The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทความการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน
การใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้
much many ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Bookcase's Puthipong, 2023-07-09 20:54:06

Scaffolding Learning

บทความการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน
การใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้
much many ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย

Keywords: Scaffolding

1 การใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้ much many ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย นายพุฒิพงศ์ แสงทอง1* , สุวรรณ มาศเมฆ2** Puthipong Sangthong, Suwan Masmek 1*นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต (สี่ปี) สาขาวิชาภาษาอังกฤษ วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 2**สุวรรณ มาศเมฆ อาจารย์ประจำคณะวิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร *Email: *[email protected] **[email protected] บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของร้านก เรียน เรื่อง การใช้ much many โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) 2) เพื่อหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริม ต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เรื่อง การใช้ much many 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ต่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) กลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย ที่เรียน รายวิชาภาษาอังกฤษ2 (อ21102) ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 41 คน คัดเลือกมา แบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการจัดการเรียนรู้ โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) 2) แบบทดสอบภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many และ 3)แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้คะแนนเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ คะแนนเฉลี่ยร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลของการใช้แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ การใช้ much many ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วัดได้จากผลสัมฤทธิ์แบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน พบว่านักเรียนมีคะแนนหลังเรียนมากกว่าก่อนเรียน ( = 81.95%)2. แผนการ จัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การใช้ much many ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ (E1/E2) 87.56/81.95 เป็นไปตามเกณฑ์คุณภาพ 80/80 ที่ผู้วิจัยได้กำหนดไว้3. นักเรียนมีความพึง พอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many ในระดับมากที่สุด (̅= 4.80) คำสำคัญ: การใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding), much many, การพัฒนาไวยกรณ์ภาษาอังกฤษ


2 Abstract Puthipong Sangthong 2023: USING SCAFFOLDING TEACHING TECHNIQUE TO DEVELOP THE USE OF MUCH AND MANY OF MATHAYOMSUKSA 1, NONTHABURI WITTAYALAI SCHOOL. Bachelor of Education (English) Research Advisor: Suwan Masmek, Ph.D. P.144 The purpose of this research was to study the learning achievement of students learned by using scaffolding teaching technique to develop the use of much and many of mathayomsuksa 1, Nonthaburi Witthayalai school, study the efficacy of using scaffolding teaching technique to develop the use of much and many of mathayomsuksa 1, Nonthaburi Witthayalai school, and study the students’ attitude after studying by using scaffolding teaching technique to improve the use of much and many. The sample used was 41 Mathayomsuksa 1/15 students of Nonthaburi Witthayalai school in the second semesterof academic year 2022 chosen by purposive sampling. The instruments were lesson plan by using scaffolding teaching technique, questions achievement test on using scaffolding teaching technique to develop the use of much and many and questionnaire for students’ satisfaction towards using scaffolding teaching technique to develop the use of much and many. Statistics used in data analysis were mean, standard deviation, and percentage. The findings of study were as follows: 1. The students had a very good level of English grammar ability after studying the use of much many (= 81.95) 2. The lesson plan on the use of much many was more effective than the specified criteria (E1/E2) 87.56/81.95 and 3. The satisfaction of the students towards the development of Englishgrammar ability about the use much many was at the highest level. (̅= 4.80) Keywords: Scaffolding Leaning, application, Much Many, Develop the grammar


3 บทนำ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และการสื่อสารภาษาอังกฤษมีบทบาทใน ชีวิตของผู้คนในทุกที่ในโลก รวมถึงอยู่ในระบบการศึกษาของหลายประเทศทั่วโลกเนื่องจากอิทธิพลที่ ภาษาอังกฤษมีต่อประเทศต่าง ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นหนึ่งใน วิธีการสื่อสารที่ใช้กันทั่วไปทั่วโลก ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษถือได้ว่าเป็นศาสตร์สำคัญศาสตร์ หนึ่ง เพราะภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางในการใช้สื่อสารในยุคปัจจุบัน ผู้เรียนจึงต้องมีองค์ความรู้และ สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ เพราะยุคศตวรรษที่ 21 เป็นโลกไร้พรมแดนองค์ความรู้ด้านต่างๆ ทั่วทุก มุมโลกต่างก็ได้รับการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ สำคัญต่อการติดต่อสื่อสาร เช่น ด้านการศึกษา ด้านการแสวงหาความรู้ด้านการประกอบอาชีพ ด้าน การสร้างความเข้าใจต่อประเพณีวัฒนธรรม ด้านการค้าขายและธุรกิจ และเมื่อมีความหลากหลาย และแตกต่างทางประเพณีวัฒนธรรม ย่อมตระหนักถึงการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และ ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางสากลของสังคมโลกเพื่อแสดงความเข้าใจต่อกัน (วรวรรธน์ศรียาภัย กรรณิการ์รักษาและ คนึงนิจ ศีลรักษ์. 2553: 36-50) และสำหรับการสื่อสาร หากใช้ภาษาสื่อกลาง เป็นภาษาอังกฤษ ได้ก็สามารถเข้าถึงโลกได้มากมายในปัจจุบัน สามารถเดินทางไปหลายประเทศใน โลกที่พูดภาษาอังกฤษได้ และจะสามารถสื่อสารได้อย่างคล่องตัว โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย จัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ให้แก่นักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 โดยเน้นพัฒนานักเรียนตามตัวชี้วัด ใน 4 สาระ ได้แก่ ภาษาเพื่อการสื่อสาร ภาษาและวัฒนธรรม ภาษากับการบูรณาการ และภาษาเพื่อ ชุมชนโลก แม้ว่าในปัจจุบันทางโรงเรียนมีการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีทางเลือกในรูปแบบที่ หลากหลายโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และเพื่อตอบสนอง ตามมาตรฐานสากล แต่ปัญหาในภาพรวมของคะแนน O-Net ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ใน 3 ปีย้อนหลัง (2560-2562) พบว่ายังต้องปรับปรุงวิชาภาษาอังกฤษที่เรียน (ค่าเฉลี่ยร้อยละต่ำกว่า 50) และจากการ ที่ผู้วิจัยได้ จัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 15 โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 เป็นต้นมา โดยเฉพาะเรื่อง much many พบว่า มีนักเรียนที่ ได้คะแนนทดสอบไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน จำนวน 29 คน แสดงให้เห็นว่ายังมีนักเรียนบางกลุ่มที่ยัง มีปัญหาการเรียนรู้ในเรื่อง much many การสอนแบบเสริมต่อการ เรี ยนรู ้ (Scaffolding) มาจากแนวคิดของไวก็ อต ส กี้ (Lev Semyonovich Vygotsky) เรื่องพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ และการเสริมต่อการเรียนรู้ ซึ่งอธิบาย เกี่ยวกับทฤษฎีทางสังคมวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้และพัฒนาการ การนำวิธีการ สอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ มาใช้ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของผู้เรียน จะ เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของผู้เรียน เรื่อง much many เนื่องจาก การสอนแบบเสริม


