The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เกี่ยวกับความหมายของพันธุกรรม การค้นพบความรู้ทางพันธุศาสตร์ โครโมโซมและยีน โรคทางพันธุกรรม และมิวเทชัน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ratchaneekornp1234, 2021-09-17 00:10:55

การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม

เกี่ยวกับความหมายของพันธุกรรม การค้นพบความรู้ทางพันธุศาสตร์ โครโมโซมและยีน โรคทางพันธุกรรม และมิวเทชัน

Keywords: การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม

นางสาวรัชนกี ร ปิงหม่นื ผู้จดั ทำ

คำนำ

บทเรียนโมดูลชุดที่ 1 เรื่องการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม ฉบับนี้ ข้าพเจ้าเรียบเรียงขึ้นเพื่อ
ใช้ประกอบการเรยี นร้วู ิชาวิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาอาชีพธุรกจิ และบริการ รหัสวิชา 20000 – 1303 ระดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ โดยพยายามเรียบเรียงเนื้อหาให้เข้าใจง่าย โดยนักเรียนสามารถศึกษาได้ด้วย
ตนเอง เพื่อให้มึความรูพ้ ื้นฐานกอ่ นที่จะศึกษาเน้ือหานัน้ จรงิ ๆ และยังได้เพิม่ เติมเนือ้ หาบางตอน เพื่อช่วย
เสริมความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียน นอกจากนี้ยังได้เพิ่มใบกิจกรรมเสริมให้นักเรียนมีประสบการณ์
กวา้ งขวางขน้ึ

บทเรียนโมดูลชุดนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาเกี่ยวกับความหมายของพันธุกรรม
การค้นพบความรู้ทางพันธุศาสตร์ โครโมโซมและยีน โรคทางพันธุกรรม และมิวเทชัน ภายในโมดูลเล่มน้ี
ประกอบด้วยคำแนะนำในการใช้บทเรียนโมดูล จุดประสงค์การเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน เนื้อหา ใบ
กิจกรรม แบบทดสอบหลังเรียน รวมทั้งเฉลยใบกิจกรรมและแบบทดสอบ บทเรียนโมดูลนี้นักเรียน
สามารถศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเองและเรียนร้กู นั เปน็ กลุ่มเล็กๆ

ผู้จดั ทำหวังเป็นอย่างยิง่ วา่ บทเรยี นโมดลู ชุดน้ีจะชว่ ยใหน้ ักเรียน ได้รบั ความรู้ความเขา้ ใจ เกีย่ วกับ
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมและส่งผลให้ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรียนสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม
ในบทเรียนโมดูลเล่มนี้อาจมีบางจุดที่มีข้อบกพร่องผิดพลาด ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบ
ด้วยจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้ายินดีรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากท่าน และพร้อมที่จะ
นำมาแก้ไขปรับปรงุ บทเรียนโมดลู เลม่ น้ใี หม้ ีความสมบรู ณ์และถูกต้อง

รชั นีกร ปงิ หม่ืน

สารบญั หนา้
1
เรื่อง 2
คำนำ 3
สารบัญ 4
คำชี้แจงในการใชม้ อดลู สำหรับนักเรียน 4
สมรรถนะการเรียนรู้ 5
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 7
แบบทดสอบก่อนเรยี น 9
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น 10
ความหมายของพนั ธุกรรม 16
การคน้ พบความรู้ทางพนั ธุกรรม 18
โครโมโซมและยีน 19
โรคทางพันธกุ รรม 21
มิวเทช่นั 23
ใบกจิ กรรมที่ 1.1 26
ใบกิจกรรมที่ 1.2 27
ใบกจิ กรรมท่ี 2.1 29
ใบกจิ กรรมท่ี 2.2 30
ใบกิจกรรมท่ี 3.1 31
ใบกิจกรรมที่ 4.1 32
ใบกิจกรรมที่ 5.1 33
ใบกจิ กรรมที่ 6.1 34
ใบกิจกรรมท่ี 6.2 35
ใบกิจกรรมที่ 7.1 37
แบบทดสอบหลงั เรยี น
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน

คำชแ้ี จงในการใช้โมดูลสำหรับนักเรียน

1. ครแู นะนำนักเรยี นเก่ียวกบั องค์ประกอบของบทเรียนโมดูล ชดุ ที่ 1 การถ่ายทอดลักษณะทาง
พันธกุ รรม
2. นกั เรียนศกึ ษา และตรวจสอบองค์ประกอบของบทเรยี นโมดูล ชุดที่ 1 การถ่ายทอดลักษณะทาง
พันธกุ รรม วา่ ครบถว้ นหรือไม่
3. นกั เรยี นศกึ ษา และปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามลำดบั ดงั น้ี

3.1 นกั เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี น
3.2 นักเรียนศกึ ษาเน้อื หาจากใบความรู้
3.3 นกั เรียนปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตามใบกจิ กรรม
4. ในระหว่างการปฏิบัตกิ ิจกรรม หากนักเรยี นมีข้อสงสยั สามารถซักถามเพ่อื ให้สามารถปฏิบัติ
กิจกรรมไดอ้ ย่างถกู ต้อง
5. เม่อื ปฏิบตั ิกิจกรรมในแตล่ ะช่วั โมง ครูและรกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายความรู้ และเฉลยคำตอบของ
การปฏบิ ตั กิ จิ กรรม
6. นักเรยี นรว่ มกนั ซกั ถาม และอภิปรายความรู้เกีย่ วกบั การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม
7. นักเรียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน

สมรรถนะการเรียนรู้
1. แสดงความรู้เก่ียวกับพันธกุ รรม
2. สำรวจเก่ยี วกบั การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมตามหลักพนั ธศุ าสตร์

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ดา้ นความรู้
1. บอกความหมายของพันธุกรรมและยกตัวอย่างลกั ษณะทางพนั ธุกรรมได้
2. นำความรตู้ ามกฎของเมนเดลไปใช้อภปิ รายลักษณะทางพันธกุ รรมได้
3. นำความรู้ทนี่ อกเหนือกฎเมนเดลไปใชอ้ ภปิ รายลักษณะทางพนั ธุกรรมได้
4. อธบิ ายโครงสรา้ ง ลกั ษณะ และหนา้ ที่ของยนี และโครโมโซมได้
5. นำความรเู้ รื่องโรคทางพันธุกรรมไปใช้อภิปรายถงึ ความผิดปกตขิ องสิ่งมชี วี ติ ได้
6. อภิปรายเกีย่ วกับความผดิ ปกติทเ่ี กดิ จากมิวเทชันได้

แบบทดสอบก่อนเรยี น

1. การถา่ ยทอดลักษณะของสง่ิ มีชีวติ จากรนุ่ หนง่ึ ไปยงั รนุ่ หนึง่ หมายถงึ ข้อใด
• วงจรชีวิต
• หว่ งโซอ่ าหาร
• พันธกุ รรม
• พนั ธุวิศวกรรม

2. ใครคือบิดาแหง่ พนั ธุศาสตร์
• เซอร์ไอแซก นวิ ตัน
• เกรเกอร์ เมนเดล
• ชารล์ ดารว์ นิ
• ทอมสั เอดิสัน

3. หน่วยที่ทำหนา้ ท่ีควบคุมลักษณะทางพันธกุ รรมของสงิ่ มีชวี ิต เรียกวา่ อะไร
• ยีน
• โครโมโซม
• DNA
• RNA

4. องคป์ ระกอบทางเคมีของดเี อ็นเอ (DNA) ประกอบด้วย
• นำ้ ตาล โปรตนี ฟอสโฟลพิ ิด
• นำ้ ตาล ไนโตรจนี ัสเบส โปรตนี
• น้ำตาล ไนโตรจนี ัสเบส ไกลโคเจน
• นำ้ ตาล ไนโตรจีนัสเบส หมู่ฟอสเฟต

5. โครโมโซมของมนุษย์มีกค่ี ู่
• 22
• 23
• 44
• 46

6. เซลลข์ องคนจะมโี ครโมโซมเพศเปน็ อยา่ งไร
• X ท้งั หมด
• ครงึ่ หน่งึ เป็น X และอีกครึ่งหน่งึ เปน็ Y
• XX
• XY

7. สำนวนท่วี า่ “ลกู ไม้หล่นไม่ไกลตน้ ” มีความหมายทางชีววิทยาอยา่ งไร
• การสบื พันธ์ุ
• การพึ่งพากนั
• การดำรงเผ่าพันธุ์
• การปรัปตวั ตอ่ สภาพแวดลอ้ ม

8. ตัวอสุจิทปี่ ฏิสนธิกับไข่ แลว้ ทำให้เกดิ ทารกเพศชายจะมีโครโมโซมเพศดงั ขอ้ ใด

•X

•Y

• XX

• XY
9. สง่ิ มีชวี ติ ใด มคี วามผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรม

• งเู ผือก

• เสือสมงิ

• ค้างคาวแม่ไก่

• หมปู ่า
10. ถา้ พ่อมีหมเู่ ลือด AB แม่มีหมู่เลอื ด O ลูกทีเ่ กิดมาจะมหี มู่เลอื ดอะไรบ้าง

