คำนำ จากพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงห่วงใยและทรงเห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้ของจังหวัดน่านอย่างยั่งยืน จึงมีพระราชดำริให้หน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันจัดทำ “โครงการรักษ์ป่าน่าน” โดยมุ่งเน้นการปลูกฝังจิตสำนึกและ ความรับผิดชอบให้แก่เด็กและเยาวชน และบูรณาการความร่วมมือของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชนและชุมชน ท้องถิ่น ทั้งนี้ทรงเห็นว่าเด็กและเยาวชนเป็นพลังสำคัญที่จะช่วยในการฟื้นฟูและรักษาความสมบูรณ์ของ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานของประเทศให้มั่นคงและยั่งยืนต่อไปได้ประกอบกับแผน ยุทธศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2564-2567 ได้กำหนดให้มหาวิทยาลัยเป็นผู้นำการสร้างสรรค์องค์ความรู้ และนวัตกรรมเพื่อสร้างเสริมสังคมสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการสร้างผู้นำแห่งอนาคต ขับเคลื่อนสังคมอุดมปัญญา และพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค (ศคภ.) ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหนึ่งของจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย จึงได้ร่วมสนองพระราชดำริ และดำเนินงานตามนโยบายผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในจังหวัดน่านอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 ถึงปัจจุบัน ศคภ. และภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ได้มีการนำ บทเรียนจากกิจกรรมต่าง ๆ มาต่อยอดผนวกเข้ากับแนวคิดการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Education for Sustainable Development) ขององค์การสหประชาชาติซึ่งให้ความสำคัญกับการศึกษา อันจะนำไปสู่เป้าหมาย ความยั่งยืนในมิติอื่น ๆ ทำให้เกิดเป็นโครงการ “ละอ่อนน่านเรียน-รู้-รักษ์ป่า สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยดำเนิน โครงการร่วมกับโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดน่านจำนวน 4 แห่ง ใน 3 อำเภอ ได้แก่ โรงเรียนสา อ.เวียงสา, โรงเรียนท่าวังผา พิทยาคม อ.ท่าวังผา, โรงเรียนเชียงกลาง “ประชาพัฒนา” และโรงเรียนพระธาตุพิทยาคม อ.เชียงกลาง ภายใต้โครงการ ละอ่อนน่านฯ นี้ได้ดำเนินการโดยใช้แนวคิดการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ (เทศบาลตำบลท่าวังผา และองค์การบริหารส่วนตำบลไหล่น่าน ขึ่ง เปือ และพระธาตุ) ชุมชนท้องถิ่น ภาคการศึกษาในพื้นที่ (ครู) เยาวชน (นักเรียนในโรงเรียน) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อาจารย์และนิสิตจากคณะวิทยาศาสตร์) มีการใช้รายวิชา “การค้นคว้าอิสระ” หรือการทำโครงงานของนักเรียนเป็นแนวทางการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ในพื้นที่ ในปีงบประมาณ 2566 ทาง ศคภ. ได้เปิดโอกาสให้ทางโรงเรียนในเครือข่าย ดำเนินกิจกรรมต่อยอดองค์ความรู้ ด้วยตัวเอง ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการดำเนินงาน ดังนั้น เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานและฝึกทักษะการนำเสนอ ของนักเรียน พัฒนาทักษะการเป็นผู้นำ ทำงานร่วมกันเป็นทีม และถ่ายทอดความรู้สู่สังคมของนิสิตจุฬาฯ และ ถอดบทเรียนร่วมกันระหว่างคณะทำงาน ศคภ. จึงได้จัดงานสัมมนาวิชาการ “รักษ์ป่าน่าน: ละอ่อนน่านเรียน-รู้-รักษ์ ป่า สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ครั้งที่ 3” มีกิจกรรมวิชาการ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) การประชุมวิชาการเพื่อนำเสนอผล การดำเนินโครงการการค้นคว้าอิสระ โดยในปีนี้มีผลงานนำเสนอรวม 12 เรื่อง จาก 3 โรงเรียน, 2) กิจกรรมฐานความรู้ และแนะแนว ซึ่งได้รับข้อเสนอแนะจากปีที่ผ่านมา และ 3) กิจกรรมถอดบทเรียน ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ทางคณะผู้จัดทำโครงการหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กิจกรรมนี้จะมีส่วนช่วยสร้างเยาวชนและเครือข่ายการเรียนรู้ ของจังหวัดน่านให้เข้มแข็งและพัฒนาสู่ความยั่งยืนต่อไป ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กิตนะ ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข กำหนดการ 08:00 – 08:30 น. ลงทะเบียน การประชุมภาคบรรยาย (Plenary session): I ณ ห้องประชุมใหญ่ (ชั้น 4 อาคารวิชชาคาม 1) 08:30 – 08:45 น. พิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการ “รักษ์ป่าน่าน: ละอ่อนน่าน เรียน-รู้-รักษ์ป่า สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ครั้งที่ 3” โดย ผศ.ดร.นพดล กิตนะ ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาฯ 08:45 – 09:15 น. การบรรยายเรื่อง “ละอ่อนน่าน เรียน-รู้-รักษ์ป่า สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการเตรียมความพร้อมเผชิญปัญหาภาวะโลกเดือด” โดย รศ.ดร.พงษ์ชัย ดำรงโรจน์วัฒนา และคณะ 09:15 – 10:15 น. การนำเสนอผลงานภาคบรรยาย (I) 10:15 – 11:40 น. การนำเสนอผลงานภาคบรรยาย (II) (ประชุมพร้อมรับประทานอาหารว่าง) 11:40 – 13:00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน กิจกรรมถอดบทเรียนและการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Parallel session: Workshop) ห้อง 1 (101 วิชชาคาม 1) เกม ป.ปลา นานาพันธุ์ ห้อง 2 (102 วิชชาคาม 1) เกมพื้นที่สีเขียว ห้อง 3 (103 วิชชาคาม 1) เกม Saratopia 13:00 – 14:00 น. ผู้เข้าร่วม: หมู่แมลง ผู้เข้าร่วม: หมู่ปลา ผู้เข้าร่วม: หมู่นก 14:15 – 15:15 น. ผู้เข้าร่วม: หมู่ไม้ต้น ผู้เข้าร่วม: หมู่สมุนไพร ผู้เข้าร่วม: หมู่เห็ด ห้อง 4 (401 วิชชาคาม 1): กิจกรรมแนะแนวการศึกษา: เส้นทางฝืน หรือ เส้นทางฝัน? 13:00 – 14:00 น. ผู้เข้าร่วม: หมู่ไม้ต้น หมู่สมุนไพร หมู่เห็ด 14:15 – 15:15 น. ผู้เข้าร่วม: หมู่แมลง หมู่ปลา หมู่นก ห้อง 5 (วิวจามจุรี ชั้น 2 วิชชาคาม 1): ประชุมถอดบทเรียนระหว่างคณะทำงาน 13:00 – 15:15 น. ผู้เข้าร่วม: ตัวแทนครู องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชาวบ้าน และคณาจารย์ หมายเหตุ 14:00 – 14:15 น. พักรับประทานอาหารว่าง พิธีมอบรางวัล และพิธีปิด: ณ ห้องประชุมใหญ่ (ชั้น 4 อาคารวิชชาคาม 1) 15:15 – 15:45 น. พิธีมอบรางวัลและของที่ระลึก 15:45 – 16:00 น. พิธีปิด โดย ผศ.ดร.นพดล กิตนะ ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาฯ
ค สารบัญ หน้า คำนำ............................................................................................................................................................................ก กำหนดการ...................................................................................................................................................................ข สารบัญ.........................................................................................................................................................................ค บทคัดย่อและโปสเตอร์.................................................................................................................................................1 การศึกษาปริมาณคาร์บอนสะสมเหนือพื้นดินของป่าในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน........................................................................................................................2 การสำรวจนกป่าภายในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน......................................4 การสำรวจสมุนไพรในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน.........................................6 การสำรวจเห็ดในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน................................................8 การสำรวจการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน......................................................................................................................10 พิกัดพรรณไม้ในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน ...............................................12 การศึกษาปริมาณ Carbon Footprint ในชุมชนบ้านป่าเมี่ยง ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ..............14 การแปรรูปชาจากพืชสมุนไพรท้องถิ่นจากป่าชุมชนบ้านอาฮาม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน..................................16 การศึกษาการใช้ประโยชน์ของไม้ไผ่จากป่าชุมชนบ้านฝายมูล ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน .................18 มูลค่าการใช้ประโยชน์ของป่า จากป่าชุมชนบ้านหนองม่วง ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน......................20 ระบบตรวจจับโรคในใบข้าวโพดโดยใช้แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ ผ่านทาง Line Chat Bot โดยใช้CiRA CORE.....................................................................................................................................22
บทคัดย่อและโปสเตอร์ หมายเหตุ: เป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้น ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้อง ควรพิจารณาก่อนการอ้างอิง
การศึกษาปริมาณคาร์บอนสะสมเหนือพื้นดินของป่าในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน นายยุทธชัย ปาลี นางสาวกนกนภา กะนุวงค์ นางสาวจิตรลดา เจริญกิจ นางสาวจิรนันท์กิติรุ่งรวี นางสาวอนุธิดา ยะปัญญา นางสาวรัญชิดา เทใหม่ นางสาวชวัลลักษณ์งามรัตนกวี คุณครูที่ปรึกษา: นางมลฤดี เตชะตา, นางดาราลักษณ์ อินปา มัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” บทคัดย่อ ต้นไม้มีบทบาทสำคัญในการช่วยกักเก็บคาร์บอนโดยอาศัยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช เกิดเป็นสารประกอบจำพวกแป้งและเซลลูโลสหรือเส้นใยพืช แล้วเจริญเติบโตเป็นต้นไม้ที่ขนาดใหญ่ ทั้งนี้ต้นไม้ยังช่วยลด การปลดปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ดังนั้นโครงงานนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปริมาณคาร์บอนที่มีอยู่ในต้นไม้ในโรงเรียนซึ่งเป็นโรงเรียนที่ล้อมรอบด้วยป่ากลางชุมชนในเนื้อที่ 97 ไร่ ซึ่งในโรงเรียนมีต้นไม้มาก เป็นพื้นที่ป่า 40% จึงทำการประเมินศักยภาพปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้ ในโรงเรียน โดยผู้ศึกษาดำเนินการวางแปลงศึกษาภายในพื้นที่โรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” ขนาด 40x40 เมตร จำนวน 3 แปลง ทำการสำรวจโดยติดป้ายหมายเลขต้นไม้วัดขนาดของเส้นรอบวงลำต้นของต้นไม้ที่ระดับความสูง 1.30 เมตร และวิเคราะห์หาปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้นไม้กักเก็บได้ ผลการศึกษาพบว่าในแปลงศึกษาทั้งหมด 3 แปลง พบต้นไม้ทั้งหมด 295 ต้น แบ่งเป็นแปลงที่ 1 จำนวน 120 ต้น แปลงที่ 2 จำนวน 121 ต้น และแปลงที่ 3 จำนวน 54 ต้น คิดเป็นปริมาณการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้นไม้ในโรงเรียนสามารถกักเก็บได้เท่ากับ 23.09 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คำสำคัญ: การกักเก็บคาร์บอน, การวางแปลง, ต้นไม้, ปริมาณคาร์บอนสะสม, ป่าชุมชน
3
