ประวตั ติ ะกรอ้ มบี นั ทกึ มาตง้ั แตช่ ว่ งปี พ.ศ. 2133 –
ปจั จบุ นั โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้
พ.ศ. 2133-2149 (ค.ศ. 1590-1606) ในยคุ ของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ทป่ี ระเทศไทย เดมิ ชอ่ื ประเทศสยาม มี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ทรงเป็ นพระมหากษตั รยิ ์ และมกี รงุ ศรอี ยธุ ยาเป็ นเมอื งหลวง คนไทยหรอื คนสยาม
มกี ารเรมิ่ เลน่ ตะกรอ้ ทที่ าดว้ ย หวาย ซงึ่ เป็ นการเลน่ ตะกรอ้ วง
พ.ศ. 2199-2231 (ค.ศ. 1656-1688) มหี ลกั ฐานพอจะอา้ งองิ ไดว้ า่ ในสมยั
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเป็ นพระมหากษตั รยิ ใ์ นยคุ สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา
เป็ นเมอื งหลวง มคี ณะสอนศาสนาชาว ฝรง่ั เศส มาพานกั ในกรงุ ศรอี ยธุ ยา เมอ่ื วนั ท่ี 22
สงิ หาคม 2205 มกี ารสรา้ งวดั นกั บญุ ยอเซฟ นกิ ายโรมนั คาทอรกิ ซงึ่ มบี นั ทกึ ของ
บาทหลวง เดรยี ง โลเนย์ วา่ ชาวสยามชอบเลน่ ตะกรอ้ กนั มาก
พ.ศ. 2315 (ค.ศ. 1771) เป็ นชว่ งหมดยคุ กรงุ ศรอี ยธุ ยา ซง่ึ เป็ นตอนตน้ แหง่ ยคุ สมยั
กรงุ ธนบรุ ี เป็ นเมอื งหลวง ไดม้ ชี าวฝรง่ั เศสชอื่ นายฟรงั ซวั องั รี ตรุ ะแปง
ไดบ้ นั ทกึ ในหนงั สอื ชอื่ HISTOIRE DU ROYAUME DE SIAM พมิ พท์ ่ี กรงุ ปารสี ระบวุ า่
ชาวสยามชอบเลน่ ตะกรอ้ ในยามวา่ งเพอ่ื ออกกาลงั กาย
พ.ศ. 2395 (ค.ศ. 1850) ในยคุ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ หรอื กรงุ เทพมหานคร เป็ นเมอื งหลวง
ยงั มขี อ้ อา้ งองิ ในหนงั สอื ชอ่ื NARATIVE OF A FESIDENCE IN SIAM ของชาวองั กฤษชอ่ื
นายเฟรเดอรคิ อาร์ เซอรน์ ลี ระบวุ า่ มกี ารเลน่ ตะกรอ้ ในประเทศสยาม
พ.ศ. 2276-2301 (ค.ศ. 1733-1758) ในยคุ สมยั พระเจา้ บรมโกศ
ครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา
ซงึ่ เป็ นยคุ ทว่ี รรณคดหี รอื วฒั นธรรมดา้ นอกั ษรศาสตรเ์ ฟื่ องฟู
ก็มกี วหี ลายบทเกย่ี วพนั ถงึ ตะกรอ้
พ.ศ. 2352-2366 (ค.ศ. 1809-1823) เป็ นยคุ ตอนตน้ ของ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์
(กรงุ เทพมหานคร) เป็ นเมอื งหลวง สมยั
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั (รชั กาลที่ 2)
ทรงเป็ นพระมหากษตั รยิ ใ์ นพระราชนพิ นธร์ อ้ ยกรองของวรรณคดเี รอ่ื ง อเิ หนา
และเรอ่ื งสงั ขท์ อง มบี ทความรอ้ ยถอ้ ยความเกยี่ วพนั ถงึ ตะกรอ้ ดว้ ย
พ.ศ. 2366-2394 (ค.ศ. 1823-1851) ในยคุ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์
เป็ นเมอื งหลวง สมยั สมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี 3)
ทรงเป็ นพระมหากษตั รยิ ์ ในบทกวขี อง สทุ รภกู่ วเี อกแหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์
ไดเ้ ขยี นบทกวี นริ าศเมอื งสพุ รรณ ในปี พ.ศ. 2384 (ค.ศ. 1841)
มรี อ้ ยถอ้ ยความเกยี่ วพนั ถงึ ตะกรอ้ ไวเ้ ชน่ กนั
เหตผุ ลหรอื ขอ้ อา้ งทกี่ ล่าวมาทงั้ หลายทงั้ ปวง
ย่อมถอื เป็ นพยานหลกั ฐานไวว้ า่ คนสยามหรอื คนไทย ไดเ้ ลน่
ตะกรอ้ มาเป็ นเวลาชา้ นานแลว้
พ.ศ. 2468-2477 (ค.ศ. 1925-1934) ในยคุ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เป็ นเมอื งหลวง สมยั
สมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเป็ นพระมหากษตั รยิ ์ (รชั กาลที่ 7)
ไดม้ กี ารปรบั ปรงุ หรอื ดดั แปลงการเลน่ ตะกรอ้ ขนึ้ หลายรปู แบบ ซง่ึ มี
ตะกรอ้ ลอดหว่ ง, ตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย, ตะกรอ้ ชงิ ธง, ตะกรอ้ พลกิ แพลง และ
การตดิ ตะกรอ้ ตามรา่ งกาย
พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) โดย หลวงมงคลแมน ชอื่ เดมิ นายสงั ข์ บรู ณะศริ ิ
เป็ นผรู้ เิ รม่ิ วธิ กี ารเลน่ ตะกรอ้ ลอดหว่ ง และเป็ นผคู้ ดิ ประดษิ ฐ ์ หว่ งชยั ตะกรอ้
ขน้ึ เป็ นครงั้ แรก ซงึ่ เดมิ หว่ งชยั ตะกรอ้ เรยี งตดิ กนั ลงมา มี 3 หว่ ง
แตล่ ะหว่ งมคี วามกวา้ งไมเ่ ทา่ กนั กลา่ วคอื หว่ งบนเป็ นหว่ งเล็ก,
หว่ งกลางจะกวา้ งกวา่ หว่ งบน และหว่ งลา่ งสดุ มคี วามกวา้ งกวา่ ทกุ หว่ ง
การตดิ ตะกรอ้ ตามรา่ งกาย สมควรตอ้ งบนั ทกึ หรอื เขยี นไวเ้ ป็ นหลกั ฐานดว้ ย
เพราะถอื วา่ เป็ นความสามารถพเิ ศษเฉพาะตวั
ซงึ่ การตดิ ลกู ตะกรอ้ ไวต้ ามรา่ งกายเป็ นเรอ่ื งทไี่ มง่ า่ ย
ตอ้ งไดร้ บั การฝึ กอยา่ งมากประกอบกบั พรสวรรค์ เพราะการตดิ ลกู ตะกรอ้
ตอ้ งกระทากนั โดยลกู ตะกรอ้ ลอยมาในอากาศ และผเู้ ลน่ ตอ้ งใชอ้ วยั วะของรา่ งกาย เชน่
หนา้ ผาก, ไหล,่ คอ, คาง, ขอ้ พบั แขน, ขอ้ พบั ขาดา้ นหลงั หรอื ขาหนบี เป็ นตน้
