The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by hasanah5558, 2020-11-04 01:49:54

หน่วยที่ 1 -4

หน่วยที่ 1 -4

1

หนว่ ยที่ 1 ทฤษฎกี ารสอนการอา่ นเชงิ วพิ ากษ์
แบบประเมินตนเองกอ่ นเรียน (Pre-test)

คาชีแ้ จง เลือกคำตอบท่ถี ูกที่สดุ ด้วยกำรทำเคร่ืองหมำย X บนตวั เลอื กในกระดำษคำตอบ

1. ข้อใดไม่ใช่แนวคดิ ของมำร์กต่อวิภำษวธิ ี
1. ไมเ่ ช่อื ควำมเปน็ กลำง
2. กำรเนน้ จิตทมี่ ีวจิ ำรณญำณ
3. วิธกี ำรพูดไม่ไดบ้ ง่ ชัดควำมเป็นกลมุ่ ชนช้ัน
4. วภิ ำษวิธี คือ ขอ้ วินจิ ฉยั + ขอ้ โต้แยง้  กำรประสม, กำรสงั เครำะห์

2. ขอ้ ใดไม่ใช่ขอ้ วจิ ำรณ์แนวคิดของมำร์ก
1. ยคุ สมัยเป็นข้อจำกดั ในกำรประยุกตใ์ ช้
2. เนน้ ควำมเปน็ พลวตั รไม่ยึดเกณฑเ์ ปน็ สำคัญ
3. แนวคดิ ตะวนั ตก ก่อให้เกดิ ประสบกำรณเ์ ฉพำะดำ้ นเดยี ว
4. กำรพฒั นำทำงวิชำกำรสำยมำรก์ ตีควำมแตกตำ่ งกนั ออกได้

3. สำนักคิดแฟรงคเ์ ฟริ ต์ ร่นุ แรกพฒั นำแนวคดิ เข้ำใจสงั คมดว้ ยทฤษฎีวพิ ำกษโ์ ดยไมเ่ นน้ ข้อใด
1. กำรใช้เหตผุ ลวพิ ำกษด์ ้วยวัฒนธรรมและกำรปฏิบตั ิขององค์กร
2. เหตุผลของบุคคลหรือกลุม่ สำคญั กว่ำกำรให้อิสระทำงกควำมคิด
3. ควำมไม่มเี หตผุ ลเปน็ องคป์ ระกอบหรือคณุ สมบตั ขิ องกำรกำหนดเหตผุ ล
4. ไม่ศึกษำแค่ส่ิงที่เปน็ ไปหำองค์ประกอบเพื่อเปล่ียนแปลงเสมอ

4. ฮำเบอร์มำส นักคิดแฟรงค์เฟิรต์ รุน่ ทีส่ อง มีแนวคิดท่เี ป็นสหวทิ ยำกำรและใหค้ วำมสำคัญด้ำนตำ่ ง ๆ
ยกเวน้ ข้อใด
1. ภำษำโดยเนน้ ที่ ideal speech situation
2. กำรส่อื สำรบนพื้นฐำนแนวคดิ วิพำกษส์ ังคม
3. พิจำรณำองค์รวมเป็นวธิ ีกำรสู่กำรแก้ปัญหำ
4. สรำ้ งสงั คมใหม่ที่เน้นในเร่ืองเสรภี ำพในกำรแสดงควำมคิดเห็น

2

5. แฟร์ (Freire, 1970) ไม่เนน้ กำรศึกษำในประเดน็ ใด
1. วิพำกษว์ จิ ำรณ์สังคมเป็นหวั ใจของกำรสอน
2. บุคคลทีม่ ีจิตสำนึกแบบวิพำกษ์ย่อมสำมำรถเปล่ียนแปลงสังคม
3. กำรศึกษำแบบผูเ้ รยี นเป็นคลังสะสมควำมรู้ไม่เอือ้ ต่อกำรเปลีย่ นแปลง
4. กำรตง้ั ประเด็นคำถำมในสงิ่ ทเ่ี รียนสำมำรถพฒั นำผเู้ รยี นแกไ้ ขปัญหำได้

6. ขอ้ ใดไม่ใช่ลักษณะแนวกำรสอนแบบวพิ ำกษ์
1. กำรตอ่ รองด้วยเหตผุ ล
2. บทอำ่ นมีควำมเป็นกลำง
3. กำรถ่ำยโอนกำรเรยี นรใู้ นช้ันเรียนดว้ ยประเดน็ คำถำมแนวประชำธิปไตย
4. ผเู้ รียนค้นหำควำมจริงที่ถูกละเลยในสังคม และชว่ ยสรำ้ งสรรคส์ งั คมใหด้ ีข้นึ

7. ขอ้ ใดไม่ใช่แนวกำรสอนที่เน้นวฒั นธรรมผู้เรยี น
1. ครูออกแบบและสร้ำงกำรสอนบนพนื้ ฐำนกำรวเิ ครำะหม์ ำตรฐำนตวั ชตี้ ำมหลกั สตู ร
2. ครอู อกแบบและสรำ้ งกำรสอนบนพืน้ ฐำนอตั ลักษณ์ ควำมเชื่อ ภำษำ ทักษะ และภูมิหลัง
ของผเู้ รยี น
3. ผเู้ รยี นสำมำรถเสนอมุมมอง สงิ่ สนใจ และควำมต้องกำรในชมุ ชนของตนเองเป็นหัวข้อของ
บทเรยี นได้
4. ประสบกำรณผ์ เู้ รียนช่วยในกำรวเิ ครำะห์ ตั้งคำถำมและสะท้อนกำรอำ่ นหรือส่ือท่นี ำเสนอ
ประเด็นทำงสงั คม

8. ขอ้ ใดเสนอแนวคิดกำรอำ่ นเชิงวพิ ำกษ์ได้ครอบคลุมท่สี ดุ
1. กระบวนกำรอ่ำนที่ท้ำทำยกำรฝึกวเิ ครำะห์บทบำทดำ้ นภำษำ และผู้อ่ำนสำมำรถตีควำมตำม
ควำมรู้ควำมเข้ำใจของตนเอง
2. กระบวนกำรอำ่ นทีส่ ื่อไม่มคี วำมเป็นกลำง ผู้อ่ำนใช้ประสบกำรณ์ และมมุ มองท่หี ลำกหลำยใน
กำรตีควำม
3. กระบวนกำรอำ่ นทีผ่ ู้อำ่ นตีควำมตำมมุมมองของตนเองและกำรสบื ค้นมมุ มองท่หี ลำกหลำย
และถำ่ ยโอนสู่กำรเปล่ียนแปลง
4. กระบวนกำรอ่ำนท่ีผู้อำ่ นตีควำมตำมมุมมองของตนเองและกำรสบื ค้นมุมมองทห่ี ลำกหลำย
และใช้พลังอำนำจทำงภำษำในกำรเปลย่ี นแปลงสงั คม

3

9. ข้อใดไม่ใชม่ ิตกิ ำรอำ่ นเชงิ วิพำกษต์ ำมแนวคิดของลูวิสันและคณะ
1. กำรแตกประเดน็ สำมญั
2. กำรยดึ มมุ มองผูเ้ ขยี นท่ีนำเสนอเป็นสำคญั
3. กำรสอบถำมหลำกหลำยมุมมอง
4. กำรเน้นประเด็นทำงสงั คม และลงมือปฏบิ ตั ิสู่กำรเปลยี่ นแปลง

10. กำรจัดกำรเรียนรแู้ นววพิ ำกษ์ส่งผลต่อกำรศึกษำยกเว้นข้อใด
1. บทบำทของครเู ป็นผูบ้ อกควำมรู้ และนกั เรียนเปน็ ผู้รบั ควำมรู้
2. กำรศึกษำทเี่ น้นควำมเปน็ มนุษย์และควำมเทำ่ เทยี บกนั ในสังคม
3. ครูและนักเรยี นเป็นผู้รว่ มสรำ้ งองค์ควำมรู้ และยอมรับมมุ มองทห่ี ลำกหลำย
4. สรำ้ งผเู้ รียนใหเ้ ปน็ พลเมืองที่มวี จิ ำรณญำณ และส่งเสรมิ กำรเคำรพควำมแตกต่ำงในสงั คม

4

แนวคิดทฤษฎีวพิ ากษ์

แนวคิดวิภำษวิธีประวัติศำสตร์ของ เกออร์ก วิลเฮล์ม ฟรีดริช เฮเกิล (Georg Wilhelm Friedrich
Hegel) และเศรษฐศำสตร์กำรเมืองของแอดัม สมิท (Adam Smith) และเดวิด ริคำร์โด (David Ricardo) ที่มี
อิทธิพลต่อแนวคิดของมำร์ก นั้นคือกำร เช่ือในควำมเป็นไปได้ที่จะศึกษำประวัติศำสตร์และสังคมในลักษณะที่
เป็นวิทยำศำสตร์ ซ่ึงจะทำให้เข้ำใจแนวโน้มของประวัติศำสตร์รวมถึงผลลัพธ์ของข้อขัดแย้งทำงสังคมได้ด้วย
กำรพิจำรณำแบบวิภำษวธิ ี (dialectic) thesis + antithesis + synthesis (ขอ้ วนิ ิจฉยั + ข้อโตแ้ ยง้ → กำร
ประสม, กำรสังเครำะห์) และหนังสือของฟรีดริช เองเงิลส์ (Friedrich Engels) “The Condition of the
Working Class in England in 1844” (สภำพของชนชั้นกรรมำชพี ในองั กฤษในปี 1844) แสดงให้เห็นแนวคิด
ของมำร์กต่อวิภำษวิธีเชิงประวัติศำสตร์ออกมำในรูปของควำมขัดแย้งระหว่ำงชนช้ัน และมองเป็นว่ำชนชั้น
กรรมำชีพสมยั ใหมจ่ ะเปน็ แรงผลักดันทกี่ ้ำวหนำ้ ที่สดุ สำหรบั กำรปฏวิ ตั ิ (ฑฆิ มั พร เอ่ียมเรไร. 2556)

คำร์ล มำร์กซ์ ปรับใช้วิธีคิดของเฮเกลด้วยกำรเปล่ียนหนว่ ยกำรวิเครำะห์จำกระดับวิธีคิดมำเป็นระดบั
สงั คม โดยสรุปกำรใช้ทฤษฎีวิพำกษ์ได้ดงั นี้

1.ยดึ ปรัชญำทฤษฎีวพิ ำกษ์ ดว้ ยกำรเน้นจิตท่มี วี ิจำรณญำณ (Critical mind)
2.พจิ ำรณำองค์รวม(totality) เปน็ วธิ ีกำร (approach) สูก่ ำรแก้ปญั หำ
3.ไมเ่ ช่ือควำมเป็นกลำง
4.ไมศ่ กึ ษำแค่สิง่ ที่เปน็ ไป (given) หำ potential (องค์ประกอบ) เพ่อื เปล่ยี นแปลงเสมอ
5.แกป้ ัญหำแบบองค์คณะ (collectivity)ไม่เน้นแบบปัจเจก (individual)
6.วธิ กี ำรพดู ในแตล่ ะสงั คมยอ่ มเปน็ ของกลมุ่ ชนนนั้ (Dialectic)
7.เน้นควำมเป็นพลวตั ร (dynamic) ไมย่ ดึ เกณฑ์ (norm)เปน็ สำคญั
ขอ้ วิจารณแ์ นวคิดของมาร์กซ์
1.ยคุ สมัยเป็นขอ้ จำกัดในกำรประยกุ ตใ์ ช้
2.แนวคดิ ตะวนั ตก กอ่ ใหเ้ กดิ ประสบกำรณเ์ ฉพำะด้ำนเดียว
3.กำรพฒั นำทำงวชิ ำกำรสำยมำร์กซต์ คี วำมแตกต่ำงกนั ออกได้

ท่มี ำรปู ภำพ www.thairath.co.th

5

แนวคิดสานักคิดแฟรงคเ์ ฟริ ต์ (Frankfurt School)

สำนักคิดแฟรงค์เฟิร์ตรุ่นแรกเร่ิมประกอบด้วย Theodor W. Adorno, Max Horkheimer,
Walter Benjamin, Herbert Marcuse และ Erich Fromm ที่พัฒนำแนวคิดของมำร์กซ์ในรูปแบบกำรศึกษำ
แบบสหวิทยำกำร (interdisciplinary) ในกำรทำควำมเข้ำใจสังคม และได้มีกำรเสนอทฤษฎีวิพำกษ์ (Critical
Theory) โดยมีจุดเนน้ สำคัญ คือ (1) กำรใช้เหตุผลในกำรวิพำกษ์ผ่ำนกำรปฏิบตั ิกำรของวัฒนธรรมและสถำบัน
(2) เหตุผลเป็นส่ิงท่ีครอบงำบุคคลหรือกลุ่มมำกกว่ำกำรให้อิสระทำงควำมคิด และ (3) สิ่งสำคัญท่ีสุดคือควำม
ไมม่ ีเหตุผลเปน็ องค์ประกอบหรือคุณสมบัตขิ องกำรกำหนดเหตุผล

นักวิชำกำรในสำนักคิดแฟรงเฟิร์ตรุ่นที่สอง คือ ฮำเบอร์มำส (Habermas) มีแนวคิดที่เป็นสห
วิทยำกำรและให้ควำมสำคัญในเร่ืองของภำษำ (linguistic) โดยเน้นที่ “ideal speech situation” ซึ่งมี
ลักษณะเป็นสถำนกำรณ์ทำงภำษำแบบอุดมคติท่ีมนุษย์ส่ือสำรระหว่ำงกัน บนพื้นฐำนแนวคิดวิพำกษ์สังคม
(Social Criticism) และสร้ำงสังคมใหม่ที่เน้นในเร่ืองเสรีภำพในกำรแสดงควำมคิดเห็น เร่ืองพื้นที่สำธำรณะ
วำทกรรม และเหตุผล อนั เป็นท่ีมำของทฤษฎกี ำรกระทำทำงกำรสื่อสำร (Communicative Action) หรอื กำร
กระจำยทำงวัฒนธรรมทจ่ี ะทำใหค้ นเขำ้ ใจซึ่งกันและกัน กำรสอ่ื สำรและกำรบูรณำกำรทำงสังคมเป็นตัวส่งเสริม
กำรรับรู้ร่วมกันในควำมเป็นสังคม ในโลกควำมเป็นจริงจึงต้องอำศัยภำษำในกำรควบคุมทิศทำงกำรส่ือสำรให้
เกิดควำมเข้ำใจซึ่งกันและกันและเขำ้ ใจสังคมวฒั นธรรม กำรใชภ้ ำษำในกำรสื่อสำรเป็นลักษณะหน่ึงของกำรให้
เหตุผลด้วยกำรอภปิ รำยควำมผ่ำนกำรใช้ภำษำ และกำรเข้ำใจถึงวัฒนธรรมด้ำนกำรสื่อสำรเปน็ สิ่งที่ช่วยใหเ้ กิด
ควำมเข้ำใจในกำรสอ่ื สำร (สุรพงษ์ โสธนะเสถยี ร. 2556)

แบบฝึกท่ี 1 จงแยกประเดน็ จากสิง่ ท่ไี ดจ้ ากการศึกษาแนวคิดวพิ ากษ์

คำรล์ มำร์กซ์ สำนกั คดิ แฟรงคเ์ ฟริ ต์ รนุ่ แรก สำนักคิดแฟรงเฟริ ์ตรุ่นทส่ี อง
ตัวอยำ่ ง -Critical mind ตวั อย่ำง-ทำควำมเขำ้ ใจสังคม ตวั อย่ำง-เป็นสหวิทยำกำรและให้
และได้มกี ำรเสนอทฤษฎีวิพำกษ์ ควำมสำคญั ในเรื่องของภำษำ
- - -
- - -
- - -
-

3 คะแนน 3 คะแนน 4 คะแนน รวม 10 คะแนนเต็ม

6

การอ่านเชงิ วพิ ากษ์
การอ่านเชงิ วพิ ากษ์

การอา่ นเชิงวพิ ากษ์ (Critical Literacy)

