The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rattaowner, 2021-09-13 07:22:43

ศิลปะยุคกลาง

ศิลปะยุคกลาง

ศิลปะยคุ กลาง (Middle Age)

ศลิ ปะยุคกลางในโลกตะวนั ตกครอบคลุมเนอ้ื หาท้งั ทางเวลาและภูมิภาคท่ยี นื ยาวกวา่ 1,000 ปี (ประมาณปคี .ศ.
300 - ค.ศ. 1300) ของประวัตศิ าสตร์ศิลปะของยโุ รป ตะวันออกกลาง และ แอฟริกาเหนอื บรบิ ทของศลิ ปะยคุ กลางรวม
ขบวนการทางศิลปะและสมยั ศิลปะทีส่ ำคญั ๆ ท้งั ระดับชาติ ระดับทอ้ งถน่ิ ประเภทงาน การฟื้นฟู งานศิลปะ และ ศิลปนิ
เอง

นักประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปพ์ ยายามท่จี ะให้ความหมายและนิยามศลิ ปะยุคกลางออกเปน็ สมัยและ ลักษณะแต่กป็ ระสบ
กบั ปัญหา โดยท่ัวไปแล้วกจ็ ะรวมคริสเตยี นยคุ แรก ศิลปะสมัยการโยกย้ายถ่นิ ฐาน ศิลปะไบแซนไทน์ ศิลปะเกาะ ยุคกอ่ นโร
มาเนสก์ and ศิลปะโรมาเนสก์ และศิลปะกอธคิ และยังรวมไปถึงสมยั อ่นื ๆ อีกหลายสมัยภายในกลุ่มลกั ษณะน้ี นอกจาก
การแบ่งแยกลกั ษณะไปตามภมู ิภาคแลว้ ลักษณะของสังคมโดยทว่ั ไปในช่วงนีเ้ ป็นสงั คมทอี่ ยูใ่ นระหวา่ งการสรา้ งตนเองให้
เป็นชาตเิ ป็นวัฒนธรรม และจะมีลักษณะศิลปะท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ของตนเอง เชน่ ศิลปะแองโกล-แซก็ ซอน หรือ ศลิ ปะนอรส์
งานศลิ ปะยุคกลางมีหลายรูปแบบแต่สิง่ ที่ยงั คงหลงเหลอื อยู่ใหเ้ ห็นกไ็ ด้แก่งานประติมากรรม หนงั สือวจิ ติ ร งานกระจกสี
งานโลหะ และ งานโมเสกซง่ึ เป็นงานท่ีมีความเป็นถาวรภาพมากกว่าจติ รกรรมฝาผนงั งานไม้ หรอื ผา้ และเครอ่ื งแต่งกาย
รวมทง้ั พรมแขวนผนงั

ศิลปะยคุ กลาง (อังกฤษ: Medieval art) “ศลิ ปะยุคกลาง” ในโลกตะวนั ตกครอบคลุมเนื้อหาท้ังทางเวลาและภูมภิ าคทย่ี นื
ยาวกว่า 1,000 ปขี องประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะของยุโรป ตะวนั ออกกลาง และ แอฟริกาเหนอื บรบิ ทของศิลปะยคุ กลางรวม
ขบวนการทางศิลปะและสมยั ศิลปะที่สำคญั ๆ ทั้งระดับชาติ ระดบั ทอ้ งถนิ่ ประเภทงาน การฟน้ื ฟู งานศิลปะ และ ศิลปิน
เอง

นกั ประวัตศิ าสตรศ์ ลิ ป์พยายามทจ่ี ะให้ความหมายและนยิ ามศิลปะยคุ กลางออกเปน็ สมัยและ ลักษณะแต่ก็ประสบกับ
ปัญหา โดยทว่ั ไปแลว้ กจ็ ะรวมคริสเตียนยคุ แรก ศลิ ปะสมัยการโยกยา้ ยถ่ินฐาน ศิลปะไบแซนไทน์ ศิลปะเกาะ ยคุ ก่อนโร
มาเนสก์ and ศิลปะโรมาเนสก์ และศิลปะกอธิค และยงั รวมไปถึงสมยั อ่ืนๆ อีกหลายสมัยภายในกลุ่มลักษณะนี้ นอกจาก
การแบง่ แยกลักษณะไปตามภูมิภาคแลว้ ลักษณะของสังคมโดยทว่ั ไปในชว่ งนีเ้ ปน็ สังคมทีอ่ ยู่ในระหวา่ งการสรา้ งตนเองให้
เปน็ ชาตเิ ปน็ วัฒนธรรม และจะมีลักษณะศิลปะท่ีเปน็ เอกลักษณ์ของตนเอง เช่นศิลปะแองโกล-แซ็กซอน หรอื ศลิ ปะนอรส์
งานศิลปะยคุ กลางมีหลายรปู แบบแต่สิ่งทย่ี ังคงหลงเหลอื อยู่ให้เห็นก็ไดแ้ กง่ านประติมากรรม หนังสือวจิ ิตร งานกระจกสี
งานโลหะ และ งานโมเสกซง่ึ เปน็ งานทีม่ คี วามเป็นถาวรภาพมากกวา่ จิตรกรรมฝาผนงั งานไม้ หรือ ผา้ และเคร่ืองแตง่ กาย,
รวมทั้งพรมแขวนผนัง

ศลิ ปะยคุ กลางในยโุ รปวิวัฒนาการมาจากตน้ รากของธรรมเนียมนิยมทางศิลปะของจกั รวรรดโิ รมันรูปสัญลักษณ์ครสิ เตยี น
ของสมัยคริสเตียนตอนตน้ ลักษณะดังกล่าวมาผสมผสานกบั วฒั นธรรมทางศิลปะของ “อนารยชน” จากทางตอนเหนอื ของ
ยุโรปออกมาเป็นศลิ ปะอันมคี ุณค่าที่เปน็ งานศลิ ปะท่วี างรากฐานของศลิ ปะของยโุ รปตอ่ มา และอันทจี่ รงิ แล้วศลิ ปะยคุ
กลางก็คอื ประวตั ศิ าสตร์ของปฏิกิริยาระหว่างองค์ประกอบของศิลปะคลาสสกิ คริสเตียนตอนต้น และอนารยชน[1] นอก

ไปจากลักษณะที่ออกจะเปน็ ทางการของศลิ ปะคลาสสิกแลว้ กเ็ ปน็ ธรรมเนียมนิยมในการสร้างงานท่ีแสดงสัจนิยมของสิง่ ที่
สร้างที่จะเหน็ ได้จากงานศิลปะไบแซนไทนต์ ลอดยคุ น้ีท่ียังคงมเี หลืออยใู่ หเ้ ห็น ขณะเดียวกันกับทีท่ างตะวันตกดูจะผสาน
หรือบางครัง้ ก็จะเปน็ การแข่งขนั กบั การแสดงออกที่เกดิ ข้นึ ในศิลปะตะวนั ตก และ องคป์ ระกอบของการตกแต่งอันมชี ีวติ
จติ ใจของทางตอนเหนอื ของยโุ รป ศลิ ปะยุคกลางมาส้นิ สุดลงในยคุ ฟ้นื ฟูศิลปวิทยา ที่เปน็ สมยั ของการหวนกลบั มาฟน้ื ฟู
ความเชยี่ วชาญและคุณคา่ ของศิลปะคลาสสิก จากนั้นศิลปะยุคกลางก็หมดความสำคัญลงและได้รับการดแู คลนต่อมาอีก
หลายรอ้ ยปี เมื่อมาถึงครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 19 ศิลปะยุคกลางก็ไดร้ ับการฟนื้ ฟูกนั ขน้ึ มาอกี คร้งั หนึ่ง และเหน็ กันวา่ เป็นสมยั
ศลิ ปะที่มคี วามรุ่งเรอื งเป็นอันมากและเป็นพน้ื ฐานของการววิ ัฒนาการของศิลปะตะวันตกต่อมา

