ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ คณะผู้จัดท ำ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษำ ปีที่ ๖/๔ เสนอ คุณครู ชมัยพร แก้วปำนกัน
เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ จัดท ำโดย น.ส.กนกวรรณ เทศแก้ว เลขที่ ๑ น.ส.กัญญาภัค ทองสุก เลขที่ ๒ น.ส.เกศรา นิลน ้าค้า เลขที่ ๓ น.ส.ธนวรรณ เลาหาสูต เลขที่ ๕ น.ส.นาขวัญ ผุดผ่อง เลขที่ ๖ น.ส.พิมณัฏฐา มงคลธนวงศ์ เลขที่ ๑๑ น.ส.ศรัณยา รัตนรงค์ เลขที่ ๑๔ น.ส.ศุทธนุช โพธิ์นุต เลขที่ ๑๕ น.ส.ขวัญจิรา พวงสมบัติ เลขที่ ๒๐ น.ส.ชนม์นิภา จาดช้าง เลขที่ ๒๓ น.ส.ณัฎฐนิชา ก้ามะนัส เลขที่ ๒๖ น.ส.ธัญพร วิวัฒนพรพานิชย์ เลขที่ ๒๘ น.ส.นฤมล หอมสุวรรณ เลขที่ ๓๐ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษำ ปีที่ ๖/๔ เสนอ คุณครู ชมัยพร แก้วปำนกัน วำรสำรอิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งรำยวิชำภำษำไทยพื้นฐำน๕ (ท ๓๓๑๐๑) ภำคเรียนที่๑ ปีกำรศึกษำ ๒๕๖๖ โรงเรียนสงวนหญิง อ ำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี
ค ำน ำ วารสารอิเล็กทรอนิกส์เรื่องไตรภูมิพระร่วง ฉบับนี เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย ๕ รหัสวิชา ท ๓๓๑๐๑ ชั นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีเรื่องไตรภูมิพระร่วง ซึ่งวารสารฉบับนี มีเนื อหาเกี่ยวกับไตรภูมิพระร่วง ที่มาและความส้าคัญไตรภูมิพระร่วง ประวัติผู้แต่ง ลักษณะค้า ประพันธ์ บทประพันธ์สาระของเรื่อง รวมไปถึงการวิเคราะห์คุณค่าทั ง ๓ ด้าน ด้านเนื อหา ด้านวรรณศิลป์และ ด้านสังคม สะท้อนแนวคิดความเชื่อ ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมประเพณี และค่านิยมของคนสมัยนั น การจัดท้าวารสารอิเล็กทรอนิกส์เล่มนี สามารถส้าเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีทางคณะผู้จัดท้าขอขอบคุณ คุณครูชมัยพร แก้วปานกันในการให้ค้าปรึกษาจนวารสารส้าเร็จ คณะผู้จัดท้าหวังว่าวารสารอิเล็กทรอนิกส์เล่มนี จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านที่ต้องการศึกษาหรือ สนใจเกี่ยวกับ ไตรภูมิพระร่วง ได้รับประโยชน์ตามความต้องการของผู้อ่านอย่างเต็มที่และขอน้อมรับค้าติชมเพื่อ น้าไปปรับปุงแก้ไขการท้างานในอนาคตให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ น กลุ่มไตรภูมิพระร่วง ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ก
สำรบัญ เรื่อง ค้าน้า สารบัญ ความเป็นมา ประวัติผู้แต่ง ลักษณะค้าประพันธ์ เนื อเรื่องเต็มเเบบย่อ เนื อเรื่องเต็มเฉพาะตอนที่มีเรียน วิเคราะห์คุณค่า -ด้านเนื อหา -ด้านวรรณศิลป์ -ด้านวรรณศิลป์ ข ก ข ๑ ๒ ๓ ๔-๕ ๖-๗ ๘-๑๘ ๘-๑๐ ๑๑-๑๖ ๑๗-๑๘ หน้ำ
ควำมเป็นมำ ไตรภูมิพระร่วง หรือเรียกว่า ไตรภูมิกถา หรือ เตภูมิกถา นี ไม่มีต้นฉบับเดิมเป็น หลักฐาน ที่มีอยู่เป็นฉบับคัดลอกซึ่งมีปรากฏในบานแผนกว่า พระมหาช่วยวัดกลาง (ปากน ้า จังหวัดสมุทรปราการ) เป็นผู้จารแต่เขียนเป็นอักษรขอม สมัยนั นถือว่าเป็นอักขระที่ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นหนังสือทางศาสนา ต้นฉบับไตรภูมิพระร่วงที่ถอดเป็นตัวอักษรไทย พิมพ์เผยแพร่เป็นครั งแรกปีพ.ศ. ๒๔๕๔ สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด้ารงราชานุภาพ ประทานค้าอธิบายโดยสรุปไว้ว่า “หนังสือเรื่อง นี เป็นเรื่องที่เก่ามาก มีศัพท์เก่าๆ ที่ไม่เข้าใจและเป็นค้าศัพท์อันเคยพบในศิลาจารึกครั งสุโขทัย หลายศัพท์ น่าเชื่อว่าฉบับเดิมจะได้แต่งครั งสุโขทัยจริง แม้มีการคัดลอกต่อเติมเมื่อครั งกรุงเก่า บ้าง ถึงกระนั นโวหารในหนังสือเรื่องนี ยังเห็นได้ว่าเก่าแก่กว่าหนังสือเรื่องใดๆ ในภาษาไทย นอกจากศิลาจารึกที่ได้เคยพบมา.. ” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด้ารงราชานุภาพ จึงทรงเปลี่ยนชื่อหนังสือเล่มนี เป็น ไตร ภูมิพระร่วง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระร่วงจ้าแห่งกรุงสุโขทัยให้คู่กับหนังสือสุภาษิตพระร่วง ๑
