Wetlands เอกสารประกอบการเรียนรู้
ความหมาย องค์ประกอบ ประโยชน์ คุณค่า 01 ของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้้า
ค้าจ้ากัดความของพื้นที่ชุ่มน้้าตามอนุสัญญาแรมซาร์คือ “ที่ลุ่ม ที่ราบลุ่ม ที่ลุ่มชื้นแฉะ พรุ แหล่งน้้าที่เกิดเองตามธรรมชาติและที่ มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่มีน้้าขังหรือท่วมอยู่ถาวร และชั่วครั้งชั่วคราวทั้งที่ เป็นแหล่งน้้านิ่งและน้้าไหล ทั้งที่เป็นน้้าจืด น้้ากร่อย และน้้าเค็ม รวมไป ถึงที่ชายฝั่งทะเล และที่ในทะเลในบริเวณซึ่งเมื่อน้้าลดลงต่้าสุด มีความ ลึกของระดับน้้าไม่เกิน 6 เมตร” ค้าจ้ากัดความของพื้นที่ชุ่มน้้า
1 ส่วนประกอบที่ไม่มีชีวิต องค์ประกอบของพื้นที่ชุ่มน้้า ( abiotic component ) 1.อนินทรีย์สาร เป็นสารที่ได้จากธรรมชาติและเป็นส่วนประกอบที่เป็นแร่ธาตุพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเพื่อสร้างเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ เช่น ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน น้้า ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปสารละลาย สิ่งมีชีวิตสามารถน้าไปใช้ทันที 2.อินทรีย์สาร เป็นสารที่ได้จากสิ่งมีชีวิต เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ฮิวมัส เป็นต้น เกิดจากการเน่าเปื่อยผุพังของสิ่งมีชีวิต โดยการ ย่อยสลายของจุลินทรีย์ท้าให้เป็นธาตุอาหารของพืชอีกครั้ง 3.สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น แสงสว่าง อุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรด-เบส ความเค็ม เป็นต้น สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ท้าให้การด้ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศนั้นแตกต่างกันออกไป 2 ส่วนประกอบที่มีชีวิต ( biotic component ) ได้แก่ พืช สัตว์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ซึ่ง ช่วยให้ระบบนิเวศท้างานได้อย่างเป็นปกติ โดย แบ่งอออกตามบทบาทหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต ได้เป็น 3 ประเภท คือ ส่วนประกอบในระบบนิเวศที่ไม่มีชีวิต เป็น ส่วนส้าคัญที่ท้าให้เกิดความสมดุลของระบบนิเวศ ขึ้นมาโดยมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับการ ด้ารงอยู่ของสิ่งมีชีวิต แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1. ผู้ผลิต ( producer ) คือ สิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารเองได้โดยการสังเคราะห์แสง ได้แก่ สาหร่ายเซลล์เดียว แพลงก์ตอนพืช และแบคทีเรียบางชนิด ผู้ผลิตมีความส้าคัญมากเพราะเป็น จุดเริ่มต้นที่เชื่อมต่อระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในระบบนิเวศ 2. ผู้บริโภค ( consumer ) คือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารขึ้นเองได้ แต่ได้รับธาตุอาหารจากการกินสิ่งมีชีวิตอื่นอีกทอดหนึ่ง พลังงานและแร่ธาตุจากอาหารที่สิ่งมีชีวิตกิน จะถูกถ่ายทอด สู่ผู้บริโภคซึ่งแบ่งตามล้าดับของการกินอาหารได้ ได้แก่ ผู้บริโภคปฐมภูมิ ( primary consumers ) ผู้บริโภคทุติยภูมิ ( secondary consumers ) และผู้บริโภคตติยภูมิ ( tertiary consumers ) 3. ผู้ย่อยสลาย (decomposer) คือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ แต่อาศัยอาหารจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น โดยการสร้างน้้าย่อย ออกมาย่อยสลายแร่ธาตุต่างๆในส่วนประกอบของ ซากสิ่งมีชีวิตให้เป็นสารโมเลกุลเล็กๆ แล้วจึงดูดซึมอาหารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปใช้ เช่น แบคทีเรีย เห็ด รา เป็นต้น
คุณประโยชน์ของพื้นที่ชุ่มน้้า คือ การเป็นแหล่งน้้า แหล่งเก็บกักน้้าฝน และน้้าท่า ป้องกันน้้าเค็มมิให้รุกเข้ามาในแผ่นดิน ป้องกันชายฝั่งพังทลาย ดักจับ สารพิษ ดักจับตะกอนและแร่ธาตุเป็นแหล่งทรัพยากรและผลผลิตธรรมชาติ ที่มนุษย์ สามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวใช้ประโยชน์ได้ มีความส้าคัญต่อการคมนาคมในท้องถิ่น รวมถึงการเป็นแหล่งรวมสายพันธุ์พืชและสัตว์ อันมีความส้าคัญทางนิเวศวิทยา และ การอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งของผู้ผลิตที่ส้าคัญในห่วงโซ่อาหาร นอกจากนี้บางแห่งยังมีความส้าคัญด้านนันทนาการและการท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ประเพณี และเป็นแหล่งศึกษาวิจัยทางธรรมชาติวิทยาอีกด้วย คุณประโยชน์ของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้้า
อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้้า 02หรือ อนุสัญญาแรมซาร์(Ramsar Convention)
อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้้า หรือ อนุสัญญาแรมซาร์(Ramsar Convention) อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกน้้าหรืออนุสัญญา แรมซาร์(Ramsar Convention) โดยชื่ออนุสัญญาตั้งตามชื่อเมืองแรมซาร์ประเทศซึ่งเป็นสถานที่ที่จัดให้มีการประชุมเพื่อรับรอง อนุสัญญาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) อนุสัญญานี้เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาล ซึ่งก้าหนดกรอบการท้างานส้าหรับความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อการ อนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์และยับยั้ง การสูญเสียของพื้นที่ชุ่มน้้าในโลกซึ่งจะต้องมีการ จัดการเพื่อใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด อนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้เมื่อปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) ตามเงื่อนไขว่าอนุสัญญาฯ และ เพื่อให้เกิดความตระหนักถึงคุณค่าและความส้าคัญของพื้นที่ชุ่มน้้า จึงได้ก้าหนดให้ทุกวันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น วันพื้นที่ชุ่มน้้าโลก (World Wetlands Day)
ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาแรมซาร์เป็นล้าดับที่ 110 โดยมีพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญระหว่างประเทศ (Ramsar Site) แห่งแรกของประเทศไทย คือ พรุควนขี้ เสียนในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยมีพื้นที่ประมาณ 3,085 ไร่ เป็นล้าดับที่ 948 ในทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญระหว่างประเทศของอนุสัญญาแรมซาร์ปัจจุบันประเทศไทยมีแรม ซาร์ไซต์รวม 15 โดยอยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ เช่น อุทยานแห่งชาติ เขตห้ามล่าสัตว์ป่า จ้านวน 9 แห่ง และอยู่ในพื้นที่ชุมชนและ/หรือที่สาธารณะ รวม 6 แห่ง ข้อมูล : http://wetlands.onep.go.th/convention/ramsar พรุควนขี้เสียน ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จ.พัทลุง การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้้าหรืออนุสัญญาแรมซาร์ของประเทศไทย
พื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญระหว่างประเทศ (Ramsar Sites) 15 แห่งของประเทศไทย ที่ ล้าดับที่ ของอนุสัญญา วันที่ขึ้นทะเบียน ชื่อพื้นที่ชุ่มน้้า 1 943 13 กันยายน 2541 พรุควนขี้เสี้ยน ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง 2 1098 5 กรกฎาคม 2544 พื้นที่ชุ่มน้้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ 3 1099 5 กรกฎาคม 2544 พื้นที่ชุ่มน้้าดอนหอยหลอด จังหวัดสมุทรสงคราม 4 1100 5 กรกฎาคม 2544 พื้นที่ชุ่มน้้าปากแม่น้้ากระบี่ จังหวัดกระบี่ 5 1101 5 กรกฎาคม 2544 พื้นที่ชุ่มน้้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย จังหวัดเชียงราย 6 1102 5 กรกฎาคม 2544 พื้นที่ชุ่มน้้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ (พรุโต๊ะแดง) จังหวัดนราธิวาส 7 1182 14 สิงหาคม 2545 พื้นที่ชุ่มน้้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-หมู่เกาะลิบง-ปากน้้าตรัง จังหวัดตรัง 8 1183 14 สิงหาคม 2545 พื้นที่ชุ่มน้้าอุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากแม่น้้ากระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ จังหวัดระนอง 9 1184 14 สิงหาคม 2545 พื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฏร์ธานี 10 1185 14 สิงหาคม 2545 พื้นที่ชุ่มน้้าอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา 11 2238 14 มกราคม 2551 พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 12 1926 19 มิถุนายน 2552 พื้นที่ชุ่มน้้ากุดทิง จังหวัดบึงกาฬ 13 2152 12 สิงหาคม 2556 พื้นที่ชุ่มน้้าเกาะกระ จังหวัดนครศรีธรรมราช 14 2153 12 สิงหาคม 2556 พื้นที่ชุ่มน้้าเกาะระ เกาะพระทอง จังหวัดพังงา 15 2420 15 พฤษภาคม 2563 พื้นที่ชุ่มน้้าแม่น้้าสงครามตอนล่าง จังหวัดนครพนม
ลักษณะทางกายภาพ 03 และประเภทของพื้นที่ชุ่มน้้า
ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ชุ่มน้้า 2. พื้นที่ชุ่มน้้าที่เกิดขึ้นจาก มนุษย์สร้างขึ้น 1. พื้นที่ชุ่มน้้าที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ
ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ชุ่มน้้า พื้นที่ชุ่มน้้าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ครอบคลุมถึงแหล่งน้้าเกือบทุกประเภท ได้แก่ ห้วย หนอง คลอง บึง บ่อ กระพัง ( สระพัง ) บาราย แม่น้้า ล้าธาร แคว ละหาน ชายคลอง ฝั่งน้้า สบน้้า สระ ทะเลวาบ แอ่ง ลุ่ม กุด ทุ่ง กว๊าน มาบ บุ่ง ทาม พรุ สนุ่น แก่ง น้้าตก หาดหิน หาดกรวด หาดทราย หาดโคลน หาดเลน ชายทะเล ชายฝั่งทะเล พืดหินปะการัง แหล่งหญ้าทะเล แหล่งสาหร่ายทะเล คุ้ง อ่าว ดินดอน สามเหลี่ยม ช่องแคบ ตะกาด หนองน้้า กร่อย ป่าพรุ ป่าเลน ป่าชายเลน ป่าโกงกาง ป่าจาก ป่าแสม
ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ชุ่มน้้า คือพื้นที่ชุ่มน้้าที่มนุษย์สร้างขึ้น สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อจงใจให้ เป็นที่ส้าหรับรองรับน้้าท่วมฉับพลัน หรือท้าให้น้้าโสโครกสะอาดขึ้น ส่งเสริมให้เกิดที่ พักพิงและที่อยู่อาศัยของสัตว์ และอาจเพื่อประโยชน์ด้านการหย่อนใจ เพื่อการเกษตร ตัวอย่างพื้นที่ชุ่มน้้าที่เกิดจากมนุษย์สร้างขึ้น เช่น นาข้าว นากุ้ง นาเกลือ บ่อปลา เขื่อน อ่างเก็บน้้า แก้มลิง เป็นต้น
ประเภทของพื้นที่ชุ่มน้้า พื้นที่ชุ่มน้้าทั่วโลกเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด อาจแบ่งออกตามลักษณะของถิ่นที่อยู่อาศัย (Habitat) ได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ พื้นที่ชุ่มน้้าชายฝั่งทะเล (Marine and Coastal Wetlands) และพื้นที่ชุ่มน้้าในแผ่นดิน (Inland Wetlands) 1.1 ทะเล ( Marine ) หรือชายฝั่ง ทะเล ได้แก่ ร่องน้้าถาวรที่มีความลึกน้อย กว่า 6 เมตร เมื่อน้้าลงรวมทั้งอ่าวและ ช่องแคบ แหล่งหญ้าทะเล ทุ่งหญ้าทะเล เขตร้อน ปะการังชายฝั่ง หาดหิน หาดเลน หาดทราย ป่าชายเลน และป่าแนวก้าบัง ลมชายฝั่ง เป็นต้น พื้นที่ชุ่มน้้าชายฝั่งทะเล (Marine and Coastal Wetlands) 1 1.3 ทะเลสาบ ( Lagoonal ) ทะเลสาบน้้ากร่อยถึงน้้าเค็มที่มีร่องน้้า ติดต่อกับทะเล 1.2 ชวากทะเล ( Estuarine) ได้แก่ บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้้า ป่า ชุ่ ม น้้า ป่ าช า ย เล น ป่า จ า ก หาดโคลน หาดเลน เป็นต้น 1.4 น้้าเกลือ ( เกิดจากน้้าแห้งเอง ) ทะเลสาบ หนองบึง ที่น้้าอาจเค็มหรือกร่อยตลอดปี หรือเป็นบางฤดูกาล
ประเภทของพื้นที่ชุ่มน้้า 2.1 บริเวณแม่น้้า 2.1.1 มีน้้าตลอดปี ได้แก่ แม่น้้า ล้าธาร น้้าตก ที่มีน้้าตลอดปี บริเวณปากแม่น้้าในแผ่นดิน 2.1.2 มีน้้าชั่วคราว ได้แก่ แม่น้้าล้าธารที่ไหล ตามฤดูการและแน่นอน ที่ราบริมแม่น้้าที่ถูกน้้าท่วม และ ทุ่งหญ้าที่น้้าท่วมตามฤดูกาล พื้นที่ชุ่มน้้าในแผ่นดิน (Inland Wetlands) 2 2.3 บริเวณหนองบึง ( Palustime : Marshes/swamps ) ได้แก่ หนองบึงน้้าจืด พรุน้้าจืด ที่ดินพรุเป็นกรด ป่าพรุน้้าจืด ป่า บนที่พรุ เป็นต้น 2.2 บริเวณทะเลสาบ ( Lacustrine ) ทั้งทะเลสาบแบบถาวร และทะเลสาบน้้าจืดที่ เกิดขึ้นตามฤดูกาล 2.4 พื้นที่ชุ่มน้้าที่เกิดจากการกระท้าของมนุษย์ หรือแหล่งน้้า ที่มนุษย์สร้างขึ้น - เพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้้า ได้แก่ บ่อเลี้ยงกุ้ง บ่อเลี้ยงปลา - เพื่อการเกษตร ได้แก่ บ่อกักเก็บน้้าต่าง ๆ ในฟาร์ม คูส่งน้้า ต่าง ๆ ในนาข้าว คลอง คูน้้า พื้นที่การเกษตรที่น้้าท่วมถึงใน บางฤดูกาล -การท้านาเกลือ - เขตเมืองและอุตสาหกรรม เช่น เหมืองแร่ บ่อแร่ อุโมงค์ - พื้นที่กักเก็บน้้า เช่น อ่างเก็บน้้า เขื่อน
พืชที่พบในระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้้า 04
พืชในระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้้า พืชพรรณที่พบในระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้้า ได้แก่ พรรณไม้น ้ำหรือพืชน ้ำ(aquatic plant, aquatic weed, water plant) หมายถึงพืชที่เจริญเติบโต อยู่ในน้้าหรือมีช่วงชีวิตหนึ่งที่เจริญอยู่ในน้้า ซึ่งอาจจมอยู่ใต้น้้าทั้งหมดหรือโผล่บางส่วนขึ้นสู่บริเวณผิวน้้า ลอยอยู่ที่ผิวน้้าหรือเจริญเติบโตบริเวณริมฝั่ง รวมถึงพืชที่ เจริญเติบโตในบริเวณที่มีน้้าขัง พื้นที่ชื้นแฉะทั้งในน้้าจืด น้้ากร่อย และน้้าเค็ม โดยจัดจ้าแนกตามลักษณะและรูปแบบการเจริญเติบโตในแหล่งน้้าตามธรรมชาติ ได้แก่ 1 2 3 4 พืชลอยน้้า (floating plant) พืชใบลอยน้้ารากติดดินและพืชโผล่เหนือน้้า (emerged plant) พืชใต้น้้า (submerged plant) พืชชายน้้าหรือพืชริมน้้า (merginal plant)