• A, B, AB และ O

• A, B และ AB

• A, B และ O

• A และ B

เฉลย

1. การถา่ ยทอดลกั ษณะของส่ิงมีชวี ติ จากรนุ่ หนึ่ง ไปยังร่นุ หนึ่ง หมายถึงข้อใด
• วงจรชวี ิต
• หว่ งโซ่อาหาร
• พันธุกรรม
• พันธวุ ิศวกรรม

2. ใครคือบดิ าแห่งพนั ธุศาสตร์
• เซอรไ์ อแซก นวิ ตนั
• เกรเกอร์ เมนเดล
• ชาร์ล ดาร์วนิ
• ทอมสั เอดสิ ัน

3. หนว่ ยที่ทำหนา้ ที่ควบคุมลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสิง่ มชี ีวิต เรยี กว่า อะไร
• ยนี
• โครโมโซม
• DNA
• RNA

4. องค์ประกอบทางเคมีของดเี อ็นเอ (DNA) ประกอบด้วย
• น้ำตาล โปรตีน ฟอสโฟลพิ ิด
• นำ้ ตาล ไนโตรจนี สั เบส โปรตนี
• น้ำตาล ไนโตรจีนัสเบส ไกลโคเจน
• น้ำตาล ไนโตรจีนัสเบส หมฟู่ อสเฟต

5. โครโมโซมของมนษุ ย์มีก่ีคู่
• 22
• 23
• 44
• 46

6. เซลล์ของคนจะมีโครโมโซมเพศเปน็ อย่างไร
• X ทัง้ หมด
• ครง่ึ หนึง่ เปน็ X และอีกครึ่งหน่ึงเป็น Y
• XX
• XY

7. สำนวนท่วี า่ “ลกู ไม้หล่นไม่ไกลตน้ ” มีความหมายทางชีววิทยาอยา่ งไร
• การสบื พันธ์ุ
• การพึ่งพากนั
• การดำรงเผ่าพันธุ์
• การปรัปตวั ตอ่ สภาพแวดลอ้ ม

8. ตัวอสุจิทปี่ ฏิสนธิกับไข่ แลว้ ทำให้เกดิ ทารกเพศชายจะมีโครโมโซมเพศดงั ขอ้ ใด

•X

•Y

• XX

• XY
9. สง่ิ มีชวี ติ ใด มคี วามผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรม

• งเู ผือก

• เสือสมงิ

• ค้างคาวแม่ไก่

• หมปู ่า
10. ถา้ พ่อมีหมเู่ ลือด AB แม่มีหมู่เลอื ด O ลูกทีเ่ กิดมาจะมหี มู่เลอื ดอะไรบ้าง

• A, B, AB และ O

• A, B และ AB

• A, B และ O

• A และ B

ความหมายของพนั ธกุ รรม
พันธกุ รรม ( Heredity )

หมายถึง การถ่ายทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตจากรุ่น หนึ่งไปยังรุ่นหนึ่ง หรือจากบรรพบุรุษไปสู่
ลูกหลาน เช่น ลักษณะสีผิว ลักษณะเส้นผม ลักษณะสีตา เป็นต้น ถ้านักเรียนสังเกตจะเห็นว่าใน
บางครง้ั อาจมี คนทกั วา่ มลี กั ษณะ เสน้ ผมเหมอื นพ่อ ลกั ษณะสีตาคลา้ ยกับแม่ซ่งึ ลกั ษณะต่างๆ เหล่าน้ีจะ
ถกู สง่ ผ่านจาก พ่อแม่ไป ยังลกู ได้ หรอื สง่ ผา่ นจากคนรุ่นหน่งึ ไปยังคน รุ่นตอ่ ไป เราเรียกลักษณะ ดังกล่าว
ว่า ลักษณะทางพันธุกรรม (genetic character) ในการพิจารณาลักษณะ ต่างๆ ว่าลักษณะใดเป็น
ลกั ษณะทาง พนั ธุกรรมนนั้ จะตอ้ งพจิ ารณาหลายๆ รุ่น หรือหลายชั่วอายุ เพราะลักษณะทาง พันธกุ รรม
บางอย่างอาจไม่ปรากฏในรุ่นลกู แตอ่ าจปรากฏในร่นุ หลานได้

ลักษณะท่ีถ่ายทอดทางพันธุกรรม
กรรมพันธุ์หรือลักษณะต่างๆในสิ่งมีชีวิตสามารถถ่ายทอดไปสู่รุ่นต่อไปได้โดย ผ่านทางเซลล์

สืบพันธุ์ กล่าวคือ เมื่อเกิดการปฏิสนธิระหว่างเซลล์ไข่ ของแม่และอสุจิของพ่อ ลักษณะต่าง ๆ ของพ่อ
และแม่จะถา่ ยทอดไปยังลกู ตัวอยา่ งลักษณะทางพนั ธกุ รรม ได้แก่

การค้นพบความรู้ทางพันธกุ รรม
ความรู้ทางพันธุศาสตร์ในปัจจุบัน เป็นความรู้ที่ได้มาจากการศึกษาปรับปรุงพันธุ์พืช โครงสร้าง

และองค์ประกอบทางเคมีของเซลล์ ตลอดจนวิวัฒนาการของสิ่งมชี วี ิต ดงั น้ี

การศึกษาพันธุศาสตรข์ องเมนเดล

เกรเกอร์ เมนเดล
เกรเกอร์ เมนเดล (Gregor Johann Mendel) เกิดในปี พ.ศ.2365 ในเมืองไฮเซนดอร์ฟ ประเทศ
ออสเตรีย เมนเดลเป็นบุตรของชาวสวน จึงมีโอกาสได้เรียนรู้วิธีการดัดแปลงที่ดินแปลงเล็กๆ
ด้านหลังโบสถ์ให้เป็นแปลงทดลองทางพฤกษศาสตร์ควบคู่ไปกับงานสอนศาสนาของเขาด้วยรปรับปรุง
พนั ธพ์ุ ืชมาแตเ่ ยาวว์ ัย ต่อมาในวยั หน่มุ เมนเดลไดเ้ ขา้ เป็นนกั บวชในโบสถ์แห่งหนึ่ง ความรกั ธรรมชาติและ
ความสนใจศึกษาหาความรอู้ ยู่เสมอ เมนเดลเริม่ ทำงานค้นคว้าทางวทิ ยาศาสตรด์ ว้ ยการผสมพันธุ์พืช และ
สังเกตเห็นว่าในการผสมพันธุ์พืชนั้น จะมีลักษณะบางอย่างปรากฏขึ้นประจำ เช่น เมื่อนำถั่วลันเตาที่มี
ลักษณะต้นสูงผสมกับต้นเตี้ย มักจะมีลักษณะต้นสูงปรากฏอยู่ในรุ่นต่อๆ มาเสมอ แต่ว่าผลที่ได้มักจะ
ซับซ้อนจนไม่สามารถสรุปเป็นกฎเกณฑ์ได้ และนี่เองที่เป็นสาเหตุให้ผู้ทดลองผสมพันธ์ุพืชในรุ่นก่อนๆ ไม่
สามารถค้นหาระเบียบกฎเกณฑ์ของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ด้วยความเป็นนักคณิตศาสตร์
ประกอบกับความรู้พื้นฐานเรื่องการผสมพันธุ์พืช ทำให้เมนเดลปรับปรุงการทดลองเสียใหม่ โดยมีการ
วางแผนทด่ี ี คัดเลือกลกั ษณะท่ีจะใช้ในการศึกษา แลว้ เพ่งเลง็ เฉพาะลักษณะนน้ั คัดเลอื กพ่อพันธุ์ แม่พันธ์ุ
ที่เขาแน่ใจว่าเป็นพันธุ์แท้เท่านั้น การควบคุมการทดลองโดยการลดตัวแปรที่เกี่ยวข้อง เช่น กำหนด
ลักษณะทางพันธุกรรมที่ต้องการศึกษาให้น้อยลง เช่นนี้ทำให้เมนเดลสามารถวิเคราะห์ผลได้ง่ายขึ้น และ
เป็นเหตุให้เขาพบกฎเกณฑท์ ี่สำคญั อย่างยิ่งทางพันธุศาสตร์

ผลงานของเมนเดลนับว่าเป็นรากฐานของการศึกษาเกี่ยวกับพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เมนเดลจึงได้รับ
การยกย่องใหเ้ ป็น "บดิ าแห่งพนั ธุศาสตร์"

ธรรมชาตขิ องต้นถ่วั ลันเตาท่เี มนเดลใชศ้ ึกษา
เมนเดลตัดสินใจใช้ต้นถั่วลันเตา (Pisum sativum) เป็นพืชสำหรับการทดลองของเขาด้วยเหตุผล

