ขุนนางและ
ชาวต่างชาติ
ที่มีบทบาทในการ
สร้างสรรค์ชาติไทย
1. นายพงษ์พิทักษ์ จัดทำโดย เลขที่ 1
2. น.ส.วริศรา เลขที่ 14
3. น.ส.ฌิชาภา แนวจำปา เลขที่ 15
4. น.ส.ศิรินภา ชูจิตร เลขที่ 16
5. น.ส.ชรินทร์ทิพย์ ชุติพงษ์ไพโรจน์ เลขที่ 18
6. น.ส.ปรภาว์ อเนกา เลขที่ 19
7. น.ส.ปานิสรา ธนชาติตระกูลกิจ เลขที่ 20
8. น.ส.ชุติภิญญา เดชผล เลขที่ 23
9. น.ส.ธนภรณ์ เกศรินหอมหวล เลขที่ 36
สืบศรี
เมืองหงษ์
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/18
เสนอ
ครูกนกพร สุขสาย
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของ
รายวิชาประวัติศาสตร์ (ส31112)
โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-BOOK) เรื่อง ขุนนางและ
ชาวต่างชาติที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติไทยเล่มนี้เป็น
ส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์ (ส31112) คณะผู้จัดทํา
จึงได้ทำการรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติและผลงานของ
ขุนนางและชาวต่างชาติที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติ
ไทย
คณะผู้จัดทำหวังว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จะเป็น
ประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับบุคคลสำคัญทั้งขุนนาง
และชาวต่างชาติที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติไทย
คณะผู้จัดทำ
สารบัญ หน้า
เรื่อง ก
ข
คำนำ 1
สารบัญ 2
ออกญาโกษาธิบดี 3
หม่อมราโชทัย 4
สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ 5
ลาลูแบร์ 6
บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ 7
หมอบรัดเลย์ 8
พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี 9
พระยากัลยาณไมตรี 10
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
บรรณานุกรม
๑
ออกญาโกษาธิบดี (ปาน)
ออกญาโกษาธิบดี เดิมชื่ อ "ปาน" เป็นน้องชายของ เจ้าพระยาพระคลัง หรือ
เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่ออายุ ๒๐ ปี
ได้เข้ารับราชการ กับพี่ชาย หลังจากนั้นอีก ๑๕ ปีต่อมา ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ออก
พระวิสุทธสุนทร (ปาน) และได้เป็นหัวหน้าคณะทูตเดินทางไป เจริญสัมพันธไมตรี
กับฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๙ ผลงานสำคัญ ด้านการต่างประเทศ ออกพระวิสุทธ
สุนทร (ปาน) ได้นำ คณะทูตของไทยเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ กษัตริย์ฝรั่งเศส
ในท้องพระโรงของพระราชวังแวร์ซาย เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๒๒๙ โดย
ได้ทำหน้าที่ เป็นผู้แทนของราชสำนักอยุธยาได้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม
ประเพณีของการ
เข้าเฝ้าของชาวฝรั่งเศส จนถึงกับได้รับคำยกย่องจากชาวฝรั่งเศสว่าราชทูตไทยผู้นี้
มีกิริยาท่าทางและวาจาทีงดงามมาก
ผลงานสำคัญ
โกษาปานเป็นนักการทูตที่สุขุม ไม่พูดมาก ละเอียดลออในการจดบันทึกที่ได้
พบเห็นในการเดินทางครั้งนั้น สำหรับการเข้าเฝ้าในครั้งนี้ ออกพระวิสุทธิ์สุนทร ได้
กระทำหน้าที่ เป็นผู้แทนของราชสำนักอยุธยาอย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียม
ประเพณีการเข้าเฝ้า จนชาวฝรั่งเศสได้กล่าวยกย่องชื่ นชมคณะทูตไทย ซึ่ งถือว่า
การไปเจริญสั มพันธไมตรีครั้ งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ ง
๒
หม่อมราโชทัย