1 พืชลอยน้้า (floating plant) หมายถึง พืชที่มีการเจริญเติบโตและลอยอยู่ที่ผิวน้้า โดยมี ส่วนของรากเจริญอยู่ใต้น้้า ล้าต้น ใบ ดอก ชูขึ้นเหนือระดับน้้าหรือเจริญอยู่ที่ ระดับน้้า ลอยไปมาได้อย่างอิสระ กรณีเจริญอยู่บริเวณที่น้้าตื้นส่วนรากอาจจะยึดติดกับพื้นดินใต้น้้าได้ มีลักษณะดังนี้ ใบ ล้าต้น ราก ผิวในด้านบนเคลือบด้วยคิวติน ใบซ้อนกันเป็นรูปถ้วย ปาก ใบอยู่ด้านบนเพื่อคายน้้าและสัมผัสอากาศ เนื้อเยื่อมีช่องว่าง ภายในกว้างช่วยการลอยตัว ล้าต้นมักโปร่ง มีลักษณะเป็นท่อหรือล้าต้นกลวงจะแตก แขนงได้มกาเพื่อช่วยในการลอยตัว รากออกได้ทั่วล้า ต้นช่วยในการแพร่พันธุ์ รากมีลักษณะเป็นฝอยแขวนลอยอยู่ใต้น้้า ถ้าระดับน้้าตื้น อาจหยั่งลงพื้นดินได้ บางชนิดมีรากอากาศที่เปลี่ยนแปลง ไปเป็นนวมช่วยพยุงตัวให้ลอยน้้าได้ เช่น กระเฉด ตัวอย่างพืชลอยน้้า ผักตบชวา กระเฉด กระจับ ผักบุ้ง แหน จอก
2 พืชใบลอยน้้ารากติดดินและพืชโผล่เหนือน้้า (emerged plant) หมายถึง พืชที่มีการเจริญเติบโตอยู่ในน้้าบางส่วน มีล้าต้นเจริญเติบโตใต้น้้า ส่วนรากจะยึดติดกับพื้นดินที่อยู่ใต้น้้าได้ดี มีส่วนใบและดอก เจริญที่ผิวน้้าหรือเหนือน้้า ล้าต้นมีลักษณะแข็งแรงกว่าพืชใต้น้้า มีลักษณะเด่นดังนี้ ใบ ล้าต้น ราก ใบเหนือน้้าจะมีขนาดใหญ่และแข็งแรง ใบใต้ผิวน้้าด้านบน จะมีสารคิวตินเคลือบ พบปากใบที่ผิวใบด้านบนมากกว่า ด้านล่าง อาจมีล้าต้นเป็นแท่งอยู่ใต้ดิน หรือล้าต้นตั้งตรงอยู่เหนือ พื้นดิน รากมีลักษณะเป็นแขนงและมีรากอ่อนมากเพื่อท้าหน้าที่ใน การดูดซึมน้้าและแร่ธาตุอาหารต่างๆ ตัวอย่างพืชใบลอยน้้ารากติดดินและพืชโผล่เหนือน้้า บัวหลวง บัวสาย ตับเต่านา / ตับเต่าน้้า แว่นแก้ว บัวบก
3 พืชใต้น้้า(submerged plant) หมายถึง พืชที่มีการเจริญเติบโตอยู่ใต้น้้าทั้งหมด ส่วนของราก ล้าต้น ใบ จมอยู่ใต้น้้า รากอาจมีการยึดเกาะกับพื้นดินที่อยู่ใต้น้้าหรือไม่ก็ได้ มีลักษณะเด่นดังนี้ ใบ ล้าต้น ราก เนื้อใยใบมีช่องเก็บอากาศช่วยในการพยุงตัว ผิวใบไม่มีสารคิว ตินเคลือบ เพื่อให้ก๊าซและอาหารเข้าออกปากใบได้สะดวก ใบ มักอ่อน เปราะ มีรูปร่างหลายแบบ ต้นมีช่องว่างมากเพื่อสะสมก๊าซและช่วยใน การพยุงตัวในน้้า ใช้ในกระบวนการหายใจ และสังเคราะห์แสง รากจะมีขนาดยาวช่วยในการยึดเกาะ รากขนาดเล็กมักไม่พบรากแขนง และรากขนอ่อน เนื่องจากการดูดซึมอาหารและแร่ธาตุเกิดขึ้นน้้าเท่านั้น พืชใต้น้้าบางชนิดที่ลอยอิสระอาจไม่มีรากเลยก็ได้ เช่น สาหร่ายพุงชะโด ตัวอย่างพืชใต้น้้า สันตะวาใบพาย สาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายพุงชะโด สาหร่ายข้าวเหนียว สาหร่ายไฟ
4 พืชชายน้้าหรือพืชริมน้้า(merginal plant) หมายถึง พืชที่มีการเจริญเติบโตอยู่ตามริมตลิ่งหรือหนองน้้าที่มีน้้าท่วมขังตื้นๆ ส่วนของรากเจริญอยู่ในดิน ชูส่วนล้าต้น ใบ และดอกขึ้นมา เหนือน้้า ในบางครั้งอาจมีลักษณะคล้ายพืชโผล่เหนือน้้าจนไม่สามารถแยกกลุ่มได้ มีลักษณะเด่นดังนี้ ใบ ล้าต้น ราก ใบ ดอก และล้าต้นบางส่วนเจริญขึ้นเหนือน้้า บางชนิดเจริญ ได้ทั้งบนบกและในน้้า เช่น จิกน้้า ผักเป็ดน้้า เจริญอยู่ในพื้นดิน ยึดติดกับพื้นดินใต้ท้องน้้าระดับตื้นๆ จนถึง 1 เมตร ตัวอย่างพืชชายน้้าหรือพืชริมน้้า จิกน้้า กุ่มน้้า กก ธูปฤาษี โสน
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ 05
ลักษณะของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้้า พื้นที่ชุ่มน้้า เป็นระบบนิเวศที่ปกคลุมด้วยพื้นน้้าบางส่วนหรือทั้งหมดอย่างถาวรหรือในช่วงเวลาหนึ่ง จึงมีลักษณะก้้ากึ่งกันระหว่างระ บบนิเวศบกและ ระบบนิเวศน้้า พื้นที่ชุ่มน้้าส่วนมากจะเป็นพื้นที่บริเวณรอยต่อระหว่างระบบนิเวศบกและระบบนิเวศน้้า เช่น ป่าชายเลน ป่าพรุ ที่มีน้้าขังอยู่ชั่วคราวหรือเป็นระยะๆ พื้นที่ชุ่มน้้าจึงเป็นระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุด เป็นแหล่งที่มีความหลากหลายของพืชและสัตว์นานาชนิดที่อาศัยทรัพยากรน้้าและทรัพยากร ชีวภาพที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการด้ารงชีวิต
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ระบบนิเวศ (ecosystem) เป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ กับบริเวณแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ด้ารงอยู่ ระบบนิเวศหนึ่ง ๆ นั้น ประกอบด้วยบริเวณที่สิ่งมีชีวิตด้ารงอยู่และกลุ่มประชากรที่มีชีวิตอยู่ในบริเวณดังกล่าว พืชและโดยเฉพาะสัตว์ต่าง ๆ ก็ต้องการบริเวณที่อยู่อาศัยที่มีขนาดอย่างน้อยที่สุดที่เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อว่าการมีชีวิตอยู่รอดต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบ นิเวศแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน 2. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างชีวิตกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน การที่สิ่งมีชีวิตด้ารงชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นฝูง มีความสัมพันธ์ ทั้งในด้านบวกและลบ ผลดีคือ การอยู่ ร่วมกันเป็นฝูง จะท้าให้มีการปกป้องอันตรายให้กัน มีการขยายพันธุ์ได้รวดเร็วขึ้น มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ เป็นผู้น้า ฝูง ขณะเดียวกันก็มีผลในทางลบ เพราะ การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มและด้ารงชีวิตแบบเดียวกันนั้น ก่อให้เกิดการแก่งแย่งแข่งขัน และเกิด ความหนาแน่นของประชากรมากเกินไปได้