หลายประการดว้ ยกนั คือ
• ตน้ ถว่ั ลนั เตามอี ายุสั้น ปลกู ง่าย และมีผลดก
• ต้นถั่วลันเตามีหลายพันธุ์ที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจน และสามารถหาถั่วลันเตาพันธุ์แท้
สำหรับทดลองได้โดยง่าย (คำว่า "พันธุ์แท้" หมายถึงว่าลูกหลานทีเ่ กิดจากพันธุ์นั้นไม่มีความแปร
ผนั ทางพันธกุ รรมและไม่แตกตา่ งไปจากพ่อแม่)
• ดอกถั่วลันเตามีลักษณะพิเศษที่บังคับให้ละอองเรณูผสมกับไข่ในดอกเดียวกันเท่านั้น การผสม
ข้ามดอกเกิดได้ยากมาก ในธรรมชาติจึงไม่มกี ารผสมข้ามต้น ลักษณะเช่นนี้เหมาะแก่การควบคมุ
การทดลองทีผ่ ู้ทดลองสามารถจัดใหม้ ีการผสมข้ามตน้ ได้ ไม่ข้ามต้นกไ็ ด้ ตามความประสงค์ของผู้
ทดลอง

ดอกถ่วั ลนั เตา

เมนเดลได้สั่งซื้อเมล็ดถั่วลันเตาจำนวน 34 พันธุ์ด้วยกัน และทดลองปลูกเป็นเวลา 2 ปี จนมีความรู้
และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับถั่วลันเตาเป็นอย่างดี จึงได้คัดเลือกลักษณะของต้นถั่วลันเตาไว้ 7 ลักษณะ
เพ่อื ทำการศึกษาตามแผนการทดลองที่วางไว้ ลกั ษณะท้ัง 7 นไ้ี ดแ้ ก่

1. รปู รา่ งของเมล็ด มี 2 แบบ คือเมลด็ กลมกบั เมลด็ ขรขุ ระ
2. สขี องเน้อื เมล็ด มี 2 สี คือ สเี หลืองกับสีเขยี ว
3. สีของดอก มี 2 สี คอื มีสกี บั สขี าว
4. รูปร่างของฝักถว่ั ทแี่ ก่เต็มท่ี มี 2 แบบ คอื ฝักอวบกบั ฝักแฟบ
5. สีของถ่ัวฝักออ่ นๆ มี 2 สี คอื สีเขยี วกบั สีเหลือง
6. ตำแหนง่ ของดอก มี 2 แบบ คอื ดอกอยทู่ ีก่ งิ่ กับดอกกระจกุ กนั อยู่ท่ยี อด
7. ความสูงของลำตน้ มี 2 แบบ คอื ต้นสงู (72-84 น้วิ ) กบั ต้นเตยี้ (9-18 น้ิว)

แสดงลักษณะทัง้ 7 ของถ่ัวที่เมนเดลศึกษา

เมนเดลเริ่มผสมพนั ธ์ุถั่วท่ีมเี มล็ดขรุขระกบั เมล็ดกลม ซงึ่ เป็นพนั ธ์แุ ท้ท้ังคโู่ ดยใช้วิธีตัดอับเรณูของดอก
ถั่วพันธุ์เมล็ดขรุขระทิ้งไปตั้งแตด่ อกถั่วยังตูมอยู่ แล้วเอาถุงห่อดอกตูมนั้นไว้เพื่อมีให้ละอองเรณูอื่นเข้าไป
ผสมได้ เมื่อดอกโตเต็มที่จงึ เขี่ยละอองเรณูจากดอกถั่วพันธุ์เมล็ดกลมลงบนยอดเกสรตัวเมียของดอกที่หอ่
เอาไว้ โดยปิดถุงเพียงชัว่ คราวแล้วหอ่ ไว้ดงั เดิม นอกจากนี้เมนเดลยงั ทำการทดลองสลบั ระหวา่ ง 2 พันธุ์นี้
ด้วยการนำละอองเรณูจากเมล็ดพันธุ์ขรุขระไปผสมกับเซลล์ไข่ของเมล็ดพันธุ์กลม การทดลองผสมพันธ์ุ
โดยศึกษาลักษณะใดลักษณะหนึ่งเพียงอย่างเดียวเช่นนี้ เรียกว่า การผสมพันธุ์โดยพิจารณาหนึ่งลักษณะ
(monohybrid cross) เมนเดลไดท้ ำการทดลองแบบเดียวกนั กบั อีก 6 ลักษณะ รวมแลว้ เมนเดลทำการผสม
พันธุ์ถั่ว 287 ครั้ง และใช้ต้นพันธุ์ 70 ต้น จากนั้นจึงคอยดูผลผลิตที่ได้จากการผสมครั้งนีท้ ั้งในรุ่นลูกและ
รุ่นหลานตอ่ ไป

กฎขอ้ ที่หน่ึงของเมนเดล : กฎแหง่ การแยกตัว (Law of Segregation)

จะเห็นได้ว่า ในทุกกรณี รุ่นพ่อแม่ (parental generation เขียนย่อว่า รุ่น P) มีลักษณะแตกต่างกัน แต่
พอถึง รนุ่ ลูก (first filial generation เขยี นย่อวา่ รุ่น F1) ลกั ษณะของพ่อหรือแมจ่ ะหายไป 1 ลักษณะ เช่น รุ่น P
คือ ต้นสูงผสมกับต้นเตี้ย รุ่น F1 จะมีแต่ต้นสูง ไม่มีต้นเตี้ยเลย แต่พอถึง รุ่นหลาน (second filial generation
เขียนย่อว่า รุ่น F2) ที่เกิดจากรุ่น F1 ผสมในต้นเดียวกัน ลักษณะต้นเตี้ยซึ่งหายไปในรุ่น F1 กลับปรากฏอีกครั้ง
หนึ่ง โดยมีอัตราส่วนของลักษณะต้นสูงต่อลักษณะต้นเตี้ยในรุ่น F2 ทั้งหมด ลักษณะที่มีโอกาสปรากฏในรุ่นต่อๆ
ไปได้เสมอเช่นลักษณะต้นสงู ของต้นถ่ัวนเ้ี รียกว่า ลกั ษณะเด่น (dominant trait) สว่ นลักษณะที่มีโอกาสปรากฏใน
รุน่ ตอ่ ไปได้นอ้ ยกว่า เชน่ ลกั ษณะตน้ เตี้ยของต้นถ่วั เรียกว่า ลกั ษณะดอ้ ย (recessive trait)

ผลจากการทดลองเก่ยี วกับความสูงของตน้ ถั่ว ทำใหส้ รปุ ไดว้ ่า

1. ลักษณะต้นเตี้ยที่ไม่ปรากฏในรุ่นลูก (F1) นั้นแท้จริงแล้วมิได้สูญหายไปไหน เพียงแต่ไม่สามารถแสดง
ออกมาได้ แสดงว่า สิ่งที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมนั้นเป็นหน่วยที่คงตัว ไม่มีการผสมผสานกัน แต่จะถูก
ถ่ายทอดจากรุ่นหนง่ึ ไปยงั รนุ่ ต่อๆ ไป

2. ถ้าให้อักษร T แทนสิ่งที่ควบคุมให้ต้นถั่วมีลำต้นสูง และอักษร t แทนสิ่งที่ควบคุมให้ต้นถั่วมีลำต้นเตีย้
ตน้ ถวั่ แต่ละตน้ นา่ จะมสี ่ิงเหล่านีอ้ ยู่ 2 หน่วย โดยไดร้ ับจากไข่ 1 หน่วย และจากละอองเรณูอีก 1 หนว่ ย เชน่ ตน้ สูง
พันธุ์แท้ มี T 2 หน่วย (เขียนย่อว่า T/T หรือ TT) ต้นเตี้ยพันธ์ุแท้มี t 2 หน่วย (เขียนย่อว่า t/t หรือ tt) เมื่อนำต้น
สูงพันธุ์แท้ผสมกับต้นเตี้ยพันธุ์แท้ ลูกที่ออกมาจะได้รับ T 1 หน่วย จากต้นสูง และ t 1 หน่วย จากต้นเตี้ย (เขียน
ยอ่ ว่า T/t หรอื Tt) และแสดงลักษณะต้นสูงในรุ่น F1

3. เมื่อ T/t ผสมกันเอง (เขียนย่อว่า T/t × T/t) ในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ T กับ t ซึ่งอยู่คู่กันนั้นจะแยก
ออกจากกัน ทำให้เซลล์สืบพันธุ์มีเพียง T หรือ t อย่างใดอย่างหน่ึงเท่านั้น ดังนั้น เซลล์สืบพันธุ์จึงมี 2 แบบ คือ
T/T, T/t, และ t/t ในอัตราสว่ น 1 : 2 : 1 แตเ่ นื่องจาก T/T กบั T/t แสดงลกั ษณะออกมาเหมอื นกัน คอื มลี ำตน้ สูง
จึงทำให้อัตราสว่ นต้นสูง : ตน้ เตีย้ เทา่ กบั 3 : 1 ดังผลการทดลองทีป่ รากฏในรุ่น F2

น่คี ือกฎข้อที่ 1 ของเมนเดล ซึ่งเรียกวา่ กฎแหง่ การแยกตัว ซงึ่ สรปุ ใจความสำคัญวา่ สิ่งทค่ี วบคุมลักษณะ
ทางพนั ธุกรรมของสิง่ มชี ีวติ ท่ีสืบพันธ์ุแบบอาศยั เพศมีอยเู่ ป็นคๆู่ แตล่ ะคจู่ ะแยกจากกนั ในระหว่างการสร้างเซลล์
สบื พนั ธุ์ ทำให้เซลล์สบื พันธุ์แตล่ ะเซลล์มีหนว่ ยควบคมุ ลักษณะน้เี พียง 1 หนว่ ย และจะกลับเข้าคู่อีกเม่ือเซลล์
สืบพันธุผ์ สมกนั กฎข้อนี้มีความหมายในเชิงคณติ ศาสตร์ ดังจะยกกรณี T/t กฎข้อที่ 1 เมนเดลกำหนดว่า โอกาสที่

