สมัยกลางหรือยุคมืด
เสนอ
ผศ.ดร.วรรณพร บญุ ญาสถติ ย์
จัดทาโดย
นางสาวอารยี า สูน่าหู รหัสนักศกึ ษา 6310121228021
สาขาวิชาสงั คมศึกษา วทิ ยาลยั การฝกึ หดั ครู
รายงานเลม่ น้ีเปน็ ส่วนหน่ึงของวิชาประวัตศิ าสตร์สากล (1642314)
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
มหาวิทยาลัยราชภฏั พระนคร
ก
คำนำ
รายงานเล่มนีเ้ ปน็ สว่ นหน่ึงของรายวชิ า ประวัติศาสตร์ สากล มจี ุดประสงค์เพอื่ ศกึ ษาหาความรู้เกี่ยวกับ
เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เรื่อง สมัยกลางหรือยุคมืด ว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้างซึ่งข้อมูลที่ผู้จัดทำ
นำมาเผยแพรน่ เ้ี กยี่ วกบั ประวัตศิ าสตร์สากลอนั ยาวนานหลายร้อยปีมีเหตุการณ์มากมายทเี่ กดิ ขนึ้ ความเป็นมา
และการก่อตั้งของอาณาจักรต่างๆ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร อีกทั้งเนื้อหาเร่ิมประมาณครสิ ต์ศตวรรษที่ 4 -15 เป็น
ช่วงรอยต่อหลงั จากท่จี ักรวรรดโิ รมนั ลม่ สลาย ความเจริญหยุดลง ประดจุ ยุคมืด ประชาชนในยโุ รปต่างไม่มีท่ีพ่ึง
เจ้าผู้ครองแต่ละเมืองตัง้ ตวั เป็นใหญ่ เกิดระบบศักดินาสวามิภักดิ์ ประชาชนให้ความสำคัญกับศาสนจักรคริสต์
โรมันคาธอลคิ
ผู้จัดทำหวังว่ารายงานเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทุกท่าน ที่สนใจในประวัติศาสตร์สากลเกี่ยวกลับ
สมัยกลางหรือยคุ มืด หากมขี ้อผดิ พลาดประการใด ผู้จัดทำขออภยั ไว้ ณ ทีน่ ้ี
อารยี า สนู ่าหู
ผ้จู ดั ทำ
สารบญั ข
เรือ่ ง
คำนำ หนา้
สารบัญ ก
สารบัญภาพ ข-ค
ประวัติศาสตรส์ ากล สมยั กลางหรอื ยุคมืด ง
สมยั กลางหรือยุคมดื 1
จกั รพรรดคิ อนสแตนตินท่ี 1 บุกเข้าโรม 1
พระเจ้าคอนสแตนตินได้เหน็ นิมติ จากสวรรค์ 2
การสวมมงกุฎใหด้ ำรงตำแหน่ง จกั รวรรดโิ รมันอันศกั ดิส์ ทิ ธิ์ จากพระสันตะปาปา 2
ระบบฟวิ ดัล 3
ครสิ ตศาสนา (ศาสนจกั ร) 4-5
สงครามครเู สด 5-6
กำเนิดชาตริ ฐั (เรมิ่ ประวตั ิการก่อตง้ั เปน็ ประเทศตา่ ง ๆ ในยโุ รป) 6-7
สงครามรอ้ ยปี 8
การลม่ สลายของกรงุ คอนสแตนตโิ นเปลิ (โรมนั ตะวันออก) 8
ยุคฟ้นื ฟศู ิลปวิทยาการ 9
ขบวนการมนษุ ยน์ ยิ ม 9
ความเจริญรงุ่ เรืองในสมยั ฟนื้ ฟูศิลปวิทยาการ 10
11
เร่อื ง ค
ลกระทบของการฟื้นฟศู ิลปวทิ ยากการตอ่ พฒั นาการของยโุ รป
เหตุการณ์สำคญั ในสมยั กลางถงึ คริสต์ศตวรรษท่ี 20 หน้า
ด้านวิทยาการความเจรญิ อนื่ ๆ 12
สาเหตุของการสำรวจทางทะเล 13
ผลการสำรวจทางทะเล 14
การปฏิรูปศาสนา 15-17
การปฏวิ ัติทางวทิ ยาศาสตร์ 18-19
การปฏิวัติอตุ สาหกรรม 20-23
การปฏิวัติทางภูมิปัญญา 23-25
บุคคลสำคัญทไ่ี ดร้ บั การยกย่องวา่ เป็นผู้นำในการปฏวิ ัติทางภมู ปิ ัญญา 25-28
29
30
สารบญั ภาพ ง
ชื่อภาพ หนา้ ที่
1
ภาพท่ี 1 การลม่ สลายของจกั รวรรดโิ รมนั 2
3
ภาพท่ี 2 พระเจา้ คอนสแตนตนิ ได้เหน็ นิมติ จากสวรรค์ 4
5
ภาพที่ 3 การสวมมงกุฎให้ดำรงตำแหนง่ จักรวรรดโิ รมนั อันศกั ดิ์สิทธิ์ จากพระสนั ตะปาปา 6
7
ภาพท่ี 4 ระบบฟวิ ดัล 10
10
ภาพท่ี 5 คริสตศ์ าสนา
ภาพท่ี 6 สงครามครูเสด
ภาพท่ี 7 สงครามร้อยปี
ภาพท่ี 8 เลโอนารโ์ ด ดา วนิ ชี (Leonardo da Vinci) จติ รกรชาวอติ าลี
ภาพที่ 9 ไมเคลิ แองเจโล (Michelangelo)
1
ประวตั ิศาสตร์สากล สมยั กลางหรือยุคมดื
เริ่มประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 4 -15 เป็นช่วงรอยต่อหลังจากที่จักรวรรดิโรมันล่มสลาย ความเจริญ
หยุดลง ประดุจยุคมืด ประชาชนในยุโรปต่างไม่มีที่พึ่ง เจ้าผู้ครองแต่ละเมืองตั้งตัวเป็นใหญ่ เกิดระบบศักดินา
สวามิภักด์ิ ประชาชนใหค้ วามสำคัญกับศาสนจักรคริสตโ์ รมันคาธอลิคอย่างมาก
สมัยกลางหรอื ยุคมดื
การกระทำทุกอย่างถูกครอบงำโดยศาสนา ห้ามกระทำนอกเหนือจากคำสอนของศาสนา ไม่เช่นนั้นจะถูก
ลงโทษอย่างรุนแรง
การล่มสลายของจกั รวรรดโิ รมนั
ภาพที่ 1 การล่มสลายของจักรวรรดโิ รมนั
กอ่ นหน้าน้ี โรมในสมัยของจกั รพรรดิคอนสแตนตนิ มอี าณาเขตกวา้ งขวางมาก จนมกี ารแบง่ การปกครองเปน็
สองสว่ น คอื โรมันตะวนั ออกกับโรมันตะวนั ตก แต่แทนทจ่ี ะมีการปกครองทด่ี ขี น้ึ ท้ังสองฝงั่ กับทำสงครามกนั เอง
เพ่ือความเป็นใหญ่
2
จกั รพรรดคิ อนสแตนตนิ ท่ี 1 บกุ เขา้ โรม
จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 เป็นจักรพรรดิทางด้านตะวันออก ที่ทำสงครามชนะ สามารถบุกเข้าโรม รวม
อาณาจักรโรมันไว้เป็นหนึ่งเดียว แต่ครั้งนี้เมืองหลวงไม่ได้อยู่ที่โรมเสียแล้ว เนื่องจากว่าคอนสแตนตินเป็น
จักรพรรดิดา้ นตะวันออกก็อยากจะอยู่ทีด่ ้านตะวนั ออก คอื กรงุ คอนสแตนตโิ นเปลิ เมอื งทา่ ปากทางเข้าทะเลดำ
ซึ่งตั้งตามชื่อของเขาเอง หรืออาจเรียกว่า ไบแซนทิอุม หรือ ไบแซนไทน์ (Byzantium)ปัจจุบันคือ เมืองอิสตนั
บลุ ในประเทศตรุ กี
หมายความว่าจักรวรรดิโรมันถูกแบ่งออกเปน็ 2 ฝัง่ คือ
1. โรมันตะวันตก มเี มอื งหลวงอยู่ท่ี กรุงโรม-ประเทศอิตาลี
2. โรมนั ตะวันออก หรือถกู เรยี กอีกช่ือว่า จักรวรรดิไบแซนไทน์ มเี มอื งหลวงอยูท่ ่ี กรงุ คอนสแตนตโิ นเปิล
ภาพที่ 2 พระเจา้ คอนสแตนตนิ ได้เหน็ นิมติ จากสวรรค์
พระเจ้าคอนสแตนตนิ ได้เห็นนิมติ จากสวรรค์
ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต พระเจ้าคอนสแตนตินก็หันไปพึ่งศาสนาในขณะที่นอนป่วยอยู่บนเตียง มีเรื่อง
เลา่ วา่ เมอ่ื ครัง้ ท่ีพระเจา้ คอนแสตนตนิ จะขา้ มแม่น้ำไปยังกรุงโรมในสมัยสงครามกลางเมือง เขาได้เห็นนิมิตจาก
สวรรค(์ ซึ่งก็พ่ึงจะแปลความหมายออกตอนนอนป่วย) ทำให้พระองค์หันไปนับถือศาสนาครสิ ต์ สง่ ผลให้ศาสนา
คริสต์กลายเป็นศาสนาของจักรวรรดิ ซึ่งกฎหมายของพวกโรมันบังคับให้ประชาชนต้องหันมานับถือศาสนา
ครสิ ต์ จนกระทัง่ แพร่หลายในยโุ รปในทส่ี ดุ
3
หลังจากนนั้ มาโรมันตะวันตกเร่ิมอ่อนแอมากข้นเรื่อยๆ เนื่องจากถกู คุกคามจากชนเผผ่าตา่ งๆ และในท่ีสุดก็ตก
อยู่ภายใต้อำนาจของพวกวิสิกอธ หรือชนเผ่าเยอรันค.ศ.476 เผ่าเยอรมันได้ปลดจักรพรรดิองค์สุดท้ายของ
โรมันตะวันตก(โรม) ถือเป็นการสิ้นสุดจักรวรรดิโรมัน ดินแดนยุโรปจึงแยกแยกออกเป็นอาณาจักรต่างๆ เกิด
ความว่นุ วายทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ชนเผา่ ที่สำคัญในยุคนัน้ ได้แก่ แฟรงค์ ออสโตรกอธ ลอมบาร์ด
แองโกล-แซกซอน เบอร์กันเดยี น วสิ ิกอธ แวนดลั เป็นตน้
ภาพท่ี 3การสวมมงกุฎใหด้ ำรงตำแหน่ง จักรวรรดโิ รมันอันศักด์สิ ิทธ์ิ จากพระสนั ตะปาปา
การสวมมงกฎุ ใหด้ ำรงตำแหน่ง จกั รวรรดิโรมันอนั ศักดส์ิ ิทธ์ิ จากพระสนั ตะปาปา
ค.ศ.800 พระเจ้าชารเ์ ลอมาญ ไดร้ วบรวมดินแดนในยโุ รปเป็นหนึง่ เดยี วได้สำเร็จ และได้รับการอภเิ ษกจากพระ
สันตะปาปาซึง่ เปน็ ผนู้ ำของศาสนาคริสต์ ภายใต้ชื่อ“จักรวรรดิโรมันอันศกั ดสิ์ ิทธ์ิ (Holy Roman Empire)”
หลงั สิ้นสมัยพระเจ้าชาร์เลอมาญ ยโุ รปถูกแบง่ เป็น 3 ส่วน ตอ่ มากลายเปน็ ฝร่งั เศส เยอรมัน อิตาลี
การล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปลิ (โรมันตะวนั ออก) ในชว่ งครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15 ถือเปน็ การส้ินสุดของ
ยุคมืดด้วย กล่าวคือ หลังจากการล่มสลายของกรุงโรม(โรมนั ตะวันตก) โรมันทางฝั่งตะวันออก(ไบแซนไทน์) ก็
ค่อยๆลืมเลือนความยิ่งใหญ่ของตัวเองในฟากตะวันตกไปหมด จักรพรรดิองค์ต่อๆมาก็ไม่ใช่คนจากอิตาลีอีก
ต่อไป แตเ่ ปน็ ชาวกรีกด้ังเดมิ ท่อี ย่มู ากอ่ นพวกโรมัน
พวกกรีกเม่ือไม่รู้สึกถึงคณุ ค่าของความเป็นโรมนั ก็ตั้งช่ืออาณาจักรใหม่เป็น“ไบแซนไทน์”(Byzantine) ตามชื่อ
