หนังสือภาษาไทย
ปใรนะภโายษคาไทย
E-BOOK ภาษาไทย
หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ต า ม ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง ก า ร ศึ ก ษ า ขั้ น พื้ น ฐ า น พุ ท ธ ศั ก ร า ช 2 5 5 1
" ภูมิใจในเอกลักษณ์ สืบสานภาษาหลัก
รู้รักษ์ภาษาไทย "
สารบัญ
หัวข้อ หน้ า
ความหมายของประโยค 1
ส่วนประกอบของประโยค 1-2
ประโยคจำแนกตามลำดับองค์ 3
ประกอบ
ประโยคจำแนกตามจุดประสงค์ 4
ของผู้ส่งสาร
ชนิ ดประโยคแบ่งตามลักษณะ 5-10
ห น้ า 1
ประโยค
ความหมาย
ประโยค หมายถึง การนำคำหรือกลุ่มคำ (วลี) นำมาร้อยเรียงกันอย่างเป็น
แบบแผนและเป็นระบบ โดยมีความสัมพันธ์กันทางไวยกรณ์ ได้เป็นถ้อยคำหรือ
ข้อความที่มีใจความสมบูรณ์
ส่วนประกอบของประโยค
ภาคประธาน
ภาคประธาน คือ ส่วนของผู้ทำอาการ หรือบทประธาน อาจมีส่วนขยาย
หรือไม่มีก็ได้ คำที่ทำหน้าที่ผู้กระทำอาการ ได้แก่ คำนาม หรือ คำสรรพนาม
เช่น พี่ร้องเพลงได้ไพเราะ ครูต้องอบรมให้นักเรียนเป็นคนดี
ภาคแสดง
ภาคแสดง คือ ส่วนที่แสดงอาการหรือบอกการกระทำของประธาน คำที่
แสดงอาการ ได้แก่ คำกริยา และต้องประกอบด้วยบทอื่น ๆ เช่น บทกรรม บท
ประกอบกริยาหรือส่วนเติมเต็ม อาจมีส่วนขยายหรือไม่มีก็ได้
บทกริยา คือ ส่วนที่แสดงการกระทำของประธาน อาจมีกรรมมารองรับหรือไม่มีก็ได้ จะอยู่หลังประธานหรืออยู่หน้าประธาน
ก็ได้
เช่น ม้ากระโดด น้องเต้น
บทกรรม คือ ส่วนของผู้ถูกกระทำ กล่าวคือ ถ้ากริยายังไม่สมบูรณ์ในตัวเองจะต้องมีกรรมมารองรับ เช่น
น้องคลาน (กริยา คลาน เป็นอกรรมกริยา) แม่ซื้อหนังสือ (กริยา ซื้อ เป็นสกรรมกริยาที่ต้องการกรรม)
บทประกอบกริยาหรือส่วนเติมเต็ม คือ ส่วนที่ทำหน้าที่เสริมใจความของประโยคให้สมบูรณ์ ทำหน้าที่คล้ายกรรมแต่ไม่ใช่
กรรม เพราะไม่ได้ถูกกระทำ กริยาที่ใช้เป็นส่วนเติมเต็มจะไม่มีความหมายในตัวเอง ต้องมีคำนามหรือคำสรรพนามมาขยายจึงจะ
ได้ใจความสมบูรณ์ ได้แก่ กริยา เป็น คล้าย เท่า คือ เหมือน เช่น แมวหน้าตาคล้ายเสือ เขาเป็นนักเทนนิส
เพราะฉะนั้นประโยคหรือกลุ่มคำที่มีใจความสมบูรณ์ ต้องประกอบด้วยส่วนสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
1. บทประธาน + บทกริยาไม่มีกรรม
2. บทประธาน + บทกริยามีกรรม + บทกรรม
3. บทประธาน + บทกริยาอาศัยส่วนเติมเต็ม + บทประกอบกริยาหรือส่วนเติมเต็ม
ในประโยคหนึ่งต้องมีส่วนประกอบอย่างน้อย 2 บท คือ บทประธานและบทกริยา จึงจะสมบูรณ์
ประโยค
ภาค ภาค
ประธาน แสดง
ประธาน ขยายประธาน กริยา กรรม ขยายกรรม ขยายกริยา
หน้า 2
ประโยคจำแนก
ตามลำดับองค์ประกอบ
ประโยคประธาน
ประโยคประธาน หมายถึงประโยคที่เอาผู้กระทำขึ้นต้นประโยค และอยู่หน้ากริยา