4 ต่อการเรียนรู้ มี 3 ขั้นตอนได้แก่ 1) การเลือกรูปแบบ ขั้นตอนการเลือกรูปแบบเป็นการสร้างความ สนใจเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสนใจที่จะเรียนรู้ด้วยความสมัครใจ อาจใช้วิธีการสาธิต การปฏิบัติ หรือทำให้ดู การบรรยาย การยกตัวอย่าง การใช้กรณีศึกษา การให้ดูภาพเป้าหมายที่ต้องการไปถึง การพูดจาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจว่าผู้เรียนสามาถทำได้ การใช้คำถามกระตุ้นเตือน ใช้เทคโนโลยี ภาพเคลื่อนไหวและเสียง ให้ผู้เรียนสังเกตและวิเคราะห์ เป็นต้น ผู้สอนเป็นผู้เลือกเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่ เห็นว่าเหมาะสมกับระดับการเรียนรู้ของผู้เรียน 2) การแยกย่อย เป็นการแตกย่อยกิจกรรมให้เป็นงาน ย่อย ๆ เพื่อแจกแจงงานให้เป็นขั้นตอนไม่ซับซ้อน ลดขนาดของงานลงจากงานที่มีลักษณะง่ายไปหา ยาก เสมือนกับว่าผู้สอนเป็นผู้สร้างจุด (dots) หรือผู้ที่คอยให้การช่วยเหลือ และผู้เรียนเป็นผู้เชื่อมจุด (connecting the dots) ผ่านการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนสามารถ ปฏิบัติงานที่ผู้เรียนไม่สามารถทำให้สำเร็จด้วยตนเอง โดยการช่วยเหลือจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงและ ลดลง ในขณะที่ผู้เรียนจะค่อย ๆ เพิ่มความสามารถในการปฏิบัติงานด้วยตนเองมากขึ้น 3) การ เสริมแรง หรือการให้ข้อมูลป้อนกลับการให้ข้อคิดเห็น การวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน การวิจารณ์แบบ สร้างสรรค์ การให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเป็นการรักษาความสนใจของผู้เรียน ให้คงอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยสร้างเมื่อผู้เรียนทำสำเร็จจะได้คำชื่นชมและกำลังใจ จากปัญหาที่ผู้เรียนไม่สามารถจำแนกและนำ much many ไปใช้ในประโยคได้อย่างถูกต้อง ผู้วิจัยได้วิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาดังกล่าวและพบว่าเกิดจากสาเหตุ 3 ประการ 1. ผู้สอนขาด ประสบการณ์การใช้เทคนิคการสอน 2. ผู้เรียนขาดประสบ การณ์การใช้ much many ใน ชีวิตประจำวันและไม่ค่อยได้พบตัวอย่างการใช้ในชีวิตประจำวันหรือห้องเรียน 3. นักเรียนขาดความ สนใจในกิจกรรมหรือวิธีการเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดขึ้น และผู้วิจัยได้เห็นความสำคัญของปัญหา เหล่านี้จึงได้นำการสอนแบบ การสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) มาใช้ในการจัดการ เรียนรู้เพื่อแก้ไขตั้งแต่สาเหตุของปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียน เรื่อง การใช้ much many โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) 2) เพื่อหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการ เรียนรู้ (Scaffolding) 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอน แบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding)


5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1) ครูผู้สอนภาษาอังกฤษระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย มีแนวทางใน การนำเทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ไปประยุกต์ใช้ในการสอนสาระวิชา ภาษาอังกฤษเรื่องอื่นๆ 2) โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย มีแนวทางในการนำเทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนทุก ระดับชั้นของโรงเรียน 3) โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี และสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐานมีแนวทางในการนำเทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนให้แก่ ครูผู้สอน และโรงเรียนในสังกัด การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องและกรอบแนวคิดการวิจัย ผู้วิจัยแบ่งการทบทวนออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ความรู้เรื่อง การใช้ Much Manny การสอน ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ความรู้ภาษาอังกฤษ เรื่อง much many much, many มีความหมายเหมือนกันว่า จำนวนมาก หรือ มีปริมาณมาก แต่ทั้ง 2 คำนี้ มี วิธีการใช้ที่ต่างกัน สามารถแบ่งการใช้ออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1. much และ many: มักจะใช้ในประโยคที่มีความหมายในเชิงลบหรือประโยคปฏิเสธ หรือใน ประโยคคำถามก็ได้ much = ปริมาณมากใช้คู่กับคำนามนับไม่ได้ (uncountable noun) เสมอ much + uncountable noun (นามนับไม่ได้) How much garbage is there in the room? มีขยะในห้องมากแค่ไหน We do not need that much meat for this meal. เราไม่ได้ต้องการเนื้อมากขนาดนั้นสำหรับมื้อนี้ There’s not much time left before the deadline. ไม่มีเวลาเหลือมากนักก่อน deadline I have not made much effort. ฉันไม่ได้พยายามมากนัก


6 2. many = จำนวนมากใช้คู่กับนามนับได้ที่เป็นพหูพจน์ (plural countable nouns) เสมอ many + plural countable nouns (นามนับได้ที่เป็นพหูพจน์) How many candidates have achieved band 7.0? ผู้สอบกี่คนได้ Band 7.0 Are there many workers at the office today? มีพนักงานที่ออฟฟิศวันนี้จำนวนมากไหม Not many people support this policy. มีคนจำนวนไม่มากที่สนับสนุนนโยบายนี้ There were not many lecturers at the seminar this morning. มีอาจารย์จำนวนไม่มากนักที่งานสัมมนาเช้านี้ 3. much และ many สามารถใช้กับประโยคที่เป็นประโยคบอกเล่าได้เช่นกัน แต่จะใช้ในภาษา ที่เป็นทางการหรือภาษาเขียนมากกว่า ไม่เป็นที่นิยมใช้ในภาษาพูด ส่วนใหญ่มักจะพบในหนังสือ ราชการ, เอกสารทางกฎหมาย, หรือบทความทางวิชาการ *** ข้อควรจำ *** ส่วนมากเราจะไม่ใช้ much และ many ในประโยคบอกเล่า ยกเว้นแต่เราจะใช้ much และ many คู่กับคำอื่นๆเหล่านี้ในประโยคบอกเล่า จะถือว่าใช้ได้ เช่น so + much/many: I love you so much. ฉันรักเธอมากนะ She has so many friends. เธอมีเพื่อนเยอะมาก much/many + of: She spent much of her life in foreign country. เธอใช้เวลาในชีวิตของ เธ อส่ วนให ญ ่ ใ น ต่างประเทศ Many of us were angry about it. พวกเราส่วนใหญ่โมโหกับมันมาก how + much/many: I want to tell you how much I love you. ฉันอยากจะบอกคุณว่าฉันรักคุณมากแค่ไหน


7 how + much/many: Jay knows how many places I like to go. เจย์รู้ว่าที่ๆฉันชอบไปมีทั้งหมดกี่ที่ too + much/many: There are too many cars here. ที่นี่มีรถมากเกินไป I have too much work to finish today. ฉันมีงานมากเกินไปที่จะ ต้องทำให้เสร็จภายในวันนี้ การสอนโครงสร้างไวยากรณ์ ปัญจพร ธนาวชิรานันท์และวิลาสินี พลอยเลื่อมแสง (2561) เสนอขั้นตอนดังต่อไปนี้ ขั้นตอนที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (Presentation) เป็นขั้นตอนนำเข้าสู่บทเรียนด้าน ไวยากรณ์ต้องนำเสนอด้วยการใช้สื่อ การสาธิต เพลง วิดีทัศน์หรือสถานการณ์ที่ผู้สอนกำหนด ในขั้นนี้ ผู้สอนให้ผู้เรียนเชื่อมโยงความรูใหม่กับความรู้เดิมและสรุปเป็นกฎเกณฑ์ ผู้สอนนำเข้าสู่เนื้อหา ในขั้น เริ่มแรกผู้สอนเสนอบริบทหรือสถานการณ์แก่ผู้เรียนก่อนโดยใช้รูปภาพ การเล่าเรื่อง เป็นต้น จากนั้น ผู้สอนจึงสอดแทรกเนื้อหาที่มีบริบทหรือสถานการณ์ของไวยากรณ์นั้นอยู่ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องราวหรือบท สนทนาและเนื้อหาที่มีคำศัพท์หรือรูปแบบภาษาที่ผู้เรียนเคยเรียนรู้มา เพื่อช่วยให้เข้าใจเรื่องราวที่ฟ้ง หรืออ่านได้ จากนั้นผู้สอนจะกระตุ้นการเรียนรู้โดยสังเกตว่าผู้เรียนเข้าใจเรื่องที่ฟ้งหรืออ่านเพียงใด เช่น ถามคำถามให้ตอบหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนพูด ตอบคำถาม หรือสามารถใช้ภาษาได้ และในการสอน ผู้สอนต้องอธิบายและแสดงให้ผู้เรียนเห็นว่าเนื้อหาภาษานั้นมีรูปแบบ วิธีการใช้และมีความหมาย อย่างไร และใช้ภาษาแม่ในการอธิบาย ซึ่งกิจกรรมในขั้นตอนนี้ช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการ เรียนรู้ภาษาต่างประเทศพัฒนาความรู้และหัวข้อที่น่าสนใจที่ผู้เรียนกำลังศึกษาอยู่ เพื่อช่วยให้ผู้เรียน นึกถึง สิ่งที่เรียนไปแล้วและสอนสิ่งใหม่เพิ่มเดิมซึ่งในขั้นตอนนี้เป็นขั้นระดมความคิด (Brainstorming) ขั้นตอนที่ 2 ขั้นสอน (Explanation) ผู้สอนจะเน้นสอนเรื่องส่วนประกอบของ ไวยากรณ์ ทั้งด้านคำศัพท์ การแปลความหมาย การออกเลียง รูปแบบ และหน้าที่ หรือกฎเกณฑ์ ข้อยกเว้นต่าง ๆ ในบางชั้นเรียนครูต้องอธิบายและแปล หรือทำให้เห็นภาพรวมอธิบายโดยใช้ภาษา แม่ของผู้เรียน การสอนในขั้นนี้มีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนจำรูปแบบของไวยากรณ์ได้ จึงเน้นความถูกต้อง ของไวยากรณ์เป็นหลัก แต่ก็มีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย และ วิธีการใช้รูปแบบภาษานั้น ๆ ด้วย ในขณะที่ผู้เรียนฝึก ผู้สอนต้องให้ข้อมูลป้อนกลับด้วย เช่น สอน คำศัพท์ สอนโครงสร้างโดยอธิบายกฎไวยากรณ์และข้อยกเว้นต่าง ๆ ให้ผู้เรียน ทราบ พร้อมทั้ง