เก่าของเมืองคอนสแตนติโนเบิล เมืองที่มั่งคั่งที่สุดในยุโรปยุคมืด แต่ชาวอาหรับที่ขยายอำนาจออกมาก็ทำให้
4
แซนไทน์เสื่อมอำนาจลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาเสียกรุงให้กับชาวเติร์ก (Turk) ทำให้กรุงไบเซนติอุมกลายเป็น
เมอื งหลวงในช่ือ อิสตนั บลู (Istanbul) จนถึงปัจจุบัน
ระบบฟวิ ดลั Feudalism
ยุโรปยุคกลาง เป็นการปกครองในระบบขุนนาง หรือที่เรียกว่า ระบบฟิวดัล หรืออาจเรียกอีกชื่อว่า ระบบ
ศักดินาสวามิภักดิ์ หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านาย lord กับ ข้า ในเรื่องเกี่ยวกับ การหาผลประโยชน์
ของที่ดิน เริ่มจากกษัตรยิ ์มอบที่ดินให้ขุนนาง เพื่อตอบแทนความดีความชอบ ขุนนางทำหน้าทีป่ กครองผู้คนท่ี
อาศยั อยู่ในที่ดิน และมีพันธะต่อกษตั ริยโ์ ดยส่งคนไปชว่ ยรบ
ภาพที่ 4 ระบบฟิวดลั
ระบบฟิวดลั
ลักษณะ สำคัญ ของระบบนี้ คือ การจัดสรรที่ดินตามระดับชั้น เป็นทอด ๆ ส่งผลให้เกิดความจงรักภักดี
ระหว่าง นาย กับ ข้า โดยตรง กษัตริย์จึงไม่มีอำนาจในการควบคุมประชาชนจริง ๆ การจัดระเบียบที่ดิน โดย
ขนุ นางจะสรา้ งปราสาท เพ่ือเป็นศนู ย์กลาง รอบนอกเปน็ หมบู่ า้ น มีการดำเนินกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ เกือบครบ
วงจร ผลิตสิง่ ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิต รวมถึงการประกอบพิธกี รรมทางศาสนา เหล่าน้ีถกู เรียกว่าระบบ
“แมเนอร์” (Manor)
คริสตศาสนา (ศาสนจกั ร)
หลัง สมัยพระเจ้าคอนสแตนติน ได้ประกาศให้ชาวโรมนั นับถือศาสนาคริสต์ คริสตจักร จึงเป็นสถาบันที่พึ่ง
ทางใจและเป็นสื่อกลางระหวา่ งพระเจา้ กับมนุษย์ มีประสิทธิภาพ เป็นระบบระเบียบ และมีความเข้มแข็ง องค์
สันตะปาปา เปน็ ผทู้ ีม่ อี ำนาจสูงสุด สามารถกำหนดนโยบายทุกอย่าง รวมถึงการเมอื ง
5
ใน ยุคแรก ๆ คริสตจักรร่วมมือกับจักรวรรดิ์ ในการเรื่องการเมืองการปกครอง ทำให้มีอิทธิพลสูงสุด ทั้งด้าน
เศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งภูมิปัญญา ต่าง ๆนอกจากนี้ องค์สันตะปาปา ยังมีอำนาจกระทำ “บัพชนียกรรม”
บคุ คลใดกต็ ามท่ตี ้องสงสยั ว่ามีความเหน็ ขัดแย้ง กระทำการไม่เปน็ ไปตามคำส่ัง หรือนโยบายของครสิ ตจกั ร คือ
การขับไล่ใหอ้ อกจากศาสนา ซงึ่ ถอื เป็นโทษสงู สุด ทำให้ทุกคนเกรงกลวั การลงโทษ
ภาพท่ี 5 ครสิ ตศ์ าสนา
คริสต์ศาสนา
ค.ศ.955 จักรพรรดิออตโต ที่ 1 ของเยอรมัน สถาปนาเป็น Holy Romans Empire H.R.E. แต่เกิดการ
ขัดแย้งเรื่องอำนาจกับคริสตจักร ส่งผลให้ต่อสู้ชิงอำนาจ และเยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทำให้จักรพรรดิองค์
ต่อมาต้องข้นึ กบั คริสตจักรโดยสนิ้ เชิง
ศตวรรษที่ 9–14 ระบบสวามิภักดิ์ พัฒนาสูงสุด ขุนนางท้องถิ่นมีอิทธิพล และอำนาจ สามารถต่อรองกับ
กษตั ริย์ได้ ทำให้เกดิ การเมืองแบบหลายศนู ย์อำนาจข้ึนทว่ั ยุโรป
ระหวา่ งนเ้ี กิดสงครามครูเสดขนึ้ ค.ศ.1095–1291
สงครามครูเสด
สงคราม ครูเสด (The Crusades — Cross ไม้กางเขน) คือ สงครามระหว่างศาสนา ซึ่งอาจหมายถึง
สงครามระหว่างชาวคริสต์ต่างนิกายด้วยกันเอง หรือชาวคริสต์กับผู้นับถือศาสนาอื่นก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่มัก
หมายถึงสงครามครัง้ ใหญร่ ะหวา่ งชาวมสุ ลมิ และชาวครสิ ต์ ในชว่ งศตวรรษที่ 11 ถึง 13
6
ภาพท่ี 6 สงครามครเู สด
สงครามครูเสด
ในตอนเริ่มสงครามนั้นชาวมุสลิมปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อยู่ ดินแดนแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญของสาม
ศาสนาได้แก่ อสิ ลาม ยูได และ คริสต์ ในปจั จุบนั ดนิ แดนแหง่ นค้ี ือ ประเทศอสิ ราเอล หรือ ปาเลสไตน์
ค.ศ.1055 เมอ่ื พวกเซลจูคเตริ ก์ เข้ามายดึ ครองเมอื งแบกแดด พวกสลุ ตา่ นไม่ไดป้ ฏบิ ตั ติ อ่ ชาว ครสิ เตียนเหมือน
เช่นเคย พวกคริสเตยี นในยุโรปจงึ โกรธมาก
ค.ศ.1095 องค์สันตะปาปาออร์บานที่ 2 (Pope Urban II)ได้เรียกประชุมขึ้นที่เคลอร์มองต์ ใน ได้ประกาศให้
ทำสงครามครเู สดตอ่ “พวกนอกศาสนา” (ซึ่งพวกคริสเตียนในเวลานั้นหมายถึงบรรดามุสลิมีนโดยเฉพาะ)องค์
สันตะปาปาได้ปลุกระดมให้พวกคริสเตียนเข้าร่วมในสงครามครูเสด โดยประกาศว่า“ผู้ ใดถือไม้กางเขนหรือ
ประดบั ไม้กางเขนเพื่อไปในสงครามครูเสด ย่อมถกู ยกเว้นจากการถูกฟ้องร้องเร่ืองหนี้สนิ ไม่ตอ้ งเสียภาษี และ
บุคคลภาพผู้นั้นอยู่ในพิทักษ์ของศาสนจักร ถูกไถ่บาปทั้งหมดและจะได้เข้าสวนสวรรค์อันสถาพร”การเร่ิม
รณรงค์ดังกล่าวนี้เอง เป็นที่มาของสงครามศาสนา หรือ “สงครามครูเสด”สงครามครูเสดเพื่อยึดครองแผน่ ดิน
ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ครง้ั แรกอีก ตำนานกล่าววา่ เนอ่ื งจากพวกครสิ ต์กล่มุ หนงึ่ มีความเชื่อกันวา่ โลกน้ีจะถงึ การอวสานเม่ือ
ครบ
ค.ศ. 1000 เรียกว่าMillennium และเชื่อว่าพระเยซูพร้อมด้วยสาวกจะเสด็จมาโปรดชาวโลกในวันนั้นพวก
ครสิ เตยี นจำนวนมากจงึ ได้ละถิ่นฐานบ้านชอ่ งของตนเดินทางไปชุมนุมกนั ใน ปาเลสไตน์ เพื่อรอวนั โลกแตก แต่
เมื่อถึง
ค.ศ. 1000 โลกไม่ได้อวสานตามที่พวกนี้คดิ ไว้ ประกอบกับพวกคริสต์จำนวนมากไม่ได้รับการปฏิบัติด้วยดีจาก
พวกสลั ยกู ซึ่งเป็นผมู้ ีอำนาจปกครองอยู่ในเวลาน้นั พวกครสิ เตียนนเี้ ม่ือกลบั บา้ นไปแล้ว(คอื ทวปี ยุโรป) ต่างพก
7
เอาความเคียดแค้น ไปเล่าเรื่องแล้วแต่งเติมสิ่งที่ได้ประสบในปาเลสไตน์ให้พวกคริสเตียนด้วยกัน ฟัง มีคริส
เตยี นคนหนึ่ง ชอื่ ปิเตอร์ ได้ฉายาวา่ ปเิ ตอร์ เดอะ เฮอร์มติ (ปิเตอร์ นักพรต ถือไม้เทา้ ท่องเท่ียวไปในเมืองต่าง
ๆ ในทวีปยุโรป ได้ป่าวประกาศข่าวเรื่องที่พวกคริสเตียนไปอยู่ในปาเลสไตน์เพื่อรอวันโลกแตก แล้วได้รับการ
ข่มเหงจากพวกสัลยูก พร้อมทั้งได้ปลุกระดมให้พวกคริสเตียนรวมกำลังกันไปตีปาเลสไตน์กลับคืนมา)สงคราม
ครูเสด มีการทำสงครามและพกั รบ เปน็ ชว่ ง ๆ หลายคร้งั ยุตลิ งเมอ่ื
ค.ศ.1291 เมื่อพวกครูเสดถูกอียิปต์ยึดครอง ทำให้กองทัพจากยุโรปไม่สามารถเอาชนะจักรวรรดิมุสลิมได้
กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในศึกครั้งนี้ อาทิ พระเจ้าริชาร์ด ใจสิงห์ (Richard the lionheart) อังกฤษ และ ซาลาดิน
ของฝัง่ อสิ ลาม
กำเนิดชาตริ ฐั (เร่มิ ประวตั กิ ารก่อตงั้ เป็นประเทศตา่ ง ๆ ในยุโรป)
ค.ศ.1273 จักรพรรดิเป็นตำแหน่งไม่มีอำนาจ ขุนนางและผู้ครองแคว้นต่าง ๆ แตกแยกออกเป็นรัฐเล็กรัฐ
นอ้ ย ระบบศกั ดินาเริ่มเสื่อมสลาย เกดิ สงคามระหวา่ งขุนนาง ภายในประเทศ
ศตวรรษที่ 14–15 ขุนนางเริ่มเสื่อมอำนาจ เปิดโอกาสให้ระบบกษัตริย์รวบรวมก่อตั้งเป็น “ชาติรัฐ” ขึ้นมา
ระหวา่ งน้เี กดิ สงครามรอ้ ยปี ระหว่างอังกฤษกับฝรัง่ เศสขึ้น
สงครามรอ้ ยปี
สงครามร้อยปี เป็นความขัดแย้งระหวา่ ง อังกฤษและฝรัง่ เศส นาน 116 ปี นบั แต่ ค.ศ. 1337 ถึง 1453
เริ่ม จากการอา้ งสิทธิ์ของกษัตริย์องั กฤษ เหนือบัลลังก์ฝรั่งเศส คำทน่ี ักประวัตศิ าสตรใ์ ชน้ ิยามสงครามความ
ขัดแย้งแบ่งได้สามถึงส่ีช่วง คือ
สงครามยคุ เอ็ดเวริ ด์ (Edwardian War 1337–1360)
สงครามยคุ แครอไลน์ (Caroline War 1369–1389)
สงครามยคุ แลงคาสเตอร์ (Lancastrian War 1415–1429)
อังกฤษ กบั ฝร่งั เศส เปน็ ไมเ้ บื่อไม้เมากนั มานาน ชาวนอร์มังดีบกุ ไปชิงราชบังลงั กท์ ่เี กาะองั กฤษเพราะยังอยากท่ี
จะได้ดนิ แดน ของบรรพบุรุษกลบั มาอีกครัง้ อังกฤษกบั ฝรงั่ เศสจึงทำสงครามกนั เรื่อยมา
8
ภาพท่ี 7 สงครามร้อยปี
การลม่ สลายของกรงุ คอนสแตนตโิ นเปิล (โรมนั ตะวนั ออก)
หลังจากการล่มสลายของกรุงโรม (โรมันตะวันตก) โรมันทางฝั่งตะวันออก (ไบแซนไทน์) ก็ค่อยๆ ลืมเลือน