ประวัติผู้แต่ง พญาลิไทหรือพระมหาธรรมราชาที่ ๑ เป็นพระราชโอรสพญาเลอไทย และ เป็นพระราชนัดดาพ่อขุนรามค้าแหงมหาราช ทรงครองเมืองศรีสัชนาลัยในต้าแหน่งอุปราช เมื่อพ.ศ. ๑๘๘๒ ต่อมาได้เสวยราชย์ครองกรุงสุโขทัยเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๐ พญาลิไททรงเป็นนักปราชญ์และนักการปกครองที่ทรงพระปรีชาสามารถทั งฝ่าย ราชอาณาจักรและฝ่ายพุทธจักร ทรงเชี่ยวชาญในสรรพศาสตร์อาทิพุทธศาสตร์ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ พระราชกรณียกิจในฝ่ายพระราชอาณาจักร เช่น ได้ทรงขยายอาณาเขต โปรดให้ขุดคลอง สร้างถนนหนทางเชื่อมโยงกับเมืองส้าคัญในราชอาณาจักร นอกจากนี ยัง ทรงสร้างศิลาจารึกไว้หลายหลักทั งภาษาไทย ภาษามคธและภาษาขอม ซึ่งเป็นหลักฐาน ส้าคัญทางประวัติศาสตร์ พระราชกรณียกิจฝ่ายพุทธจักรนั น ทรงผนวชเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๔ เป็น พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงพระผนวชในขณะเสวยราชย์ ได้ทรงสร้างโบราณสถาน และโบราณวัตถุ เช่น พระวิหาร พระมหาธาตุ พระพุทธบาท ไว้ตามเมืองส้าคัญหลายแห่ง พญาลิไทได้ทรงพระราชนิพนธ์ ไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง อันเป็นวรรณคดีที่มีอิทธิพลในการศึกษาและเผยแผ่ พระพุทธศาสนากับธรรมานุภาพให้เจริญยิ่งในพระราชอาณาจักร พญาลิไทเสด็จสวรรคตในราวพ.ศ. ๑๙๑๔ แต่ไม่เกินพ.ศ. ๑๙๑๙ ๒
ลักษณะค ำประพันธ์ ร้อยแก้ว ตามพจนานุกรมหมายความว่า “ความเรียงที่สละสลวย ไพเราะด้วยเสียงและ ความหมาย”หรือ หมายถึง ถ้อยค้าที่เรียบเรียงขึ นโดยไม่มีข้อบังคับหรือข้อแท้ต่างๆ เช่น สัมผัส เอก โท ครุ ลหุ คณะ ฯลฯ ๑.ในบางแผนกได้บอกจุดมุ่งหมายไว้ว่า แต่งเพื่อเทศนาแก่พระมารดา "ถามุนใส่เพื่อใด ใส่เมื่ออัตถพระอภิธรรมและใครจะเทศนาแก่พระมารดา ท่าน อนี่งจะใคร่จะจ้าเริญพระอภิธรรมโสด...“ ๒.ผู้แต่งได้เรียบเรียงเป็นร้อยแก้วโดยใช้โวหาร เทศนาโวหาร พรรณนาโวหาร และบรรยายโวหาร ๓.โดยเฉพาะการพรรณาโวหารนั นจะใช้ถ้อยค้าที่แจ่มแจ้งจนสามารถโน้มน้าวใจผู้อ่านให้ คล้อยตาม แม้ว่าจะมีการใช้ภาษาที่ค่อนข้างจะเข้าใจยาก ๓
เนื้อเรื่องเต็ม(เเบบย่อ) ไตรภูมิพระร่วงหรือเตภูมิกถา กล่าวถึงลักษณะการเกิดหรือปฏิสนธิของมนุษย์ สัตว์ และเทวดา และบรรยายลักษณะของแต่ละภูมิอย่างละเอียด เนื อเรื่องเริ่มต้นด้วยคาถา นมัสการเป็นภาษาบาลี มีบานแพนกบอกชื่อผู้แต่ง วันเดือนปีที่แต่ง ชื่อคัมภีร์ต่าง ๆ บอก จุดมุ่งหมายในการแต่ง แล้วจึงกล่าวถึงภูมิทั ง ๓ ภูมิค้าว่า เตภูมิหรือ ไตรภูมิแปลว่า สามแดน คือ กามภูมิรูปภูมิอรูปภูมิแบ่งออกเป็น ๘ กัณฑ์ -กามภูมิคือ โลกของผู้ที่ยังติดอยู่ในกามกิเลส มี๑๑ ภูมิแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ได้แก่ สุคติภูมิ๗ และอบายภูมิ๔ -รูปภูมิ เป็นดินแดนของพรหมที่มีรูป มี๑๖ ชั น (โสฬสพรหม ) -อรูปภูมิ เป็นดินแดนของพรหมที่ไม่มีรูป มีแต่จิตหรือวิญญาณ มี๔ชั น เริ่มด้วยนรกภูมิบรรยายภาพที่น่ากลัวของนรกแต่ละขุม กล่าวถึงเหตุของการตกนรกแต่ละขุมและ ความทุกข์ทรมานที่สัตว์นรกต้องได้รับ ในติรัจฉานภูมิ กล่าวถึงการเกิดและลักษณะของสัตว์ชนิด ต่าง ๆ สัตว์ที่กล่าวถึงอย่างละเอียดได้แก่ ราชสีห์๔ ชนิด ช้างแก้ว ๑๐จ้าพวก ปลาใหญ่ ๗ ตัว ครุฑ นาค และหงส์ ในเรื่องเปรตภูมิ บรรยายรายละเอียดของลักษณะเปรตแต่ละจ้าพวก และ ในส่วนที่ว่าด้วยอสุรกายภูมิ บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับเมืองของอสูรใหญ่ ๔ เมือง ส่วนในเรื่อง ของมนุสสภูมิ บรรยายการปฏิสนธิและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์จนถึงเวลาคลอด บรรยายลักษณะของทวีปทั ง ๔ คือ อุตตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป บุพวิเทหทวีป และชมพูทวีป โดยละเอียด กล่าวถึงจักรพรรดิราช และบุคคลส้าคัญบางคนได้แก่ โชติกเศรษฐี พญาพิมพิสาร และพญาอชาตศัตรู ในส่วนที่ว่าด้วยฉกามาพจรภูมิ ได้แก่ สวรรค์๖ ชั น บรรยายลักษณะของ สวรรค์แต่ละชั นให้เห็นความยิ่งใหญ่ งดงามและน่ารื่นรมย์ ในส่วนที่กล่าวถึงรูปภูมิ ซึ่งเป็นที่อยู่ ของพรหมที่มีรูป ๑๖ ชั น และอรูปภูมิ ที่อยู่ของพรหมที่ไม่มีรูป ๔ ชั น ก็บรรยายลักษณะของ พรหมอย่างละเอียด ในตอนท้ายของหนังสือผู้นิพนธ์ทรงชี ให้เห็นว่า มนุษย์ สัตว์และเทวดา ทั งหลายตลอดจนสรรพสิ่งในภูมิทั ง ๓ แม้กระทั่งภูเขา แม่น ้า พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว ตลอดจนป่าหิมพานต์ ในที่สุดก็ต้องเสื่อมสลายไปทั งสิ น ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้เลย กล่าวถึงการเกิดไฟประลัยกัลป์ และก้าเนิดโลกและสรรพสิ่งขึ นใหม่หลังจากเกิดไฟประลัยกัลป์ นอกจากนี ยังกล่าวถึงความเป็นมาและความส้าคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ๔