4 การสำรวจนกป่าภายในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน นายกฤติน กระหมุดความ นายนรสิงห์โพธิไชยะ นายวีรภัทร อุยานะ นายวุฒิชัย นิลคง นายสุทิวัส นาวัลย์ นายภานุกร อินทำ นายสิรวิชญ์ขยายเสียง คุณครูที่ปรึกษา: นางมลฤดี เตชะตา, นายโพธิบูรณ์ แก้วทอง มัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” บทคัดย่อ โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสำรวจ เรื่องการสำรวจนกป่าภายในโรงเรียนเชียงกลาง “ประชาพัฒนา” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากหลายสายพันธุ์ของนกประจำถิ่นและนกอพยพภายในเขตโรงเรียน เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ป่า และส่งเสริมการปลูกป่าที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนก กำหนดพื้นที่สำรวจโดยแบ่ง ออกเป็น 2 พื้นที่ ได้แก่ เขตป่าปกปักพันธุกรรมพืชท้องถิ่น และเขตสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน โรงเรียนเชียงกลาง "ประชาพัฒนา" โดยทำการสำรวจพื้นที่ละ 5 จุด สำรวจตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เป็นระยะเวลา 2 เดือน ด้วยกล้องส่องทางไกลประเภทสองตา (Binocular) กล้องส่องทางไกลประเภทตาเดียว (Spotting Scope) และหนังสือคู่มือนกเมืองไทย ผลการศึกษาพบว่าพบนกทั้งหมด 15 ชนิด ประกอบด้วยนกประจำถิ่น 10 ชนิด ได้แก่ นกกางเขนบ้าน, นกเอี้ยงสาลิกา, นกขมิ้นน้อยธรรมดา, นกกระติ๊ดขี้หมู, นกแซงแซวหางปลา, นกปรอดหัวสีเขม่า, นกสีชมพูสวน, นกปรอดสวน, นกจับแมลงหัวเทา และนกเค้าแมว รวมถึงนกอพยพจำนวน 5 ชนิด ได้แก่ นกอีเสือ, นกพิราบป่า, นกจับแมลงสีน้ำตาล, นกตีทอง และนกยางนอกฤดู คำสำคัญ: การอนุรักษ์, ความหลากหลาย, นกประจำถิ่น, นกอพยพ, ป่าชุมชน
5
6 การสำรวจสมุนไพรในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน นางสาวศิรประภา ชวาเขต นางสาวกมลมาศ ท้าวบุญญาภินิกุล นางสาวทิพวรรณ ฝีปากเพราะ นางสาวนันทีนีแผ่นชมภู นางสาวจิราพัชร อรุณกาญจน์ นางสาวเนตรอัปสร เปียงใจ คุณครูที่ปรึกษา: นางมลฤดี เตชะตา, นายเจนภพ วิถาน มัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” บทคัดย่อ โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสำรวจ เรื่องการสำรวจสมุนไพรในโรงเรียน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียน และบุคลากรในโรงเรียนสามารถนำสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน กำหนดบริเวณที่ต้องการสำรวจ โดยการวางแปลงถาวร เก็บตัวอย่างพรรณไม้แห้ง ระบุชนิด รวมไปถึงชื่อวิทยาศาสตร์และชื่อวงศ์ของสมุนไพรเหล่านี้ จากการสำรวจพบว่าภายในโรงเรียนมีสมุนไพรจำนวน 17 ชนิด ได้แก่ สะค้าน ผักคาวตอง ตะไคร้ ดีปลากั้ง กะเพรา หอม ต้นเดี่ยว ผักไผ่ ใบผักกรูด ต้นว่านกาบหอย ฟ้าทะลายโจร ใบแมงลัก ต้นพริก ตำลึง เอื้องหมายนา ขิง พญารากดำ และ ใบชะพลู เป็นต้น จากการสำรวจสามารถวิเคราะห์ได้ว่าป่าในโรงเรียนเชียงกลางประชาพัฒนานั้นมีความอุดมสมบูรณ์เป็น ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายของสมุนไพร คำสำคัญ: การระบุชนิด, ความหลากหลาย, ตัวอย่างพรรณไม้แห้ง, ป่า, พืชสมุนไพร
7
8 การสำรวจเห็ดในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน นางสาวชุติมา ค่าคาม นางสาวนวรัตน์เพตะกร นางสาวปานฤทัย สมฤทธิ์ นางสาวชัชนานันทร์อุทุมพร นางสาวญาณิชา อินปา นางสาวเนตรอัปสร อุทุมพร นางสาวพณิชยา หน่อท้าว คุณครูที่ปรึกษา: นางมลฤดี เตชะตา,นายเจนภพ วิถาน มัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” บทคัดย่อ เห็ดเป็นเชื้อราชั้นสูงที่พบในป่า ในโรงเรียนเชียงกลาง “ประชาพัฒนา” ก็พบสายพันธ์ุของเห็ดที่หลากหลาย ทั้ง เห็ดที่รับประทานได้และรับประทานไม่ได้ จากการศึกษาสายพันธ์ุของเห็ดจะช่วยลดปัญหาการรับประทานเห็ด ที่มีพิษ โครงงานนี้จึงมีวัตถุเพื่อที่ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของเห็ดป่าและความเป็นมาของเห็ดแต่ละชนิด ซึ่งมีสมมติฐานว่า เห็ดที่มีลักษณะหมวกเห็ดเป็นปุ่มขรุขระและมีกลิ่นรุนแรงคือเห็ดมีพิษที่รับประทานไม่ได้ และเห็ดที่มีลักษณะผิวค่อนข้าง เรียบและไม่เปื่อยยุ่ยเป็นเห็ดไม่มีพิษที่รับประทานได้การลงพื้นที่สำรวจป่าโรงเรียนเชียงกลาง “ประชาพัฒนา” ได้เก็บ ตัวอย่างเห็ดแต่ละชนิดที่พบเจอในป่ามาสังเกตลักษณะและบันทึกผล พบเห็ดจำนวน 17 ชนิด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) เห็ดที่รับประทานได้ จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ เห็ดลม เห็ดโคน และเห็ดน้ำเป้ง 2) เห็ดที่รับประทานไม่ได้ จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ เห็ดหิ้ง 1, เห็ดหิ้ง 2, เห็ดกระด้าง และเห็ดที่ไม่ทราบชื่อ จำนวน 11 ชนิด จากการสำรวจพบว่าโรงเรียนเชียงกลาง “ประชาพัฒนา” มีความอุดมสมบูรณ์และสภาพแวดล้อมดี จึงส่งผลให้สามารถพบเห็ดป่าหลายชนิด ทั้งชนิดที่รับประทานได้ และรับประทานไม่ได้ คำสำคัญ: ป่า, ลักษณะของดอกเห็ดที่มองเห็นด้วยตาเปล่า, เห็ดที่รับประทานได้, เห็ดที่รับประทานไม่ได้, เห็ดพิษ
9
10 การสำรวจการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน นายปิยนันท์นันทประสาธน์ นายณัฐพล เถาว์เพ็ง นายเมธิชัย ท้าวชินกิจ นางสาวกรรณิการ์สวนหมอก นางสาวบุญญากานต์สุยะเทพ นางสาวอารดา ธิติมูล นางสาวพลอยไพลิน เงินเย็น คุณครูที่ปรึกษา: นางมลฤดี เตชะตา,นางสาวมะลิวัลย์ ไชยโย มัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” บทคัดย่อ ปัจจุบันทุกคนกำลังประสบกับปัญหาเรื่องภาวะโลกร้อน โดยค่าสถิติของอุณหภูมิในรอบปีที่ผ่านมาสังเกตได้ว่ามี การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราการลดลงที่น้อยมากหรือแทบไม่มีการลดลงของอุณหภูมิเลย โครงงานนี้จึงได้ศึกษา ทดลองหาอัตราการปล่อย “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2)” จากสถานที่ต่าง ๆ ในโรงเรียนเชียงกลาง “ประชาพัฒนา” โ ด ยด ำ เ น ิ น ก า ร ส ำ ร ว จ ป ร ิ ม า ณ ก า ร ป ล ่ อ ย ก ๊ าซ CO2 แ ล ะแ ห ล ่ ง ที่ม า ข อ ง ก า ร ป ล ่ อ ย CO2 ค ื อ ร ถ และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดภายในโรงเรียน เนื่องจากสามารถคำนวณและหาปริมาณการปล่อย CO2 ได้โดยวิธีการหาค่า ปริมาณการปล่อย CO2 ต่อเดือน คือ บันทึกปริมาณน้ำมันที่บรรจุของรถแต่ละรุ่นหรือยี่ห้อแล้วแปลงค่าเป็นค่า CO2 ในรอบ 1 เดือน ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าจะสำรวจโดยใช้วิธีการเปลี่ยนค่าใช้จ่ายของค่าไฟในโรงเรียนแล้วแปลงหน่วยเป็น ปริมาณ CO2 ที่ปล่อยในรอบ 7 เดือน ผลการศึกษาพบว่าปริมาณการปล่อย CO2 จากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ รถยนต์ครูและ รถรับส่ง 745.3 kgCO2eq, รถจักรยานยนต์ 42.4 kgCO2eq และเครื่องใช้ไฟฟ้า 3.862 kgCO2eq รวมทั้งสิ้น 791.562 kgCO2 eq คำสำคัญ: ก๊าซเรือนกระจก, คาร์บอนฟุตพริ้นท์, ภาวะโลกร้อน, ยานพาหนะ, อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
11
12 พิกัดพรรณไม้ในโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน นางสาวกัญญารินทร์ อินทำ นางสาวชลีกร ไชยโย นางสาวเฟื่องฟ้า บุญยืน นางสาวเรณุกา รักประชา นางสาววิมลณัฐ ซอละศรี นางสาวชลธิชา วรยศ คุณครูที่ปรึกษา: นางมลฤดี เตชะตา,นายเจนภพ วิถาน มัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” บทคัดย่อ โครงงานพิกัดพรรณไม้มีความสำคัญเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาวิชาในศาสตร์ที่เรียนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นศาสตร์ ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติกับทางสังคมที่ปรากฏอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้ผู้เรียนเห็นภาพและ เข้าใจในกายภาพของสถานที่สำคัญในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โครงงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิด จำนวนต้นไม้ในแต่ละชนิด และจำแนกลักษณะวิสัยที่สำรวจในพื้นที่ศึกษา เพื่อให้ผู้อื่นทราบระเบียนพรรณไม้ภายใน โรงเรียน โดยผลการดำเนินงานจากการสำรวจพื้นที่ต้นไม้ในโรงเรียนจำนวน 3 เเปลง เเปลงละ 40×40 เมตร ซึ่งอยู่ใน ละติจูด ลองจิจูดที่ 19.2953337, 100.8626632 มีต้นไม้ที่สำรวจทั้งหมด 295 ต้น โดยแปลงที่ 1 และแปลงที่ 2 มีต้นไม้ที่หลากหลายและมีความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากมีทั้งสมุนไพรและเห็ดที่หลากหลาย ส่วนแปลงที่ 3 ซึ่งตั้งอยู่ บริเวณด้านหลังห้องดนตรีพบว่ามีต้นไม้ที่ไม่หลากหลาย ส่วนมากเป็นต้นไม้ที่ปลูกเอง เช่น ต้นสัก และยูคาลิปตัส ดังนั้น ส่วนแปลงที่ 3 จึงไม่มีความหลากหลากและไม่มีความร่มรื่นเท่าแปลงที่ 1 และ 2 คำสำคัญ: การวางแปลงตัวอย่าง, ความหลากหลายของพรรณไม้, บริการทางระบบนิเวศ, ระบบนิเวศในโรงเรียน, ระเบียนพรรณไม้