ความยิง่ ใหญ่ของตวั เองในฟากตะวันตกไปหมด จักรพรรดอิ งค์ตอ่ ๆ มากไ็ มใ่ ช่คนจากอติ าลอี กี ตอ่ ไป แต่เป็นชาว
กรีกดั้ง เดมิ ทอี่ ยูม่ ากอ่ นพวกโรมัน
พวกกรีกเมื่อไม่รู้สึกถึงคุณค่าของความเป็นโรมันก็ตั้งชื่ออาณาจักรใหม่เป็น “ไบแซนไทน์” (Byzantine) ตาม
ช่ือเก่าของเมอื งคอนสแตนติโนเบิล เมืองที่มั่งค่ังท่ีสดุ ในยโุ รปยคุ มืด
แตช่ าวอาหรบั ทขี่ ยายอำนาจออกมากท็ ำใหไ้ บแซนไทนเ์ สื่อมอำนาจลงเร่อื ย ๆ จนในทสี่ ุดกม็ าเสยี กรุงใหก้ ับชาว
เติร์ก (Turk) ทำใหก้ รุงไบเซนตอิ ุมกลายเป็นเมอื งหลวงในช่อื อสิ ตันบลู (Istanbul) จนถงึ ปจั จุบัน
ยคุ ฟนื้ ฟศู ิลปวทิ ยาการ
ในปลายสมัยกลาง การศึกษาและการค้าเจริญก้าวหน้า ทำให้ผู้คนในสมัยนี้กระตือรือร้นแสวงหาความรู้
ใหม่ๆ ที่สามารถอธิบายเหตุการณ์และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้ รวมทั้งเปิดโลกทัศน์เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับ
ความเจริญต่างๆ ซึ่งแต่เดิมถูกปิดกั้นด้วยความเชื่อทางศาสนาว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พระ
เจ้าบันดาลขึ้น พัฒนาการดังกล่าวเรียกว่า “ขบวนการมนุษย์นิยม (Humanism)” อนึ่ง การเรียนรู้ที่สำคัญใน
สมัยน้คี อื การฟ้นื ฟูศลิ ปวิทยาการสมัยคลาสสิก ซึ่งเป็นความเจรญิ ของกรีกและโรมันในอดีต
9
ขบวนการมนุษย์นยิ ม
ขบวนการมนุษย์เริ่มต้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ที่แหลมอิตาลี โดยเฉพาะที่นครฟลอเรนซ์ (Florence) โรม
และเวนิส โดยกลุ่มนักวิชาการซึ่งศึกษาวรรณกรรมคลาสสิกและศาสตร์ต่างๆ หลังจากนั้นในคริสต์ศตวรรษท่ี
15 ได้มีผลงานซึ่งเขียนด้วยภาษาท้องถิ่นและสะท้อนความคิดด้านมนุษย์นิยมแพร่หลายในยุโรปตะวันตก
เนื่องจากขณะนั้นมีการประดิษญ์แท่นพิมพ์หนังสือได้จำนวนมาก การพิมพ์ไม่เพียงแต่เผยแพร่แนวคิดแบบ
มนุษย์นิยมในสังคมยุโรปเท่านั้น หากยังส่งเสริมให้เกิดการผลิตผลงานของนักวิชาการและกวีในดินแดนต่างๆ
ด้วย
ความเจริญรุ่งเรืองในสมัยฟ้นื ฟศู ิลปวิทยาการ
ผลงานท่โี ดเด่นในสมัยฟ้นื ฟูศลิ ปวิทยาการ ได้แก่ วรรณกรรมและศลิ ปกรรม
ด้านวรรณกรรม ผู้บุกเบิกแนวคิดด้านมนุษย์นิยมในแหลมอิตาลีคือ เพราช (Petrarch) ซึ่งรับรูปแบบจาก
วรรณกรรมโรมนั และถ่ายทอดเปน็ ผลงานประเภทกวีนิพนธ์ทีม่ ีอิทธิพลต่อความคิดของนักมนุษย์นิยมรุ่นต่อมา
ส่วนนักเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการของแหลมอิตาลี คือ มาคิอาเวลลี (Machiavelli) ซ่ึง
เปน็ ท้ังนกั รฐั ศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ ผลงานทสี่ ำคัญของเขาคือหนังสือเร่ืองThe Prince หรอื เจ้าชาย ซ่ึง
สะท้อนแนวคิดในการบริหารและการปกครอง ที่เน้นด้านปฏิบัติมากกว่าอุดมการณ์หรือจริยธรรมของ
ผู้ปกครอง นอกจากนี้นอกแหลมอิลีก็มีนักมนุษย์นิยมที่มีผลงานโดเด่นด้วยที่สำคัญได้แก่ อีรัสมัส (Erasmus)
ชาวเนเธอร์แลนด์ ซึ่งประยุกต์แนวคิดแบบกรีกและโรมันในการวิเคราะห์คัมภีร์ไบเบิล โดยใช้หลักเหตุผล
ประกอบความศรัทธาในศาสนาแทนความเชื่อแบบงมงาย และนักมนษุ ยน์ ิยมชาวองั กฤษช่ือ เซอร์ ทอมัส มอร์
(Sir Thomas More) เขียนหนังสือเกี่ยวกับรัฐในอุดมคติชื่อUtopia (ยูโทเปีย) ซึ่งมีชื่อเสียงแพร่หลาย
จนกระทั่งปจั จบุ นั และคำวา่ “ยโู ทเปีย” ไดก้ ลายเป็นคำศัพทท์ ี่หมายถงึ รัฐในอดุ มคติ
ดา้ นศิลปกรรม ศลิ ปกรรมที่โดดเดน่ ในสมัยฟืน้ ฟศู ลิ ปวิทยาการ ไดแ้ ก่ ผลงานด้านจติ รกรรม ซึ่งเร่ิมใน
แหลมอติ าลกี ่อนแพรห่ ลายไปในดนิ แดนอ่นื ลักษณะเด่นของงานจติ รกรรมสมยั ฟ้ืนฟูศิลปวิทยาการ ได้แก่ การ
สะท้อนลักษณะท่ีเหมือนจริงทัง้ มนษุ ย์และธรรมชาติ เช่น ภาพคนที่มีสรรี ะและสดั ส่วนที่ถกู ต้อง การใชภ้ มู ิทัศน์
ของทอ้ งทุ่งและชนบทเปน็ ฉากหลงั ของภาพ และการใชห้ ลักของเสน้ ทศั นียภาพ (Perspective) ทส่ี ะท้อน
ระยะใกล้ไกลของวัตถุในภาพ จติ รกรอิตาลีท่ีมีชือ่ เสยี งในสมัยน้ี เช่น เลโอนาร์โด ดา วนิ ชี (Leonardo da
Vinci) ซ่ึงวาดภาพ “Mona Lisa” และ “The Last Supper” หรือไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) ซึ่งมี
ชือ่ เสียงในการสร้างงานประติมากรรมและจิตรกรรม ผลงานจติ รกรรมท่โี ดดเด่น ไดแ้ ก่ จิตรกรรมฝาผนัง
เกีย่ วกับการสรา้ งโลกบนเพดานของวิหารนอ้ ยซิสตนี (Sistine Chapel) ในนครวาติกัน และราฟาเอล ซาานซิ
โอ (Raphael Sanzio) ซึ่งวาดภาพ “School of Athens” บนฝาผนงั หอ้ งสมุดของสนั ตะปาปา นอกจากน้ีใน
แคว้นแฟลนเดอร์ยงั มผี ลงานจิตรกรรมของกลุ่ม “เฟลมิส” (Flemish) ซึง่ สร้างสรรคง์ านโดยไดร้ บั อทิ ธิพลจาก
10
ผลงานของจติ รกรในแหลมอิตาลี ลักษณะเดน่ ของงานจิตรกรในแหลมอิตาลี ลกั ษณะเดน่ ของงานจิตรกรรม
แบบเฟลมสิ คือ การวาดภาพสีนำ้ มนั บนผืนผา้ ใบทส่ี ะทอ้ นทิวทศั นแ์ ละวิถีชวี ิตของชนบท อนึ่ง ในสมัยฟนื้ ฟู
ศิลปวทิ ยาการน้ี จติ รกรชาวเยอรมนั ได้คดิ คน้ วิธที ำภาพพิมพ์ และมีการทำภาพพิมพป์ ระกอบในหนังสอื
ภาพท่ี 8 เลโอนาร์โด ดา วนิ ชี (Leonardo da Vinci) จติ รกรชาวอิตาลี
ภาพที่ 9 ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo)
ผลกระทบของการฟ้ืนฟูศลิ ปวทิ ยากการต่อพฒั นาการของยุโรป
การศึกษา การคิดค้นแท่นพิมพ์ช่วยให้การศึกษาขยายตัวอย่างกว้างขวาง เพราะทำให้องค์ความรู้ต่างๆ
เกีย่ วกบั วิทยาการสมยั คลาสสิกแพรห่ ลายในสังคมยุโรป นอกจากนีก้ ารศึกษาโดยใชห้ ลักเหตผุ ลของกลุ่มมนุษย์
นิยมยังเปน็ พ้นื ฐานสำคญั ของการพัฒนาองค์ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์และทำให้เกิดการปฏิวัติวทิ ยาศาสตร์ท่ีเริ่ม
ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16และสร้างความกา้ วหน้าให้กบั สงั คมโลกจนถงึ ปัจจุบัน
11
ศาสนา แนวคดิ แบบมนุษยน์ ิยมทสี่ ่งเสริมให้ใชห้ ลักเหตุผลแทนความเช่ือแบบงมงายได้ส่งผลกระทบต่ออิทธิพล
ของคริสตจักรที่ชี้นำความคดิ ของผู้คนมาตลอดสมัยกลาง เนื่องจากกลุ่มปัญญาชนเริ่มตั้งคำถามเก่ียวกับความ
เชือ่ ทางศาสนาท่ยี ดึ ถือกนั มานบั พันปี การพัฒนาความคิดแบบมนุษยน์ ยิ มทำให้ชาวยโุ รปเร่ิมหลุดพน้ จากกรอบ
ของศาสนาคริสต์ และทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนาในเวลาต่อมา เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ทำให้ศาสนาคริสต์ใน
ยุโรปเส่อื มอิทธพิ ล และถอื ว่าเป็นการส้ินสดุ ของสมัยกลาง
ประวตั ศิ าสตร์สมัยใหม่ (Modern History) เริ่มตง้ั แตก่ ารสิ้นสุดของประวตั ิศาสตร์สมยั กลางจนถึงปัจจุบัน แต่
ก็มีบางกลุ่มที่ถือว่าสมัยนี้สิ้นสุดในราวค.ศ. 1900 และได้แบ่งออกเป็นอีกสมัยหนึ่งคือ ประวัติศาสตร์สมัย
ปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่สิ้นสุดประวัติศาสตร์สมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน เพราะระยะช่วงนี้เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญ ๆ ข้ึน
มากมาย มีรายละเอียดท่มี ากจนสามารถแบ่งออกเปน็ อีกสมัยหนึ่งได้
ชนเผา่ ที่สำคัญในยุคนนั้ ได้แก่
แฟรงค์ ออสโตรกอธ ลอมบาร์ด แองโกล-แซกซอน เบอร์กนั เดียน วสิ ิกอธ แวนดัล เป็นตน้
เหตุการณส์ ำคญั ในสมยั กลางถงึ ครสิ ต์ศตวรรษที่ 20
ประวตั ิศาสตรย์ โุ รปยุคกลาง (THE MIDDLE AGES) เร่ิมตน้ ต้งั แต่การลม่ สลายของ จกั รวรรดโิ รมันตะวันตก
ใน ค.ศ. 476 จนถึงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ ชนชาติเยอรมันเผ่าต่างๆ ได้รุกรานและ