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกัน สิ่งมีชีวิตต่างชนิดมีกระบวนการด้ารงชีวิตที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตแตกต่างกันเป็นความสัมพันธ์เป็น ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในลักษณะต่างๆ สรุปได้ดังนี้ การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด เป็นการอยู่ร่วมกันที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์ โดยไม่มีฝ่ายใดเสียประโยชน์เลย ได้แก่ 1.1 ภำวะพึ่งพำ ( Mutualism : +,+) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด โดยต่างก็ได้รับประโยชน์ ซึ่งกันและกัน หากแยกกันอยู่จะไม่สามารถด้ารงชีวิตต่อไปได้ เช่น - ไลเคนส์( Lichens) (สาหร่ายอยู่ร่วมกับรา) - โพรโทซัวในล้าไส้ปลวก - แบคทีเรียในล้าไส้ใหญ่ของมนุษย์ - สาหร่ายสีเขียวแกมน้้าเงินในแหนแดง ไลเคนส์ สาหร่ายสีเขียวแกมน้้าเงินในแหนแดง 1
1.2 ภำวะได้รับประโยชน์ร่วมกัน ( Protocooperation : +,+) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด โดยต่างก็ได้รับประโยชน์ ซึ่งกันและกัน แม้แยกกันอยู่ก็สามารถด้ารงชีวิตต่อไปได้ เช่น - แมลงกับดอกไม้ - ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล - มดด้ากับเพลี้ย - นกเอี้ยงกับควาย 1.3 ภำวะอิงอำศัยหรือเกื อกูล (Commensalism : +,0) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป โดยฝ่ายหนึ่ง ได้รับประโยชน์เรียกว่าตัวอิงอาศัย (Commensal) แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้แต่ก็ ไม่เสียประโยชน์ เรียกว่า ตัวให้อาศัย (host) เช่น - เพรียงหินเกาะอยู่บนเปลือก กระดอง หรือบนตัวของสัตว์ทะเล - ปลาฉลามกับเหาฉลาม - นก ต่อ แตน ผึ้ง ท้ารังบนต้นไม้
ภาวะตรงข้าม หรือ สภาวะปฏิปักษ์(Antagonism) คือ ภาวะการอยู่ร่วมของสิ่งมีชีวิต โดยที่ฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเสียประโยชน์ ได้แก่ 2.1 ภำวะล่ำเหยื่อ (Predation : +,-) เป็นความสัมพันธ์โดยมีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ล่า (predator) และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเหยื่อ (prey) หรือ เป็นอาหารของอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น งูกับกบ นกกับปลา นกยางกับปลา 2.2 ภำวะปรสิต (Parasitesm : +,-) เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่มีฝ่ายหนึ่งเป็น ผู้เบียดเบียน เรียกว่าปรสิต (parasite) และอีกฝ่าย หนึ่งเป็นเจ้าของบ้าน (host) เช่น ต้นฝอยทองที่ ขึ้นอยู่บนต้นไม้ใหญ่ หมัด เห็บ ไร พยาธิต่างๆ ที่ อาศัยอยู่กับร่างกายคนและสัตว์ ต้นฝอยทองกับต้นไม้ใหญ่ 2
2.3 ภำวะมีกำรหลั่งสำรห้ำมกำรเจริญ (Antibiosis : 0,-) เป็นการอยู่ร่วมกันระหว่างสิ่งมีชีวิต ที่ฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับ ประโยชน์แต่อีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ ซึ่งเกิดจากสิ่งมีชีวิตที่สกัด สารที่มีผลต่อการด้ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น สารดังกล่าว เรียกว่า “สารปฏิชีวนะ หรือสารยับยั้ง” ตัวอย่าง เช่น รา Penicillium notalum สกัดสารเพนนิซิลลิน (Penicillin)ออก มายับ ยั้งก ารเจริญ เติบโต ของแบค ทีเรีย Sclerotium s.p. 2.4 ภำวะกำรแข่งขัน (Competition : - , -) เป็นการอยู่ร่วมกันระหว่างสิ่งมีชีวิตที่ต่างฝ่ายต่างเสีย ประโยชน์อันเป็นผลมาจากการแก่งแย่งสิ่งที่ต้องการร่วมกัน ตัวอย่าง เช่น - สัตว์ที่แย่งชิงที่อยู่อาศัยหรืออาหารกัน - พืชหลายชนิดที่เจริญเติบโตในที่เดียวกัน รา Penicillium notalum การแข่งขันด้านความสูงของต้นไม้
ภาวะเป็นกลาง (Neutralism / 0,0) เป็นการอยู่ร่วมกันโดยไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบให้แก่กัน ตัวอย่าง เช่น นกกับกระต่าย แมงมุมกับวัว ผีเสื้อกับงู เป็นต้น 3 ภาวะมีการย่อยสลาย (Saprophytism / +,0) เป็นการด้ารงชีพของกลุ่มผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ เช่น เห็ด รา แบคทีเรีย และจุลินทรีย์ 4
ความหลากหลายของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีทั้งพืชและสัตว์ต่างมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จัดเป็นแหล่งอาหารที่ส้าคัญของสิ่งมีชีวิตที่เข้ามา อาศัย เช่น พืชจะสังเคราะห์แสง สร้างอาหาร และถูกกินโดยสัตว์กินพืช สัตว์กินพืชจะถูกกินโดยสัตว์อื่นที่มีขนาดใหญ่กว่า รูปแบบดังกล่าวนี้เป็นการ หมุนเวียนพลังงานในระบบ โดยเริ่มจากพลังงานแสง ถูกเปลี่ยนรูปและถ่ายทอดไปสู่ผู้บริโภคล้าดับต่างๆในระบบนิเวศ เรียกว่า ห่วงโซ่อาหาร (food chain) โดยในระบบนิเวศธรรมชาติจะมีห่วงโซ่อาหารสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนหลายห่วงโซ่ในรูปแบบที่เรียกว่า สายใยอาหาร (food web) กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีการกินกันเป็นทอดๆ ท้าให้มีการถ่ายทอดพลังงานที่สะสมในโมเลกุลของอาหารต่อเนื่องกันเหล่านี้จึงมีบทบาทแตกต่างกันไปในห่วง โซ่อาหาร โดยแบ่งเป็น ผู้ผลิต (producer) ผู้บริโภค (consumer) ผู้ย่อยสลาย (decomposer) การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้้า
ผู้ผลิต (producer) บทบาทของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ เป็นพวกที่สามารถสร้าง อาหารได้เองโดยการสังเคราะห์แสง และเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอื่น บริเวณพื้นที่ชุ่มน้้าจะมีพืชแล ะ สาหร่ายเป็นผู้ผลิตขั้นต้นในระบบ สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้จะเปลี่ยนแสงอาทิตย์ เป็นพลังงาน ตัวอย่ าง เ ช่น แ พล งก์ ตอนพื ช สาหร่ายสีเขียว สาหร่ายสีแดง สาหร่ายสีน้้าตาล หญ้าทะเล พืชชนิด ผู้บริโภค(consumer) ผู้บริโภคปฐมภูมิ/ผู้บริโภคล้าดับที่ 1 ( primary consumers ) คือพวกที่สร้างอาหารเองไม่ได้ จะกินผู้ผลิตเป็นอาหาร สิ่งมีชีวิตที่กินพืชเป็นอาหาร เรียกว่า herbivores ตัวอย่าง เช่น หอยเชอรี่ กระทิง วัว ควาย ผู้บริโภคทุติยภูมิ/ผู้บริโภคล้าดับที่ 2 ( secondary consumers ) คือพวกที่ผู้โภคล้าดับที่ 1 เป็นอาหาร สิ่งมีชีวิตที่กินสัตว์เป็นอาหาร เรียกว่า carnivores ตัวอย่าง เช่น ปลา นก หนู ผู้บริโภคตติยภูมิ/ผู้บริโภคล้าดับที่ 3 ( tertiary consumers ) คือพวกที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร เรียกว่า omnivore ตัวอย่าง เช่น คน เป็ด ไก่ ผู้ย่อยสลำย(decomposer) สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้จะย่อยสลายซาก สิ่งมีชีวิต ของเสียเป็นอาหาร สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้มี ความส้าคัญกับระบบ เนื่องจากเป็นตัวที่ท้าให้ เกิดการหมุนเวียนของสารอาหารกลับเข้าสู่ใน ระบบนิเวศใหม่อีกครั้ง ตัวอย่าง เช่น แบคทีเรีย รา เห็ด
ห่วงโซ่อำหำร (food chain) ห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหาร คือ การถ่ายทอดพลังงานโดยการกินต่อกันเป็นทอดๆจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคล้าดับที่1ผู้บริโภคล้าดับที่2 ผู้บริโภคล้าดับสุดท้าย รวมทั้งผู้ย่อยอินทรีย์สาร โดยห่วงโซ่อาหารนี้ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะกินสิ่งมีชีวิตเดียวเป็นอาหาร ตัวอย่างห่วงโซ่อาหาร แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ ตัวอ่อนแมลงน้้า ลูกปลา ปลาใหญ่ คน
สำยใยอำหำร (food web) คือการถ่ายทอดพลังงานโดยสิ่งมีชีวิตหลายๆ ห่วงโซ่อาหารที่มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันโดยสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดอาจเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตหลายๆ ชนิดก็ได้ และสิ่งมีชีวิตเดียว อาจกินสิ่งมีชีวิตได้หลายชนิดก็เป็นได้ ตัวอย่างสายใยอาหาร แพลงก์ตอนพืช ปลา นก แพลงก์ตอนสัตว์ กบ กุ้ง สาหร่าย ตัวอ่อนแมลง แหน หอยขม
ในสภาพแวดล้อมหนึ่งๆ พบว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปอาจท้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มสิ่งมีชีวิตเกิด ขึ้น กลุ่มสิ่งมีชีวิตเดิมที่เคยพบอาจ สูญหายไปกลายเป็นอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นมาแทน ที่ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของระบบนิเวศ ( ecological succession ) ซึ่งการ เปลี่ยนแปลงแทนที่ในสภาพแวดล้อมธรรมชาตินี้จะมี 2 ลักษณะคือ การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบปฐมภูมิ (primary succession) เริ่มจากบริเวณที่ปราศจากสิ่งมีชีวิตมาก่อน เช่น การเปลี่ยนแปลงแทนที่ที่เกิดบนก้อนหินหรือหน้าดินที่เปิดขึ้นใหม่ สิ่งมีชีวิตพวกไลเคน มอส ลิเวอร์ เวิร์ต เจริญขึ้งเป็นกลุ่มแรก