เนื้อเรื่องเต็ม(เฉพำะตอนที่มีเรียน) ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีหญิงก็ดี เกิดมีเป็นอาทิเกิดเป็น กลละ นั นโดยใหญ่แต่ ละวันแลน้อย ครั นถึง ๗ วัน เป็นดั่งน ้าล้างเนื อนั นเรียกว่า อัมพุทะ อัมพุทะนั นโดยใหญ่ไปทุกวาร ไสร้ครั นได้ถึง ๗ วาร ข้นเป็นดั่งตะกั่วเชื่อมอยู่ในหม้อ เรียกว่า เปสิเปสินั นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั นถึง ๗ วัน แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่เรียกว่าฆนะ ฆนะนั นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั นถึง ๗ วัน เป็นตุ่ม ออกได้๕ แห่งดังหูดเรียกว่า เบญจสาขาหูด เบญจสาขาหูด เป็นมือ ๒ อัน เป็นตีน ๒ อัน เป็นหัว นั นอันหนึ่ง แลแต่นั นค่อยไปเบื องหน้าทุกวันครั นถึง ๗ วัน เป็นฝ่ามือ เป็นนิ วมือ นิ วตีน แต่นั นไป ถึง ๗ วัน ค้ารบ ๔๒ จึงเป็นขน เป็นเล็บตีน เล็บมือ เป็นเครื่องส้าหรับมนุษย์ถ้วนทุกอันแล แต่รูป อันมีกลางคนไสร้๕๐ แต่รูปอันมีหัวได้๘๔ แต่รูปอันมีเบื องต่้าได้๕๐ ผสมรูปทั งหลายอันเกิดเป็น สัตว์อันอยู่ในท้องแม่ได้๑๘๔ แลกุมารนั นนั่งกลางท้องแม่ แลเอาหลังมาต่อหลังท้องแม่ อาหารอัน แม่กินเข้าไปแต่ก่อนนั นอยู่ใต้กุมารนั น อาหารอันแม่กินเข้าไปใหม่นั นเหนือกุมารนั น เมื่อกุมารอยู่ ใน ท้องแม่นั น ล้าบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื นและเหม็นกลิ่นตืด แลเอือน ๘๐ ครอก ซึ่งอยู่ในแม่อันเป็นที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่เร่ว ฝูงตืดแลเอือน ทั งหลายนั นคนกันอยู่ในท้องแม่ ตืดแลเอือนฝูงนั นเริมตัวกุมารนั นไสร้ ดุจดั่งหนอนอันอยู่ในปลา เน่า แลอันหนอนอยู่ในลามกอาจมนั นแล อันว่าสายดือแห่งกุมารนั น กลวงดังสายก้านบัว อันมีชื่อ ว่าอุบล จะงอยไส้ดือนั น กลวงขึ นไปติดหลังท้องแม่แล ข้าวน ้าอาหารอันใดแม่กินไสร้แลโอชารส นั นก็เป็นน ้าชุ่มเข้าไปในไส้ดือนั นแลเข้าไปในท้องกุมารนั นแล สะหน่อยๆ แลผู้น้อยนั นก็ได้กินทุก ค่้าเช้าทุกวัน แม่จะพึงกินเข้าไปอยู่เหนือกระหม่อมทับหัวกุมารอยู่นั นแล แลล้าบากนักหนา แต่ อาหารอันแม่กินก่อนไสร้แลกุมารนั นอยู่เหนืออาหารนั น เบื องหลังกุมารนั นต่อหลังท้องแม่ แล นั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลก้ามือทั งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่งอยู่นั นดังนั น เลือดแลน ้าเหลือง ย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแล ดุจดั่งลงเมื่อฝนตก แลนั่งก้ามือเซาเจ่าอยู่ในโพรงไม้นั นแลในท้อง แม่นั นร้อนนักหนาดุจดั่งเราเข้าใบตองเข้าจ่อตน แลต้มในหม้อนั นไสร้ส่งอาหารอันแม่กินเข้าไปใน ท้องนั นไหม้และย่อยลง ด้วยอ้านาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั น ส่วนตัวกุมารนั น บมิไหม้เพราะว่าเป็น ธรรมดาด้วยบุญกุมารนั นจะเป็นคนแลจึงให้บมิไหม้บมิตายเพื่อดั่งนั นแล กุมารนั นอยู่ในท้องแม่ ๕
เนื้อเรื่องเต็ม(เฉพำะตอนที่มีเรียน) บ่ห่อนได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยียดตีน เหยียดมือออก ดั่งเราท่าน ทั งหลายนี สักคาบเลย แลกุมารนั นเจ็บเนื อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ในไหอันคับแคบนักหนา แค้น เนื อแค้นใจ แลเดือดเนื อเดือดใจนักหนา เหยียดตีนมือบ่มิได้ ดั่งท่านเอาไว้ในที่คับ ผิดแลว่าเมื่อแม่เดินไปก็ดี นอนก็ดีฟื้นตนก็ดีกุมารอยู่ใน ท้องแม่นั น ให้เจ็บเพียงจะตายแล ดุจดั่งลูกทรายอันพึ่งออกแล อยู่ธรห้อย ผิวบ่มิดุจดั่งคนอัน เมาเหล้า ผิวบ่มิดุจลูกงูอันหมองูเอาไปเล่นนั นแล อันอยู่ยากล้าบากใจดุจดั่งนั น บ่มิได้ล้าบากแต่ ๒ วาร ๓ วารแลจะพ้นได้เลย อยู่ยากแล ๗ เดือน ลางคาบ ๘ เดือน ลางคน ๙ เดือน ลางคน ๑๐ เดือน ลางคน ๑๑ เดือน ลางคนค้ารบปีหนึ่งจึงคลอดก็มีแล คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดือนแลคลอดนั น บ่ห่อนจะได้สักคาบ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๗ เดือนแลคลอดนั น แม้เลี ยงเป็นคนดี บ่มิได้กล้าแข็ง บ่มิทนแดดทนฝนได้แล คนผู้ใดจากแต่นรก มาเกิดนั น เมื่อคลอดออกตนกุมารนั นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั นย่อมเลือดเนื อร้อนใจแล กระหนกระหาย อีกเนื อแม่นั นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดนั น เมื่อจะ คลอดออก ตนกุมารนั นเย็น เย็นเนื อเย็นใจ เมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั น อยู่เย็นเป็นสุข ส้าราญ บานใจ แลเนื อแม่นั นก็เย็นด้วยโสด คนผู้อยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อถึงจักคลอดนั นก็ดีด้วยกรรมนั น กลายเป็นลมในท้องแม่สิ่งหนึ่ง พัดให้ตัวกุมารนั นขึ นหนบน ให้หัวลงมาสู่ที่จะออกนั น ดุจดั่งฝูง นรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนหัวลงในขุมนรกนั น อันลึกได้แลร้อยวานั น เมื่อกุมารนั นคลอด ออกจากแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั นแลเจ็บเนื อเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชัก ท่านเข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั น แลคับตัวออกยากล้าบากนั น ผิวบ่มิดั่งนั น ดั่งคนผู้อยู่ใน นรกแล แลภูเขาอันชื่อคังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี นั นแล ครั นออกจากท้องแม่ไสร้ลมอันมีใน ท้องผู้น้อยค่อยพัดออกก่อน ลมอันมีภายนอกนั น จึงพัดเข้านั นนักหนา พัดเข้าถึงต้นสิ นผู้น้อยจึง อย่า ครั นออกจากท้องแม่ แต่นั นไปเมืองหน้า กุมารนั นจึงรู้หายใจเข้าออกแล ผิวแลคนอันมาแต่ นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันค้านึงถึงความอันล้าบากนั น ครั นว่าออกมาก็ร้องไห้แล ผิวแลคนผู้ มาแต่สวรรค์ แลค้านึงถึงความสุขแต่ก่อนนั น ครั นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อก่อนแล ๖
เนื้อเรื่องเต็ม(เฉพำะตอนที่มีเรียน) แต่คนผู้มาอยู่ในแผ่นดินนี ทั่วทั งจักรวาลอันใดอันอื่นก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในท้องแม่ก็ดี เมื่ออยู่ ในท้องแม่ก็ดี เมื่อออกจากท้องแม่ก็ดี ในกาลทั ง ๓ นั นย่อมหลงบ่มิได้ค้านึงรู้อันใดสักสิ่ง ฝูง อันมาเกิดเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลมาเป็นพระองค์ อัครสาวกเจ้าก็ดี เมื่อ ธ แรกมาเอาปฏิสนธินั นก็ดี เมื่อ ธ อยู่ในท้องแม่นั นก็ดี แลสองสิ่งนี เมื่ออยู่ในท้องแม่นั นบ่ห่อนจะรู้หลง แลยังค้านึงรู้อยู่ทุกอัน เมื่อจะออกจากท้องแม่วันนั นไสร้ จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยนั นลงมาสู่ที่จะออก แลคับแคบแอ่นยันนักหนา เจ็บเนื อ เจ็บตนล้าบากนักดั่งกล่าวมาแต่ก่อน แลพลิกหัวลงบ่มิได้รู้สึกสักอัน บ่เริ่มดั่งท่านผู้จะออกมาเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี ผู้จะมา เกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็ดี ค้านึงถึงรู้สึกตนแลบ่มิหลงแต่สองสิ่งนี คือ เมื่อจะเอาปฏิสนธิแล อยู่ในท้องแม่นั นได้แล เมื่อจะออกจากท้องแม่นั นย่อมหลวดุจคนทั งหลายนี แลส่วนว่าคน ทั งหลายนี ไสร้ย่อมหลงทั ง ๓ เมื่อ ควรอิ่มสงสารแล ๗
วิเครำะห์คุณค่ำ ๑.๑ วิเครำะห์เนื้อหำ ทางผู้แต่งได้เรียบเรียงค้าประพันธ์เป็นร้อยแก้วโดยในตัวเนื อหาจะมีลักษณะ พรรณนาโวหารเป็นส่วนใหญ่เพื่อความสละสลวยของภาษาและมีจุดประสงค์คือต้องการเทศนา โปรดพระมารดาของผู้แต่งโดยหยิบยกค้าสอนในพระไตรปิฎกเพื่อน้ามาแสดงให้ชี เห็นและตระหนัก ว่าดินแดนทั ง 3 คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ นั นไม่น่าอยู่เสียเลยไม่ว่าจะภพภูมิใดและพยายาม สื่อสารให้เข้าใจว่าทั งสามแดนนั นต่อให้สุขสบายมากเพียงใดก็ไม่จีรัง มีทั งคุณและโทษมีแต่ความ แปรปรวนไม่มีความแน่นอนมีแต่อนิจจลักษณะ ชี น้าให้มนุษย์หาทางหลุดพ้นไปจากโลกทั งสามและ หลุดจากวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด บทความตัวอย่างที่ชี ให้เห็นจุดประสงค์ของผู้แต่ง “อันว่าฝูงคนทั งหลายในโลกนี บ่มิเที่ยงบ่มิแท้แลแปรปรวนไปมาดั่งกล่าวมาแลนี ลางปางเป็นดี แล้วเป็นร้าย เป็นร้ายแล้วเป็นดีบ่ห่อนเที่ยงสักคาบเลย อันว่สคนในโลกนี บ่มิเที่ยงเลย. ๑.๒ ด้ำนวรรณคดี ไตรภูมิพระร่วงเป็นอีกวรรณคดีที่มีอิทธิพลต่อสังคม ผู้คน และต่อ วรรณคดีในหลายๆเรื่อง เช่นมีอิทธิพลต่อส้านวนภาษาของงานวรรณคดีกวีในยุคต่อ ๆ มานิยมเลียนแบบส้านวนในไตรภูมิพระร่วง ทั งนี อาจเป็นเพราะต้องการแสดงปฏิภาณกวี ของตน เช่น ในส้านวนที่เกี่ยวกับน ้า ท้องน ้า มหาสมุทร ในไตรภูมิจะกล่าวว่า “นทีตีฟอง นองระลอก” ซึ่งส้านวนนี ปรากฏในรามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ “นทีตีฟองนองระลอก คลื่นกะฉอกกระฉ่อนชลข้นขุ่ง พระสุเมรุเองเอียงอ่อนละมุน อานนท์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน” ๘ ๑.ด้ำนเนื้อหำ
