ดนตรีไทยและนาฏศิลป์ไทย
บท
ที่ 1
1 ประวัติดนตรีไทย
• 1.1 สมัยสุโขทัย
• 1.2 สมัยอยุธยา
• 1.3 สมัยธนบุรี
• 1.4 สมัยรัตนโกสินทร์
ดนตรีไทย
ดนตรีไทย เป็นศิลปะแขนงหนึ่งของไทย ได้รับอิทธิพลมาจาก ประเทศต่าง ๆ เช่น
อินเดีย จีน อินโดนีเซีย และอื่น ๆ เครื่องดนตรีมี 4 ประเภท ดีด สี ตี เป่า
1.ประวัติดนตรีไทย
เครื่องดนตรีไทยเกิดจากชนชาติไทยเองและการเลียนแบบชนชาติอื่นๆที่อยุ่ใกล้ชิดโดยเริ่มตั้งแต่สมัย
โบราณที่ไทยตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาจักรฉ่องหวู่ดินแดนของประเทศจีนในปัจจุบันทำให้เครื่องดนตรีไทยและ
จีนมีการแลกเปลี่ยนเลียนแบบกันนอกจากนี่ยังมีเครื่องดนตรีอีกหลายชนิด ที่ชนชาติไทยประดิษฐ์ขึ้นใช้ก่อน
ที่จะมาพบวัฒธรรมอินเดียซึ่งแพร่หลายอยู่ทางตอนใต้ของแหลมอินโดจีน
1.ประวัติดนตรีไทย
สำหรับชื่อเครื่องดนตรีดั้งเดิมของไทยจะเรียนตามคำโดดในภาษาไทย เช่น เกราะ โกร่ง กรับ
ฉิ่ง ฉาบ ขลุ่ย พิณเปี๊ยะ ซอ ฆ้องและกลอง ต่อมาได้มีการประดิษฐ์เครื่องดนตรีให้พัฒนาขึ้น โดยนำ
ไม้ที่ทำเหมือนกรับหลายอันมาวางเรียงกันได้เครื่องดนตรีใหม่ เรียกว่าระนาดหรือนำฆ้องหลาย ๆ
ใบมาทำเป็นวงเรียกว่า ฆ้องวง เป็นต้น
1.1 สมัยสุโขทัย
ดนตรีไทย มีลักษณะเป็นการขับลำนำ และร้องเล่นกัน
อย่างพื้นเมือง เกี่ยวกับ เครื่องดนตรีไทย ในสมัยนี้ ปราก
ฎหลักฐานกล่าวถึงไว้ในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็น
หนังสือวรรณคดี ที่แต่งในสมัยนี้ ได้แก่ แตร, สังข์,
มโหระทึก, ฆ้อง, กลอง, ฉิ่ง, แฉ่ง (ฉาบ), บัณเฑาะว์
พิณ, ซอพุงตอ (สันนิษฐานว่าคือ ซอสามสาย) ปี่ไฉน,
ระฆัง, และ กังสดาล เป็นต้น ลักษณะการผสม วงดนตรี
ก็ปรากฎหลักฐานทั้งในศิลาจารึก และหนังสือไตรภูมิ
พระร่วง กล่าวถึง “เสียงพาทย์ เสียงพิณ” ซึ่งจากหลัก
ฐานที่กล่าวนี้ สันนิษฐานว่า วงดนตรีไทย ในสมัยสุโขทัย
มีดังนี้ คือ
สมัยสุโขทัย 2. วงขับไม้
1. วงบรรเลงพิณ ประกอบด้วยผู้บรรเลง 3 คน คือ
มีผู้บรรเลง 1 คน ทำหน้าที่ดีด คนขับลำนำ 1 คน คนสี ซอสาม
พิณและขับร้องไปด้วย สาย คลอเสียงร้อง 1 คน และ
เป็นลักษณะของการขับลำนำ คนไกว บัณเฑาะว์ ให้จังหวะ 1
สมัยสุโขทัย
3. วงปี่พาทย์
เป็นลักษณะของวงปี่พาทย์เครื่อง 5 มี 2 ชนิด คือวงปี่
พาทย์เครื่องห้า อย่างเบา ประกอบด้วยเครื่องดนตรี
ชนิดเล็ก ๆ จำนวน 5 ชิ้น คือ 1. ปี่ 2. กลองชาตรี 3.
