แบบสำรวจและจัดฐานข้อมูลมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
ของสภาวัฒนธรรมจงั หวัดเพชรบูรณ์
๑. ชื่อรายการมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม
ชื่อรายการ ประเพณีกอ่ พระทรายข้าวเปลือก
ชอื่ เรียกในทอ้ งถน่ิ -
ชือ่ ภาษาอืน่ (ถ้ามี) -
๒. ประเภทมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
รายการตัวแทนมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม (มกี ารปฏิบตั ิอย่างแพรห่ ลาย)
รายการมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมท่ีต้องไดร้ ับการส่งเสริมและรักษาอยา่ งเรง่ ดว่ น
(เส่ียงตอ่ การสญู หาย)
๓. ลักษณะมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม (ตอบไดม้ ากกว่า ๑ หัวขอ้ )
วรรณกรรมพ้นื บ้านและภาษา
ศิลปะการแสดง
แนวปฏิบัตทิ างสงั คม พธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล
ความรู้และการปฏบิ ัตเิ ก่ยี วกบั ธรรมชาติและจกั รวาล
งานช่างฝีมือดง้ั เดิม
การเลน่ พื้นบ้าน กฬี าพน้ื บา้ นและศิลปะการต่อสู้ป้องกนั ตวั
๔. ประวัติความเป็นมาและรายละเอยี ดมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
ประเพณีก่อพระทรายข้าวเปลือก บ้านสะเดียงอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมืองเพชรบูรณ์ เป็นชุมชน
ใหญ่ประกอบด้วย ชุมชน 2 ชุมชน 3 ของเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ และหมู่บ้าน หมู่ที่ 6 หมู่ที่ 7
และหมู่ที่ 5,11 ของตำบลสะเตียง เป็นเขตการปกครองขององค์การบริหารส่วนตำบลสะเตียง คือ บ้านตะกุดบง
บ้านไร่ และบ้านหนองนารี หมู่บ้านดังกล่าว มีอาชีพทำนา นับถือศาสนาพุทธ มาทำบุญที่วัดทุ่งสะเดียง
มีประเพณีต่าง ๆ ที่อนุรักษ์ สืบทอดมาจากปู่ ย่า ตา ยาย ประเพณีที่โดดเด่นของวัดทุ่งสะเดียง คือ ประเพณี
กลบธาตุ ในวนั สารทไทย คอื การก่อพระเจดยี ์ทราย กระดูกของผู้ตายในบ้านของตน มีการประกวดแข่งขันกัน
ไดร้ บั ความสนบั สนุนจากเทศบาลเมอื งเพชรบรู ณส์ ืบเนอ่ื งมาทุกปี
สำหรับประเพณีที่สืบทอดมาจากปู่ า ตา ยาย หลายชั่วอายุคนที่เคยปฏิบัติในการทำนา คือ ประเพณี
ก่อพระทรายข้าวเปลือก ประชากรชาวนาที่มีความศรัทธาลดน้อยลงมาก เป็นผลกระทบต่อประเพณีก่อ
พระทรายข้าวเปลือก จะเห็นได้จากการก่อพระทรายข้าวเปลือกในปีที่ผ่านมา (2555) บรรยากาศเงียบเหงา
ซบเซา มีประชาชนสนใจน้อยที่จะเข้าร่วมพิธีทำขวัญข้าว ทั้งที่ผลผลิตจากการตรากตรำทำนาแสนจะเหน็ด
เหนื่อยกวา่ จะไดเ้ มล็ดข้าวมาเป็นกอบเป็นกำ เขา้ มาเก็บไว้ในยุ้งฉาง อาจจะเป็นการทำนาสมยั ปัจจุบัน ทำแบบ
สบาย ๆ จงึ ไมไ่ ด้สำนกึ ถงึ พระคุณของพระแมโ่ พสพ
การทำนาท่ีจะกล่าวในท่ีน้ี เปน็ การทำแบบโบราณ ได้ขอ้ มลู จากนายทองสุก ขุนแก้ว อาจารยพ์ กั ตร์ ม่วงเล็ก
อาจารย์ชะอ้มุ ต่วนโต และคณุ รันดร เสอื น้อย และจากประสบการณ์ตรงของตนเอง เนอ่ื งจากพ่อแม่มีอาชีพทำนา