เซลล์สืบพันธ์ใุ ดๆ จะมี T เป็นองคป์ ระกอบ จะเท่ากับ 50% หรือ 1 ใน 2 และโอกาสที่จะมี t เป็นองคป์ ระกอบ
50% หรอื 1 ใน 2 เช่นเดียวกัน

กฎขอ้ ทส่ี องของเมนเดล : กฎแหง่ การรวมกลุ่มอยา่ งอิสระ (Law of Independent Assortment)

การผสมพนั ธโุ์ ดยพจิ ารณาสองลักษณะ

ในข้นั ตอนตอ่ ไปเมนเดลศึกษา 2 ลักษณะพร้อมๆ กัน เช่น ลักษณะของเมล็ด และสขี องเมลด็ การศกึ ษา 2
ลกั ษณะพร้อมๆ กัน เรียกวา่ การผสมพันธ์ุโดยการ พจิ ารณาสองลักษณะ (dihybrid cross)

การศึกษาหลายลักษณะพร้อมกัน ทำใหเ้ มนเดลพบกฎข้อท่ี 2 คือ กฎแหง่ การรวมกลมุ่ อยา่ งอิสระ ซึ่งสรปุ ได้
ใจความวา่ ในเซลลส์ ืบพนั ธจ์ุ ะมกี ารรวมกล่มุ ของหนว่ ยพันธุกรรมของลักษณะตา่ งๆ การรวมกลมุ่ เหล่านเี้ ปน็ ไป
อย่างอสิ ระ จงึ ทำใหเ้ ราสามารถทำนายผลทีเ่ กิดขึน้ ในรุ่นลูกร่นุ หลานได้ กฎข้อน้ีมีความหมายในเชงิ คณิตศาสตร์ ดงั
จะยกตัวอย่างกรณีท่เี รา้ พิจารณา R/r ควบกับ Y/y กฎของเมนเดลกำหนดวา่ โอกาสท่ี R จะรวมกลมุ่ กับ Y จะ
เท่ากบั โอกาสที่ R จะรวมกลุ่มกับ y ในทำนองเดยี วกนั โอกาสท่ี r จะรวมกลุ่มอยกู่ ับ Y จะเทา่ กับโอกาสท่ี r
รวมกลุ่มกับ y ดงั นน้ั โอกาสที่เซลลส์ บื พันธจ์ุ ะมี RY, Ry, rY, ry จึงเทา่ กันหมด คอื เทา่ กับ 25% หรอื 1 ใน 4

นยิ ามศพั ท์ทเ่ี กี่ยวกับกฎของเมนเดล

แม้ว่ากฎของเมนเดลจะมีอายกุ ว่า 100 ปีแล้ว แตก่ ย็ งั คงใชป้ ระโยชน์ไดด้ ีในปัจจบุ ัน เพอ่ื ประโยชนใ์ นการนำกฎ
แหง่ เมนเดลไปใช้ นกั เรียนควรทำความเข้าใจกับคำศัพท์ที่เกยี่ วข้องกับกฎของเมนเดลดังต่อไปนี้

• สงิ่ ท่คี วบคมุ ลกั ษณะทางพันธุกรรมเรียกวา่ ยนี (gene) เชน่ ยีน T, ยนี t, ยนี R, ยนี r เปน็ ต้น
• ยนี บางยีน เชน่ ยีน T เมื่อปรากฏเพยี งยีนเดียวก็แสดงลกั ษณะเท่าเทยี มกบั มียนี น้ัน 2 ยีน เราเรยี กยนี ท่มี ี

คณุ สมบัติเช่นนวี้ ่า ยนี ที่ควบคุมลักษณะเดน่ หรือ ยนี เด่น (dominant gene) ในกรณขี องยนี เดน่ T เรา
จะพบวา่ T/t แสดงลักษณะลำต้นสงู เหมอื นกับ T/T เรานิยมใช้อกั ษรภาษาอังกฤษตัวใหญแ่ ทนยนี เดน่
• ยนี ที่ตรงข้ามกบั ยนี เดน่ เช่น ยีน t จะแสดงลกั ษณะออกมาได้เมื่อมียีนนั้น 2 ยนี เทา่ นั้น เราเรยี กยนี ท่มี ี
คุณสมบัตเิ ชน่ น้วี ่า ยนี ทค่ี วบคุมลกั ษณะด้อย หรือ ยนี ด้อย (recessive gene) ในกรณขี องยีนด้อย
เราจะพบวา่ เม่ือ t ปรากฏคู่กับ T ยีน t จะไมแ่ สดงลำดับต้นเตยี้ ออกมา ต่อเม่ือ t คู่กับ t คอื t/t จึงแสดง
ลักษณะลำตน้ เตยี้ ออกมาได้ เรานิยมใช้อักษรภาษาองั กฤษตวั เลก็ แทนยีนด้อย
• ยีนท่ีเขยี นไว้คู่กัน เชน่ T/T, T/t, t/t, R/R, R/r ฯลฯ เรียกวา่ จีโนไทป์ (genotype) หรือแบบของยนี ใน
เซลล์รา่ งกาย การเขียนจโี นไทป์อาจเขยี นไดห้ ลายๆ แบบ เช่น เขยี นโดยการใช้ตัวอักษรแทนยีนเรียงต่อ
กันโดยไม่ต้องเขียน / คน่ั ระหว่างยีนสองตวั TT, Tt, tt เป็นต้น แต่การเขยี น / คั่นระหว่างยีนสองตัว

จะมีประโยชน์เมื่อเราเรียกชื่อยีนดว้ ยอกั ษรต่างกัน เชน่ ให้ "ส" แทนยนี ตน้ สงู และ "ต" แทนยีนตน้ เตี้ย
รุ่น F1 จะมจี โี นไทปเ์ ป็น ส/ต ซึง่ หมายความวา่ "ส" และ "ต" เปน็ หนว่ ยพันธุกรรมทเี่ ขา้ คู่กัน นอกจากนี้ใน
โอกาสต่อไปจะกลา่ วถึงยนี หลายๆ คู่ กไ็ มส่ บั สนกนั ดว้ ย ลักษณะทแ่ี ต่ละจีโนไทปแ์ สดงออกมา เรยี กว่า
ฟโี นไทป์ (phenotype) เช่น ความสูงของลำต้นมีฟีโนไทป์ 2 อยา่ งคือ "ลำตน้ เต้ีย" และ "ลำต้นสูง" แตม่ จี ี
โนไทป์ 3 แบบ คือ ลำต้นสูงมีจีโนไทป์ 2 แบบ (T/T และ T/t) สว่ นลำตน้ เต้ยี มจี โี นไทป์ 1 แบบ (t/t)

• การที่สิง่ มีชวี ติ มียีน 2 ยีนเหมือนกัน เชน่ T/T หรือ t/t เรยี กวา่ มสี ภาพ ฮอมอไซกสั (homozygous)
สว่ นการทีม่ ยี นี 2 ยนี ต่างกนั เชน่ T/t เรียกว่า มสี ภาพ เฮเทอโรไซกัส (heterozygous) ในสภาพเฮเทอโร
ไซกัสซ่ึงมยี นี ต่างกันนี้ จะมีผลทำใหร้ นุ่ ลกู มโี อกาสที่จะแตกตา่ งจากรนุ่ พ่อแมไ่ ด้ เชน่ ลักษณะตน้ สูงท่ีมจี ีโน
ไทป์ T/t เมื่อผสมกนั เอง จะมีโอกาสไดร้ นุ่ ลกู ทม่ี ีท้ังลักษณะต้นสงู และตน้ เตีย้ สภาพเฮเทอโรไซกสั นจ้ี ึงเป็น
สภาพทม่ี ีความแปรผนั ทางพันธุกรรมไดม้ ากกว่าสภาพฮอโมโลกสั

• ยีนทเ่ี ข้าคู่กนั ได้ เรยี กว่า ยนี ท่ีเปน็ แอลลลี กัน (allelic gens) ยีน R ย่อมเข้าคู่กับ R ก็ได้ หรือ r ก็ได้ จึง
กลา่ วได้วา่ ยนี R กบั r ต่างกเ็ ปน็ แอลลลี ของกันและกนั แต่ยีน R, r จะไมข่ ้ามไปเขา้ คู่กับ Y หรอื y และ
ในทำนองเดียวกนั ยัน Y กไ็ ม่ขา้ มไปเขา้ คู่กับ R หรือ r แสดงวา่ ยนี ท้งั 4 ตัวน้ี แบ่งเป็น 2 กล่มุ แอลลีล ใน
การแบ่งเซลล์เพื่อสรา้ งเซลล์สืบพันธ์ุ ยีนท่เี ปน็ แอลลีลกันจะแยกออกจากกนั ตามกฎข้อท่ีหนง่ึ ของเมนเดล
ส่วนยนี ท่ีอยู่ตา่ งกลุ่มแอลลลี กันจะรวมกลุ่มกันอยา่ งอสิ ระตามกฎข้อที่สองของเมนเดล