ทับ (โทน) 4. ฆ้องคู่ และ 5. ฉิ่ง ใช้บรรเลงประกอบ
การแสดง ละครชาตรี (เป็นละครเก่าแก่ที่สุดของไทย)
สมัยสุโขทัย
วงปี่พาทย์เครื่องห้า อย่างหนัก ประกอบด้วย
เครื่องดนตรีจำนวน 5 ชิ้น คือ 1. ปี่ใน 2.
ฆ้องวง (ใหญ่) 3. ตะโพน 4. กลองทัด
และ 5. ฉิ่ง ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีและ
บรรเลงประกอบ การแสดงมหรสพ ต่าง ๆ
จะเห็นว่า วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ยัง
ไม่มีระนาดเอก
สมัยสุโขทัย
4. วงมโหรี เป็นลักษณะของวงดนตรีอีกแบบหนึ่ง ที่
นำเอา วงบรรเลงพิณ กับ วงขับไม้ มาผสมกัน เป็น
ลักษณะของ วงมโหรีเครื่องสี่ เพราะประกอบด้วยผู้
บรรเลง 4 คน คือ
1. คนขับลำนำและตี กรับพวง ให้จังหวะ
2. คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง
3. คนดีดพิณ และ
4. คนตีทับ (โทน) ควบคุมจังหวะ
สมัยกรุงศรีอยุธยา
มีวงปี่พาทย์ที่ยังคงรูปแบบปี่พาทย์เครื่องห้าเหมือนเช่นสมัยกรุงสุโขทัย แต่เพิ่ม
ระนาดเอกเข้าไป นับแต่นั้นวงปี่พาทย์จึงประกอบด้วย
1.ระนาดเอก
2.ปี่ใน
3.ฆ้องวง (ใหญ่)
4.กลองทัด ตะโพน
5.ฉิ่ง
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ส่วนวงมโหรี ในสมัยนี้พัฒนามาจาก วงมโหรีเครื่องสี่ ในสมัยสุโขทัยเป็น วงมโหรีเครื่องหก
เพราะได้เพิ่ม เครื่องดนตรี เข้าไปอีก 2 ชิ้น คือ ขลุ่ย และ รำมะนา ทำให้ วงมโหรี ในสมัย
นี้ ประกอบด้วย เครื่องดนตรี จำนวน 6 ชิ้น คือ
1.ซอสามสาย
2.กระจับปี่ (แทนพิณ)
3.ทับ (โทน)
4.รำมะนา
5.ขลุ่ย
6.ฉิ่ง
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ ใน
กฏมลเฑียรบาล ซึ่งระบุชื่อ เครื่องดนตรีไทย เพิ่ม
ขึ้น จากที่เคยระบุไว้ ในหลักฐานสมัยสุโขทัย จึงน่า
จะเป็น เครื่องดนตรี ที่เพิ่งเกิดในสมัยนี้ ได้แก่
กระจับปี่ ขลุ่ย จะเข้ และ รำมะนา นอกจากนี้ในกฎ
มณเฑียรบาลสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
(พ.ศ. 1991-2031)
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ปรากฎข้อห้ามตอนหนึ่งว่า “…ห้ามร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย
เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ ในเขตพระ
ราชฐาน…” ซึ่งแสดงว่าสมัยนี้ ดนตรีไทย เป็นที่นิยมกัน
มาก แม้ในเขตพระราชฐาน ก็มีคนไปร้องเพลงและเล่น
ดนตรีกันเป็นที่เอิกเกริกและเกินพอดี จนกระทั่งพระมหา
กษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาล ดังกล่าวขึ้นไว้
สมัยกรุงธนบุรี
เนื่องจากในสมัยนี้เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่
15 ปี และประกอบกับ เป็นสมัยแห่งการก่อร่าง
สร้างเมือง และการป้องกันประเทศเสียโดยมาก
วงดนตรีไทย ในสมัยนี้จึงไม่ปรากฎหลักฐานไว้ว่า
ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้น สันนิษฐานว่า ยัง
คงเป็นลักษณะและรูปแบบของ ดนตรีไทย ในสมัย
กรุงศรีอยุธยานั่นเอง