ซึ่งเป็นลักษณะของประโยคทั่วไป เช่น
แม่ค้ากำลังขายผลไม้ (แม่ค้า เป็นผู้กระทำ)
แป้งกำลังรถน้ำต้นไม้อยู่หลังบ้าน (แป้ง เป็นผู้กระทำ)
ประโยคกรรม มี 3 ลักษณะ
1.ผู้ถูกกระทำทำหน้าที่ประธาน โดย 2. ผู้ถูกกระทำทำหน้าที่ประธาน โดยละผู้
กล่าวถึงผู้กระทำ เช่น กระทำที่แท้จริง เช่น
ปิ่นถูกคุณครูทำโทษ
(ปิ่น เป็นผู้ถูกกระทำ) กิ่งถูกไล่ออกเพราะยักยอกเงิน
(กิ่ง เป็นผู้ถูกกระทำ คือ ถูกไล่ออก)
3. ผู้ถูกกระทำทำหน้าที่กรรม เช่น
ปั้นขายนาฬิกาโรเล็กซ์ไปเมื่อเดือน
ก่อน
(นาฬิกาโรเล็กซ์ ทำหน้าที่กรรม)
ประโยคกริยา ประโยคการิต
ประโยคกริยา หมายถึง ประโยคที่เอา ประโยคการิต หมายถึง ประธานของประโยคและ
กริยา เกิด มี ปรากฏ ขึ้นต้นประโยค เพื่อ ประโยคกรรมมีผู้รับใช้แทรกเข้ามา เช่น
เน้นกริยา เช่น
คุณแม่ให้ฉันรดน้ำต้นไม้ (ประธานมีผู้รับใช้)
มีแมลงสาบในห้อง หนังสือถูกครูให้นักเรียนอ่าน(กรรมมีผู้รับใช้)
หน้า 3
ประโยคจำแนก
ตามจุดประสงค์ของผู้ส่งสาร
มี 4 ชนิด
ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม
ประโยคบอกเล่า คือ ประโยคที่มีเนื้อความบอก ประโยคคำถาม คือ ประโยคที่ใช้ถามเพื่อต้องการคำ
ให้ทราบหรือแจ้งเรื่องราว เช่น ตอบ มี 2 ชนิด คือ
จินนี่และจิมมี่ไปเที่ยวภูเก็ตด้วยกัน ประโยคคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างใดอย่าง
เกตและเจนมีนัดประชุมช่วงบ่าย หนึ่ง เช่น
ประโยคปฎิเสธ ป่านจะย้ายบ้านไปอยู่ที่ไหน
พ่อรู้ได้อย่างไรว่าเขามาเยี่ยมยายในวันนี้
ประโยคปฏิเสธ คือ ประโยคที่บอกความปฏิเสธ ประโยคที่ต้องการคำตอบเพียงการบอกรับหรือ
หรือไม่ตอบรับ จะมีวิเศษณ์บอกความปฏิเสธ เช่น ปฏิเสธ เช่น
ไม่ ไม่ได้ ไม่ใช่ มิใช่ หา...ไม่ หามิได้ อยู่หน้าหรือหลัง คุณชอบอาชีพครูไหม
กริยา เช่น
ประโยคคำสั่งและขอร้อง
ปันปันไม่ชอบกินพิซซ่า
วินวินไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์ ประโยคคำสั่งและขอร้อง คือ ประโยคที่มีลักษณะ
สั่งให้ทำหรือขอร้องให้ปฏิบัติ ซึ่งสามารถละประธานไว้
ข้อสังเกต ได้ เพราะผู้ส่งสารและผู้รับสารต่างเข้าใจและทราบว่า
ถ้าข้อความบ่งบอกว่าประธานทำกริยานั้น แต่ทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ หรือ สั่งหรือขอร้องใคร แล้วใช้กริยาขึ้นต้นประโยค อาจมี
กริยาช่วยเน้นเจตนาของผู้ส่งสาร แบ่งได้ดังนี้
ประสงค์จะทำแต่มีเหตุขัดข้องไม่ได้ทำ ไม่จัดเป็นประโยคปฏิเสธ แต่จัดเป็น
ประโยคบอกเล่า เช่น เขาไปไม่ได้ (ประสงค์จะไปแต่มีเหตุขัดข้อง) เขาสอบไล่ เริ่มต้นด้วยคำแสดงคำสั่งหรือขอร้อง เช่น อย่า
ไม่ได้ (สอบแล้วแต่ไม่ได้) ให้ จง โปรด ช่วย เช่น อย่าเสียงดัง
กรณีที่ในประโยคมีวิเศษณ์บอกความปฏิเสธ แต่ไม่ได้ขยายกริยาโดยตรง เริ่มต้นด้วยคำกริยา เช่น เข้ามาซิ กลับไปได้