สิ่งมีชีวิตพวกแรกตายทับถมเป็นชั้นดินบาง ๆ สิ่งมีชีวิตกลุ่มที่ 2 พวก หญ้า วัชพืชเกิดขึ้นมาและตายทับถมเป็นชั้นดินที่หนาขึ้นความอุดม สมบูรณ์ของดินท้าให้เกิดไม้ล้มลุก ไม้พุ่ม และป่าไม้ในที่สุด กลายเป็นสังคมสมบูรณ์ และมีความสมดุล การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ใช้เวลานานมาก อย่างน้อยหลายสิบปี การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบปฐมภูมิอาจเกิดจากการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมหนึ่งไปเป็น อีก สภาพแวดล้อมหนึ่ง เช่น การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบปฐมภูมิในสระน้้าจนกลายเป็นพื้นดิน การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบทุติยภูมิ (secondary succession ) เกิดจากกลุ่มสิ่งมีชีวิตเดิมถูกท้าลาย แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตบางชนิดและสารอินทรีย์ที่สิ่งมีชีวิตต้องการเหลืออยู่ เช่น การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในบริเวณที่ถูกไฟ ไหม้ บริเวณที่ถูกหักล้างถางพง ท้าไร่เลื่อนลอยแล้วปล่อยให้รกร้าง ป่าที่ถูกตัดโค่น สังคมสิ่งมีชีวิตนี้จะรักษาสภาพเช่นนี้ต่อไป ถ้าไม่มีสิ่งรบกวน กระบวนการแทนที่จะ เกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงขั้นสุดท้ายของกลุ่มสิ่งมีชีวิต การเปลี่ยนแปลงแทนที่นี้ใช้เวลาน้อยกว่าแบบปฐมภูมิ การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของระบบนิเวศ
การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในแหล่งน้้า (Hydrosere) เป็นการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้้าที่ตื้นเขินจนกลายเป็นระบบนิเวศบนบก มีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ ขั้นแรก บริเวณพื้นก้นสระ หรือหนองน้้านั้น มีแต่พื้นทราย สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นเบื้องต้นก็คือ สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ล่องลอยอยู่ในน้้า เช่น แพลงก์ตอน สาหร่ายเซลล์เดียว ตัวอ่อนของแมลงบางชนิด ขั้นที่ 2 เกิดการสะสมสารอินทรีย์ขึ้นที่บริเวณพื้นก้นสระ จากนั้นก็จะเริ่มเกิดพืชใต้น้้าประเภทสาหร่าย และสัตว์เล็กๆ ที่อาศัยอยู่บริเวณที่มีพืชใต้น้้า เช่น พวกปลากินพืช หอยและตัวอ่อนของแมลง ขั้นที่ 3 ที่พื้นก้นสระมีอินทรียสารทับถมเพิ่มมากขึ้น อันเกิดจากการตายของสาหร่าย เมื่อมีธาตุอาหารมากขึ้น ที่พื้นก้นสระก็จะเกิดพืชมีใบโผล่พ้นน้้าเกิดขึ้น เช่น กก พง อ้อ เตยน้้า แล้วจากนั้นก็จะเกิด มีสัตว์จ้าพวก หอยโข่ง กบ เขียด กุ้ง หนอน ไส้เดือน และวิวัฒนาการมาจนถึงที่มีสัตว์มากชนิดขึ้น ปริมาณออกซิเจนก็จะถูกใช้มากขึ้น สัตว์ที่อ่อนแอก็จะตายไป ขั้นที่ 4 อินทรียสารที่สะสมอยู่ที่บริเวณก้นสระจะเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่สระจะเกิดการตื้นเขินในหน้าแล้ง ในช่วงที่ตื้นเขินก็จะเกิดต้นหญ้าขึ้น สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสระจะเป็นสัตว์ประเภทสะเทินน้้าสะเทินบก ขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นชั้นชุมชนสมบูรณ์แบบ สระน้้านั้นจะตื้นเขิน จนกลายสภาพเป็นพื้นดิน ท้าให้เกิดการแทนที่ พืชบก และสัตว์บก และวิวัฒนาการจนกลายเป็นป่าไปได้ในที่สุด ซึ่งกระบวนการแทนที่ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศจะต้องใช้เวลานานมาก ในการวิวัฒนาการของการแทนที่ทุกขั้นตอน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในแหล่งน้้า
สถานการณ์ ภัยคุกคาม 06 และแนวทางการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้้า
ข้อมูลพื้นที่ชุ่มน้้าโลกในปัจจุบันพบว่า พื้นที่ชุ่มน้้าในแผ่นดินและพื้นที่ชุ่มน้้าชายฝั่งทะเลมีพื้นที่ครอบคลุมมากกว่า 12.1 ล้านตารางกิโลเมตร โดยทวีปเอเชียมีขนาดพื้นที่ชุ่มน้้ารวมมากที่สุดซึ่งเมื่อเปรียบเทียบจากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา โดยคิดเป็นร้อยละ 31.8 ของพื้นที่ชุ่มน้้าทั้งโลก สถานการณ์และภัยคุกคาม : พื้นที่ชุ่มน้้าโลก