การทำนาในสมัยโบราณตอ้ งอาศยั น้ำจากเหมอื ง ฝาย เพื่อเปดิ นำ้ เข้านา จากคลองป่าแดง ทำฝา่ ย
เพ่อื กกั เกบ็ น้ำไว้ และขดุ เหมืองให้นำ้ ไหลเขา้ นา มีฝายซุนปฏิเวธ (ปัจจบุ ันไม่ต้องทำฝาย และขุดลอกเหมืองแลว้
ใช้น้ำชลประทานป่าแดง) ฝายตะกดุ บง ฝายกกไทร ฝายส่ีแยกวดั ทุง่ สะเดียง เปน็ ต้น การทำนาเปดิ น้ำจาก
เหมือง ฝาย เข้านา และขังไว้ให้ดินได้ชับนำ้ เต็มท่ี จะต้องดูแลคนั นาปิดรอยรั่วเพ่ือขังนำ้ ไว้ได้ทกุ แปลง
แลว้ ไถนากลบซังเข้านา แล้วไถนากลบซงั ข้าวและวชั พืช ปล่อยให้น้ำท่วมดินก้อนไถ ซงั ข้าวคือต้นข้าวที่เหลือ
จากการเกบ็ เกี่ยวจะปล่อยทิ้งไวไ้ มเ่ ผาทิง้ เพราะซังข้าวและวชั พืชถกู ไถกลบแช่นำ้ จะเปือ่ ยเนา่ เปน็ ปุ๋ยข้าว
ทจ่ี ะดำใหม่ ดังคำพูดท่ีกล่าววา่ "หญา้ เนา่ ข้าวงาม" ชาวนาจะไถแปลงแรกไวส้ ำหรบั หวา่ นกลา้ เมือ่ ไถแล้ว
2
ต้องคราดทับให้เละเป็นโคลน ทำแปลงสำหรับหว่านข้าว การหว่านข้าวจะนำพันธุ์ข้าวที่ต้องการแช่ไว้ 1 คืน
แล้วใส่ภาชนะที่น้ำไหลซึมได้เพื่อไม่ให้น้ำขัง เช่น กระบุง ตะกร้า แล้วใช้ใบตองหรือผ้าคลุมไว้ 2-3 คืน
เมื่อข้าวงอกรากแล้วนำไปหว่านในแปลง ที่เตรียมไว้ หรือที่เรียกว่า ตากล้า ข้าวก็จะงอกสูงขึ้น กล้าที่จะนำไป
ดำนาต้องมีอายุหนึ่งเดือนเศษ จะเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงพอ เมื่อหว่านกล้าเสร็จแล้ว ชาวนาก็จะเร่งไถ
คราดในแปลงอื่น ๆ การไถ คราด ในสมัยนั้นใช้ควายไถนา ส่วนมากจะไถนาในตอนเช้าและตอนบ่าย แดดไม่ร้อน
และให้ควายได้พักเพ่ือกินหญ้า พ่อของผู้เขียนจะหยุดใช้แรงงานควายคือไม่ไถนาในวันธรรมสวนะด้วย
เน่ืองจากเจา้ ของไปทำบญุ ทีว่ ัด และมเี มตตา ไมท่ รมานสัตว์นั่นเอง
เมื่อกล้าอายุหนึ่งเดือนเศษจึงถอนกล้า (บ้านสะเดียง เรียกว่า หลกกล้า) มัดเป็นกำหรือเป็นจุก
ตัดใบตอนปลายออก เพ่อื นำไปปกั ดำในแปลงนาที่เตรียมไว้ กอ่ นจะปักดำน้นั คนโบราณจะสนั แรกก่อน สันแรก
คือ การนำไม้รวกหรือปลายไม้ไผ่ผ่าแปดเหลือโคนไว้ประมาณ 1 เมตรครึ่ง นำไปปักดินตรงมุมของบึ้งนา
(แปลงนา) แล้วนำปลายไมท้ ่ผี ่าไว้ให้โค้งมาปักดินทั้งแปดเส้น สันแรกก็จะเป็นวงกลม บางแหง่ ใช้ไม้สานเป็นราชวัติ
ปักเป็นบริเวณสี่เหลี่ยมชาวนาจะนำกล้ามาปักดำในบริเวณสันแรกก่อน ตรงกลางสันแรกจะนำเครื่องเซ่น
(บวงสรวงขนาดเล็ก) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ และบูชาพระแม่โพสพ เครื่องเซ่น มีขนมต้มแดง ขนมต้มขาว
หมากพลู 1 คำ ไข่ต้ม 1 ลูก ขนมลูกโคน ขนมสะบัดงา ข้าวตอกปั้น อย่างละเล็กน้อย นำใส่กระทง วางไว้บน
สันแรก แล้วบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางที่เรานับถือในท้องถิ่นนั้น ๆ ว่า "สูญเจ้าข้าเจ้าพ่อนาเกน (ถ้านาอยู่ในย่าน
คลองสาน คลองคู ถ้านาอยู่ย่านวัดทุ่งสะเดียงก็เปลี่ยนเป็น เจ้าพ่อโคกนารายณ์) ที่ลูกเคารพนับถือ
สองมือข้าพเจ้าปักดำในนา ขออย่าให้มีศัตรูข้าว ได้แก่ หอย ปู แมลง มารบกวนข้าวกล้า ขอให้กล้าในนา
จงงามวันงามคืน ถึงข้าวท้องมาน ออกรวงขอให้รวงดกงดงาม เมื่อข้าวแก่ เก็บเกี่ยว ก็ขออย่าให้นก หนู