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อบ้านเมืองได้ผ่านพ้นจากภาวะศึกสงคราม และได้มี
การก่อสร้างเมืองให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น เกิดความ สงบ
ร่มเย็น โดยทั่วไปแล้ว ศิลป วัฒนธรรม ของชาติ ก็ได้
รับการฟื้นฟูทะนุบำรุง และส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น
โดยเฉพาะ ทางด้าน ดนตรีไทย ในสมัยนี้ได้มีการ
พัฒนาเปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นเป็นลำดับ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยรัชกาลที่ 1 ดนตรีไทย ส่วนใหญ่ ยังคงมี
ลักษณะ และ รูปแบบตามที่มีมาตั้งแต่ สมัยกรุง
ศรีอยุธยา ที่พัฒนาขึ้นบ้างในสมัยนี้ก็คือ การเพิ่ม
กลองทัด ขึ้นอีก 1 ลูก ใน วงปี่พาทย์ ซึ่ง แต่เดิม
มา มีแค่ 1 ลูก รวม มี กลองทัด 2 ลูก มีเสียง
สูง (ตัวผู้) ลูกหนึ่ง และ เสียงต่ำ (ตัวเมีย) ลูก
หนึ่ง และการใช้ กลองทัด 2 ลูก ในวงปี่พาทย์นี้ ก็
เป็นที่นิยมกันมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 2 อาจกล่าวว่าในสมัยนี้
เป็นยุคทองของ ดนตรีไทย ยุคหนึ่ง ทั้งนี้
เพราะ องค์พระมหากษัตริย์ ทรงสน
พระทัย ดนตรีไทย เป็นอย่างยิ่ง พระองค์
ทรงพระปรีชาสามารถ ในทาง ดนตรีไทย
ถึงขนาดที่ ทรงดนตรีไทย คือ ซอสามสาย
ได้ มีซอคู่พระหัตถ์ชื่อว่า “ซอสายฟ้า
ฟาด” ทั้งพระองค์ได้ พระราชนิพนธ์
เพลงไทย ขึ้นเพลงหนึ่ง เป็นเพลงที่
ไพเราะ และอมตะ มาจนบัดนี้นั่นก็คือเพลง
“บุหลันลอยเลื่อน”
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
การพัฒนา เปลี่ยนแปลงของ ดนตรีไทย ในสมัย
นี้ก็คือ ได้มีการนำเอา วงปี่พาทย์มาบรรเลง
ประกอบการขับเสภา เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ยัง
มีกลองชนิดหนึ่งเกิดขึ้น โดยดัดแปลงจาก “เปิง
มาง” ของมอญ ต่อมาเรียกกลองชนิดนี้ว่า
“สองหน้า” ใช้ตีกำกับจังหวะแทนเสียงตะโพนใน
วงปี่พาทย์ ประกอบการขับเสภา เนื่องจากเห็นว่า
ตะโพนดังเกินไป จนกระทั่งกลบเสียงขับ กลอง
สองหน้านี้ ปัจจุบันนิยมใช้ตีกำกับจังหวะหน้าทับ
ในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยรัชกาลที่ 3 วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์
เครื่องคู่ เพราะได้มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้ม มาคู่กับ
ระนาดเอก และประดิษฐ์ฆ้องวงเล็กมาคู่กับ ฆ้องวงใหญ่
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยรัชกาลที่ 4 วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่
พาทย์เครื่องใหญ่ เพราะได้มีการประดิษฐ์ เครื่อง
ดนตรี เพิ่มขึ้นอีก 2 ชนิด เลียนแบบ ระนาดเอก และ
ระนาดทุ้ม โดยใช้โลหะทำลูกระนาด และทำราง
ระนาดให้แตกต่างไปจากรางระนาดเอก และระนาด
ทุ้ม (ไม้) เรียกว่า ระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุ้ม
เหล็ก นำมาบรรเลงเพิ่มในวงปี่พาทย์เครื่องคู่ ทำให้
ขนาดของ วงปี่พาทย์ขยายใหญ่ขึ้นจึงเรียกว่า วงปี่
พาทย์เครื่องใหญ่