13
14 การศึกษาปริมาณ Carbon Footprint ในชุมชนบ้านป่าเมี่ยง ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน นายวิชชากร วงศ์ทัย นางสาวเขมจิรา จันฟุ่น นางสาวกัณฐิกา อุดทา นางสาวพรพรรณ บุญรักษ์ นางสาวฤทัยกานต์ สุฤทธิ์ นางสาววรัญญา กันทา ครูที่ปรึกษา: นางกาญจนา ธนะขว้าง มัธยมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม บทคัดย่อ การศึกษาเรื่องปริมาณคาร์บอน Carbon Footprint ในชุมชนบ้านป่าเมี่ยง ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา จังหวัด น่าน โดยการสํารวจการสร้างคาร์บอนในชุมชน วิเคราะห์สาเหตุของการก่อให้เกิดปริมาณคาร์บอนในชุมชน และแนวทาง การลดปริมาณคาร์บอนเพื่อทําให้ในชุมชนของเรามีผลกระทบต่อก๊าซเรือนกระจกน้อยลง มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดทํา ระบบฐานข้อมูลการสํารวจปริมาณ Carbon Footprint ในชุมชน โดยใช้การสุ่มแบบจำเพาะเจาะจงจำนวน 54 หลังคา เรือน จากประชากรทั้งหมด 172 หลัง ของชุมชนบ้านป่าเมี่ยง ตําบลตาลชุม อําเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน คำนวณปริมาณ คาร์บอนโดยการใช้สูตรคำนวณหาค่าปริมาณคาร์บอนในชุมชน ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การ มหาชน) โดย คำนวณค่าปริมาณสิ่งที่ใช้ X ค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมค่า CO2 Emission ทุกกิจกรรม จากผลการศึกษาพบว่า ข้อมูล CO2 Emission มีสาเหตุมาจากขยะมูลฝอยมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ไฟฟ้า น้ำมัน และ แก๊ส โดยค่า CO2 Emission เป็น 26,994.84, 58,752.72, 45,142.32 และ 2,094.06 ต่อปีตามลำดับ คำสำคัญ: ค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, ค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก, ปริมาณคาร์บอน, Carbon Footprint, CO2 Emission
15
16 การแปรรูปชาจากพืชสมุนไพรท้องถิ่นจากป่าชุมชนบ้านอาฮาม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน นายพัสกร ไชยปาละ นางสาวธัญชนก คะเชนมาตย์ นางสาวอรวรรยา ระนัน นางสาวณัจฉรียา คำแสน นางสาวณิชา ขันทะสาร นางสาววิลาสินีเขยตุ้ย ครูที่ปรึกษา: นางกาญจนา ธนะขว้าง มัธยมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม บทคัดย่อ การศึกษา “การแปรรูปชาจากพืชสมุนไพรท้องถิ่นจากป่าชุมชนบ้านอาฮาม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ” ระยะเวลาการดำเนินงาน 16 พฤษภาคม 2566 - 30 มีนาคม 2567 โดยนำข้อมูลการสำรวจพื้นที่ป่าชุมชน จำนวน 3 แปลง แปลงละ 1 ไร่ มาวิเคราะห์ชนิดของพืช และส่วนประกอบของพืชที่นำมาเป็นชาสมุนไพร เลือกสมุนไพรนำมาแปรรูป จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ใบหม่อน ใบประดู่ และผลมะขามป้อม ศึกษาระยะเวลาที่มีผล ต่อการอบให้กลายเป็นชา และทำการทดสอบโดยการใช้แบบทดสอบ Sensory test จากการศึกษาพบว่า มีสมุนไพร สามารถทำชาได้ทั้งหมด 20 ชนิด โดยพืชสมุนไพรที่ใช้ประโยชน์จาก ใบ มี 12 ชนิด จากดอก 4 ชนิด จากผล 8 ชนิด จาก เปลือกไม้ 10 ชนิด และจากราก 12 ชนิด โดยคิดเป็นร้อยละแสดงส่วนประกอบของพืชที่สามารถนำมาทำชาสมุนไพร จำนวน 20 ชนิด คิดเป็นร้อยของส่วนประกอบที่ใช้ โดยใช้ส่วน ใบและราก มากที่สุด รองลงมาคือส่วนเมล็ด ผล และดอก โดยคิดเป็นร้อยละ 21.43, 21.43, 17.86, 14.29 และ 7.14 ตามลำดับ ผลการทดสอบคุณภาพของชาสมุนไพรจากพืช 3 ชนิด โดยใช้ระยะเวลาอบ 4 และ 8 ชั่วโมง พบว่าในด้านคุณภาพของสี ต้นประดู่ที่ระยะเวลาอบ 8 ชั่วโมงให้สีดีที่สุด ส่วนด้านกลิ่นใบหม่อนที่ระยะเวลาอบ 8 ชั่วโมงให้กลิ่นได้ดีที่สุด ส่วนด้านรสชาติพบว่าใบหม่อน ที่ระยะเวลาอบ 8 ชั่วโมงให้รสชาติได้ดีที่สุด โดยภาพรวมแล้วชาใบหม่อนที่ระยะเวลา 8 ชั่วโมง ให้ภาพรวมที่ดีที่สุด โดยมีค่าการประเมินเฉลี่ยที่ระดับ 4.39 คำสำคัญ: การใช้ประโยชน์, การแปรรูปชา, ชา, ผลิตภัณฑ์, Sensory test