มารบกวน คำพูดใดท่มี มี งคลก็ใหก้ ล่าวไป
สนั แรกนีช้ าวนา ถอื ว่าปกั ดำครง้ั แรก เป็นแปลงตวั อย่าง จะดแู ลเป็นพเิ ศษ เป็นต้นวา่ ถึงวันธรรมสวนะ
(วนั พระ) เม่ือไปทำบญุ ทว่ี ัดก็จะนำน้ำก้นบาตร ขา้ วตม้ ขนมตกบาตร (ส่วนมากชาวนาทำบญุ นยิ มห่อข้าวต้มผัด
เมื่อใส่ล้นบาตร จะตกลงมาจากบาตร) นำมาบูชาพระแม่โพสพที่สันแรกเป็นประจำ ระหว่างข้าวกล้างอกงาม
จะต้องดูแล ถอนหญ้าวัชพืชที่ขึ้นแชมข้าว โดยเหยียบให้จมโคลน เอารากไว้ด้านบน ชาวนาเรียกว่า "เหยียบ
หญ้านา" บริเวณไหนที่ข้าวตายมีที่ว่าง ก็จะนำกล้าที่ตกค้างหรือแบ่งจากกอข้าวที่สมบูรณ์มาปักดำในที่ว่าง
เพิม่ เตมิ เรียกวา่ "ซอ่ มขา้ ว" คอยดแู ลเปดิ น้ำใหเ้ ขา้ นาแชต่ ้นขา้ ว จนกวา่ ข้าวจะออกรวงและรวงเรม่ิ สกุ จึงปดิ น้ำ
เข้านาเพื่อใหพ้ ืน้ นาแห้งสะดวกในการเก็บเกยี่ ว
เมื่อข้าวออกรวงสุกเหลืองได้ที่แล้วก็จะเก็บเกี่ยวมารวมไว้ลานข้าว ลานข้าวคือพื้นที่อยู่ใกล้นา
หรือที่อื่น ที่เหมาะสม สะดวกในการขนฟ่อนข้าวมารวมไว้ที่ลาน การทำลานข้าวต้องเตรียมพื้นที่ดายหญ้า
ที่ควรจะราบเรียบ รดน้ำบดดินให้แน่น แล้วนำขี้ควายผสมน้ำให้ข้นพอควร นำมาเทราดบนดินที่เตรียมไว้
เรียกว่า "ยาลาน " การยาลานเพื่อไม่ให้ดินมาปนกับข้าวเปลือก ปล่อยให้ลานข้าวแห้งดีแล้ว จึงนำข้าวที่เกี่ยว
แลว้ มดั เปน็ ฟ่อน ขนหาบมาไว้ที่ลาน วิธขี นขา้ วขน้ึ ลาน จะใช้ไมร้ วกยาวพอควร นำมาเสย้ี มเหลาให้ปลายแหลม
ทั้งสองข้าง เรียกว่า ไม้หลาว นำไม้หลาวมาเสียบข้าวฟ่อนข้างละ 3-4-5 ฟ่อน แล้วแต่กำละจะหาบไหว
เมื่อนำมาไว้ที่ลานแล้ว จัดกองซ้อน ๆ กัน เรียกว่า "ลอมข้าว" บางแห่งนำมานวดบนลานบางแห่งใช้ไม้รัดฟ่อนข้าว
นำมาตี-ฟาด ให้เมล็ดข้าวออกจากรวง ฟางที่ไม่มีเมล็ดข้าวนำมาลอมฟางเก็บไว้เป็นอาหารของวัว ควาย ในฤดูแล้ง
ข้าวในลานก็ขนขึ้นยุ้งฉางต่อไป และยังไม่ให้ตักข้าวนี้ไปสีหรือตำ จะตักข้าวในยุ้งฉางได้ ต้องทำพิธีเชิญขวัญ
พระแม่โพสพกอ่ น ซงึ่ จะกล่าวในตอนตอ่ ไป
ในสมยั โบราณการดำนา การเกย่ี วข้าว การฟาดขา้ วตขี ้าวกด็ ี จะมกี ารประสานสมั พันธ์ ช่วยเหลอื ซึ่งกนั และกัน
ความมเี มตตาเอ้อื อาทรตอ่ กัน คือ การลงแขกดำนา ลงแขกเกยี่ วขา้ ว ลงแขกฟาดขา้ ว การลงแขกคือ เจ้าของนา
ทีอ่ ยู่ใกลก้ ันจะเป็นญาติหรือไมก่ ็ตาม จะมาช่วยระดมกันปักดำ เกีย่ วข้าวจำนวนคนมาช่วยกันมากบ้างน้อยบ้าง
โดยไมค่ ิดเงนิ คา่ แรง แตม่ ีการใชแ้ รงแทนกันและกนั ทำให้เกดิ ความสามัคคี รวมกันเปน็ กล่มุ รนู้ สิ ัยใจคอกัน
3
ถา้ เปน็ นาของบ้านท่ีมลี ูกสาว หนุม่ ๆ ก็จะชวนกนั ไปช่วยงาน เพอ่ื จะได้พบปะกนั บางแหง่ ชวนไปทั้งครอบครัว
เพื่อศึกษาดูพฤติกรรมของกันและกัน บางบ้านเป็นครู อาจารย์ ลูกศิษย์ก็จะชกั ชวนเพื่อน ๆ ไปช่วยงานของครู
เมื่อมีแขกมาช่วย เสร็จจากงานแล้ว เจ้าของบ้านจะจัดอาหารหวานคาวมาเลี้ยง สังสรรค์เป็นการผ่อนคลาย