อพยพเขา้ มาตั้งถ่ินฐานในยโุ รปตะวนั ตก ซ่งึ ชนเผา่ เยอรมนั เหลา่ นีไ้ ดต้ ้งั อาณาจักรของตนปกครองดินแดนส่วน
ต่างๆ การที่ชนเผ่าเยอรมันไดเ้ ข้ามายึดครอง ดินแดนของจักรวรรดโิ รมนั นัน้ ได้ทำให้บ้านเมืองและสิง่ ก่อสร้าง
รวมทง้ั ระบบการปกครองและ วิทยาการทเ่ี คยเจรญิ รุ่งเรืองเสือ่ มโทรมลงไปอยา่ งมาก นักประวตั ศิ าสตร์จึงเรียก
ประวัติศาสตร์ ยุคนี้ว่า ยุคมืด (THE DARK AGES) ในยุคมืดนี้ได้มีเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์หลาย
เหตกุ ารณท์ ม่ี ผี ลต่อสังคมมนุษย์มาจนถึงปจั จบุ นั
โดยเฉพาะ ทำให้ ไมส่ ามารถถ่ายทอดจินตนาการอย่างเสรีได้ ผลงานส่วนใหญจ่ ึงขาดชวี ิตชีวา แต่ศิลปกรรมใน
สมยั ฟน้ื ฟูศลิ ปวิทยานยิ มงานศลิ ปะของกรีก-โรมันทเี่ ปน็ ธรรมชาติ จึงใหค้ วามสนใจความสวยงามใน สรีระของ
มนุษย์ มิติของภาพ สี และแสงในงานประติมากรรมและจิตรกรรมให้สมจริง สมดุล และกลมกลืนสอดคล้อง
มากขนึ้ ศิลปินทีส่ ำคญั เชน่
- ไมเคิลแอนเจโล บูโอนาร์โรตี (MICHELANGELO BUONARROTI : ค.ศ. 1475-1564) เป็นศิลปินที่มีผลงาน
ทั้งด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ผลงานประติมากรรมที่ สำคัญและมีชือ่ เสียง คือ รูปสลัก
เดวิด (DAVID) เป็นชายหนุ่มเปลือยกาย และปิเอตา (PIETA) เป็นรูปสลักพระมารดากำลังประคองพระเยซูใน
12
อ้อมพระกร ส่วน ผลงานจติ รกรรมที่มีช่ือเสยี ง คือ จิตรกรรมฝาผนังท่ีเขยี นไว้บน เพดานและฝาผนังของโบสถ์
ซีสติน (SISTINE CHAPEL) ในมหาวิ หารเซนตป์ เี ตอร์ ทีก่ รงุ โรม ทม่ี ลี กั ษณะงดงามมาก
- เลโอนาร์โด ดา วินชี (LEONARDO DA VINCI : ค.ศ. 1452-1519) เป็นศิลปินที่มี ผลงานเป็นเลิศในสาขา
ตา่ งๆ ภาพเขยี นท่ีมีชือ่ เสียง คือ ภาพอาหารมอื้ สุดทา้ ย (THE LAST SUPPER) ซึ่งเป็นภาพพระเยซูกับสาวกน่ัง
ที่โต๊ะอาหารก่อนที่พระเยซูจะถูกนำไปตรึงไม้กางเขน และภาพโมนาลิซ่า (MONALISA) เป็นภาพหญิงสาวที่มี
รอยย้ิมปรศิ นากับบรรยากาศของธรรมชาติ
- ราฟาเอล (RAPHAEL : ค.ศ. 1483-1520) เป็นจิตรกรที่วาดภาพเหมือนจริง ภาพที่มี ชื่อเสียง คือ ภาพพระ
มารดาและพระบุตร พร้อมดว้ ยนกั บุญจอห์น (MADONNA AND CHILD WITH ST. JOHN)
ด้านวิทยาการความเจริญอ่นื ๆ ได้แก่
- ด้านดาราศาสตร์ เป็นสาขาวิชาที่ชาวยโุ รปสนใจกันมากในชว่ งเวลานี้ นัก ดาราศาสตร์ที่สำคัญ คือ คอเปอร์
นิคัส (ค.ศ. 1473-1543) ได้เสนอทฤษฎีที่ขัดแย้งกับคำสอนของ คริสต์ศาสนา โดยระบุว่าโลกไม่ได้แบนและ
ไม่ไดเ้ ป็นศนู ยก์ ลางของจกั รวาล แตเ่ ป็นบรวิ ารทโี่ คจร รอบดวงอาทิตย์
- ด้านการพิมพ์ ในช่วงสมัยนี้ได้มีการคิดค้นการพิมพ์ที่ใช้วิธีการเรียงตัวอักษรได้ สำเร็จเป็นครัง้ แรก โดยโยฮนั
กูเตนเบิร์ก ( JOHANNES GUTENBURG : ค.ศ. 1400-1468) ชาว เมืองไมนซ์ (MAINZ) ในเยอรมนี ทำให้
ราคาหนังสือถกู ลงและเผยแพรไ่ ปได้อยา่ งกวา้ งขวาง
ผลของการฟ้นื ฟศู ิลปะวิทยาการ
ในสมยั ฟน้ื ฟศู ลิ ปวิทยาการ ศิลปกรรมและวิทยาการต่างๆ ไดเ้ จรญิ กา้ วหนา้ มากข้ึนส่งผล ใหค้ นยุโรปมีลักษณะ
ดงั นี้
1. ความสนใจในโลกปัจจุบัน ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ชาวยุโรปยังคงนับถือศรัทธาใน พระเจ้า แต่จากการ
ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดแบบมนุษยนิยม ทำให้ชาวยุโรปมีแนวคิดในการ ดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันให้ดีและ
สร้างส่งิ ตา่ งๆ เพอ่ื ความสุขและความม่ันคงให้แก่ตน ท้ังหมดน้ี สะท้อนในงานศิลปกรรมต่างๆ ท่ีสร้างข้ึนเพื่อน
สนองความพึงพอใจของตนเอง เช่น สร้างบ้าน เรือนอย่างวิจิตรสวยงาม การมีรูปปั้นประดับอาคารบ้านเรือน
การวาดภาพเหมือนของมนุษย์
2. ความต้องการแสวงหาความรู้ การที่มนุษย์ต้องการหาความรู้และความสะดวกสบาย ให้แก่ชีวิต ทำให้ต้องมี
การคิดสร้างสรรค์ผลงานและวิทยาการต่างๆ ดังนั้นมนุษย์ในสมัยฟื้นฟู ศิลปวิทยาการ จึงมีการส่งเสริมและ
สนับสนุนการศึกษา การคิคค้น การทดลอง การพิพากษ์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล เป็นผลให้วิทยาการด้านต่างๆ
พัฒนามากขึ้น สภาพสังคมของมนุษย์ในสมัย นี้คือการตื่นตัวในการค้นหาความจริงของโลก ทำให้มนุษย์
13
ต้องการแสวงหาความรู้และสำรวจดิน แดนต่างๆ อันนำไปสู่การปฏิรูปศาสนา การสำรวจทางทะเล และการ
ปฏิวัตทิ างวิทยาศาสตร์ใน เวลาต่อมา
การสำรวจทางทะเล
การสำรวจทางทะเลของยุโรปเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ. 1450-1750 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้ เคียงกับยุคฟื้นฟู
ศลิ ปวิทยาการของยโุ รป และต่างก็มีบทบาทสำคญั ต่อประวตั ิศาสตร์ยุโรปในยุค ใหม่ กลา่ วได้ว่า การฟื้นฟูศิลป
วิทยาการเป็นพื้นฐานสำคัญทำให้เกิดการสำรวจทางทะเล ซึ่งเป็น ผลให้ยุโรปเผยแพร่วัฒนธรรมของตนไปสู่
ภมู ภิ าคอืน่ ๆ ของโลกไดใ้ นเวลาตอ่ มา
สาเหตขุ องการสำรวจทางทะเล
1. การมีวิทยาการที่ก้าวหน้า ในสมัยฟื้นฟูศิลปวทิ ยาการ ชาวยุโรปได้เริ่มหันมาสนใจ ศึกษาสิ่งแวดล้อมรอบๆ
ตัว และผลจากการติดต่อกับโลกตะวันออกในสมัยสงครามครูเสด รวมทั้ง การขยายตัวของเมืองในระยะเวลา
ใกล้เคียงกัน ทำให้ชาวยุโรปได้สัมผัสกับอารยธรรมความเจริญ ของโลกตะวันออกหลายอย่าง โดยเฉพาะ
ทางด้านปรชั ญา คณติ ศาสตร์ และดาราศาสตร์ ทำให้ ปญั ญาชนเรม่ิ ตรวจสอบความร้ขู องตนและคน้ หาคำตอบ
ให้กับตนเองเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว ซึ่งผลักดันให้ชาวยุโรปหันมาสนใจต่อความลี้ลับของท้องทะเลที่กั้น
ระหว่างโลกตะวันออกกับโลก ตะวันตก โดยเฉพาะความรู้ทางภูมิศาสตร์และแผนที่ของโตเลมี (PTOLEMY)
นักดาราศาสตร์และ นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก ที่แสดงที่ตั้งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนริมฝั่งทะเล
คาบสมทุ ร ไอบเี รยี จนถึงดนิ แดนฝ่ังทะเลตอนเหนอื ของทวปี แอฟริกา รวมทั้งดนิ แดนทางดา้ นตะวันออกท่ี เปน็
ผืนแผ่นดินใหญ่ถึงอินเดียและจีน นอกจากนี้ความรู้ในการใช้เข็มทิศและการพัฒนารูปทรง และขนาดของเรือ
ให้แข็งแรงทนทานต่อสภาพลมฟ้าอากาศ สามารถที่จะเดินทางไกลได้ดีขึ้น ทำให้ชาติตะวันตกหลั่งไหลสู่โลก
ตะวนั ออกอย่างกว้างขวาง
2. แรงผลักดนั ทางดา้ นการค้า เม่อื พวกมสุ ลิมสามารถยดึ ครองกรุงคอนสแตนตโิ นเปลิ และดินแดนจักรวรรดิไบ
แซนไทน์ได้ทั้งหมดใน ค.ศ. 1453 ทำให้การค้าทางบกระหว่างโลก ตะวันออกกับโลกตะวันตกหยุดชะงัก แต่
สินค้าต่างๆ จากตะวันออก เช่น ผ้าไหม เครื่องเทศยาต่างๆ ยังเป็นที่ต้องการของตลาดตะวันตก ซึ่งหนทาง
เดียวที่พ่อค้าจะติดต่อค้าขายได้ก็คือ การติดต่อค้าขายทางทะเล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสำรวจเส้นทางทางทะเล
เพื่อหาเสน้ ทางติดต่อกับ ดนิ แดนต่างๆ ทางตะวันออก
3. แรงผลักดนั ทางด้านศาสนา เน่อื งจากความคิดของผู้นำชาติต่างๆ ในขณะนั้นเห็น วา่ การเผยแผ่คริสตศ์ าสนา
เป็นกุศลอย่างมาก รวมทั้งต้องการแข่งขันกับชาวมุสลิมทีเ่ ข้ามาขยาย อิทธิพลอยู่ในขณะนั้น จึงสนับสนุนให้มี
การคน้ หาดนิ แดนใหม่ๆ และเผยแผ่คริสตศ์ าสนาไป พรอ้ มกนั ดว้ ย
14
4. อิทธิพลของแนวคิดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ แนวความคิดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา การ ทำให้ชาวยุโรป
มุ่งหวังที่จะสร้างชื่อเสียงเกียรติยศและความต้องการที่จะเสี่ยงโชคเพื่อชีวิต ที่ดีกว่า ผลักดันให้ชาวยุโรปเกิด
ความกล้าหาญที่จะเผชิญกับส่ิงต่างๆ รวมทั้งความกระตือรือร้น ท่ีจะแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และรักการผจญภัย