ก็ถือเป็นประโยคบอกเล่า เช่น ฉันชอบอาหารรสไม่จัด คำว่า ไม่ ขยาย จัด ซึ่ง แล้ว
เป็นวิเศษณ์
ขึ้นต้นด้วยคำเรียกขาน เช่น แป้งมานี่หน่อย
หน้า 4
ชนิดของประโยคในภาษาไทยแบ่งตามลักษณะ
ประโยคสามัญ (ความเดียว)
ประโยคความเดียว (เอกรรถประโยค) คือ ประโยคที่มีใจความสำคัญเพียง
หนึ่ง มีประธานตัวเดียว กริยาสำคัญเพียงตัวเดียวและอาจมีกรรมหรือไม่มีก็ได้
โดยมีโครงสร้าง ประธาน+กริยา+(บทกรรม)
Sv
11
ตัวอย่าง
1. ฟ้าร้อง
2. ป้าแม้นแม่เจ้าแมนกำลังตำส้มตำปูปลาร้า
3. ผู้ชายวัยกลางคนเป็นพ่อของเพื่อน
ภาคประธาน ภาคแสดง
ประธาน ขยาย กริยา ขยาย กรรม ขยาย
ประธาน กริยา กรรม
1 ฟ้า ร้อง
ประโยคความเดียวที่มีเฉพาะประธานและกริยา
2 ป้าแม้น แม่เจ้า ตำ กำลัง ส้มตำ ปู
แดง
ปลาร้า
ประโยคความเดียวที่มีบทกรรมหรือบทขยายเพิ่มเติม
หน้า 5
ตัวอย่าง
1. ฟ้าร้อง
2. ป้าแม้นแม่เจ้าแมนกำลังตำส้มตำปูปลาร้า
3. ผู้ชายวัยกลางคนเป็นพ่อของเพื่อน
ภาคประธาน ภาคแสดง
ประธาน ขยาย กริยา ส่วนเติม ขยายส่วน
ประธาน เต็ม เติมเต็ม
3 ผู้ชาย วัย เป็น พ่อ ของ
กลางคน เพื่อน
ประโยคความเดียวที่มีส่วนเติมเต็มและขยายส่วนเติมเต็ม
ประโยคความรวม
ประโยคความรวม คือ ประโยคสามัญอย่างน้อย 2 ประโยคขึ้นไป
มารวมกัน โดยมีคำเชื่อม เมื่อนำประโยคมาแยกออกจากกันก็จะได้
ประโยคสามัญที่มีใจความสมบูรณ์ โดยแต่ละประโยคจะมีน้ำหนักหรือ
ความสำคัญเท่ากัน
ประโยค สันธาน ประโยค
ความเดียว ความเดียว
หน้า 6
โดยประโยคความรวม
แบ่งออกเป็ น 4 ลักษณะ ดังนี้
1. มีเนื้อความคล้อยตามกัน
คือ การนำประโยคความเดียวที่มีเนื้อความสอดคล้องกันมารวมกัน
แสดงอาการร่วมกัน ใช้สันธาน ทั้ง...และ กับ และ เช่น คุณพ่อกับคุณแม่รักฉันมาก
แสดงเวลาต่อเนื่องกัน ใช้สันธาน ครั้น...จึง ครั้น...ก็ แล้ว แล้ว...ก็ แล้ว...จึง ฯลฯ เช่น ฉันอาบน้ำอ่านหนังสือ
แล้วเข้านอน
แสดงความคล้อยตามกันโดยมีเงื่อนไข ใช้สันธาน แม้ แม้ว่า แม้...ก็ ถ้า ถ้าว่า ถ้า...ก็ เช่น แม้เขาจะสอบได้
คะแนนเต็ม เขาก็ยังขยันอ่านหนังสือ
2. มีเนื้อความขัดแย้งกัน
คือ การนำประโยคความเดียวที่มีเนื้อความขัดแย้งกันมารวมกัน จะใช้สันธาน แต่ แต่ทว่า แต่...ก็ กว่า...ก็ ถึง...ก็
เช่น สุวิมลเรียนเก่งมาก แต่ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท
ถ้าคำว่า แต่ ในประโยคไม่เป็นคำสันธาน ประโยคนั้นก็ไม่ใช่ประโยคความรวม เช่น เขาเริ่มทำงานตั้งแต่เช้า
(แต่ เป็นบุพบท)
3. มีเนื้อความเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
คือ ประโยคที่มีกริยา 2 กริยาที่ต่างกัน ใช้สันธาน หรือ หรือไม่ก็ หรือมิฉะนั้น หรือมิฉะนั้นก็ หรือมิฉะนั้น...ก็ หรือไม่