ให้หายเหนื่อย บางแห่งไม่มีการลงแขก ก็จะว่าจ้างเป็นรายวัน บางแห่งก็ช่วยกันทำในครอบครัวของตนเองก็มี
ในปัจจุบันนี้ไม่มีบรรยากาศช่วยกันและกัน การทำนาก็ไม่ต้องใช้ควายไถนา ใช้เครื่องจักรแทน เช่น รถไถ
คราด บางชนิด ให้รถปักดำนาไปด้วยเนื่องจากค่าแรงงานแพง ชาวนาบางส่วนใช้หว่านข้าวเป็นนาหว่าน
เพือ่ ลดตน้ ทนุ แตก่ ็ยงั มนี าดำอยูบ่ ้าง
การเกี่ยวข้าวก็ไม่ใช้แรงงานคนจับเคียวเกี่ยวข้าวกัน เมื่อข้าวแก่สุกเหลืองดีแล้ว ก็จะจ้างรถเกี่ยวข้าว
สีฝัด ใส่กระสอบ (ไม่ได้นำข้าวใส่ยุ้งฉาง) พร้อมขายได้เลย ลดค่าจ้างเกี่ยว มัดฟ่อน หาบมาลาน ตีฟาด สะดวกด้วย
ประการทง้ั ปวง
ในสมัยโบราณนำข้าวขึ้นยุ้งฉางแล้ว ในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 จะทำพิธีเชิญขวัญพระแม่โพสพก่อน
เพราะมีความเชื่อว่า วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันที่กบจำศีล เรียกว่า "กบไม่มีปาก นากไม่มีตูด" ถ้าตักข้าว
หลังจากพธิ ีเชิญขวัญพระแม่โพสพ และคนท่ีจะตักขา้ วในยุ้งฉางเปน็ ครั้งแรก ต้องให้คนที่เกิดในปีมะโรง มะเส็ง
เพราะงไู ม่กินข้าว ไม่ใหค้ นท่ีเกดิ ในปีมะแม ปรี ะกา ปชี วด ฯลฯ เพราะ แพะ ไก่ หนู กินข้าว ทั้งน้ีเป็นความเชื่อ
ว่า "ตกั ไมบ่ ก จกไม่พรอ่ ง" คอื กนิ ข้าวไมส่ ้ินเปลือง สอนใหค้ นรู้จกั ประหยัด และรู้คุณคา่ ของข้าวแต่ละเมลด็
พิธีเชิญขวัญพระแม่โพสพ ในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ชาวนาจะทำพิธีเชิญขวัญพระแม่โพสพที่ร่วงหล่น
ตกคา้ งอยู่ในทุ่งนา โดยจดั เคร่ืองเชิญมี ไขต่ ้ม 1 ฟอง หมากพลู 1 คำ ขนมตม้ แดง ขนมต้มขา้ ว ผา้ แพร 3 ผืน
ใส่กระบุง คอนไปนา (คอน คือ นำกระบุงใส่ไม้คานข้างเดียว) ระหว่างเดินทางไป-กลับ ห้ามพูดกับใคร
แม้จะมคี นทักทาย ก็ไม่พดู เรยี กวา่ ถือกรรม เมื่อไปถงึ นาก็ทำพิธีเชิญขวญั พระแม่โพสพ ดงั น้ี
"ศรี ศรี วันนเ้ี ปน็ วนั ดี ขา้ พเจ้าจะขอยกเอาคณุ ของพระแมโ่ พสพมารำพัน จะไดเ้ ชิญขวัญตามประเพณี
ขอเชิญเทพเทวีอยู่กลางทุ่งนา ผมู้ อี านภุ าพศักดาเรื่องฤทธิ์ เทพเจ้าที่สิงสถิตย์อยู่โขดเขินตามภูผา ท้ังอินทรพรหมา
ยมนาทง้ั หลาย ผู้มีฤทธิ์มากมายท่วั แผ่นดิน ขา้ พเจา้ ขออัญเชิญพระแม่โพสพเขา้ ไปอยู่ในยงุ้ ฉาง ข้าพเจ้าขอเชิญ
เสด็จมาชุมนุมสโมสร เสวยสังวรเครื่องบวงสรวง ข้าพเจ้าขออัญเชิญพระแม่โพสพที่ตกค้างอยู่ในนา เข้าไปอยู่
ในยงุ้ ฉางเสียในกาลบัดนเี้ ถดิ "
แล้วกลับมา
เมอื่ ชาวนาเกบ็ ข้าวเรียกขวัญพระแม่โพสพแล้ว ทางวดั ทงุ่ สะเดียงประชุมคณะกรรมการ จดั งานก่อพระ
ทรายข้าวเปลอื ก กำหนดวัน เวลา ผู้รบั ผิดชอบทำหน้าทีต่ า่ ง ๆ แล้วบอกบญุ ชาวนาจะนำข้าวเปลอื กมารวมกัน
ท่ีวัด กองเหมือนเจดีย์ทราย แต่ใช้ข้าวเปลือกแทนทราย ชาวนามีความศรัทธาและมีความเชือ่ ว่า ข้าวที่ทำจาก
น้ำพักน้ำแรงของตนมาทำบุญได้กุศลแรง ถ้าได้นำข้าวเปลือกมาทำบุญ ก็เชื่อว่า ปีหน้าฟ้าใหม่จะทำนาได้ผล
ผลิตมากขึ้น พวกศัตรูข้าวจะไม่มารบกวน เมื่อได้ข้าวมากองรวมกันแล้วฝ่ายที่มีหน้าที่ทำบายศรี ฉัตร