โดยไมใ่ หล้ กู ตะกรอ้ ตกพน้ื ผทู้ ส่ี มควรบนั ทกึ ไวเ้ ป็ นหลกั ฐานหรอื เกยี รตปิ ระวตั ิ มจี านวน
5 คนไดแ้ ก่
1. พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) หมอ่ งปาหยนิ (คนพมา่ ) สามารถตดิ ตะกรอ้ ไดจ้ านวน 5
ลกู การทน่ี าเอาชอื่ หมอ่ งปาหยนิ บนั ทกึ ไวเ้ ป็ นประวตั กิ ารตดิ ลกู ตะกรอ้ ของไทย
ก็เพราะวา่ หมอ่ งปาหยนิ อาศยั อยใู่ นประเทศไทยตง้ั แตส่ มยั ยงั หนมุ่
มภี รรยาเป็ นคนไทย, ประกอบอาชพี อยใู่ นประเทศไทย จนเสยี ชวี ติ
2. นางชลอศรี ชมเฉวก เป็ นชาว อาเภอหลม่ สกั จงั หวดั เพชรบรู ณ์
สามารถตดิ ลกู ตะกรอ้ ได้ จานวน 9 ลกู
3. นายแปลง สงั ขวลั ย์ เป็ นชาว กรงุ เทพมหานคร สามารถตดิ ลกู ตะกรอ้ ได้ จานวน
9 ลกู
4. นายคลอ่ ง ไตรสวุ รรณ เป็ นชาว อาเภอปากพนงั จงั หวดั นครศรธี รรมราช
สามารถตดิ ลกู ตะกรอ้ ได้ 11 ลกู
5. นายประสงค์ แสงจนั ทร์ เป็ นชาว จงั หวดั สงิ หบ์ รุ ี สามารถตดิ ลกู ตะกรอ้ ไดจ้ านวน
24 ลกู ซง่ึ มกี ารดดั แปลงลกู ตะกรอ้ บางลกู ใหเ้ ล็กลง
ในชว่ งปี พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) คนสยามหรอื คนไทย
มคี วามชนื่ ชอบกฬี าตะกรอ้ กนั อยา่ งแพรห่ ลายขนึ้ เพราะตามเทศกาลงานวดั ตา่ ง ๆ
ในยคุ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เชน่ วดั สระเกศ (ภเู ขาทอง), วดั โพธท์ิ า่ เตยี น, วดั อนิ ทรวหิ าร
(บางขนุ พรหม) ไดเ้ ชญิ หมอ่ งปาหยนิ ไปแสดงโชวก์ ารตดิ ลกู ตะกรอ้ ตามรา่ งกาย
ซง่ึ มกี ารเก็บเงนิ คา่ ชมดว้ ย หลงั ยคุ หมอ่ งปาหยนิ ยงั มี หมอ่ มราชวงศอ์ ภนิ พ นวรตั น์
(หมอ่ มป๋ อง) เป็ นอกี ผหู้ นงึ่ ทมี่ คี วามสามารถเลน่ ตะกรอ้ พลกิ แพลง
ซงึ่ ก็ไดร้ บั เชญิ ไปเดาะตะกรอ้ โชวต์ ามเทศกาลงานวดั , โรงเรยี น และมหาวทิ ยาลยั ดว้ ย
พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927)
ไดม้ กี ารจดทะเบยี นกอ่ ตงั้ สมาคมกฬี าสยาม อยา่ งเป็ นทางการ
โดยมี พระยาภริ มยภ์ กั ดี เป็ น นายกสมาคมกฬี าสยาม คนแรก
ซงึ่ ไดจ้ ดั ใหม้ กี ารแขง่ ขนั ตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย ทท่ี อ้ งสนามหลวง เป็ นครง้ั แรก
พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) นายผล พลาสนิ ธุ์ รว่ มกบั นายยมิ้ ศรหี งส,์
หลวงสาเร็จวรรณกจิ และ ขนุ จรรยาวทิ ติ ไดป้ รบั ปรงุ แกไ้ ขวธิ กี ารเลน่
ตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย ซงึ่ บางคนก็ไดอ้ า้ งวา่ กลมุ่ ของ นายผล พลาสนิ ธุ์
เป็ นผคู้ ดิ วธิ กี ารเลน่ ตะกรอ้ ขา้ มเชอื ก มากอ่ น
โดยดดั แปลงจากกฬี าแบดมนิ ตนั และไดม้ กี ารจดั การแขง่ ขนั ท่ี จฬุ าลงกรณ์มหา
วทิ ยาลยั เป็ นครงั้ แรก
ประวตั ติ ะกรอ้ ชว่ งปี พ.ศ. 2475
พ.ศ. 2475-2479 (ค.ศ. 1932-1936) นายยมิ้ ศรหี งส์
ซงึ่ เป็ นเจา้ ของกจิ การ โรงพมิ พ์ศรีหงส์ เป็ น
นายกสมาคมกีฬาสยาม คนที่ 2
ไดจ้ ดั การแขง่ ขนั กีฬาไทยหลายอยา่ ง เชน่
กฬี าวา่ ว,ตะกรอ้ ลอดหว่ ง, ตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย, ตะกรอ้ วงเล็ก,
ตะกรอ้ วงใหญ่ และตะกรอ้ ชงิ ธง ทที่ อ้ งสนามหลวง
เป็ นการเฉลมิ ฉลองรฐั ธรรมนูญ ฉบบั แรกของประเทศสยาม
หรอื ประเทศไทย
พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) นาวาเอกหลวงศภุ ชลาศยั ร.น.
ไดก้ อ่ ตง้ั กรมพลศกึ ษา และทา่ นก็ไดด้ ารงตาแหน่ง
อธบิ ดกี รมพลศกึ ษา คนแรก จงึ ไดร้ บั สมญานามวา่
บดิ าแหง่ กรมพลศกึ ษา ซงึ่ ทา่ นเป็ นผมู้ คี วามสาคญั ยงิ่
ในการปรบั ปรงุ แกไ้ ข วธิ กี ารเลน่ ตะกรอ้
โดยมีผใู้ หค้ วามชว่ ยเหลือทสี่ าคญั จานวน 5 คน คอื
คณุ พระวบิ ูลย์, คณุ หลวงมงคลแมน, คณุ หลวงประคณู ,
พระยาอุดมพงษ์เพ็ญสวสั ดิ์ และ พระยาภกั ดนี รเศรษฐ
(นายเลดิ ) เป็ นเจา้ ของกจิ การรถเมลแ์ ละโรงน้าแข็ง
พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) พระยาจนิ ดารกั ษ์
ไดข้ นึ้ ดารงตาแหน่ง อธบิ ดกี รมพลศกึ ษา คนที่ 2
ทา่ นไดเ้ ป็ นประธานคณะกรรมการปรบั ปรงุ แกไ้ ข
กตกิ ากีฬาตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย ใหส้ มบรู ณ์ยง่ิ ขนึ้ ซงึ่
กรมพลศกึ ษา ไดป้ ระกาศใชก้ ตกิ ากฬี าตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย
อยา่ งเป็ นทางการ เมือ่ ปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937)
และจดั ใหม้ กี ารแขง่ ขนั ระหวา่ งโรงเรยี นมธั ยมชาย
ขนึ้ ท่วั ประเทศไทยดว้ ย
พ.ศ. 2480-2484 (ค.ศ. 1937-1941)
นาวาเอกหลวงศภุ ชลาศยั ร.น. ไดเ้ ป็ น นายกสมาคมกฬี าสยาม
พ.ศ. 2482 (ปี ค.ศ. 1939) ประเทศสยาม ไดเ้ ปลีย่ นชอื่ เป็ น
ประเทศไทย จงึ ทาให้ นาวาเอกหลวงศภุ ชลาศยั ร.น.