เป็นปัจจยั สำคญั ทท่ี ำให้ชาวยโุ รปกล้าเสยี่ งภัยเดิน ทางสำรวจมหาสมุทรที่กวา้ งใหญไ่ พศาล
บทบาทของชาติตา่ งๆ ในการสำรวจทางทะเล
โปรตุเกส
ในครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15 เจ้าชายเฮนรี นาวิกราช (HENRY THE NAVIGATOR) พระอนุชาของพระเจ้าจอห์นที่ 1
(JOHN I) แหง่ โปรตเุ กส ได้จัดตงั้ โรงเรียนราชนาวีเพ่ือเป็น ศูนยก์ ลางการเรียนรู้เกีย่ วกบั การเดินทางทะเล การ
ใช้ เครื่องมือและเทคนิคการสร้างเรือ ซึ่งส่งผลให้ชาว โปรตุเกสสามารถค้นพบเส้นทางเดินเรือสู่ดินแดนทาง
ตะวนั ออก ได้แก่
- บาร์โธโลมิว ไดแอส (BARTHOLOMEU DIAS) สามารถเดินเรือเลียบชายฝัง่ ทวีปแอฟริกาผ่านแหลม กู๊ดโฮป
(CAPE OF GOOD HOPE) ไดส้ ำเรจ็ ใน ค.ศ. 1488
- วัสโก ดา กามา (VASCO DA GAMA) แล่นเรือตาม เส้นทางสำรวจของไดแอสจนถึงทวปี เอเชีย และสามารถ
ข้นึ ฝง่ั ทเี่ มืองกาลกิ ตั (CALICUT) ของอินเดยี ได้เมอื่ ค.ศ. 1498 ตอ่ มา ชาวโปรตเุ กสสามารถควบคมุ เมืองต่างๆ
ทางชายฝั่งตะวันออก ของทวีปแอฟริกาและอินเดียทางชายฝั่งตะวันตก สามารถยึด เมืองกัว ( GOA) ใน
มหาสมุทรอนิ เดียได้
สเปน
ค.ศ. 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (CHRISTOPHER COLUMBUS) ชาวเมืองเจนัว (ประเทศอิตาลี) ซึ่งมีความ
เชื่อว่าโลกกลม ได้รับ การสนับสนุนจากกษัตริย์สเปนให้เดินทางข้าม มหาสมุทรแอตแลนติก เพื่อสำรวจ
เส้นทางเดินเรอื ไปประเทศจีน แต่เขาไดพ้ บหมู่เกาะเวสต์อนิ ดสี ซงึ่ เปน็ สว่ นหนึ่งของทวปี อเมรกิ าใตโ้ ดยบังเอิญ
ใน ค.ศ. 1492 ซ่งึ ทำใหส้ เปนไดค้ รอบครองดินแดนสว่ นใหญ่ ในอเมรกิ าใตท้ อ่ี ดุ มสมบรู ณด์ ้วยแร่เงินและทองคำ
ในเวลาต่อมา
คริสตศ์ ตวรรษท่ี 15 เป็นชว่ งการแข่งขนั อำนาจทางทะเลระหวา่ งโปรตเุ กสและสเปนเพ่ือ หาเสน้ ทางไปหม่เู กาะ
อสี ต์อินดสี (EAST INDIES) ซงึ่ เป็นแหล่งเครอื่ งเทศและพริกไทย ใน ค.ศ. 1494 สนั ตะปาปาอเล็กซานเดอร์ท่ี 6
(ALEXANDER VI) ไดใ้ หส้ เปนและโปรตุเกสทำสนธสิ ัญญา ทอร์เดซียสั (TREATY OF TORDESILLAS) กำหนด
เส้นสมมติแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วน โดยสเปนมีสิทธิ สำรวจและยึดครองดินแดนทางด้านตะวันตกของเส้นเม
ริเดียนที่ 51 ส่วนโปรตุเกสได้สิทธิทาง ด้านตะวันออกและนำไปสู่การสรา้ งจักรวรรดทิ างทะเลของโปรตุเกสใน
เอเชยี
15
ในครติ ส์ศตวรรษท่ี 16 โปรตเุ กสได้ขยายอำนาจมาจนถงึ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้และเข้า ยึดครองมะละกา ทำ
ให้บริเวณคาบสมุทรมลายแู ละหมเู่ กาะอนิ โดนีเซยี ตกอย่ภู ายใตอ้ ิทธพิ ลของ โปรตุเกส
ค.ศ. 1519 เฟอร์ดินนั ด์ แมกเจลลัน (FERDINAND MAGELLAN) นักเดนิ เรอื ชาวโปรตุเกส โดยความสนับสนุน
จากกษัตริย์สเปน ได้เดินทางไปทางทิศตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกผ่านช่องแคบที่ภายหลังตั้งชื่อว่า
แมกเจลลนั ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ ข้ามมหาสมุทรแปซิฟกิ มายังทวปี เอเชีย เขาถูกชาวพื้นเมืองฆ่าตาย
เมื่อพยายามเผยแผ่คริสต์ศาสนาทีเ่ กาะฟิลิปปินส์ แต่ ลูกเรือของเขาสามารถเดินทางกลับสเปนทางมหาสมุทร
อนิ เดียได้สำเร็จใน ค.ศ. 1522 นบั เป็นเรอื ลำแรกท่ีแลน่ รอบโลกไดส้ ำเร็จ
ในยุคนี้โปรตุเกสและสเปนกลายเป็นชาติที่มีอำนาจ มีความมั่งคั่ง ทำให้หลายชาติทำการ สำรวจเส้นทาง
เดินเรือ การแข่งขันอำนาจทางทะเลระหว่างโปรตุเกสกับสเปนยุติลงเมื่อโปรตุเกส ตกอยู่ภายใต้การปกครอง
ของสเปนในช่วง ค.ศ. 1580-1640
ฮอลันดา
เดิมฮอลันดาเคยอยู่ใต้การปกครองของสเปน และทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางในการค้า เครื่องเทศ
จนกระทั่ง ค.ศ. 1581 ได้แยกตัวเป็นอิสระจากสเปน ทำให้สเปนประกาศปิดท่าเรือ ลิสบอนส่งผลให้ฮอลันดา
ไม่สามารถซื้อเครื่องเทศได้อีก ฮอลันดาจึงต้องหาเส้นทางทางทะเลเพื่อ ซื้อเครื่องเทศโดยตรง ในที่สุด
กองทัพเรือของฮอลันดาก็สามารถยึดครองอำนาจทางทะเลใน ค.ศ. 1598 และได้จัดตั้งสถานีการค้าในเกาะ
ชวา และจดั ตั้งบรษิ ัทอินเดยี ตะวนั ออกของฮอลันดา เพื่อ ควบคุมการคา้ เคร่อื งเทศ
ใน ค.ศ. 1605 เรือดุฟเกน (DUYFKEN) ของฮอลันดา ที่เป็นเรือค้นหาเกาะทองคำที่เชื่อว่า อยู่ทางทิศใต้และ
ทิศตะวันออกของเกาะชวา ได้ค้นพบทวีปออสเตรเลียเป็นครั้งแรก และเรียก ทวีปนี้ว่า นิวฮอลแลนด์ (NEW
HOLLAND) แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษได้ครอบครองและ เรียกทวีปนี้ว่า ออสเตรเลีย ซึ่งมาจาก
AUSTRALIS ในภาษากรกี แปลวา่ ดนิ แดนทางซีกโลกใต้
อังกฤษ
ใน ค.ศ. 1588 กองทัพเรือของอังกฤษทำสงครามชนะกองทัพเรืออาร์มาดา (ARMADA) ของสเปนที่มี
ชื่อเสียงได้ ทำให้อังกฤษขยายอิทธิพลสู่ดินแดนตะวันออก สามารถสลายอำนาจทาง ทะเลของโปรตุเกสและ
เข้าไปมีอำนาจและอิทธิพลในอินเดีย และเป็นคู่แข่งทางการค้ากับฮอลันดา ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีเพียง
อังกฤษ ฮอลันดา และฝรั่งเศส แข่งขันกันมีอำนาจทางทะเลและ แสวงหาอาณานิคม ทั้งนี้ได้มีการทำสงคราม
กันหลายครั้ง ในที่สุดฮอลันดายังคงมีอำนาจแถบ มะละกาและควบคุมการค้าเครื่องเทศในหมู่เกาะเครื่องเทศ
ต่อไป จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษกลับเป็นประเทศที่มีแสนยานุภาพกลางทะเลเหนือกว่าทุกชาติ
โดยได้อาณานคิ มในอินเดยี อเมริกาเหนือ และทวีปออสเตรเลียทงั้ ทวีป
16
ผลการสำรวจทางทะเล มีดงั นี้
1. อารยธรรมยุโรปเผยแพร่ไปสู่ดินแดนอื่นๆ ที่ชาวยุโรปเดินทางไปถึง โดยชาวยุโรป ได้สร้างเมืองและความ
เจริญต่างๆ เพื่อให้ตนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามแบบที่คุ้นเคย จึงเกิดการ แพร่กระจายวัฒนธรรมตามแบบ
ตะวันตก เช่น ภาษา การแต่งกาย อาหาร ระบบการปกครอง ศิลปกรรม เช่น การก่อสร้างถนน สะพาน
สถานท่รี าชการ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น
2. ยุโรปได้รบั อารยธรรมจากดินแดนอืน่ ๆ เช่น วิทยาการของชาวตะวันออก เช่น การ เดินเรือ ศิลปะจีนท่เี น้น
ความงดงามของธรรมชาติ อารยธรรมของอิสลาม เช่น คณิตศาสตร์ การ ดื่มชาแบบจีน กาแฟจากตุรกี ยาสูบ
จากหมู่เกาะเวสต์อินดีส น้ำตาลจากบราซิล และมันฝรั่งจาก อเมริกาใต้ ได้มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิต
ของชาวยโุ รป
3. เกิดการแพร่กระจายของพันธุ์พชื และพันธ์ุสตั ว์ ชาวยุโรปได้นำพันธพ์ุ ชื จากถนิ่ กำเนิด ไปยงั ภูมภิ าคอน่ื ๆ เช่น
นำกาแฟจากดินแดนตะวันออกกลางมาปลกู ที่เกาะชวา ต่อมาได้แพร่ขยาย ไปปลูกยังอเมริกาใต้ ต้นยางพารา
จากบราซิลมาปลูกที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย ต่อมาได้ขยายมาปลูก ทางภาคใต้ของไทย มันฝรั่งและข้าวโพดจาก
ทวีปอเมริกามาปลูกในยุโรป ปลูกข้าวโอ๊ตและ ข้าวโพดในทวีปแอฟริกา หัวผักกาดหวานจากทวีปอเมริกามา
ปลูกที่จีน และนำสัตว์ต่างๆ ไปยัง ทวีปอื่น เช่น แกะ ไปแพร่พันธุ์ที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และนำลา ล่อ
วัว แพะ มาเลี้ยงใน อเมรกิ า เปน็ ตน้
4. เกิดการระบาดของโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งมาพร้อมๆ กับเรือของชาวยุโรป โรคระบาดที่ สำคัญ เช่น โรคหัดและ
ฝดี าษในอเมรกิ าเหนือ ไข้เหลอื งและไข้มาลาเรียท่มี ีมากในแอฟริกามา ระบาดในอเมริกากลางและใต้ เปน็ ต้น
5. ศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายไปในดินแดนต่างๆ ที่ชาวยุโรปเข้าไปติดต่อค้าขาย หรือ ดินแดนที่ยุโรปได้เข้ายึด
ครองจัดตั้งเป็นอาณานิคม ในบางแห่งใช้แบบสันติวิธี โดยบาทหลวงจะทำ หน้าที่สั่งสอนให้การศึกษากับชาว