สถานการณ์และแนวโน้มของพื้นที่ชุ่มน้้าทั่วโลกพบว่าพื้นที่ชุ่มน้้าตามธรรมชาติทั้งชายฝั่งทะเลและในแผ่นดินทั่วโลกลดลงถึง 35%(คิดเป็น 3 เท่าของอัตราการ สูญเสียป่าไม้) ส่วนพื้นที่ชุ่มน้้าที่มนุษย์สร้างขึ้นคิดเป็น 12% ของพื้นที่ชุ่มน้้าทั่วโลกและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ชนิดสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้้าทั่วโลก มีจ้านวนลดลงอย่างมาก โดยตั้งแต่ปี ค.ศ.1970 พบว่า 81%ของจ้านวนชนิดพันธุ์ที่อาศัยอยู่ใน พื้นที่ชุ่มน้้าในแผ่นดิน และ 36%ของชนิดพันธุ์ที่ อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้้าชายฝั่งทะเลถูกคุกคามท้า ให้จ้านวนประชากรลดลง คุณภาพน้้า (Water Quality) แนวโน้มคุณภาพน้้าในแม่น้้าทั้งในทวีป อเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชียส่วนใหญ่พบว่ามี คุณภาพแย่ลง มีการปนเปื้อนน้้าเสียจาก อุตสาหกรรม ปุ๋ย สารเคมีจากการเกษตร การชะ ล้างและพังทลายของดิน นอกจากนี้ขยะพลาสติก ก็เป็นปัญหาส้าคัญที่กระจายไปทั่วโลก และเป็น สาเหตุส้าคัญที่คุกคามสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในแหล่งน้้า
ในประเทศไทยพบปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุ่มน้้า ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชุ่มน้้าเพื่อใช้ประโยชน์ทางกิจกรรมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดภัยแล้ง อุทกภัย การปล่อยมลพิษสู่แหล่งน้้า การท้าเกษตรกรรมที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้สารเคมี การใช้ยาปราบศัตรูพืช เป็นต้น การท้าประมงด้วยวิธีการไม่เหมาะสม ผิดกฎหมาย และไม่ยั่งยืน สถานการณ์และภัยคุกคาม : พื้นที่ชุ่มน้้าของไทย ปัญหาภัยคุกคามพื้นที่ชุ่มน้้า ในประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้้าเนื้อที่รวมกันอย่างน้อย 36,677 ตร.กม. หรือ 22,923,125 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 7.5 ของพื้นที่ ประเทศไทย ปัจจุบันมีพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญระหว่างประเทศ(แรมซาร์ไซต์) จ้านวน 15 แห่ง มีพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญระดับ นานาชาติ จ้านวน 69 แห่ง และพื้นที่ชุ่มน้้าที่มีความส้าคัญระดับชาติ จ้านวน 47 แห่ง
ในปัจจุบันพื้นที่ชุ่มน้้าของประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต โดยมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ดังนี้ สถานการณ์พื้นที่ชุ่มน้้าจากอดีต-ปัจจุบัน พื้นที่ ช่วงปีพ.ศ. การเปลี่ยนแปลง (ร้อยละ) หมายเหตุ 2549-2552 2553-2556 2557-2561 หนองบึง (ไร่) 1,527,737 1,478,310 - -3.24 พรุ (ไร่) 689,539 470,737 - -31.73 ป่าบุ่งป่าทาม (ไร่) 4,000,000 - 150000 -96.29 ป่าชายเลน (ไร่) 1,458,174.54 1,527,761.00 1,534,584.74 +5.24* เปรียบเทียบระหว่างช่วงปี ความยาวชายฝั่ง (กิโลเมตร) 2,614 3,148 3,151 +12.54* พ.ศ. 2557-2561 กับ 2549-2552
ข้อมูล : ส้านักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.(2564).วันพื นที่ชุ่มน ้ำโลกประจ้ำปี2564.[จุลสาร]. แนวทางการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้้า หยุดการท้าลายและเริ่มการฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้้า จัดการมลพิษและฟื้นฟูแหล่งน้้าจืด เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้้าและใช้น้้าอย่างชาญฉลาด ไม่สร้างสิ่งกีดขวางและเบี่ยงเส้นทางน้้า ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ลดการใช้น้้า ส่งเสริมเกษตรกรให้เป็นผู้ดูแลพื้นที่ชุ่มน้้าและใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้้ากับ การเกษตรที่ยั่งยืน ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ลดการสร้างขยะ เพิ่มการสนับสนุนงบประมาณในการอนุรักษ์และจัดการพื้นที่ชุ่มน้้า บูรณาการการจัดการทรัพยากรน้้าร่วมกัน ทั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ
ข้อมูล : ส้านักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.(2564).วันพื นที่ชุ่มน ้ำโลกประจ้ำปี2564.[จุลสาร]. เอกสารอ้างอิง มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยส้าหรับเยาวชน . (ม.ป.ป.).ระบบนิเวศและความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับสิ่งมีชีวิต.สืบค้นจาก http://saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=17&chap=3&page=chap3.htm วันทนีย์ หมวดเมือง.(ม.ป.ป.).ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ.สืบค้นจากhttp://www.kuchinarai.ac.th/document/wanthanee/two.pdf ส้านักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(2562).รู้ไว้ใช่ว่าพื้นที่ชุ่มน้้า Wetlands.[จุลสาร]. ส้ า นั ก ง า น น โ ย บ า ย แ ล ะ แ ผ น ท รั พ ย า ก ร ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม (2 5 6 4) .วั น พื้ น ที่ ชุ่ ม น้้ า โ ล ก ป ร ะ จ้ า ปี 2 5 6 4.สื บ ค้ น จ า ก https://drive.google.com/file/d/1pqEFo2rB_doE8RPikkpBBFg3mMm7IChV/view .