แฟร์ (Freire, 1970) เป็นผูบ้ กุ เบิกและนยิ ำมกำรอ่ำนเชิงวิพำกย์ ว่ำ เปน็ กำรอำ่ นท่ีกระตนุ้ ให้ผู้อ่ำน
กระตือรือร้นในกำรปฏิสัมพันธ์กับบทอ่ำนด้วยกำรต้ังคำถำม ตรวจสอบพลังอำนำจระหว่ำงผู้เขียนและผู้อ่ำน
ส่ิงเหล่ำนี้จะส่งเสริมอำนำจ กำรสะท้อนคิด กำรเปลี่ยนผ่ำน และกำรปฏิบัติ หรือกล่ำวได้ว่ำ เป็นกำรสร้ำง
ควำมคิดสร้ำงสรรค์และเสริมพลังผู้เรียน ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของ คัมเบอร์ (Comber, 2001) ที่กล่ำวว่ำ
ผู้อ่ำนมีโอกำสในกำรใช้ภำษำในทิศทำงท่ีมีพลังยิ่งข้ึน เช่น กำรต้ังคำถำมบทอ่ำน และกำรหำข้อสรุปในกำร
เปล่ียนแปลงสโู่ ลกแห่งควำมเป็นจรงิ และ ชำนนัน (Shannon, 1995) ได้เสริมแนวคดิ นีว้ ่ำ เป็นกำรใหเ้ สรีภำพ
ตอ่ ผู้อำ่ นในกำรทจ่ี ะสืบเสำะ และปฏบิ ัติกำรสู่กำรเปลย่ี นแปลงของสงั คม

ชอร์ (Shor, 1999) แจงส์ (Janks, 2000) และ แมคลำฟลิน และเดอวูด (McLaughlin & DeVood,
2004) เสนอแนวคิดในทิศทำงเดียวกันว่ำ กำรอ่ำนเชิงวิพำกษ์สง่ เสริมควำมยุติธรรมในสังคมด้วยกำรสนบั สนุน
ให้นักเรียนได้ตรวจสอบควำมสัมพันธร์ ะหว่ำงอำนำจและกำรใชภ้ ำษำ เพรำะบทอ่ำนที่ไม่เป็นกลำง มีอคติแฝง
ดงั น้ัน ผเู้ รยี น/ผู้อ่ำน ควรปรับคณุ ค่ำของกำรสร้ำงบทอ่ำนใหม่ด้วยกำรเสพมมุ มองของคนเขียนจำกภำษำที่เน้น
ควำมไม่เท่ำเทียมกันในสังคมและไม่เอื้อประโยชน์ต่อสังคม นอกจำกนี้ กำรอ่ำนเชิงวิพำกย์ช่วยให้ผู้อ่ำนได้ทำ
ควำมเข้ำใจในระดับลึกจำกท่ีปรำกฏในบทอ่ำน ผู้อ่ำนมีควำมคล่องแคล่วในกำรอ่ำนแล้วเห็นด้วยหรือขัดแย้ง
กำรต้ังคำถำมในส่ิงที่ผู้เขียนนำเสนอหรือมองข้ำมไปในบทอ่ำน และผู้อ่ำนปฏิบัติกำรเปล่ียนแปลงในแนวทำง
ท่คี วรจะเป็นทส่ี ะท้อนควำมจริงในสงั คม

แจงส์ (Janks, 2000) และสมิธ (Smyth, 2004) กล่ำวว่ำ กำรอ่ำนเชิงวิพำกษ์ คือ ฝึกผู้เรียนให้เป็น
นักอ่ำนท่ีคล่องแคล่ว เพื่อกำรตั้งคำถำมบทอ่ำน ตรวจสอบด้วยกำรวิเครำะห์ถึงมุมมองของ ชนชั้น เพศ เชื้อ
ชำติ ชนชำติ และกำรกีดกัดเพศในบทอ่ำน และปฏิบัติเพื่อควำมเท่ำเทียมในสงั คมจึงนิยำมกำรอ่ำนเชงิ วิพำกษ์
ดงั น้ี คือ ทกั ษะกำรอ่ำนเชิงวิเครำะห์ที่เช่ือมโยงควำมจริงกับตวั บทอ่ำน และคน้ หำแนวทำงในกำรเปลย่ี นแปลง
สังคมให้ดีข้ึนครูและนักเรียนเป็นหุ้นส่วนในกำรสร้ำงองค์ควำมรู้และเปล่ียนแปลงตำมสภำพกำรณ์ของสังคม
ผเู้ รียน

7

แบบฝกึ ท่ี 2 จงสรปุ นิยามการอา่ นเชงิ วพิ ากษใ์ นมุมมองท่หี ลากหลาย
นกั วชิ ำกำร ย่อหน้ำท่ี 1

2.5 คะแนน
นกั วชิ ำกำร ยอ่ หนำ้ ท่ี 2

2.5 คะแนน
นกั วชิ ำกำร ยอ่ หน้ำที่ 3

2.5 คะแนน

8

ตัวทำ่ นเอง
2.5 คะแนน

การสอนแบบวิพากษ์และการเนน้ วฒั นธรรมผู้เรียน

คินเชอโล Kincheloe (2008) และ กรูนีเวลด์ Gruenewald (2003) ระบุไว้ว่ำบทบำทของ
กำรศึกษำในโลกที่มีกำรประสำนควำมร่วมมือกันของประชำกรโลก กระบวนกำรสอนแบบทฤษฎีวิพำกษ์
ให้ควำมรู้ที่ตอบสนองนักกำรศึกษำและควำมสนใจของผู้เรียนในกำรสรำ้ งควำมยุติธรรมในสงั คม ประเด็นด้ำน
ควำมหลำกหลำยและเหตุจำกพฤติกรรมท่ีขำดเหตุผลอันควรเป็นหัวข้อของกำรอภิปรำยระหว่ำงกัน
อีกทงั้ ควำมซบั ซอ้ นทำงสงั คม และวฒั นธรรม เปน็ พน้ื ฐำนในกำรสอนท่ีเนน้ วัฒนธรรมของผู้เรยี น

เกย์ (Gay, 2000) วลิ ล์กัสและลกู สั (Villegas and Lucas, 2002) และ แลดซน่ั -บลิ ลงิ (Ladson-Billing,
1994) กล่ำวว่ำ แนวกำรสอนที่เน้นวัฒนธรรมของผู้เรียนหรือกำรสอนประสำนภูมิหลัง บ้ำน ประสบกำรณ์
จำกชุมชนของผู้เรียนสู่หลักสูตรในโรงเรียน สิ่งเหล่ำนี้เน้นกำรยอมรับ เคำรพกันและกัน พร้อมทั้งกำรเข้ำใจ
ควำมแตกต่ำง กำรสอนแนวนี้เน้นสำมประเด็นสำคัญดังนี้ 1) กำรให้ควำมคำดหวังอย่ำงสูงต่อผู้เรียนทุกคน
(ผูเ้ รยี นมคี วำมสำคัญเท่ำเทยี มกนั ) 2) กำรช่วยให้นกั เรียนได้พัฒนำสมรรถนะดำ้ นวัฒนธรรม และ 3) กำรชแ้ี นะ
ผู้เรียนให้เกดิ กำรตระหนกั ต่อวัฒนธรรมของตนเองและผู้อนื่ อยำ่ งมีวจิ ำรณญำณ

แลดซ่ัน-บิลลงิ (Ladson-Billing, 1994) ได้เน้นถึงองค์ประกอบสำคัญของกำรจดั กำรศึกษำทีเ่ น้น
วัฒนธรรมของผู้เรียนว่ำ เป็นคุณค่ำด้ำนควำมแตกต่ำงและให้โอกำสพร้อมทั้งประสบกำรณ์ด้ำนบทบำทควำม
เป็นกลำงด้ำนวัฒนธรรม กำรประเมินตนเองเช่น แบบสำรวจควำมทัศคติ กำรประชุมกลุ่ม กำรสังเกตกำรณ์
กำรปฏสิ ัมพนั ธก์ บั วฒั นธรรมอนั เปน็ กำรยอมรับควำมแตกต่ำงระหว่ำงมุมมองและควำมเป็นจริงด้ำนวัฒนธรรม
ระหว่ำงกนั ด้ำนกำรจัดกำรองค์ควำมรูข้ ององคก์ ร เช่น นโยบำยและแนวปฏบิ ตั ขิ องโรงเรยี น และกำรให้บริกำร
ต่ำง ๆ ท่ียอมรับควำมแตกต่ำงด้ำนชนชำติ เป็นต้น หรืออีกนิยำมหมำยถึง ต้นทุนทำงควำมรู้ท่ีผู้เรียนมี
(Students’ funds of knowledge) ที่ควรเน้นในกำระบวนกำรจัดกำรเรียนกำรสอน ควำมเป็นจริงในชีวิต
ผูเ้ รยี นจะชว่ ยปรับมุมมองตอ่ กำรควำมเป็นจริงของโลกและกำรปฏิบัติสู่กำรทำให้สังคมดขี ึ้น

ริชำรด์ บรำว์น และ ฟอรด์ Richards, Brown and Forde (2006) เสนอมิติของกำรสอนท่ีเน้น
วัฒนธรรมของผู้เรียน ประกอบด้วย มิติด้ำนองค์กำรหรือสถำบันท่ี หมำยถึง กำรบริหำรจัดกำรและควำมเป็น

9

ผูน้ ำดำ้ นระบบบริหำรจดั กำรของโรงเรียน สิ่งเหลำ่ นเ้ี กี่ยวข้องและสะท้อนนโยบำยและแนวปฏบิ ัติของโรงเรียน
มิติด้ำนบุคคล หมำยถึง ทัศนคติต่อกำรสอนที่เน้นสิ่งที่เก่ียวข้องกับผู้เรียนของนักกำรศึกษำและกำรนำสู่กำร
ปฏิบัติซึ่งส่งเสริมกำรพัฒนำกำรสร้ำงองค์ควำมรู้ของผู้เรียน และมิติด้ำนกำรจัดกำรสอน หมำยถึง กำรที่
ครูผูส้ อนจะมีวิธกี ำรอยำ่ งไรในกำรประสำนกิจกรรมในชั้นเรยี นใหส้ อดคล้องกับวัฒนธรรมของผูเ้ รยี นสกู่ ำรเรียน
กำรสอน

สรุปได้ว่ำต้นทุนด้ำนวัฒนธรรมของผู้เรียนมีบทบำทต่อกำรเตรียมควำมพร้อมสู่ควำมแตกต่ำง
หลำกหลำยในสังคมระดับท้องถ่ินและชุมชนโลก อย่ำงไรก็ตำมกำรตระหนักด้ำนวัฒนธรรมทำงสังคมของ
ผเู้ รยี นสำมำรถพัฒนำได้จำกสอ่ื กำรเรยี นรูแ้ ละกำรปฏบิ ตั ิท่ีคำนึงถงึ ประเดน็ ด้ำนควำมยตุ ธิ รรมในสังคม

แบบฝกึ ท่ี 3 จงใช้ข้อมูลจำกภำพวิเครำะห์แนวทำงกำรนำวัฒนธรรมผูเ้ รียนสกู่ ำรสอนตำมแนวคิดท่ีได้ศึกษำ

10

ด้านภาษา:

ด้านทกั ษะ:

ด้านความเช่ือ/ประเพณี

- ดำ้ นภำษำ 3 คะแนน
- ดำ้ นทกั ษะ 3 คะแนน
- ด้ำนควำมเชอ่ื /ประเพณี 4 คะแนน

รวม 10 คะแนน

11

มติ ิการสอนการอ่านเชิงวิพากษ์

ลูวิสัน และคณะ (Lewison, Flint and Sluys, 2002) ได้สังเครำะห์จำกหลักฐำนกำรนิยำมท่ี
หลำกหลำยของนักกำรศึกษำด้ำนกำรรู้เรื่องกำรอ่ำน นักทฤษฎี และนักภำษำศำสตร์ และกำหนด 4 มิติของ
กำรอำ่ นเชิงวิพำกษ์ไว้ดงั น้ี

1. กำรแตกประเด็นสำมัญ (Disrupting the commonplace) นักเรียนได้รับมุมมองด้วยกำรเข้ำใจ
ข้อควำมหรือสถำนะกำรจำกบทอ่ำนในทิศทำงท่ีหลำกหลำยบนพื้นฐำนจำกประสบกำรณ์หรือมุมมองที่มีต่อ
โลก หรืออีกนัยหน่ึงตำมทัศนะของชอร์ (Shor, 1987) แฟร์กลำวฟ (Fairclough, 1989) กี (Gee, 1990)
ชำนนัน (Shannon, 1995) และ ลุคและพรีบอดี (Luke & Freebody, 1997) ท่ีเสนอไว้ว่ำ มุมมองใหม่ๆ
ท่ีจะเข้ำใจและพิจำรณำเสำะหำวิธีกำรต้ังคำถำมต่อประเด็นกำรเรยี นรู้ สอบถำมหรือสืบเสำะด้วยกำรวิเครำะห์
ว่ำคนถูกจัดวำงหรือสร้ำงกำรรับร้จู ำกบทอ่ำนหรือสื่อ อกี ท้ังเป็นกำรเรียนรูว้ ่ำภำษำ อัตลกั ษณ์ กำรวิพำกษ์ทำง
วฒั นธรรม และสภำพกำรณ์ของผู้อ่ำนเป็นตัวแปรในกำรตคี วำมของผ้อู ำ่ น

2. กำรสอบถำมหลำกหลำยมุมมอง (Interrogating multiple viewpoints) นักเรียนได้รับกำร
กระตุ้นให้คิดเก่ียวกับข้อควำมและสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวบทอ่ำนจำกหลำกหลำยมุมมองของตัวนักเรียนและผู้อ่ืน
ตำมทัศนะของฮำรสท์ และคณะ 2002 (Harste et al, 2000 อ้ำงถึงในลูวิสัน และคณะ 2002 Lewison et
al, 2002) กำรสร้ำงมมุ มองท่แี ตกต่ำงทำให้ค้นพบสิ่งที่ไม่ได้กล่ำวถึง หรอื เสยี งกลุ่มชำยขอบ ทถ่ี กู มองขำ้ มไปใน
บทอำ่ น ตำมที่ เฟลพส์ (Phelps, 2010) เสนอไวว้ ่ำ กำรชีแ้ นะผู้เรยี นในขณะที่เช่อื มต่อกบั บทอ่ำนด้วยกำรตง้ั คำถำม
เช่น จุดประสงค์ของบทอ่ำนนี้คืออะไร (What is the purpose of this text?) บทอ่ำนนี้จัดวำงตัวผู้อ่ำนไว้
อย่ำงไร (How does the text position the reader?) ควำมสนใจของใครท่ีไม่ได้ถูกกล่ำวถึงในบทอ่ำน
(Whose interests are or are not served by the text?) มุมมองโลกด้ำนใดที่ได้รับกำรนำเสนอหรือ
ขำดหำยไป (What worldviews are presented or are missing?)