พื้นเมืองและช่วย เหลือด้านมนุษยธรรม ในบางแห่งใช้วิธีการรุนแรงบีบ บังคับคนพื้นเมืองในบริเวณอเมริกา
กลางและ อเมริกาใต้ ให้มาเข้ารีตนับถือคริสต์ศาสนา ทำให้ ศาสนาคริสต์เจริญอย่างมั่นคงในดินแดนทวีป
อเมริกา และดนิ แดนตา่ งๆ
6. การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของยุโรป การขยายตัวทางการค้าทำให้ สมาคมอาชีพ (GUILD) ที่มีมา
ตง้ั แต่สมัยกลางลม่ สลายลง การคน้ พบดนิ แดนใหมส่ ่งผลใหก้ ารค้า ขยายตัวอยา่ งรวดเรว็ นำไปส่กู ารปฏิวัติทาง
การค้า ประเทศต่างๆ ในตะวันตกต่างใช้นโยบาย แข่งขันทางเศรษฐกิจเป็นหลัก บรรดาพ่อค้าและนายทุน
รวมตัวกันจัดตั้งบริษัทโดยมีกษัตริย์ให้ การสนับสนุนทำการค้าในนามของประเทศ เช่น บริษัทอินเดีย
ตะวนั ออกขององั กฤษ บรษิ ทั อินเดียตะวันออกของฮอลันดา เป็นตน้ ซึ่งทำให้บรรดาพ่อคา้ และนายทุนมีฐานะ
มน่ั คงและกลาย เป็นบคุ คลชั้นนำทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสงั คมในเวลาต่อมา
17
การปฏิรูปศาสนา
การปฏิรูปศาสนา (RELIGIOUS REFORMATION) เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีสาเหตุ สำคัญมาจาก
ความเส่อื มความนิยมในผู้นำทางศาสนาและการเกดิ แนวคิดใหมเ่ ก่ียวกับศาสนา เน่อื งจากมีการศึกษาคัมภีร์ไบ
เบิลและแปลออกเป็นภาษาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ทำให้คริสต์ศาสนิกชนมีความรู้ความ
เข้าใจใหม่ การปฏริ ูปศาสนาจึงเกิดขน้ึ ในหลายๆ ประเทศ โดยมผี ูน้ ำการปฏิรูปหลายคนและใชช้ ่ือแตกต่างกัน
การปฏิรูปคริสต์ศาสนา หมายถึง ขบวนการในยุโรปตะวันตกที่ปัจเจกชนและสถาบันต่างๆ แสดงความเห็น
คัดคา้ นการปฏิบตั ิท่ไี มถ่ ูกต้องตามหลักในคัมภีรไ์ บเบิล การปฏริ ูปเปน็ ไปอย่าง ต่อเนื่อง จนในทีส่ ุดคริสต์ศาสนา
ในยโุ รปไดแ้ ตกแยกเป็น 2 นิกาย คอื โรมันคาทอลิกและ โปรเตสแตนต์
สาเหตุการปฏริ ปู ศาสนา
สาเหตกุ ารปฏริ ูปศาสนา มีดงั นี้
1. ประชาชนไม่พอใจสันตะปาปาที่กรุงโรม พระและบาทหลวงที่มีความเป็นอยู่อย่าง ฟุ่มเฟือย หรูหรา ทั้งยัง
เรียกเก็บภาษีบำรุงศาสนาสูงขึ้น เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในคริสตจักรใน กรุงโรม รวมทั้งการซื้อขายตำแหน่งของ
พวกบาทหลวงและความเสอ่ื มเสยี ในจรยิ วตั รของ สนั ตะปาปาทค่ี รองอำนาจในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15-16
2. เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ในยุโรปต้องการเป็นอิสระจากคริสตจักรที่มีสันตะปาปาเป็น ผู้ปกครอง และจาก
จักรพรรดแิ หง่ จักรวรรดโิ รมนั อนั ศกั ดิ์สทิ ธ์ิ เน่ืองจากสันตะปาปาเขา้ ไปยุ่งเกย่ี ว และใช้อำนาจทางการเมือง
3. การศึกษาในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ทำให้ชาวยุโรปเห็นว่ามนุษย์สามารถทำความ เข้าใจคัมภีร์ไบเบิลได้
ดว้ ยตนเองมากกว่าทจี่ ะผา่ นพิธีกรรมของศาสนจักร
4. สันตะปาปาจเู ลียสที่ 2 (JULIUS II) และสันตะปาปาลีโอที่ 1 ตอ้ งการหาเงินในการ ก่อสร้างมหาวิหารเซนต์
ปีเตอร์ที่กรุงโรม จึงส่งคณะสมณทูตมาขาย “ใบไถ่บาป” ในดินแดน เยอรมนี เนื่องจากเป็นแนวคิดของชาว
คริสตว์ า่ พระเปน็ เจา้ สง่ พระเยซูคริสต์มาช่วยมนุษย์ใหพ้ ้น จากบาป เรียกวา่ การไถ่บาป (REDEMPTION) ด้วย
การเสียสละพระชนม์ชีพ การไถ่บาปจะเป็นการ เปิดทางให้มนุษย์ได้รับการอภัยโทษ และกลับมามี
ความสมั พันธก์ บั พระเจ้าและเพอ่ื นมนุษย์ได้ อยา่ งถูกตอ้ ง
การเรม่ิ ตน้ ปฏิรูปศาสนา
การปฏิรูปศาสนาเริ่มต้นในดินแดนเยอรมนีใน ค.ศ. 1517 เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ (MARTIN LUTHER : ค.ศ.
1483-1546) นักบวชชาวเยอรมันและเป็นผู้สอนเทววิทยาสายคัมภีร์ (BIBLICAL THEOLOGY) แห่ง
มหาวิทยาลัยวิทเทนบรู ก์ (WITTENBURG) ใน เยอรมนี ไดเ้ ขียนญัตติ 95 ขอ้ (NINETY-FIVE THESES) คดั คา้ น
การขายใบไถ่บาปตดิ ไว้หน้ามหาวิหารแหง่ เมืองวิทเทนบูร์ก ญัตติ ของเขาได้รบั การสนับสนุนอย่ากว้างขวางใน
18
เยอรมนี แต่ผ้นู ำ ของคริสตจักรได้ลงโทษเขา โดยประกาศใหเ้ ขาเปน็ บุคคลนอก ศาสนา (การบัพพาชนียกรรม
: EXCOMMUNICATION) แต่เจา้ ชาย เฟรเดอรกิ (FRIEDERICK THE WISE) ผู้ครองแคว้นแซกโซนีได้ให้ ความ
อุปถัมภ์เขาไว้ และให้เขาแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษา เยอรมัน ทำให้ความรู้ด้านศาสนาแพร่หลายไปทั่ว
นอกจากนี้เขา ได้ก่อต้งั นิกายลูเธอร์ (LUTHERANISM) ซ่งึ ไดแ้ พรข่ ยายไปทัว่ เยอรมนีและสแกนดเิ นเวยี
ในสวิตเซอร์แลนด์ได้เกิดการปฏริ ูปศาสนาเช่นกัน โดยเริ่มจากอุลริค ชวิงลี (ULRICH ZWINGLI : ค.ศ. 1484-
1531) ชาวเยอรมัน ไฮริช บูลลิงเจอร์ (HEINRICH BULLINGER) และจอห์น คาลวิน หรือกัลแวง (JOHN
CALVIN : ค.ศ. 1509-1564) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิคาลวินส์ (นิกายกัลแวง : CALVINISM) ท่ี
แพร่หลายในสวติ เซอร์แลนด์ ฝร่ังเศส และสกอตแลนด์
ในอังกฤษ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทรงขัดแย้งกับสันตะปาปา เรื่องการหย่าขาดกับพระมเหสี องค์เดิมของพระองค์
คือ พระนางแคเธอรีนแห่งอารากอน (CATHERINE OF ARAGON) เพื่ออภิเษก สมรสใหม่ พระองค์จึงให้
อังกฤษแยกตวั ทางศาสนาออกจากศาสนจักรที่กรุงโรม โดยแตง่ ตั้ง สังฆราชแห่งแคนเทอร์บิวรี (ARCHBISHOP
OF CANTERBURY) ขึน้ ใหม่ ต่อมาใน ค.ศ. 1563 กษัตริย์ อังกฤษ (สมเดจ็ พระราชนิ นี าถ เอลซิ าเบทที่ 1) ทรง
ประกาศตั้งนิกายอังกฤษหรือนิกายแองกลิคัน (ANGLICAN CHURCH) โดยกษัตริย์อังกฤษเป็นประมุขของ
ศาสนา นิกายนี้มีลักษณะเด่นคือ การ ยอมรับและรักษาพิธกี รรมต่างๆ ของนิกายโรมันคาทอลกิ แต่ไม่ยอมรับ
นบั ถอื สันตะปาปาท่ีกรุงโรม
ในฝรั่งเศส ลัทธิคาลวินได้แพร่หลายในฝรั่งเศสในกลุ่มที่เรียกว่า พวกอูเกอโนต์ (HUGUENOT) ซึ่งถูกรัฐบาล
ปราบปรามอยา่ งหนักในคริสตศ์ ตวรรษที่ 16
การปฏิรูปได้แพร่ขยายจากเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ ฮอลแลนด์ และกลุ่มสแกน- ดิเนเวีย ไปยัง
ประเทศอื่นๆ ในยุโรป และมีการต่อต้านทุกแห่ง การต่อต้านอย่างรุนแรงเกิดขึ้นใน ฝรั่งเศสและสเปน จน
กลายเป็นสงครามศาสนา
นิกายทางศาสนาที่เกิดขึ้นใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นี้ คือ นิกายโปรเตสแตนต์ (PROTESTANTISM) ซึ่ง
หมายถึงผคู้ ัดค้าน ซง่ึ ต่อมาไดแ้ ยกเป็นนิกายตา่ งๆ มากมาย เชน่ นิกาย ลเู ธอรแ์ รน นกิ ายรีฟอรม์ นกิ ายเพรสไบ
ทีเรยี น นกิ ายแองกลคิ ัน เป็นต้น
การปฏริ ูปศาสนาของคริสตจกั ร
เม่อื มีการปฏิรปู ศาสนาในดินแดนตา่ งๆ นกั บวชและชาวครสิ ต์บางคนไดร้ วมตัวกนั ตอ่ ต้าน และปฏริ ูปตนเอง
รวมทงั้ ชกั ชวนใหค้ ริสตศ์ าสนิกชนอื่นๆ ทำตาม บางท่านมผี ู้เลือ่ มใสและยกย่อง ให้เป็นนักบุญ เช่น บริจิตต์แห่ง
สวีเดน (BRIGITT OF SWEDEN) ฟรังซีสแห่งปาโอลา (FRANCIS OF PAOLA) ในอิตาลี และพวกปัญญาชน
19
พยายามศึกษาเรื่องศาสนาและเผยแพร่สู่ประชาชน ซึ่งการ ปฏิรูปดังกล่าวเปน็ การปฏิรูปจากคริสต์ศาสนกิ ชน
เบื้องลา่ ง แต่เมือ่ การปฏริ ูปศาสนาลุกลามไป อยา่ งรวดเร็ว ครสิ ตจกั รจึงได้หาทางยับย้งั ดงั น้ี
1. การประชุมสังคายนาแห่งเทรนต์ (COUNCIL OF TRENT) ในระหว่าง ค.ศ. 1545-1547 และ ค.ศ. 1562-
1563 เพ่อื กำหนดระเบยี บวินัยภายในคริสตจักร ยกเลกิ การขายใบไถ่บาป และ ใหใ้ ชภ้ าษาพื้นเมืองในการสอน
ศาสนา
2. การปรับปรุงระเบียบวินัยของนักบวชและตั้งคณะนักบวชเพื่อการปฏิรูป เช่น คณะเยซูอิต ตั้งขึ้นใน ค.ศ.