8 ยกตัวอย่างประกอบแล้วให้ผู้เรียนฝึกใช้กฎไวยากรณ์หรือฝึกทำแบบฝึกหัดที่เรียนนั้นในการสร้าง ประโยคต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เรียนไป แล้วให้ฝึกการเขียนประโยคเป็นภาษาของ ตนเองตามที่ครูสอน ผู้เรียนมีความตั้งใจใน การทำความเข้าใจกับเนื้อหาดี ขั้นตอนที่ 3 ขั้นฝึกฝน (Practice) ขั้นการฝึกเป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนฝึกใช้ภาษาที่เพิ่ง เรียนรู้เรื่องใหม่หรือดำเนินเรื่องต่อจากครั้งก่อนในลักษณะของการฝึกแบบควบคุม โดยมีผู้สอนเป็น ผู้นำในการฝึก โดยทั่วไปการฝึกในขั้นนี้มีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนจดจำรูปแบบของภาษาได้ จึงเน้นความ ถูกต้องของภาษาเป็นหลัก แต่มีจุดมุ่งหมายให้นักเรียนได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย และ วิธีการใช้รูปแบบภาษานั้น ๆ ด้วยเช่นกันการฝึกแบบควบคุมนี้ในขั้นเริ่มแรกมักใช้วิธีการฝึกแบบซํ้า ๆ คือ ให้นักเรียนฝึกตามตัวอย่างซํ้า ๆ จนสามารถจดจำและใช้รูปแบบภาษานั้น ๆ ได้ ดังนั้นในการฝึก แบบนี้นักเรียนจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจความหมายและรูปแบบของภาษาที่ใช้ในการฝึกได้ ในการฝึกขั้นนี้ ให้ผู้เรียนนำภาษาที่เรียนไปใช้ด้วยตนเองในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างอิสระได้ตรวจสอบสิ่งที่ตนเอง เรียนรู้และได้รู้ปัญหาของตนเอง เช่น ฝึกทำแบบฝึกหัดเพิ่มเดิม ฝึกเขียนประโยคหรือเรื่องราวโดยเน้น การใช้ไวยากรณ์ให้ถูกต้องสมบูรณ์เป็นหลัก การฝึกสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนโดยให้นักเรียน เปลี่ยนเป็นเรื่องราวของตนเอง ผู้เรียนมีการฝึกฝนทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น ขั้นตอนที่ 4 ขั้นนำไปใช้ (Production) การนำภาษาอังกฤษไปใช้เพื่อการสื่อสารทั้ง ด้านการฟ้ง การพูดการอ่าน และการเขียนจัดเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะการฝึกใช้ภาษา เปรียบเสมือนตัวกลางที่ใช้เชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับการนำภาษาไปใช้จริงทั้งในชั้น เรียนและนอกชั้นเรียน การฝึกใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารทั่วไปจึงมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ ภาษาได้คล่องแคล่วในสถานการณ์จริง โดยผู้สอนเป็นผู้แนะนำ ผู้เรียนสามารถนำความรู้ทางภาษาที่ เคยเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มความสามารถ และสามารถช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้ ภาษาในการสื่อสารให้แก่ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ขั้นตอนการสอนที่เน้นวิธีการจัดการเรียนการ สอนแบบการเขียนไวยากรณ์นั้นเริ่มที่การนำเข้าสู่บทเรียนโดยผู้สอนเป็นผู้กระตุ้นและช่วยให้ผู้เรียนมี ความพร้อมในการเรียนและช่วยให้ผู้เรียนนำสิ่งที่ได้เรียนไปแล้วออกมาใช้ สามารถช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ ในกระบวนการเรียนรู้ขั้นตอนการนำไปใช้ทำให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง โดยนำโครงสร้างไวยากรณ์ไป ปฏิบัติในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้สอนกำหนดให้ในขั้นสุดท้าย คือ ขั้นที่ผู้เรียนได้ใช้ภาษาอย่างอิสระและ สามารถสร้างประโยคหรือข้อความขึ้นมาเองได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งสถานการณ์จะคล้ายคลึงกับการ ฝึกเพียงแต่นักเรียนจะได้ใช้กับสถานการณ์จริง ๆ มากขึ้น เช่น การให้ผู้เรียนคิดบทสนทนาเกี่ยวกับ เรื่องที่ผู้เรียนได้เรียนมาแล้วแสดงบทบาทสมมติให้เพื่อนดู หรือผู้เรียนสามารถพูดหน้าชั้นเรียนได้ อย่างถูกต้องการเขียนเรียงความได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เป็นต้น ผู้เรียนสามารถนำภาษาอังกฤษ ไปใช้ได้อย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์และมีความมั่นใจยิ่งขึ้น