ยุคกลาง (Middle Age)
ประมาณ ค.ศ. 300 – ค.ศ. 1300
ความเจรญิ ทางดา้ นศลิ ปะในยุคกลาง เป็นการสร้างสรรคโ์ ดยวัดและคริสต์ศาสนิกชน ซ่ึงมคี วามมนั่ คงทางเศรษฐกจิ และ
ศิลปวทิ ยา ศิลปะของคริสตศ์ าสนาจึงเจรญิ รุ่งเรือง โดยเฉพาะส่งิ ก่อสร้างทเ่ี กยี่ วกบั วัดคาทอลิก มลี กั ษณะแตกต่างกนั
ออกไปตามแต่ละท้องถน่ิ แต่ส่วนใหญ่สิ่งกอ่ สรา้ งจะมขี นาดเลก็ ลง นิยมสร้างด้วยหนิ และปผู วิ ด้วยอิฐ สรา้ งสุสานด้วยการ
เจาะหินหน้าผา กลุม่ ศิลปะทีอ่ ยู่ในยคุ กลางได้แก่ ศิลปะโกตกิ สมัยฟ้นื ฟศู ิลปวทิ ยา ศลิ ปะบารอก และรอกโกโก

ศิลปะโกติก (Gothic Art)
ศิลปะโกตกิ นิยมแสดงเร่ืองราวทางศาสนาในแนวเหมอื นจริง (Realistic Art) ไมใ่ ช้สญั ลักษณเ์ หมือนศลิ ปะยุคกอ่ น งาน
สถาปตั ยกรรมมีโครงสร้างทรงสูง มยี อดหอคอยรปู ทรงแหลมอยู่ขา้ งบนทำให้ตัวอาคารมรี ปู ร่างสูงระหงข้นึ สูเ่ พดาน ซุ้ม
ประตู หน้าตา่ ง ช่องลม มีสว่ นโค้งแปลกกว่าศิลปะแบบ-อื่น

ศิลปะสมัยฟ้นื ฟูศิลปวทิ ยา (Renaissance Art)
สงครามครเู สดนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ยโุ รปตะวนั ตกอยา่ งใหญ่หลวง ระบอบการปกครองแบบศักดินาหมดสนิ้ ไป แวน่
แคว้นต่าง ๆ เริ่มมคี วามเปน็ อิสระ ศลิ ปินไดน้ ำเอาแบบอย่างศิลปะชั้นสงู ในสมัยกรกี และโรมัน มาสรา้ งสรรค์ได้อย่างอสิ ระ
เตม็ ท่ี งานสถาปัตยกรรมมกี ารก่อสรา้ งแบบกรกี และโรมันเปน็ จำนวนมาก ลกั ษณะอาคารมปี ระตหู น้าต่างเพมิ่ มากขน้ึ
ประดับตกแตง่ ภายในดว้ ยภาพจิตรกรรมและประติมากรรมอยา่ งหรูหรา สง่างาม งานสถาปตั ยกรรมท่ี ย่งิ ใหญใ่ นสมัยน้นั
ฟืน้ ฟูศิลปวทิ ยา ได้แก่ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter)ในกรงุ โรม เปน็ ศนู ยก์ ลางของครสิ ต์ศาสนาโรมนั คาทอลิก วหิ ารนี้
มีศลิ ปินผอู้ อกแบบควบคมุ งานกอ่ สรา้ งและลงมือตกแตง่ ดว้ ยตนเอง ต่อเนอ่ื งกันหลายคน เช่น โดนาโต บรามนั โต
(Donato Bramante ค.ศ. 1440 – 1514) ราฟาเอล (Raphel ค.ศง 1483 – 1520) ไมเคลิ แองเจลโล (Michel
Angelo ค.ศ. 1475 – 1564) และโจวันนิ เบอร์นนิ ี (Giovanni Bernini ค.ศ. 1598 – 1680)

คริสตศ์ ตวรรษท่ี 14 ยุโรปมีความต่ืนตวั ทางด้านการพาณิชยแ์ ละแสวงหาดนิ แดนในโลกใหม่อันนำมาซ่ึงลทั ธกิ าร
ลา่ อาณานคิ ม สว่ นในทางศลิ ปะนน้ั ศลิ ปินมคี วามกลา้ ท่ีจะแหวกวงล้อมของอิทธพิ ลศลิ ปะโกธิคไปสกู่ ารสร้างสรรค์สง่ิ ใหม่ๆ
ส่วนในทางวิทยาศาสตร์และการประดิษฐ์ มีการค้นพบระบบสุริยจักรวาลของโคเปอร์นิคัส
การค้นพบกระบวน การพิมพห์ นังสือของ กูเตนเบอร์กและฟุสท์ อิตาลี ถอื วา่ เป็นศนู ยก์ ลางของความเจริญก้าวหน้าที่
สำคญั โดยเฉพาะในเรอ่ื งของศลิ ปกรรมศลิ ปะในสมัยฟน้ื ฟูศลิ ปะและวิทยาการ เปน็ ยุคสมยั ท่ีมีคณุ ค่าย่ิงต่อวิวัฒนาการ
ทางจิตรกรรมของโลก คือ ความมอี สิ ระในการสรา้ งสรรคศ์ ิลปะของมนุษย์ ความมลี ักษณะเฉพาะตวั ของศิลปนิ กลา้ ท่ีจะ

คดิ และแสดงออกตามแนวความคดิ ท่ตี นเองชอบและต้องการแสวงหา นับเป็นบันไดก้าวแรกที่จะนำทางไปสู่การ
สรา้ งสรรค์งานจิตรกรรมสมัยใหม่ในเวลาต่อมา งานจิตรกรรมมีความตืน่ ตัวและเจริญก้าวหนา้ ทางเทคนิควิธีการเป็นอย่าง
มาก ได้มกี ารคิดค้นการเขียนภาพลายเส้นทัศนียภาพ ( Linear Perspective ) ซ่ึงนำไปสูก่ ารเขียนภาพทิวทัศนท์ งี่ ดงาม
นอกจากนี้ศิลปินไดพ้ ยายามศกึ ษากายวภิ าคดว้ ยการผ่าตดั ศพ พรอ้ มฝึกวาดเส้น สรรี ะและร่างกายมนุษย์อย่างละเอียด
แสดงกระดูกและกล้ามเน้อื ทถ่ี ูกต้อง
ความเจรญิ กา้ วหน้าในงานจติ รกรรมสีนำ้ มนั ประสบความสำเร็จอยา่ งสูงในยคุ นี้ดว้ ย

1. โบสถเ์ ซนต์ปีเตอร์ (St.Peter) ค.ศ.1506-1546
บรามานเต เปน็ สถาปนิกผู้ออกแบบและคมุ การก่อสร้าง แต่บรามานเตถึงแกก่ รรมก่อนงานจะเสรจ็ จงึ เปน็ ภาระหนา้ ทข่ี อง
สถาปนิกอีกหลายคน จนกระท่ัง ค.ศ.1546 มิเคลนั เจโล Michelangelo Buonarrotii
ได้รับการตดิ ต่อจากสนั ตะปาปาจอหน์ ปอลที่ 3ให้เป็นสถาปนิกรับผิดชอบออกแบบกอ่ สร้างตอ่ ไป โดยเฉพาะอาคารท่ีอยู่
ตรงกลาง มิเคลันเจโลไดแ้ รงบันดาลใจมาจากวิหารแพนธอี อนของจกั รวรรดโิ รมัน