ดารงตาแหน่งสองสถานภาพในคราวเดยี วกนั กลา่ วคอื
ดารงตาแหน่ง นายกสมาคมกีฬาสยาม และ นายกสมาคมกฬี าไ
ทย ดว้ ย เพราะวา่ สมาคมกฬี าสยาม ไดเ้ ปลีย่ นชอื่ เป็ น
สมาคมกฬี าไทย ตามการเปลยี่ นชอื่ ของประเทศ น่นั เอง
พ.ศ. 2484-2490 (ค.ศ. 1941-1947) พระยาจนิ ดารกั ษ์ เป็ น
นายกสมาคมกฬี าไทย
พ.ศ. 2490-2498 (ค.ศ. 1947-1955) พนั เอกหลวงรณสทิ ธิ์
เป็ น นายกสมาคมกีฬาไทย
พ.ศ. 2497-2498 (ค.ศ. 1954-1955) จอมพล
ป.พบิ ูลสงคราม นายกรฐั มนตรี เป็ น ผอู้ ปุ ถมั ภ์พเิ ศษ
พ.ศ. 2498-2500 (ค.ศ. 1955-1957)
จอมพลเรอื หลวงยทุ ธศาสตร์โกศล ร.น. เป็ น
นายกสมาคมกฬี าไทย
พ.ศ. 2500-2503 (ค.ศ. 1957-1960) พลเอกประภาส
จารเุ สถียร เป็ น นายกสมาคมกีฬาไทย
พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) พลเอกประภาส จารเุ สถียร
ไดน้ าความกราบบงั คมทลู พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั
(รชั กาลที่ 9) ขอให้ สมาคมกีฬาไทย อยใู่ นพระบรมราชูปถมั ภ์
วนั ที่ 18 เมษายน 2503 (18 April 1960)
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั (รชั กาลที่ 9)
ไดท้ รงรบั สมาคมกีฬาไทย ไวใ้ น พระบรมราชปู ถมั ภ์
สมาคมกีฬาไทย
จงึ ไดเ้ ปลีย่ นสถานภาพเป็ น สมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชปู ถั
มภ์ ตง้ั แตบ่ ดั นน้ั เป็ นตน้ มา
พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) ประเทศไทย
เป็ นเจา้ ภาพจดั การแขง่ ขนั กีฬาแหลมทอง หรอื
เซียพเกมส์ ครง้ั ที่ 1 ประเทศพมา่ ไดน้ านกั กฬี าตะกรอ้ (พมา่
เรียกตะกรอ้ วา่ ชนิ ลง) มาเลน่ หรอื แสดงตามรูปแบบของพมา่
ใหค้ นไทยไดช้ มในลกั ษณะแลกเปลยี่ นวฒั นธรรม
พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) ประเทศพมา่
เป็ นเจา้ ภาพจดั การแขง่ ขนั กีฬาเซียพเกมส์ ครง้ั ที่ 2
ไดเ้ ชญิ นกั กฬี าตะกรอ้ ไทยไปรว่ มโชว์แสดง ซงึ่ ประเทศไทย
ไดส้ ง่ ทมี ตะกรอ้ ลอดหว่ ง ไปทาการโชว์แสดง
และไดร้ บั การชืน่ ชอบจากชาวพมา่ เป็ นอยา่ งมาก
พ.ศ. 2504-2511 (ปี ค.ศ. 1961-1968) พลเอกประภาส
จารุเสถยี ร เป็ น
นายกสมาคมกฬี าไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์ ปฐมเหตแุ หง่ การบ
รรจเุ ขา้ สูก่ ฬี าระดบั ชาติ
กาเนิดกฬี าเซปักตะกรอ้
ประวตั ติ ะกรอ้
ระหวา่ งเดอื น มนี าคม-เมษายน 2508 (March-April 1965)
สมาคมกฬี าไทยในพระบรมราชปู ถมั ภ์
ไดจ้ ดั งานเทศกาล กฬี าไทย โดยจดั ใหม้ กี ารแขง่ ขนั วา่ ว, กระบ-ี่ กระบอง และตะกรอ้ ณ
ทอ้ งสนามหลวง กรงุ เทพมหานคร ซง่ึ ครงั้ นนั้ สมาคมกฬี าตะกรอ้ จากเมอื งปี นงั
ประเทศมาเลเซยี ไดน้ าวธิ กี ารเลน่ ตะกรอ้ ของ มาเลเซยี คอื เซปกั รากา
ในเชงิ เชอ่ื มสมั พนั ธไมตรี
จารงิ มาเผยแพรใ่ หค้ นไทยรจู้ กั
และไดแ้ ลกเปลยี่ นเรยี นรใู้ นกตกิ าของตะกรอ้ ไทยดว้ ย
สมาคมกฬี าไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์
ไดจ้ ดั ใหม้ กี ารสาธติ กฬี าตะกรอ้ ของทง้ั สองประเทศ ระหวา่ งไทย กบั มาเลเซยี
โดยผลดั กนั เลน่ ตามกตกิ าของ มาเลเซยี 1 วนั , เลน่ แบบกตกิ า ของไทย 1 วนั
กตกิ าตะกรอ้ ไทยสมยั กอ่ น เรยี กวา่ ตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย
สาระสาคญั ของกตกิ าพอสงั เขป ดงั น้ี
1. สนามแขง่ ขนั และตาขา่ ยคลา้ ยกนั กบั กฬี าแบดมนิ ตนั
(ความยาวสนามสน้ั กวา่ )
2. จานวนผเู้ ลน่ และคะแนนการแขง่ ขนั
2.1 การเลน่ 3 คน แตล่ ะเซท จบเกมที่ 21 คะแนน (แขง่ ขนั 2 ใน 3 เซท)
2.2 การเลน่ 2 คน (ค)ู่ แตล่ ะเซท จบเกมที่ 15 คะแนน (แขง่ ขนั 2 ใน 3 เซท)
2.3 การเลน่ 1 คน (เดยี่ ว) แตล่ ะเซท จบเกมที่ 11 คะแนน (แขง่ ขนั 2 ใน 3
เซท)
3. ผเู้ ลน่ แตล่ ะคน-แตล่ ะทมี สามารถเลน่ ไดไ้ มเ่ กนิ 2 ครงั้ (2 จงั หวะ)
4. ผเู้ ลน่ แตล่ ะคน-แตล่ ะทมี ชว่ ยกนั ไมไ่ ด้ หากผใู้ ดถกู ลกู ตะกรอ้ จงั หวะแรก