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
อนึ่งในสมัยนี้ วงการดนตรีไทย นิยมการร้องเพลงส่งให้ดนตรี
รับ หรือที่เรียกว่า “การร้องส่ง” กันมากจนกระทั่ง การขับเสภา
ซึ่งเคยนิยมกันมาก่อนค่อย ๆ หายไป และการร้องส่งก็เป็น
แนวทางให้มีผู้คิดแต่งขยายเพลง 2 ชั้นของเดิมให้เป็นเพลง 3
ชั้น และตัดลง เป็นชั้นเดียว จนกระทั่งกลายเป็นเพลงเถาในที่สุด
(นับว่าเพลงเถาเกิดขึ้นมากมายในสมัยนี้) นอกจากนี้ วงเครื่อง
สาย ก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลนี้เช่นกัน
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นใหม่ชนิดหนึ่ง ซึ่งต่อมาเรียกว่า
“วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์” โดยสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ สำหรับใช้
บรรเลงประกอบการแสดง “ละครดึกดำบรรพ์” ซึ่งเป็น ละครที่เพิ่งปรับปรุงขึ้นใน
สมัยรัชกาลนี้เช่นกัน หลักการปรับปรุงของท่านก็โดยการตัดเครื่องดนตรีชนิดเสียง
เล็กแหลม หรือดังเกินไปออก คงไว้แต่เครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้ม นุ่มนวล กับเพิ่ม
เครื่องดนตรีบางอย่างเข้ามาใหม่ เครื่องดนตรี ในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ จึง
ประกอบด้วยระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก ขลุ่ย ซออู้ ฆ้อง
หุ่ย (ฆ้อง 7 ใบ) ตะโพน กลองตะโพน และเครื่องกำกับจังหวะ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยรัชกาลที่ 6 ได้การปรับปรุงวงปี่พาทย์ขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง
โดยนำวงดนตรีของมอญมาผสมกับ วงปี่พาทย์ของไทย ต่อมา
เรียกวงดนตรีผสมนี้ว่า “วงปี่พาทย์มอญ” โดยหลวงประดิษฐ
ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)เป็นผู้ปรับปรุงขึ้น วงปี่พาทย์มอญดัง
กล่าวนี้ ก็มีทั้งวงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า เครื่องคู่ และเครื่อง
ใหญ่ เช่นเดียวกับวงปี่พาทย์ของไทย และกลายเป็นที่นิยมใช้
บรรเลงประโคมในงานศพ มาจนกระทั่งบัดนี้ นอกจากนี้ยังได้มี
การนำเครื่องดนตรีของต่างชาติ เข้ามาบรรเลงผสมกับ วง
ดนตรีไทย บางชนิดก็นำมาดัดแปลงเป็นเครื่องดนตรีของไทย
ทำให้รูปแบบของ วงดนตรีไทย เปลี่ยนแปลงพัฒนา ดังนี้ คือ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
การนำเครื่องดนตรีของชวา หรืออินโดนีเซีย คือ “อังกะลุง”
มาเผยแพร่ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก โดยหลวงประดิษฐ
ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ทั้งนี้โดยนำมาดัดแปลง ปรับปรุง
ขึ้นใหม่ให้มีเสียงครบ 7 เสียง (เดิมมี 5 เสียง) ปรับปรุงวิธี
การเล่น โดยถือเขย่าคนละ 2 เสียง ทำให้เครื่องดนตรีชนิดนี้
กลายเป็นเครื่องดนตรีไทยอีกอย่างหนึ่ง เพราะคนไทย
สามารถทำอังกะลุงได้เอง อีกทั้งวิธีการบรรเลงก็เป็นแบบ
เฉพาะของเรา แตกต่างไปจากของชวาโดยสิ้นเชิง การนำ