2. ภาพกำเนิดอาดมั (ค.ศ.1508-1512 )มิเคลันเจโล บูโอแนร์โรตี Michelangelo Buonarrotiiเป็นงานจิตรกรรมฝา
ผนังที่เขยี นไวต้ กแต่งเพดานโบสถซ์ ิสทีน ด้วยวิธกี ารวาดภาพปูนเปียก Fresco คือเขยี นภาพในขณะทปี่ นู ยังไม่แห้ง เพ่อื สี
จะได้ซึมเข้าไปในเนอ้ื ปูน อันมีผลตอ่ ความคงทน

3. ภาพโมนา ลิซา Mona Lisa (ค.ศ.1503-1505)เลโอนารโ์ ด ดา วนิ ชี Leonardo Da Vinciเป็นภาพเขยี นสนี ำ้ มันบนผา้
ขนาด 30.5 X 21 น้วิ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการถา่ ยทอดแบบเลียนแบบธรรมชาติ

การพิถีพิถนั เรอ่ื งการจัดวางมอื ท่งี ดงาม แววตาและรอยยิม้ อยา่ งมีเลศนัย การนำธรรมชาติมาเป็นฉากหลงั และสรา้ งมิติ
ใกลไ้ กลแบบวิทยาศาสตรก์ ารเห็น (ทศั นียภาพหรอื Perspective) เลโอนารโ์ ด ดา วนิ ชี เปน็ ผูร้ ิเร่ิมการเขียนภาพแบบแสดง
คา่ ตัดกันระหว่างความมืดกับความสวา่ ง ที่เรียกว่า

คอิ ารอสกโู ร( Chiaroscuro)

ภาพอาหารม้ือสุดทา้ ย The Last Supper เป็นงานจติ รกรรมที่มชี อื่ เสยี งอีกภาพหนง่ึ ของเลโอนาร์โด ดา วนิ ชี

4. ดาวิด David ( ค.ศ.1501-1504 ) มิเคลันเจโล รปู สลักรปู ดาวดิ เป็นหินออ่ น มีความสงู ถึง13 ฟุต 5 น้ิว เปน็ การ
ถา่ ยทอดรูปแบบ ที่มีกรีกและโรมันเป็นแนวทางจงึ ทำใหร้ ปู ดาวิดมลี กั ษณะทางกายภาพสอดคล้องกับอุดมคติของกรกี และ
โรมนั ทเ่ี นน้ ความสมบูรณ์ทางสรรี ะ การจัดทว่ งทา่ ทง่ี ดงาม ดว้ ยการใชข้ าข้างหน่งึ รบั น้ำหนัก อีกขา้ งหนึ่งงอพัก แขนขา้ ง
หนึ่งห้อยขนาน อีกข้างหนึ่งยกขึ้นในอิรยิ าบถทีไ่ มซ่ ้ำกับแขนอกี ขา้ งรูปดาวิด ให้ความรูส้ ึกท่สี ง่างาม มที ว่ งทา่ ท่เี ด็ดเดย่ี ว
กลา้ หาญ

4.) ศิลปะบาโรก ( Baroque ) ค.ศ.1580 - 1750เปน็ ยคุ ท่ีมีการสรา้ งสรรค์งานศิลปะเพ่ือการแสดงออกท่ีเรียกร้องความ
สนใจมากเกินไปมุ่งหวังความสะดดุ ตาราวกบั จะกวักมอื เรยี กผู้คนให้มาสนใจศาสนา การประดับตกแตง่ มีลักษณะฟุ้งเฟ้อ
เกนิ ความพอดี
1. พระราชวงั แวร์ซายล์ส Versailles (ค.ศ.1661 - 1691) สรา้ งขึ้นด้วยหนิ ออ่ น ในสมัยพระเจ้าหลยุ ส์ท1่ี 4 ของประเทศ
ฝร่ังเศส ใชเ้ งนิ ไปประมาณ 500 ลา้ นฟรังส์ จุคนไดป้ ระมาณ 10,000 คน เพอ่ื ประกาศใหน้ านาประเทศไดเ้ ห็นถึงอำนาจ
และบารมขี องพระองค์

2. ความปลาบปลื้มยนิ ดีของเซนต์เทเรซาSt.Theresa (ค.ศ.1645 - 1652) ศลิ ปิน เบอร์นนิ ีเปน็ งานประตมิ ากรรมท่แี สดง
อาการความรู้สกึ เคลอ่ื นไหวมีชีวิตประหนงึ่ ว่ามีลมหายใจ ผลงานช้นิ น้บี ง่ บอกถงึ การทำงานอย่างมกี ารวางแผนเพื่อให้
ผลงานและพื้นที่ทัง้ หมดอย่รู ่วมกันได้อย่างงดงามและกลมกลนื

3. ภาพยามกลางคนื In the night ( ค.ศ.1664 ) โดย เรมบรานด์ท แวน ไรน์ Rembrandt van Rijn เป็นงานจิตรกรรมท่ี
มีการใชแ้ สงเงากำหนดพ้ืนที่สว่างบนเงาเขม้ ไดอ้ ยา่ งยอดเยี่ยม

5.) ศิลปะโรโคโค ( Rococo ) ค.ศ. 1700 - 1789เป็นผลงานศิลปะท่ีสะทอ้ นความโออ่ ่า หรหู ราประดบั ประดาตกแต่งท่ี
วจิ ิตรละเอยี ดละออส่งเสริมความรนื่ เรงิ ยนิ ดี ความรัก กามารมณ์
1. ภาพกำเนดิ วีนัส ( ค.ศ.1754 ) โดย บเู ชร์ เป็นศิลปินผมู้ ีฐานะและบทบาทสำคญั โดยเป็นผนู้ ำท่ีรับผิดชอบทางดา้ น
จิตรกรรมของราชสำนกั ผลงานจิตรกรรมของเขาแสดงสีสนั ทสี่ วยงาม สอดคล้องกลมกลนื กับเรื่องราว เสนอเรอื่ งราวท่ีให้
ความรน่ื เรงิ ชวนฝนั อิม่ สุข ซึ่งรสนิยมดังกลา่ วมีปรากฏให้เหน็ อย่ใู นพระราชวังแวร์ซายลส์

2. แบจิอสั โดย ฟอลโคเนท์ Etienne Maurica Falconet ( ค.ศ.1760-1780 ) เปน็ ประติมากรรมหนิ ออ่ น ท่ใี ช้ตกแต่งมี
ขนาดสงู เพียง 38 ซม.ลกั ษณะบ่งบอกถึงการเป็นส่วนหนงึ่ ของกรีก-โรมนั สมัยฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ จนถึงสมัยบาโรก

ซง่ึ นยิ มแสดงออกในรปู แบบท่ีเลียนแบบจากธรรมชาติ นอกจากนี้ยงั สะท้อนให้เหน็ ถึงความกลมกลืนกบั คตนิ ิยมของสมัยโร
โคโค โดยเฉพาะทางด้านเรื่องราวและการจัดทา่ ทางท่มี ุ่งหวังทำใหเ้ กดิ ความรู้สกึ ชน่ื ชมในสงิ่ ทีธ่ รรมชาตมิ อบให้กับมนุษย์