9 ขั้นตอนที่ 5 ขั้นทดสอบ (Test) เป็นการประเมินผลการเรียนโดยให้ผู้เรียนทำ การบ้าน โดยการทำแบบฝึกหัดเพิ่มเดิม หรือให้ท่องจำคำศัพท์และสามารถนำไปแต่งประโยค หรือการ เขียน ข้อความภาษาต่างประเทศให้เป็นภาษาของตนเอง หรือการเขียนภาษาของตนเองเป็น ภาษาต่างประเทศที่เรียน เป็นต้น หรือการให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใน แต่ละหน่วยการเรียน เป็นการตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับในสิ่งที่เรียนไปแล้ว เพื่อให้ทราบว่าผู้เรียน พัฒนาขั้นมากน้อยเพียงใด ครูจะมีวิซีการปรับปรุงการสอนอย่างไรต่อไป การทดสอบเป็นการแสดงให้ เห็นถึงระดับความเข้าใจของผู้เรียนว่า ผู้เรียนมีความสามารถในการใช้ภาษาเพียงใด จุดประสงค์หลัก ของการสอบ คือ การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แก่ผู้เรียนในสิ่งที่เรียนไปแล้วและขณะเดียวกัน การทดสอบทำให้ครูเข้าใจว่าจะเพิ่มเดิมเนื้อหาอะไรหรือปรับปรุงอะไร เมื่อผู้เรียนรู้พัฒนาการของ ตนเองแล้วสามารถหาความรู้เพิ่มเดิมและปรับปรุงตนเองได้ เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) การเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ถูกใช้เป็นตัวช่วยเพื่อเสริมสร้างการพัฒนาการเรียนรู้ ของนักเรียนให้สูงขึ้นได้ ในวงการศึกษาการเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) สามารถเกิดขึ้นได้โดย นำไปใช้ในการเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านความสามารถในชั้นเรียน การที่ครูให้คำแนะนำ หรือสร้าง แรงจูงใจ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้สำเร็จลงได้ด้วยตนเอง หรือในสถานการณ์ที่ อาจมีการกำหนดเหตุการณ์หรืองานที่ไม่คุ้นเคยหรือที่เกินกว่าความสามารถของผู้เรียนขึ้นมา มีเหตุผล คือเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียน ซึ่งต้องมีการให้ความช่วยเหลือ (scaffolding) ให้นักเรียนสามารถ ผ่านอุปสรรคในเหตุการณ์หรือชิ้นงานนั้นไปได้ โดยเริ่มจากการที่ผู้เรียนจะกระทำสิ่งนั้นในบางส่วนที่ ความสามารถของเขาจะกระทำได้ ต่อจากนั้นครูหรือผู้ที่มีความสามารถมากกว่านักเรียนจะช่วยเติม (fill) หรือช่วยเหลือเสริมต่อ(scaffold) ให้นักเรียนทำในส่วนที่เหลือซึ่งเกินกว่าความสามารถของเขาที่ จะท่าได้โดยปราศจากการช่วยเหลือของผู้อื่นให้สำเร็จ หลักการของการเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) การเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ใช้หลักการที่ว่า ผู้ที่มีศักยภาพสูงกว่าจะเป็นผู้ให้การ ช่วยเหลือเสริมต่อการเรียนรู้กับผู้ที่มีศักยภาพต่ำกว่า การเสริมต่อการเรียนรู้นี้จะค่อย ๆ ลดลงในขณะ ที่การพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นและสุดท้ายการเสริมต่อการเรียนรู้ จะยุติลงเมื่อ นักเรียนสามารถกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองโดยปราศจากคำแนะนำ ซึ่งเป็นไปตามหลักทฤษฎีของ Bruner ที่กล่าวถึง หลักสูตรเกลียวสว่าน(spiral curriculum) ที่ว่ามนุษย์เราไม่ว่าวัยใด ๆ สามารถ เรียนรู้เรื่องใดก็ได้ทุกเรื่องถ้าเรื่องราวเหล่านั้นได้รับการจัดลำดับอย่างค่อยเป็นค่อยไปไต่ระระดับจาก ง่ายไปยากคล้ายกับเกลียวสว่าน และทฤษฎีของ Vygotsky เกี่ยวกับรอยต่อแห่งพัฒนาการ (zone of proximal development) ที่กล่าวถึงบริเวณของพัฒนาการในระดับสูงขึ้นที่คนๆ หนึ่งมีศักยภาพที่ จะก้าวไปสู่จุดนั้นได้แต่ต้องมีผู้ที่มีศักยภาพสูงกว่าให้ความช่วยเหลือผลักดันให้ขึ้นไป


10 ระดับของการจัดการเรียนรู้ โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) การจัดการเรียนการสอนแบบเทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) จัดตามทฤษฎี Zone of Proximal Development (ZPD) 3 ระดับ คือ 1) ขั้นที่หนึ่งที่นักเรียนยังไม่สามารถทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ด้วยตนเอง อย่างง่ายๆ โดยอิสระหรือจากความสามารถของตนเองอยู่แล้ว 2) ขั้นที่สอง นักเรียนสามารถทำได้สิ่งหนึ่งสิ่งนั้นได้มากขึ้นได้ แต่ยังต้องให้ความ ช่วยเหลือจากผู้สอน หรือจากเพื่อนๆ หรือผู้ที่มีศักยภาพมากกว่าโดยผ่านการปฏิสัมพันธ์กัน เพื่อช่วย นักเรียนให้เรียนรู้หรือแก้ปัญหาหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ ซึ่งผู้เรียนไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ซึ่งถือว่า เป็นระดับการเรียนรู้ในแนวราบ 3) ขั้นตอนสุดท้าย ผู้เรียนมีความพยายามหาความรู้ขั้นสูงขึ้นด้วยตนเอง ทำได้ด้วย ตนเองโดยปราศจากการช่วยเหลือ หรือให้คำแนะนำจากผู้ที่มีศักยภาพสูงกว่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับการ เรียนรู้ในแนวดิ่ง และการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding)จะจบลงเมื่อนักเรียนสามารถทำ สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ขั้นตอนการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ขั้นตอนการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) มี 3 ขั้นตอนได้แก่ 1) การเลือก รูปแบบ (model) 2) การแยกย่อย (breakdown) และ 3) การให้ข้อมูลป้อนกลับ หรือการให้กำลังใจ (encourage) ในขั้นตอนการเลือกรูปแบบ เป็นขั้นตอนที่มีการสร้างความสนใจเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนมี ความสนใจที่จะเรียนรู้ด้วยความสมัครใจ อาจใช้วิธีการสาธิต การปฏิบัติหรือทำให้ดู การบรรยาย การ ยกตัวอย่าง การใช้กรณีศึกษา การใช้เทคโนโลยีภาพเคลื่อนไหวและเสียง ให้ผู้เรียนสังเกตและ วิเคราะห์ เป็นต้น ครูผู้สอนเป็นผู้เลือกเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมกับระดับการเรียนรู้ของ นักเรียน ขั้นตอนการแยกย่อย เป็นขั้นตอนที่เป็นการแจกแจงงานให้เป็นขั้นตอนไม่ซับซ้อน สร้าง ชิ้นงานที่มีลักษณะง่ายไปหายาก เสมือนกับว่าผู้สอนเป็นผู้สร้างจุด (dots) หรือก็คือผู้ที่คอยให้การ ช่วยเหลือ และผู้เรียนเป็นผู้เชื่อมจุด (connecting the dots) ผ่านการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมี เป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานที่ผู้เรียนไม่สามารถทำให้สำเร็จด้วยตนเอง โดยการ ช่วยเหลือจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงและลดลง ในขณะที่ผู้เรียนจะค่อย ๆ เพิ่มความสามารถในการ ปฏิบัติงานด้วยตนเองมากขึ้น จูเลียร์ วอนนา (Yulia Vonna) จากผลการวิจัยสามารถสรุปได้ว่าการใช้เทคนิคการสอนแบบ เสริมต่อการเรียนรู้ช่วยปรับปรุงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในการเขียนนักเรียนที่สอนโดยใช้ เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ทำคะแนนในการเขียนได้ดีกว่านักเรียนที่สอนโดยไม่ใช้เทคนิค


11 การสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ เพราะจากผลการวิเคราะห์ การนำเทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการ เรียนรู้ไปปฏิบัติในกลุ่มทดลองสามารถเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการเขียนของนักเรียนเมื่อเทียบ กับกลุ่มควบคุม จากการวิจัย นักเรียนไม่สามารถแสดงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่น่าพอใจในแง่ของ ความสำเร็จในการเขียนเพราะขาดประสบการณ์ ขาดความรู้ และขาดความมั่นใจ ดังนั้นครูควรสร้าง สภาพแวดล้อมที่สามารถสนับสนุนและส่งเสริมนักเรียนในระหว่างกระบวนการสอนและการเรียนรู้ และครูควรสร้างสภาพแวดล้อมที่นักเรียนสามารถมีส่วนร่วมในปฏิสัมพันธ์ทางสังคมด้วยเช่นกัน เพื่อ สร้างความมั่นใจและเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็นที่สร้างองค์ความรู้เพื่อสร้างงานเขียนของตนเอง อาฟีฟา คนัม(Afifa Khanam, 2018) ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนที่ได้รับการสนับสนุนด้วยคำแนะนำการเสริมต่อการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมื่อเทียบ กับผู้ที่สอนด้วยวิธีบรรยาย/อภิปรายแบบเดิม ๆ นักศึกษาในการวิจัยได้รับแนวคิดที่ถูกต้องและแม่นยำ โดยมีการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร การเลือก วิธีการวิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่แสดงความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับแนวคิดที่ซับซ้อนผ่าน การสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ กลุ่มทดลองมีคะแนนสูงขึ้นซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเสริมต่อการเรียนรู้ สามารถประยุกต์ใช้ในระดับอุดมศึกษาได้อย่างมีประสิทธิผลในการสอนวิชาที่ซับซ้อน คำแนะที่เสริม ต่อการเรียนรู้ช่วยให้นักเรียนทุกระดับอายุและระดับการศึกษาสามารถใช้ความรู้และทักษะใหม่ใน สถานการณ์จริงได้ ช่วงของโครงสร้างองค์ความรู้อาจถูกปรับให้เข้ากับวิชาต่างๆ และอาจเป็น เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาจารย์มหาวิทยาลัยในการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ที่เป็นผู้ใหญ่ ขอบเขตของการวิจัย 1.ด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย สังกัดองค์การ บริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี ปีการศึกษา 2565 จำนวนทั้งสิ้น 595 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 15 โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี ปีการศึกษา 2565 จำนวน 41 คน คัดเลือกมาแบบเจาะจง (purposive sampling) 2. ด้านเนื้อหา สาระการเรียนรู้ที่ใช้ในการวิจัย คือ การใช้ much many ตาม หลักสูตรกลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องการใช้ much many จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักการสอนไวยากรณ์และแนวการสอนภาษาเพื่อการ สื่อสาร (2W3P) โดยมีเครื่องมือวิจัยที่ใช้ 3 รายการ คือ แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้