ผนู้ น้ั ตอ้ งเลน่ ลกู ใหข้ า้ มตาขา่ ยตอ่ ไป
5. การเสริ ฟ์ แตล่ ะคนตอ้ งโยนและเตะลกู ดว้ ยตนเองตามลาดบั กบั มอื
ซงึ่ เรยี กวา่ มอื 1, มอื 2 และมอื 3 มลี กู สนั้ -ลกู ยาว
กตกิ าตะกรอ้ ของมาเลเซยี
เลน่ แบบ ขา้ มตาขา่ ย เชน่ เดยี วกนั ซง่ึ เรยี กวา่ เซปกั รากา จารงิ ดงั ทกี่ ลา่ วมาแลว้ วา่
ดดั แปลงการเลน่ มาจาก กฬี าวอลเลยบ์ อล โดยมนี กั กฬี าฝ่ ายละ 3 คน
แตล่ ะคนสามารถเลน่ ลกู ตะกรอ้ ไดค้ นละ ไมเ่ กนิ 3 ครงั้ /จงั หวะ และสามารถชว่ ยกนั ได้
ตอ้ งใหล้ กู ตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ย ซง่ึ เมอื่ กอ่ น เซปกั รากา จารงิ แตล่ ะเซทจบเกมที่ 15
คะแนน แขง่ ขนั 2 ใน 3 เซท เชน่ เดยี วกนั การสาธติ กฬี าตะกรอ้ ระหวา่ งไทย กบั
มาเลเซยี
วนั แรก เลน่ กตกิ าของไทย ปรากฏวา่ ไทยชนะดว้ ย 21 ตอ่ 0 คะแนน
นกั กฬี าไทยประกอบดว้ ย 1. จ.ส.ต.เจรญิ ศรจี ามร 2. ร.อ.จาเนยี ร แสงสม 3. นายชาญ
ธรรมวงษ์ (ซงึ่ ทง้ั 3 คนไดเ้ สยี ชวี ติ แลว้ )
วนั ทสี่ อง เลน่ กตกิ าของมาเลเซยี ปรากฏวา่ มาเลเซยี ชนะดว้ ย 15 ตอ่ 1 คะแนน
นกั กฬี าไทยประกอบดว้ ย 1. ส.อ.สวลั ย์ วงศพ์ พิ ฒั น์ 2. นายประเสรฐิ นมิ่ งามศรี 3.
นายสาเรงิ หวงั วชิ า (ซง่ึ ทงั้ 3 คนไดเ้ สยี ชวี ติ แลว้ )
จากผลของการสาธติ
แสดงใหเ้ ห็นวา่ ตา่ งฝ่ ายตา่ งถนดั หรอื มคี วามสามารถการเลน่ ในกตกิ าของตน
จงึ ไดม้ กี ารประชมุ พจิ ารณารว่ มกนั กาหนดกตกิ าการเลน่ ตะกรอ้ ขนึ้ ใหม่
เพอ่ื นาเสนอเขา้ แขง่ ขนั ใน กฬี าเซยี พเกมส์ ตอ่ ไป
ขอ้ ตกลงสรปุ ไดด้ งั น้ี
– วธิ กี ารเลน่ และรปู แบบสนามแขง่ ขนั ใหถ้ อื เอารปู แบบของประเทศ มาเลเซยี
– อปุ กรณ์การแขง่ ขนั (ลกู ตะกรอ้ -เน็ต) และขนาดความสงู ของเน็ต
ใหถ้ อื เอารปู แบบของประเทศไทย
ทมี่ าของคาวา่ เซปกั ตะกรอ้ ประวตั ติ ะกรอ้
คาวา่ เซปกั -ตะกรอ้ เป็ นภาษาของ 2 ชาตริ วมกนั
กลา่ วคอื คาวา่ เซปัก เป็ นภาษามาเลเซยี
แปลวา่ เตะ คาวา่ ตะกรอ้ เป็ นภาษาไทย หมายถงึ ลกู บอล
พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1695) ประเทศมาเลเซีย เป็ นเจา้ ภาพจดั การแขง่ ขนั
กฬี าเซียพเกมส์ ครง้ั ที่ 3
ไดบ้ รรจุ กีฬาเซปกั ตะกรอ้ เขา้ แขง่ ขนั ระดบั ชาตเิ ป็ นครง้ั แรก
โดยมกี ารแขง่ ขนั ประเภททมี ชุดเพยี งประเภทเดยี ว (แขง่ ขนั 2 ใน 3
ทีม) ซง่ึ มีทีมสง่ เขา้ รว่ มการแขง่ ขนั 3 ชาติ ไดแ้ ก่ มาเลเซีย, ไทย
และสงิ คโปร์ การแขง่ ขนั ครง้ั นน้ั ทมี ไทยกบั ทมี มาเลเซีย
เป็ นคชู่ งิ ชนะเลศิ ผลของการแขง่ ขนั ปรากฏวา่ ทมี มาเลเซีย
ไดค้ รองเหรยี ญทอง สามารถชนะทีมไทยทง้ั 3 ทมี
พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) ประเทศไทย
เป็ นเจา้ ภาพจดั การแขง่ ขนั กีฬาเซียพเกมส์ ครง้ั ที่ 4
มที ีมสง่ เขา้ รว่ มการแขง่ ขนั 4 ชาติ ไดแ้ ก่ ไทย, มาเลเซีย, สงิ คโปร์
และลาว การแขง่ ขนั ครง้ั นน้ั ทีมไทย กบั ทีมมาเลเซีย เป็ นคชู่ งิ ชนะเลศิ
ผลของการแขง่ ขนั ปรากฏวา่ ทีมไทย ไดค้ รองเหรียญทอง
สามารถชนะทมี มาเลเซีย ทง้ั 3 ทมี
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) ประเทศพมา่
เป็ นเจา้ ภาพจดั การแขง่ ขนั กฬี าเซียพเกมส์ ครง้ั ที่ 5
ไมม่ กี ารแขง่ ขนั กฬี าเซปกั ตะกรอ้
มเี พยี งการโชว์แสดงการเลน่ ตะกรอ้ ของแตล่ ะประเทศเทา่ นน้ั
ซ่ึงประเทศไทย ไดน้ าทีมตะกรอ้ ลอดหว่ งไปแสดงโชว์
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) ประเทศไทย
มกี ารเลอื กตง้ั คณะกรรมการบรหิ ารสมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชูปถั
มภ์ ชุดใหม่
พ.ศ. 2512-2516 (ปี ค.ศ. 1969-1973) พลเอกประภาส จารุเสถยี ร
เป็ นนายกสมาคมกฬี าไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์
พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) หลวงสมั ฤทธวิ์ ศิ วกรรม
เป็ นนายกสมาคมกฬี าไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์
หลวงสมั ฤทธวิ์ ศิ วกรรม
ดารงตาแหน่งนายกสมาคมกฬี าไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์
ไดเ้ พียงปี เดยี วก็ลาออก เนื่องจากสขุ ภาพไมด่ ี
พ.ศ. 2518-2526 (ค.ศ. 1975-1983) พลโทผเชญิ นิมบิ ุตร
เป็ นนายกสมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์
การกอ่ ตงั้ สมาคมตะกรอ้ แหง่ ประเทศไทย ประวตั ติ ะกรอ้
ไทย
ในชว่ งท่ี พลโทผเชญิ นมิ บิ ตุ ร
ดารงตาแหนง่ นายกสมาคมกฬี าไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์
ไดม้ กี ารเปลยี่ นแปลงเพอื่ นาไปสกู่ ารพฒั นากฬี าเซปกั ตะกรอ้ ภายในประเท
ศไทยอยา่ งมากมายหลายประการ ซงึ่ เหตกุ ารณ์ทส่ี าคญั ไดแ้ ก่
ปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981)
คณะกรรมการบรหิ ารสมาคมกฬี าไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์
เห็นวา่ สมาคมกฬี าไทยฯ มคี วามรบั ผดิ ชอบ กฬี าไทย หลายประเภท
ดแู ลไมท่ ว่ั ถงึ ไมส่ ามารถพฒั นากฬี าเซปกั ตะกรอ้ ใหก้ า้ วหนา้
ประวตั สิ มาคมตะกรอ้ แหง่ ประเทศไทย
เมอ่ื ปี พ.ศ. 2524 คณะกรรมการบรหิ ารสมาคมกฬี าไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์
ไดม้ มี ตแิ ละอนมุ ตั ใิ ห้ พ.อ.(พเิ ศษ) เดชา กลุ บตุ ร
ขณะทท่ี า่ นเป็ นเลขาธกิ ารสมาคมกฬี าไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์
และกรรมการบรหิ ารสมาคมกฬี าไทยกลมุ่ หนง่ึ
ไปกอ่ ตงั้ และขอจดทะเบยี นตงั้ สมาคมขนึ้ มาอกี 1 สมาคม
เพอื่ บรหิ ารกจิ กรรมกฬี าตะกรอ้ โดยเฉพาะ ใชช้ อ่ื วา่ สมาคมตะกรอ้
โดยทาการยน่ื ขอจดทะเบยี นตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2524 ในขณะทกี่ าลงั ดาเนนิ การจดทะเบยี น
ทป่ี ระชมุ ไดม้ มี ตใิ ห้ พ.อ.(พเิ ศษ) เดชา กลุ บตุ ร รกั ษาการเป็ นนายกสมาคมตะกรอ้
โดยมนี ายนพชยั วฒุ กิ มลชยั ผทู้ าหนา้ ทเ่ี ป็ นเลขาธกิ ารสมาคมฯ ตอ่ มาเมอื่ วนั ที่ 17
เมษายน 2526 สมาคมไดร้ บั ใบอนญุ าตจดั ตงั้ สมาคม ตามเลขทอี่ นญุ าต ท่ี ต.204/2526
เลขคาขอที่ 204/2526 โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่
1. เป็ นการสง่ เสรมิ ความสมั พนั ธไ์ มตรรี ะหวา่ งประเทศใหด้ ยี ง่ิ ขนึ้
2. เป็ นการสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ กฬี าตะกรอ้ ใหแ้ พรห่ ลายยงิ่ ขนึ้
3. จดั การแขง่ ขนั ภายในประเทศ และนอกประเทศ
4. เผยแพรใ่ หเ้ ยาวชน สถาบนั การศกึ ษา โรงเรยี น และรฐั วสิ าหกจิ
ใหม้ กี ารแขง่ ขนั มากขนึ้
5. จดั ใหม้ กี ารควบคมุ ใหอ้ ยใู่ นขอบขา่ ย และจดั ใหม้ กี ารแขง่ ขนั ในระดบั ตา่ งๆ มากยง่ิ ขนึ้
6. ตง้ั ศนู ยอ์ บรม เผยแพรใ่ หแ้ กเ่ ยาวชน และประชาชนทว่ั ไป
7. ไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การเมอื ง
มที ตี่ งั้ สานกั งานแหง่ ใหญ่ ณ เลขที่ 179 ซอยเจรญิ พร ถนนประดพิ ทั ธ์ แขวงสามเสนใน
เขตพญาไท กรงุ เทพมหานคร
ตอ่ มาเมอื่ วนั ที่ 20 สงิ หาคม 2526 พ.อ.(พเิ ศษ) เดชา กลุ บตุ ร และคณะกรรมการบรหิ าร
(ชุดรกั ษาการ) และสโมสรสมาชกิ ในขณะนนั้ ไดม้ กี ารประชุมใหญส่ ามญั
โดยมวี าระทสี่ าคญั คอื ใหม้ กี ารเลอื กตง้ั คณะกรรมการบรหิ ารชดุ ใหม่ เมอื่ ถงึ วาระสาคญั
พ.อ.(พเิ ศษ) เดชา กลุ บตุ ร ทา่ นไดแ้ จง้ ใหท้ ปี่ ระชมุ ทราบวา่
ทา่ นภมู ใิ จในการทไี่ ดร้ ว่ มกนั กอ่ ตง้ั สมาคมฯนขี้ นึ้ มา แตข่ ณะนที้ า่ นไดช้ รามากแลว้
จงึ เห็นควรทจี่ ะมอบหมายหรอื เลอื กตง้ั บคุ คลอน่ื มาทาหนา้ ทแี่ ทนทา่ น
และทา่ นไดเ้ ป็ นผเู้ สนอชอ่ื พ.อ. จารกึ อารรี าชการณั ย์ (ยศในขณะนนั้ )
เป็ นนายกสมาคมฯ ดว้ ยตวั ทา่ นเอง ทป่ี ระชมุ ไมม่ ผี ใู้ ดคดั คา้ นเห็นชอบตามเสนอ พ.อ.