6.) ศิลปะคลาสสกิ ใหม่ ( Neoclassic ) ค.ศ. 1780 - 1840เปน็ ลัทธทิ างศลิ ปะทเ่ี กา่ แกท่ ส่ี ดุ ไดฟ้ ้ืนฟศู ลิ ปะคลาสสกิ อัน
งดงามของกรกี และโรมันกลับมาสรา้ งใหม่ปรชั ญาที่วา่ ศิลปะ คอื ดวงประทีปของเหตผุ ล
โดยเนน้ ความประณีต ละเอียดอ่อน นุ่มนวล และเหมอื นจริงด้วยสดั สว่ นและแสงเงา เป็นช่วงหวั เลย้ี วหวั ต่อของศลิ ปะ
สมยั กลางและศิลปะสมยั ใหม่ เป็นประตูของประวตั ิศาสตรบ์ านสำคัญทที่ ำหน้าที่แง้มไปสโู่ ลกแห่งเสรภี าพอันมีผลต่อการ
คดิ คน้ สร้างสรรคศ์ ลิ ปะอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา
1. ภาพความตายของโซคราตสิ โดย ดาวิด David ค.ศ.1787 แสดงใหเ้ หน็ ความสมจริงตามแบบตามองเห็น การ
กำหนดมิติ นำ้ หนัก แสงเงา ยังอาศยั อิทธิพลดั้งเดมิ ของศลิ ปะสมัยกลางมีการนำลกั ษณะโครงสรา้ งทางสถาปตั ยกรรม
สมัยกรีกและโรมนั มาสรา้ งเป็นภาพพื้นหลงั แสดงเรื่องราวในสมัยกรกี และโรมันซ่งึ จะแฝงไวด้ ว้ ยความรกั ชาติ ความ
เสียสละ สำนึกรับผิดชอบต่อประชาชน

2. ภาพคำสาบานของพวกฮอราติไอ โดย ดาวิด David ค.ศ.1784เปน็ เรอ่ื งราวความรกั ชาตขิ องนกั รบโรมนั 3 คนที่รับดาบ
จากบิดา เพือ่ สู้รบกบั ศัตรู โดยยดึ ถอื ผลประโยชนข์ องรัฐ เปน็ หลัก สว่ นครอบครวั คนรกั และความผูกพันระหว่างพีน่ อ้ งเปน็
ผลประโยชน์ด้านรอง

งานจติ รกรรมและประติมากรรมในสมยั ฟืน้ ฟูศิลปวทิ ยา ศิลปนิ สรา้ งสรรค์ในรูปความงามตามธรรมชาติ และความงามที่
เปน็ ศลิ ปะแบบคลาสสิกท่เี จรญิ สูงสุด ซ่งึ พฒั นาแบบใหมจ่ ากศิลปะกรกี และโรมัน ความสำคญั ของศิลปะสมยั ฟ้ืนฟู มี
ความสำคัญตอ่ การสร้างสรรค์ศิลปะเกอื บทกุ สาขา โดยเฉพาะเทคนิคการเขียนภาพ การใช้องค์ประกอบทางศิลปะ
(Composition)หลักกายวิภาค (Anatomy) การเขียนภาพทัศนียวิทยา (Perspective Drawing) การแสดงออกทาง
ศลิ ปะมีความสำคัญในการพฒั นาชีวิต สงั คม ศาสนาและวัฒนธรรม จดั องค์ประกอบภาพให้มคี วามงาม มีความเป็นมติ ิ มี
ความสมั พนั ธก์ ับการมองเหน็ ใชเ้ ทคนิคการเน้นแสงเงาใหเ้ กดิ ดุลยภาพ มีระยะตื้นลึก ตัดกนั และความกลมกลนื เน้น
รายละเอยี ดไดอ้ ยา่ งสวยงาม ศิลปนิ ทส่ี ำคญั ในสมยั ฟ้นื ฟศู ิลปวทิ ยาท่ีสร้างสรรค์งานไว้เป็นอมตะเป็นท่ีรู้จกั กนั ทั่วโลก

ศิลปนิ ทีส่ ำคัญในสมยั ฟืน้ ฟูศลิ ปวทิ ยาท่ีสร้างสรรค์
งานไวเ้ ปน็ อมตะเปน็ ท่รี ้จู ักกันทั่วโลก

เลโอนารโ์ ด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) ผเู้ ปน็ อจั ริยะท้ังในด้านวทิ ยาศาสตร์ แพทย์ กวี ดนตรี จติ รกรรม ประตมิ ากรรม
และสถาปัตยกรรม ผลงานท่ีมีชื่อเสียงของดาวนิ ชี ได้แก่ ภาพอาหารมือ้ สุดทา้ ยของพระเยซู (The last Supper) ภาพพระ
แมบ่ นกอ้ นหนิ (The Virgin on the Rock) ภาพพระแม่กับเซนต์แอน (The Virgin and St. Anne) และภาพหญิงสาวผู้
มรี อยยิม้ อนั ลึกลับ (mystic smile) ทโ่ี ด่งดังไปท่ัวโลก คือ ภาพโมนาลิซา (Mona Lisa)

ไมเคลิ แองเจลโล (Michel Angelo) เปน็ ศิลปนิ ผ้มู ีความสามารถ และรอบรู้ในวิทยาการแทบทุกแขนง โดยเฉพาะรอบรูใ้ น
ด้านจติ รกรรม ประติมากรรม และสถาปตั ยกรรม เป็นสถาปนิกผู้ร่วมออกแบบและควบคุมการก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปี
เตอร์ งานประติมากรรมสลักหนิ อ่อนที่มชี อื่ เสยี งและเป็นผลงานช้ินเอก ได้แก รูปโมเสส (Moses) ผ้รู บั บญั ญัตสิ ิบประการ
จากพระเจา้ รปู เดวิด (David) หน่มุ ผู้มีเรอื นร่างที่งดงาม รปู พิเอตตา (Pietta) แมพ่ ระอมุ้ ศพพระเยซูอยู่บนตัก ภาพเขียน
ของไมเคลิ แองเจลโลชนิ้ สำคญั ท่ีสดุ เปน็ ภาพบนเพดานและฝาฝนังของโบสถ์ซสิ ติน (Sistine) ในพระราชวังวาติกัน
ประเทศอิตาลใี นปจั จุบัน

ราฟาเอล (Raphael) เปน็ ผู้หนึ่งท่รี ่วมออกแบบ ควบคุมการก่อสร้าง และตกแต่งมหาวหิ ารเซนต์ปีเตอร์ มผี ลงานจติ รกรรม
ทสี่ ำคญั เปน็ จำนวนมาก ที่มชี ือ่ เสียงและเปน็ ท่ีรู้จักโดยทัว่ ไป ได้แก่ ภาพแม่พระอุม้ พระเยซู (Sistine Madonna) ภาพ
งานร่นื เริงของทวยเทพ (Galatea) ศิลปะสมยั ฟ้ืนฟศู ลิ ปวิทยาแพร่หลายออกไปจากประเทศอติ าลีสู่ประเทศต่าง ๆ ใน
ยโุ รปตะวนั ตกอยา่ งรวดเรว็ และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ศิลปะในประเทศนนั้ ๆ อย่างมากมาย ทำให้เกิดสกุลศลิ ปะ และศิลปินท่ี
สำคัญในทอ้ งถ่ินนัน้ ๆ เปน็ จำนวนมาก ผลงานอนั ยิ่งใหญเ่ หลา่ น้ี เรากลา่ วได้วา่ มนษุ ยชาติเปน็ หนี้บญุ คณุ บรรพชนแหง่
สมยั ฟืน้ ฟูศลิ ปวิทยาอยูจ่ นปจั จุบันนี

ศิลปะยคุ กลาง (ค.ศ. 375 – 500)
เรม่ิ ตง้ั แต่ ค.ศ. 375 – 500 อาณาจักรโรมันอ่อนแอ ยุโรปตกอยูใ่ นภาวะวุ่นวายจนได้ช่อื ว่า “ยุคมืด” (Dark Ages)[1]