• การทดสอบว่าสิ่งมชี ีวติ ซ่ึงมีลกั ษณะเด่นมสี ภาพเฮเทอโรไซกสั หรอื ฮอโมไซกัสจะกระทำได้ โดยการนำ
สง่ิ มชี ีวติ น้ันไปผสมพนั ธุ์กบั สงิ่ มชี ีวิตท่ีมีลกั ษณะด้อย หากผลปรากฏว่า รุ่นลูกมลี กั ษณะเด่นท้งั หมด

• การทดสอบว่าส่งิ มชี วี ติ ซ่ึงมีลักษณะเดน่ มสี ภาพเป็นเฮเทอโรไซกสั หรือฮอมอไซกัสจะกระทำได้โดยการนำ
สิ่งมีชีวิตนน้ั ไปผสมพันธ์ุกบั สิง่ มีชวี ติ ทมี่ ลี กั ษณะด้อย หากผลปรากฏว่า รนุ่ ลกู มลี กั ษณะเดน่ ทงั้ หมด ก็
แสดงว่าสิ่งมชี วี ิตนน้ั เปน็ ฮอโมไซกัส แต่ถ้าลูกผสมนัน้ มสี องพวกในอตั ราสว่ น ลกั ษณะเด่น : ลกั ษณะด้อย
เท่ากับ 1 : 1 ก็แสดงวา่ สิ่งมีชีวิตน้นั เป็นเฮเทอโรไซกสั เราเรยี กการผสมพันธเุ์ พ่อื ทดสอบจีโนไทปน์ วี้ า่
เทสตค์ รอส (test cross) แตถ่ ้านำลูกผสมไปผสมกับพ่อพันธหุ์ รอื แม่พันธ์ทุ ่ีมีลักษณะด้อยกเ็ รยี กว่า
แบคครอส (back cross) ซึง่ ก็สรุปผลไดเ้ ชน่ เดยี วกนั ดงั แผนภูมิ

โครโมโซมและยนี

กฎเกณฑท์ างพันธุกรรมท่เี มนเดลค้นพบนั้นไม่ใช่จะใช้ได้เฉพาะกับต้นถั่วลิสงเท่าน้ัน แต่เป็นกฎที่
ใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศรวมทั้งมนุษย์ด้วย มนุษย์มีโครโมโซม 23 คู่ แต่ละ
โครโมโซมมียีนมากมายหลายกลุ่มเรียงต่อๆ กันไป ลักษณะทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดตามกฎของเมนเดล
เท่านั้นที่นักพันธุศาสตร์ได้ศึกษาไว้แล้วมีจำนวนมากมาย ซึ่งอาจแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ 2 ประเภทคือ
ลักษณะทคี่ วบคมุ ด้วยยนี ในออโตโซม และลักษณะท่ีควบคุมดว้ ยยนี ในโครโมโซมเพศ

ยนี ในออโตโซม
โครโมโซมที่เป็นออโตโซมในคนมีอยู่ด้วยกัน 22 คู่ ในออโตโซมแต่ละคู่มียีนจำนวนมาก ยีนที่ทำ

ให้เกิด โรคทาลสั ซเี มีย (thalassemia) ซ่งึ เปน็ โรคทางพันธุกรรมทางโลหติ อย่างหนึ่ง ซึง่ ผูป้ ่วยจะมีอาการ
โลหิตจางมาแต่กำเนิด มีดีซ่านร่วมด้วย ถ้าเป็นมากจะมีการเจริญเติบโตไม่สมอายุ ตับและม้ามโต หัวใจ
วายและอื่นๆ ยีนที่ทำให้เกิดโรคทาลัสซีเมีย เป็นยีนผิดปกติที่มีผลทำให้การสร้างพอลิเพปไทด์ใน
ฮโี มโกลบินผดิ ปกติ ฮีโมโกลบินแต่ละโมเลกลุ จะประกอบดว้ ยพอลเิ พปไทด์ 4 สาย คอื สายแอลฟา 2 สาย
และสายเบต้า 2 สาย และฮีมซ่ึงมีเหล็กเปน็ องค์ประกอบ ถา้ การสรา้ งพอลเิ พปไทด์สายแอลฟาผิดปกติจะ
เป็นโรคแอลฟาทาลสั ซีเมยี ส่วนการสร้างพอลเิ พปไทด์สายเบตาผิดปกตจิ ะเป็นโรคเบตาทาลสั ซเี มยี

ยีนท่ที ำใหเ้ กิดโรคแอลฟาทาลสั ซีเมีย เป็นยีนด้อยอยู่ในโครโมโซมคู่ที่ 16 ยีนที่ทำให้เกิดโรคเบตา
ทาลสั ซเี มยี เป็นยนี ด้อยท่อี ยใู่ นโครโมโซมคูท่ ี่ 11 โรคทาลสั ซเี มียจึงอาจจะมจี โี นไทป์ผดิ ปกติได้หลายแบบ

ในประเทศไทยมปี ระชากรท่ีมยี ีนทาลัสซีเมียประมาณร้อยละ 20-30 คน ที่มีจีโนไทป์ซ่ึงมีแอลลีล
ที่ผิดปกติ แต่ไม่แสดงอาการของโรค คนเหล่านี้เรียกว่า พาหะ (carrier) ซึ่งสามารถถ่ายทอดยีนที่ทำให้
เกิดโรคทาลัสซีเมียได้ ถ้าพ่อและแม่บังเอิญเป็นพาหะของยีนทาลัสซีเมียชนิดเดยี วกนั หรือชนิดที่เข้าค่กู ัน
แลว้ จะทำให้เกิดโรคกม็ โี อกาสมีลูกเปน็ โรคทาลสั ซเี มยี 25% คนไทยเป็นโรคน้ปี ระมาณ 1% ของประชากร
โรคทาลัสซีเมียจึงก่อให้เกิดปัญหามิใช่ทางการแพทย์ แต่ก็มีผลทางด้านสาธารณสุข สังคมและเศรษฐกิจ
อกี ด้วย

ในการศึกษาพันธุกรรมของคน นักพันธุศาสตร์นิยมใช้สัญลักษณ์ แสดงบุคคลต่างๆ ในครอบครัว
ทั้งที่แสดงลักษณะและไม่แสดงลักษณะที่กำลังศึกษาเท่าที่จะสามารถสืบค้นได้ แผนผังเช่นนี้เรียกว่า เพ
ดดีกรี (pedigree)

มลั ติเปลิ แอลลีล (multiple alleles)
ลักษณะทางพันธุกรรมบางลกั ษณะ มยี ีนในแต่ละกล่มุ แอลลลี มากกว่า 2 แบบข้นึ ไป กลุ่มแอลลีล

ทม่ี ยี นี เกนิ กว่า 2 แบบขน้ึ ไป เราเรยี ว่า มลั ติเปลิ แอลลลี
หมู่เลือด ABO ของคนก็มียีนควบคุมอยู่ 3 แอลลีล คือ IA, IB, และ i (ลักษณะ I ใช้แทนแอลลีล

ที่ควบคุมการสังเคราะห์ สารไอโซแอกกลูติโนเจน (isoagglutinogen) ซึ่งเป็นแอนติเจนที่เม็ดเลือดแดง)
โดย IA, IB เป็นแอลลีลที่ควบคุมการสังเคราะห์แอนติเจน A และ B ตามลำดับ ซึ่งต่างก็เป็นยีนเด่นทั้งคู่
ส่วน i เป็นแอลลีลที่ทำใหเ้ ซลล์ไม่สามารถสังเคราะห์แอนติเจน A หรือ B ซึ่งเป็นยีนด้อย หมู่เลือดของคน
จึงมีจีโนไทป์ และฟีโนไทปห์ ลายแบบดังนี้

ในการนำกฎของเมนเดลมาใช้กับคนนั้น จะตอ้ งจำไวเ้ สมอวา่ กฎของเมนเดลนั้นใช้ในการทำนาย
โอกาส ไม่ใชเ่ ปน็ การทำนายจำนวน ท้ังนเี้ นอ่ื งจากจำนวนคนในครอบครวั ของคนน้ันมีน้อยมาก เม่ือเทียบ
กบั จำนวนพืชและสัตวใ์ นแต่ละกลมุ่ ดงั นั้น กฎของเมนเดลจงึ ใชท้ ำนายโอกาสเปน็ หลกั

ยีนในโครโมโซมเพศ
โครโมโซม X ของคนมีขนาดใหญก่ วา่ โครโมโซม Y หลายเทา่ ในโครโมโซม X มยี นี จำนวนมาก ซึ่ง