12 เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เรื่อง การใช้ much many แบบทดสอบก่อน เรียนและหลังเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ การใช้ much many และแบบประเมินความพึงพอใจ ของนักเรียน โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) 3. ด้านตัวแปร 3.1 ตัวแปรต้น 3.1.1. การใช้แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริม ต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เรื่อง การใช้ much many 3.2 ตัวแปรตาม 3.2.1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียน เรื่อง การใช้ much many โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) 3.2.2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการ สอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) 4) ด้านระยะเวลา การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 2565 ถึง เดือนธันวาคม 2565 กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง much many ที่ใช้เทคนิคการสอน แบบเสริมต่อการเรียนรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของ นักเรียน เรื่อง การใช้ much many ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน ภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many ด้วยเทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการ เรียนรู้ (Scaffolding) ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอน แบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding)


13 รูปแบบการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom action research) โดย นำหลักการและชั้นตอน PAOR (Plan, Act, Observe, Reflect) ตามแนวคิดของเคมมิสและแม็ค แท็กการ์ด (Kemmis and McTaggart, 1988) มาประยุกต์ใช้ มีชั้นตอนการดำเนินการวิจัย ดังแสดง ในภาพที่ 3.1 ภาพที่ 3.1 แผนภาพ PAOR ตามแนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติการของ เคมมิสและแม็คแท็กการ์ด (Kemmis and McTaggart, 1988) จากแผนภาพ PAOR ข้างต้น ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยเป็น 4 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นวางแผน (Plan) ผู้วิจัยดำเนินการ 1) สำรวจปัญหาด้านการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/15 โรงเรียน นทบุรีวิทยาลัย จังหวัดนนทบุรี และวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น 2) ศึกษาเอกสาร ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ ชัดเจน จากนั้นค้นหาแนวทางหรือจุดที่ต้องปรับปรุงเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาด้านการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ที่ กำลังเกิดขึ้นตามข้อ 1) ให้ดียิ่งขึ้น 3) ดำเนินการสร้างเครื่องมือและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและเครื่องมือที่ ใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการ เรียนรู้ (Scaffolding) เรื่อง การใช้ much many จำนวน 4 แผน แผนละ 1 คาบ (50 นาที) 3.2 แบบทดสอบก่อนและหลังเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many เป็นแบบ ปรนัยชนิดเลือกตอบ จำนวน 20 ข้อ


14 3.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding)แบบสอบถามที่มี รายการคำถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ มี 10 รายการคำถาม และ คำถามปลายเปิด 1 คำถาม จำนวน 1 ฉบับ ขั้นที่ 2 ขั้นปฏิบัติการ (Act) ผู้วิจัยดำเนินการ 1) ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัยแก่นักเรียนกลุ่มตัวอย่างก่อนเรียน 2) ทดสอบนักเรียนกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบก่อนเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many 3) จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การใช้ much many ที่ใช้ เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ทั้งหมด 3 คาบ 4) ตรวจสอบและเก็บรวบรวมคะแนน/ผลการเรียนระหว่างเรียนของนักเรียนกลุ่ม ตัวอย่าง ขณะเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many ด้วยแบบฝึกทักษะและกิจกรรมในที่ได้กำหนดไว้ ในแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เรื่อง การใช้ much many ขั้นที่ 3 ขั้นสังเกตการณ์ (Observe)ผู้วิจัยตรวจสอบผลหลังจากพัฒนานักเรียนกลุ่ม ตัวอย่าง ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การใช้ much many ที่ใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ทั้ง 4 แผน และตรวจสอบผลที่ได้จากการใช้เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยว่านักเรียนกลุ่ม ตัวอย่างมีพัฒนาการ เรื่อง การใช้ much many อย่างไรบ้าง การดำเนินการในขั้นตอนนี้มีดังนี้ 1) ทดสอบนักเรียนกลุ่มตัวอย่างหลังจากเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดย การใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เรื่อง การใช้ much many ทั้งหมด 3 คาบเสร็จสิ้นแล้วโดยใช้แบบทดสอบหลังเรียน ภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many 2) สอบถามความพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการการเรียน ภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) โดยใช้ แบบสอบถามความพึงพอใจฯ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ขั้นที่ 4 ขั้นสะท้อนผลการปฏิบัติ (Reflect)ผู้วิจัยวิเคราะห์และสรุปผลข้อมูลที่ได้จาก ขั้นที่ 2 และ 3 ได้แก่ 1) ผลการทดสอบนักเรียนกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน ภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many 2) คะแนน/ผลการเรียนระหว่างเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างขณะเรียน ภาษาอังกฤษตาม กิจกรรม/ภาระงานที่ได้กำหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอน แบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding)


15 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) 4) ข้อมูลการทดสอบสมมติฐานว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การ ใช้ much many หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเป็นไปตามที่ผู้วิจัยตั้ง ไว้หรือไม่อย่างไร จากนั้นสรุปผลการวิจัย และอภิปรายผลการวิจัยที่ได้จากการแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษของนักเรียน เรื่อง การใช้ much many ด้วยวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนครั้งนี้ พร้อมทั้งระบุปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะการทำวิจัยเพื่อแก้ไข ปัญหาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ครั้งนี้ และเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนครั้งต่อ ๆ ไป ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย สังกัดองค์การ บริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี ปีการศึกษา 2565 จำนวนทั้งสิ้น 595 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 15 โรงเรียนนนทบุรีวิทยาลัย สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี ปีการศึกษา 2565 จำนวน 41 คน คัดเลือกมาแบบเจาะจง (purposive sampling) ระยะเวลาในการทำวิจัย การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ระยะเวลาทำการวิจัย ระหว่าง เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 - เดือนมกราคม พ.ศ. 2566 1. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการ วิจัยและ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล รายละเอียดดังนี้ 1.1 เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ 1.1.1 แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการ เรียนรู้ (Scaffolding) เรื่อง การใช้ much many จำนวน 4 แผน แผนละ 1 คาบ รวมเวลา ทั้งสิ้น 4 คาบ 1.2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1.2.1 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many 1.2.2 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การ ใช้ much many โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding)