๑.๓ รูปแบบค ำประพันธ์ ในส่วนของรูปแบบของค้าประพันธ์แบบร้อยแก้วโดยใช้โวหารพรรณนาเพื่อให้ก่อ เกิดความไพเราะและก็มีค้าสัมผัสคล้องจองทั งเปรียบเทียบให้เห็นภาพและอารมณ์ให้เด่นชัด เช่น พรรณนาภาพการลงโทษผู้ที่เกิดในอโยทกนรก นรกบ่าวอันดับนั นเป็นค้ารบ ๖ ชื่อว่าอโยทยนรกแล คนผู้ใดอันฆ่าสัตว์ซึ่งมีชีวิต เชือดคอสัตว์นั นให้ตายไสร้ คนฝูงนั นครั นว่าตายไปเกิดในนรกนั นแล สัตว์นรกนั นมีตัวอันใหญ่แลสูง ได้ ๖,๐๐๐ วา ในนรกนั น มีหม้อเหล็กแดงอันใหญ่เท่าภูเขาอันใหญ่เล่า ฝูงยมบาลเอาเชือกเหล็ก แดง อันลุกเป็นเปลวไฟไล่กระหวัดรัดตัวเขา แล้วตระบิดให้คอเขานั นขาดออก แล้วเอาหัวเขาทอด ลงในหม้อเหล็กแดงอีกเล่าตราบเท่าสิ นอายุบาปกรรมแห่งเขาในที่นั นแล มีการใช้ค้าศัพท์โบราณหลายค้า เช่น ตืดและเอือน = พยาธิ “ก็ชื นแลเหม็นกลิ่นตืดแลเอือนอันได้ ๘o ครอก” จึงอย่า = จึงหยุด “พัดเข้าถึงต้นลิ นผู้น้อยจึงอย่า ครั นออกจากท้องแม่” เซา = เหงาหงอย “แลนั่งก้ามือเซาเจ่าอยู่ในโพรงไม้นั นแล” สะหน่อย = สักหน่อย “แลเข้าไปในท้องกุมารนั นแล สะหน่อยๆ” ใช้ส้านวนเก่าโบราณ เช่น ผิ = ถ้า “ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี ไสร้ = ไซร้ “แลข้าวน ้าอาหารอันใดแม่กินไสร้” จะงอยไส้ดือ = ปลายสายสะดือ “จะงอยไส้ดือนั นกลวงขึ นไปบนติดหลังท้องแม่” เดือดเนื อเดือดใจ = เดือดเนื อร้อนใจ “แลเดือดเนื อเดือดใจนักหนา” แม้จะเป็นค้าพันธ์แบบร้อยแก้ว แต่ก็มีลักษณะการใช้ภาษาที่ไพเราะ มีสัมผัสสระใน เช่น อยู่เย็นเป็นสุข ส้าราญบานใจ คู้คอต่อหัวเข่า ล้าบากยากใจ ๙
๑.๔ องค์ประกอบของเรื่อง สาระ : ทางผู้แต่งนั นต้องการให้ผู้อ่านได้ระลึกถึงการท้าบาปและโทษของการท้าบาป ความไม่จีรัง ยั่งยืนของชีวิตในแต่ละภพแดนถึงแม้จะสุขสบายเพียงใด โครงเรื่อง : ผู้แต่งนั นสื่อสารได้อยากดีเยี่ยมและได้เห็นภาพชัดจากบทพรรณนาถึงแม้ดูแลน่ากลัว เกินความเป็นจริงแต่ทั งหมดนั นที่ผู้แต่งได้หยิบยกออกมาแลดูเป็นความจริงทั งหมด ตัวละคร : ถึงแม้จะไม่มีตัวละครหลักแต่กล่าวถึงท้าวพญายมราชซึ่งท้าหน้าที่พิพากษาแก่ดวง วิญญาณทั งหลายในเถรวาทแสดงไว้ว่ายมบาลมี ๔ ท่านและได้ตัดสินโทษตามกรรมที่แต่ละคนก่อได้ อย่างยุติธรรม ฉากและบรรยากาศ : ทางผู้แต่งนั นได้ใช้โวหารทั งบรรยายและพรรณนาออกมาได้อย่างเห็นภาพ แจ่มแจ้งทั งในตอนเกิดเป็นทารกจนตายบนยายภูมิต่างๆที่อิงจากไตรปิฎก กลวิธีในการแต่ง : มีการพรรณนาถึงคติความเชื่อเกี่ยวกับนรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิดและ สัณฐานของโลกและมีจุดมุ่งหมายในการแสดงภพภูมิเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองบ้านเมือง และการควบคุมคนในสังคม โดยสอนให้คนท้าความดี และเว้นการท้าความชั่ว เพื่อการเข้าถึงภพภูมิ ที่ดีตามเนื อหาที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงตามแนวคิดที่ได้จากพระพุทธศาสนา ๑.๕ ด้ำนภูมิศำสตร์ เป็นความรู้ทางภูมิศาสตร์ของคนโบราณ โดยเชื่อว่าโลกมีอยู่ ๔ ทวีป ได้แก่ชมพู ทวีป บุรพวิเทหทวีป อุตตรกุรุทวีป และอมรโคยานทวีป โดยมีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง ๑๐
๒.๑ กำรสรรค ำ – การเลือกใช้ค้าที่เหมาะกับค้าประพันธ์ “…เมื่อแรกเกิดมาในท้องแม่ก็ดี เมื่ออยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อออกจากท้องแม่ก็ดี ในกาลทั ง ๓ นั นย่อม หลงบ่มิได้ค้านึงรู้อันใดสักสิ่ง...” ๒.๒ กำรเลือกใช้ค ำโดยค ำนึงถึงเสียง การเล่นสัมผัสคล้องจอง “...ครั นว่าออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลผู้คนมาแต่สวรรค์ แลค้านึงถึงความสุข แต่ก่อนนั น ครั นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อก่อนแล...” การย ้าค้าที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงกัน “…อยู่เย็นเป็นสุขส้าราญบานใจ...” “...ครั นถึง ๗ วันเป็นดั่งนั นล้างเนื อนั นเรียกว่าอัมพุทะ อัมพุทะนั นโดยใหญ่ไปทุกวารไสร้…” การเล่นอักษร เสียงสัมผัสสระ และสัมผัสพยัญชนะ “…แลก้ามือทั งสอง คู้คอต่อหัวเข่าทั งสอง...” ๒.๓ นำมนัย “…แลเข้าไปในท้องกุมารนั นแล สะหน่อยๆ แลผู้น้อยนั นได้กินทุกค่้าเช้าทุกวัน…” กุมาร และ ผู้น้อย เป็นนามนัยหมายถึง เด็กในท้องแม่ ๑๑ ๒.ด้ำนวรรณศิลป์