หม่อมราชวงศ์ กระต่าย อิศรางกูร ได้ถวายตัวเป็นข้าหลวงเดิมมาตั้งแต่สมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชในรัชกาลที่ ๓ พระจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัว ซึ่ งขณะนั้นยังดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ สมมุติเทวาวงศ์ พงศา
อิศวรกษัตริย์ ขัตติยราชกุมาร เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎผนวช หม่อมราชวงศ์ กระต่ายก็ได้
ตามเสด็จไปรับใช้ต่อมาเมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎทรงสนพระราชหฤทัยในภาษาอังกฤษ
หม่อมราชวงศ์ กระต่ายก็ได้ศึ กษาตามพระราชนิยม โดยมีมิชชันนารีที่เข้ามาสอน
ศาสนาเป็นผู้สอน จนได้ชื่ อว่าเป็นผู้มีความรู้ภาษาอังกฤษดี จนเจ้าฟ้ามงกุฎทรงใช้
ให้เป็นตัวแทนเชิญกระแสรับสั่ งไปพูดจากับชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี
ผลงานสำคัญ
ด้วยความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ หม่อมราโชทัยได้ดำรงตำแหน่งล่าม
หลวงประจำคณะทูตไทยไปเจริญสั มพันธไมตรีกับอังกฤษ
๓
สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ นามเดิม “ช่วง บุญนาค” (๒๓ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๓๕๑ – ๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๖) เป้นขุนนางปันผู้ใหญ่ในสกุลบุนนาค
ของสยามในสมัยรัตนโกสิ นทร์ผู้มีบทบาทสำคัญในการเมืองการปกครองของ
สยาม โดยเริ่มเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หล้านภาลัย
ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ในรัชสมัยพระ
บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่ งนับเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยา
เป็นคนสุดท้าย นอกจากนี ้ท่านยังมีบทบาทในการอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นครองสิริราชสมบัติและได้รับการแต่งตึงเป็นผู้สาเร็จราชกา
รแทนพระองค์ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๑๑ - พ.ศ.๒๔๑๖ ด้วย
ผลงานสำคัญ
นอกจากด้านการปกครองแล้ว ท่านยังมีบทบาทสําคัญในด้านวรรณกรรม
การละครและดนตรี รวมถึงเป็นแม่กองในการก่อสร้าง บูรณะ ซ่อมแซม สถานที
ต่าง ๆ มากมาย เช่น พระนครคีรี พระอภิเนาว์นิเวศน์ คลองผดุงกรุงเกษม เป็นต้น
๔
ลาลูแบร์
ลาลูแบร์ หรือ ซิมง เดอ ลา ลูแบร์ เป็นชาวฝรั่งเศสที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า
คณะราชทูตฝรั่งเศสร่วมกับคลอด เซเบเรต์ ดู บูลาย เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยา
เมื่อ พ.ศ.2230 เพื่อเจรจาเกี่ยบกับเรื่องศาสนาและการค้าของฝรั่งเศสในอานา
จักรอยุธยา ซึ่ งตรงกับสมัยพระนารายณ์มหาราช
ผลงานสำคัญ
ลาลูแบร์ผู้นี้นอกจากจะเป็นหัวหน้าคณะทูตจากฝรั่งเศสแล้วเขายังได้รับคำสั่ งให้
สั งเกตเรื่ องราวต่างๆเกี่ ยวกับอาณาจักรอยุธยาที่ ได้พบเห็นและได้บันทึกข้อสั งเกจ
ทั้งหลายเหล่านั้นเพื่อกลับไปรายงายให้พระราชสำนักของพนะเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่ง
ฝรั่ งเศสได้ทรงทราบบันทึกเหล่านี้ ได้กลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ มี
คุณค่าต่อการศึ กษาประวัติศาตร์ไทยสมันอยุธยาเป็นอย่างมากซึ่ งได้รับการตีพิมพ์
ออกมาเป็นภาษาฝรั่งเศส และมีการแปลออกมาเป็นภาษาไทยที่มีชื่ อเรียกว่า
“จดหมายเหตุลาลูแบร์”
๕
บาทหลวงปาลเลอกัวซ์
เขาเป็นบาทหลวงคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุง ปารีส ปฏิบัติหน้าที่มิชชันนา
รีใประเทศไทย ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีสมณศั กดิ์เป็นประมุขมิสซังสยามตะวันออก และ
มุขนายกเกียรตินามแห่งมาลลอส ท่านได้นำวิทยาการการถ่ายรูปเข้ามาใน