16 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ 1.2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการ เรียนรู้ (Scaffolding) รายละเอียดการดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ศึกษาหลักการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 การวางแผนและการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้/แผนการใช้นวัตกรรม/สื่อการ เรียนรู้ ศึกษาแนวคิดทฤษฎี หลักการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร และ การสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ 2. ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด ระดับขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในมาตรฐานการเรียนรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ เรื่อง การใช้ much many 3. จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การใช้ much many สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 แผน แผนละ 50 นาที รวม 4 คาบ เน้นใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อ การเรียนรู้ (Scaffolding)ตามขั้นตอนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการลื่อสาร (3Ps: Presentation, Practice, and Production) 4. นำแผนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ทั้ง 4 แผน ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่านลงคะแนนเพื่อแสดงหลักฐาน ความตรงตามเนื้อหา (Content validity) แล้วนำคะแนน ที่ได้จากลงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน หาค่าความสอดคล้องระหว่าง 4.1 วัตถุประสงค์การเรียนรู้กับสาระการเรียนรู้ 4.2 เนื้อหา (สาระ)/นวัตกรรม/ลื่อการเรียนรู้/กิจกรรม/แบบฝึกหัดที่ใช้ในการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้กับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ 4.3 ความสอดคล้องของกิจกรรมการเรียนรู้กับวัตถุประสงค์และเนื้อหา (สาระ) 4.4 กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความรู้ความเข้าใจในการใช้much many 4.5 ความเหมาะสมของวัสดุ อุปกรณ์ สื่อการเรียนรู้ กิจกรรม และ/หรือ แบบฝึกหัด กับเนื้อหา (สาระ) 4.6 วิธีการวัด/ประเมินความรู้ความเข้าใจในการใช้much many ให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ 5. ปรับปรุงแก้ไข ทำการปรับปรุงแก้ไขข้อคำถามตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญโดย นำผลการพิจารณาแผนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding)ของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์เพื่อหาความตรงตาม เนื้อหาโดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of congruence หรือ IOC) คือ ความเห็นในช่องเห็น ด้วย(+1) ไม่แน่ใจ (0) และไม่เห็นด้วย


17 (-1) ตามวิธีของโรวิเนลล์ และแฮมเบิลตัน(บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์, 2545) คัดเลือกเก็บไว้สำหรับ รายการที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขั้นไป ถือว่ารายการนั้น ๆ สามารถจัด/ดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ ที่กำหนด สำหรับรายการที่มีค่า IOC น้อยกว่า 0.5 นั้น ผู้วิจัยจะปรับปรุงแก้ไข โดยการใช้เทคนิคการ สอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ให้มีความตรงตามเนื้อหาและความถูกต้อง เหมาะสมตาม ข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง 6. จัดพิมพ์เป็นแผนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ฉบับสมบูรณ์เพื่อนำไปใช้กับกลุ่ม ตัวอย่างต่อไป 1.2.2 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many จำนวน 20 ข้อ มีรายละเอียดการดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ศึกษาเอกสารหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธคักราช 2551 คู่มือการวัดผล และ ประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ วิชาภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลักสูตร กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ วิชาภาษาอังกฤษ การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร เทคนิค การเขียนข้อสอบ และการสร้างแบบทดสอบ วิธีการสร้างแบบทดสอบปรนัยแบบเติมคำ 2. วิเคราะห์สาระการเรียนรู้และจุดประสงค์การเรียนไวยากรณ์ เรื่อง การใช้ much many เพื่อแบ่งเนื้อหาออกเป็นเนื้อหาย่อย ๆ แล้วเขียนจุดประสงค์ การเรียนรู้ 3. จัดทำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many เป็น แบบปรนัย จำนวน 20 ข้อ ให้ครอบคลุมสาระการเรียนรู้ 4. วิพากษ์และปรับแก้ข้อคำถามกับอาจารย์ผู้ควบคุมงานวิจัย 5. ตรวจสอบคุณภาพแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนฯ โดยผู้เชี่ยวชาญ นำข้อคำถามใน แบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขั้นไปตรวจสอบคุณภาพกับผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่านที่เป็นชุดเดียวกันกับ ชุดที่ตรวจสอบแผนการจัดการเรียนรู้ลงคะแนนเพื่อแสดงหลักฐานความตรงตามเนื้อหา แล้วนำ คะแนนที่ได้จากลงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน หาค่าความสอดคล้องระหว่างความรู้ความ เข้าใจกับจุดประสงค์โดยพิจารณาความตรงตามเนื้อหา (Content validity) และความเป็นปรนัย (Objectivity) ของข้อคำถามและคำตอบ ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้พิจารณาว่าข้อคำถามนั้น วัดได้ตรงตาม นิยามหรือไม่ พร้อมทั้งปรับปรุงภาษาให้เหมาะสมกับระดับของนักเรียน กำหนดคะแนนความคิดเห็น ดังนี้ คะแนน +1 สำหรับข้อคำถามที่มีความสอดคล้อง คะแนน 0 สำหรับข้อคำถามที่ไม่แน่ใจว่ามีความสอดคล้อง คะแนน -1 สำหรับข้อคำถามที่ไม่มีความสอดคล้อง 6. วิเคราะห์ข้อมูลการหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบ ก่อนและหลังเรียนฯ กับจุดประสงค์การเรียนรู้จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ตามวิธีของ


18 โรวิเนลลี และแฮมเบิลตัน (บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์, 2545) คัดเลือกเก็บไว้สำหรับข้อที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขั้นไป ถือว่าเป็นข้อสอบที่มีคุณภาพอยู่ในระดับใช้ได้และสามารถวัดได้ตามนิยามที่กำหนด 7. ปรับปรุงแก่ไข ทำการปรับปรุงแก่ไขข้อคำถามของแบบทดสอบก่อนและหลัง เรียนฯ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นนำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนฯ ที่ผ่านการ ตรวจสอบ คุณภาพแล้วจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มเพื่อเตรียมนำไปเก็บข้อมูลกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป 1.2.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ โดยการใช้เทคนิคการสอน แบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding)ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง แบบสอบถามความพึงพอใจฯ โดย ดัดแปลงรูปแบบมาจากนภาพรรณ เอี่ยมสำอาง (2551) มีขั้นตอน การสร้างดังนี้ 1. ศึกษาเอกสาร ตำรา และองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถาม ความพึง พอใจที่เหมาะสมกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. วิเคราะห์เนื้อหาวิชา และศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การสอน ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 3. ดำเนินการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเร ียน ภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many ประกอบด้วยรายการคำถาม 10 คำถาม แบบมาตราส่วน ประมาณ ค่า (Rating Scale) 5 ระดับ และมีคำถามปลายเปิด จำนวน 1 ข้อ เพื่อให้นักเรียนเสนอ ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ระดับความพึงพอใจแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ คะแนน 5 หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด คะแนน 4 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก คะแนน 3 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง คะแนน 2 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย คะแนน 1 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด 4. วิพากษ์และปรับแก้รายการข้อคำถามในแบบสอบถามความพึงพอใจฯ กับ อาจารย์ผู้ ควบคุมงานวิจัย 5. ตรวจสอบคุณภาพแบบสอบถามความพึงพอใจฯ โดยนำแบบสอบถามความพึงพอใจ ที่ผู้วิจัยสร้างขั้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านที่เป็นชุดเดียวกันกับชุดที่ตรวจสอบแผนการจัดการเรียนรู้ ตรวจสอบคุณภาพโดยพิจารณาความตรงตามเนื้อหา (Content validity) ของ รายการคำถามโดย ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้พิจารณาว่ารายการคำถามนั้นวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของ การวัดหรือไม่ และ จะลงคะแนนเพื่อแสดงหลักฐานความตรงตามเนื้อหาพร้อมทั้งช่วยเสนอแนะการ ปรับปรุงภาษาให้ เหมาะสมกับระดับของนักเรียน จากนั้นนำคะแนนที่ได้จากลงความเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านมา หาค่าความสอดคล้องระหว่างรายการคำถามกับพฤติกรรมความพึงพอใจที่ ต้องการวัด