๒.๔ กำรใช้โวหำร บรรยายโวหาร “…แลกุมารนั่งกลางท้องแม่ แลเอาหลังมาต่อหนังท้องแม่ อาหารอันแม่กินเข้าไปแต่ก่อนนั นอยู่ใต้กุมาร นั น อาหารอันแม่กินเข้าไปใหม่นั นอยู่เหนือกุมารนั น เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั นล้าบากนักหนา พึงเกลียด พึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื นแลเหม็นกลิ่นตืดแลเอือน อันได้ ๘o ครอก…” พรรณนาโวหาร “…คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่๖เดือนแลคลอดนั น บ่ห่อนจะได้สักคาบ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่๗เดือนแลคลอดนั น แม้เลี ยงเป็นคนก็ดี บ่มิได้กล้าแข็ง บ่มิทนแดดทนฝนได้แล คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดนั น เมื่อคลอดออก ตนกุมารนั นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั นย่อมเดือดเนื อร้อนใจแลกระหนกระหาย อีกเนื อแม่นั นก็พลอย ร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ ลงมาเกิดนั นเมื่อคลอดออก ตนกุมารนั นเย็น เย็นเนื อเย็นใจ เมื่อยังอยู่ ในท้องแม่นั น อยู่เย็นเป็นสุขส้าราญบานใจ แลเนื อแม่นั นก็เย็นด้วยโสด...” อุปมาโวหาร “…กุมารอยู่ในท้องแม่นั นให้เจ็บเพียงจะตายแล ดุจดั่งลูกทรายอันพึ่งออกแล อยู่ธรห้อย ผิบ่มิ ดุจดั่งคนอันเมาเหล้า ผิบ่มิดุจดั่งลูกงูอันหมองูเอาไปเล่นนั นแล อันอยู่ล้าบากยากใจดุจดั่งนั น บ่มิได้ล้าบากแต่๒วาร ๓วารแลจะพ้นได้เลย...” ๒.๕ ค ำอัพภำส “…เลือดแลน ้าเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแล…” ยะหยด หมายถึง หยด ๑๒
๒.๖ ไวพจน์ “…ก็ชื นแลเหม็นกลิ่นตืดแลเอือนอันได้ ๘o ครอก…” เอือน เป็นภาษาถิ่นใต้ แปลว่า ตืด ซึ่งก็คือพยาธิในท้องชนิดหนึ่ง ๒.๗ จินตภำพด้ำนภำพ “…เบญจสาขาหูดนั นเป็นมือ ๒ อัน เป็นตีน๒อัน หูดเป็นหัวอันหนึ่ง…” สื่อถึงภาพปุ่มที่เป็นมือ ๒ ข้าง เป็นเท้า๒ข้าง และเป็นหัวหนึ่งหัว “...ในนรกนั นมีหม้อเหล็กแดงอันใหญ่เท่าภูเขา” สื่อถึงภาพหม้อเหล็กสีแดงที่มีลักษณะใหญ่มากๆ ๒.๘ รสวรรณคดี “…แต่กุมารนั นอยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยียดตีนมือออก ดั่งเราท่าน ทั งหลายนี สักคาบหนึ่งเลย แลกุมารนั นเจ็บเนื อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ ในไหอันแคบนักหนา แค้นเนื อ แค้นใจ แลเดือดเนื อเดือดใจนักหนา…” พิโรธวาทัง แสดงความน้อยเนื อต่้าใจ เมื่ออยู่ในท้องแม่ไม่เคยได้หายใจเข้าออก ไม่เคยได้เหยียดแขน เหยียดขา เจ็บเนื อเจ็บตัวเหมือนถูกขังไว้ในไหเล็กๆ และเกิดความแค้นคับอับจิต ๒.๙ ฆำนพจน์ “…ก็ชื นแลเหม็นกลิ่นตืดแลเอือนอันได้๘oครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่อันเป็นที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า…” อ่านแล้วท้าให้ได้กลิ่นเหม็นพยาธิ ๑๓
๒.๑๐ กำรเล่นค ำ ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีหญิงก็ดี เกิดมีเป็นอาทิเกิดเป็น กลละ นั นโดยใหญ่แต่ละวันแลน้อย ครั นถึง ๗ วัน เป็นดั่งน ้าล้างเนื อนั นเรียกว่า อัมพุทะ อัมพุทะนั นโดยใหญ่ไปทุกวารไสร้ ครั นได้ถึง ๗ วาร ข้นเป็นดั่ง ตะกั่วเชื่อมอยู่ในหม้อ เรียกว่า เปสิเปสินั นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั นถึง ๗ วัน แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่ เรียกว่าฆนะ ฆนะนั นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั นถึง ๗ วัน เป็นตุ่มออกได้ ๕ แห่งดังหูดเรียกว่า เบญจสาขา หูด เบญจสาขาหูด เป็นมือ ๒ อัน เป็นตีน ๒ อัน เป็นหัวนั นอันหนึ่ง แลแต่นั นค่อยไปเบื องหน้าทุกวัน ครั นถึง ๗ วัน เป็นฝ่ามือ เป็นนิ วมือ นิ วตีน แต่นั นไปถึง ๗ วัน ค้ารบ ๔๒ จึงเป็นขน เป็นเล็บตีน เล็บมือ เป็นเครื่องส้าหรับมนุษย์ถ้วนทุกอันแล คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๖ เดือนแลคลอดนั น บ่ห่อนจะได้สักคาบ คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ ๗ เดือนแลคลอดนั น แม้เลี ยงเป็นคนดี บ่มิได้กล้าแข็ง บ่มิทนแดดทนฝนได้แล คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิด นั น เมื่อคลอดออกตนกุมารนั นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั นย่อมเลือดเนื อร้อนใจแลกระหนกระหาย อีกเนื อแม่นั นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดนั น เมื่อจะคลอดออก ตนกุมารนั นเย็น เย็นเนื