3. กำรเน้นประเด็นทำงสังคม (Focusing on sociopolitical issues) นักเรียนตรวจสอบ
ควำมสมั พันธร์ ะหว่ำงภำษำและอำนำจในกำรใช้ภำษำเพ่ือกำรเปล่ียนแปลงในระหว่ำงบุคคลสูป่ ระเด็นทำงสังคม
สอดคล้องกับ จีรอกซ์ (Giroux, 1993) ได้กล่ำวไว้ว่ำ กำรเพิ่มโอกำสให้กับกลุ่มชำยขอบได้มีส่วนร่วมในสังคม
ผำ่ นกำรปฏิบัตดิ ้วยควำมมีจิตสำนกึ และต่อตำ้ นจำกกำรรเู้ รือ่ งกำรอ่ำน

4. กำรลงมือปฏิบัติและส่งเสริมควำมยุติธรรมในสังคม (Taking Action & Promoting Social
Justice) นักเรยี นได้รบั กำรเชือ้ เชิญใหต้ ดั สนิ ใจในกำรปฏบิ ตั ิสำหรบั กำรเปล่ียนแปลงด้วยประเด็นควำมยุติธรรม
ในสังคม สอดคล้องกับจีรอกซ์ (Giroux (1993) ได้เสนอแนะว่ำนักเรียนควรได้รับกำรกระตุ้นให้เป็นผู้ก้ำวข้ำม

12

ขอบของวัฒนธรรมเพื่อท่ีจะเข้ำใจผู้อื่น และสร้ำงจุดยืนของที่จะต้องเผชิญต่อแหล่งข้อมูลด้ำนวัฒนธรรมท่ีแตกต่ำง
เช่นเดียวกับแนวคิดของแจงส์ (Janks, 2000) และ คัมเบอร์ (Comber, 2001) ท่ีระบุว่ำ กำรใช้ภำษำ
เพ่ือฝึกพลังอำนำจในวิถีชีวิตประจำวัน และกำรต้ังคำถำมเก่ียวกับควำมยุติธรรม ภำษำและวัฒนธรรม
ของผู้เรยี นเปน็ ที่ยอมรับจำกภำษำและวฒั นธรรมทแ่ี ตกตำ่ งกนั ในสังคม สง่ิ เหล่ำน้เี ปน็ เคร่ืองมือในกำรปฏิบัติต่อ
สังคม ดังเช่น แฟร์ (Freire, 1970) ได้เน้นย้ำว่ำ กำรท่ีจะประสบผลด้ำนควำมยุติธรรมในสังคมต้องต้ังอยู่บนงำนท่ี
ผ่ำนกระบวนกำรกำรปฏิบัติ (Praxis) อันประกอบด้วย กำรสะท้อนคิด กำรปฏิบัติและกำรเปลี่ยนสภำพ
(reflection, action, and transformation)

แบบฝกี ที่ 4 จัดกจิ กรรมที่ให้มาตามมติ กิ ารสอนการอ่านเชิงวิพากษ์โดยเขยี นลงในช่องว่าง

1.กำรแตกประเด็นสำมัญ (Disrupting the commonplace)

…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………

2. กำรสอบถำมหลำกหลำยมุมมอง (Interrogating multiple viewpoints)

…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………

3. กำรเน้นประเดน็ ทำงสังคม (Focusing on sociopolitical issues)
…………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………

4. กำรลงมอื ปฏิบตั ิและสง่ เสริมควำมยุติธรรมในสังคม (Taking Action &
Promoting Social Justice)
…………………………………………………………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………

13

กจิ กรรมทางเลือก
นกั เรียนสอบถามความคิดเห็นของบคุ คลอ่ืนตอ่ เร่ืองท่ีอ่าน1 ถงุ ผ้าลดขยะ2
บทอา่ นเก่ยี วข้องกบั ปัญหาในทอ้ งถน่ิ 3 เนือ้ หาการเรยี นรเู้ น้นใหผ้ ู้เรยี นสะท้อนความเปน็ จริงใกลต้ ัว4
นักเรียนทาปา้ ยรณรงค์รกั ษโ์ ลก5 โครงการชว่ ยเหลอื คนยากไร้6 ครตู ้งั คาถามเกี่ยวขอ้ งกับเรือ่ งท่ีจะเรียน7
ครกู ระตนุ้ ผเู้ รียนสะทอ้ นเรื่องใกล้ตวั เชอื่ มโยงกบั สิ่งทจี่ ะเรียน8 นกั เรียนร่วมกันหามุมมองจากการอา่ น9
นักเรยี นร่วมกนั เสนอความคิดเห็นท่ีมตี อ่ บทอ่าน10

แบบประเมนิ ตนเองหลังเรยี น (Posttest)

คาช้ีแจง เลือกคำตอบทถี่ กู ทสี่ ดุ ดว้ ยกำรทำเครือ่ งหมำย X บนตวั เลอื กในกระดำษคำตอบ

1. ฮำเบอร์มำส นักคิดแฟรงค์เฟิรต์ รนุ่ ทสี่ อง มีแนวคิดท่เี ปน็ สหวิทยำกำรและใหค้ วำมสำคัญด้ำนตำ่ ง ๆ
ยกเวน้ ข้อใด
1. ภำษำโดยเน้นที่ ideal speech situation
2. กำรส่ือสำรบนพ้ืนฐำนแนวคดิ วิพำกษส์ งั คม
3. พิจำรณำองคร์ วมเปน็ วิธีกำรสู่กำรแก้ปัญหำ

4. สรำ้ งสังคมใหม่ที่เนน้ ในเร่ืองเสรีภำพในกำรแสดงควำมคิดเห็น

2. สำนกั คิดแฟรงค์เฟริ ์ตรนุ่ แรกพฒั นำแนวคิดเข้ำใจสังคมดว้ ยทฤษฎีวพิ ำกษโ์ ดยไม่เน้นข้อใด
1. กำรใชเ้ หตผุ ลวพิ ำกษด์ ้วยวัฒนธรรมและกำรปฏบิ ัตขิ ององคก์ ร
2. เหตุผลของบุคคลหรือกลุ่มสำคัญกว่ำกำรให้อิสระทำงกควำมคิด
3. ควำมไม่มเี หตุผลเป็นองคป์ ระกอบหรือคณุ สมบัติของกำรกำหนดเหตผุ ล
4. ไม่ศึกษำแคส่ ง่ิ ทีเ่ ปน็ ไปหำองค์ประกอบเพื่อเปลีย่ นแปลงเสมอ

14

3. ข้อใดไม่ใช่แนวคิดของมำร์กต่อวิภำษวธิ ี
1. ไมเ่ ชอ่ื ควำมเป็นกลำง
2. กำรเนน้ จิตทมี่ วี ิจำรณญำณ
3. วิธีกำรพดู ไม่ได้บ่งชัดควำมเป็นกล่มุ ชนชั้น
4. วิภำษวธิ ี คอื ขอ้ วินจิ ฉยั + ขอ้ โตแ้ ย้ง  กำรประสม, กำรสงั เครำะห์

4. แฟร์ (Freire, 1970) ไมเ่ น้นกำรศึกษำในประเดน็ ใด
1. วพิ ำกษว์ ิจำรณส์ ังคมเป็นหวั ใจของกำรสอน
2. บคุ คลที่มีจติ สำนึกแบบวิพำกษย์ ่อมสำมำรถเปล่ียนแปลงสงั คม
3. กำรศกึ ษำแบบผเู้ รียนเป็นคลังสะสมควำมรู้ไมเ่ อ้อื ต่อกำรเปลีย่ นแปลง
4. กำรตัง้ ประเด็นคำถำมในส่งิ ท่เี รียนสำมำรถพฒั นำผู้เรยี นแกไ้ ขปัญหำได้

5. ข้อใดเสนอแนวคิดกำรอำ่ นเชงิ วพิ ำกษ์ได้ครอบคลมุ ทส่ี ดุ
1. กระบวนกำรอำ่ นที่ท้ำทำยกำรฝกึ วเิ ครำะหบ์ ทบำทด้ำนภำษำ และผู้อ่ำนสำมำรถตีควำม
ตำมควำมรู้ควำมเขำ้ ใจของตนเอง
2. กระบวนกำรอำ่ นท่สี ่ือไม่มีควำมเปน็ กลำง ผูอ้ ่ำนใชป้ ระสบกำรณ์ และมมุ มองทห่ี ลำกหลำย
ในกำรตคี วำม
3. กระบวนกำรอ่ำนท่ผี ู้อ่ำนตีควำมตำมมุมมองของตนเองและกำรสืบคน้ มมุ มองท่หี ลำกหลำย
และถำ่ ยโอนสู่กำรเปล่ียนแปลง
4. กระบวนกำรอ่ำนทผ่ี ู้อำ่ นตีควำมตำมมุมมองของตนเองและกำรสบื ค้นมมุ มองท่หี ลำกหลำย
และใชพ้ ลงั อำนำจทำงภำษำในกำรเปลีย่ นแปลงสังคม

6. ขอ้ ใดไม่ใช่ขอ้ วจิ ำรณ์แนวคดิ ของมำร์ก
1. ยุคสมยั เป็นข้อจำกดั ในกำรประยกุ ต์ใช้
2. เนน้ ควำมเป็นพลวัตรไมย่ ึดเกณฑ์เป็นสำคัญ
3. แนวคิดตะวนั ตก ก่อให้เกดิ ประสบกำรณ์เฉพำะดำ้ นเดียว
4. กำรพัฒนำทำงวิชำกำรสำยมำรก์ ตคี วำมแตกต่ำงกนั ออกได้

15

7. ขอ้ ใดไม่ใชแ่ นวกำรสอนที่เน้นวฒั นธรรมผ้เู รียน
1. ครูออกแบบและสรำ้ งกำรสอนบนพืน้ ฐำนกำรวเิ ครำะห์มำตรฐำนตัวชีต้ ำมหลักสตู ร
2. ครอู อกแบบและสรำ้ งกำรสอนบนพ้นื ฐำนอัตลักษณ์ ควำมเชอ่ื ภำษำ ทักษะ และภูมหิ ลัง
ของผู้เรียน
3. ผู้เรียนสำมำรถเสนอมุมมอง สงิ่ สนใจ และควำมต้องกำรในชุมชนของตนเองเป็นหวั ข้อของ
บทเรยี นได้
4. ประสบกำรณผ์ เู้ รียนชว่ ยในกำรวิเครำะห์ ตัง้ คำถำมและสะท้อนกำรอำ่ นหรอื สื่อท่นี ำเสนอ
ประเด็นทำงสงั คม

8. กำรจัดกำรเรยี นรูแ้ นววิพำกษ์สง่ ผลต่อกำรศึกษำยกเวน้ ข้อใด
1. บทบำทของครเู ปน็ ผู้บอกควำมรู้ และนกั เรยี นเปน็ ผู้รบั ควำมรู้
2. กำรศึกษำทเี่ นน้ ควำมเปน็ มนุษยแ์ ละควำมเทำ่ เทยี บกันในสังคม
3. ครแู ละนักเรียนเปน็ ผู้รว่ มสร้ำงองค์ควำมรู้ และยอมรับมมุ มองทหี่ ลำกหลำย
4. สรำ้ งผู้เรียนใหเ้ ปน็ พลเมืองที่มวี จิ ำรณญำณ และส่งเสริมกำรเคำรพควำมแตกตำ่ งในสังคม

9. ขอ้ ใดไม่ใชล่ กั ษณะแนวกำรสอนแบบวพิ ำกษ์
1. กำรตอ่ รองด้วยเหตุผล
2. บทอำ่ นมีควำมเป็นกลำง
3. กำรถ่ำยโอนกำรเรียนรใู้ นชนั้ เรยี นดว้ ยประเดน็ คำถำมแนวประชำธิปไตย
4. ผ้เู รียนคน้ หำควำมจริงท่ีถกู ละเลยในสังคม และช่วยสร้ำงสรรค์สงั คมให้ดีข้นึ

10. ข้อใดไม่ใช่มติ ิกำรอำ่ นเชิงวพิ ำกษต์ ำมแนวคดิ ของลูวิสันและคณะ
1. กำรแตกประเด็นสำมญั
2. กำรยึดมมุ มองผเู้ ขยี นท่ีนำเสนอเปน็ สำคญั
3. กำรสอบถำมหลำกหลำยมุมมอง
4. กำรเน้นประเด็นทำงสังคม และลงมือปฏิบัตสิ กู่ ำรเปลี่ยนแปลง

16

เฉลย

แบบประเมินตนเองก่อนเรยี น 3. (4) 4. (3) 5. (3)
1. (3) 2. (2) 8. (4) 9. (2) 10. (1)
6. (2) 7. (2)

แบบประเมินตนเองหลังเรยี น 3. (3) 4. (3) 5. (4)
1. (3) 2. (4) 8. (1) 9. (2) 10. (2)
6. (2) 7. (2)

แบบฝกึ ท่ี 1 สำนักคดิ แฟรงค์เฟริ ต์ รนุ่ แรก สำนักคดิ แฟรงเฟิรต์ รุ่นทีส่ อง
คำร์ล มำร์กซ์ ตวั อยำ่ ง-ทำควำมเข้ำใจสงั คม ตวั อยำ่ ง-เป็นสหวิทยำกำรและให้
และได้มีกำรเสนอทฤษฎีวิพำกษ์ ควำมสำคัญในเร่ืองของภำษำ
ตวั อย่ำง -Critical mind -กำรใชเ้ หตุผลในกำรวพิ ำกษ์ -แนวคดิ วิพำกษ์สังคม
-ไม่เช่ือควำมเปน็ กลำง -เหตุผลครอบงำบคุ คลมำกกว่ำ -ทฤษฎกี ำรกระทำทำงกำรส่ือสำร
-ไม่เน้นแบบปจั เจก อสิ ระทำงควำมคิด
-เน้นควำมเป็นพลวัตร -ควำมไม่มเี หตผุ ลเป็น -กำรใหเ้ หตผุ ลด้วยกำรอภิปรำย
องค์ประกอบในกำรกำหนด ควำมผำ่ นกำรใช้ภำษำ
เปน็ ตน้ เหตผุ ล - กำรรับรู้รว่ มกนั ในควำมเป็น
สงั คม
เป็นตน้ -เปน็ ต้น

3 คะแนน 3 คะแนน 4 คะแนน รวม 10 คะแนนเต็ม

แบบฝกึ ท่ี 2 แนวทำงกำรตอบ ยอ่ หน้ำท่ี 1

“เปน็ กำรอ่ำนท่ีกระต้นุ ใหผ้ ู้อ่ำนปฏสิ มั พนั ธ์กับบทอำ่ นดว้ ยกำรต้ังคำถำมต่อบทอำ่ น หำข้อสรปุ

ในกำรเปล่ยี นแปลงสังคม “

แนวทำงกำรตอบ ย่อหนำ้ ท่ี 2

“เปน็ กำรอำ่ นที่สง่ เสรมิ ควำมยตุ ิธรรมในสังคม ผูเ้ ขยี นไม่มีควำมเปน็ กลำงในกำรนำเสนอ ผอู้ ่ำน

ต้องตรวจสอบหลำกหลำยมุมมอง ก่อนกำรหำข้อสรุป และใชภ้ ำษำในกำรเปลย่ี นแปลงสังคมให้ดีขน้ึ ”

แนวทำงกำรตอบ ย่อหนำ้ ท่ี 3

17

“เป็นทกั ษะกำรอำ่ นเชิงวิเครำะห์ท่เี ชื่อมโยงควำมจริงกับตวั บทอำ่ น และค้นหำแนวทำงในกำร
เปลี่ยนแปลงสงั คมใหด้ ีขน้ึ ครูและนกั เรยี นรว่ มกันสรำ้ งองค์ควำมรู้”

นิยำมดว้ ยตนเอง
“กระบวนกำรอ่ำน.......................เกย่ี วข้องกับ..................................บทบำทคร/ู ผเู้ รียน.................
เปำ้ หมำยในกำรอ่ำนเพื่อ...................................................................................................................................”

แบบฝกึ ที่ 3 แนวทำงกำรตอบ
ด้ำนภำษำ ภำษำไทย มลำยูท้องถิ่น มลำยกู ลำง ................
ดำ้ นทักษะ ศลิ ปะท้องถนิ่ ผ้ำบำติก อำชพี ในท้องถน่ิ ...................
ดำ้ นควำมเช่อื /ประเพณี มสุ ลิม ไทยพทุ ธ ฮำลำล กำรแต่งกำยด้วยผำ้ ท้องถิน่ พิธีกรรม

กจิ กรรมท้องถิ่น.........................................

แบบฝึกท่ี 4 1. คำตอบ ตัวเลอื ก 7, 8
2. คำตอบ ตัวเลอื ก 1, 9, 10
3. คำตอบ ตวั เลอื ก 3, 4, (2)
4. คำตอบ ตัวเลอื ก 5, 6, 2

18

บรรณานกุ รม

ฑิฆัมพร เอ่ยี มเรไร. (2556). การใช้ทฤษฎวี ิพากษใ์ นงานวจิ ยั :มารก์ ซสิ ม์และแนวคิดพื้นฐาน. เอกสำร
ประกอบกำรบรรยำยรำยวิชำสัมมนำกำรสอื่ สำร 5. พิษณโุ ลก:มหำวทิ ยำลัยนเรศวร.

สรุ พงษ์ โสธนะเสถียร. (2556). การแสวงหาความรู้แบบนวสมัย. กรุงเทพมหำนคร:โรงพมิ พร์ ะเบียงทอง.

Fairclough, N. (1989). Language and power. London: Longman.
Fairclough, N. (Ed.). (1992). Critical language awareness. London: Longman.
Frerie, P. (1970). Pedagogy of the oppressed. New York: Continuum.
Freire, P. and Donaldo, M. (1987). Literacy: Reading the Word and the World.