มีทัง้ ยนี ควบคุมลกั ษณะทางเพศและยีนที่ควบคุมลกั ษณะอื่นๆ ดว้ ย นกั พันธศุ าสตร์เรยี กยนี ในโครโมโซม X
และโครโมโซม Y ไมว่ า่ จะควบคุมลักษณะเพศหรือไม่ก็ตามว่า ยีนทีเ่ กี่ยวเนื่องกบั เพศ (sex-linked gene)
และเรียกยนี ในโครโมโซม X วา่ ยนี ทเ่ี กี่ยวเนอ่ื งกบั X (X-linked gene) ตัวอย่างลักษณะที่ควบคุมด้วยยีน
ในโครโมโซม X ได้แก่ ตาบอดสี โรคฮโี มฟีเลยี (hemophilia) และ ภาวะพรอ่ งเอนไซม์กลูโคส-6-ฟอสเฟต
ดีไฮโดรจีเนส (glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency) หรอื G-6-PD

โรคทางพนั ธุกรรม
โรคทางพนั ธกุ รรมสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดังนี้
โรคที่เกิดจากความผิดปกติบนออโตโซม (Autosome) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของ

โครโมโซมในร่างกายทม่ี ี 44 แทง่ หรอื 22 คู่ เปน็ ความผดิ ปกติทส่ี ามารถเกดิ ข้ึนได้กบั ทกุ เพศ สามารถแบง่
ออกเป็น 2 ประเภท คือ ความผดิ ปกติที่จำนวนออโตโซม และความผิดปกตทิ ี่รูปรา่ งโครโมโซม

โรคทเี่ กดิ จากความผิดปกติท่ีถ่ายทอดทางพันธุกรรมในโครโมโซมเพศ (Sex chromosome)
เปน็ โรคที่เกดิ จากความผิดปกติของโครโมโซมเพศจำนวน 1 คู่ หรอื 2 แท่ง ในผหู้ ญิงจะเป็นโครโมโซม XX
ส่วนในผู้ชายจะเป็นโครโมโซม XY จะมีโอกาสเกิดขึ้นมากในเพศใดเพศหนึ่ง ตัวอย่างของโรคที่ถ่ายทอด
ทางพนั ธุกรรมในโครโมโซมเพศ ได้แก่ โรคธาลัสซเี มีย โรคตาบอดสี โรคบกพรอ่ งทางเอ็นไซม์ เป็นตน้

โรคทางพนั ธกุ รรมทีส่ ำคญั
ดาวน์ซินโดรม (Down's syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม โดยมีโครโมโซมคู่
ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง จากปกติที่มี 2 แท่ง นอกจากนี้อาจมีสาเหตุมาจากการย้ายที่ของโครโมโซมอีกด้วย
ซึ่งลักษณะของเด็กที่ป่วยเป็นโรคดาวน์ซินโดรมนั้นจะมีศีรษะเล็ก ตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ลิ้นยื่นออกมา
ปากเล็ก มือสั้น และอาจมีโรคประจำตัวติดมาตั้งแต่กำเนิด เช่น โรคหัวใจพิการ โรคลำไส้อุดตัน ต่อม
ไทรอยดบ์ กพร่อง เปน็ ตน้ โรคน้ีมักพบได้บอ่ ยในแมท่ ีต่ ัง้ ครรภ์เมอื่ อายมุ าก

เอ็ดเวิร์ดซินโดรม (Edwards syndrome) เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 18 เกินมา 1 แท่ง
ส่งผลให้เด็กมีความผิดปกติทางสติปัญญา ปากแหว่ง เพดานโหว่ นิ้วมือบิดงอ และกำแน่นเข้าหากัน เป็น
โรคทที่ ำให้เด็กเสยี ชวี ติ ตงั้ แตอ่ ายยุ ังน้อย

ตาบอดสี (Color blindness) มักเป็นโรคที่มีมาแต่กำเนิด และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง อาการ
ของผู้ที่เป็นโรคน้ี คือ จะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหวา่ งสเี ขียวกับสีแดง หรือสีน้ำเงินกับสีเหลืองได้
โดยจะเกดิ ข้นึ กบั ดวงตาทง้ั สองข้าง และไมส่ ามารถรกั ษาได้

ฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) เป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด หรือเลือดออกง่าย เพราะขาดสารที่ทำให้เลือด
แขง็ ตวั ซ่ึงเกิดจากความผดิ ของโครโมโซม x พบมากในเพศชาย อาการของโรคนี้คือ เลือดออกมาผิดปกติ
ขอ้ บวม มกั เกิดแผลฟกช้ำขน้ึ เอง เปน็ ตน้

โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เกิดจากความผิดปกติของยีนทำให้ไม่สามารถควบคุมการผลิต
ฮีโมโกลบินให้เป็นปกติได้ อาการเริ่มแรกจะคล้ายกับเด็กที่มีภาวะโลหติ จาง เช่น ผิวซีด ผิวเหลือง เหนื่อย
งา่ ย การเจริญเติบโตชา้ ปสั สาวะสเี ข้ม เปน็ ตน้ การรักษาจะทำได้โดยการใหเ้ ลือด และการปลูกถ่ายเซลล์
ต้นกำเนิดจากผอู้ ่นื

โรคลูคเิ มยี (Leukemia) หรือทเี่ รารูจ้ กั กันในช่ือโรคมะเรง็ เมด็ เลือดขาว เป็นโรคทเ่ี กดิ จากไขกระดูกสร้าง
เมด็ เลือดขาวออกมามากผิดปกติ และเมด็ เลือดขาวทผี่ ลิตออกมานน้ั ไมม่ ีประสิทธิภาพในการต้านทานเชื้อ
โรคได้ จึงป่วยเป็นไข้บอ่ ย โดยอาการที่แสดงออกมา คือ มีไข้สูง เป็นหวัดเร้ือรัง วิงเวียนศรี ษะ อ่อนเพลีย
ตัวซีด เป็นต้น บางรายอาจมีอาการรุนแรงทำให้ถึงขึน้ เสียชวี ิตได้ ส่วนการรักษานั้นสามารถทำได้โดยการ
ให้ยาปฏิชวี นะ หรืออาจใชเ้ คมบี ำบัดเพ่อื ให้ไขกระดูกกลบั มาทำหนา้ ท่ีตามปกติ

มิวเทชน่ั
การสงั เคราะห์ DNA โดยอาศยั DNA สายเดย่ี วเป็นแมพ่ มิ พ์นั้น หากเบสไมเ่ ข้าคกู่ ็จะประกบกันได้

ยาก อยา่ งไรก็ตามโอกาสผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นไดบ้ ้าง แมจ้ ะเปน็ สว่ นนอ้ ยกต็ าม ความผดิ พลาดทเี่ กิดข้ึนกับ
ลำดับเบสของ DNA เรียกว่า มิวเทชัน (mutation) ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะสืบทอดต่อไปได้ มิวเทชันเกิดขึ้น
ได้ในหลายลักษณะเช่น เบสขาดหายไป เบสมีจำนวนเกินมา หรือเบสเปลี่ยนจากตัวเดิมไปเป็นเบสตัวอน่ื
เป็นต้น เมื่อลำดับเบสเปลี่ยนไปการอ่านรหัสทางพันธุกรรมจะเปลี่ยนไปด้วย อาจยังผลให้พอลิเพปไทด์
เปลี่ยนไปจากเดิม ทำให้คุณสมบัติของโปรตีนแตกต่างไปจากปกติได้ ความผิดปกติจะมีผลดีหรือผลร้าย
หรือไมเ่ พยี งใดยอ่ มขึน้ อยู่กับตำแหนง่ และชนดิ ของกรดอะมโิ นที่เปล่ยี นไป

เม่ือย้อนกลับไปพิจารณากรณีโรคโลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลล์ จะพบว่า สาเหตุของโรคนี้เกิดจาก
การเปลี่ยนแปลงเบสเพียง 1 ตัวเท่านั้น ทำให้กรดอะมิโนเปลี่ยนไป 1 ตัว คือ กรดอะมิโนลำดับที่ 6 ของ
สายเบตาของฮีโมโกลบินเปลยี่ นจากกรดกลตู ามิกเป็นวาลีน

ในปัจจุบัน เราทราบว่ารังสีต่างๆ เช่น รังสีเอกซ์ รังสีแกรมา รังสีอัลตราไวโอเลตและสารเคมี
จำนวนมาก เช่น สารอะฟลาทอกซิน (aflatoxins) จากเชื้อราบางชนิด กรดไนตรัส สีอะคริดีน เป็นต้น
เป็นตัวชักนำหรือกระตุ้นให้เกิดมิวเทชันกับ DNA สิ่งเหล่านี้เรียกว่า สิ่งก่อกลายพันธุ์ หรือ มิวทาเจน
(mutagent) ซึ่งเป็นอันตรายต่อสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดรวมทั้งมนุษย์ด้วย มิวทาเจนหลาย
อย่างเป็นสารก่อมะเร็ง (carcinogen) การเกิดมะเร็งจึงเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของ
เซลล์ร่างกาย และเซลล์สืบพันธุ์ ความรู้เกี่ยวกับมิวเทชันในระดับ DNA จะช่วยให้เราเข้าใจและหาทาง
แกไ้ ขโรคทางพันธกุ รรมได้