ประเทศไทย และนอกจากนี้ท่านยังจัดทำพจนานุกรมภาษาเล่มแรกของไทยขึ้นชื่ อ
“สัพะ พะจะนะ พาสา ไท” โดยมีภาษา ทั้งสี่ ที่ว่านี้คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษา
ฝรั่งเศส และภาษาละติน
ผลงานสำคัญ
เขียนหนังสือเกี่ยวกับประเทศสยาม เช่น เล่าเรื่องกรุงสยาม ซึ่ งสะท้อนวิถีชีวิต
ความเป็น อยู่ของคนไทยสมัยนั้น ตลอดจนสภาพบ้านเมือง ภูมิประเทศ การ
ปกครอง ขนบธรรมเนียม ประเพณี ธรรมชาติ กฎหมาย การค้า การ
อุตสาหกรรม ภาษา วรรณคดี ประวัติศาสตร์ และ พุทธศาสนา ขณะเดียวกันปาล
เลอกัวซ์เองก็ได้เรียนรู้ภาษาบาลี ภาษาไทย พระพุทธศาสนา และ พงศาวดาร
สยาม จากสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จนกระทั่งมีความเชี่ ยวชาญอย่างยิ่ง การได้เข้า
เฝ้า และแลกเปลี่ยนความรู้ งกันและกันนี้ ก่อให้เกิดมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่าง
นักปราชญ์ทั้งสอง จนกลายมาเป็นพระสหายสนิทยิ่งของพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว CAR
๖
ดร.แดน บีช บรัดเลย์
บรัดเลย์เลือกศึ กษาวิชาแพทย์เพราะในสมัยนั้นต้องการมิชชันนารีเป็นอย่าง
มาก ระยะแรกศึ กษากับ ดร.เอ.เอฟ โอลิเวอร์ ที่เมืองเพนน์แยน โดยพยายามแก้ไข
การพูดติดอ่างซึ่ งเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่นโดยการเข้ากลุ่มฝึกพูด เขาเคยไปฟังบรรยาย
ทางการแพทย์ที่ฮาเวิร์ดใน ค.ศ. 1830 และกลับไปฝึกปฏิบัติงานการแพทย์ สลับ
กับการเป็นครูในหมู่บ้าน เมื่อสะสมเงินได้เพียงพอจึงไปโรงเรียนแพทย์ที่กรุง
นิวยอร์ก เพื่อเรียนและสอบได้รับปริญญาแพทย์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1833
ระหว่างอยู่ที่นิวยอร์กได้ปฏิบัติงานหาความชำนาญ จนสมัครเป็นแพทย์มิชชันนารี
กับคณะกรรมการพันธกิจคริสตจักรโพ้นทะเลเพื่อทำงานในเอเชีย
ผลงานสำคัญ
สิ่ งที่สร้างชื่ อเสียงให้บรัดเลย์ คือการผ่าตัด มีการผ่าตัดก้อนเนื้อที่หน้าผาก
ของผู้ป่วยรายหนึ่งเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1835 โดยไม่มียาสลบ และอีกหนึ่ง
การผ่าตัดที่ได้รับการจารึกไว้คือเมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1837 เกิดเหตุระเบิด
ของปืนใหญ่ที่งานวัดบริเวณวัดประยุรวงศาวาส มีคนตาย 8 คน และบาดเจ็บ
จำนวนมาก เขาได้ตัดแขนของชายหนุ่มคนหนึ่งถึงเหลือหัวไหล่ ในภายหลังวันที่ 7
กันยายน ค.ศ. 1840 หมอบรัดเลย์ได้บันทึกไว้ว่า ได้ตัดแขนเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุ
บนเรือฝรั่งเศส
๗
พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี
มหาอำมาตย์โท พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) เป็น
ข้าราชการชาวไทย ระหว่างเป็นเจ้าเมืองตรัง ได้พัฒนาเมืองให้เจริญก้าวหน้าจน
กลายเป็นเมืองเกษตรกรรม จึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการ
มณฑลภูเก็ต และเป็นผู้ได้รับพระราชทานนามสกุล ณ ระนอง
ผลงานสำคัญ
ในด้านการปกครองนั้น พระยารัษฎานุประดิษฐ์มีวิธีการบริหารปกครองแบบ
ไม่มีใครเหมือน โดยใช้หลักเมตตาเหมือนพ่อที่มีต่อลูก เช่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม
นโยบายก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก แต่การลงโทษนั้นให้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่คนผู้
นั้น เช่น ให้ไปทำนา เป็นต้น ชาวบ้านถือมีดพร้าผ่านมาก็จะขอดู ถ้าพบว่าขึ้นสนิมก็
จะดุกล่าวตักเตือน แม้แต่ข้าราชการก็อาจถูกตีศี รษะได้ต่อหน้าธารกำนัลถ้าทำผิด
หรือแม้กระทั่งดูแลให้ชาวบ้านสวมเสื้ อเวลาออกจากบ้าน
๘.