สถาปัตยกรรม
สถาปตั ยกรรมรับอิทธพิ ลมาจากศิลปะโรมัน มีอาคารเปน็ แบบบาซลิ กิ า คอื มีกำแพงหนาทึบรูปทรงคลา้ ยป้อมปราการ

จติ รกรรม
ในสมยั นม้ี กี ารเก็บสะสมตำาราต่างๆรวมทง้ั เขยี นภาพปกคมั ภรี ์ การเขยี นภาพมีลกั ษณะแบบเดียวกบั สมยั โรมัน คอื เขยี น
แบบเร็วๆ ทงิ้ รอยพู่กันแบบภาพเขียนโรมนั นิยมเขยี นภาพเซนท์แมธิว เซนทม์ ารค์ เซนท์ลุค และเซนทจ์ อหน์ ซึง่ ต่างกเ็ ป็น
ผเู้ ขียนประวตั ิ 4 เล่มของพระเยซู

ประติมากรรม
งานประติมากรรม นิยมงานหล่อดว้ ยสำริด รปู แกะสลักไมพ้ ระเยซูตรงึ กางเขน และประติมากรรมชิ้นเล็ก ๆ เช่น เขม็ กลดั
หกู ระเปา๋ มงกุฎของกษัตริยแ์ ละนักบวช

ศลิ ปะครสิ เตยี นยคุ แรก (พ.ศ.640 - 1040)
สถาปตั ยกรรม
ศิลปะครสิ เตียนยุคแรกรับอิทธพิ ลมาจากศิลปะโรมนั อาคารในสมัยแรก จะเป็นเรอ่ื งราวเกี่ยวกับผูถ้ ูกฆา่ เรอ่ื งศาสนา
วหิ าร พิธเี จมิ น้ำมนต์ ผนงั ภายนอกอาคารจะถูกปล่อยไว้เรียบ ๆ ทอ่ื ๆ ผนังภายในอาคารจะประดบั ด้วยเศษหนิ สีแวววาว
ส่วนต่าง ๆ ของอาคาร เชน่ เสารายแบบโรมัน เสากอ่ อิฐ หลังคาทรงโคง้ แผนผงั อาคารมี 2 แบบ คอื แบบชนิดตามยาว
และแบบชนิดศูนยก์ ลาง ซง่ึ มรี ากฐานมาจากสถาปัตยกรรมโรมัน อาคารทม่ี แี นวยาวเหมาะสำหรบั ขบวนพธิ ีการทสี่ ง่างาม
อาคารชนดิ มีศูนย์กลาง สำหรับเปน็ สถปู สถานของนักบญุ คนสำคญั

แตต่ ่อมานยิ มสรา้ งโบสถแ์ บบมศี ูนยก์ ลางกันมาก อาคารแบบมศี ูนยก์ ลางอาจมี หลายรูปทรง เชน่ ทำเปน็ รูปทรงไม้
กางเขนแบบกรีกอย่ภู ายในรูปจัตุรสั ทำเปน็ รปู ทรงไมก้ างเขนแบบโรมนั หรอื ไม่กร็ ูปวงกลม โบสถ์ที่มผี งั ชนิดมีศูนยก์ ลางมัก
ทำหลงั คาทรงโคง้ หรอื ทรงกลมด้วย อิฐหรอื หิน อาคารทรงเรอื นโถงขนาดใหญม่ กั ทำเคร่ืองบนหลงั คาด้วยไมท้ อ่ น

จติ รกรรม

ทำบนฝาผนงั และแผงไม้ ตลอดจนทำเป็นภาพประกอบเร่ืองในหนังสอื เขยี นดว้ ยสีฝนุ่ สขี ้ผี ง้ึ รอ้ น และสปี ูนเปยี กอย่างแหง้
แสดงรูปคนกำลงั สวดมนต์ และภาพปาฏิหารย์ตอนสำคญั ของพระผู้เป็นเจ้าทน่ี ำมาจากพระคมั ภีรเ์ ก่าและใหม่ หนังสือใน
สมัยแรกๆ ทำมาจากหนงั สตั วแ์ ละเป็นหนังสือม้วน ภาพประกอบเร่ืองในหนังสอื มลี ักษณะของภาพเป็นรปู แบน

ประติมากรรม
ในยุคครสิ เตียนถกู ลดความสำคัญ อนั เนอ่ื งมากจากบทบัญญตั ิในพระคัมภีร์ เก่ียวกับรูปเคารพบูชาประตมิ ากรรมมกั จำกัด
อยู่กับงานขนาดเล็กๆ ได้แก่งานแกะสลกั รูปคนบนโลงศพ ถ้วยและจานโลหะ งาแกะ สลักงาช้าง โกศบรรจธุ าตุศักดสิ์ ทิ ธ์ิ
ตเู้ ก็บพระคมั ภรี ์

ศิลปะไบเซนไทน์ (พ.ศ.1040 - 1996)
ศลิ ปะไบเซนไทน์ (Byzantine Art) เป็นศิลปะท่ีเชือ่ มโยงความคิดและลกั ษณะศลิ ปะตะวันออกและตะวนั ตกเข้าดว้ ยกัน
มศี นู ยก์ ลางอยู่ท่ีกรงุ คอนสแตนติโนเปลิ ซงึ่ ปจั จุบันไดเ้ ปล่ียนเป็นอสิ ตันบลู โดยท่ัวไปลักษณะศิลปะไบเซนไทน์จะมี
ลกั ษณะใหญ่โตเขม้ แข็ง และมีการตกแตง่ ประดับประดาดว้ ยการใชพ้ น้ื ผวิ ของวัสดหุ ลาย ๆ อยา่ ง

คำวา่ “ไบเซนไทน์” เรียกตามชื่อ จกั รวรรดิไบเซนไทน์ ทีม่ กี รงุ คอนสแตนติโนเปลิ เป็นเมอื งหลวง (ปัจจุบนั คอื กรุงอสิ ตันบูล
เมอื งหลวงของประเทศตุรกี) ลกั ษณะศิลปะไบเซนไทน์ มีลกั ษณะคาบเก่ยี วกบั ศลิ ปะคริสเตียนอยมู่ าก และยงั มีสืบเนอื่ ง
กันต่อมาเปน็ เวลาอีกยาวนาน

สถาปัตยกรรม
สถาปตั ยกรรมของไบเซนไทน์ มลี ักษณะพเิ ศษ คือ การสรา้ งโดม (DOME) ที่มเี ส้นผา่ ศนู ยก์ ลางขนาดใหญ่มากจงึ ต้องมี
กำแพงหนา และใหญ่พอที่จะรบั น้ำหนกั ได้ การสรา้ งโบสถไ์ บเซนไทน์ อาจจะมีโดมหลายโดม หรอื โดมอันเดียวแต่ ภายใน
ตรงกลางจะต้องมโี ดมท่เี ป็นประธานขนาดใหญ่

จติ รกรรม
ส่วนใหญเ่ ปน็ จติ รกรรมเรือ่ งราวเกี่ยวกับศาสนาและประวตั พิ ระเยซคู รสิ ต์ นอกจากน้มี ีการประดบั ภาพด้วยกระเบื้อง
เคลือบสตี า่ ง ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ เรียกว่า “โมเสอิค (MOSAIC)” ซ่ึงมีความงดงามและคงทนมาก

ประตมิ ากรรม

ประติมากรรมไบเซนไทน์จะแสดงเร่อื งราวเกีย่ วทางศาสนา ความเชอ่ื เก่ยี วกับพระเจ้า ส่วนมากนิยมแกะเปน็ รูปนักบุญทาง
ศาสนาประดบั หัวเสา ประดบั อาคารทง้ั ภายในและภายนอก วสั ดุทใ่ี ช้ทีม่ ีผิวหลายๆ อย่างมาประกอบ เช่น งาช้าง ไม้ หนิ
โลหะ พลอย