อเย็นใจ เมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั น อยู่เย็นเป็นสุข ส้าราญบานใจ แลเนื อแม่นั นก็เย็นด้วยโสด คนผู้อยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อถึงจักคลอดนั นก็ดี ด้วยกรรมนั นกลายเป็นลมในท้องแม่สิ่งหนึ่ง พัดให้ตัว กุมารนั นขึ นหนบน ให้ หัวลงมาสู่ที่จะออกนั น ดุจดั่งฝูงนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนหัวลงในขุมนรกนั น อันลึกได้แลร้อยวา นั น ผิวแลคนอันมาแต่นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันค้านึงถึงความอันล้าบากนั น ครั นว่าออกมาก็ร้องไห้แล ผิวแลคนผู้มาแต่สวรรค์ แลค้านึงถึงความสุขแต่ก่อนนั น ครั นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อก่อนแลแต่คน ผู้มาอยู่ในแผ่นดินนี ทั่วทั งจักรวาลอันใดอันอื่นก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในท้องแม่ก็ดี เมื่ออยู่ในท้องแม่ก็ดี เมื่อ ออกจากท้องแม่ก็ดี ในกาลทั ง ๓ นั นย่อมหลงบ่มิได้ค้านึงรู้อันใดสักสิ่ง ฝูงอันมาเกิดเป็นพระปัจเจกโพธิ เจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลมาเป็นพระองค์อัครสาวกเจ้าก็ดี เมื่อ ธ แรกมาเอา ปฏิสนธินั นก็ดี เมื่อ ธ อยู่ในท้องแม่นั นก็ดี ๑๔
๒.๑๑ นำฏกำร “…ครั นออกมาก็ร้องไห้แล…” -ท้าให้เห็นว่าเมื่อเด็กคลอดมาก็จะร้องไห้ “…จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยนั นลงมาสู่ที่จะออก…” -ท้าให้เห็นการเคลื่อนไหวของลมที่เกิดขึ นตอนแม่คลอดลูก “...แลคับแคบแอ่นยันนักหนา…” -แอ่นยัน หมายถึง คดตัวเพราะถูกกดดันจากลมกรรมชวาต ท้าให้เห็นเด็กในท้องคดตัว ๒.๑๒ ค ำถำมเชิงวำทศิลป์ “…คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่๗เดือนนั น...” “…คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดนั น…” “…ในกาลทั ง๓นั นย่อมหลงบ่มิได้ค้านึงรู้อันใดสิ่ง…” ๒.๑๓ กำรหลำกค ำ “ครั นได้ถึง ๗ วาร ขันเป็นดังตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อเรีกชื่อว่า เปสิเปสินั นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั นถึง ๗ วัน” วาร กับ วัน มีความหมายเดียวกัน หมายถึง “วัน” ๒.๑๔ อุปลักษณ์ “ฝูงอันเกิดมาเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลมาเป็นพระองค์อัคร สาวกเจ้าก็ดี” “บ่เริ่มดังท่านผู้จะออกมาเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี ผู้จะเกิดมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็ดี” ๑๕
๒.๑๕ อติพจน์ แลนั่งก้ามือเซาเจ่าอยู่ในโพรงไม้นั นแลในท้องแม่นั นร้อนนักหนา"ดุจดังเราเอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้มใน หม้อนั นไซร้" -เมื่อถึงจักคลอด" ดุจดั่งฝูงนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนหัวลงในขุมนรก อันลึกได้แลร้อยวา" -ดั่ง"ช้างสารอันท่านชัก"ท่านเข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั น แลคับตัวออกยากล้าบากนั น ผิบ่มิดั่งนั น "ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแลและภูเขาอันชื่อคังไครบรรพตหีบเเลเหงเเลบดบี นั นเเล" ๑๖
๓.๑ สะท้อนควำมเชื่อของคนในสังคม ๓.๑.๑ ความเชื่อในเรื่องกรรม ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ สะท้อนให้เห็นความเชื่อในเรื่องการ เวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกด้วยแรงบุญแรงกรรมที่ได้กระท้าไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ หากท้าบาปด้วย กาย วาจา ใจต้องไปเกิดในนรกภูมิ หากรู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักคุณพระรัตนตรัย มี มนุษยธรรมประจ้าใจก็ไปเกิดในมนุสสภูมิ และ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ผู้ที่เกิดมาจากนรกภูมิด้วยแรงกรรมก็ จะส่งผลให้เกิดความยากล้าบากทั งต่อตนเองและต่อผู้ให้ก้าเนิด ตั งแต่อยู่ในท้องแม่จนกระทั่งคลอด ส่วนผู้ที่มาจากมนุสสภูมิแห่งบุญก็จะส่งผลให้อยู่เย็นเป็นสุขตั งแต่แรกเกิดตอนอยู่ในท้องแม่ และเมื่อ คลอดออกจากท้องแม่ เช่นดั่งท่อน "คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดนั น เมื่อคลอดออก ตนกุมารนั นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั นย่อมเดือดเนื อ ร้อนใจแลกระหนกระหาย อีกเนื อแม่นั นก็พลอยร้อนด้วยโสด" " คนผู้จากสวรรค์ลงมาเกิดนั น เมื่อจะคลอดออก ตนกุมารนั นเย็น เย็นเนื อเย็นใจเมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั น อยู่เย็นเป็นสุขส้าราญบานใจ แลเนื อแม่นั นก็เย็นด้วยโสด" ๓.๑.๒ ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ มีการบอกถึงเด็กที่คลอดออกมาว่าเป็นเด็กที่มาจากนรกหรือสวรรค์ "ผิเเลคนอันมาเเต่นรกก็ดี เเลมาเเต่เปรตก็ดี มันค้านึงถึงความอันล้าบากนั น ครั นว่าออกมาก็ร้องไห้เเล ผิเเลคนผู้มาเเต่สวรรค์ เเลค้านึงถึงความสุขเเต่ก่อนนั น ครั นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อก่อนเเล“ ๑๗ ๓.ด้ำนสังคม