จารกึ อารรี าชการณั ย์ จงึ ไดร้ บั ตาแหนง่ นายกสมาคมตะกรอ้ แหง่ ประเทศไทย
มาตงั้ แตบ่ ดั นน้ั จนถงึ ปจั จบุ นั
เกรด็ ความรูต้ ะกรอ้
ทางประเทศจนี ก็มกี ฬี าทคี่ ลา้ ยกีฬาตะกรอ้ แตเ่ ป็ นการเตะตะกรอ้ ชนิดทเี่ ป็ นลกู หนงั
ปกั ขนไก่ ซง่ึ จะศกึ ษาจากภาพเขียนและพงศาวดารจนี
ชาวจนี กวางตงุ้ ทเี่ ดนิ ทางไปตง้ั รกรากในอเมรกิ าไดน้ าการเลน่ ตะกรอ้ ขนไกน่ ี้ไปเผ
ยแพร่ แตเ่ รยี กวา่ เตกโก (Tek K’au) ซงึ่ หมายถงึ การเตะลกู ขนไก่
ทางมาเลเซยี ก็ประกาศวา่ ตะกรอ้ เป็ นกฬี าของประเทศมาลายเู ดมิ เรยี กวา่
ซีปกั รากา (Sepak Raga) คาวา่ Raga หมายถงึ ตะกรา้
ตะกรอ้ ทใี่ ชเ้ ดมิ ใชห่ วายถกั เป็ นลูกตะกรอ้ ปจั จุบนั นยิ มใชล้ กู ตะกรอ้ พลาสตกิ
ประเทศเกาหลี ก็มลี กั ษณะคลา้ ยกบั ของจนี แตล่ กั ษณะของลูกตะกรอ้ แตกตา่ งไป
คอื ใชด้ นิ เหนียวหอ่ ดว้ ยผา้ สาลเี อาหางไกฟ่ ้ าปกั
โดยภมู ศิ าสตร์ของไทยเองก็สง่ เสรมิ สนบั สนุนใหเ้ ราไดท้ ราบประวตั ขิ องตะกรอ้
คอื ประเทศของเราอดุ มไปดว้ ยไมไ้ ผ่
หวายคนไทยนิยมนาเอาหวายมาสานเป็ นสง่ิ ของเครือ่ งใช้
รวมถงึ การละเลน่ พ้ืนบา้ นดว้ ย
อกี ทง้ั ประเภทของกีฬาตะกรอ้ ในประเทศไทยก็มหี ลายประเภท เชน่ ตะกรอ้ วง
ตะกรอ้ ลอดหว่ ง ตะกรอ้ ชงิ ธงและการแสดงตะกรอ้ พลกิ แพลงตา่ งๆ
ซง่ึ การเลน่ ตะกรอ้ ของประเทศอนื่ ๆนน้ั มกี ารเลน่ ไมห่ ลายแบบหลายวธิ เี ชน่ ของไทย
เรา
การเลน่ ตะกรอ้ มวี วิ ฒั นาการอยา่ งตอ่ เนื่องมาตามลาดบั ทง้ั ดา้ นรปู แบบและวตั ถุดบิ
ในการทาจากสมยั แรกเป็ นผา้ , หนงั สตั ว์ , หวาย , จนถงึ ประเภทสงั เคราะห์ (
พลาสตกิ )
ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ สถาน พ . ศ . 2525
ไดใ้ หค้ าจากดั ความเอาไวว้ า่ ตะกรอ้ คอื ลกู กลมสานดว้ ยหวายเป็ นตา สาหรบั เตะ
ทา่ เตะตะกรอ้ มหี ลายทา่ ทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความงดงามและความวอ่ งไว
ตามปกตจิ ะใชห้ ลงั เทา้ แตน่ กั เลน่ ตะกรอ้ จะมวี ธิ เี ตะทพี่ ลกิ แพลง ใชห้ น้าเทา้ เขา่
ไขวข้ า (เรยี กวา่ ลูกไขว)้ ไขวข้ าหน้า ไขวข้ าหลงั ศอก ขอ้ สาคญั คอื
ความเหนียวแน่นทตี่ อ้ งรบั ลกู ใหไ้ ดเ้ ป็ นอยา่ งดเี มอื่ ลกู มาถงึ ตวั
ผูเ้ ลน่ มกั ฝึ กการเตะตะกรอ้ ดว้ ยทา่ ตา่ ง ๆ ลลี าในการเตะตะกรอ้ มี 4 แบบ คอื
การเตะเหนียวแน่น (การรบั ใหไ้ ดอ้ ยา่ งดี) การเตะแมน่ คู่ (การโตต้ รงค)ู่
การเตะดงู ามตา (ทา่ เตะสวย มสี งา่ ) การเตะทา่ มาก (เตะไดห้ ลายทา่ )
เซปกั ตะกรอ้ เป็ นกฬี าพน้ื เมอื งของประเทศในทวปี เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
การเลน่ กีฬา เซปกั ตะกรอ้ คอ่ นขา้ งคลา้ ย ๆ กบั กฬี าฟตุ วอลเลย์
แตต่ า่ งกนั ตรงทใี่ ชล้ กู หวายในการเลน่
และอนุญาตใหผ้ ูเ้ ลน่ สมั ผสั บอลโดยใชไ้ ดเ้ พยี งเทา้ เขา่ หน้าอก และหวั เทา่ นน้ั
โดยกีฬาเซปกั ตะกรอ้ นน้ั ไดร้ บั ความนิยมเลน่ กนั มากทปี่ ระเทศไทย
ชือ่ ทเี่ รียกกฬี าชนิดนี้ อาจแตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะพ้นื ทเี่ ชน่ ในประเทศไทย
เรยี กวา่ ตะกรอ้ ประเทศลาว เรยี กวา่ Kataw ประเทศมาเลเซีย เรยี กวา่ Sepak
Raga (รากา) สว่ นประเทศพมา่ รูจ้ กั กนั ในชือ่ ของ Chin Lone (ชนิ ลง)
ซงึ่ เป็ นการเลน่ ทไี่ มม่ ที มี ฝ่ ายตรงขา้ ม การเลน่ จะเน้นใหล้ กู บอลลอยอยูก่ ลางอากาศ
ซง่ึ มกี ตกิ าทหี่ ลากหลายและน่าสนใจ สว่ นในประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์
จะรจู้ กั กฬี าเซปกั ตะกรอ้ ในชือ่ ของ Sipa ซงึ่ มคี วามหมายวา่ การเตะ น่นั เอง
ประเภทของกฬี าตะกรอ้
1. เซปกั ตะกรอ้ การแขง่ ขนั ตะกรอ้ ในระดบั นานาชาติ เรยี กเกมกฬี าชนดิ นวี้ า่ เซปกั ตะกรอ้