19 6. ปรับปรุงแก้ไข ทำการปรับปรุงแก้ไขรายการคำถามตามคำแนะนำของ ผู้เชี่ยวชาญ โดยนำผลการพิจารณาแบบสอบถามความพึงพอใจฯ ของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์เพื่อหา ความตรง ตามเนื้อหาใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) คือ ความเห็นในช่อง เห็นด้วย (+1)ไม่แน่ใจ (0) และไม่ เห็นด้วย (-1) ตามวิธีของโรวิเนลล์ และแฮมเบิลตัน (บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์, 2545) คัดเลือก รายการคำถามไว้สำหรับรายการคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ซึ่งถือว่ารายการคำถามนั้น สามารถวัดได้ตามนิยามที่กำหนด จากนั้นนำแบบสอบถามความพึงพอใจฯ ที่ผ่านการตรวจสอบ คุณภาพแล้วจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มเพื่อเตรียมนำไปเก็บข้อมูลกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. ทดสอบความรู้ความเข้าใจในการใช้ much many กับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง การใช้ much many 2. ดำเนินการสอนให้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดย การใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ที่เตรียมไว้ ใช้เวลาในการสอน 3 คาบ (150 นาที) ในระหว่างการสอน ผู้วิจัยมีการทดสอบความรู้ความเข้าใจในเรื่อง การใช้ much many ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างโดยให้ทำ แบบฝึกทักษะหรือกิจกรรมที่เตรียมไว้ในขั้น Production ของ แผนการจัดการเรียนรู้ ในช่วงท้าย ชั่วโมง 3. ทดสอบความรู้ความเข้าใจในการใช้ much many กับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง การใช้ much many 4. สอบถามความพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many 5. รวบรวมข้อมูลจากการทดสอบก่อน ระหว่างและหลังเรียน และการสอบถามความ พึงพอใจ จากนั้นนำมาวิเคราะห์ข้อมูลออกมาทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้ เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เรื่อง การใช้ much many การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอน แบบเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เรื่อง การใช้ much many ตามเกณฑ์ที่ผู้วิจัยได้กำหนดไว้ (E1/E2: 80/80) (ผลการวิเคราะห์คะแนนรายบุคคลดังรายละเอียดตามภาคผนวก ซ) สรุปผลการ วิเคราะห์ดังแสดงในตารางที่ 4.1


20 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอนแบบ เสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เรื่อง การใช้ much many N ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียน (E1) ประสิทธิผลของผลลัพธ์(E2) คะแนนเต็ม การทดสอบ แต่ละครั้ง ค่าเฉลี่ย คะแนน ทดสอบ ทั้งหมด (4 ครั้ง) E1 คะแนนเต็ม ของการ ทดสอบ หลังเรียน ค่าเฉลี่ย ของ คะแนน การ ทดสอบ หลังจาก เรียนเสร็จ สิ้น E2 41 10 35.02 87.56 20 16.39 81.95 จากตารางที่ 4.1 พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยการใช้เทคนิคการสอนแบบ เสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) เรื่อง การใช้ much many มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 87.56/81.95 สูงกว่าเกณฑ์ที่ผู้วิจัยได้กำหนดไว้ (E1/E2: 80/80) ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่องการใช้ much many การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่องการใช้ much many ของนักเรียนกลุ่ม ตัวอย่างที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาความสามารถทางไวยากรณ์วิเคราะห์ข้อมูล โดยนำคะแนน ที่ได้จากการประเมินความสามารถทางไวยากรณ์ เรื่องการใช้ much many ของนักเรียนรายบุคคล หลังจากที่ได้ดำเนินการวิจัยเสร็จสิ้นแล้วมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) และค่าร้อยละ (Percentage) (ผลการวิเคราะห์คะแนนรายบุคคล ดังรายละเอียดตามภาคผนวก ค) สรุปผลการวิเคราะห์ดังแสดงในตารางที่ 4.2 สรุปผลการประเมินความสามารถทางไวยากรณ์หลังเรียน เรื่องการใช้ much many ของนักเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่องการใช้ much many ̅ .. T-test คะแนนก่อนเรียน 7.78 4.03 38.92 18.13 คะแนนหลังเรียน 16.39 2.05 81.95 จากตารางที่ 4.2 พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เรื่องการใช้ much many มีผลสัมฤทธิ์ด้านความสามารถทางไวยากรณ์รวมเฉลี่ยเท่ากับ 16.39 คะแนน จาก


21 คะแนนเต็ม 20คะแนน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.05 ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 81.95 แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ด้านความสามารถทางไวยากรณ์much many ในระดับดี มาก และเมื่อนำคะแนนมาเปรียบเทียบพบว่าผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เรื่องการใช้ much many หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.5 โดยมีค่าสถิติ T = 18.63 ตอนที่ 3 การวิเคราะห์ความพึงพอใจและข้อเสนอแนะของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่องการใช้ much many 3.1 การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการได้รับการพัฒนาความสามารถทาง ไวยากรณ์ เรื่องการใช้ much many วิเคราะห์ข้อมูลโดยนำข้อมูลการตอบแบบสอบถามความพึง พอใจฯ มาวิเคราะห์รายด้านและรายข้อโดยหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) (ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการตอบแบบสอบถามรายบุคคลดังรายละเอียดตาม ภาคผนวก ฌ) สรุปผลการวิเคราะห์ดังแสดงในตารางที่ 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการได้รับการ พัฒนาความสามารถทางไวยากรณ์ เรื่อง การใช้ประโยคเปรียบเทียบขั้นกว่าและขั้นสูงสุด ข้อ รายการ x̅ S. D.การแปลผล 1 นักเรียนได้เรียน เรื่อง much many ที่ครูสอนอย่าง สนุกสนาน 4.98 0.16 มากที่สุด 2 นักเรียนรู้สึกอยากเรียนเรื่อง much many ที่ครูสอนมากขึ้น 4.95 0.22 มากที่สุด 3 นักเรียนชอบทำกิจกรรมในเรื่อง much many ที่ครูสอน 4.92 0.26 มากที่สุด 4 การเรียนรู้ เรื่อง much many เป็นสิ่งที่น่าสนใจ 4.46 0.78 มาก 5 นักเรียนทำงานเดี่ยว/กิจกรรมคู่/งานกลุ่มที่ครูมอบหมายแล้ว มีความสุข 4.83 0.44 มากที่สุด 6 นักเรียนชอบเรียนภาษาอังกฤษกับเพื่อน ๆ 4.88 0.40 มากที่สุด 7 นักเรียนทำแบบฝึกหัดและกิจกรรมในเรื่อง much many ที่ครูสอนได้ด้วยตนเอง 4.49 0.66 มาก 8 นักเรียนสนใจตรวจ แบบฝึกหัดและกิจกรรม และประเมินผล การเรียนด้วยตนเอง 4.78 0.42 มากที่สุด 9 นักเรียนสนใจตรวจแบบฝึกหัดและกิจกรรม และประเมินผล การเรียนของเพื่อน ๆ 4.83 0.38 มากที่สุด 10 นักเรียนชอบเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น 4.91 0.42 มากที่สุด สรุปรวมทุกด้าน 4.80 0.19


22 จากตารางที่ 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการได้รับการพัฒนา ความสามารถทางไวยากรณ์ เรื่องการใช้ much many พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด (̅= 4.80, .. = 0.19) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจ ในระดับมากที่สุด จำนวน 8 รายการ เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย3 ลำดับแรกได้ดังนี้ 1. นักเรียนได้ เรียนเรื่อง much many ที่ครูสอนอย่างสนุกสนาน (̅=4.98, ..=0.16) 2. นักเรียนรู้สึกอยาก เรียนเรื่อง much many ที่ครูสอนมากขึ้น (̅=4.81, ..=0.55) 3.นักเรียนชอบทำกิจกรรมใน เรื่อง much many ที่ครูสอน (̅=4.68, ..=0.66) 3.2 การวิเคราะห์ข้อเสนอแนะของนักเรียนที่มีต่อการได้รับการพัฒนาความสามารถทาง ไวยากรณ์ เรื่องการใช้ much many วิเคราะห์ผลโดยนำข้อมูลการเขียนตอบข้อเสนอแนะใน แบบสอบถามความพึงพอใจฯ มาวิเคราะห์โดยวิธีการวิเคราะห์เอกสาร (Content analysis) ผลการวิเคราะห์ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม 1) นักเรียนมีความสุข สนุกสนานและอยากกลับมาเรียนกับกิจกรรมที่ผู้วิจัยได้จัดขึ้นอีก 2) กิจกรรมการเรียนรู้ของผู้วิจัยส่งผลทำให้นักเรียนไม่รู้สึกกดดันระหว่างเรียนและสามารถ ทำกิจกรรมได้อย่างเต็มที่ 3) นักเรียนได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีผ่านกิจกรรมต่าง ๆ สรุปและอภิปรายผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การใช้ much many โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบ เสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2. นักเรียนมีความสามารถทางไวยากรณ์ภาษาอังกฤษหลังจากเรียน เรื่อง การใช้ much many ในระดับดีมาก ( = 81.95) 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ much many อยู่ในระดับมากที่สุด (̅= 4.80) อภิปรายผลการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การใช้ much many โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อ การเรียนรู้ (Scaffolding) มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ผู้วิจัยกำหนด ทั้งเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อที่จะหา ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นนั้น ช่วยให้เห็นการประเมินพฤติกรรม ระหว่างเรียนอย่างต่อเนื่องชัดเจน และการประเมินพฤติกรรมขั้นสุดท้ายซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2536, น. 50-51: อ้างจากสุวิทย์ เขาแก้ว, 2551, น. 45-46) และเมื่อแผนการ จัดการเรียนรู้ เรื่อง การใช้ much many โดยการใช้เทคนิคการสอนแบบเสริมต่อการเรียนรู้