ศลิ ปะโรมาเนสก์ (พ.ศ.1540 - 1740)
แหลง่ กำเนดิ สำคัญของศลิ ปะโรมาเนสก์ คือ ศิลปะโรมัน ศิลปะเซลโต-เยอรมนิก ศลิ ปะครสิ เตียนยคุ แรก และศิลปะไบ
ซันไทนใ์ นสมัยคาโรลิงเจยี น

ศิลปะโรมาเนสก์นยิ มประติมากรรมขนาดเล็กเช่นเดยี วกับสมยั ไบซันไทน์ การฟื้นฟปู ระติมากรรมขนาดใหญเ่ ริ่มมขี นึ้ ใน
สมยั โรมาเนสก์ แต่การจัดองค์ประกอบประตมิ ากรรมขนาดใหญ่ โดยมากยังมีมูลฐานมาจากงานแกะสลักงาชา้ งหรือ
แมแ้ ต่จากภาพเขียนสใี นหน้าหนังสือฉบบั เขียนด้วย

ประตมิ ากรรม
ประติมากรรมสมัยโรมาเนสก์ มักพบเห็นได้ในบริเวณท่ีตอ่ ไปน้ี

1. บรเิ วณประตูทางเขา้ โบสถ์ คอื อย่บู รเิ วณท่ีเสากรอบประตเู รียงชิดเหล่อื มกันผายออกไป หรอื ที่เรียกว่า“แจมป์”
นอกจากนี้ ยงั มีอยู่ทห่ี นา้ จ่วั ซมุ้ ประตู ที่เรยี กวา่ “ไทพานมุ ” และทอ่ี ยกู่ ลางประตูเสาของประตฝู าแฝด ทีเ่ รยี กว่า “ตรูมียู”
2. บรเิ วณตามเสาอาคาร เสาประดบั อาคาร เสานนู บนผนังอาคาร และทบี่ วั หัวเสา
3. บริเวณตามแท่นบชู าและอ่างน้ำมนต์ในพธิ ีรดน้ำมนต์
4. บรเิ วณสุสานท่ีฝังศพ

เรือ่ งราวประตมิ ากรรมสมัยโรมาเนสก์ เอามาจากพระคัมภีรเ์ ก่และพระคมั ภรี ใ์ หม่ เป็นเรือ่ งราวของศาสดาพยากรณ์
ชีวประวัตนิ กั บุญ การทำงานตามฤดูกาล รปู เปรยี บเทียบเร่อื งความดกี ับความช่วั หรอื เร่อื งศิลปะวิทยาการต่างๆ รวมทงั้ รู
สัญลักษณ์จักราศี นอกจากน้ี ยงั มรี ูปสตั ว์ลกั ษณะฝนั เฟ่ือง ซึ่งอาจเป็นรปู แทนความช่ัวรา้ ย และยงั มีลวดลายรูปเลขา
คณติ หรอื รปู ดอกไม้รวมอยู่ดว้ ย หรอื ไมก่ ท็ ำเป็นรูปนูนต่าง

สถาปัตยกรรม

สถาปัตยกรรมสมัยโรมาเนสก์เป็น “แบบลอมบาร์ด” ได้รับอทิ ธพิ บมาจากโรมัน คือ การใชป้ ระตแู ละหลงั คาโค้ง กอ่ สร้าง
ดว้ ยวธิ ีก่ออิฐกอ่ หนิ และเพดานทรงโคง้ กากบาทของสมัยโรมาเนสก์ มโี ครงเพดานให้เห็น

การสร้างเพดานทรงโค้งแบบกากบาท ที่แสดงโครงเพดานคลุมเหนอื หอ้ งโถงชว่ งกลางอาคารทน่ี ับวา่ เปน็ ผลงานชั้นนำ
ปรากฏในตอนกลางสมยั พทุ ธศตวรรษที่ 17 ที่โบสถด์ ูร์ฮมั คาเทรัล (ประเทศอังกฤษ) โบสถแ์ ซงตเ์ อเตยี น (ประเทศ
ฝรงั่ เศส) และโบสถซ์ านโตอมั โบรโจ (ประเทศอิตาล)ี

สถาปตั ยกรรมสมยั โรมาเนสก์ มอี ยู่หลากหลายลักษณะแต่สว่ นมากมีลกั ษณะดงั นี้

1. มคี วามหนาเทอะทะ คล้ายป้อมปราการเมือง
2. ใชโ้ ครงสรา้ งวงโค้งแบบโรมัน
3. มีหอสูง 2 หอ หรือมากกว่านี้
4. มชี ่องประตูและหน้าต่างผายออก คอื ทำชอ่ งประตหู รือหนา้ ตา่ งเป็นโครงสร้างวงโคง้ ซอ้ นเหลอ่ื มกนั จากขนาดเลก็ ไป
หาใหญ่
5. มรี ะเบยี งทางเดนิ ประชดิ ผนัง คือ เป็นระเบียงทางเดินท่ตี ดิ ฝาผนัง ใชเ้ พอ่ื การตกแต่งหรอื ค้ำยนั

6. มลี วดลายบัง หรือลายแนวราบทเี่ รยี กวา่ “สตรงิ คอรส์ ” นูนย่ืนจากผนัง
7. มีหน้าต่างรูปวงลอ้ คอื หนา้ ต่างรปู วงกลมท่ีถูกแบ่งออกเป็นสว่ น ๆ ดว้ ยเส้นรัศมหี ินทศ่ี นู ย์กลางจากวงกลม

จิตรกรรม
ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 16-17 จิตรกรรมโรมาเนสกม์ รี ปู ร่างลกั ษณะแบน และแสดงเสน้ เป็นระเบียบมัน่ คงทีม่ ีพลังจากการ
บิดเอยี้ ว และวนเปน็ วง

ผลงานจิตรกรรมภายหลังพุทธศตวรรษท่ี 17 เริ่มมีมติ ทิ างรปู ทรงอย่างงานประตมิ ากรรมมากข้ึน แตไ่ มค่ อ่ ยมีชีวิตชีวา
เท่าไรนัก อิทธพิ ลของศลิ ปะไบเซนไทน์ มักมปี รากฏอย่างชัดเจนในสว่ นของเสื้อผา้ ทีเ่ ปน็ รอยยับจีบคล้ายรปู เลขาคณิต
การจดั วางท่าทางรปู คนใหด้ เู ป็นธรรมชาติมากข้นึ

ศิลปะโกธิค (พ.ศ. 1690 - 1940)
ศลิ ปะโกธิคเร่ิมต้นจากฝรงั่ เศส ปลายพุทธศตวรรษที่ 17 และแพรห่ ลายไปยังประเทศอ่ืนๆ และมักลักษณะตามภูมภิ าคน้ัน


สถาปัตยกรรม
ลักษณะสำคัญของสถาปัตยกรรมแบบโกธคิ คือ มผี นังเปดิ กว้าง มีส่วนสูงเด่นเป็นพิเศษและมแี บบท่อี อกมา เป็นลายเส้น
อันซับซ้อนทุกส่วนล้วนประกอบเขา้ ด้วยกนั เป็นสัญลกั ษณ์นิยมทางศาสนา โครงสร้างหลังคาเป็นโค้งแหลม ลกั ษณะต่างๆ
เหลา่ น้ี จะหาดูได้จากมหาวหิ ารในฝรง่ั เศส เชน่ คือ มหาวหิ ารนอเตรอดาม เดอ ปารสี มหาวิหารซานตีเอโก เด กอมโปส
เตลา มหาวหิ ารเซนตเ์ ดอนสิ มหาวิหารโนยง มหาวิหารลาออง มหาวหิ ารอาเมยี ง โบสถ์ ซากราดา ฟามเิ ลีย
พระราชวงั แกรนดเ์ พลส (Grand Place) เปน็ ตน้