เครื่องดนตรีของต่างชาติเข้ามาบรรเลงผสมในวงเครื่องสาย
ได้แก่ ขิมของจีน และออร์แกนของฝรั่ง ทำให้วงเครื่องสาย
พัฒนารูปแบบของวงไปอีกลักษณะหนึ่ง คือ “วงเครื่องสาย
ผสม”
นาฏศิลป์ไทย
1. วงบน ยึดเขาปลายนิ้วเป็นเกณฑ์ สำหรับ
ตัวพระ ยกสูงแค่ระดับแง่ศีรษะ สำหรับตัวนาง
ยกสูงแค่หางคิ้ว
2. วงกลาง ยกแขนให้ส่วนโค้ง อยู่ข้าง
คล้ายวงสูง แต่ลดระดับ ให้แขนส่วนบนลาดลง
ล่างมากๆ นิ้วอยู่ระดับศอก ให้ตรงกับเกลียว
ข้าง ช้อนลำแขนขึ้นบนเล็กน้อย
3. วงล่าง ทอดส่วนโค้งของลำแขนลงมาเบื้องล่าง
ลำแขนส่วนล่าง จะพลิกหรือหงาย ก็สุดแต่กริยามือ วงล่าง
นี้ ลำแขนส่วนล่าง จะโค้งเข้าหาตัว ปลายมืออยู่ระดับหน้า
ท้อง (บางทีเรียกชายพก) ถ้าเป็นมือจีบ จะเรียกว่า จีบวง
ล่าง
4. จีบ เป็นอาการของมือโดยการเอานิ้วชี้ กับนิ้วหัวแม่มือ บรรจบกัน ให้ปลายนิ้วหัว
แม่มือ จรดข้อที่ 1 ของนิ้วชี้ ส่วนนิ้วที่เหลือทั้ง 3 เหยียดตรง และกรีดออกไปเป็น
เหมือนรูปพัด หักข้อมือเข้าหา ลำแขนเสมอ จีบมือมี 2 อย่าง คือ จีบหงาย และจีบ
คว่ำ
หมวดกิริยาศัพท์ คือ การเรียกท่าจะให้รำได้
งดงาม เช่น ทรงตัว ลดวงส่งมือ ตึงมือ ตึง
เอว กดไหล่ กดคาง หลบเข่า เปิดคาง
หมวดนามศัพท์เบ็ดเตล็ด คือ การเรียกท่ารำ เช่น
เหลื่อมเท้า จีบยาว แม่ท่า ชันเข่า ยืนเข่า ยืนเครื่อง
การกระดกเท้า ทางตลาด ทางโรง
แบบฝึกหัด
.
1.วงดนตรีไทยในปัจจุบัน แบ่งออกเป็นกี่ประเภท?
1. 3 ประเภท
2. 2 ประเภท
3. 4 ประเภท
4. 5 ประเภท
2. วงดนตรีไทยมีวงอะไรบ้าง?
1. วงดนตรี วงปี่พาทย์
2. วงปี่พาทย์ วงเครื่องสาย วงมโหรี
3. วงมโหรี วงเครื่องสาย วงกลม
4. วงมโหรี วงเครื่องสาย วงกลองยาว
3. เครื่องดนตรีชิ้นใดไม่มีในวงเครื่องสายเล็ก?
1.ซออู้
2.จะเข้
3.รำมะนา
4.โหม่ง
4.เครื่องดนตรีชิ้นใดไม่มีในวงเครื่องสายเครื่องคู่?
1.ซออู้
2.ซอด้วง
3.กลองแขก
4.ขลุ่ยเพียงออ
5.วงเครื่องสายผสม ใช้เครื่องดนตรีใดผสมในวง?
1.ขิม
2.เปี ยโน
3.ออร์แทน
4.ถูกทุกข้อ
6.วงปี่พาทย์ไม้แข็ง แบ่งออกเป็นกี่ขนาด?
1.2 ขนาด
2.3 ขนาด
3.4 ขนาด
4.5 ขนาด
7.วงปี่พาทย์เสภาใช้กลองชนิดใด ตีกำกับหน้ าทับ
แทนเวลาที่ร้องส่งหรือบรรเลง?
1.กลองทัด
2.กลองยาว
3.กลองแขก
4.กลองสองหน้ า
8.วงปี่ พาทย์ไม้แข็งแบ่งออกเป็ นกี่อย่าง?
1.4 อย่าง
2.5 อย่าง
3.3 อย่าง
4.2 อย่าง
9.วงปี่พาทย์ไม้แข็ง เป็นวงที่ประกอบด้วยเครื่อง
ดนตรีประเภทอะไร?
1.เครื่องดีด เครื่องสี
2.เครื่องเป่า เครื่องตี
3.เครื่องตี เครื่องสี
4.เครื่องตี เครื่องดีด
10.เครื่ องดนตรีชนิดใดที่ไม่ได้อยู่ในวงปี่ พาทย์ไม้
แข็งเครื่องใหญ่
1.ปี่ใน ปี่นอก
2.ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก
3.เปียโน กีตาร์
4.ปี่นอก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม
เฉลยแบบฝึกหัด
1.1
2.2
3.4
4.3
5.4
6.2
7.4
8.3
9.2
10.3
จัดทำโดย
นาย ปรมี อยู่พันธ์ เลขที่ 11
นาย ภูริเดช บุตรน้ำดี เลขที่ 3