อย่างนั้น...ก็ เช่น เธอจะทนเจ็บหรือไปหาหมอ
ข้อสังเกตุ คำสันธาน หรือ ในเนื้อความเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งจะต้องใช้เป็นคำถามหรือต้องเชื่อมเฉพาะบท
ประธาน บทกริยา หรือบทประกอบกริยาเท่านั้น ถ้าเชื่อมบทอื่น หรือเป็นเพียงวิเศษณ์บอกคำถาม ไม่ได้เชื่อมประโยค ก็
ถือว่าเป็นประโยคความเดียว เช่น ทับทิมถูกครูลงโทษหรือ (หรือ เป็นวิเศษณ์บอกคำถาม)
4. มีเนื้อความเป็นเหตุเป็นผลแก่กัน
ใช้สันธาน จึง เพราะ...จึง เพราะ เพราะฉะนั้น...จึง ด้วยเหตุว่า...จึง เพราะฉะนั้น
เช่น อากาศเป็นพิษ เพราะฉะนั้นคนจึงเป็นโรคภูมิแพ้กันมาก
ข้อสังเกตุ ประโยคความรวมชนิดมีเนื้อความเป็นเหตุเป็นผลกัน ประโยคที่ 1 จะต้องเป็นเหตุผลเท่านั้นและประโยคที่
2 จะต้องเป็นผลเท่านั้น หากผลขึ้นก่อนเหตุ ประโยคนั้นจะเรียกว่าประโยคความซ้อนชนิดวิเศษณานุประโยค เช่น
ก้านสอบได้ที่ 1 เพราะตั้งใจเรียน (ผลมาก่อนเหตุ) ไม่ใช่ประโยคความรวม
เพราะก้านตั้งใจเรียน จึงสอบได้ที่ 1 (เหตุมาก่อนผล) เป็นประโยคความรวม
หน้า 7
ประโยคความซ้อน หน้า 8
ประโยคความซ้อน (สังกรประโยค) คือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคหลัก (มุขยประโยค)
และประโยคย่อย (อนุประโยค) มารวมเป็นประโยคเดียวกัน
ประโยคหลัก = ประโยคสำคัญที่ขาดไม่ได้ ในประโยคความซ้อนจะมีมุขยประโยคเพียง 1 ประโยค
เท่านั้น
ประโยคย่อย = ทำหน้าที่ได้ขยายหรือประกอบมุขยประโยคให้ได้ใจความสมบูรณ์หรือชัดเจนยิ่งขึ้น
อนุประโยคแบ่งได้ 3 ชนิด ตามหน้าที่
1.นามานุประโยค คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่อย่างนาม โดยเป็นบทประธาน บท
กรรม หรือส่วนเติมเต็มของประโยคหลัก เช่น
ทำหน้าที่บทประธาน เช่น ภารดรเล่นเทนนิสถูกใจคนดู (ภารดรเล่นเทนนิส
ถูกใจคนดู เป็น มุขยประโยค, ภารดรเล่นเทนนิส เป็น นามานุประโยคทำหน้าที่
บทประธาน, ถูกใจคนดู เป็น ภาคแสดง)
ทำหน้าที่บทกรรม เช่น ก้อยไม่ชอบให้ใครมาว่าพ่อแม่ของเธอ (ก้อยไม่ชอบให้
ใครมาว่าพ่อแม่ของเธอ เป็น มุขยประโยค, ให้ใครมาว่าพ่อแม่ของเธอ เป็น นามานุ
ประโยคทำหน้าที่บทกรรม)
หมายเหตุ นามานุประโยคทำหน้าที่บทประธานหรือบทกรรม อาจใช้วิเศษณ์ ที่
ซึ่ง อัน ที่ว่า เชื่อมข้างหน้าก็ได้ เช่น ฉันดีใจที่เขาสอบผ่าน หรือทำหน้าที่บทกรรมโดยมี
คำว่า ให้ และ ว่า เป็นคำเชื่อม เช่น ชาวบ้านเข้าใจว่าผู้ใหญ่บ้านเป็นคนร้ายตัวจริง
ทำหน้าที่แทนบทประธานและบทขยายประธาน เช่น ข่าวที่ว่าน้ำมันพืชราคา
แพงทำความลำบากใจให้กับพ่อค้าแม่ค้า
ทำหน้าที่แทนบทกรรมและบทขยายกรรม เช่น พ่อค้าแม่ค้าได้
ทราบข่าวที่ว่าน้ำมันพืชจะขึ้นราคา
ประโยคความซ้อน หน้า 9
2.คุณานุประโยค