๓.๒ สะท้อนแนวคิดของคนในสังคม ๒.๑)สะท้อนการเกิดของมนุษย์เป็นทุกข์ เนื อความตอน มนุสสภูมิ ก้าเนิดมนุษย์ในทัศนะของกวีนั น การเกิดของมนุษย์ในท้องมารดาก็เป็นความทุกข์อย่างหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่มีความสุข ตั งแต่แรกเกิดเป็น เพียงกลละ เจริญขึ นเป็นตัวคนก็ต้องนั่งคุคคู้จับเจ่าอย่างเมื่อยล้าขดในที่อันคับแคบและร้อนระอุ เมื่อ ถึงเวลาคลอดต้องถูกดันให้ผ่านทางออกช่องแคบๆ ท้าให้เจ็บปวดแสนสาหัส เช่นท่อน "แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลก้ามือทั งสองคู้คอต่อเข่าทั งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่า เมื่อนั่งอยู่นั นดั่งนั น " ๒.๒)สะท้อนให้เห็นสัจธรรมของชีวิต การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องพบเห็นในชีวิ ประจ้าวัน นั่นก็คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นท่อน "ครั นออกจากท้องแม่แต่นั นไปเมือหน้ากุมารนั นจึงรู้หายใจเข้าออกแล"(การเกิด) ๓.๓ ค ำสอนทำงศำสนำ ไตรภูมิพระร่วงสอนให้คนท้าบุญละบาป เช่น การท้าบุญรักษาศีลเจริญสมาธิภาวนาจะ ได้ขึ นสวรรค์การท้าบาปจะตกนรก แนวความคิดนี มีอิทธิพลเหนือจิตใจของคนไทยมาช้านานเป็นเสมือน แนวการสอนศีลธรรมของสังคม สอนปรัชญาทางพระพุทธศาสนาชี ให้เห็นแก่นแท้ของชีวิต อันน้า มนุษยชาติให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารให้คนปฏิบัติชอบซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม ๓.๔ ค่ำนิยมเชิงสังคม อิทธิพลของหนังสือเล่มนี ให้ค่านิยมเชิงสังคมต่อคนไทย ให้ตั งมั่นและยึดมั่นในการเป็น คนใจบุญ มีเมตตากรุณา รักษาศีล บ้าเพ็ญทาน รู้จักเสียสละ เชื่อมั่นในผลแห่งกรรม ไตรภูมิพระร่วง ก้าหนดกรอบแห่งความประพฤติ เพื่อให้สังคมมีความสงบสุขผู้ปกครองแผ่นดินต้องมีคุณธรรมด้าน ประเพณีและวัฒนธรรม ความเชื่อที่ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ประเพณีงานศพ ภาพนรกและ สวรรค์ก่อให้เกิดผลงานด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ๓.๕.ศิลปกรรม จิตรกรนิยมน้าเรื่องราวและความคิดในไตรภูมิพระร่วงไปเขียนภาพสีไว้ในโบสถ์วิหาร โดยจะเขียนภาพนรกไว้ที่ผนังด้านหลังหรือหลังองค์พระประธาน และเขียนภาพสวรรค์ไว้ที่ผนังเบื องบน รอบโบสถ์วิหารก่อให้เกิดผลงานด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ๑๘
บรรณำนุกรม Jutalak Cherdharun(๒๕๖๔).ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ สืบค้นวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ จาก https://blog.startdee.com Rak pooh(๒๕๖๐).ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ สืบค้นวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ จาก https://www.finearts.go.th/promotion/view/22416- กันต์ฤทัย(๒๕๖๓).ไตรภูมิพระร่วง สืบค้นวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ จาก https://kanruethai.blogspot.com/2020/06/blog-post.html?m=1 นามานุกรมวรรณคดีไทย(๒๕๕๘).ไตรภูมิพระร่วง สืบค้นวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ จาก https://www.sac.or.th/databases/thailitdir/detail.php?meta_id=74 กรมศิลปกร กระทรวงวัฒนธรรม(๒๕๖๓).ไตรภูมิกถา สืบค้นวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ จาก https://rak-pooh.wixsite.com/naritsara/blank-w1u61 โงกุล(๒๕๖๐).เรื่องย่อ ไตรภูมิพระร่วง สืบค้นวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ จาก https://board.postjung.com/730910 บุญกว้าง ศรีสุทโธ(๒๕๖๑). ความหมายของร้อยแก้ว สืบค้นวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ จาก https://shorturl.asia/HorbO