อย่างไรกต็ าม มวิ เทชนั บางอย่างทำใหเ้ กิดพนั ธุใ์ หม่ๆ ทเ่ี ป็นผลดแี ก่สิง่ มีชีวติ หรือเปน็ ประโยชน์
แก่มนุษย์ พนั ธ์ุใหมๆ่ เหล่านเี้ ม่อื เกิดขึ้นตามธรรมชาติยอ่ มเปน็ ปจั จยั ให้สง่ิ มีชีวิตมวี ิวฒั นาการไปตาม
ธรรมชาติ และถ้าเกิดขึน้ ด้วยนำ้ มอื ของมนษุ ยย์ ่อมถูกนำไปประยุกตใ์ุ ช้ตามความประสงค์ของมนษุ ยต์ ่อไป

ใบกิจกรรมที่ 1.1

เรื่อง ความหมายของพันธกุ รรมและลกั ษณะทถี่ ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม

จุดประสงค์การเรียนรู้

1. อธิบายความหมายของพนั ธุกรรมได้

2. บอกลักษณะท่ีถ่ายทอดทางพันธกุ รรมได้

คำชีแ้ จง

1. ศึกษาหวั ข้อ 1.1.1 ความหมายของพนั ธกุ รรม และ 1.1.2 ลกั ษณะที่ถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม
ในหนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 (อจท.) หน้า 2

2. ใหน้ ักเรยี นสำรวจลักษณะทางพนั ธกุ รรมในตวั ของนักเรียนเองและพ่อแมต่ ามหัวข้อทีก่ ำหนดให้
แล้วบันทึกผล โดยใช้สญั ลักษณ์
 ถ้ามีลักษณะทางพันธกุ รรม

 ถ้าไม่มลี กั ษณะทางพันธกุ รรม

ตารางบนั ทกึ ผล

ลักษณะทางพนั ธกุ รรม ตวั ฉัน พ่อ แม่
1. การหอ่ ลิน้

ห่อล้ินได้
หอ่ ลิ้นไมไ่ ด้

2. หนังตา
ชัน้ เดียว
สองชนั้

3.ลักษณะเสน้ ผม
หยกั ศก
เหยียดตรง

4. ลกั ยิ้ม
มี
ไม่มี

คำถาม

1. นกั เรียนมีลักษณะใดบ้างทีเ่ หมอื นพอ่ ......................................................................................................
2. นักเรยี นมลี กั ษณะใดบา้ งทเ่ี หมือนแม่......................................................................................................
3. ลักษณะทางพันธกุ รรมจากพ่อและแม่ถูกถา่ ยทอดมายังตัวนักเรยี นโดยผา่ นทางใด................................
4. พนั ธุกรรม หมายถึง...............................................................................................................................
5. ถา้ พ่อของนกั เรยี นมแี ผลเป็นท่ีตน้ คอ แล้วนกั เรียนก็มีแผลเปน็ ท่ตี น้ คอเหมือนกนั นักเรียนคิดว่าแผลเปน็ ถอื

เป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมหรือไม่ อยา่ งไร…………………………………………….…
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบกจิ กรรมท่ี 1.2

เร่ือง ความแปรผนั ทางพันธุกรรม

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

1. บอกความแปรผนั แบบไมต่ ่อเน่ืองและแบบต่อเนอื่ งได้
คำชีแ้ จง ตอนท่ี 1

1. ศึกษาหวั ข้อ 1.1.3 ความแปรผนั ทางพันธกุ รรม ในหนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 (อจท.)
หนา้ 3

2. ให้นักเรยี นแตล่ ะคนสำรวจความกวา้ งของฝา่ มือตนเองและเพื่อนๆในหอ้ งใหไ้ ด้อย่างน้อย 20 คน
(หน่วยเซนตเิ มตร) แลว้ บันทึกผล

3. นำผลการสำรวจมาจัดกลมุ่ ขนาดของฝา่ มอื โดยให้แต่ละกลุ่มมชี ่วงหา่ งกัน 2 เซนติเมตร
(ตัวอยา่ งเชน่ 13.1 – 15 ซม., 15.1 – 17 ซม.)

4. นับจำนวนนกั เรียนท่มี คี วามกว้างของฝา่ มืออยู่ในกลุ่มเดยี วกนั นำค่าท่ีได้ไปสรา้ งกราฟแท่ง
ตารางบนั ทึกผลการจัดกลุ่มขนาดความกว้างของฝา่ มือ

ชว่ งความกวา้ งของฝา่ มือ(เซนตเิ มตร) จำนวน(คน)

13.1 – 15.0

15.1 – 17.0

17.1 – 19.0

19.1 – 21.0

21.1 – 23.0

แผนภูมแิ ทง่ แสดงขนาดความกว้างของฝา่ มือ ของนักเรียน ม.3 จำนวน 20 คน

-20

-15

-10

-5

ตอนท่ี 2

คำชี้แจง : ใหน้ ักเรียนศึกษาลกั ษณะทางพนั ธุกรรมเกย่ี วกับความสามารถในการห่อลน้ิ โดยการถามจากเพื่อน

นักเรยี นในช้นั อย่างน้อย 20 คน บนั ทึกข้อมูลแลว้ นำข้อมลู ท่ไี ด้ไปสรา้ งกราฟแท่ง

ตารางบันทึกผลการสำรวจความสามารถในการห่อลิ้นของนักเรียน

ลกั ษณะทางพันธุกรรม จำนวน(คน)

ความสามารถในการหอ่ ลน้ิ

ห่อล้นิ ได้

ห่อลน้ิ ไมไ่ ด้

กราฟแทง่ แสดงความสามารถในการหอ่ ล้นิ ของนักเรียน ม.3 จำนวน 20 คน
-20

-15

-10

-5

คำถาม

1. จากกราฟ ขนาดความกวา้ งของฝา่ มือ เป็นการถ่ายทอดลักษณะท่ีมคี วามแปรผันอยา่ งไร เพราะอะไร
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................... .................................................................

............................................................................................................................. ...................................

2. จากกราฟ ความสามารถในการห่อลิ้น เป็นการถ่ายทอดลักษณะที่มคี วามแปรผันอยา่ งไร เพราะอะไร
............................................................................................................................. ..................................
...............................................................................................................................................................

............................................................................................................................. ...................................

3. ความสูง เป็นการถา่ ยทอดลักษณะทมี่ ีความแปรผันอยา่ งไร เพราะอะไร
............................................................................................................................. ..................................
............................................................................................................................. ..................................
...................................................................................... ..........................................................................

ใบงานท่ี 2.1 เรอ่ื ง ลักษณะของโครโมโซม

คำชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ปฏิบตั ิกิจกรรมตามขน้ั ตอนที่กำหนด เพื่ออธบิ ายลกั ษณะของโครโมโซม

วัสดุ-อุปกรณ์

1. หอมแดง 2.บกี เกอร 3. ดนิ 4. มดี ผา่ ตัด 5. ตะเกยี งแอลกอฮอล์
8. กลอ้ งจุลทรรศน์
6. สไลดแ์ ละกระจกปิดสไลด์ 7. กระดาษทิชชู

9.กรดไฮโดรคลอริก 10. อะซโิ ตคารม์ ีน

วธิ กี ารปฏบิ ตั ิ
1. ให้นกั เรียนแต่ละกลุ่มศกึ ษาลักษณะของโครโมโซมจากเซลลป์ ลายรากหอม
2. นำหอมแดงมาเพาะ โดยปกั ลงในบีกเกอร์ท่ีมีดินอยู่ รดน้ำทุกวันจนมีรากงอกยาวประมาณ 1-2 ซม.
3. ตดั ปลายรากหอมยาวประมาณ 0.5 ซม. วางบนสไลด์ แลว้ หยดกรดไฮโดรคลอริกลงไปใหท้ ่วม
4. ผ่านสไลด์ไปมาเหนือเปลวไฟ ประมาณ 1-2 คร้งั (ระวังอย่าให้กรดไฮโดรคลอริกแห้ง) จากนัน้ หยดน้ำ

กล่ันลงบนราก แล้วเทออก ทำซ้ำ 2-3 คร้งั
5. ซับน้ำให้แหง้ ด้วยกระดาษทิชชู แล้วหยดอะซิโตคาร์มนี (acetocarmine) ความเข้มขน้ 0.5%

จากนั้นผา่ นสไลดเ์ หนือเปลวไฟ (ระวงั อยา่ ใหแ้ ห้ง) แลว้ ปดิ ดว้ ยกระจกสไลด์
6. กดเบาๆ บนกระจกปิดสไลด์ เพื่อให้เซลลก์ ระจาย แลว้ ใช้กระดาษทชิ ชูซบั รอบๆ กระจกปิดสไลด์
7. นำสไลดไ์ ปส่องดูดว้ ยกล้องจุลทรรศน์ วาดภาพลักษณะโครโมโซมที่เห็น พร้อมอธิบายประกอบ

(วาดภาพ) ....................................................................................
....................................................................................
................................... ........................................
....................................................................................
....................................................................................
.................................. .........................................
....................................................................................
....................................................................................
............................ ...............................................
....................................................................................
....................................................................................
......................................
....................................................................................
....................................................................................