ประตมิ ากรรม
ประตมิ ากรรมสมยั โกธิค คล้ายของจริงเป็นภาพพระเยซู นักบญุ แม่พระทซี่ ้อนความเศรา้ ศรัทธาภายใตเ้ สื้อคลมุ ทห่ี นา

จิตรกรรม
จติ รกรรมสมัยโกธิค มพี น้ื ท่ีเขยี นภาพบนฝาผนังนอ้ ยลง เพราะสถาปตั ยกรรม มชี อ่ งเปิดมากดังนน้ั จึงมักเนน้ ไปที่การ
ออกแบบกระจกสีบานหนา้ ต่าง สำหรับการเขียนภาพในหนังสือเขียน มกั จะแสดงรปู คนทส่ี ะโอดสะองในชุดเส้อื ผ้าอาภรณ์
ท่ีพล้ิว และโคง้ ไหวอยา่ งอ่อนช้อย

การประดับกระจกสี (STAIN GLASS)
ศลิ ปะทเ่ี ด่นแทนรปู เขียน ของศิลปะโกธิค คือ การประดับกระจกสตี ามช่องประตู และหน้าตา่ งทำเปน็ ลวดลายตา่ งๆ
รวมกนั อยู่ภายในกรอบ เมื่อดูภาพจากช่องทมี่ แี สงสว่างผา่ น กจ็ ะคลา้ ยกบั รปู ภาพนัน้ เขยี นด้วยแกว้ สีทงั้ หมด

ศิลปะเรอเนซองส์ (พ.ศ.1940 - 2140)
คำว่า “เรอเนซองส์” หมายถงึ การเกดิ ใหม่ หรือ “ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ” เป็นการระลึกถึงศิลปะกรีกและโรมัน

ในอดีตซ่งึ เคยรุ่งเรืองให้กลบั มาอีก ศลิ ปะเรอนเนซองสไ์ ม่ใช่การลอกเลยี นแบบจากอดีต แตเ่ ป็นการเน้นความสำคัญของ
ลักษณะเฉพาะบคุ คล มีความสนใจลักษณะภายนอกของมนุษย์และธรรมชาติ กอ่ ให้เกดิ ความกระตอื รือรน้ ในการคน้ หา
ความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์และวทิ ยาการแขนงตา่ งๆ

สถาปตั ยกรรม
ศลิ ปนิ ได้นำเอาแบบอย่างศิลปะช้นั สูงในสมยั กรีกและโรมนั มาสร้างสรรค์ไดอ้ ย่างอสิ ระเตม็ ที่ งานสถาปตั ยกรรมมีการ
กอ่ สร้างแบบกรีกและโรมนั เป็นจำนวนมาก ลักษณะอาคารมปี ระตูหน้าตา่ งเพิ่มมากขนึ้ ประดับตกแตง่ ภายในดว้ ยภาพ
จติ รกรรมและประตมิ ากรรมอย่างหรูหรา สงา่ งาม

งานสถาปัตยกรรมทีย่ ่ิงใหญ่ในสมยั เรอเนซองส์ ไดแ้ ก่ มหาวิหารเซนตป์ ีเตอร์ (St. Peter) ในกรงุ โรม เปน็ ศูนยก์ ลางของ
ครสิ ต์ศาสนาโรมันคาทอลิก วหิ ารน้ีมศี ลิ ปินผู้ออกแบบควบคุมงานกอ่ สรา้ งและลงมอื ตกแต่งด้วยตนเอง ต่อเนื่องกนั หลาย
คน เช่น โดนาโต บรามันโต (Donato Bramante ค.ศ. 1440 – 1514) ราฟาเอล (Raphel ค.ศ. 1483 – 1520) ไมเคิล
แองเจลโล (Michel Angelo ค.ศ. 1475 – 1564) และ โจวันนิ เบอรน์ นิ ี (Giovanni Bernini ค.ศ. 1598 – 1680)

จิตรกรรมและประตมิ ากรรม
งานจติ รกรรมและประตมิ ากรรมในสมยั เรอเนซองส์ ศลิ ปินสร้างสรรคใ์ นรูปความงามตามธรรมชาติ และความงามทีเ่ ป็น
ศลิ ปะแบบคลาสสิกท่ีเจริญสูงสดุ ซ่งึ พัฒนาแบบใหม่จากศิลปะกรีกและโรมัน ความสำคัญของศิลปะสมัยเรอเนซองส์ มี
ความสำคญั ตอ่ การสรา้ งสรรค์ศิลปะเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะเทคนคิ การเขียนภาพ การใชอ้ งค์ประกอบทางศลิ ปะ
(Composition) หลกั กายวภิ าค (Anatomy) การเขียนภาพทัศนียวิทยา (Perspective Drawing) การแสดงออกทาง
ศิลปะมีความสำคัญในการพัฒนาชวี ิต สังคม ศาสนาและวฒั นธรรม จดั องคป์ ระกอบภาพให้มีความงาม มีความเป็น
มิติ มีความสัมพันธ์กบั การมองเห็น ใช้เทคนคิ การเน้นแสงเงาให้เกิดดลุ ยภาพ มีระยะต้นื ลกึ ตัดกันและความกลมกลนื
เน้นรายละเอยี ดได้อย่างสวยงาม

ศิลปินท่ีสำคัญในสมัยเรอเนซองส์ ที่สรา้ งสรรคง์ านจิตรกรรมและประติมากรรมไว้เปน็ ท่รี ู้จกั กันทั่วโลก ได้แก่

เลโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) ผูเ้ ปน็ อจั ริยะท้งั ในด้านวิทยาศาสตร์ แพทย์ กวี ดนตรี จิตรกรรม ประตมิ ากรรม
และสถาปัตยกรรม ผลงานที่มีชื่อเสียงของดาวินชี ได้แก่ ภาพอาหารมื้อสดุ ทา้ ยของพระเยซู (The last Supper) ภาพ
พระแม่บนกอ้ นหนิ (The Virgin on the Rock) ภาพพระแมก่ ับเซนตแ์ อน (The Virgin and St. Anne) และภาพหญิง
สาวผมู้ รี อยยมิ้ อันลกึ ลับ (mystic smile) ทโ่ี ด่งดังไปท่ัวโลก คอื ภาพโมนาลซิ า (Mona Lisa)

Leonardo da Vinci. The Last Supper. c.1495-98. Tempera wall mural, Sta. Maria delle Grazie, Milan

Leonardo da Vinci. Mona Lisa. c.1503-5. Oil on Panel. Louvre Museum, Paris

ไมเคลิ แองเจลโล (Michel Angelo) เป็นศลิ ปินผูม้ คี วามสามารถ และรอบรู้ในวทิ ยาการแทบทุกแขนง โดยเฉพาะรอบรูใ้ น
ดา้ นจติ รกรรม ประตมิ ากรรม และสถาปัตยกรรม เป็นสถาปนกิ ผู้ร่วมออกแบบและควบคุมการกอ่ สรา้ งมหาวหิ ารเซนต์ปี
เตอร์ งานประติมากรรมสลักหินอ่อนท่ีมีชอ่ื เสยี งและเปน็ ผลงานชิ้นเอก ได้แก่ รปู โมเสส (Moses) ผู้รบั บัญญตั สิ ิบประการ
จากพระเจ้า รูปเดวดิ (David) หนุ่มผูม้ ีเรือนรา่ งท่งี ดงาม รปู พิเอตตา (Pietta) แม่พระอุ้มศพพระเยซอู ย่บู นตัก ภาพเขยี น
ของไมเคิล แองเจลโล ช้ินสำคัญที่สดุ เป็นภาพบนเพดานและฝาผนงั ของโบสถซ์ ิสตนิ (Sistine) ในพระราชวงั วาตกิ ัน
ประเทศอติ าลใี นปจั จบุ นั