MA. Bergin & Garvey Publishers.
Freire, P. (1998). The adult literacy process as cultural action for freedom. Harvard

Educational Review; Cambridge; 68.
Gay, G. (2000). Culturally responsive teaching; Theory, practice, & research. New York:

Teachers College Press.
Gee, J. P. (2008). Reading as Situated Language: A Sociocognitive Perspective. In Ruddell,

R.B. and Unrau, N, J. (Eds). (2008). Theoretical Models and Processes of Reading the (5th
ed.). International Reading Association.
Giroux, H. A. (1985). Critical Pedagogy and the Resisting Intellectual Part II.
Phenomenology+ Pedagogy. 3(2).
Giroux, H.A. (1994). Teacher, public life, and curriculum reform. In Gutierrez, C. (2015).
Beliefs, attitudes, and reflections of EFL pre-service teachers while exploring critical
literacy theories to prepare and implement critical lessons. Colomb. Appl. Linguist. J.,
17(2), 179-192.
Giroux, H.A. (2003). Critical Theory and Educational Practice. In A. Darder, M., Baltodano,
& D. E.Torres (Eds.), The critical Pedagogy Reader. Taylor & Francis Group.
Gruenewald, D. A. (2003). The Best of Both Worlds: A Critical Pedagogy of Place.
Educational Researcher, 32(4), 3-12..
Janks, H. (2000). Domination, access, diversity and design: A synthesis for critical literacy
Education. Educational Review, 52(2), 175-186.
Janks, H. (2002). ‘Critical literacy: beyond reason’. Australian Educational Researcher,

19

29(1), 7-27.

Janks, H. (2013). Critical literacy in teaching and research. Education Inquiry.4 (2), 225-242.

Janks, H., Dixon, K., Ferreira, A., Granville, S., & Newfield, D. (2014). Doing Critical

Literacy Texts and Activities for Students and Teachers. Routledge. New York.

Keesing-Styles, L. (2003). The relationship between Critical Pedagogy and Assessment in

Teachers education. Radical Pedagogy (2003).

Kincheloe, J.L. (2008). Knowledge of critical pedagogy An Introduction. Springer

Service + Business Media B.V.

Lewison, M., Flint, S.A., Sluys,V.K. (2002). Taking on critical literacy: The journey of

newcomers and novices. Language Arts, 79(5), 382-392.

Lewison, M., Leland,C., & Harst, J.C. (2015). Creating critical classroom reading and

writing with an edge. Taylor & Francis.

McLaughlin & DeVoogd (2004). Critical literacy as comprehension Understanding
the deeper levels. Journal of Adolescent and Adult Literacy, 48, 52-56

Pennycook, A. (1999). Introduction: Critical Approaches to TESOL. TESOL QUARTERLY.
Vol. 33, No. 3, Autumn1999.

Shannon, P. (2015). Reading Wide Awake. In Critical literacy? Retrieved April 30,
2016. http://starts.oecd.org/glossary/detao,asp?ID=5420

Shor, I. (1999). What is Critical Literacy? The Journal of Pedagogy, Pluralism and
Practice. Retrieved January 1, 2016, from http://www.lesley.edu/journal-
pedagogy-pluralism-practice/ira-shor/critical -literacy/

20

หนว่ ยที่ 2 ทฤษฎสี กู่ ารปฏิบัติในชนั้ เรียน
แบบประเมินตนเองก่อนเรียน (Pre-test)

คาช้แี จง เลือกคำตอบท่ีถูกทีส่ ุดดว้ ยกำรทำเครื่องหมำย X บนตัวเลือกในกระดำษคำตอบ

1. ขอ้ ใดไม่ใช่ประเดน็ กำรสอนอ่ำนเชงิ วพิ ำกษ์ของ คมั เบอร์ (Comber, 1994)
1. เคำรพภำษำ วัฒนธรรม และบรบิ ทของคนกลุ่มนอ้ ย
2. กำรตัง้ ประเด็นคำถำมจำกบทอำ่ นใหม่ในมุมมองของโลกแห่งควำมเป็นจรงิ
3. ผู้เรียนใชภ้ ำษำสบื เสำะและวิเครำะห์ควำมสมั พันธร์ ะหวำ่ งภำษำและพลังอำนำจของภำษำ
4. ปัญหำสังคม เชน่ ควำมยตุ ิธรรมทำงสังคมไมส่ ำมำรถสอนในระดบั ช้ันประถม หรือเด็กเรียนชำ้ ได้

2. ข้อใดไม่ใช่แนวกำรสอนขดงกลุ่มลอนดอนใหม่ (The New London Group, 1996)
1. จัดสถำนกำรณ์ฝึกหัด
2. เน้นประสบกำรณ์ในกำรวิเครำะหเ์ ชงิ วิพำกษ์ เปน็ ระบบ
3. กำรเปลยี่ นถ่ำยสกู่ ำรปฏบิ ตั ิยึดตำมมุมมองของผู้เขียนบทอ่ำน
4. กำรตีควำมตำมบริบททำงสงั คมและวฒั นธรรมในกำรสร้ำงควำมหมำย

3. กำรถอดรหัสบทอ่ำนดว้ ยกำรจดจำองคป์ ระกอบของคำพ้ืนฐำน (Decoding) เปน็ แนวคิดของใคร
1. Freebody and Luke, 1999
2. Lankshear and Knobel, 2004
3. MaLauglin and DeVoogd, 2004
4. Lankshear and MaLaren, 1993

4. ข้อใดแนวคิดในกำรสอนกำรอ่ำนเชิงวพิ ำกษ์
1. บทอ่ำนท่ีหลำกหลำยมมุ มอง
2. ครกู ำหนดแนวปฏบิ ัตเิ พ่อื กำรเปล่ยี นแปลง
3. ประเด็นคำถำมแบบคิดวเิ ครำะห์
4. ผูอ้ ำ่ นเช่ือมโยงบทอ่ำนสู่พฤติกรรมของคนในชุมชน

21

5. ขอ้ ใดไม่ใช่ ลกั ษณะของกำรแตกประเด็นสสู่ ำมัญ (Disrupting the common place)
1. กำรต้งั ประเด็นคำถำมจำกควำมเขำ้ ใจต่อสิง่ ท่ีจะอ่ำน
2. กำรเช่อื มโยง และสงั เครำะห์เรอื่ งทจี่ ะอำ่ นในมุมมองใหม่
3. กำรแยกแยะสง่ิ ตำ่ ง ๆ ที่เกยี่ วข้องหรือสอดคล้องกับบทอำ่ น
4. สง่ิ สำมญั หรอื ประเด็นแวดล้อมของบทอำ่ นท่คี รผู สู้ อนกำหนดให้ผเู้ รยี น

6. ข้อใดไม่ใชล่ กั ษณะกำรเนน้ ประเดน็ ทำงสงั คม (Focusing on sociopolitical issues)
1. กำรใชอ้ ำนำจทำงภำษำในกำรตคี วำม
2. กำรวิเครำะห์บทอ่ำนดำ้ นพลังอำนำจของภำษำต่อสังคม
3. ภำษำปฏิสัมพนั ธ์ตอ่ สงั คม เช่น เพศ ชนช้ัน เชอ้ื ชำติ และควำมไม่เท่ำเทยี ม
4. บทอ่ำนทส่ี ะท้อนปญั หำทำงสังคมท่ีครสู นใจ และเลือกเป็นสอื่ ใหผ้ ูเ้ รยี นไดเ้ รยี น

7. กำรใชภ้ ำษำในกำรสะท้อนประเด็นปัญหำของผูเ้ รยี นใชว้ ธิ ีกำรใดเหมำะสมท่สี ุด
1. อำ่ น สนทนำ และสรปุ
2. สนทนำ ต้ังคำถำม และแลกเปลย่ี นมุมมอง
3. อ่ำน คดิ วิเครำะห์ สังเครำะห์ และเขยี น
4. แยกประเดน็ และเสนอแนวทำงด้วยเหตุผล

8. ขอ้ ใดไม่ใช่คณุ ลกั ษณะของกำรอำ่ นเชิงวิพำกษท์ สี่ ำมำรถเปลี่ยนผำ่ นสู่กำรสร้ำงสันติศกึ ษำ
1. แนวคดิ สภำพจรงิ และกำรสนทนำอย่ำงเสรี
2. โอกำสทผ่ี เู้ รียนได้ผูกพันและร่วมกจิ กรรมในกำรเรยี นรู้
3. กำรศึกษำเพ่อื ควำมเข้ำใจตนเองและผู้อื่นเปน็ พ้ืนฐำนของควำมสันติ
4. กำรสนทนำอย่ำงมวี จิ ำรณญำณสง่ เสรมิ กำรคิดวเิ ครำะห์ด้วยเหตุผล

9. ข้อใดไม่ใชก่ ำรปฏิบตั กิ ำรต่อกำรส่งเสรมิ ควำมยุตธิ รรมในสงั คม
1. บทอำ่ น/หรือส่อื ต่ำง ๆ ให้ควำมสำคญั เฉพำะกลมุ่
2. กลุม่ เพศท่ี 3 เรยี กร้องสทิ ธขิ องตนเองดว้ ยกำรประท้วง
3. บำงบริษัทส่งเสรมิ สิทธสิ ตรดี ้วยกำรมอบตำแหนง่ สำคัญให้บริหำร
4. ชนกลมุ่ น้อยรณรงค์ด้วยภำพศิลปส์ ่ือควำมเทำ่ เท่ียมทีค่ วรจะเป็นในสงั คม

22

10. ข้อใดไม่ใช่กำรช้แี นะท่ีเช่ือมต่อกับบทอำ่ นด้วยกำรตัง้ คำถำม
1. What is the purpose of this text?
2. How does the text position the reader?
3. What worldviews are presented or are missing?
4. Which type of text do you like most? Why?

https://image.slidesharecdn.com/criticalliteracybasics-090522125231-phpapp01/95/critical-
literacy-basics-cosentino-1-728.jpg?cb=1242998280

23

กรอบการสอนการอา่ นแบบวพิ ากษ์

กิจกรรม Jigsaw Reading

คัมเบอร์ (Comber, 1994) เสนอประเด็นควำมยุติธรรมทำงสงั คมสำมำรถสอนได้ดว้ ยกำรอ่ำนเชงิ
วิพำกษ์ด้วย 3 ประเด็นหลัก ดังนี้ กำรวำงตำแหน่งหรือบทบำทผู้เรียนใหม่ในฐำนะผู้วิจัยด้ำนภำษำด้วยให้
สบื เสำะและวเิ ครำะห์ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงภำษำและพลังอำนำจของภำษำ เคำรพภำษำของชนกลุ่มน้อยด้วย
กำรใช้ภำษำ วัฒนธรรมและบริบทท้องถิ่น และกำรตั้งประเด็นคำถำมจำกบทอ่ำนด้วยกำรออกแบบบทอ่ำน
ใหมใ่ นมุมมองของโลกแหง่ ควำมเปน็ จรงิ

กลุ่มลอนดอนใหม่ (The New London Group, 1996) พัฒนำวิธีกำรสอนกำรอ่ำนสอนกำรอ่ำน
เชิงวพิ ำกษ์ ประกอบดว้ ย 4 ขนั้ ตอนดงั น้ี 1) กำรจัดสถำนกำรณ์กำรฝึกหัด 2) หลอมรวมประสบกำรณ์หรือกำร
วิเครำะห์เชิงวิพำกษ์ของผู้เรียน กำรสอนที่ชัดเจน ด้วยกำรใช้ควำมหลำกหลำยทำงด้ำนภำษำเพ่ือกำรเรียนรู้
ท่ีตระหนัก กำรเป็นระบบ กำรวิเครำะห์ และควำมเข้ำใจอย่ำงถ่องแท้ 3) กรอบกำรคิดวิเครำะห์ประกอบด้วย
กำรตีควำมบริบททำงสังคมและวัฒนธรรมต่อกำรออกแบบเฉพำะด้ำนในกำรสร้ำงควำมหมำย และ 4) กำร
เปลยี่ นแปลงส่กู ำรปฏิบตั ิ หมำยถึงกำรเปลี่ยนถ่ำยกำรสร้ำงควำมหมำยสู่กำรปฏบิ ตั ใิ นบรบิ ทอืน่ ๆ

ฟรีบอดีและลุค (Freebody and Luke, 1999) ทบทวนหลักกำรของกำรอ่ำนเชิงวิพำกษ์และ
แนะนำผู้อ่ำนและผู้เขียนที่มีวิจำรณญำณควรใช้แนวทำงกำรอ่ำนด้วย 1) กำรถอดรหัสบทอ่ำนด้วยกำรจดจำ
องค์ประกอบของคำพ้ืนฐำน เช่น ตัวอักษร เสียง กำรสะกดคำ โครงสร้ำงทำงภำษำและควำมสัมพันธ์กับกำร
วิเครำะห์วำทกรรมด้วยควำมรู้ และประสบกำรณ์ของผู้อ่ำนในกำรตีควำม 2) กำรใช้บทอ่ำนตำมบทบำท/
หน้ำที่ท่ีนำเสนอด้วยวัฒนธรรมและหน้ำท่ีตำมบริบทสังคม และกำรนำสู่กำรปฏิบัติท่ีหลำกหลำยตำมบริบท
สังคม 3) กำรวเิ ครำะห์อย่ำงมีวจิ ำรณญำณ และ 4) กำรเปล่ียนแปลงบทอ่ำนด้วยแนวคิดทีว่ ่ำ บทอ่ำนปรำศจำก
ควำมเป็นกลำงและได้รับอทิ ธิพลจำกผู้เขียนและผูอ้ ่ำนในกำร

แมคลำฟลินและเดอวูด (McLauglin and DeVoogd, 2004) ได้นำเสนอสี่ส่วนของกรอบบทเรียน
ของกำรอ่ำนเชิงวิพำกษ์ดังน้ี กำรให้ผู้เรียนผูกพันกับกำรคิด กำรชี้แนะกำรคิดของผู้เรียน กำรต่อยอดควำมคิด
ของผู้เรียน และกำรสะท้อนคิดครูผู้สอนใช้กำรต้ังประเด็นคำถำมในกำรช้ีนำให้นักเรียนได้คิดอย่ำงมี
วิจำรณญำณและตรวจสอบบทอ่ำนด้วยหลำกหลำยมุมมอง กำรสะท้อนคิดช่วยให้ผู้เรียนได้ควบคุม
ควำมก้ำวหน้ำในกำรเรียนรู้ สร้ำงควำมหมำยจำกสิ่งที่ตนได้เรียนรู้และประยุกต์ใช้มโนทัศน์หรือควำมรู้ใหม่
สูช่ วี ติ จรงิ หรอื ปญั หำในสังคม

24

แจงส์ Janks (2002, 2014) ได้นิยำมใหม่พร้อมทั้งสร้ำงกรอบแนวคิดของกำรอ่ำนเชิงวิพำกษ์ใหม่
ด้วย 4 หลักกำรอันประกอบด้วย 1) อำนำจหรือกำรอยู่เหนือ ที่เน้นอำนำจผ่ำนกำรอยู่เหนือหรือมีอิทธิพล
เหนือ อันหมำยรวมถึงกำรถูกกดข่ีทำงเชื้อชำติ เพศ ช้ันช้ัน อำยุและควำมแตกต่ำงทำงสังคมด้ำนอื่น ๆ
ควำมหมำยของกำรอยู่เหนือผู้อื่นในกำรอ่ำนเชิงวิพำกย์สำมำรถคงสภำพเดิมหรือเปลี่ยนแปลงได้บนพ้ืนฐำน
ของกำรวิเครำะห์วำทกรรม (หลำกหลำยมุมมองและปฏิสัมพันธ์กับโลกแห่งควำมเป็นจริงและผู้คนเพื่อกำร
บรรลุถึงควำมเท่ำเทียมหรือควำมยุติธรรม) 2) ควำมแตกต่ำงเน้นกำรสืบเสำะจำกหลำกหลำยแหล่งท่ีเป็น
ลักษณะเฉพำะด้วยบทอ่ำนท่ีหลำยหลำยมุมมองและเป้ำหมำยกำรนำเสนอ สภำพวะควำมแตกต่ำงเป็นควำม
เป็นไปได้ในกำรที่บุคคลในสังคมจะสร้ำงสรรค์ส่ิงต่ำง ๆ ให้สังคมดีข้ึน 3) กำรเข้ำถึง เน้นกำรท่ีผู้เรียนได้เข้ำถึง
หรือได้รับควำมรู้ ทั้งผู้เรียนท่ีมีฐำนะควำมพร้อมหรือไม่พร้อมจำกครอบครัวล้วนสำมำรถเข้ำถึงได้บนพื้นฐำน
ของควำมต้องกำรท่ีแตกต่ำงกันซึ่งถูกแบ่งแยกด้วยภำษำ ควำมรู้ และอำนำจของผู้เรียนที่มีอยู่ ควำมแตกต่ำง
เช่ือมโยงสู่อำนำจที่นำมำซ่ึงกำรมีสิทธิพิเศษ และควำมไม่เท่ำเทียมในกำรเข้ำถึง (อำทิเช่น เพศ เชื้อชำติ
ชนชำติ ควำมสำมำรถและอื่น ๆ) แหล่งเรียนรู้หรือทรัพยำกรด้ำนอ่ืน และ 4) กำรออกแบบหรือกำรออกแบบ
ซ้ำ หมำยถึงกำรสร้ำงหรือดัดแปลงบทอ่ำนผ่ำนกำรคัดสรร และจัดเรียงในกำรสร้ำงควำมหมำยจำกบทอ่ำน
เช่น สัญลักษณ์ รูปภำพ เสียงและสื่อ กำรออกแบบซ้ำ เป็นปฏิบัติกำรของกำรสร้ำงใหม่หรือกำรเปล่ียนแปลง
ในทศิ ทำงอ่ืนเพ่ือสังคมนน่ั ๆ กำรลดอำนำจผู้อน่ื ไม่ใช่จุดประสงค์ของกำรออกแบบซ้ำเพ่ือกำรเปลี่ยนแปลงโลก
กำรเร่ิมตน้ เปลย่ี นแปลงจำกส่ิงเล็ก ๆ จะค่อย ๆ ใหอ้ สิ ระต่อมวลมนษุ ย์