1534 เพื่อจดั ต้ังโรงเรียนสอนศาสนาและเผยแผศ่ าสนาไปยังประเทศ ตา่ งๆ
การปฏิรูปศาสนาของคริสตจักรทำให้เกิดมิชชันนารีจำนวนมาก เพื่อเผยแผ่คำสอนของ โรมันคาทอลิกไปท่ัว
โลก
การปฏวิ ัติทางวทิ ยาศาสตร์
การฟ้นื ฟูศลิ ปวิทยาการในชว่ งคริสตศ์ ตวรรษที่ 14-16 ถอื ว่าเปน็ การเริ่มตน้ ของการปฏวิ ัติ ทางวิทยาศาสตร์
เนื่องจากเป็นผลมาจากความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ การแสวงหาความรู้ใหม่ด้วย การสังเกต ทดลอง และการใช้
เหตุผล ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ศิลปินที่สำคัญต่างๆ ต่างใช้หลัก วิชากายวิภาคศาสตร์ เช่น กล้ามเนื้อและ
โครงสร้างของมนุษย์มาสรา้ งสรรคง์ านศิลปกรรม ทั้ง งานจิตรกรรมและประติมากรรมท่ีเน้นสัดส่วนและความ
งดงามของสรีระของมนุษย์อย่างแท้จริง ความสนใจในเรื่องการเดินเรือทำให้มนุษย์ในยุโรปสมัยกลางคิด
ประดษิ ฐเ์ ครื่องมือสำหรบั การ เดนิ ทาง เชน่ เลนสส์ ำหรบั กล้องส่องทางไกลและกล้องดดู าว พัฒนาเทคนิคการ
ตอ่ เรอื เปน็ ต้น
จากยุคโบราณถึงยุคกลาง การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และปรัชญาเป็นวิชาแขนงเดียวกัน นอกจากนี้คริสต์
ศาสนายังมีอิทธิพลครอบงำความรู้ด้านต่างๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จึงมีการแยกวิชาปรัชญาออกจาก
วิทยาศาสตร์ ซึ่งในระยะแรกเป็นการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติ ส่วนปรัชญา เป็นเรื่องการศึกษาความคิด วิธี
การศกึ ษาในชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 16 ก็เปลยี่ นไปจากเดิมมาก ซ่งึ แต่เดมิ เปน็ ความเช่ือตามศาสนาและเช่ือตาม
นกั ปราชญโ์ บราณ ในยุคนปี้ ญั ญาชนไดใ้ ช้วิธีสงั เกต คดิ ประดิษฐอ์ ุปกรณ์มาชว่ ยในการสังเกต และใช้การทดลอง
อย่างมีเหตุผล ทำให้วิทยาศาสตร์ ก้าวหน้ามากขึ้น ช่วยให้การศึกษาคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ มีความลึกซ้ึง
มากกว่าเดมิ นอกจากน้ี ยงั ทำใหเ้ กดิ ความรู้ดา้ นอืน่ ๆ พฒั นาขนึ้ ด้วย
นักวทิ ยาศาสตร์และผลงาน
นักวิทยาศาสตร์และผลงานในช่วงนี้ ได้แก่ 1.นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (NICOLUS COPERNICUS : ค.ศ. 1473-
1543) ชาวโปแลนด์ เสนอทฤษฎีว่าดวงอาทิตย์เป็น ศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีดาวเคราะห์รวมทั้งโลก
หมุนรอบ ดวงอาทิตย์ ทฤษฎีของเขาล้มล้างความเชื่อของคนในสมัย โบราณและสมัยกลางที่ยึดถือข้อ
20
สมมตฐิ านของอริสโตเติล (ARISTOTLE) และงานเขียนของโตเลมี (PTOLEMY) ทอ่ี ธิบายว่า โลกเปน็ ศูนย์กลาง
ของจักรวาล
2. กาลิเลโอ กาลเิ ลอิ (GALILEO GALILEI : ค.ศ. 1564- 1642) ชาวอติ าลีไดป้ ระดษิ ฐก์ ลอ้ งโทรทศั น์ เพ่ือสังเกต
การโคจรรอบ ดวงดาว ทำให้นักดาราศาสตร์ได้รับความรู้เกี่ยวกับจักรวาลและการ เคลื่อนที่ในระบบสุริย
จักรวาลตามทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส ทฤษฎีของ กาลิเลโอขัดแย้งกับคริสต์ศาสนา ทำให้ถูกลงโทษจาก
ครสิ ตจกั ร
3. เซอร์ ฟรานซิส เบคอน (SIR FRANCIS BACON : ค.ศ. 1561-1626) ชาวอังกฤษได้วางรากฐานการศึกษา
งานด้าน วทิ ยาศาสตร์ จนในทีส่ ดุ ทำให้มีการจดั ตง้ั ราชบัณฑิตยสมาคม ที่ เรยี กวา่ THE ROYAL SOCIETY OF
LONDON FOR THE PROMOTION OF NATURAL KNOWLEDGE ขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้นคว ้าทาง
วิทยาศาสตร์
4. เรอเน เดส์การ์ส (RENE DESCARTES : ค.ศ. 1596- 1650) ชาวฝรั่งเศสได้เสนอหลักการใช้เหตุผล และ
การศึกษาค้นคว้า วิจัยในการแสวงหาความรู้และการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ว่า สามารถนำมาพิสูจน์และ
ตรวจสอบข้อเทจ็ จรงิ ได้
5. เซอร์ ไอแซก นวิ ตนั (SIR ISAAC NEWTON : ค.ศ. 1642- 1727) ชาวอังกฤษคน้ พบกฎแรงดึงดดู (LAW OF
UNIVERSAL ATTRACTION) และกฎแห่งความโน้มถ่วง (LAW OF GRAVITY) ซึ่งเป็นผลให้นัก วิทยาศาสตร์
อธิบายการโคจรของโลกและดาวเคราะหต์ า่ งๆ ที่หมนุ รอบ ดวงอาทิตยไ์ ด้
สาเหตทุ ีท่ ำให้เกิดการปฏวิ ัตทิ างวทิ ยาศาสตร์
สาเหตทุ ่ที ำให้เกดิ การปฏวิ ตั ทิ างวทิ ยาศาสตร์ มีดงั นี้
1. การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เป็นผลให้ชาวยุโรปสนใจใฝ่หาความรู้และกระตือรือร้นที่จะ หาความรู้ ใหม่ๆ
นอกจากนรี้ ะบบการพิมพก์ ก็ า้ วหนา้ ข้นึ ทำใหป้ ระชาชนสนใจทจ่ี ะศกึ ษามากขนึ้
2. การสำรวจทางทะเลและการค้นพบดินแดนใหม่ๆ ทำให้ชาวยุโรปพบเห็นสิ่งใหม่ๆ พืชพันธุ์ใหม่ คนต่างเช้ือ
ชาติตา่ งวฒั นธรรม ทำให้เกิดอยากเรยี นรเู้ สาะหาข้อเทจ็ จริงใหมๆ่ ยงิ่ ขน้ึ
ผลของการปฏิวัติทางวทิ ยาศาสตร์
ผลของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ มีดงั นี้
1.ทำให้เกิดความรู้ใหม่แตกแยกออกไปหลายสาขา ทั้งคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ พฤกษศาสตร์ และ
การแพทย์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในงานต่างๆ เช่น การประดิษฐ์นาฬิกา การคำนวณ
การยิงปืนใหญ่ มกี ารจดั ตง้ั ราชบัณฑติ ยสถานทาง วิทยาศาสตร์ที่องั กฤษใน ค.ศ. 1662
21
2. มีอิทธิพลต่อความคิดและความเชื่อของชาวยุโรป ทำให้ชาวยุโรปเชื่อมั่นตนเอง และเชื่อมั่นในอนาคตว่าจะ
สามารถนำความสำเรจ็ มาสู่ชีวติ ได้ ทำใหเ้ กดิ ความปรารถนาท่จี ะเรยี นรู้ และประดษิ ฐ์สง่ิ ตา่ งๆ
3. นำไปสู่การปฏิวัติทางภูมิปัญญา (INTELLECTUAL REVOLUTION) ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อีกด้วย ซึ่ง
หมายถึงยุคที่ชาวยุโรปกล้าใช้เหตุผลแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง ตลอดจนเรียกร้องสิทธิ
เสรีภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เกิดนักปรัชญา ทางการเมืองที่สำคัญ เช่น วอล์แตร์ (VOLTAIRE)
และมองเตสกิเออร์ (MONTESQUICU) ซึ่งเป็น พื้นฐานสำคัญทำให้ตะวันตกเข้าสู่ความเจริญในยุคใหม่
คริสต์ศตวรรษที่ 18 จึงได้รับสมญาว่าเป็น ยุคแห่งความรู้แจ้งหรือยุคภูมิธรรม ( THE AGE OF
ENLIGHTENMENT) อนั เปน็ ความคิดพนื้ ฐานของ การปกครองระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา
การปฏวิ ัติอุตสาหกรรม
การปฏิวัติอุตสาหกรรม (INDUSTRIAL REVOLUTION) หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงใน วิธีการผลติ
และระบบการผลิต จากเดิมระบบการผลิตมักทำกันภายในครอบคัว พ่อค้ามักเป็น นายทุนซื้อวัตถุดิบแล้ว
แจกจ่ายให้แต่ละครอบครัวรับมาทำ แล้วพ่อค้าจะรับผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จ แล้วไปขาย คนงานก็จะได้ค่าจ้างเป็น
การตอบแทน การผลติ สินคา้ เดมิ ใช้แรงงานคน แรงงานสัตว์ รวมทัง้ พลงั งานจากธรรมชาติ เครอื่ งมอื แบบง่ายๆ
มาเป็นการใช้เคร่ืองจักรกลแทน เริ่มจากแบบ งา่ ยๆ จนถงึ แบบซับซ้อนท่ีมีกำลังผลติ สูง จนเกดิ เป็นการผลิตใน
ระบบโรงงาน (FACTORY SYSTEM) การผลิตภายในครอบครัวก็ค่อยๆ หมดไป และผู้คนจำนวนมากตาม
ชนบทต้องอพยพเข้ามาทำงาน เปน็ กรรมกรในโรงงาน
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกเกิดในประเทศอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้แพร่ ขยายไปยังประเทศ
ตะวันตกอืน่ ๆ ทัว่ โลก การปฏิวัติอตุ สาหกรรมนบั เป็นปรากฏการณใ์ หม่ท่ีมผี ล กระทบต่อการเมืองการปกครอง
สงั คม เศรษฐกิจ และวฒั นธรรมของมนษุ ยชาตทิ ั่วโลก
องั กฤษ : ผู้นำการปฏิวตั อิ ุตสาหกรรม
การปฏวิ ัตอิ ตุ สาหกรรมเริ่มตน้ ที่อังกฤษเพราะองั กฤษมีปจั จยั สนับสนุนการขยายตัวทาง อตุ สาหกรรมครบถ้วน
คือ มีทุน วัตถดุ ิบ แรงงาน และตลาดการคา้
อังกฤษเป็นผู้นำในการปฏิวัตเิ กษตรกรรม (AGRICULTURAL REVOLUTION) โดยนำความรู้ทาง วิทยาศาสตร์
มาปรับปรุงการเกษตรใหพ้ ัฒนาข้ึน โดยในคริสต์ศตวรรษที่ 16 อังกฤษนำระบบล้อม เขตที่ดิน (ENCLOSURE
SYSTEM) มาใช้เพ่ือเพิม่ ผลผลิตทางเกษตรอยา่ งแพร่หลาย ซงึ่ เป็นผลให้เจ้าของที่ดินรายใหญ่สามารถรวบรวม
ที่ดนิ ของตนเปน็ ผืนใหญ่ และสร้างรัว้ ลอ้ มทด่ี ินของตนเพ่ือ ป้องกันความเสียหายของพชื ผลจากการทำลายของ
คนและสัตว์ นอกจากนี้ยังนำวิทยาการใหม่ๆ มาใช้ในการผลิต การปรับปรุงวิธีการทำนาให้มีประสิทธิภาพ
ยง่ิ ขึ้น การปฏวิ ตั เิ กษตรกรรมนำไปสู่ การปฏิวตั อิ ุตสาหกรรม
22
การเกษตรกรรมในอังกฤษได้ผลดขี ึ้น ทำใหก้ ารค้าขายเจริญรุ่งเรืองขึน้ ประเทศมคี วาม มงั่ คั่งขึน้ ใน ค.ศ. 1694
รัฐบาลจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BANK OF ENGLAND) เพื่อเป็น แหล่งระดมทุนของรัฐ ทรัพยากร
มนุษย์ของอังกฤษก็มีความพร้อมสนับสนุนการปฏิวัติอุตสาหกรรม เพราะชาวอังกฤษไม่เคร่งครัดต่อการ
แบ่งแยกชนช้ัน เช่น สงั คมอนื่ ๆ ในยโุ รป ท้ังยังใหก้ าร ยอมรบั ชนทุกชั้นที่สามารถสรา้ งฐานะเปน็ ปึกแผ่น ดังน้ัน
ขนุ นางอังกฤษจึงไมร่ ังเกยี จที่จะทำการค้า เชน่ เดียวกับคนชนั้ กลางทพ่ี ยายามยกสถานภาพทางเศรษฐกิจให้เท่า
เทียมขุนนาง นอกจากนี้รัฐยังส่งเสริมให้การค้าขยายตัว เช่น มีการออกพระราชบัญญัติสร้างถนน ท่าจอดเรือ
และขุดคูคลอง ต่างๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นเส้นทางคมนาคมทางการค้า มีการยกเลิกการเก็บภาษีผ่าน
ด่าน และมีนโยบายการค้าแบบเสรี ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้มีการขยายตัวของตลาดการค้าภายในอย่าง
กวา้ งขวาง
ปจั จัยสำคญั ท่ที ำให้อังกฤษเป็นประเทศผู้นำการปฏิวัติอตุ สาหกรรม เน่ืองจากในระหว่าง ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 17-
18 อังกฤษมีอาณานิคมที่อยู่โพ้นทะเลที่เป็นแหล่งวัตถุดิบและตลาดท้ังใน ทวีปเอเชียและอเมริกา จนในที่สุด
การค้าได้กลายเป็นนโยบายหลักของประเทศ เรือรบของอังกฤษ ทำหน้าที่รักษาเส้นทางทางการค้าทางทะเล
และให้ความคุ้มครองแก่เรือพาณิชย์ที่เดินทางไปค้าขายทั่วโลก สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ทำให้ชาวอังกฤษคิดค้น
ประดษิ ฐเ์ ครอ่ื งจกั รมาใช้ในโรงงาน อุตสาหกรรมอยา่ งต่อเนื่อง
การปฏิวัติอุตสาหกรรมแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมระยะแรกใน ระหว่าง ค.ศ 1760-
1840 เป็นระยะที่มีการประดิษฐ์เครื่องจักรช่วยในการผลิตและการปรับปรุง โรงงานอุตสาหกรรมให้มี
ประสทิ ธิภาพ และการปฏวิ ัตอิ ุตสาหกรรมระยะท่ี 2 ระหว่าง ค.ศ. 1861- 1865 เปน็ การปรับปรงุ การคมนาคม
ส่อื สาร ซึ่งเปน็ ผลมาจากความสำเรจ็ ของอตุ สาหกรรมเหล็ก และเคร่ืองจักรไอน้ำ
การปฏิวัติอุตสาหกรรมในระยะแรก คือ การประดิษฐ์เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมการ ทอผ้า เช่น ใน ค.ศ.