ราฟาเอล (Raphael) เป็นผ้หู นึ่งท่รี ่วมออกแบบ ควบคุมการกอ่ สรา้ ง และตกแต่งมหาวิหารเซนต์ ปีเตอร์ มีผลงาน
จติ รกรรมทส่ี ำคัญเป็นจำนวนมากที่มชี อื่ เสยี งและเปน็ ทร่ี จู้ ักโดยทัว่ ไป ได้แก่ ภาพแมพ่ ระอ้มุ พระเยซู (Sistine Madonna)
ภาพงานรื่นเรงิ ของทวยเทพ (The Triumph of Galatea)

ซานโดร บอตตเิ ซลลี (Sandro Botticelli) ผลงานภาพ “กำเนิดวนี ัส” แสดงท่าทางคลา้ ยรปู วีนสั สลักหินอ่อน

ศิลปะสมัยเรอเนซองส์ แพร่หลายออกไปจากประเทศอติ าลีสู่ประเทศตา่ ง ๆ ในยุโรปตะวันตกอย่างรวดเรว็ และมีอิทธพิ ล
ต่อศิลปะในประเทศนนั้ ๆ อยา่ งมากมาย ทำให้เกิดสกลุ ศิลปะและศิลปินที่สำคญั ในทอ้ งถิ่นนั้น ๆ เป็นจำนวนมาก
ผลงานอันยิง่ ใหญเ่ หล่านี้ เรากล่าวไดว้ า่ มนุษยชาติเปน็ หนบ้ี ญุ คุณบรรพชนแหง่ สมยั ฟน้ื ฟศู ิลปวิทยาอยจู่ นปจั จุบนั น้ี

ศิลปะแมนเนอร์ริสม์ (พ.ศ.2063-2143)
คำวา่ แมนเนอริสม์ (Mannerism) มาจากคำวา่ มานเิ อรา ในภาษาอติ าลี (Maniara) โรแมงโรลงั ค์ (Romain

Rolland) ใช้เรียกความเคลื่อนไหวของศิลปกรรมในชว่ งทก่ี ารเสียชีวิตของราฟาเอล (ค.ศ. 1520 - ค.ศ. 1600) ซ่งึ เป็นช่วง
วา่ งก่อนจะเรมิ่ บาโรค

ลักษณะของงานจติ รกรรม ดังน้ี
1. งานศิลปะมีจนิ ตนาการอยา่ งอิสระ รปู คนจะบดิ ผันเกนิ ธรรมชาติ
2. น้ำหนักของภาพท่ีเกดิ จากแสงและเงาจะตัดกันรนุ แรง
3. ใช้น้ำหนักเข้มเพ่อื เน้นให้เกดิ ความลกึ

4. ใชส้ ีสดใส รนุ แรง โดยการแตะแตม้ ให้เส้ือผ้าดูมันละเลือ่ ม
5. สรา้ งบรรยากาศให้ดสู ดใส ไม่ใชภ่ าพในฝันซึ่งมรี ะเบยี บแบบแผนแบบเรอเนสซองส์
6. สร้างงานใหเ้ หมอื นตกอยใู่ นฝนั รา้ ย โดยแสดงออกอย่างกล้าแข็ง รนุ แรง เร้าอารมณ์ และระบายสี ให้ใสคลา้ ยแกว้ เจยี ร
นัย

ศิลปนิ ที่สำคญั ไดแ้ ก่ ปอนเตอร์โม (Jacopo Carucci Pontormo, 1494 –1557), เอล เกรคโก (El Greco, 1541–1614)

ลกั ษณะของงานประติมากรรม ดงั น้ี

1. เกิดความนยิ มเทคนิคการหล่อแทนการแกะสลัก ทำให้การสร้างงานอสิ ระมากข้ึน
2. ประติมากรสามารถสรา้ งงานตามท่ตี อ้ งการใหเ้ คลอื่ นไหวได้ดีกว่าการแกะสลัก
3. มีการบิดและเคลอ่ื นไหวลำตวั ไปเกือบตรงกันข้ามกับทศิ ทางของสะโพก
4. ยดึ หลกั ทฤษฎีการมองท่ีเรยี กว่าไลนอี า เซอรเ์ พนตินา( Linea Serpentina )หมายถงึ การมองดปู ระติมากรรมได้รอบ

ศลิ ปนิ ทส่ี ำคัญ ไดแ้ ก่ เชลลนิ ี (Benvenuto Cellini,1529 – 1571), โบโลญา (Giovanni da Bologna,1529 -1608)

ศลิ ปะบาโรก (Baroque พ.ศ.2143-2293)
ศิลปะแบบบาโรคจะเนน้ หนักไปทางธรรมชาติ แสดงความออ่ นไหว มีลวดลายประดษิ ฐม์ าก ซับซอ้ น จัดได้ว่าเปน็ ยคุ ทมี่ ี
การสร้างสรรค์งานศลิ ปะเพ่อื การแสดงออกที่เรียกรอ้ งความสนใจมากเกนิ ไป มุ่งหวงั ความสะดุดตาราวกับจะกวกั มอื เรียก
ผู้คนให้มาสนใจศาสนา การประดบั ตกแต่งมีลักษณะฟ้งุ เฟอ้ เกินความพอดี คำว่าบาโรกมาจากภาษาโปรตเุ กสที่แปลวา่
รูปร่างของไขม่ กุ ทีม่ ีสัณฐานเบีย้ ว เป็นคำท่ีใช้เรียกลกั ษณะงานสถาปตั ยกรรม และจติ รกรรมท่มี ีการตกแต่งประดบั ประดา
และให้ความรู้สึกอ่อนไหว

ศิลปนิ ที่มชี ่ือเสยี งในยคุ นีไ้ ดแ้ ก่ รูเบนส์ (Peter Paul Rubens,1577–1640) เรมบรานด์ท (Rembrandt Van Rijn 1606
– 1669) โจวันนิ เบอรน์ ินี (Gianlorenzo Bernini , 1598 – 1680) เป็นต้น

ศลิ ปะโรโคโค (Rococo 1700-1790A.D.)

เปน็ ผลงานศลิ ปะท่สี ะทอ้ นความโออ่ า่ หรูหรา ประดับประดาตกแต่งท่ีวจิ ติ ร ละเอียดลออ เรอื่ งราวเกี่ยวกบั เทพนิยาย
โบราณ ความร่ืนเรงิ ยินดี ความรัก กามารมณ์

ศิลปินท่สี ำคญั ไดแ้ ก่ อังตวน วัตโต (Antoine Watteau, 1684 – 1721) , บูเชร์ (Francoise Boucher, 1703 – 1770)
, ฟราโกนารด์ (Jean Honore Fragonard , 1732 – 1806) , ชารแ์ ดง (Jean Babtiste Simeon Chardin, 1699 –
1799) , โคลดอี ง (Cloude Michel Clodion, 1738 – 1814) , เรย์ โนลด์ (Sir Joshua Reynolds, 1723 – 1792) , วิ
ลเลียม โฮการ์ธ (William Hogarth 1697 – 1764)

ที่มา
https://sites.google.com/site/silpathasnsilp607/home/thasn-silp-tawan-tk/yukh-klang-middle-age

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%
B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87
http://www.ipesk.ac.th/ipesk/VISUAL%20ART/lesson435.html

https://th.wikibooks.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0
%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5
%E0%B8%9B%E0%B8%B0


Click to View FlipBook Version