ตำมทัศนะของ แลงเซียร์และแมคลำเรน (Lankshear and McLaren, 1993) ได้เสนอแนะว่ำ ไม่มี
รปู แบบกำรอ่ำนเชงิ วิพำกษ์ท่ีตำยตัว แนวคดิ ที่นำเสนอในเบ้ืองตน้ เพื่อเปน็ ประโยชน์ในกำรประยุกตใ์ ช้กำรสอน
กำรอ่ำนเชิงวิพำกษ์ในแต่ละบริบทของชั้นเรียน อำทิเช่น กำรวิเครำะห์บทอ่ำนเป็นกำรประยุกต์ใช้กำรอ่ำนเชิง
วิพำกษด์ ้วยกำรสอนให้ผเู้ รยี นได้อำ่ นอย่ำงวิเครำะห์ คดิ ยอ้ นไปจำกท่ีนำเสนอในบทอำ่ น และตง้ั ประเด็นคำถำม
ทีใ่ หโ้ อกำสผู้เรียนได้ตรวจสอบบทอ่ำน สะทอ้ นมุมมองของตนเองด้วยโลกทัศนส์ ่วนตวั และยอมรบั ในมุมมองที่
หลำยหลำยซ่ึงสำมำรถส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นผู้บริโภค ผู้ผลิต และผู้นำเสนอบทอ่ำนหรือข้อมูลท่ีมีกำรคิด
วิเครำะห์

การอ่านเชิงวิพากษ์และการปฏิบัตกิ ารทางสังคม (Critical Literacy and social action)

ตำมแนวคิดของชอร์ แจงส์ แมคสำฟลิน และเดอวูด (Shor, 1999; Janks, 2000; McLaughlin
and DeVood, 2004) ไดก้ ลำ่ วถึงประเด็นหลักของกำรสอนกำรอำ่ นเชิงวิพำกษ์เพ่ือผดงุ ควำมยตุ ิธรรมในสังคม
ด้วยกำรส่งเสิรมให้นักเรียนได้ตรวจสอบควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอำนำจและกำรใช้ภำษำ หลักกำรบทอ่ำน

25

ปรำศจำกควำมเป็นกลำงส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้คุณค่ำทำงควำมคิดของตนในกำรสร้ำงบทอ่ำนใหม่ กำรบริโภค
ควำมคิดหรอื มุมมองของผ้เู ขียนผ่ำนภำษำโดยมุ่งเน้นประเด็นควำมไมเ่ ท่ำเทยี มกนั ในสงั คมและบทอ่ำนทไ่ี ม่เอ้ือ
ประโยชน์ต่อผู้คนที่ถูกมองข้ำมในสังคม หลักกำรดังกล่ำวสอดคล้องกับแนวคิดของเบอฮรำแมน Behraman
(2008) ที่ได้ทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับกิจกรรมหรือภำระงำนท่ีใช้ในกำรสอนกำรอ่ำนเชิงวิพำกษ์ตั้งแต่ปี
1999-2003 ไว้ดังน้ี 6 ประกำรของกิจกรรมกำรเรยี นกำรสอนประกอบด้วย กำรอ่ำนบทอ่ำนเพ่ิมเติม กำรอ่ำน
บทอ่ำนท่ีหลำกหลำย กำรอ่ำนจำกมุมมองที่ต่อต้ำน กำรผลิตในทิศทำงตรงกันข้ำม ปฏิบัติกำรโครงงำนวิจัย
ตำมสิ่งท่ีนักเรียนเลือกเอง และกำรปฏิบัติทำงสังคม แนวคิดในกำรสอนกำรอ่ำนเชิงวิพำกษ์ในช้ันเรียนศิลป์
ภำษำ และสงั คมศึกษำหรือวชิ ำต่ำง ๆ สำมำรถบรู ณำกำร กำรตัง้ ประเด็นคำถำมแบบคดิ วิเครำะห์ เชน่ เนื้อหำ
เฉพำะเจำะจงในบทอ่ำนเป็นที่ยอมรับและโดดเด่นอย่ำงไร อะไรที่เป็นจริงตำมหลักกำรและใครเป็นผตู้ ัดสินวำ่
เพรำะเหตุใด คำถำมตำมเน้ือหำประเภทใด และลักษณะใดท่ีมีผลต่อควำมสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคลและหลัก
ประพฤติในชุมชน

การอ่านเชิงวิพากษแ์ ละการสร้างสันติศึกษา (Critical literacy and Peace Building Education)

แลนค์เชียร์ และ แมคแลเรน(Lankshear and McLaren, 1993) กล่ำวว่ำ กำรอ่ำนเชิงวิพำกษ์ให้
แนวทำงที่หลำกหลำยในกำรปฏิบัติเพ่ือสังคม กำรอ่ำน และกำรเขียนสำมำรถเกี่ยวโยงสู่กำรเป็นผู้สร้ำง
ควำมหมำยในบรบิ ทของสังคม วฒั นธรรม และกำรเมอื ง ผสู้ ร้ำงควำมแบบมีวจิ ำรณญำณตีควำมซ้ำและผลิตซ้ำ
หรือแสดงออกทำงกำรเปล่ียนสภำพในกำรปฏิบัติต่อสังคม สอดคล้องกับ กิลและไนนส์ Gill and Niens,
2014) ได้เสนอว่ำ กำรสะท้อนคิดอย่ำงมีวิจำรณญำณและกำรสนทนำกันทำให้ประเด็นไม่ยุติธรรมได้รับ
กำรแกไ้ ข หลกั กำรของกำรอ่ำนเชิงวิพำกษ์มีบำงประเด็นท่ีคล้ำยคลึงกับกำรสร้ำงสันติศึกษำ ในทัศนะของแฟร์
แฟร์และมำซโิ ด และชอร์ (Freire, 1970; Freire and Macedo, 1987; Shor, 1999) เม่อื พจิ ำรณำถงึ กำรอ่ำน
เชิงวิพำกษ์ทีเ่ ป็นกระบวนกำรเรียนรู้อยำ่ งต่อเน่ืองของกำรอำ่ น กำรเขียน และกจิ กรรมอนื่ ๆ โดยมีเปำ้ ประสงค์
หลักคือ กำรสง่ เสริมให้ผเู้ รียนปฏิสัมพนั ธ์ด้วยกำรต้ังคำถำมต่อบทอ่ำน สร้ำงควำมหมำยและตรวจสอบประเด็น
อำนำจ กำรส่ือสำร กำรสะท้อนจำกหลำกหลำยมุมมอง เปล่ียนแปลงและปฏิบัติกำร และโดซิเยอร์ จอหน์ตัน
แ ล ะ โ ร เ จ อ ร์ ( Dozier, Johnston and Rogers, 2006) ร ะ บุ ว่ ำ มุ ม ม อ ง ต่ อ ภ ำ ษ ำ แ ล ะ
กำรร้เู ร่อื งกำรอ่ำนสำมำรถเปน็ เครอ่ื งมือในกำรเปลยี่ นแปลงสงั คม

ตำมทัศนะของลูวิสัน ลีแลนด์ และฮำรส์ท (Lewison, Leland and Harste, 2015) กำรสอนกำรอ่ำน
เชิงวิพำกษ์ชี้แนะสู่กำรปฏิบัติต่อสังคมอย่ำงมีวิจำรณญำณอันเป็นคุณลักษณะของกำรสร้ำงสันติที่สำมำร ถ
เปล่ียนแปลงได้ซ่ึงประกอบด้วยทรัพยำกรบุคคลและวัฒนธรรม กำรปฏิบัติต่อสังคมอย่ำงมีวิจำรณญำณ และ
ทัศนคติต่อกำรคิดอย่ำงมีวิจำรณญำณ ในประเด็นทรัพยำกรบุคคลและวัฒนธรรมเก่ียวข้องกับครูผู้สอนและ
ผู้เรียนในเร่ืองของประสบกำรณ์ และบทอ่ำนในหลำยรูปแบบเช่น หนังสือเรียน เวปไซด์ ส่ือด้ำนวัฒนธรรม
ควำมสนใจของนักเรียน และประเดน็ ทำงสังคมในระดับท้องถ่ินและในระดับที่กว้ำงข้ึน สิง่ เหล่ำนเี้ น้นให้เห็นว่ำ

26

ท้ังครูและนักเรียนคือผู้สร้ำงควำมรู้ร่วมกันด้วยบทอ่ำนในชีวิตประจำวันในระดับท้องถ่ินและระดับสำกล
สำหรับประเด็นกำรปฏบิ ัติกำรเพื่อสังคมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีมุมมองที่กว้ำงข้ึนต่อสังคมและวัฒนธรรมในชีวติ
จริงของตนเอง ผู้เรียนได้มุมมองท่ีกว้ำงขวำง และมีมโนทัศน์ต่อสังคมและวัฒนธรรมมีผลต่อกำรตัดสินใจและ
วิถีชีวิตของตน ส่ิงเหล่ำน้ีตั้งอยู่บนพื้นฐำนของกรอบแนวคิด 4 มิติของปฏิบัติกำรต่อสังคมอย่ำงมีวิจำรณญำณ
ของ ลวู สิ นั ฟล้นิ และแวน สลยุ ส์ (Lewinson, Flint, and Van Sluys, 2002) ดงั น้ี 1) กำรแตกประเด็นสำมัญ
หมำยถึง กำรต้ังประเด็นคำถำม ควำมเข้ำใจ และกำรสังเครำะห์ต่อกำรสร้ำงมุมมองใหม่ 2) พิจำรณำ
หลำกหลำยมุมมอง หมำยถึง กำรยอมรับและเคำรพมุมมองต่ำง ๆ ในกำรพิจำรณำ 3) กำรเน้นประเด็นสังคม
หมำยถึง ภำษำและอำนำจที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อสังคม และ 4) ปฏิบัติกำรต่อกำรส่งเสริมควำมยุติธรรมในสังคม
หมำยถึง กำรรู้เร่ืองกำรอ่ำนนำสู่กำรสะท้อนคิด และปฏิบัติกำรต่อกำรถูกกดขี่ ในส่วนขององค์ประกอบด้ำน
ทัศนคติต่อกำรคิดอย่ำงมีวิจำรณญำณประกอบด้วย กำรเข้ำร่วมอย่ำงมีจิตสำนึก ซ่ึงรวมถึงกำรตั้งใจต่อกำรใช้
ภำษำ กำรตัดสินใจต่อกำรตีควำม ตอบสนอง และเพลิดเพลินในหลำกหลำยช่องทำงของกำรเป็นอยู่ เช่น
สร้ำงสรรค์ และพยำยำมสร้ำงกำรสนทนำใหม่เพ่ือเป็นแหล่งข้อมูลในกำรเข้ำใจควำมสัมพันธ์ระหว่ำงพลัง
อำนำจ กำรมีควำมรับผิดชอบต่อกำรตั้งคำถำม กำรตั้งประเด็นคำถำมเพื่อควำมเข้ำใจในระดับลึก และกำร
สะทอ้ นกลับดว้ ยกำรใช้มมุ มองของตนเองและผอู้ ่ืนในระบบปฏบิ ัตกิ ำรเพ่ือควำมยุติธรรม

ดังท่ีกล่ำวมำเบ้ืองต้น คุณลักษณะของกำรอ่ำนเชิงวิพำกย์สำมำรถบูรณำกำรและเปล่ียนผ่ำนสู่กำร
สร้ำงสันติศึกษำในบำงลักษณะ ดังเช่น แนวคิดสภำพจริงและกำรสนทนำอย่ำงมีวจิ ำรณญำณของแฟร์ (Freire
(1970) ส่งเสริมให้เกิดควำมตระหนักอย่ำงมีวิจำรณญำณ และสอดคล้องกับแนวคิดของแอปเป้ิล (Apple,
1990) ในเรือ่ งของโอกำสที่ผเู้ รียนได้ผกู พันและรว่ มในกจิ กรรมกำรเรยี นรู้

บริบทไทยโดยนำยแพทย์ประเวศ วสี (Wasi, 2006) ระบวุ ำ่ วฒั นธรรมของสนั ตเิ กีย่ วข้องกับคนไทย
ท้ังประเทศซึ่งเกี่ยวข้องกับสันติภำพและประชำธิปไตยท่ียั่งยืนในประเทศไทย โดยเฉพำะสำมจังหวัดชำยแดน
ภำคใต้ท่ีมีสถำนกำรณ์ควำมไม่สงบ พื้นฐำนของควำมยุติธรรมในสังคม และกำรเคำรพต่อเกียรติของควำมเป็น
มนุษย์โดยเฉพำะกลุ่มชำยขอบ อำนำจชอบทำงสังคมและองค์กรเป็นพื้นฐำนควำมสันติสุขของผู้คนในสังคม
วัฒนธรรมอันเป็นวิถีของกำรอยู่ร่วมกันอย่ำงสันติในบริบทท่ีแตกต่ำงกันบ่งช้ีถึงกำรพัฒนำ และกำรศึกษำเพื่อ
ควำมเข้ำใจตนเองและผู้อื่นส่งผลต่อทักษะกำรแก้ไขข้อขัดแย้งอย่ำงสันติ ส่ิงเหล่ำนี้เป็นพ้ืนฐำนท้ังด้ำนสันตสิ ขุ
และประชำธปิ ไตยทีย่ ่งั ยืนในประเทศไทย

27

ตวั อย่างการสอน Decoding เพ่ือเตรยี มผู้เรียนก่อนขน้ั การสอนการอ่านแบบวิพากษ์

Get ready stage 1: Decoding (30 mins.)
- Students find news vocabulary from texts and fill the below grid. Students’ L1 and L2 are

accepted in class for deeper understanding.

Track

Analyze Visualize Write 1 2 3 4
Listen & Fill in Re- Dictate
1 Syllable… … - Saying - Write by circle the
- Air writing saying the word blank arrange
Part of the word
Speech………
Vowel………
Tense………

2
3
4
5
6
7
8
9
10

Making Meaning

DIRECTIONS: Write the vocabulary terms in the ‘new words’ column. Next, brainstorm what you
already know about the word in the ‘before reading’ column. Finally, after you have read the text,
complete the ‘after reading’ column with new information you obtained from the reading.

NEW WORDS BEFORE READING AFTER READING

28

แนวทางการสอนมิติที่ 1 Disrupting the commonplace

ตวั อย่างการตั้งคาถามเพื่อแตกประเด็นเรื่องทเ่ี ก่ียวข้องกับบทอ่านในการสอนการอา่ นเชิงวิพากษ์มติ ิท่ี 1
1/

1. What are there in both pictures?
2. What else that you can see from the pictures?
3. What are they doing?
4. Is it possible to be like that?
5. Why do you think one child is richer than the other?...etc...

2/
Teacher poses the questions such as:
T: Have you heard or read about the rich and the poor? And
what are they?
SS: No idea. [Teacher should prepare the pictures or story about
the follow answers which is familiar to local students.]

29

: Yes, I have. For me, it’s the story of the rich in my village
always donate for the poor.

แบบฝกึ ท่ี 1 ใช้รปู ภาพท่ีกาหนดใหต้ ้งั คาถามแตกประเดน็ สามญั

1 ……………………...................................................................................
2 …………………………………………………………………………………………….
3 ……………………………………………………………………………………………..
4 ……………………………………………………………………………………………..
5 ……………………………………………………………………………………………..