โดยเป็ นการแขง่ ขนั ของผเู้ ลน่ 2 ทมี ทาการโตล้ ูกตะกรอ้ ขา้ มตาขา่ ยเพอ่ื ใหล้ งในแดนของคตู่ อ่ สู้
กตกิ า เซปกั ตะกรอ้ สาหรบั การรบั ชม โดยสงั เขป
ผเู้ ลน่ ประเภทเดยี่ ว มผี เู้ ลน่ ตวั จรงิ 3 คน สารอง 1 คน ประเภททมี ประกอบดว้ ย 3 ทมี มผี เู้ ลน่
9 คน และผเู้ ลน่ สารอง 3 คน
เมอื่ เรม่ิ เลน่ ทง้ั 2 ทมี พรอ้ มในแดนของตนเอง ผเู้ ลน่ ฝ่ ายเสริ ์ฟจะตอ้ งอยใู่ นวงกลมของตนเอง
เมอื่ เสริ ์ฟแลว้ จงึ เคลือ่ นทไี่ ด้ สว่ นผเู้ ลน่ ฝ่ ายรบั จะยืนทใี่ ดก็ได้
เสริ ์ฟลกู สมั ผสั เน็ต ไมถ่ ือวา่ ฟาล์ว แตจ่ ะเสยี คะแนนถา้ ลกู ไมข่ า้ มไปฝ่งั ตรงขา้ ม
หรือขา้ มและลูกออก
หลงั จากทเี่ สริ ์ฟแลว้ ฝ่ ายรบั จะมโี อกาสเลน่ บอลไดไ้ มเ่ กนิ 3 ครง้ั
โดยมเี ป้ าหมายเพอื่ สง่ ลกู กลบั มาอกี ฝ่งั
และพยายามใหล้ งสมั ผสั กบั พน้ื ทีส่ นามของฝ่ ายตรงขา้ มใหไ้ ด้
โดยเกมจะแบง่ เป็ นกรณีดงั ตอ่ ไปนี้
กรณีที่ ฝ่ ายเสริ ฟ์ จะไดค้ ะแนน
– เสริ ฟ์ ลงสมั ผสั กบั พนื้ สนามของฝ่ ายรบั
– เสริ ฟ์ ลูกโดนตาขา่ ย แตล่ กู พลกิ ไปลงสมั ผสั กบั พนื้ สนามของฝ่ ายรบั
– เสริ ฟ์ ลูกแลว้ ฝ่ ายรบั สมั ผสั บอลแลว้ บอลตกในฝ่งั ของฝ่ ายรบั เอง หรอื
สมั ผสั แลว้ ทาลูกสมั ผสั พนื้ ในสว่ นนอกสนาม
– เสริ ฟ์ ลกู แลว้ ฝ่ ายรบั เลน่ บอลเกนิ 3 ครงั้
– เสริ ฟ์ ลูกแลว้ ฝ่ ายรบั เลน่ บอลไมเ่ กนิ 3 ครงั้ แตไ่ มส่ ามารถสง่ ลูกไปยงั สนามของฝ่ ายตรงขา้ มได้
ไมว่ า่ จะเป็ น ตดิ ตาขา่ ย ทาลูกหลน่ สมั ผสั พน้ื ในแดนตนเอง
หรอื สง่ ขา้ มไปแลว้ ลกู สมั ผสั พนื้ นอกพนื้ ทกี่ ารเลน่
กรณีที่ ฝ่ ายรบั จะไดค้ ะแนน
– ฝ่ ายเสริ ฟ์ เสริ ฟ์ ตดิ ตาขา่ ย และลูกไมข่ า้ มมาลงพนื้ ทสี่ นามของฝ่ ายรบั หรอื เสริ ฟ์ ออก
– ฝ่ ายรบั สามารถเตะบอลลงสมั ผสั พน้ื สนามของฝ่ ายเสริ ฟ์ ได้
– ฝ่ ายรบั เตะบอลสมั ผสั ถกู ผูเ้ ลน่ ของฝ่ ายเสริ ฟ์ และลกู ตกสมั ผสั พน้ื ในแดนของฝ่ ายเสริ ฟ์
– ฝ่ ายรบั เตะบอลสมั ผสั ถกู ผูเ้ ลน่ ของฝ่ ายเสริ ฟ์ และลูกสมั ผสั พน้ื ทน่ี อกสนาม
– ฝ่ ายเสริ ฟ์ สมั ผสั ถกู ตาขา่ ยระหวา่ งการเลน่
หากฝ่ ายรบั เลน่ บอลสง่ ไปฝ่งั ตรงขา้ มและฝ่ ายเสริ ์ฟรบั ได้ ใหใ้ ชก้ ฎเดยี วกนั คือ
ฝ่ ายเสริ ์ฟมโี อกาสเลน่ บอลไดไ้ มเ่ กนิ 3 ครง้ั เพอื่ สง่ ลกู กลบั ไป
เกมจะดาเนนิ ไปจนกวา่ จะมฝี ่งั ใดไดค้ ะแนน
อนุญาตใหฝ้ ่ ายทไี่ มไ่ ดเ้ ลน่ บอล กระโดดบล็อกการเลน่ ทไี่ มใ่ ชล่ กู เสริ ์ฟได้
ฝ่ ายทไี่ ดค้ ะแนนจะเป็ นผไู้ ดส้ ทิ ธใิ์ นการเสริ ์ฟ
การแขง่ ขนั ใช้แบบ 2 ใน 3 เซต ในเซตที่ 1 และเซตที่ 2 จะมคี ะแนนสงู สดุ 15 คะแนน
ทมี ใดได้ 15 คะแนนกอ่ น จะเป็ นผชู้ นะในเซตนน้ั ๆ ทง้ั 2 เซต จะไมม่ ดี วิ ส์ หากทง้ั สองทีมได้
13 กอ่ น หรือ 14 เทา่ กนั พกั ระหวา่ งเซต 2 นาที ถา้ เสมอกนั 1:1 เซต ใหท้ าการแขง่ ขนั เซตที่
3 ดว้ ยไทเบรก โดยเรมิ่ ดว้ ยการเสยี่ งใหม่ โดยใชค้ ะแนน 6 คะแนน ทีมใดได้ 6
คะแนนก่อนเป็ นผชู้ นะ แตจ่ ะตอ้ งแพ้ชนะอยา่ งน้อย 2 คะแนน ถา้ ยงั ไมแ่ พก้ นั ไมน่ ้อยกวา่ 2
คะแนน ก็ใหท้ าการแขง่ ขนั อกี 2 คะแนน แตไ่ มเ่ กนิ 8 คะแนน เชน่ 8:6 หรือ 8:7
ถือเป็ นการยุตกิ ารแขง่ ขนั ระบบไทเบรก เมอื่ ฝ่ ายใดก็ตามได้ 3 คะแนน
และขอเวลานอกไดเ้ ซตละ 1 ครง้ั ครง้ั ละ 1 นาที สาหรบั ไทเบรก ขอเวลาได้ 1 ครง้ั ครง้ั ละ 30
วนิ าที
2. ตะกรอ้ ทเี่ ลน่ เป็ นทมี โดยไมม่ ฝี ่ ายตรงขา้ ม เชน่ ตะกรอ้ วง | ผูเ้ ลน่ จะลอ้ มเป็ นวง
ผูเ้ รมิ่ ตน้ จะใชเ้ ทา้ เตะลูกตะกรอ้ ไปใหอ้ กี ผรู้ บั หนึง่
ผูร้ บั จะตอ้ งมคี วามวอ่ งไวในการใชเ้ ทา้ รบั และเตะสง่ ไปยงั อกี ผหู้ นงึ่ จงึ เรยี กวธิ เี ลน่ น้ีวา่
“เตะตะกรอ้ ” ความสนุกอยูท่ กี่ ารหลอกลอ่ ทจี่ ะเตะไปยงั ผูใ้ ด
ถา้ ผเู้ ตะทง้ั วงมคี วามสามารถเสมอกนั