ตกแต่งสถานทเ่ี รยี บร้อยแล้ว เวลาบา่ ยนิมนต์พระ จำนวน 9 รปู เจริญพระพทุ ธมนต์เพื่อเป็นสิรมิ งคล หลังจาก
นั้นก็จะทำพิธีขวัญข้าว ประชาชนจะนั่งเป็นวงกลมล้อมวงข้าวเปลือก ซึ่งเตรียมบายศรีหุม้ ผ้าแพรเครื่องบายศรี
จะมขี นม ไขต่ ้ม ขา้ วเหนยี วแดง ใบพลู แว่นเทยี น เป็นต้น
พิธีทำขวัญพระทรายข้าวเปลือก หมอทำขวัญแต่งกายชุดขาว หัวหน้า (นายทองสุก ขุนแก้ว)
จะกลา่ วเชญิ ขวญั เปน็ ทำนอง ดงั น้ี
ศรี ศรี วันนเ้ี ป็นวนั ดเี ลิศลพ ขา้ พเจา้ จะขออัญเชญิ
ขวญั พระแมโ่ พสพท่ีอยูใ่ นทอ้ งทงุ่ นา จงเข้ามาอย่ใู นยุง้ ฉางเสยี
ในวนั นี้ ขวญั แมเ่ อยอย่าไดห้ นตี นื่ ตกใจ เม่ือถกู ลมพดั สะบดั ใบให้ร่วงหลน่
ขวัญแม่เอยอยา่ ไดจ้ รดลไปเทย่ี วหนี อยา่ ได้ไปหลงกินรีท่ีร่ายรำ
ขวญั แมก่ อ็ ย่าได้ถลำเข้าไปในไพรพฤกษ์ แม้วา่ จะสัญจรอยู่ในห้วงลกึ ก็ใหร้ ีบกลับมา
4
ขวญั แม่เอ่อ-เอย อย่าไดไ้ ปหลงชมสิงสาราสตั ว์ แม้ว่าจะถกู เคียวตวดั แม่อย่าไดต้ กใจ
แมว้ า่ แมจ่ ะถูกไถถกู คราด ถกู ฟดั ฟาดลงกลางดนิ
หรือว่าจะถูกขบกนิ เป็นอาหารของมนษุ ย์ นะ ขวญั แม่ เอ่อ-เออ-เอย ขวัญแม่
อย่าไดร้ ดุ หน่ายหนี จงอย่เู ป็นศรใี นย้งุ ฉาง
ขอเชญิ แม่นางมาชมบายศรี ซงึ่ มากมีทัง้ คาว หวาน สารพดั
ท่ีเจา้ ของจัดมาให้สังเวยเคร่ืองบวงสรวง ขอใหม้ ีลาภท้งั ปวง เกษมสนั ต์
มเี งินทองนบั อนนั ต์ยงิ่ นกั มีความรกั มน่ั คงสถาพร
พน้ จากความเดือดรอ้ นทัง้ ปวง ไม่มอี ุปสรรคมาขัดขวางทางเดิน
ขอใหม้ ีแต่สรรเสรญิ ลาภยศ ปรากฎสิน้ กาลนานเทอญ
ให้ลน่ั ฆอ้ งขน้ึ 3 ที โห่ร้องเอาชัยขน้ึ 3 คร้งั ฯลฯ
บททำขวัญดังกล่าวนี้ เป็นเพียงตัวอย่าง หมอทำขวัญจะกล่าวคำขวัญจนเบิกบายศรี จุดเทียน ที่แว่น
เทียนที่เตรียมไว้ ส่งให้ประชาชนที่นั่งล้อมรอบพระทรายข้าวเปลือกควันจากแว่นเทียน ให้ควันเข้าไปทางพระ
ทรายข้าวเปลือกจนจบพิธี หลังจากพิธีทำขวัญพระแม่พระโพสดเสร็จแล้ว ทางวัดก็จะนำอาหารหวานคาว
มาเล้ียงกนั ท่โี รงทาน กลางคนื จะมีการื่นเริง มีรำวงย้อนยุค โดยชาวบ้าน ชุมชน จะร่วมกันจดั เอง
ในวันรุ่งขึ้น จัดถวายอาหารบิณฑบาต เลี้ยงพระตอนเช้า ถวายข้าวเปลือก คณะกรรมการจะติดต่อ
พอ่ ค้ามาซอ้ื ขา้ วเปลอื ก นำเงินบริจาคและเงินรายได้จากขายขา้ วเปลือกถวายพระเพ่อื นำไปบรู ณะวดั
พิธีกรรมเกี่ยวกับการทำขวัญข้าว มีทุกขั้นตอนเป็นวิถีชีวิตของคนรุ่นเก่า ตั้งแต่หว่านกล้า ไถ คราด
ปักดำ เกี่ยว จนถึงรับขวัญข้าวเข้ายุ้งฉาง ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ยาย มาสู่คนรุ่นหลัง
วิถีชีวิตที่ร่วมกันลงแขก ปักดำ เกี่ยวข้าว แสดงว่ามีความสัมพันธ์อันดีของคนในชุมชน และความสัมพันธ์
ระหว่างคนกับธรรมชาติ แต่ปัจจุบันคนมีจิตใจในการช่วยเหลือ เอื้ออาทรต่อกันและกันมีน้อย เป็นสังคม
แก่งแย่ง ตัวใครตัวมัน ส่งผลให้การทำบุญก่อพระทรายข้าวเปลือก และพิธีกรรมต่าง ๆ เริ่มเลือนรางหายไป
ซงึ่ พธิ กี รรมต่าง ๆ คือ หน้าตาจิตใจของชวี ิต คนรุ่นหลังควรอนุรักษส์ บื สานใหด้ ำรงอยูใ่ นหมบู่ ้านของเรา