คุณานุประโยค คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนามในประโยค
หลัก โดยทำหน้าที่ขยายบทประธาน บทกรรม หรือเป็นส่วนเติมเต็ม และมีประพันธ
สรรพนาม ที่ ซึ่ง อัน เป็นบทเชื่อม
ใช้สรรพนามเชื่อมความแทนนามหรือสรรพนาม ซึ่งเป็นบทประธานของ
ประโยคหลัก เช่น
ลุงคำรบพี่ชายของแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดจะเดินทางมาพักที่บ้าน
มุขยประโยค คือ ลุงคำรบพี่ชายของแม่จะเดินทางมาพักที่บ้าน
คุณานุประโยค คือ พี่ชายของแม่อยู่ต่างจังหวัด
ใช้สรรพนามเชื่อมความแทนนามหรือสรรพนาม ซึ่งเป็นบทกรรมของประโยค
หลัก เช่น
ทุ่งเลือดทุ่งลมแสดงชีวิตของโจร ซึ่งตกอยู่ในห้วงรักของหญิง
มุขยประโยค คือ ทุ่งเลือดทุ่งลมแสดงชีวิตของโจร
คุณานุประโยค คือ โจรตกอยู่ในห้วงรักของหญิง
ใช้สรรพนามเชื่อมความแทนนามหรือสรรพนาม ซึ่งเป็นส่วนเติมเต็มของ
ประโยคหลัก เช่น
พิษณุต้องแสดงบทตัวตลกอันมีลักษณะตรงข้ามกับนิสัยของเขา
มุขยประโยค คือ พิษณุต้องแสดงบทตัวตลก
คุณานุประโยค คือ บทตัวตลกมีลักษณะตรงข้ามกับนิสัยของเขา
หมายเหตุ ที่ ซึ่ง อัน ที่ไม่ใช่ประพันธสรรพนาม จะทำให้ประโยคนั้น ๆ ไม่เป็น
ประโยคความซ้อน เช่น ในตอนท้าย นายแก่นและนายเสริมต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน (ซึ่ง
เป็นบุพบท ซึ่งกันและกัน เป็นบุพบทวลี)
หน้า 10
ประโยคความซ้อน
3. วิเศษณานุประโยค
วิเศษณานุประโยค คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่อย่างวิเศษณ์ โดย
ขยายกริยาหรือวิเศษณ์ด้วยกัน มีคำเชื่อมได้แก่ ตั้งแต่ เมื่อ ขณะที่ เพราะ
ก่อน หลังจาก เพื่อ เพราะว่า อย่างที่ ราวกับ จน จนกระทั่ง ฯลฯ
วิเศษณานุประโยคขยายกริยา เช่น
นกน้อยยกกระเป๋าหนีก่อนคุณยายจะรู้ตัว
(คุณยายจะรู้ตัว เป็นวิเศษณานุประโยคขยายกริยา ยก)
เด็ก ๆ ปรบมือ ขณะที่ลุงบุญมาเล่านิทาน
(ลุงบุญมาเล่านิทาน เป็นวิเศษณานุประโยคขยายกริยา ปรบมือ)
วิเศษณานุประโยคขยายวิเศษณ์ เช่น นักมวยหลับสนิทอย่างที่เขา
ไม่อาจลุกขึ้นมาสู้ได้อีก
(เขาไม่อาจลุกขึ้นมาสู้ได้อีก วิเศษณานุประโยคขยายวิเศษณ์ สนิท)
หมายเหตุ คำที่ใช้เชื่อมวิเศษณานุประโยคกับมุขยประโยค ถ้านำ
หน้านาม สรรพนาม หรือกริยาที่ทำหน้าที่นาม (กริยาสภาวมาลา) ก็ทำ
หน้าที่เป็นบุพบทและไม่ทำให้ประโยคนั้นเป็นประโยคความซ้อน เช่น คน
เราไม่ได้อยู่เพื่อกิน (กิน เป็นกริยาสภาวมาลาทำหน้าที่เหมือนคำ การกิน)
ผู้จัดทำ
นางสาวณิชากร คำมาวงษ์
รหัสนักศึกษา 623080699-1
" ค ว า ม เ ป็ น ไ ท ย โ ด ด เ ด่ น ด้ ว ย ภ า ษ า
อั ก ษ ร า ล้ ว น ห ล า ก ม า ก ค ว า ม ห ม า ย
เ ส น่ ห์ เ สี ย ง สู ง ต่ำ คำ ค ม ค า ย
ร่ ว ม สื บ ส า ย ส า น คุ ณ ค่ า ภ า ษ า ไ ท ย "