จะโยนและรบั ไมใ่ หต้ ะกรอ้ ถงึ พนื้ ไดเ้ ป็ นเวลานานมาก กลา่ วกนั วา่ ทง้ั วนั หรอื ทง้ั คนื กย็ งั มี
แตผ่ ูเ้ ลน่ ยงั ไมช่ านาญกโ็ ยนรบั ไดไ้ มก่ ีค่ รง้ั ลูกตะกรอ้ ก็ตกถงึ พ้นื
3. การตดิ ตะกรอ้ (เลน่ เดีย่ ว) เป็ นศลิ ปะการเลน่ ตะกรอ้ คอื
เตะตะกรอ้ ใหไ้ ปตดิ อยทู่ สี่ ว่ นใดสว่ นหนึ่งของรา่ งกาย และตอ้ งถว่ งน้าหนกั ใหอ้ ยูน่ าน
แลว้ ใชอ้ วยั วะสว่ นนน้ั สง่ ไปยงั สว่ นอนื่ โดยไมใ่ หต้ กถงึ พน้ื เชน่ การตดิ ตะกรอ้ ทหี่ ลงั มอื
ขอ้ ศอก หน้าผาก จมกู เป็ นตน้ ผูเ้ ลน่ ตอ้ งฝึ กฝนอยา่ งมาก
4. ตะกรอ้ ตดิ บว่ ง การเตะตะกรอ้ ตดิ บว่ ง ใชบ้ ว่ งกลมๆแขวนไวใ้ หส้ งู สดุ
แตผ่ ูเ้ ลน่ จะสามารถเตะใหล้ อดบว่ งไปยงั ผูอ้ นื่ ได้ กลา่ วกนั วา่ บว่ งทเี่ ลน่ เคยสงู สดุ ถงึ 7 เมตร
และยงิ่ เขา้ บว่ งจานวนมากเทา่ ไรยง่ิ แสดงถงึ ความสามารถ ถือเป็ นการฝึ กฝนได้
มารยาทในการเล่นตะกรอ้ ทดี่ ี
การเลน่ กฬี าทกุ ชนดิ ผเู้ ลน่ จะตอ้ งมมี ารยาทในการเลน่ และการแขง่ ขนั
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นใหเ้ ป็ นไปตามขนั้ ตอนของการเลน่ กฬี าแตล่ ะประเภท
จงึ จะนบั วา่ เป็ นผเู้ ลน่ ทด่ี แี ละมมี ารยาท ผเู้ ลน่ ควรตอ้ งมมี ารยาทดงั น้ี คอื
1. การแสดงความยนิ ดี ชมเชยดว้ ยการปรบมอื หรอื จบั มอื เมอื่ เพอื่ นเลน่ ไดด้ ี
แสดงความเสยี ใจเมอื่ ตนเอง
หรอื เพอื่ นรว่ มทมี เลน่ ผดิ พลาดและพยามปลอบใจเพอื่ น
ตลอดจนปรบั ปรงุ การเลน่ ของตวั เองใหด้ ีขน้ึ
2. การเลน่ อยา่ งสภุ าพและเลน่ อยา่ งนกั กฬี า
การแสดงกริ ยิ าทา่ ทางการเลน่ ตอ้ งใหเ้ หมาะสมกบั การเป็ นนกั กีฬาทดี่ ี
3. ผูเ้ ลน่ ทดี่ ตี อ้ งไมห่ ยบิ อปุ กรณ์ของผอู้ นื่ มาเลน่ โดยพลการ
4. ไมว่ า่ จะชนะหรือแพต้ อ้ งไมแ่ สดงอาการดีใจหรอื เสยี ใจจนเกนิ ไป
5. ผูเ้ ลน่ ตอ้ งเชือ่ ฟงั คาตดั สนิ ของกรรมการ
หากไมพ่ อใจคาตดั สนิ ก็ยนื่ ประทว้ งตามกตกิ า
6. ผูเ้ ลน่ ตอ้ งควบคมุ อารมณ์ใหส้ ขุ มุ อยตู่ ลอดเวลา
7. กอ่ นการแขง่ ขนั หรือหลงั การแขง่ ขนั ไมว่ า่ จะเป็ นฝ่ ายแพห้ รือชนะก็ตาม
ควรจะตอ้ งจบั มอื แสดงความยนิ ดี
8. หากมกี ารเลน่ ผดิ พลาด
จะตอ้ งกลา่ วคาขอโทษทนั ทแี ละตอ้ งกลา่ วใหอ้ ภยั เมอื่ ฝ่ ายตรงขา้ มกลา่ วขอโทษดว้ ย
ความยม้ิ แยม้ แจม่ ใส
9. ตอ้ งแตง่ กายรดั กมุ สภุ าพ ถกู ตอ้ งตามกตกิ าทกี่ าหนดไว้
10. ไมส่ ง่ เสยี งเอะอะในขณะเลน่ หรอื แขง่ ขนั จนทาใหผ้ ูเ้ ลน่ อนื่ เกดิ ความราคาญ
11. ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎขอ้ บงั คบั ตามกตกิ าอยา่ งเครง่ ครดั
12. มคี วามอดทนตอ่ การฝึ กซอ้ มและการเลน่
13. หลงั จากฝึ กซอ้ มแลว้ ตอ้ งเก็บอปุ กรณ์ใหเ้ รยี บรอ้ ย
14. เลน่ และแขง่ ขนั ดว้ ยชน้ั เชงิ ของนกั กีฬา รแู้ พ้ รชู้ นะ รอู้ ภยั ในการเลน่ กฬี า
มารยาทของผูช้ มตะกรอ้ ทดี่ ี
1. ปรบมอื ใหน้ กั กีฬาและผตู้ ดั สนิ เมอื่ เขาดนิ ลงสนาม
2. ปรบมอื แสดงความยนิ ดเี มอื่ ผเู้ ลน่ เลน่ ไดด้ ี หรอื ชนะการแขง่ ขนั
3. น่งั ชมดว้ ยความสงบเรียบรอ้ ยไมส่ ง่ เสยี งเอะอะ
4. ไมแ่ สดงทา่ ทางยว่ั ยใุ หผ้ เู้ ลน่ ขาดสมาธิ
5. ไมใ่ ชเ้ สยี งเพลงทมี่ เี น้ือหาหยาบคาย สรา้ งความแตกแยก
6. อยา่ แสดงกริ ยิ าไมส่ ภุ าพหรอื ใชว้ สั ดสุ ง่ิ ของขวา้ งปาลงสนาม นกั กฬี า
หรอื กรรมการ
7. ผูด้ ูตอ้ งยอมรบั การตดั สนิ ของผูต้ ดั สนิ
8. ไมส่ ง่ เสยี งโหร่ อ้ งหรือแสดงกริ ยิ าเยย้ หยนั
เมอื่ ผเู้ ลน่ เลน่ ผดิ พลาดหรือผตู้ ดั สนิ ผดิ พลาด
9. ผูด้ ูควรเรยี นรกู้ ตกิ าการแขง่ ขนั กีฬาชนิดนน้ั ๆ พอสมควร
10. ใหค้ วามรว่ มมอื กบั เจา้ หน้าที่ เมอื่ เกดิ เหตุการณ์วนุ่ วายขนึ้ ในสนามแขง่ ขนั
11. สนบั สนุนใหก้ าลงั ใจและใหเ้ กียรตนิ กั กฬี าทกุ ประเภทเพอื่ เป็ นการสง่ เสรมิ การกีฬา
ของชาติ