ได้กล่าวถึงการทำนา ก่อพระทรายข้าวเปลือก พิธีเชิญขวัญ สรรเสริญพระคุณของพระแม่โพสพแล้ว
ควรจะไดร้ ู้เรือ่ งราวของพระแมโ่ พสพดว้ ย
พระแมโ่ พสพ คือ เทพเจ้าประจำขา้ วหรือเจา้ แม่แห่งข้าว พระแมโ่ พสพเทพแห่งขา้ ว ผู้ใหค้ วามสมบูรณ์
แกพ่ ชื พนั ธุธ์ ัญญาหาร ชาวอสิ านเรยี กวา่ "แม่โคสก" เป็นพระมเหสขี องท้าวสกั กะเทวราช มพี ่นี ้อง 5 คน คือ
1.แม่โพสี เปน็ ตัวแทนขา้ วเหนียว
2.แมโ่ พสพ เป็นตัวแทนขา้ วเจา้
3.แม่นพดารา
4.แมจ่ ันเทวี
5.แม่ศรสี ุดา
ชื่อเดิมของแม่โพสพ ชื่อ "พระแม่โพสพนพเกล้า" เดิมเป็นเทพธิดาอยู่บนสวรรค์ มีนามว่า "โพสวเทวี"
มีร่างกายสวยงาม มีกลิ่นหอม ผิวพรรณดุจทองคำ นางเป็นสนมเอกของพระอินทร์ ซึ่งมอบหมายให้ดูแล
สรวงสวรรค์ พอถึงวันพระ 8 ค่ำ และ 15 ค่ำนางจะเกบ็ ดอกไมใ้ ส่พานไปถวายเพื่อให้พระอินทร์ใช้บูชาพระรัตนตรัย
วันพระวันหนึ่ง เมื่อนางเก็บดอกไม้ไปถวายแล้วพระอินทร์ทรงสังเกตเห็นว่า ผิวพรรณของนางที่เคยผุดผ่อง
ไม่เหมือนเดิม จึงทรงถาม และนางตอบว่า "มันเป็นอนิจจังไม่เที่ยง" แต่พระอินทร์บอกว่า "นั้นเป็นส่วนหนึ่ง
แต่อีกส่วนหนึ่งคือ บุญของเจ้าใกล้หมด ฉะนั้นจึงไปสร้างบุญใหม่ ไปทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ชาวโลกเถิด"
นางรับปากทูลลาไปสรวงสวรรค์เก็บบุปผาชาติใส่พานลงไปยังป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของฤาษีกำลังเข้าฌาน
สมาบตั ิ เรียกขานว่า "ฤาษีตาไฟ" เพราะปหี นึ่งจะลมื ตาเพยี งหนเดยี ว
5
นางเห็นฤาษีเข้าฌานก็เวียนทักษิณาวัตร 3 รอบ ฤาษีตบะแทบแตก เมื่อได้กลิ่นหอมของดอกไม้
จากนั้นนางก็เหาะไปหน้าพระฤาษีแล้วก้มลงกราบ ฤาษีใด้กลิ่นดอกไม้และกลิ่นกายของนางทนไม่ใด้จึงลืมตา
ขึ้นชัว่ พริบตา นางกม็ อดไหม้เปน็ เถา้ ถา่ น
ฤาษีเห็นนางเทพธิตามาหาได้แว่บเดียวก็มอดไหม้ จึงได้ใช้ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ชี้ไปที่กองเถ้าถ่านเพ่ือ
ให้นางฟน้ื ข้นึ ฉบั พลันก็เกดิ เปน็ "ต้นข้าว" ซง่ึ มเี มลด็ ข้าวหน่ึงเมลด็ ขนาดกว้าง 8 นวิ้ ยาว 16 นิว้ สีเหลอื งอร่าม
สวยงาม
ฤาษีคิดว่าฤทธิ์เดชของตนไม่แก่กล้า แต่ความจริงนางไม่ใด้โต้ตอบ จากนั้นจึงคืนร่างเป็นเทพธิดา
นางไดเ้ ลา่ เร่ืองความต้องการให้ฤาษชี ่วยเหลือ ใหไ้ ด้สร้างบุญกุศลท่ีพระอินทร์แนะนำเพื่อประโยชน์ของชาวโลก
ฤาษีเห็นด้วยที่นางเป็นข้าว แต่เมล็ดใหญ่กินไปไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เลยให้กลับร่างเป็นต้ นข้าว
แล้วใชไ้ มเ้ ท้าเสกไปทเ่ี มลด็ ขา้ วทำใหแ้ ตกกระจาย จงึ เป็นทม่ี าของพนั ธข์ุ า้ วตา่ ง ๆ จนถึงทกุ วันน้ี
๕. พน้ื ท่ปี ฏบิ ตั มิ รดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม(พืน้ ทที่ ป่ี รากฏหรอื ชุมชนที่มีการปฏิบตั ิมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม)
วัดท่งุ สะเดียง ชุมชนวดั ทงุ่ สะเดยี ง ตำบลสะเดียง อำเภอเมอื งเพชรบรู ณ์
16.41888256325559, 101.13892326814609
๖. คณุ คา่ และความสำคญั ของมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมในแต่ละระดับ
ระดับปจั เจกบคุ คล
ระดบั ครอบครวั
ระดบั ชุมชนท้องถ่นิ
ระดบั จงั หวดั
ระดบั ประเทศ
7. รายชอื่ ผสู้ บื ทอด / ผ้คู รอง / ผทู้ ่ีเกีย่ วข้องหลกั ในปัจจบุ ัน
รายขื่อบุคคล/หัวหนา้ คณะ/กลุ่ม/ อาย/ุ อาชีพ ทอ่ี ยู่ (สถานท่ตี ิดต่อ) / หมายเลขโทรศัพท์
สมาคม/ชุมชน
เจา้ อาวาสวดั ทงุ่ สะเดยี ง ตำบลสะเดยี ง
พระครสู ถิตพชั รเขต 51 ปี อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์
67000
นายไพฑลู จันทร์เทย่ี ง 80 ปี 282/1 ถนนบูรกรรมโกวิท ตำบลในเมือง
อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จงั หวัดเพชรบรู ณ์
นางสมจิตต์ ขนุ แกว้ 68 ปี 67000 โทร 083-2306104
82 ม.6 ตำบลสะเดียง อำเภอเมือง
นายภัทธาวธุ ตาลสุก 22 ปี เพชรบรู ณ์ จงั หวัดเพชรบรู ณ์
67000 โทร. 082-5131769
15/1 ตำบลในเมือง อำเภอเมอื งเพชรบรู ณ์
จงั หวดั เพชรบรู ณ์ 67000
โทร.091-0174680
6
8. ปัจจุบันรายงานมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมได้รบั การประกาศข้ึนบัญชใี นระดับใด
ยงั ไมเ่ คยไดร้ ับการประกาศขนึ้ บัญชี (รายการสำรวจและจดั เกบ็ ใหม่)
ระดับจังหวดั (รายการเบื้องต้นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม)
ระดับชาติ
ระดับนานาชาติ (ยูเนสโก)
9. จากขอ้ 8 ควรจะเสนอรายการมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมได้รบั การประกาศข้ึนบัญชใี นระดับใด
สำรวจและจดั เกบ็ เท่าน้นั (ยังไม่ควรไดร้ บั การประกาศข้ึนบัญชี)
ระดับจงั หวดั (รายการเบื้องต้นมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม)
ระดับชาติ
ระดับนานชาติ (ยูเนสโก)
10. เอกสารอ้างอิงและ/หรอื ผลงานท่เี ก่ยี วข้องในการสง่ เสริมและรักษามรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม
บทสวดอัญเชิญขวัญพระแม่ และทำขวัญข้าวได้จากบทความของนายกองสิน ขุนแก้ว เป็นบิดา
ของนายทองสกุ ขุนแกว้
คำบอกเล่าพิธีกรรมบางอย่าง ชักถามจากนายทองสุก ขุนแก้ว, อาจารย์พักตร์ ม่วงเล็ก,
อาจารยพ์ จนยี ์ โฆษิตานนท์,อาจารย์ชะอมุ้ ด่วนโต,คุณรนั ตร เสอื น้อย
ฝ่ายขุนปฏิเวธ เป็นราชทินนามของขุนปฏิเวธวรรณกิจ เป็นบิดาของท่านจำเนียร ปฏิเวธวรรณกิจ
อดตี ผ้วู า่ ราชการจงั หวัดเพชรบรู ณ์
บทความของนายมานะ เถียรทวี ประเพณีท้องถิ่นของชุมชนท่าพูดตำบลไร่ชิง อำเภอสามพราน
จังหวดั นครปฐม
ประเพณกี ่อพระทรายขา้ วเปลอื ก วดั ทุง่ สะเดยี ง เรยี บเรียงโดย อ.นำ้ ผึ้ง ชัยรตั น์ อบุ าสิกาวัดทุ่งสะเดียง
อดตี ศึกษานิเทศก์ สำนกั งานการประถมศึกษา จังหวัดเพชรบรู ณ์
สัมภาษณ์ พระครูสถติ พัชรเขต เจา้ อาวาสวัดทุง่ สะเดียง (สัมภาษณว์ นั ท่ี 15 กมุ ภาพันธ์ 2565)
11. รูปภาพ พรอ้ มคำอธบิ ายใตภ้ าพจำนวน 10 ภาพ
ภาพที่ 1