(ข้อละ 2 คะแนน รวม 10 คะแนน)

30

แนวทางการสอนมติ ิที่ 2 Interrogating multiple viewpoints

ตวั อย่างการสอนการอา่ นเชิงวิพากษ์มิตทิ ี่ 2

Students share their ideas from what they have learnt from text, and
teacher encourages students to ask the questions:
- What will we do with this text?
- What will other people do with it?
- How could it have been produced in a different way?
After discussing the answers, teacher moves to analyzing text with
the questions:
- What is the aim of the author?
- Whose is the audience of the text?
- What is missing to present?
- Who gains the benefit from the text?

แบบฝกึ ที่ 2 ตง้ั คาถามเพื่อหามมุ มองท่ีหลากหลายพรอ้ มคาตอบที่คาดว่าผเู้ รยี นจะตอบ
Ex: Teacher: What will we do with this text?

Students: Classify the good points and weak points of text.

(Answer will be varieties)

1. Teacher: ……………………………………………………………………………………..
Students: ……………………………………………………………………………………..

2. Teacher: ……………………………………………………………………………………..
Students: ……………………………………………………………………………………..

3. Teacher: ……………………………………………………………………………………..
Students: ……………………………………………………………………………………..

4. Teacher: ……………………………………………………………………………………..
Students: ……………………………………………………………………………………..

5. Teacher: ……………………………………………………………………………………..
Students: …………………………………………………………………………………….

31

แนวทางการสอนมิติที่ 3 Focusing on sociopolitical issues

ตวั อย่างการสอนการอ่านเชงิ วพิ ากษม์ ิติที่ 3

Focusing on sociopolitical issues (40 mins.)

- In group, students discuss and select the social issues in their
community which is relevant to the unfair between the poor and the
rich.

- Each group presents the selected issues with reasons and the plan to
react such as doing campaign poster, storytelling, survey people idea
and artworks.

แบบฝกึ ท่ี 3 ใช้รปู ภาพเชอื่ มโยงสู่ปญั หาสังคม

32

ปัญหา:
แนวทางแก้ไข:
ผเู้ กย่ี วขอ้ งในสังคม

- ด้านปัญหา 3 คะแนน

- ด้านแนวทางแกไ้ ข 3 คะแนน

- ดา้ นผเู้ กยี่ วขอ้ งในสังคม 4 คะแนน

รวม 10 คะแนน

33

แนวทางการสอนมิติท่ี 4 Taking Action & Promoting Social Justice

ตวั อยา่ งการจดั การสอนมติ ทิ ี่ 4 ชองการสอนการอา่ นเชงิ วพิ ากษ์

Taking action and promote social justice (40 mins.)
- Each group presents the selected issues with reasons from
previous lesson and plan to react such as doing campaign poster,
storytelling, survey people idea and artworks.
- Teacher, a facilitator, might guide students as following:
switching the characters or plots, mini projects, or posters in promoting
the fairness.

แบบฝกี ท่ี 4 จดั /ระบุ กิจกรรมท่ีให้มาตามมิตทิ ่ี 4 ของการสอนการอา่ นเชิงวิพากษโ์ ดยเขียนลงในชอ่ งวา่ ง

1.Switching the characters or plots.

………Gender: From…………………to…………………
………Plots: From …………………… to…………………………………

2.5 คะแนน

2. Mini projects:

…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………

2.5 คะแนน

3. Give the example of fairness:

………………………………………………………………………………………………………………

2.5 คะแนน

4. Slogan to save the earth:

…………………………………………………………………………………………………

2.5 คะแนน

34

แบบประเมนิ ตนเองหลังเรยี น (Posttest)

คาชี้แจง เลือกคำตอบท่ีถูกทีส่ ดุ ด้วยกำรทำเครอ่ื งหมำย X บนตวั เลอื กในกระดำษคำตอบ

1. ข้อใดไม่ใชล่ กั ษณะกำรเน้นประเด็นทำงสังคม (Focusing on sociopolitical issues)
1. กำรใชอ้ ำนำจทำงภำษำในกำรตคี วำม
2. กำรวเิ ครำะห์บทอ่ำนด้ำนพลงั อำนำจของภำษำต่อสังคม
3. ภำษำปฏสิ ัมพนั ธ์ตอ่ สังคม เช่น เพศ ชนช้นั เช้ือชำติ และควำมไมเ่ ท่ำเทียม
4. บทอำ่ นท่สี ะท้อนปัญหำทำงสังคมท่ีครูสนใจ และเลือกเป็นสอื่ ให้ผู้เรียนได้เรยี น

2. กำรถอดรหสั บทอ่ำนดว้ ยกำรจดจำองคป์ ระกอบของคำพ้ืนฐำน (Decoding) เปน็ แนวคิดของใคร
1. Freebody and Luke, 1999
2. Lankshear and Knobel, 2004
3. MaLauglin and DeVoogd, 2004
4. Lankshear and MaLaren, 1993

3. ขอ้ ใดไม่ใชค่ ณุ ลกั ษณะของกำรอ่ำนเชิงวิพำกษ์ที่สำมำรถเปลี่ยนผ่ำนสู่กำรสร้ำงสนั ตศิ กึ ษำ
1. แนวคิดสภำพจริงและกำรสนทนำอย่ำงเสรี
2. โอกำสทผ่ี ้เู รียนได้ผูกพันและร่วมกิจกรรมในกำรเรียนรู้
3. กำรศกึ ษำเพ่ือควำมเข้ำใจตนเองและผู้อืน่ เป็นพ้ืนฐำนของควำมสันติ
4. กำรสนทนำอย่ำงมีวิจำรณญำณสง่ เสริมกำรคิดวเิ ครำะห์ด้วยเหตุผล

4. ขอ้ ใดไม่ใชก่ ำรปฏิบัติกำรต่อกำรส่งเสรมิ ควำมยตุ ิธรรมในสังคม
1. บทอำ่ น/หรือสอ่ื ต่ำง ๆ ใหค้ วำมสำคญั เฉพำะกลุ่ม
2. กลุม่ เพศที่ 3 เรยี กร้องสทิ ธขิ องตนเองด้วยกำรประทว้ ง
3. บำงบริษทั สง่ เสรมิ สิทธิสตรดี ้วยกำรมอบตำแหน่งสำคญั ใหบ้ รหิ ำร
4. ชนกลมุ่ น้อยรณรงคด์ ว้ ยภำพศลิ ป์สอื่ ควำมเทำ่ เทยี มทค่ี วรจะเปน็ ในสงั คม

35

5. ขอ้ ใดไม่ใชก่ ำรช้ีแนะท่เี ชือ่ มต่อกบั บทอ่ำนดว้ ยกำรตง้ั คำถำม
1. What is the purpose of this text?
2. How does the text position the reader?
3. What worldviews are presented or are missing?
4. Which type of text do you like most? Why?

6. ข้อใดไม่ใชป่ ระเดน็ กำรสอนอ่ำนเชิงวพิ ำกษ์ของ คมั เบอร์ (Comber, 1994)
1. เคำรพภำษำ วฒั นธรรม และบรบิ ทของคนกลุ่มน้อย
2. กำรต้งั ประเดน็ คำถำมจำกบทอ่ำนใหม่ในมมุ มองของโลกแห่งควำมเป็นจรงิ
3. ผู้เรยี นใช้ภำษำสบื เสำะและวเิ ครำะห์ควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งภำษำและพลังอำนำจของภำษำ
4. ปัญหำสังคม เชน่ ควำมยุตธิ รรมทำงสังคมไมส่ ำมำรถสอนในระดับชั้นประถมหรือเด็กเรียนช้ำได้

7. ข้อใดไม่ใช่แนวกำรสอนขดงกลุ่มลอนดอนใหม่ (The New London Group, 1996)
1. จดั สถำนกำรณ์ฝึกหัด
2. เน้นประสบกำรณใ์ นกำรวิเครำะห์เชิงวพิ ำกษ์ เป็นระบบ
3. กำรเปลี่ยนถำ่ ยสกู่ ำรปฏบิ ตั ิยึดตำมมมุ มองของผเู้ ขยี นบทอ่ำน
4. กำรตคี วำมตำมบรบิ ททำงสงั คมและวฒั นธรรมในกำรสรำ้ งควำมหมำย

8. กำรใช้ภำษำในกำรสะท้อนประเด็นปญั หำของผเู้ รยี นใช้วิธีกำรใดเหมำะสมทสี่ ุด
1. อำ่ น สนทนำ และสรปุ
2. สนทนำ ตงั้ คำถำม และแลกเปลย่ี นมมุ มอง
3. อ่ำน คดิ วิเครำะห์ สงั เครำะห์ และเขียน
4. แยกประเด็น และเสนอแนวทำงดว้ ยเหตผุ ล

9. ขอ้ ใดไม่ใช่กำรชี้แนะท่ีเชอ่ื มต่อกับบทอ่ำนดว้ ยกำรตง้ั คำถำม
1. What is the purpose of this text?
2. How does the text position the reader?
3. What worldviews are presented or are missing?
4. Which type of text do you like most? Why?

36

10. ข้อใดไม่ใช่ ลักษณะของกำรแตกประเดน็ สู่สำมญั (Disrupting the common place)
1. กำรต้งั ประเด็นคำถำมจำกควำมเขำ้ ใจต่อสงิ่ ทจี่ ะอ่ำน
2. กำรเชื่อมโยง และสงั เครำะห์เรอื่ งทจ่ี ะอ่ำนในมมุ มองใหม่
3. กำรแยกแยะสิ่งต่ำง ๆ ที่เกีย่ วข้องหรือสอดคล้องกับบทอำ่ น
4. สิง่ สำมญั หรือประเด็นแวดล้อมของบทอ่ำนทค่ี รูผ้สู อนกำหนดให้ผ้เู รยี น

https://www.bing.com/images/search?view=detailV2&id

37

เฉลย

แบบประเมนิ ตนเองกอ่ นเรียน 3. (1) 4. (2) 5. (4)
1. (4) 2. (3) 8. (1) 9. (2) 10. (1)
6. (4) 7. (2)

แบบประเมนิ ตนเองหลังเรียน 3. (1) 4. (2) 5. (2)
1. (4) 2. (1) 8. (2) 9. (1) 10. (4)
6. (4) 7. (3)

แบบฝกึ ท่ี 1 แนวทำงกำรตอบ 1. Where are these students?

2. Why are there only female?

3. What are they doing?

4. Why do they cook local food?

5. Which issues present their identity?

แบบฝกึ ที่ 2 แนวทำงกำรตอบ 1. Teacher: Who is missing to present?

Students: The boys, the men, the elders, and the children.

2. Teacher: So, it isn’t fair, is it?

Students: We think so. It should have different ages, genders,

and religions.

3. Teacher: Do you agree with the author?

Students: Yes, he reports the facts. / No, it is not fair.

4. Teacher: Who are the audience of the text? (Sport issues)

Students: Everyone/ or ones who love exercise.

5. Teacher: What will other people do with the text? (Any issues)

Students: They might believe or might not.

แบบฝกึ ที่ 3 แนวทำงกำรตอบ

ดำ้ นปญั หำ ขยะล้นโลก ภำวะโลกรอ้ น ต้นทุนกำรขำย ฯลฯ ................

ดำ้ นแนวทำงแกไ้ ข วินัยกำรท้งิ ขยะ ลดกำรใชพ้ ลำสตกิ ใช้วัสดุธรรมชำติ ฯลฯ...........

ดำ้ นผ้เู กี่ยวขอ้ งในสังคม คนในชุมชน นักเรียน/ครู ภำครัฐ/เอกชน ฯลฯ........................

38

แบบฝกึ ที่ 4 แนวทำงกำรตอบ
1. Gender: female to male, girls to boys or 3rd gender ...etc….
Plot: theme of poor to theme of rich /bad theme to good theme …etc…
2. Mini projects: No corruption/ Say no to plastic bag/ Save the environment…etc….
3. Example of fairness: No child is left behind/Gender equality…..etc….
4. Slogan:We are equal./ Save the world & save our lives…..etc…..
บรรณานุกรม

Frerie, P. (1970). Pedagogy of the oppressed. New York: Continuum.
Freire, P. and Donaldo, M. (1987). Literacy: Reading the Word and the World.

MA. Bergin & Garvey Publishers.
Freire, P. (1998). The adult literacy process as cultural action for freedom. Harvard

Educational Review; Cambridge; 68.
Gay, G. (2000). Culturally responsive teaching; Theory, practice, & research. New York:

Teachers College Press.
Gee, J. P. (2008). Reading as Situated Language: A Sociocognitive Perspective. In Ruddell,

R.B. and Unrau, N, J. (Eds). (2008). Theoretical Models and Processes of Reading the (5th
ed.). International Reading Association.
Giroux, H. A. (1985). Critical Pedagogy and the Resisting Intellectual Part II.
Phenomenology+ Pedagogy. 3(2).
Giroux, H.A. (1994). Teacher, public life, and curriculum reform. In Gutierrez, C. (2015).
Beliefs, attitudes, and reflections of EFL pre-service teachers while exploring critical
literacy theories to prepare and implement critical lessons. Colomb. Appl. Linguist. J.,
17(2), 179-192.
Giroux, H.A. (2003). Critical Theory and Educational Practice. In A. Darder, M., Baltodano,
& D. E.Torres (Eds.), The critical Pedagogy Reader. Taylor & Francis Group.
Gruenewald, D. A. (2003). The Best of Both Worlds: A Critical Pedagogy of Place.
Educational Researcher, 32(4), 3-12..
Janks, H. (2000). Domination, access, diversity and design: A synthesis for critical literacy
Education. Educational Review, 52(2), 175-186.

39

Janks, H. (2002). ‘Critical literacy: beyond reason’. Australian Educational Researcher,
29(1), 7-27.

Janks, H. (2013). Critical literacy in teaching and research. Education Inquiry.4 (2), 225-242.
Janks, H., Dixon, K., Ferreira, A., Granville, S., & Newfield, D. (2014). Doing Critical

Literacy Texts and Activities for Students and Teachers. Routledge. New York.
Keesing-Styles, L. (2003). The relationship between Critical Pedagogy and Assessment in

Teachers education. Radical Pedagogy (2003).Service + Business Media B.V.
Lewison, M., Flint, S.A., Sluys,V.K. (2002). Taking on critical literacy: The journey of

newcomers and novices. Language Arts, 79(5), 382-392.
Lewison, M., Leland,C., & Harst, J.C. (2015). Creating critical classroom reading and

writing with an edge. Taylor & Francis.
McLaughlin & DeVoogd (2004). Critical literacy as comprehension Understanding

the deeper levels. Journal of Adolescent and Adult Literacy, 48, 52-56
Shor, I. (1999). What is Critical Literacy? The Journal of Pedagogy, Pluralism and

Practice. Retrieved January 1, 2016, from http://www.lesley.edu/journal-
pedagogy-pluralism-practice/ira-shor/critical -literacy/
Villegas, A.M. & Lucas,T. (2002,Jan2Feb.). Preparing culturally responsive teachers:
Rethinking the curriculum. Journal of Teacher Education, 53(1), 20-32.
Wasi, P. (2006). Summary of Peaceful Culture and Democracy in the Context of Thai
Society. In S.J. Sirijaraya (Ed.) King Prajadhipok’s Institute Congress VI on “Culture
of peace and sustainable democracy” (pp. 20-28).