23 (Scaffolding) นี้มีประสิทธิภาพก็ย่อมส่งผลให้ผลการเรียนรู้ของนักเรียนที่เกิดขึ้นระหว่างเรียนและ หลังจากเรียนเสร็จสิ้นมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก 2. ความสามารถทางไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังจากเรียน เรื่อง การใช้ much many ในระดับดีมากเหตุผลที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากผู้วิจัยได้ออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารซึ่งปรากฏอยู่ในแต่ละขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อีกทั้ง ได้สอดแทรกกิจกรรมย่อย ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้นักเรียนได้มีโอกาสพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการได้ช่วยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย แต่ก็มีความท้าทายอยู่บ้าง นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับลักษณะการสอนไวยากรณ์เพื่อการสื่อสารของปัญจพร ธนาวชิรนันท์ และ วิลาสินี พลอยเลื่อมแสง (2561) ที่ได้เสนอขั้นตอนการสอนของโครงสร้างไวยากรณ์ที่จะช่วยให้ นักเรียนได้เกิดการเรียนรู้ในเรื่องของการใช้ไวยากรณ์ในลักษณะต่าง ๆ ใน 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นตอนที่ 2 ขั้นสอน ขั้นตอนที่ 3 ขั้นฝึกฝน ขั้นตอนที่ 4 ขั้นนำไปใช้และขั้นตอนที่ 5 ขั้น ทดสอบ 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เรื่องการใช้ much many ในระดับ มากที่สุด เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากผู้วิจัยได้ออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการสื่อสาร อีกทั้งด้านการแทรกกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่ช่วยโน้มน้าวหรือสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนได้ทราบ เข้าใจ และตระหนักว่าเป็นเรื่องที่ตนเองจะปล่อยปะละเลยมิได้ และต้องเรียนรู้ให้เข้าใจ รวมถึง สามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตจริง พร้อมกับรูปแบบและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูครั้งนี้มีความ เหมาะสมถูกต้องในเรื่องของสาระภาษาอังกฤษ การสร้างความสนใจในเรื่องของการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ความเหมาะในเรื่องของการลำดับขั้นตอนการนำเสนอสาระที่จัดให้นักเรียนได้เรียนรู้ ความเหมาะสมในเรื่องของระยะเวลาในการนำเสนอเนื้อหา และสื่อการเรียนรู้ที่นำมาประกอบการ เรียนแต่ละครั้งมีความเหมาะสม น่าสนใจ สอดคล้องกับสาระที่สอน ดังนั้นความพึงพอใจในการเรียน ภาษาอังกฤษของนักเรียนครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่กำหนดแนวทางการแสดงทางพฤติกรรมของนักเรียนเองว่า ความพึงพอใจนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการที่ครูต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เกิดแก่นักเรียนให้ได้ทุกคน ข้อเสนอแนะในการวิจัย 1. การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษควรประกอบด้วยกิจกรรมที่เหมาะสม กับความสามารถและสอดคล้องกับความสนใจของนักเรียน 2. ผู้วิจัยต้องกระตุ้นและเสริมแรงบวกให้กับนักเรียนเพื่อให้เกิดความมั่นใจและกล้าเข้า ร่วมกิจกรรม หรือกว่ายกมือถามหากไม่เข้าใจ 3. ควรจัดการเรียนการสอนให้มีความหลายหลายเพื่อให้เกิดกระบวนการการเรียนรู้ที่ แตกต่างและเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น


24 ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการศึกษาและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับไวยากรณ์ใน สาระการเรียนรู้อื่น ๆ โดยผ่านทักษะการสื่อสารต่าง ๆ เช่น ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการ เขียนเพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับไวยากรณ์ให้ครอบคลุมและมี ประสิทธิภาพมากขึ้น 2. ควรเพิ่มระยะเวลาการทดลองให้มากขึ้น อาจจะใช้เวลา 1-2 ภาคเรียน เพื่อศึกษา ประสิทธิภาพของการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อสร้างความสนใจในการเรียน ภาษาอังกฤษ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 3. ควรทดลองกับกลุ่มตัวอย่างกลุ่มใหญ่ขึ้น หรือทดลองกับนักเรียนในทุกห้องเรียน และ ทดลองกับผู้เรียนในหลาย ๆ ระดับชั้น ซึ่งจะเป็นการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างที่หลากหลาย เอกสารอ้างอิง บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์. (2545). การวัดประเมินการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ปัญจพร ธนาวชิรานันท์ และวิลาสินี พลอยเลื่อมแสง. (2561). การใช้วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล และการประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาความรู้ต้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่2. กรุงเทพฯ: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต. สุวิทย์ เขาแก้ว. (2551). การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การปลูกผักสวนครัว กลุ่มสาระ การ เรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วิธีสอนแบบโครงงาน (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). ลพบุรี: มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี. Afifa K.. (2 0 1 8 ) . Study of the Impact of Scaffold Instructions on the Learning Achievements of Post-Graduate Students. Lahore College for Women University.Chen, Y. S. S. (2012). A Genre-based Approach to Teaching EFL Summary Writing. ELT Journal, 66 (2). Cowan, R. (2 0 0 8 ). The Teacher's Grammar of English A Course Book and Reference Guide. New York Cambridge University Press. Dickins, M. p. Rea., & Edward, G. W. (1 9 8 8 ). Some Criteria for the Development of Communicative Grammar Tasks. Oxford: Oxford University Press. Harmer, J. (1983). The Practice of English Language Teaching. London: Longman. Johnson, K. (1 9 8 2 ) . Communicative Syllabus Design and Methodology. Oxford: Pergamon Press.


25 Kemmis, & McTaggart. (19882 The Action research planner (3rd ed.). Geelong: Deakin University, Australia. Khan, A., & Akhtar., M. (2017). Investigating the Effectiveness of Cooperative Learning Method on Teaching of English Grammar. Bulletin of Education and Research. Larsen-Freeman, D. (2000). Techniques and Principles in Language Teaching. 2nd ed. Oxford: OUP. Savignon, Sandra J. (1 9 8 3 ). Communicative Competence: Theory and Classroom Practice: Text & Contents in Second Language Learning. Reading Mass: Addison-Wesley Publishing Company. Shanahan, T. (2 0 1 4 ). Should we teach students at their reading level? Literacy: New York. Sri Lestari and others. (2019 , March), utilization of Whatsapp Application as Communication Media in Language Teaching and Learning at FBS UWKS. Journal of Physics: Conference Series, 03(1175), 1-8. Stoti, c. D. (1990). Teaching Grammar to Children Communicatively. S.l: S.n. Thornbury, S. (2001). Flow to teach grammar. 3rd ed. Malaysia: Pearson Limited. Van Syoc, B. (1963). Methods of teaching English as a foreign language. Bangkok: The Social Science Association of Thailand Press. Wilkins, D.A. (1976). National Syllabuses. London: Oxford University Press. Yulia V. (2 0 1 5 ) . The Effect of Scaffolding Techniques on Students’ Writing Achievement. Pendidikan Bahasa Inggris–Universitas Negeri Malang Zhang, Y. (2009). Reading to Speak. Beijing: Integrating Oral Communication Skills.


26 .


Click to View FlipBook Version