหลือง
พิสูจน์ได้ว่านายเขียวทุจริตเงินค่าก่อสร้างถนนของเทศบาล แม้นายเหลืองมีความผิดฐาน
หมิ่นประมาทนายเขียวก็ตาม แต่นายเหลืองจะได้รับยกเว้นโทษในความผิดฐานหมิ่น
ประมาทนั้นโดยผลของมาตรา330
อย่างไรก็ตามถ้าหากผู้ถูกกล่าวหาไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าข้อที่กล่าวหาผู้อื่ นนั้นเป็ นเรื่ องจริงซึ่ง
อาจเกิดจากการที่เรื่ องนั้นเป็ นเรื่ องไม่จริงตั้งแต่แรกหรือเป็ นเรื่ องจริงแต่ต้องห้ามตาม
กฎหมายไม่ให้พิสูจน์ ผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ได้ หรือพยานหลัก
ฐานที่นำมาพิสูจน์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ศาลเชื่อได้ว่าข้อที่กล่าวหานั้นเป็นความจริง ผู้ถูก
กล่าวหาก็ยังไม่พันความรับผิดฐานหมิ่นประมาท
กล่าวโดยสรุป กฎหมายให้พิสูจน์ความจริงเพื่อยกเว้นโทษได้เมื่อข้อกล่าวหาไม่ใช่เรื่องส่วน
ตัว ไม่จำต้องพิจารณาว่าการพิสูจน์นั้นจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนหรือไม่ หรือเมื่อข้อที่
กล่าวหานั้นเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ยกเว้นกรณีเดียว
ที่กฎหมายห้ามพิสูจน์นั่นคือ เมื่อข้อที่กล่าวหานั้นเป็นเรื่องส่วนตัวและการพิสูจน์นั้นจะไม่
เป็ นประโยชน์แก่ประชาชน
-18-
การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความ
ในกระบวนพิจารณาคดีในศาล (มาตรา331)
นอกเหนือจากเหตุยกเว้นความผิดตามมาตรา 329 แล้ว มาตรา 331 ยังได้กำหนดเหตุ
ยกเว้นความผิดไว้อีกประการหนึ่ง ได้แก่ การแสดงความคิดเห็นหรือข้อความในกระบวน
พิจารณาคดีในศาล เหตุที่กฎหมายกเว้นความผิดให้ก็เพราะว่าในการดำเนินกระบวนพิจารณา
คดีในศาลจำเป็ นอย่างยิ่งที่ต้องได้ความจริงเพื่ อให้ตาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงในคดีอย่าง
ถี่ถ้วนและถูกต้องที่สุด บางครั้งอาจไปเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด และอาจมี
การพาดพิงจนเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ แต่เมื่อชั่งน้ำ
หนักระหว่างการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงที่ถูกต้องที่สุดในการดำเนินกระบวนพิจารณากับความ
เสียหายต่อบุคคลแล้ว กฎหมายเห็นว่าข้อเท็จจริงในการดำเนินคดีสำคัญยิ่งกว่า จึงได้บัญญัติ
ให้การกระทำดังกล่าวไม่เป็ นความผิดฐานหมิ่นประมาท
แม้จะเกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกกระทำบ้างก็ตาม
บทบัญญัติมาตรา 331 คู่ความ หรือทนายความของคู่ความ ซึ่งแสดงความคิดเห็น
หรือข้อความในกระบวนพิจารณาคดีในศาล เพื่อประโยชน์แก่คดีของตน ไม่มีความผิดฐาน
หมิ่นประมาท
คำพิพากษาฎีกาที่ 2212/2536 จำเลยบรรยายฟ้ องในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้ องโจทก์
เป็นจำเลยขอให้เพิกถอนโจทก์จากการเป็นผู้อนุบาลของ จ. และตั้งจำเลยเป็นผู้อนุบาลแทน
ว่าโจทก์เล่นการพนันและตั้งบ่อนการพนันที่บ้าน แม้ในคดีดังกล่าวศาลจะมิได้ตั้งประเด็น
เรื่องคุณสมบัติของโจทก์ไว้โดยตรง แต่ก็มีข้อที่จะต้องพิจารณาว่าโจทก์หรือจำเลยควรจะ
เป็นผู้อนุบาลของ จ. การที่จำเลยเบิกความดังกล่าวก็เพื่อสนับสนุนว่าโจทก็มีคุณสมบัติไม่
เหมาะสมจะเป็นผู้อนุบาล จ. ถือเป็นข้อความในกระบวนพิจารณาคดีในศาลเพื่อประโยชน์แก่
คดีของตน ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 331
-19-
อำนาจของศาลในคดีหมิ่นประมาท
(มาตรา 332)
เนื่ องจากคดีหมิ่นประมาทเป็ นคดีที่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ถูกใส่
ความได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดถ้าไม่สามารถระงับเหตุได้อย่างทันท่วงที กฎหมายจึง
ได้กำหนดให้ศาลมีอำนาจเป็ นพิเศษนอกเหนือจากอำนาจในการพิจารณาพิพากษา
คดีตามกฎหมายวิธีพิจารณาความ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่ให้สมารถจัดการกับ
ข้อความหมิ่นประมาทที่ปรากฏอยู่ในเอกสารหรือวัตถุใดๆ ได้นอกจากนี้ เมื่อเกิด
ความเสียหายขึ้นแล้ว ศาลมีอำนาจในการบรรเทาความเสียหายแก่ผู้ถูกใส่ความ
ได้อีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 332
มาตรา 332 ในคดีหมิ่นประมาทซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ศาลอาจสั่ง
(1) ให้ยึด และทำลายวัดถุหรือส่วนของวัตถุที่มีข้อความหมิ่นประมาท
(2) ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด หรือแต่บางส่วนในหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับ
หรือหลายฉบับ ครั้งเดียวหรือหลายครั้ง โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
คำพิพากษาฎีกาที่ 3/2542 ตามมาตรา 332 (2) บัญญัติว่า "ในคคีหมิ่น
ประมาทซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ศาลอาจสั่งให้โฆษณาคำพิพากษา
ทั้งหมด หรือแต่บางส่วนในหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับหรือหลายฉบับ ครั้งเดียวหรือ
หลายครั้ง โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา" เห็นได้ว่าให้อำนาจศาลสั่งให้
โฆษณาคำพิพากษาเท่านั้น มิได้มีกฎหมายให้อำนาจศาสสั่งให้โฆษณาคำขออภัย
ด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้จำเลยที่ 1 โฆษณาคำขออภัยต่อโจทก์ด้วย จึง
เป็นการลงโทษจำเลยที่ 1 นอกเหนือจากโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายต้องห้าม
ตามมาตรา 2 วรรดหนึ่ง จึงไม่ชอบ
-20-
การยอมความและการร้องทุกข์แทน
(มาตรา 333)
มาตรา 333 ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้
ถ้าผู้เสียหายในคความผิดฐานหมิ่นประมาทตายเสียก่อนร้องทุกข์
ให้บิดา มารดา คู่สมรสหรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย
คำอธิบาย
เนื่องจากความผิดฐานหมิ่นประมาทเป็นความผิดที่กระทำต่อบุคคลโดยตรง ดังนั้น
จึงอาจมีการยอมความกันได้ และหากผู้เสียหายถึงแก่ความตายเสียก่อนร้องทุกข์
มาตรา 333 วรรคสอง จึงให้อำนาจแก่บิดา มารดา คู่สมรสหรือบุตรของผู้เสียหายร้อง
ทุกข์แทนในฐานะเป็ นผู้เสียหายเองโดยตรง
ตัวอย่าง
นายจันทร์หมิ่นประมาทนายอังคารซึ่งเสียชีวิดไปแล้ว ทำให้นายพุธซึ่งเป็นบุตรชายโดย
ชอบด้วยกฎหมายของนายอังคารเสียหายและเป็นผู้เสียหายตามมาตรา 327
แต่ต่อมาปรากฏว่า นายพุธยังไม่ทันได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนก็มาเสียชีวิตลงเสีย
ก่อน นางพฤหัสซึ่งเป็นคู่สมรสโดยชอบตัวยกฎหมายของนายพุขมีอำนาจร้องทุกข์ต่อ
พนักงานสอบสวนและถือว่าเป็นผู้เสียหายกรณีหมิ่นประมาทนายอังคารผู้ตาย ตามความ
ในวรรคสองของมาตรา 333
บรรณานุกรม
หนังสือคำอธิบายกฎหมายอาญาภาคความผิดเล่ม2 ศาสตราจารย์
ดร.คณพล จันทร์หอม
เว็บไซต์: srisunglaw.com
จิตติ ติงศภิทิย์,กฎหมายอาญาภาค2 ตอน2 และภาค3,หน้ า451