40

หนว่ ยท่ี 3 การนิเทศแบบมีส่วนรว่ ม
แบบประเมินตนเองก่อนเรยี น (Pre-test)

คาชแ้ี จง เลือกคำตอบทถ่ี กู ที่สดุ ด้วยกำรทำเครื่องหมำย X บนตัวเลือกในกระดำษคำตอบ

1. ขอ้ ใดไม่ใชจ่ ดุ ประสงคห์ ลักของกระบวนกำรนเิ ทศ
1. ปรับปรุงและพฒั นำกระบวนกำรสอน
2. ให้คำแนะนำ และควำมช่วยเหลือครูผูส้ อน
3. ให้เกิดผลดตี ่อกำรเรียนรู้และพฒั นำกำรของผเู้ รยี น
4. ส่งเสรมิ ควำมสมั พนั ธ์อันดรี ะหวำ่ งผนู้ ิเทศและผ้รู ับกำรนเิ ทศ

2. ขอ้ ใดไม่ใช่เหตุของกำรรบั กำรนเิ ทศ
1. เพอ่ื ยกระดับมำตรฐำนทำงกำรศึกษำ
2. เพอื่ กำรสร้ำงหลักฐำนประเมินวิทยฐำนะของครู
3. เพ่อื พัฒนำทำงดำ้ นวชิ ำกำร ควำมรู้ นวตั กรรมทำงกำรศึกษำ หลักสูตร นโยบำยกำรจัด
กำรศกึ ษำ มีกำรปรบั เปล่ียนอย่ำงรวดเร็วและตอ่ เนื่อง
4. เพื่อแก้ไขปัญหำในกำรจัดกำรศึกษำ เพื่อป้องกันควำมผิดพลำดในกำรจัดกำรศึกษำ
เพื่อก่อให้เกิดควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ในกำรจัดกำรศึกษำ

3. ขอ้ ใดไม่ใช่กำรนิเทศแบบรว่ มพฒั นำ
1. เทคนคิ กำรนเิ ทศกำรสอนเปน็ หลกั ดว้ ยกำรรว่ มคดิ รว่ มทำ
2. ผู้อำนวยกำรโรงเรยี น ครู และ ศึกษำนิเทศก์รว่ มกันวำงแผนพัฒนำงำนสอนของครู
3. เป้ำหมำยของกำรพฒั นำงำนมุ่งทท่ี ักษะกำรสอนของครูมำกกวำ่ คุณภำพผู้เรยี น
4. กำรพัฒนำกำรวิจยั ในชนั้ เรียนเปน็ หนง่ึ ตัวอย่ำงของกำรร่วมพัฒนำระหวำ่ งผู้นิเทศและผู้รับ
กำรนิเทศ

41

4. ขอ้ ใดไม่ใช่ลักษณะของกำรนิเทศแบบมสี ว่ นรว่ ม
1. ให้อิสระต่อผู้รับกำรนิเทศกำหนดประเดน็ นิเทศ
2. ตำมวถิ ปี ระชำธปิ ไตย และเหมำะสมกับบริบท หรอื สถำนกำรณ์
3. ยึดหลักกำรพึ่งพำกันระหวำ่ งผู้นิเทศและผู้รับกำรนิเทศ
4. รว่ มแกป้ ัญหำ ร่วมหำแนวทำงในกำรปรบั ปรงุ กำรเรียนกำรสอน

5. ขอ้ ใดคอื ข้นั ตอนกำรนิเทศแบบคลินิก
1. ขัน้ ก่อนกำรสอน ขน้ั ระหวำ่ งกำรสอน และขน้ั หลงั กำรสอน
2. ขน้ั ก่อนกำรสอน กำรสังเกตกำรณส์ อน ขนั้ หลังสงั เกตกำรณ์สอน และขน้ั วิเครำะห์
3. ข้ันก่อนกำรสอน กำรสังเกตกำรณ์สอน ข้นั วิเครำะห์ และข้ันหลังสังเกตกำรณ์สอน
4. ขนั้ ก่อนกำรสอน กำรสังเกตกำรณ์สอน ขั้นวิเครำะห์ ขัน้ หลงั สังเกตกำรณ์สอน และขัน้ สรุป

6. ขอ้ ใดไม่ใช่แนวทำงกำรนเิ ทศแบบคลินิก
1. กำรสร้ำงบรรยำกำศทด่ี ีในกำรนิเทศ
2. กำรเสนอเพอ่ื ปรบั ปรุงและกำรสรุปสู่กำรพัฒนำในอนำคต
3. กำรใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั และกำรอภิปรำยจุดเด่นและจดุ ควรพฒั นำ
4. กำรตัดสินหรือประเมนิ คุณภำพกำรจดั กำรเรียนกำรสอนของครผู ้รู บั กำรนิเทศ

7. ข้อใดไม่ใช่กำรสร้ำงบรรยำยกำรทีด่ ีก่อนกำรนิเทศ
1. ตรวจเอกสำรชั้นเรียน
2. ระบวุ ธิ กี ำรเก็บรวบรวมข้อมลู
3. กำรระบปุ ระเด็นท่ีจะสงั เกตกำรณส์ อน
4. กำรทำควำมเขำ้ ใจแผนกำรสอนระหวำ่ งผู้นเิ ทศและผรู้ ับกำรนเิ ทศ

8. ข้อใดไม่ใช่ขั้นตอนหลังสังเกตการสอน
1. สร้ำงบรรยำกำศทดี่ กี ่อนกำรใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั
2. กำหนดปฏทิ ินพัฒนำงำนอยำ่ งต่อเนื่องและเคร่งครัด
3. ใหผ้ ูร้ ับกำรนิเทศได้สะทอ้ นจดุ เด่นและจุดทค่ี วรพัฒนำของตนเอง
4. ร่วมหำแนวทำงพฒั นำโดยใชร้ อ่ งรอยหลักฐำนประกอบกำรสนทนำและสะท้อนคดิ

42

9. ข้อใดคอื องคป์ ระกอบของกำรมีส่วนรว่ มตำมแนวคดิ ของอัญชลี ธรรมะวธิ ีกุล
1. ผนู้ เิ ทศ ผู้รับกำรนเิ ทศ เนอ้ื หำสำระท่ีนิเทศ
2. ผ้อู ำนวยกำรโรงเรียน ผ้นู เิ ทศ ผรู้ ับกำรนิเทศ และเนื้อหำสำระทีน่ เิ ทศ
3. ผนู้ ิเทศ ผรู้ บั กำรนเิ ทศ เน้อื หำสำระทีน่ เิ ทศ และรปู แบบของกำรนเิ ทศ
4. ผอู้ ำนวยกำรโรงเรยี น ผู้นิเทศ ผู้รบั กำรนเิ ทศ เน้ือหำสำระท่ีนิเทศ และรปู แบบของกำรนิเทศ

10. ขอ้ ใดคอื แนวคดิ กำรนิเทศของ สงดั อทุ รำนนท์
1. พัฒนำคน พฒั นำงำน และสร้ำงกำรประสำนสัมพันธ์
2. พัฒนำคน พฒั นำงำน สรำ้ งควำมปรองดอง และสง่ เสริมวชิ ำชีพ
3. พัฒนำคน พัฒนำงำน สรำ้ งกำรประสำนสัมพันธ์ และเพื่อขวัญกำลังใจ
4. พฒั นำคน พัฒนำงำน สรำ้ งกำรประสำนสัมพนั ธ์ เพือ่ ขวญั กำลังใจ และส่งเสริมวิชำชีพ

43

การนิเทศการสอน

ตำมทศั นะของวชั รำ เล่ำเรยี นดี (2556) ไดน้ ยิ ำมกำรนเิ ทศ และกำรนิเทศกำรสอนไวด้ ังน้ี
กำรนเิ ทศ (Supervision) หมำยถงึ กำรใหค้ วำมชว่ ยเหลือ กำรใหค้ ำแนะนำ และกำรปรับปรุงเพ่ือให้
งำนบรรลุตำมวตั ถปุ ระสงค์หรอื มำตรฐำนท่กี ำหนดไว้
กำรนเิ ทศกำรสอน (Supervision of Teaching) หมำยถงึ กระบวนกำรของผู้นิเทศ ทมี่ ุง่ ให้คำแนะนำ
และควำมช่วยเหลือครูผู้สอน ในกำรปรับปรุงและพัฒนำกระบวนกำรเรียนกำรสอน เพ่ือให้เกิดผลดีต่อกำร
เรียนรู้และพัฒนำกำรของผเู้ รยี น ดังนี้
1. เพ่ือพัฒนำทำงด้ำนวิชำกำร ควำมรู้ นวัตกรรมทำงกำรศึกษำ หลักสูตร นโยบำยกำรจัดกำรศึกษำ
มีกำรปรับเปลยี่ นอย่ำงรวดเรว็ และต่อเน่อื ง
2. เพื่อให้ทันต่อกำรเปล่ียนแปลงสภำวะทำงกำรเมือง เศรษฐกิจ และสังคม มีกำรปรับเปล่ียน
อยู่ตลอดเวลำ
3. เพื่อแก้ไขปัญหำในกำรจัดกำรศึกษำ เพื่อป้องกันควำมผิดพลำดในกำรจัดกำรศึกษำ
เพื่อกอ่ ให้เกดิ ควำมคิดสรำ้ งสรรคใ์ นกำรจดั กำรศึกษำ
4. เพ่อื ยกระดบั มำตรฐำนทำงกำรศกึ ษำ

แนวปฏิบัตทิ ี่ผูน้ ิเทศควรดาเนนิ การเม่ือทาการนิเทศภายในสถานศึกษามีประเด็นสำคัญดังตอ่ ไปน้ี

1. กำรนเิ ทศบนพ้ืนฐำนกำรบรหิ ำรงำนท่เี ป็นระบบ และมกี ำรวำงแผนกำรดำเนนิ งำนทุกข้นั ตอน
2. กำรนิเทศโดยเน้นหลักกำรมีส่วนร่วมในกำรทำงำนเป็นสำคัญ และยึดหลักประชำธิปไตย เช่น
เคำรพควำมคิดเห็นของผู้อื่น เป็นผู้นำหรือผู้ตำมในโอกำสท่ีเหมำะสมตำมภูมิรู้ ภูมิธรรมของแต่ละภำระงำน
เพอื่ ใหง้ ำนบรรลเุ ป้ำหมำยอยำ่ งมปี ระสทิ ธิภำพ
3. กำรนิเทศเป็นงำนสร้ำงสรรค์ ในกำรแก้ปัญหำท่ีเกิดขึ้นจำกกำรจัดกำรเรียนกำรสอน โดยให้ครู
ได้เรยี นรูส้ ภำพปัญหำของตนเป็นอย่ำงไร และมแี นวทำงกำรแกป้ ัญหำไดอ้ ย่ำงไร
4. กำรนิเทศ เป็นกำรสร้ำงสภำพแวดล้อมในกำรทำงำนให้ดีข้ึน สร้ำงควำมเข้ำใจระหว่ำงกัน
สร้ำงมนุษยสัมพันธ์ มีวธิ กี ำรทำงำนทดี่ แี ละสำมำรถที่จะอยรู่ ่วมกนั ได้
5. กำรนิเทศ เป็นกำรสร้ำงควำมผูกพัน และควำมมั่นคงต่องำนอำชีพ รวมทั้งควำมเช่ือม่ัน
ในควำมสำมำรถของตนเอง เกิดควำมพึงพอใจในกำรทำงำน
6. กำรนิเทศ เป็นกำรพัฒนำและส่งเสริมวิชำชพี ครู ให้มีควำมรู้สึกภำคภูมิใจในวิชำชีพวำ่ เป็นอำชพี ท่ี
ต้องใช้วิชำควำมรู้และควำมสำมำรถ พรอ้ มที่จะพัฒนำได้

44

แบบฝกึ ที่ 1 สร้ำงผังควำมคดิ เก่ียวกับกำรนเิ ทศ

การนิเทศ

คะแนน รวม 10 คะแนน (สำมำรถเพิ่มเตมิ ไดต้ ำมควำมเขำ้ ใจ)

45

แนวคิดเกีย่ วกบั รูปแบบการนิเทศ

แนวคิดการนเิ ทศตามทศั นะนักวชิ าการไทย

แนวคดิ ที่นำเสนอสอดคล้องกับบริบท สำนักงำนเขตพ้ืนท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำนรำธวิ ำส เขต 2
มดี ังนี้

1. แนวคิดกำรนิเทศแบบกัลยำณมิตร ที่เน้นควำมเกื้อกูลกัน สร้ำงควำมเข้ำใจ แนะแนวทำงท่ีถูกต้อง
และยอมรบั ซ่งึ กนั และกนั (รุง่ รชั ชำพร เวหะชำติ, 2557)

2. แนวคิดแบบประชำธิปไตย ที่คำนึงถึงสัมพันธภำพระหว่ำงกำรทำงำนร่วมกันเป็นคณะ
เพ่ือปรับปรุงกำรสอนให้มีประสิทธิภำพย่ิงขึ้น โดยมุ่งประโยชนส์ ูงสดุ คือคุณภำพผู้เรยี นด้วยกำรประเมินตนเอง
โดยครูและผ้นู ิเทศร่วมกันประเมินกำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนกำรสอนพร้อมทั้งแนวทำงแกไ้ ขปัญหำอย่ำงต่อเน่ือง
(รุ่งรชั ชำพร เวหะชำติ, 2557)

3. แนวคิดกำรนิเทศแบบร่วมพัฒนำ เป็นปฏิสัมพันธ์ทำงกำรนิเทศระหว่ำงผู้บริหำรสถำนศึกษำ
ศึกษำนิเทศก์ และครูร่วมกันแก้ปัญหำกำรจัดกำรเรียนกำรสอนอย่ำงเป็นระบบที่มีกำรใช้เทคนิคกำรนิเทศ
กำรสอนเป็นหลัก พร้อมท้ังกำรร่วมคิด ร่วมทำ ช่วยเหลือ ยอมรับซึ่งกันและกันระหว่ำงผู้นิเทศและผู้รับ
กำรนิเทศ เพอ่ื ร่วมกันพัฒนำวชิ ำชพี ท่ีสง่ ผลตอ่ คณุ ภำพผู้เรียน (รงุ่ รัชชำพร เวหะชำติ, 2557)

4. แนวคิดกำรนิเทศแบบมีส่วนร่วม เป็นกำรนิเทศที่ให้ควำมสำคัญต่อกำรร่วมแก้ปัญหำ ร่วมหำ
แนวทำงในกำรดำเนินกำรปรับปรุงกำรเรียนกำรสอน ตำมวิถีประชำธิปไตยด้วยควำมเหมำะสม
ตำมสถำนกำรณ์ และยดึ หลักกำรพ่งึ พำกันระหว่ำงผนู้ ิเทศและผูร้ ับกำรนิเทศ (รุ่งรัชชำพร เวหะชำติ, 2557)

5. แนวคิดกำรนิเทศเพื่อกำรเปล่ียนแปลง เป็นกำรนิเทศงำนและกำรนิเทศพัฒนำวิชำชีพ
ที่ปรับเปล่ียนคุณภำพงำนให้มีประสิทธิภำพยิ่งข้ึน ด้วยหลักของกำรพัฒนำบุคลำกรที่เป็นทรัพยำกรบุคคล
ตำมบริบทของสังคม ตำมควำมศักยภำพด้วยควำมรู้เพื่อนำไปสู่กำรเปลี่ยนแปลงด้ำนอ่ืน ๆ ควบคู่กัน เช่น
สภำพแวดล้อม วัฒนธรรมองค์กร วสั ดุอปุ กรณ์ เปน็ ต้น (รุ่งรัชชำพร เวหะชำติ, 2557)

6. แนวคิดกำรนิเทศแบบพัฒนำผลงำนทำงวิชำกำร หมำยถึง เอกสำรหรือหลักฐำนที่จัดทำขึ้นจำก
ควำมรู้ ควำมสำมำรถ ทักษะและประสบกำรณ์ในกำรทำหน้ำที่พัฒนำคุณภำพกำรจัดกำรศึกษำและนำสู่
ควำมกำ้ วหน้ำทำงวิชำกำร (รงุ่ รชั ชำพร เวหะชำติ, 2557)

7. แนวคิดกำรนิเทศกำรสอนภำยในโรงเรียน (Supervising Process) เน้นกำรนิเทศภำยในโรงเรียน
ที่เน้นกำรพัฒนำปรับปรุงกำรเรียนกำรสอนโดยบุคลำกรในโรงเรียนด้วยรูปแบบท่ีหลำกหลำยและเหมำะสม
ตำมสภำพบริบทของกำรแก้ปัญหำเพ่ือยกระดับกำรเรียนรู้ของนักเรียน อีกท้ังเป็นกำรพัฒนำวิชำชีพของ
ครูผู้สอน (วชั รำ เล่ำเรยี นดี, 2553)

46

แบบฝกึ ท่ี 2 ระบุแนวคดิ การนเิ ทศใหถ้ กู ต้องตามแนวปฏบิ ตั ทิ ่ีกาหนด

แนวคิดการนิเทศแบบกัลยาณมติ ร แนวคดิ การนิเทศเพือ่ การเปลีย่ นแปลง แนวคิดแบบประชาธปิ ไตย
แนวคดิ การนิเทศการสอนภายในโรงเรยี น แนวคดิ การนิเทศแบบมีส่วนร่วม

1. ……………………………………………………………………………………………………………………….

กำรนเิ ทศท่ีให้ควำมสำคญั ต่อกำรรว่ มแก้ปญั หำ รว่ มหำแนวทำงในกำรดำเนินกำรปรบั ปรุงกำรเรียนกำรสอน
ตำมวิถีประชำธิปไตยด้วยควำมเหมำะสมตำมสถำนกำรณ์ และยึดหลักกำรพ่ึงพำกันระหว่ำงผู้นิเทศและผู้รับ
กำรนิเทศ

2. ……………………………………………………………………………………………………………………….