ดร.ฟรานซิส บี. แซร์
ฟรานซิสเป็นนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ต่อมา เดินทางมายัง
ประเทศสยาม (ต่อมาคือประเทศไทย) ในฐานะเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสยาม
เมื่อ พ.ศ. 2468 แล้วกลับสหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2475 ที่บ้านเกิดเมืองนอน
ขณะดำรงตำแหน่งในประเทศไทย ได้ช่วยงานด้านการต่างประเทศของไทย โดย
เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2466 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยเฉพาะในด้านสนธิสั ญญาและร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญฉบับของพระบาท
สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผลงานสำคัญ
ใช้ความรู้ความสามารถเดินทางไปเจรจากับประเทศต่าง ๆ เพื่อยกเลิกสนธิ
สัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับไทย เนื่องจากในเวลานั้นการคมนาคมยังไม่สะดวกเช่นใน
ปัจจุบันจึงทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบากและใช้เวลานาน
๙
คอร์ราโด เฟโรจี
คอร์ราโด เฟโรจี หรือ ศาสตราจารย์ศิ ลป์ พีระศรี เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน
พ.ศ. 2435 ในเขต ซานโจวันนี (San Giovanni) เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศ
อิตาลี บิดาชื่ อ นาย Artudo Feroci และมารดาชื่ อ นาง Santina Feroci
เมื่ออายุ 23 ปี สามารถ สอบผ่านเป็นศาสตราจารย์ จากราชวิทยาลัยศิ ลปะแห่ง
นครฟลอเรนซ์ (The Royal Academy of Art of Florence)
สําหรับเรื่องการศึ กษานั้น ศาสตราจารย์ศิ ลป์ พีระศรี เข้าศึ กษาในระดับชั้ น
ประถม เมื่อปี 2441 พอจบ หลักสูตร 5 ปี ก็ได้เข้าศึ กษาในโรงเรียนคุณมัธยมอีก
5 ปี หลังจากนั้นได้เข้าศึ กษาทางด้านศิ ลปะในโรงเรียน ราชวิทยาลัยศิ ลปะแห่งนคร
ฟลอเรนซ์ จนจบหลักสูตรวิชาช่าง 7 ปี และได้รับประกาศนียบัตรช่างปั้ นช่างเขียน
ในขณะที่มีอายุ 23 ปี หลังจากนั้นไม่นานก็รับปริญญาบัตรเป็นศาสตราจารย์ ทีมี
ความรอบรู้ทางด้าน ประวัติศาสตร์ศิ ลป์ วิจารณ์ศิ ลป์และปรัชญา นอกจากนี้
ศาสตราจารย์ศิ ลป์ พีระศรี ยังมีความสามารถทางด้าน ศิ ลปะแขนงประติมากรรม
และจิตรกรรมอีกด้วย
ผลงานสำคัญ
สร้างอนุสาวรยีผู้กล้าในสงครามโลกครั้งที่ 1พระบรมราชานุสาวรยีปฐมกษัตรยิ์
แห่งราชวงจักรี อนุสาวรีย์ท้าวสรุนารี
๑๐
บรรณานุกรม
“หมอบรัดเลย์”.[ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: https://th.m.wikipedia.org/wiki/.com.[2565]
“พระยารัษฎานุปนะดิษฐ์มหิศรภักดี”.[ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: https://th.m.wikipedia.org/wiki/.com.[2565]
“พระยากัลยาณไมตรี”.[ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: https://th.m.wikipedia.org/wiki/.com.[2565]
“หม่อมราโชทัย”.[ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: https://th.m.wikipedia.org/wiki/.com.[2565]