1733 จอห์น เคย์ (JOHN KAY) แห่งเมืองแลงคาเชียร์ (LANCASHIRE) ได้ประดิษฐ์กี่กระตุก (FLYING
SHUTTLE) ซึ่งช่วยให้ชา่ งทอผ้าสามารถผลติ ผ้าได้มากกว่าเดิมถึง 2 เท่า ค.ศ. 1764 เจมส์ ฮาร์กรีฟส์ (JAMES
HARGREAVES) สามารถผลิตเครื่องปั่นด้าย (SPINNING JENNY) ไดส้ ำเรจ็ ตอ่ มา ค.ศ. 1769 รชิ าร์ด อาร์กไรต์
(RICHARD ARKWRIGHT) ได้ปรับปรุง เครื่องปั่นด้ายให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึน้ และพัฒนาเป็นเครื่องจักรกลที่
ใช้พลังน้ำหมุนแทนพลงั คนเรียกวา่ WATER FRAME ทำให้เกิดโรงงาน ทอผ้าตามริมฝัง่ แม่น้ำทว่ั ประเทศ มีการ
ขยายตัวทำไร่ฝ้ายในอเมริกา ต่อมาวิตนีย์ (ELI WHITNEY) สามารถประดิษฐ์เครื่อง แยกเมล็ดฝ้ายออกจากใย
(COTTON GIN) ได้เมื่อ ค.ศ. 1793 การพัฒนาอุตสาห- กรรมการทอผ้าของอังกฤษเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จนถึงครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 19
23
ผลของการปฏิวตั อิ ตุ สาหกรรม
ผลของการปฏิวัตอิ ตุ สาหกรรม มดี ังน้ี
1. ประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะความ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และทางด้านการแพทย์
เจริญก้าวหน้า ขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความสมบูรณ์ของอาหาร ระบบ สาธารณสุขและการดูแลสุขภาพ
อนามัย การเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการอพยพจากชนบทมาหางานทำใน เมืองจนเกิดปัญหา
ความแออดั ของประชากรในเขตเมือง
2. การกอ่ สร้างอาคารบ้านเรือนและสถาปัตยกรรม พัฒนากา้ วหนา้ มากขึน้ เพราะการพัฒนาอุตสาหกรรมและ
เทคโนโลยีการก่อสร้าง ทำให้อาคารแข็งแรงขึ้น การออกแบบ ก่อสร้างหอไอเฟล (EIFFEL TOWER) ที่กรุง
ปารสี ประเทศฝรง่ั เศสใน ค.ศ. 1889 ถือเปน็ สัญลกั ษณข์ องการเร่มิ ตน้ การก่อสร้างท่ี ทันสมัยของโลก
3. เกิดปัญหาสังคมตา่ งๆ มากมาย เช่น ชุมชนแออัด การแพร่กระจายของเชื้อโรค ปัญหาอาชญากรรม การใช้
แรงงานเด็ก การเอารัดเอาเปรียบกัน ทำให้เกิดแนวคิดของ ลัทธิสังคมนิยม (SOCIALISM) ของคาร์ล มาร์กซ์
(KARL MARX) ที่เรียกรอ้ งให้กรรมกรรวมพลังกันเพอ่ื ก่อการปฏิวัติโค่นล้มระบบ ทนุ นยิ ม ทำใหล้ ัทธิสังคมนิยม
มีบทบาทและอิทธิพลมากข้นึ
4. เกิดลัทธิเสรีนิยม (LIBERALISM) ซึ่งเป็นพืน้ ฐานการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยและ แนวคิดนี้แพรห่ ลาย
กว้างขวางขึ้น ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ค.ศ. 1776 แอดัม สมิธ (ADAM SMITH) ได้พิมพ์งานเขียนชื่อ
THE WEALTH OF NATIONS เพื่อเสนอแนวคิดว่าความมั่งคั่งของ ประเทศจะเกิดจากระบบการค้าแบบเสรี
(LAISSEZ FAIRE)
กล่าวได้ว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อให้เกิดการแบ่งค่ายระหว่างลัทธิทุนนิยมกับลัทธิ สังคมนิยมอย่างเป็น
รูปธรรม ต่อมาใน ค.ศ. 1889 ได้มีการประกาศให้วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันเมย์เดย์หรือวันแรงงาน
สากล (MAY DAY) นอกจากนี้ยังทำให้เกิดวรรณกรรมแนวสจั นิยม (REALISM) ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ท่ี
พยายามเสนอเร่ืองความเปน็ จริงเบื้องหลงั ความสำเรจ็ ของระบบสังคมอุตสาหกรรม ท่ชี นชน้ั กรรมกรมีชีวิตที่
ยากไร้และถูกเอารดั เอาเปรยี บ
5.การปฏิวัติทางอุตสาหกรรมได้ขยายไปทั่วภูมิภาคต่างๆ ของโลก ทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง ทางด้าน
เศรษฐกิจและสังคม การเมอื ง และทำใหป้ ระเทศต่างๆ เหลา่ นมี้ ี “วัฒนธรรมร่วม” ตามตะวันตกไปดว้ ย
การปฏิวตั ิทางภมู ิปญั ญา
การปฏวิ ัตทิ างภูมปิ ัญญาเป็นผลสืบเน่ืองจากการฟื้นฟศู ิลปวิทยาการ ซงึ่ กระตนุ้ ให้ ชาวยุโรปสนใจศึกษาหา
ความรแู้ ละค้นหาความจริง ทำใหย้ ุโรปพ้นจากยุคมดื มีโอกาสแสวงหา ความรวู้ ทิ ยาการแขนงใหม่ที่มีอิสรภาพ
24
และเสรีภาพมากขึ้น ส่งผลให้ชาวยุโรปมีความคิดก้าวหน้า ทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง เกิดนักคิด นัก
ปรชั ญาข้ึนมากมาย ซึง่ อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17-18
บคุ คลสำคญั ทีไ่ ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ ผนู้ ำในการปฏวิ ตั ทิ างภูมปิ ัญญา ได้แก่
1. พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชแห่งปรัสเซีย (FREDERICK THE GREAT : ค.ศ. 1740-1786) ทรงได้รับการยก
ย่องว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของ กษัตริย์ทรงภูมิธรรม (ENLIGHTENED DESPOTISM) ด้วยทรงใช้สติปัญญา และ
เหตุผลในการปกครอง ส่งเสริมการอุตสาหกรรมและการค้าเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ทรงใช้หลัก
ขันติธรรมทางศาสนา (RELIGIOUS TOLERATION) ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการนับถือศาสนา และเปิด
โอกาสใหป้ ญั ญาชนสามารถแสดง ความคดิ เห็นได้อย่างกว้างขวาง
2. ธอมสั ฮอบส์ (THOMAS HOBBES : ค.ศ. 1586-1679) เปน็ นกั ปรชั ญาชาวอังกฤษ เขาได้เขยี นหนังสือเรื่อง
LEVIATHAN ซึ่ง แสดงแนวคิดทางการเมืองว่า สังคมการเมืองทีอ่ ยูอ่ ยา่ งสันติสขุ ต้อง มอบอำนาจให้ผูป้ กครอง
ทำหน้าที่ปกครองประชาชน ทั้งนี้ประชาชนมีสิทธเิ ลือกการปกครองที่สอดคล้องกับความต้องการของคนส่วน
ใหญ่
3. จอหน์ ลอ็ ค (JOHN LOCKE : ค.ศ. 1632-1704) เป็นนกั ปรชั ญาชาวองั กฤษ เขาไดเ้ ขยี นหนังสือเรอ่ื ง TWO
TREATISES OF GOVERNMENT ซง่ึ เสนอแนวคดิ วา่ รฐั บาลต้องจัดตงั้ โดยความยินยอมของ ประชาชนและต้อง
รบั ผดิ ชอบความเป็นอยู่ของประชาชน
4. บารอน เดอ มองเตสกิเออ (BARON DE MONTESQUIEU : ค.ศ. 1689-1755) เป็นขุนนางชาวฝรั่งเศสซ่ึง
ต่อมาเป็นราชบัณฑิตของ ราชบัณฑิตยสถานของฝรัง่ เศส เขาได้เขียนหนังสือเรื่อง THE SPIRIT OF LAWS ซ่ึง
เสนอว่ากฎหมายที่รัฐบาลบัญญัติขึ้นต้องสอดคล้องกับสังคมนั้น(วัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ของ
แตล่ ะสงั คม) เขาชน่ื ชม ระบอบการปกครองของอังกฤษท่ีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนญู และแบง่ อำนาจนิติบัญญัติ
บรหิ าร และตุลาการ ออกจากกนั
5. วอลแตร์ (VOLTAIRE : ค.ศ. 1694-1778) นักปรัชญาชาว ฝรั่งเศส ได้เขียนหนังสือเรื่อง THE
PHILOSOPHICAL LETTERS หรอื LETTERS ON THE ENGLISH ซ่ึงไดโ้ จมตีสถาบนั และกฎระเบียบตา่ งๆ ของ
ฝรั่งเศส และเรียกร้องให้มีการปฏิรูป ในหนังสือเรื่อง ELEMENTS OF THE PHILOSOPHY OF NATION,
ESSAY ON UNIVERSAL HISTORY และ เร่ือง THE AGE OF LOUIS XIV เขาเสนอให้ใช้เหตุผลและสตปิ ัญญา
แก้ไขปัญหาสังคมและการเมอื ง
6. ชอง-ชาคส์ รุสโซ (JEAN-JACQUES ROUSSEAU : ค.ศ. 1712-1778) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส หนังสือท่ี
สำคัญคือเรื่อง สัญญาประชาคม (THE SOCIAL CONTRACT) ซึ่งถือว่าเป็นการ วางรากฐานแนวคิดเกี่ยวกับ
อำนาจอธิปไตยของประชาชน เพราะ มนษุ ย์เป็นอสิ ระ ควรจดั ตัง้ รปู แบบการปกครองทใี่ หป้ ระชาชนร่วม ทำ
25
บรรณานกุ รม
สมยั กลางหรือยุคมืด. //สบื ค้น 10 ตุลาคม 2565. /แหล่งที่มา/
https://www.watnyanaves.net/en/book-reading/341/21
วกิ ิพเี ดยี . (สืบค้น 10 ตลุ าคม 2565). ระบบฟวิ ดัล. https://www.wikiwand.com/th
วิกพิ เี ดยี . (สืบคน้ 10 ตลุ าคม 2565). สงครามครเู สด. https://th.wikipedia.org/wiki
Esposito, John. (สืบค้น 18 ตุลาคม 2565). เหตกุ ารณ์สำคัญในสมยั กลางถึงครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20ใน.
https://th.wikipedia.org/wiki
นาโชค อุ่นเวียง. (สบื ค้น 18 ตุลาคม 2565). ประวตั ิศาสตร์สมยั กลางหรือยคุ มืด.
https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/34761
26