ใบงานท่ี 2.2 เร่อื ง โครโมโซม
คำชแี้ จง ให้นกั เรยี นดภู าพ แล้วตอบ

ภาพ ก ภาพ ข

1. จากภาพโครโมโซมดา้ นบน ให้นักเรยี นอธิบายวา่ ภาพใดเป็นมนษุ ย์เพศชาย และภาพใดเปน็ มนษุ ย์เพศหญงิ
พรอ้ มอธิบายเหตุผล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. เพราะเหตุใดมนุษยแ์ ตล่ ะคนจึงมีลกั ษณะแตกตา่ งกัน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. โครโมโซมของคนปกติ 1 ชดุ มีจำนวนเท่าใด

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานที่ 3.1 เร่อื ง การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมตามกฎของเมนเดล
คำชี้แจง ให้นักเรียนเขยี นแผนภาพ แสดงการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎของเมนเดลแลว้ สรุปกฎ
ของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
(แผนภาพ)

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานท่ี 4.1 เรือ่ ง กระบวนการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม
คำชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นเขยี นแผนภาพการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมตามหวั ข้อทก่ี ำหนด (โดยไม่ซำ้ กบั
บทเรยี น)

1. การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมหน่งึ ลักษณะ
(วาดแผนภาพ)

2. การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมสองลักษณะ

(วาดแผนภาพ)

ใบงานที่ 5.1 เร่ือง ตาบอดสี

คำชี้แจง ใหน้ กั เรยี นสืบค้นข้อมูลเกย่ี วกับการเกิดตาบอดสี ตามหัวขอ้ ทก่ี ำหนดให้ แลว้ บนั ทึกข้อมูล

1. สาเหตขุ องการเกดิ ตาบอดสี
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ลกั ษณะอาการ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. วธิ กี ารทดสอบตาบอดสี

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานที่ 6.1 เรื่อง ความผิดปกตขิ องโครโมโซมรา่ งกาย

คำชแี้ จง ให้นกั เรยี นสืบคน้ ข้อมลู เกย่ี วกับโรคทีเ่ กิดจากความผดิ ปกตขิ องโครโมโซมร่างกาย 3 โรค
(ไม่ซ้ำกบั บทเรยี น) แลว้ บันทึกขอ้ มลู ตามท่กี ำหนดให้

1. กลุ่มอาการ
สาเหตุ
อาการของผ้ปู ว่ ย คือ

2. กลมุ่ อาการ
สาเหตุ
อาการของผูป้ ว่ ย คือ

3. กลุ่มอาการ
สาเหตุ
อาการของผู้ป่วย คือ

ใบงานท่ี 6.2 เร่อื ง ความผิดปกติของโครโมโซมเพศ

คำชแี้ จง ให้นกั เรียนสบื ค้นข้อมูลเกยี่ วกับโรคท่เี กิดจากความผดิ ปกตขิ องโครโมโซมเพศ 3 โรค
(ไมซ่ ้ำกบั บทเรยี น) แลว้ บนั ทึกขอ้ มลู ตามทีก่ ำหนดให้

1. กลุม่ อาการ
สาเหตุ
อาการของผู้ปว่ ย คือ

2. กลุ่มอาการ
สาเหตุ
อาการของผูป้ ่วย คือ

3. กลุม่ อาการ
สาเหตุ
อาการของผ้ปู ่วย คือ

ใบงานที่ 7.1 เร่อื ง โรคที่เกิดจากความผดิ ปกติของยนี

คำช้แี จง ให้นกั เรยี นสืบคน้ ข้อมูลเกีย่ วกับโรคท่ีเกดิ จากความผดิ ปกติของยีน3 โรค(ไมซ่ ำ้ กบั บทเรยี น)

แล้วบันทึกข้อมูลตามทก่ี ำหนดให้

1. ช่ือโรค
สาเหตุ
อาการของผปู้ ่วย คือ

2. ชือ่ โรค
สาเหตุ
อาการของผูป้ ว่ ย คือ

3. ชอ่ื โรค
สาเหตุ
อาการของผ้ปู ว่ ย คือ

แบบทดสอบหลังเรยี น

1. การถา่ ยทอดลักษณะของสิ่งมีชีวติ จากรนุ่ หนง่ึ ไปยงั รนุ่ หนึ่ง หมายถงึ ข้อใด
• วงจรชวี ติ
• หว่ งโซอ่ าหาร
• พันธุกรรม
• พนั ธุวิศวกรรม

2. ใครคือบดิ าแห่งพนั ธุศาสตร์
• เซอรไ์ อแซก นิวตัน
• เกรเกอร์ เมนเดล
• ชาร์ล ดารว์ นิ
• ทอมสั เอดิสนั

3. หน่วยที่ทำหน้าที่ควบคุมลักษณะทางพันธกุ รรมของส่งิ มีชวี ิต เรยี กว่า อะไร
• ยีน
• โครโมโซม
• DNA
• RNA

4. องคป์ ระกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ (DNA) ประกอบด้วย
• นำ้ ตาล โปรตีน ฟอสโฟลิพิด
• น้ำตาล ไนโตรจนี ัสเบส โปรตนี
• นำ้ ตาล ไนโตรจนี ัสเบส ไกลโคเจน
• น้ำตาล ไนโตรจีนัสเบส หมฟู่ อสเฟต

5. โครโมโซมของมนุษยม์ ีก่ีคู่
• 22
• 23
• 44
• 46

6. เซลล์ของคนจะมโี ครโมโซมเพศเป็นอย่างไร
• X ท้งั หมด
• ครึง่ หนง่ึ เป็น X และอีกครงึ่ หนงึ่ เป็น Y
• XX
• XY

7. สำนวนที่วา่ “ลกู ไม้หลน่ ไม่ไกลต้น” มคี วามหมายทางชวี วทิ ยาอยา่ งไร
• การสบื พนั ธุ์
• การพง่ึ พากนั
• การดำรงเผา่ พันธุ์
• การปรับตวั ต่อสภาพแวดล้อม

8. ตัวอสจุ ทิ ่ีปฏิสนธกิ บั ไข่ แลว้ ทำใหเ้ กดิ ทารกเพศชายจะมีโครโมโซมเพศดงั ข้อใด

•X

•Y

• XX

• XY
9. สง่ิ มชี ีวติ ใด มีความผิดปกติทางพันธกุ รรม

• งเู ผอื ก

• เสอื สมงิ

• คา้ งคาวแม่ไก่

• หมปู า่
10.ถา้ พ่อมหี ม่เู ลือด AB แม่มีหมูเ่ ลอื ด O ลูกท่เี กดิ มาจะมหี มู่เลือดอะไรบ้าง

• A, B, AB และ O

• A, B และ AB

• A, B และ O

• A และ B

เฉลย

1. การถ่ายทอดลกั ษณะของสง่ิ มีชีวิตจากรุ่นหนงึ่ ไปยงั รุ่นหนึ่ง หมายถงึ ข้อใด
• วงจรชวี ติ
• หว่ งโซอ่ าหาร
• พันธกุ รรม
• พันธุวศิ วกรรม

2. ใครคือบิดาแห่งพนั ธศุ าสตร์
• เซอร์ไอแซก นิวตนั
• เกรเกอร์ เมนเดล
• ชารล์ ดารว์ ิน
• ทอมัส เอดิสนั

3. หน่วยท่ที ำหน้าท่ีควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ิต เรียกวา่ อะไร
• ยีน
• โครโมโซม
• DNA
• RNA

4. องค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ (DNA) ประกอบด้วย
• นำ้ ตาล โปรตนี ฟอสโฟลิพดิ
• น้ำตาล ไนโตรจนี ัสเบส โปรตนี
• นำ้ ตาล ไนโตรจีนสั เบส ไกลโคเจน
• น้ำตาล ไนโตรจีนัสเบส หมฟู่ อสเฟต

5. โครโมโซมของมนษุ ย์มีกีค่ ู่
• 22
• 23
• 44
• 46

6. เซลล์ของคนจะมโี ครโมโซมเพศเป็นอยา่ งไร
• X ทัง้ หมด
• ครง่ึ หน่งึ เป็น X และอีกคร่งึ หนึง่ เป็น Y
• XX
• XY

7. สำนวนที่วา่ “ลกู ไม้หลน่ ไม่ไกลต้น” มคี วามหมายทางชวี วทิ ยาอยา่ งไร
• การสบื พนั ธุ์
• การพง่ึ พากนั
• การดำรงเผ่าพันธุ์
• การปรัปตวั ต่อสภาพแวดล้อม

8. ตัวอสจุ ทิ ่ีปฏิสนธกิ บั ไข่ แลว้ ทำใหเ้ กดิ ทารกเพศชายจะมีโครโมโซมเพศดงั ข้อใด

•X

•Y

• XX

• XY
9. สง่ิ มชี ีวติ ใด มีความผิดปกติทางพันธกุ รรม

• งเู ผอื ก

• เสอื สมงิ

• คา้ งคาวแม่ไก่

• หมปู า่
10.ถา้ พ่อมหี ม่เู ลือด AB แม่มีหมูเ่ ลอื ด O ลูกท่เี กดิ มาจะมหี มู่เลือดอะไรบ้าง

• A, B, AB และ O

• A, B และ AB

• A, B และ O
• A และ B


Click to View FlipBook Version