สัมพันธภำพระหว่ำงกำรทำงำนร่วมกันเป็นคณะเพ่ือปรับปรุงกำรสอนให้มีประสิทธิภำพยิ่งขึ้น โดยมุ่ง
ประโยชน์สูงสุดคือคุณภำพผู้เรียนด้วยกำรประเมินตนเอง โดยครูและผู้นิเทศร่วมกันประเมินกำรจัดกิจกรรม
กำรเรียนกำรสอนพร้อมทงั้ แนวทำงแก้ไขปญั หำอย่ำงต่อเนื่อง

3. ……………………………………………………………………………………………………………………….

กำรนิเทศงำนและกำรนิเทศพัฒนำวชิ ำชีพท่ีปรับเปล่ียนคุณภำพงำนให้มีประสทิ ธิภำพยิ่งข้ึน ด้วยหลักของ
กำรพัฒนำบุคลำกรท่ีเป็นทรัพยำกรบุคคลตำมบริบทของสังคม ตำมควำมศักยภำพด้วยควำมรู้เพ่ือนำไปสู่
กำรเปล่ียนแปลงด้ำนอน่ื ๆ ควบคูก่ นั เช่น สภำพแวดล้อม วฒั นธรรมองค์กร วสั ดุอุปกรณ์ เป็นต้น

4. ……………………………………………………………………………………………………………………….

กำรนิเทศท่ีเน้นกำรพัฒนำปรับปรุงกำรเรียนกำรสอนโดยบุคลำกรในโรงเรียนด้วยรูปแบบท่ีหลำกหลำย
และเหมำะสมตำมสภำพบริบทของกำรแก้ปัญหำเพื่อยกระดับกำรเรียนรู้ของนักเรียน อีกท้ังเป็นกำรพัฒนำ
วิชำชพี ของครผู สู้ อน

5. ……………………………………………………………………………………………………………………….

กำรนิเทศที่เนน้ ควำมเกอ้ื กูลกัน สร้ำงควำมเขำ้ ใจ แนะแนวทำงท่ถี ูกต้องและยอมรบั ซง่ึ กันและกั

47

การนิเทศแบบคลินิก

กำรนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision) จำกแนวคิดของโกลด์ แฮมเมอร์ และโคแกน (Gold
hammer and Cogan 1969, 1973 อ้ำงถึงในวัชรำ เล่ำเรียนดี, 2556) เป็นกระบวนกำรนิเทศเพื่อกำรพัฒนำ
กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ในช้ันเรียนโดยตรง เริ่มด้วยกำรพูดคุยปรึกษำหำรือระหว่ำงผู้นิเทศและครูผู้สอน
เก่ียวกับแผนกำรสอน กำรสังเกตกำรณ์สอน กำรวิเครำะห์ข้อมูลกำรสอน และกำรให้ข้อมูลย้อนกลับเก่ียวกับ
ประเด็นท่ีมกี ำรสังเกต (วชั รำ เล่ำเรียนดี, 2556 : 95)

ขัน้ ตอนการนเิ ทศการสอนแบบคลินิก
ดดั แปลงจำกเอกสำรประกอบกำรอบรมเชงิ ปฏิบัติกำรพัฒนำสมรรถนะศกึ ษำนเิ ทศก์กลุ่มสำระเรยี นรู้
อ่ืน ๆ ด้วยรูปแบบกำรนิเทศแบบคลินิก โดยคณะศึกษำนิเทศก์ท่ีเข้ำร่วมโครงกำร “Capability-Building
Program in Leadership and Supervision of Language Instruction and Pedagogy for Supervisors
of English Language Teachers in Thailand” ณ ประเทศสงิ คโปร์ 2555
1. ข้ันก่อนการสังเกตการณ์สอน เป็นขั้นทบทวนแผนกำรสอนของครู ซึ่งประกอบด้วย
วัตถุประสงค์ กิจกรรม และกำรประเมินผล ขั้นน้ีเป็นข้ันท่ีผู้นิเทศ ได้ทำกำรตกลงในประเด็นที่จะสังเกต
กำรสอนร่วมกนั
2. ขั้นสังเกตการณ์สอน เป็นข้ันกำรใช้เครื่องมือเพื่อบันทึกหลักฐำนหรือเหตุกำรณ์ท่ีเกิดขึ้น
ระหว่ำงทค่ี รทู ำกำรสอน ผนู้ เิ ทศควรเลี่ยงกำรแสดงควำมคิดเหน็ สว่ นตัว หรือตดั สนิ ผลกำรสอนของครู
3. ข้ันวิเคราะห์ เป็นขั้นกำรระบุประเด็นหรือหัวข้อ ตลอดจนลำดับควำมสำคัญของประเด็น
หรือหวั ขอ้ เหล่ำนัน้ เพ่ือทจ่ี ะรว่ มสนทนำหรืออภิปรำยร่วมกันหลงั จำกกำรสงั เกตกำรสอนเสรจ็ สนิ้
4. ขั้นหลังการสังเกตการณ์สอน เป็นข้ันให้ข้อมูลย้อนกลับถึงจุดเด่น และจุดที่ควรพัฒนำ
ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนของครู

แนวทางในการดาเนินการนเิ ทศ
1. กำรสร้ำงบรรยำกำศท่ีดีในกำรนิเทศ เป็นกำรเริ่มนำสนทนำโดยใช้คำพูดที่เป็นมิตร สร้ำง
ควำมคุ้นเคยกบั ผรู้ บั กำรนเิ ทศ ใหเ้ หมำะสมกับบริบท
2. อภิปรำยเก่ียวกับกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ในแต่ละกำรนิเทศนั้น ๆ เป็นกำรระบุจุดเด่น
และจุดที่ควรพฒั นำในกำรสอนครัง้ นัน้ ๆ ของผรู้ บั กำรนิเทศ
3. กำรให้ข้อมูลป้อนกลับโดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ท่ีได้จำกกำรสังเกตกำรสอน เป็นกำรใช้ข้อมูล
ท่ีบันทึกระหว่ำงกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ของครูและให้ครูผู้รับกำ รนิเทศได้มีส่วนร่วมในกำรรับ -ส่งข้อมูล
ย้อนกลบั

48

4. กำรเสนอแนะเพ่ือปรับปรุง เป็นกำรเสนอทำงเลือกเพื่อกำรพัฒนำอย่ำงย้ังยืนโดยผู้นิเทศและ
ผ้รู บั กำรนิเทศไดเ้ หน็ พ้องกันในสิ่งนนั้ ๆ

5. กำรสรุปสู่ทิศทำงกำรพัฒนำในอนำคต เป็นกำรสรุปจุดแข็งของบทเรียนน้ัน ๆ และช่วยให้ครูได้
แนวทำงในกำรปรบั ปรุงกำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนรใู้ นครงั้ ตอ่ ไป

ประเด็นในแต่ละขั้นตอน
1. ขัน้ ตอนกอ่ นการสังเกตการสอน

1.1. กำรสรำ้ งบรรยำกำศทดี่ ีก่อนกำรนเิ ทศ (Climate Setting)
1.2. กำรทำควำมเข้ำใจแผนกำรสอนระหว่ำงผ้นู เิ ทศและผรู้ ับกำรนเิ ทศ

(Clarifying lesson plan)
1.3. กำรระบปุ ระเด็นทจ่ี ะสังเกตกำรณ์สอน (Identifying focus of observation)
1.4. วิธีกำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล (Method of collecting evidence)

2. ขั้นตอนการสงั เกตการสอน
2.1. ตกลงรว่ มกนั ระหวำ่ งผู้นเิ ทศและผู้รับกำรนิเทศในประเด็นที่จะทำกำรนเิ ทศ
2.2. กำหนดเครื่องมือที่ใช้ในกำรนิเทศ (กำรออกแบบเครื่องมือนิเทศควรดำเนินกำร
กอ่ นกำรนเิ ทศ)
2.3. สงั เกตกำรณ์สอนตำมประเด็น และเครื่องมือทต่ี กลงกันระหวำ่ งผู้รับกำรนเิ ทศและผู้นเิ ทศ

ตัวอย่างประเด็นในการสังเกตการสอน เช่น กำรจัดกำรช้ันเรียน กำรจัดกิจกรรมกำรเรียน
กำรสอน กำรใช้คำถำม กำรปฏิสัมพนั ธ์ระหวำ่ งครูและนักเรียน กำรวดั และประเมนิ ผล ส่อื และแหล่งเรียนรู้
เปน็ ตน้

ตัวอย่างเคร่ืองมือในการสังเกตการสอน เช่น สังเกตและบันทึกข้อมูลในแบบบันทึกรำยกำร
แบบบนั ทกึ ภำคสนำม เคร่อื งบนั ทกึ เสียงหรอื วดี ีทศั น์ เปน็ ตน้

3. ขน้ั ตอนหลังสงั เกตการสอน
1. สร้ำงบรรยำกำศทด่ี กี อ่ นกำรใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั
2. ใหผ้ รู้ ับกำรนเิ ทศได้สะท้อนจุดเด่นและจุดท่ีควรพัฒนำของตนเอง
3. รว่ มหำแนวทำงพฒั นำโดยใช้ร่องรอยหลกั ฐำนประกอบกำรสนทนำและสะท้อนคิด
4. กำหนดเปำ้ หมำยในกำรพัฒนำในอนำคต

49

แบบฝกึ ท่ี 3 ทำเครือ่ งหมำยถกู หรอื ผดิ หน้ำขอ้ ควำมที่กำหนดให้

.............. 1. กำรสร้ำงบรรยำกำศที่ดใี นกำรนิเทศสรำ้ งได้ในทุกขัน้ ตอนกำรนิเทศ

.............. 2. กำรสะท้อนกำรปฏิบัติกำรสอนของครูผู้รับกำรนิเทศต้องมีร่องรอยหลักฐำน
ประกอบกำรให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั

.............. 3. หลังกำรนเิ ทศกำหนดเป้ำหมำยกำรพัฒนำในอนำคตเฉพำะระยะยำวเท่ำนั้น

.............. 4. ประเด็นในกำรสังเกตกำรสอน เช่น กำรจัดกำรชั้นเรียน กำรจัดกิจกรรม
กำรเรียนกำรสอน กำรใช้คำถำม กำรปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงครูและนักเรียน กำรวัดและประเมินผล สื่อและ
แหล่งเรยี นรู้ เทำ่ นน้ั

.............. 5. เครื่องมือในกำรสังเกตกำรสอน เช่น สังเกตและบันทึกข้อมูลในแบบบันทึก
รำยกำร แบบบันทึกภำคสนำม เท่ำนนั้

.............. 6. กำรเสนอแนะเพ่ือปรับปรุง เป็นกำรเสนอทำงเลอื กเพ่ือกำรพัฒนำอย่ำงย่ังยืน
โดยผนู้ เิ ทศและผรู้ บั กำรนิเทศไดเ้ หน็ พอ้ งต้องกนั ในสงิ่ นัน้ ๆ

.............. 7. กำรสังเกตช้ันเรียนต้อง ตกลงร่วมกันระหว่ำงผู้นิเทศและผู้รับกำรนิเทศ
ในประเดน็ ท่จี ะทำกำรนเิ ทศ

.............. 8. กำรให้ข้อมูลป้อนกลับโดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้จำกกำรสังเกตกำรสอน
เป็นกำรใช้ขอ้ มูลท่ีบนั ทึกระหว่ำงกำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนรู้ของครู

.............. 9. อภิปรำยเกี่ยวกับกำรจัดกิจกรรมกำรเรยี นร้ใู นแตล่ ะกำรนิเทศน้ันๆ เป็นกำรระบุ
เฉพำะจดุ เด่นในกำรสอนคร้ังนนั้ ๆ ของผู้รบั กำรนิเทศ

............10. ข้ันวิเครำะห์ เป็นขั้นกำรระบุประเด็นหรือหัวข้อ ตลอดจนลำดับควำมสำคัญ
ของประเดน็ หรอื หัวข้อเหล่ำนั้นเพือ่ ทีจ่ ะรว่ มสนทนำหรอื อภิปรำยรว่ มกนั หลงั จำกกำรสงั เกตกำรสอนเสร็จสน้ิ

50

การนเิ ทศการสอนแบบมสี ่วน
รว่ ม

กำรนิเทศเป็นปัจจัยหลักในกำรส่งเสริมให้บุคลำกรได้ปฏิบัติหน้ำที่อย่ำงมีประสิทธิภำพ กำรนิเทศ
กำรศึกษำจะช่วยให้บุคลำกรทำงกำรศึกษำได้จัดกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ท่ีส่งเสริมผู้เรียนให้มีสมรรถนะ
ตำมควำมต้องกำรของหลักสูตรและนโยบำยกำรศึกษำแห่งชำติ กำรมีส่วนร่วมในกำรนิเทศจำกผู้มีส่วน
เกี่ยวข้องกับกำรจัดกำรศึกษำเป็นกระบวนกำรทำงำนท่ีเป็นระบบ เรียนรู้ร่วมกัน และเป็นกำรพัฒนำวิชำชีพ
อย่ำงตอ่ เนื่องทสี่ ่งผลตอ่ ผู้เรียนอยำ่ งมีประสิทธภิ ำพ

อญั ชลี ธรรมะวิธีกุล (2553) ได้เสนอแนวทำงกำรนเิ ทศแบบมสี ว่ นร่วม ไวด้ งั นี้
องคป์ ระกอบของกำรนิเทศแบบมสี ว่ นรว่ ม ประกอบดว้ ย
1. ผูน้ ิเทศ
2. ผรู้ ับกำรนิเทศ
3. เน้ือหำสำระท่ีนิเทศ
4. รูปแบบของกำรนิเทศแบบมีส่วนร่วม มี 6 ข้ันตอน 1) กำรเตรียมกำรนิเทศ 2) รูปแบบและแนว
ทำงกำรนิเทศ 3) กำหนดเคร่ืองมือนิเทศ 4) ดำเนินกำรนิเทศ 5) กำรประชุม และ 6) กำรประเมิ นผล
รปู แบบและแนวทำงกำรนิเทศ

ตำมแนวคิดของ สงดั อทุ รำนนท์ (2533, 15-17) เนน้ 4 ประกำรในกำรพัฒนำ คือ พัฒนำคน พฒั นำงำน
สร้ำงกำรประสำนสมั พนั ธ์ และเพ่ือขวัญและกำลังใจ ด้วยกำรดำเนนิ กำรดังนี้

1. ซักซอ้ มควำมเขำ้ ใจกนั ระหวำ่ งผ้นู ิเทศและผูร้ บั กำรนเิ ทศ
2. เลือกเคร่อื งมอื กำรนเิ ทศแบบทั่วไปและประเด็นของกจิ กรรมนเิ ทศ เพ่อื ให้เป็นแนวปฏบิ ัตเิ ดยี วกนั
3. รว่ มกันกำหนดปฏทิ ินในกำรนเิ ทศใหเ้ ปน็ ระบบและตอ่ เนื่อง
4. กำรบันทึกข้อมูลท่ัวไป ผู้รับกำรนิเทศเป็นผู้บันทึกและเก็บบันทึก รวมถึงกำรบันทึกเพิ่มเติม
แนบทำ้ ยในกำรชว่ ยเหลอื ตำมกรณี
5. ผู้รับกำรนิเทศเก็บบันทึกรำยกำรของเครื่องมือไว้ในแฟ้มปฏิบัติงำนของตนเอง เพ่ือรับฟัง
ควำมคิดเห็นของผนู้ ิเทศ และหำแนวทำงแกไ้ ขปัญหำรว่ มกนั ต่อไป
6. ผนู้ เิ ทศรวบรวมขอ้ มูลทกุ ดำ้ นของกำรนเิ ทศเพือ่ ประเมินผลกำรนิเทศ

กำรดำเนินกำรนิเทศตำมรูปแบบกำรนิเทศแบบมีส่วนร่วมดังกล่ำวจะประสบผลสำเร็จได้ด้วยปัจจัย
ควำมเหมำะสมด้ำนสภำพแวดล้อม ควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคล และควำมร่วมมือจำกทุกฝ่ำย โดยจัดปฏิทิน
ทก่ี ำหนดภำรกจิ ทจี่ ะทำกำรนิเทศ วนั เดอื น ปี เวลำ ชอ่ื ผรู้ ับกำรนิเทศ และผ้นู ิเทศ


Click to View FlipBook Version