เมื่อใกล้ประเพณีก่อพระทรายขา้ วเปลือก ชาวบา้ นหรือผทู้ ่ีมีจติ ศรทั ธาจะนำข้าวเปลือกที่เกีย่ วและนวดใหม่แล้ว
อย่างดีจากนาของตัวเอง นำมาเทกองรวมกนั ภายในวดั
7
ภาพท่ี 2
บรรยากาศภายในงานประเพณีกอ่ พระทรายข้าวเปลอื ก
ภาพที่ 3 ภาพที่ 4
ก่อนจะเริ่มพิธีทำขวญั ข้าว จะตอ้ งไหว้ครูก่อนซึ่งจะมีพานที่เครอ่ื งที่เรียกวา่ “เพชรฉลกุ ณั ฑ์”
ในพานจะมี ดอกไม้ธูปเทียน เหลา้ ยาสบู และเงนิ 36 บาท และจะเตรียมผา้ 3 สี ไว้ให้พระแมโ่ พสพ
ไวผ้ ลดั เปล่ยี นขณะประกอบพิธี
8
ภาพท่ี 5
โดยชาวบ้านจะนำขา้ วมาบรจิ าคใหว้ ัดโดย บางคนเปน็ กระสอบ บางคนเปน็ กโิ ลตามศรัทธา
และจะนำข้าวมากรอกใสถ่ ุงไว้เพื่อให้ผทู้ ไี่ ม่มีนาอยากทำบุญถวายข้าวใหว้ ดั
ภาพท่ี 5
เม่อื ถึงฤกษ์ นายไพฑลู จันทร์เทีย่ ง ไวยาวัจกรวัดทงุ่ สะเดยี ง จะทำพธิ ีไหว้ครกู ่อนจะสขู่ วัญพระแมโ่ พสพ
9
ภาพที่ 5
ก่อนเร่ิมพธิ ีจะนำรปู พระแมโ่ พสพมาปกั ไว้ท่กี องเจดยี ข์ ้าวเปลือก
ภาพท่ี 6
เมอ่ื เรมิ่ พธิ จี ะมีการเร่ิมแหลเ่ ก่ียวกับพระพทุ ธเจา้ กำเนิด แหลเ่ กย่ี วกับพระแม่โพสพ
ภาพท่ี 7
ขณะดำเนนิ พิธีจะให้ประธานในพิธี 3 คน นำธูปไปปกั ท่ีกองข้าว เพอื่ ขอขมาพระแมโ่ พสพ และเปน็ สิรมิ งคล
กอ่ นอัญเชิญพระแม่โพสพมาประทบั ที่กองเจดยี ข์ า้ ว
10
ภาพที่ 8
เมอื่ อัญเชญิ พระแมโ่ พสมาประทบั แล้ว จะทำการเปดิ บายศรีเพอ่ื เรียกขวญั และให้ทา่ นได้เฉยชมบายศรี
รบั ของพิธที น่ี ำมาถวาย ตามความเชอื่ ของชาวบ้านวดั ทงุ่ สะเดยี ง
ภาพท่ี 9
โดยผ้ทู ำพธิ ีจะนำเทียนวนบายศรี 3 รอบ พรอ้ มแหล่เรียกขวญั
ภาพท่ี 10
และนำใหช้ าวบา้ นท่มี ารว่ มพิธวี นรอบนอกเจดีย์ข้าว 3 รอบ เพื่อขอขมาพระแมโ่ พสพและเป็นมิ่งขวัญสริ ิมงคล
11
ภาพที่ 11
ผู้ทำพิธจี ะนำดอกไม้และนำมนต์ โปรยไปทกี่ องขา้ วและผู้ที่ร่วมงานทุกท่าน ถือวา่ เปน็ อันเสร็จพิธี
ภาพท่ี 12
โดยขณะทำพธิ ที ำขวัญขา้ วจะบรรเลงดว้ ยวงปพ่ี าทย์มอญ คณะบญุ เสริม เพ่ิมพูนศิลป์
15/1 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองเพชรบรู ณ์
ภาพท่ี 13
หลกั จากเสรจ็ พธิ ีทำขวัญขา้ ว จะมพี ธิ เี จริญพระพทุ ธมนต์เย็น ณ วดั ทุง่ สะเดียง
12
ภาพที่ 14
หลังจากเสร็จสิน้ พิธีตา่ ง ๆ จะมรี ำวงย้อนยุคเพ่ือฉลองประเพณเี จดีย์ขา้ วเปลอื ก
ภาพที่ 15
เม่อื ทำขวญั เสร็จ วันตอ่ มาจะมีการทำบุญใส่บาตร ขา้ วสารอาหารแหง้ ถวายภตั ตาหารเช้าแด่พระภกิ ษุสงฆ์
และพธิ ถี วายข้าวเปลือก ให้แกว่ ัดท่งุ สะเดียง
12. ข้ออมลู ภาพถา่ ย ขอ้ มลู ภาพเคล่ือนไหว หรือข้อมลู เสียง (ระบปุ ระเภทของสื่อที่แนบไฟล์มาพร้อมคำอธบิ าย)
ขอ้ มูลภาพถา่ ย ได้แก่ 15 ภาพ
ขอ้ มูลภาพเคล่อื นไหว
ข้อมลู เสยี ง
13. ข้อมูลผสู้ ำรวจและจดั เก็บ
ชอ่ื – สกุล นางสาวณฐั ธยาน์ กางถิ่น
หน่วยงาน สภาวัฒนธรรมจงั หวัดเพชรบูรณ์
เลขท่ี 999 อาคาร 2 ชัน้ 4 ตำบลสะเดยี ง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์
จังหวดั เพชรบรู ณ์ 67000
โทรศัพท์ 096 179 3686
อเี มล์ [email protected]