17
18 การศึกษาการใช้ประโยชน์ของไม้ไผ่จากป่าชุมชนบ้านฝายมูล ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน นายปริญญา วังสาร นายพร้อมบุณย์ พิยะ นายณัฐวงศ์ วงศ์เมือง นายพงษ์ติพัฒน์ ไชยสลี นายภัทรพงษ์ ไชยขันธ์ นายภูมิพัฒน์ ชาติดอนไฟ ครูที่ครูที่ปรึกษา: นางกาญจนา ธนะขว้าง มัธยมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม บทคัดย่อ การศึกษาการใช้ประโยชน์ของไม้ไผ่จากป่าชุมชนบ้านฝายมูล ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน เพื่อให้ทราบข้อมูลในการใช้ประโยชน์ของไผ่ในด้านต่าง ๆ และมูลค่าของไผ่และผลิตภัณฑ์จากไผ่ของชุมชน นอกจากนี้ยัง ทำให้คนในชุมชนเห็นคุณค่า ตระหนักรู้ถึงประโยชน์ รู้คุณค่า รู้อนุรักษ์ และรักษาผืนป่าไผ่ของชุมชนมากยิ่งขึ้น ทำการศึกษาโดยใช้แบบสอบถาม ทำการสอบถามข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ ทำการสำรวจโดยการสุ่มแบบจำเพาะ เจาะจง จำนวน 30 หลังคา ผลการศึกษาพบว่า ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีจำนวนสมาชิกในครอบครัว 2-3 คน จำนวน 14 หลัง 3 - 4 คน จำนวน 11 หลัง 5 คนขึ้นไป จำนวน 3 หลัง และ 1 คน จำนวน 2 หลัง คิดเป็น 46.67% 36.67% 10.00% และ 6.67% ตามลำดับ ในด้านอาชีพหลัก ข้อมูลที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างพบว่าส่วนใหญ่มีอาชีพหลักเป็น เกษตรกร จำนวน 10 หลัง ค้าขาย จำนวน 9 หลัง รับจ้าง จำนวน 5 หลัง ชาวไร่/ชาวนา จำนวน 3 หลัง และ อาชีพอื่น ๆ จำนวน 5 หลังคิดเป็น 33.33% 26.67% 13.33% 10.00% และ 16.67% ตามลำดับ การใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนบ้านฝายมูล พบว่าชนิดไม้ไผ่ที่นำมาใช้ได้แก่ ไม้ไผ่รวกจำนวน 18 หลัง ไม้ไผ่สีสุกจำนวน 13 หลัง ไม้ไผ่ซางจำนวน 9 หลัง ไม้ไผ่บงจำนวน 4 หลัง และไผ่ไร่จำนวน 1 หลัง คิดเป็น 40.00% 28.89% 20.00% 8.89% และ 2.22% ตามลำดับ โดยพบผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแปรรูปจากไม้ไผ่รวกมากที่สุด ซึ่งสำรวจ พบทั้งหมดจำนวน 9 ชนิด ได้แก่ ไม้กวาด, รั้งไม้, หมวก, บันได, เสวียน, กระติ๊บข้าว, ซุ้มผัก, ไม้เก็บมะพร้าว และตะกร้า คำสำคัญ: การใช้ประโยชน์, แบบสัมภาษณ์, ป่าชุมชน, ผลิตภัณฑ์, ไม้ไผ่
19
20 มูลค่าการใช้ประโยชน์ของป่า จากป่าชุมชนบ้านหนองม่วง ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน นายศิริศักดิ์ ศิริแก้ว นายชัยวัตร คำรศ นางสาวธัญจิรา บัวเหล็ก นางสาวสุชานันท์ กำแทง นางสาว กรรณิการ์ แก้วรากมุข นางสาวฐิติรัตน์ บัวอิ่น ครูที่ปรึกษา: นางกาญจนา ธนะขว้าง มัธยมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม บทคัดย่อ ป่าชุมชนบ้านหนองม่วง หมู่ที่ 4 ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน เป็นป่าเบญจพรรณไม้ที่ มีพื้นที่จำนวน 266 ไร่ (สำนักจัดการป่าชุมชน, 2553) มีของป่าที่หลากหลายและราษฎรมีการนำของป่ามาใช้ประโยชน์ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับป่า สะท้อนให้ราษฎรได้เห็นคุณค่าของป่าและตระหนักถึงความสำคัญของป่าชุมชน ผู้ทำโครงงานจึงศึกษาสภาพทางเศรษฐกิจ สังคม การใช้ประโยชน์และมูลค่าการใช้ประโยชน์ของป่าของราษฎรในพื้นที่ป่า ชุมชนบ้านหนองม่วง โดยใช้แบบสัมภาษณ์ในการเก็บข้อมูลของราษฎรที่อยู่ในบริเวณป่าชุมชนบ้านหนองม่วง จำนวน 36 ครัวเรือน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าต่ำสุด และค่าสูงสุด ผลการศึกษาพบว่าคนใน ชุมชนมีสมาชิก 1-2 คน, 3-4 คน และ 5 คนขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 41.67, 33.33 และ 25.00 ตามลำดับ การประกอบ อาชีพพบว่าประกอบอาชีพเกษตรกรมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 75.00 ส่วนอาชีพค้าขาย, รับจ้างทั่วไป และ ข้าราชการ คิด เป็นร้อยละ 2.78, 16.67 และ 5.56 ตามลำดับ ผลการสำรวจปริมาณและมูลค่าของการใช้ประโยชน์ จากป่าพบว่ามีการใช้ประโยชน์จากป่าทั้งหมดจัดประเภทได้ 9 ชนิด คือ ไม้ฟืน, ไม้ไผ่, หน่อไม้, ผลไม้ป่า, พืชผักป่า, เห็ด, พืชกินหัว, แมลง และสมุนไพร โดยมูลค่าจากการใช้ประโยชน์สูงที่สุด คือ ผึ้ง รองลงมา ได้แก่ ไม้สะแก หน่อไม้และไผ่รวก ตามลำดับ โดยมีมูลค่า 13,000 บาท, 12,500 บาท, 1,1000 บาท และ 10,320 บาท ตามลำดับ คำสำคัญ: การใช้ประโยชน์จากป่า, แบบสัมภาษณ์, ป่าชุมชน, ผลิตภัณฑ์, มูลค่าการใช้ประโยชน์
21
22 ระบบตรวจจับโรคในใบข้าวโพดโดยใช้แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ ผ่านทาง Line Chat Bot โดยใช้CiRA CORE นายกิตติภูมิพลังฤทธิ์ นายกิตติภพ พลังฤทธิ์ นายจิรวัฒน์ ยาโพธ์ นางสาวจิรารัตน์ กาติ้ง คุณครูที่ปรึกษา: นายธัญญวัฒน์ กาบคำ มัธยมศึกษาปีที่ 6/7 โรงเรียนสา บทคัดย่อ การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบตรวจจับโรคในข้าวโพดโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ผ่านทาง Line Chat Bot โดยใช้CiRA CORE โดยจะทำการลงพื้นที่สำรวจไร่ข้าวโพดที่แบ่งออกเป็น 5 เขต เก็บภาพโรคในใบข้าวโพด เขตละ 50 ภาพ และนำภาพที่ได้มาสอนให้ AI เรียนรู้ลักษณะของโรคในใบข้าวโพดผ่านแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ CiRA CORE ด้วยวิธี Deep Learning หรือ Deep Train อัปโหลดรูปภาพโรคในใบข้าวโพดแต่ละบริเวณลงยังบล็อก Image slide เพื่อส่งรูปโรคในใบข้าวโพดไปยังจอแสดงผล Debug โดยผ่านตัว Deep Detect ที่มีฐานข้อมูลโรคในใบข้าวโพด จำนวน 5 ชนิดที่ต้องการศึกษา คือโรคใบไหม้แผลเล็ก, โรคใบไหม้แผลใหญ่, โรคใบจุด, โรคกาบใบแห้ง และ โรคใบจุดสีน้ำตาล เมื่อแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ CiRA CORE พบโรคดังกล่าว จะสามารถส่งข้อมูลของโรค รวมทั้ง วิธีการแก้ไขปัญหาไปยัง Line Chat Bot ของผู้ใช้งานได้ จากนั้นจะทำการทดสอบประสิทธิภาพความแม่นยำด้วยวิธี Confusion Matrix โดยในแต่ละจุดจะแบ่งออกเป็น 5 โรค ทดสอบโรคละ 50 ครั้ง ทั้ง 5 บริเวณ และนำค่าความแม่นยำ ในการทดสอบไปหาค่าเฉลี่ยความแม่นยำโดยรวมของแต่ละโรค ผลการศึกษาพบว่าโรคใบไหม้แผลเล็ก, โรคใบไหม้แผลใหญ่, โรคใบจุด, โรคกาบใบไหม้และโรคใบจุดสีน้ำตาล มีค่าความแม่นยำ 88.00%, 73.00%, 46.00%, 75.00% และ 60.00% ตามลำดับ ดังนั้นแพลตฟอร์มปัญญาดิษฐ์ CiRA CORE สามารถจำแนกโรคในใบข้าวโพด และส่งข้อมูลไปยัง Line Chat Bot ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำสำคัญ: แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์, แมชชีนเลิร์นนิง, โรคในใบข้าวโพด, ไร่ข้าวโพด, ไลน์แช็ตบอท
23
24 คณะที่ปรึกษา ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กิตนะ ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายฯ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองศาสตราจารย์ ดร.ชัชวาล ใจซื่อกุล หัวหน้าภาควิชา รองศาสตราจารย์ ดร.พงษ์ชัย ดำรงโรจน์วัฒนา อาจารย์ประจำภาควิชา คณะดำเนินการจัดงาน นายแรกขวัญ ผลธัญญา นิสิตปริญญาโท นายศตายุ ปานจินดา นิสิตปริญญาโท นางสาวเอื้อการย์ ทองโชติ นิสิตปริญญาโท นางสาวสุธินี อ่อนอ่วม นิสิตปริญญาโท นางสาวพัทธมน ยนตร์ศักดิ์สกุล นิสิตปริญญาโท นายพชร เพ็งพ่วง นิสิตปริญญาตรี นายภูมิภิวัตน์ ศรีพรหม นิสิตปริญญาตรี นายคณดิถ พิริยะไพโรจน์ นิสิตปริญญาตรี นางสาวคณิศร บุญชู นิสิตปริญญาตรี นางสาวสิริกาญจน์ ภาผล นิสิตปริญญาตรี นายกรวุฒิ ชุติพงศ์ นิสิตปริญญาตรี นางสาวพิชญดา เตียวเจริญ นิสิตปริญญาตรี นายภพธร ญาณอภิมนตรี นิสิตปริญญาตรี นางสร้อยลดา ดำรงโรจน์วัฒนา ผู้ช่วยวิจัย เจ้าหน้าที่ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
25 บันทึก